กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 16
โดย saradio
หลังจากตั๋งโต๊ะได้ครองเมืองหลวงอย่างเบ็ดเสร็จแล้ว ผมก็ค่อยๆตกกระป๋องที่ละน้อย เพราะถูกเตะสกัดดาวรุ่งจากกุนซือคู่กายของตั๋งโต๊ะ นั้นคือ ลิยู กับ ลิซก สองคนนี้เห็นผมรับราชการไม่เท่าไหร่ อยู่ในตำแหน่งเล็กกระจ๋อยร่อย แต่จู่ๆ ดันมีความคิดเสนอแผนการชนิดที่เดินหมากตัวเดียวกินทั้งกระดานอย่างที่พวกมันเองก็คิดกันไปไม่ถึง จนส่งผลให้ตั๋งโต๊ะเข้ามาเป็นใหญ่ในเมืองหลวงได้ ย่อมต้องรู้สึกอิจฉาและเขม่นผมอยู่ไม่น้อย อีกทั้งภายหลังผมเสนอความคิดที่ไม่ค่อยเข้าหูหรือตรงกับในใจตั๋งโต๊ะสักเท่าไหร่ เลยทำให้ตั๋งโต๊ะเริ่มมองข้ามผมไป เป็นที่สมใจของทั้งลิยูกับลิซก
อย่างครั้งแรกที่ตั๋งโต๊ะเข้ายึดเมืองหลวงได้สำเร็จ มันไม่ควบคุมทหารให้ดี ปล่อยให้เข้าเกกะระรานชาวบ้าน ทั้งแย่งชิงสิ่งของ ทั้งฉุดคร่าข่มขืน สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างมาก ทั้งที่ตำราการปกครองกี่ยุคกี่สมัยก็บอกเหมือนกันหมด ว่า หากได้ครองใจประชาชนก็ได้ครองแผ่นดิน พวกมันก็ยังไม่คิดถึงข้อนี้
พอผมนำเสนอให้ ควบคุมดูแลทหาร อย่าให้เบียดเบียนราษฎร แล้วทำการปลอบขวัญประชาชน เพื่อเอาใจประชาชน เพื่อสร้างบารมี ตั๋งโต๊ะก็เพิกเฉย เพราะมันคิดว่า อำนาจของมันอยู่ได้ด้วยทหาร มิได้อยู่ได้ด้วยพวกประชาชนที่เหมือนวัวควายพวกนี้ ดังนั้นทหารมันเดินทางมาเหนื่อย ก็อยากจะหาความสุข จะทำอะไรเกินเลยไปบ้าง ก็ปล่อยไปก่อน
ที่ตั๋งโต๊ะคิดเช่นนี้ ก็เพราะมันปกครองที่ ซีหลง แบบนั้น ที่นั้นเป็นเขตแดนชายแดน ประชาชนขาดความรู้ความสามารถ ง่ายต่อการปกครอง เมืองผู้ปกครองชี้ขวา บอกว่าซ้าย ประชาชนเหล่านั้นก็ย่อมต้องบอกว่าซ้ายตามผู้ปกครอง ไหนเลยกล้าบอกว่าขวา แต่ที่นี่คือเมืองหลวง ประชาชนมีความรู้ความสามารถมากกว่า ย่อมไม่ได้ปกครองง่ายขนาดนั้น ต้องใช้เหตุและผลในการปกครอง การจะชี้ขวาแล้วบอกซ้าย ให้เห็นตามนั้น ทำไม่ได้
ตั๋งโต๊ะนั้นเข้าใจแต่ไม่ได้สนใจ เพราะตอนนี้มันมีอำนาจล้นมือจะทำสิ่งใดก็ได้ ย่อมเห็นสิ่งที่ผมอธิบายเป็นเพียงลมปากที่น่ารำคาญ มันเลยตัดบทพูดง่ายๆ สั้นๆ ว่า
