ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 3 งานประลองยุทธวันแรก

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 3 งานประลองยุทธวันแรก

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 3 งานประลองยุทธวันแรก
โดย zeech

ผ่านไปหลายชั่วยาม สติของเหม่ยเยี่ยฟื้นคืนมาอย่างสมบรูณ์ จุดที่ถูกสกัดไว้ก็คลายตัวออก
นางนอนหันหลังให้เฟยอี้ พลางใคร่ครวญถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วก็ส่งเสียงสะอื้นออกมา
เฟยอี้รู้สึกเวทนายิ่งนัก จึงพูดขึ้นว่า

“ข้า..ข้าพเจ้าผิดไปแล้ว ข้าขออภัยต่อท่านด้วย”

เหม่ยเยี่ยทั้งคลั่งแค้น และอับอาย นางนึกอยากจะฆ่ามันซะตอนนี้

“เจ้าเป็นใคร ใยจึงแปลงโฉมมาหลอกลวงข้า”

“ข้ามีชื่อว่า เฟยอี้ เป็นคนเร่ร่อน ไร้ที่พำนักแน่นอน ข้ามิได้ต้องการสิ่งใด
เพียงหวังแต่ได้ใกล้ชิดท่าน”

“ดี เมื่อเจ้าไม่มีญาติพี่น้องต้องคอยดูแล เจ้าก็สมควรตายซะบัดนี้”

พูดจบนางก็สลัดผ้าขึ้นคลุมร่าง ลอยตัวสูงขึ้นด้วยกำลังภายใน
ยกเท้าเตะไปที่เตียง ที่เฟยอี้นอนอยู่จนลอยกระเด็นไป
ร่างของเหม่ยเยี่ยลอยตามไปที่ร่างของเฟยอี้ที่กลิ้งไปกับพื้นห้อง นางใช้วิชากรงเล็บ
คว้าจับที่ลำคอของเฟยอี้ พลางจ้องมองหน้าของเฟยอี้อย่างโกรธแค้น น้ำตาของนาง
หลั่งไหลลงอาบแก้ม

เฟยอี้จ้องมองหน้าของนาง พลางพูดขึ้น

“ฆ่าข้าเสียเถิด แม่นางเหม่ยเยี่ย”

มันพูดแล้วก็ปิดเปลือกตาลง รอรับการปลิดชีวิตจากนาง

เหม่ยเยี่ยจ้องมองมันแล้วระลึกได้ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเกิดจากพิษยา
ของหมอวิปลาส ความจริงชายผู้นี้ก็ได้เข้าช่วยเหม่ยลี่ จนตัวมันต้องตก
เป็นเหยื่อเสียเอง นางจึงคลายกรงเล็บออก แล้วพูดขึ้นว่า

“ขอให้เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นความลับ หากวันใดมีผู้อื่นล่วงรู้เรื่องนี้
ข้าจะฆ่าเจ้า”

เฟยอี้ลุกขึ้นพลางพูดว่า

“ข้าคงไม่มีชีวิตยืนยาวนักหรอก แม่นางเหม่ยเยี่ย ท่านคลายกังวลได้”

เหม่ยเยี่ยหันมามองมัน

“เหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนั้น”

พลันเสียงของหมอวิปลาสก็ดังแทรกเข้ามา พร้อมกับร่างของมัน

“เพราะมันได้กินยาพิษหนอนไส้ขาดของข้าเข้าไป มันใช้ชีวิตของมัน
แลกเปลี่ยนไม่ให้ข้าแตะต้องตัวเจ้า”

เหม่ยเยี่ยหันมามองใบหน้าเฟยอี้นิ่งอยู่

“เอาล่ะ…เอาล่ะ…เจ้ากะล่อน ส่งมือของเจ้ามาให้ข้า”

หมอวิปลาสพูดพลางคว้าข้อมือของเฟยอี้ แล้วใช้สองนิ้วของมันวางแปะที่ข้อมือ
ของเฟยอี้อยู่ครู่นึง แล้วมันก็แผดเสียงหัวเราะออกมา พร้อมกับอุทานว่า

“ฮ่าๆๆ รวดเร็ว วิเศษยิ่งนัก เจ้านับว่ามีโชคอย่างยิ่ง”

แล้วมันก็คว้าข้อมือของเฟยอี้ให้เดินตามมันออกไปนอกห้องลับ พลางพูดขึ้นว่า

“เจ้ามีภาระใหญ่ตามสัญญาที่ให้ไว้กับข้า ดังนั้น ข้าจะถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับจุดต่างๆ
พร้อมกับวิชาตัวเบาเมฆาลอยล่องให้กับเจ้า ใช้เป็นเครื่องมือในการทำงานให้กับข้า”

เฟยอี้ส่ายหน้า พลางพูดว่า

“ท่านหมอ ข้าไร้พื้นฐานวรยุทธไม่สามารถรับการถ่ายทอดจากท่านได้
หากท่านจะกรุณา โปรดให้ยาแก้พิษแก่ข้าจะดีกว่า”

“หุบปากเจ้าซะ มีผู้ใดขอให้เจ้าออกความคิดเห็น จุดตันเถียนในตัวเจ้าถูกเปิดออกแล้ว
ด้วยยา เหมยฟ้ารัญจวนของข้า เมื่อครู่ข้าตรวจดูชีพจรของเจ้า พบสายพลังวัตรเดินสม่ำเสมอยิ่งนัก
เจ้านับว่ามีโชคอย่างประเสริฐ เจ้านั่งลงแล้วฟังสิ่งที่ข้าจะถ่ายทอดให้”

พูดจบ หมอวิปลาสก็เริ่มถ่ายทอดความรู้และตำแหน่งของจุดต่างๆ พร้อมกับกระบวนท่าจี้สกัดจุด
เมื่อเห็นว่าเฟยอี้สามารถใช้วิชาจี้สกัดจุดได้แล้ว มันก็ถ่ายทอดวิชาตัวเบา เมฆาลอยล่อง ให้กับเฟยอี้

เฟยอี้สามารถเรียนรู้และปฏิบัติตามได้อย่างรวดเร็วยิ่งนัก เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนที่ผ่านไป
เฟยอี้สามารถใช้วิชาตัวเบาเมฆาลอยล่องได้เสมือนกับฝึกฝนมาเป็นเวลาหลายปี

———————–

เหล่าศิษย์อารามชีบุปผาหยก และ สำนักเงาจันทรา ช่วยกันออกติดตาม เหม่ยเยี่ย
ทั่วทั้งเมืองชิงหลิง เยี่ยกุ้ยอิง ศิษย์เอกแห่งสำนักเงาจันทรา
และเป็นอาจารย์ของเหม่ยเยี่ย ก็ออกติดตามด้วยตนเอง พร้อมกับ เหม่ยผิงและ เหม่ยลี่
อย่างเป็นกังวลยิ่ง

เวลานัดการประลองยุทธในวันนี้ ก็ใกล้จะถึงเวลาเริ่มประลองแล้ว
แต่นางก็ยังค้นหาตัวศิษย์รักคนโตไม่พบ จนในที่สุด เหล่าศิษย์อารามชีบุปผาหยก
ก็ขอตัวแยกจากไป เพื่อเดินทางเข้าสู่ลานประลอง
ในขณะที่เยี่ยกุ้ยอิง และ ศิษย์ทั้งสองของนางกำลังอยู่ในช่วงลำบากใจอยู่นั้น
พลันก็ได้ยินเสียงมาจากเบื้องหลังของตน

“อาจารย์ อาจารย์หญิง ข้าพเจ