“หากข้าชีชวา แล้วบอกซ้าย มีใครหน้าไหนบอกว่าขวา ข้าจะฆ่ามัน”
แล้วมันก็หัวเราะ
นั่นเลยทำให้ผมต้องเงียบ เพราะหากยังดึงดัน หัวผมคงจะหลุดจากบ่าเป็นคนแรก
ครั้งต่อมา ตอนปลดหองจูเปียนออกจากการเป็นฮ่องเต้ ในตอนนั้นที่ตั๋งโต๊ะพาฮ่องเต้ที่ขันทีพาหนีกลับเข้าวังหลวงแล้ว และกุมอำนาจในเมืองได้เสร็จสิ้น แม้จะมีอำนาจแต่ยังไม่มีตำแหน่งใหญ่โตอันใดเป็นแค่เจ้าเมืองหัวเมืองชายแดน จึงทวงความดีความชอบต่อฮ่องเต้ ให้ตั้งตัวเองเป็นอำมาตย์ใหญ่ แต่ตอนนั้นพระนางโฮไทเฮาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนอยู่ เห็นว่าหากให้ตำแหน่งในวังหลวงให้ตั๋งโต๊ะ มันจะไม่ยอมกลับเมืองชายแดนโดยง่าย จึงบ่ายเบี่ยงดึงถ่วงไว้
ตั๋งโต๊ะจึงโมโห เลยคิดจะปลดหองจูเปียนออกจะได้กำจัดพระนางโฮไทเฮาออกไปด้วย แล้วจะตั้งหองจูเหียบพระอนุชาต่างมารดาขึ้นเป็นฮ่องเต้แทน เพื่อมันจะได้ตั้งตัวเองเป็นผู้สำเร็จราชการแทน เรื่องนี้ลิยูเห็นด้วยและสนับสนุน พูดว่า
“นายท่านคิดทำเรื่องนี้ ถือว่าสมควรแล้ว พระนางโฮไทเฮาและฮ่องเต้หองจูเปียน นานไปจะยิ่งเป็นหอกข้างแคร่ ควรรีบกำจัดเสีย ส่วนหองจูเหียบนั้นเยาว์วัยนัก เราสามารถชักใยได้ง่าย เมื่อนายท่านได้เป็นผู้สำเร็จราชการแล้ว จะคิดทำสิ่งใดต่อไปก็ง่าย”
เรื่องนี้ผมกลับไม่เห็นด้วย จึงพูดว่า
“ที่ท่านลิยูกล่าว ก็ถูกต้อง เพียงแต่ข้าพเจ้าเห็นว่ายังไม่ถึงเวลา เพราะนายท่านในตอนนี้ยังมีบารมีไม่มากพอ หากจะคิดปลดฮ่องเต้ที่หาความผิดมิได้เสียแต่ตอนนี้ บรรดาขุนนางใหญ่น้อยย่อมไม่พอใจเป็นอันมาก และจะพากันเป็นศัตรูกับท่าน ถือว่าไม่เป็นการดี….. หากนายท่านต้องการตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ ควรดำเนินแผนการค่อยๆเกลี่ยกล่อมขุนนางให้คล้อยตามและสร้างบารมีกับประชาชน หากขุนนางและประชาชนพร้อมใจกันทูลขอตำแหน่งแด่ท่าน พระนางโฮไทเฮากับฮ่องเต้ ย่อมไม่มีข้อบ่ายเบี่ยง”
วิธีของผมดูแล้วใช้เวลา เป็นที่น่ารำคาญ ไม่ทันใจ ตั๋งโต๊ะจึงถอนหายใจบ่ายหน้าหนี ลิยูเห็นดังนั้นก็หัวเราะพูดว่า
“ท่านกาเซี่ยง วิธีของท่านนั้นยืดเยื้อเกินเหตุ ก็ในเมื่อตอนนี้นายท่านมีอำนาจล้นมือ ทำไมถึงคิดจะปลดฮ่องเต้ไม่ได้ การปลดฮ่องเต้หองจูเปียนเท่ากับกำจัดเสี้ยนนามในอนาคต ถึงจะมีขุนนางไม่พอใจ แต่จะทำอย่างไรได้ ข้ากลับมีวิธีที่ที่จะทำให้ขุนนางพวกนั้นสงบปากสงบคำ จัดการเรื่องนี้ให้รวบรัด”
พลางหันไปเสนอตั๋งโต๊ะ ว่า
“นายท่าน ตอนนี้พวกขุนนางล้วนยำเกรงนายท่าน เพียงแค่เดินผ่านยังต้องระวังสีหน้า หากนายท่านคิดจะปลดฮ่องเต้หองจูเปียน ก็แค่เชิญเหล่าขุนนางพวกนั้นมาเลี้ยงโต๊ะ ปรึกษาความ หากมีใครแสดงอาการไม่พอใจหรือไม่เห็นด้วยก็จับฆ่าเสีย เสมือนเชือดไก่ให้ลิงดู เพียงเท่านี้ คนพวกนั้นก็ไม่กล้าเห็นเป็นอื่น”
ตั๋งโต๊ะคิดว่าวิธีนี้ดี จึงตกลง ผมไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้ เพราะมันจะพาให้เกิดความขัดแย้งขึ้นไม่เพียงแต่ภายในราชสำนักยังอาจจะลามไปถึงหัวเมืองต่างๆด้วย แต่ตอนนั้นก็พูดขัดอะไรไม่ได้ เพราะตั๋งโต๊ะแสดงความชัดเจนว่าจะเอาตามลิยู ขืนผมพูดมากขัดใจไป คนที่หัวขาดก่อนขุนนางในงานเลี้ยงก็คือผม
แล้วตั๋งโต๊ะก็ทำตามแผนลิยู จัดงานเลี้ยงขุนนาง และพูดเรื่องการปลดฮ่องเต้ ความขัดแย้งก็เกิดขึ้นให้เห็น เพราะเต๊งหงวนขุนนางเก่าแก่ไม่พอใจ ลุกขึ้นด่าตั๋งโต๊ะ ว่าทรราช แล้วยังตามมาด้วยคำด่าสาดเสียเทเสียมากมาย
ตั๋งโต๊ะ ก็โกรธชักกระบี่จะฆ่าเต๊งหงวน แต่ลิซกเห็นลิโป้อยู่ข้างกายเต๊งหงวน ลิซกนั้นรู้จักกับลิโป้ เพราะเป็นคนบ้านเดียวกัน รู้ดีว่ามีฝีมือมากแค่ไหน จึงรีบเข้าไปห้ามตั๋งโต๊ะ
เต๊งหงวนจึงอาศัยจังหวะนี้เดินออกจากงานเลี้ยง และหนีไปเมืองของตัวเอง จากนั้นก็พากองทัพทหารของมันมาเมืองหลวงโดยมีลิโป้เป็นทัพหน้า มาท้ารบกับตั๋งโต๊ะ
ตั๋งโต๊ะจึงให้ ลิฉุย กุยกี หวนเตียว และ เตียวเจ แต่งทัพออกไปสู้ แต่แพ้ลิโป้กลับมาหมด แทบจะเอาชีวิตกันไม่รอด ตอนนั้นตั๋งโต๊ะอยู่ในสถานการย่ำแย่ เพราะดูแล้วจะต้านทานลิโป้ไม่อยู่ ถึงกับเป็นกังวลอย่างมาก ส่วนผมตอนนั้นไม่ได้ถูกเรียกไปปรึกษาอะไรด้วย แต่ลิซกก็เสนอแผนจะเกลี่ยกล่อมลิโป้ให้มาสวามิภักดิ์ตั๋งโต๊ะ และมันก็ทำได้สำเร็จ ทำให้เต๊งหงวนถูกลิโป้ฆ่าตายแล้วเอาหัวมามอบให้ตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะจึงชนะมาได้
และตั้งแต่วันนั้น ตั๋งโต๊ะก็ไม่ต้องการผมให้อยู่ในคณะที่ปรึกษาอีกแล้ว เพราะมันเอาชนะเต๊งหงวนได้เพราะ ลิซก มันปลดฮ่องเต้ และได้เป็นผู้สำเร็จราชการ เพราะลิยู ส่วนผมมีแต่แผนอะไรไม่รู้ที่มันฟังแล้วปวดหัว
จึงให้ผม ไปเป็นขุนนางเล็กๆ ในวัง ทำหน้าที่คัดหาบุคลากรเข้าทำงานในวัง ถือว่าเป็นการตอบแทน ที่ผมวางแผนให้มันเดินทัพเข้าเมืองหลวงได้ในคราแรก
ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอะไร แต่กลับรู้สึกโล่งใจเสียอีก เพราะตอนนี้ การเดินตามหลังตั๋งโต๊ะอันตรายยิ่งกว่าเดินกลางสมรภูมิ โดยไม่รู้ว่าจะตายวันตายพุ่งเมื่อไหร่ เพราะผลจากการที่มันทำการปลดฮ่องเต้หองจูเปียนอย่างอุกอาจ และตั้งหองจูเหียบขึ้นมาเป็นฮ่องเต้แทนพร้อมกับตั้งตัวเองเป็นผู้สำเร็จราชการแทนนั้น ย่อมสร้างความไม่พอใจให้กับบรรดาขุนนางน้อยใหญ่และเจ้าเมืองหัวเมืองต่างๆอยู่ไม่น้อย โดยต่างมองว่า ตั๋งโต๊ะคิดการใหญ่หวังจะเป็นฮ่องเต้เสียเองในอนาคต แม้ตอนนี้บรรดาเหล่าขุนนางจะไม่กล้าพูดอะไร เพราะเกรงกลังอำนาจตั๋งโต๊ะ แต่ลับหลังคนพวกนี้ก็ลอบกันสมคบคิดที่จะกำจัดตั๋งโต๊ะกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ชีวิตมันหลังจากนี้ก็คงหาความสงบสุขได้ยาก หลังจากนั้นไม่นานก็มีข่าว โจโฉ ลอบสังหารตั๋งโต๊ะ แต่ว่าไม่สำเร็จ โจโฉ จึงหนีออกจากเมืองไป แล้วถูกปิดประกาศนำจับ นั่นแสดงว่า ความชิงชังของพวกขุนนางอำมาตย์เริ่มรุ่นแรงมากขึ้นแล้ว
ผมได้ยินข่าว ก็อดส่ายหัวทอดถอนใจไม่ได้ คิดว่าตั๊งโต๊ะนั่นมีโอกาสวาสนาแล้ว แต่กลับไม่ทำให้ดี ไม่ตั้งตนให้อยู่ในธรรมให้คนเคารพนับถือ ทั้งยังไม่ซื้อใจคน ไม่เอาใจประชา คิดใจเร็วด่วนได้ แทนที่จะอยู่อำนาจได้นาน กลับอาจจะต้องสูญเสียไปทั้งหมด แม้ชีวิตก็จะรักษาไว้ไม่ได้
แล้วจากนั้นอีกไม่กี่เดือน โจโฉที่หนีไป ไปรวบรวมคนที่บ้านเกิด จากนั้นไปชักชวนอ้วนเสียว ทำราชโองการปลอม อ้างว่าเป็นราชโองการลับจากฮ่องเต้หองจูเหียบหรือพระเจ้าเหี้ยนเต้ เรียกผู้กล้าทั้งแผ่นดินเข้ามาปราบทรราชตั๋งโต๊ะ
ด้วยราชโองการปลอบฉบับนั้น ทำให้โจโฉและอ้วนเสี้ยวรวบรวมเจ้าเมืองที่เข้าร่วมได้ถึง 18 หัวเมืองและยังมี เล่าปี กวนอู และเตียวหุยเข้าร่วมด้วย ทั้งหมดกรีฑาทัพบุกเมืองหลวงลกเอี๋ยน
เมื่อตั๋งโต๊ะทราบ ก็รีบให้แม่ทัพฮัวหยงนำทัพไปสกัด ที่ด่านกิสุยก๋วน
ฮัวหยงจึงยกทัพประจันบานกับทัพหน้าพันธมิตร 18 หัวเมือง ฆ่านายทหารเอกฝีมือดีของฝ่ายพันธมิตรตายไปหลายคน แต่ในที่สุดก็ถูกกวนอูฆ่าตาย
ทัพพันธมิตรจึงฝ่าด่าน กิสุยก๋วนเข้ามาได้ ตั๋งโต๊ะจึงให้ลิโป้ออกทำศึก ลิโป้นำทัพยันทัพพันธมิตรอยู่ได้นาน ไม่มีใครอาจหาญต่อกรด้วย เพราะพอมีคนอาสาออกไปสู้ลิโป้ ก็ถูกลิโป้ฆ่าตายหมด จนทัพพันธมิตรไม่มีใครกล้าอาสาอีก แล้วนั้นจึงเกิดวีรบุรุษแห่งสวนท้อ ที่อาสาจะสู้ลิโป้ โดยออกมารุมยำลิโป้ แบบสามต่อหนึ่ง นั่นคือ เล่าปี กวนอู และเตียวหุย ทำให้ลิโป้สู้ไม่ได้ต้องถ่อยกลับเข้าแนวทหาร จากนั้นกองทัพพันธมิตรก็บุกโจมตีทัพลิโป้ทำให้ทัพลิโป้ต้องถอยกลับไปตั้งรับที่ด่านสุดท้ายก่อนถึงเมืองหลวง
ตั๋งโต๊ะเห็นเหลือที่จะรับมือ จึงย้ายเมืองหลวงหนีไปที่เมืองหลวงเก่าที่เมืองเตียนอัน โดยเกณฑ์คนทั้งเมืองอพยพตามไปด้วย แล้วเผาเมืองหลวงลกเอี๋ยนทิ้ง ลิโป้จึงตามไปสมทบที่เมืองเตียนอัน และวางกำลังป้องกันเมืองอย่างแน่นหนา
ส่วนทัพพันธมิตรนั้น พอเข้าเมืองลกเอี๋ยนได้ก็แตกคอกันเอง ทำให้ทัพพันธมิตรล่มสลาย ตั๋งโต๊ะเลยยังอยู่รอดมาได้
ในเมืองเตียนอันนั้น ตอนนี้ ชาวบ้านจำนวนมากถูกเกณฑ์มาใช้แรงงานเพื่อสร้างเสริมกำแพงประตูหอรบให้แข็งแรงแน่นหนาเพื่อป้องกันการรุกรานจากทัพพันธมิตร18หัวเมือง บางส่วนก็ถูกเกณฑ์ไปทำนาปลูกข้าวสร้างเสบียง หรือใช้แรงงานอื่นๆ เพื่อใช้ในการสงคราม เรียกว่าความเป็นอยู่ของประชาชนไม่ต่างกับทาส แต่ก็จะมีประชาชนบางส่วนที่ไม่ต้องตกอยู่ในสถานะนั้น นั่นก็คือประชาชนที่มีฐานะมีเงินที่ยอมมอบเงินสนับสนุนกองทัพแทนการถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงาน สภาพบ้านเมืองจึงถึงขั้นอเนจอนาถถึงที่สุด
ผมเองก็ยังถูกลดตำแหน่งลง กลายมาเป็นหัวหน้าคุมคนงานไปก่อสร้าง เรียกว่าขุนนางเล็กๆตำแหน่งใดไม่จำเป็นในยามนี้ ก็ถูกใช้งานให้ไปทำประโยชน์อย่างอื่นกันเสียหมด
ขณะที่ผมกำลังคุมคนก่อสร้างเสริมกำแพงอยู่นั้น ก็มีสตีนางหนึ่งแต่งชุดบู๊เลิศหรูขี่ม้าย่างเหยาะมา ที่ด้านหลังยังมีทหารตามหลังมาเป็นพรวน นางขี่ไปมาเหมือนตรวจดูงาน พอเห็นคนไหนทำงานชักช้าก็เอาแส้ฟาดโบ้ย
ในที่ตรงนี้เป็นเขตที่ผมคุมอยู่ ผมสั่งเด็ดขาดไม่ให้ทหารใช้กำลังกับแรงงานที่เกณฑ์มา แต่ใช้วิธีพูดคุยขอความร่วมมือร่วมแรง ชาวบ้านที่อยู่ในการคุมงานของผม เห็นความแตกต่างในการควบคุมงานที่ไม่โหดร้ายกับชาวบ้านเหมือนกลุ่มที่คุมงานอื่น ก็ให้ความร่วมมือเต็มที่ เพราะจะได้อยู่กับผมไม่ถูกส่งไปที่ทำที่อื่น
แต่จู่จู่กลับมีสตรีนางหนึ่งเที่ยวขี่ม้าฟาดโบยชาวบ้าน ทำให้ผมต้องรีบวิ่งไปห้าม เมื่อเข้าไปใกล้ กลับเห็นว่า เป็นตั๋งไป่ เด็กสาวที่ฝากรอยแผลเป็นไว้ที่หน้าผมนี่เอง ตอนนี้นางอายุได้ 15ปีแล้ว และเริ่มโตเป็นสาว
ผมพอเห็นหน้าก็นึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที พาลโมโหไปถึงตั๋งโต๊ะ เพราะตั๋งโต๊ะไม่ฟังคำผม ใจเร็วด่วนได้ จนเป็นเหตุให้หัวเมืองต่างๆ รวมหัวกันมาเล่นงาน จนทำให้ชาวบ้านต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ ยิ่งมาเห็นหลานสาวตัวดีของมันวางอำนาจทำร้ายชาวบ้านแบบนี้ ยิ่งโมโหใหญ่ พอเข้าไปถึงตัวก็ดึงแส้ออกจากมือนาง อย่างที่นางก็ไม่ทันตั้งตัว ตั๋งไป่ที่แรกตกใจ พอเห็นเป็นผมยิ่งตกใจใหญ่ ถึงกับพูดอะไรไม่ออก ทหารที่อารักขาตั๋งไป่เห็นแบบนั้นก็ขับม้ากันมาล้อมผมไว้ ตวาดว่า
“เจ้าทำอะไร ไม่รู้รึว่านางเป็นใคร”
ผมจึงร้องสวนว่า
“รู้ทำไมจะไม่รู้ แต่ที่นี่อยู่ในการดูแลของข้า ไม่ใช่ที่ที่ใครจะมาใช้อำนาจตามอำเภอใจ”
ทหารพลันเค้นเสียงดัง เฮอะ พูดว่า
“เจ้าเป็นแค่ขุนนางตัวเล็กๆ ไม่รู้จักที่ตำที่สูง กล้าพูดจาจาบจวงเยี่ยงนี้กับท่านหญิง ดูว่าเจ้าจะไปแก้ตัวยังไงกับท่านเสนา…. พวกเราจับตัวมันไว้”
ทหารพากันลงหลังม้า กรูเข้ามาจะจับตัวผม ไม่คาดว่า ตั๋งไป่ กลับสั่งให้หยุด พร้อมพูดว่า
“ช่างเถอะปล่อยมันไป”
แล้วนางก็กระตุกม้าหันกลับ ควบม้าวิ่งไป ทำให้ทหารพวกนั้นต้องรีบขึ้นม้าวิ่งตามไปด้วย
———————————————————————-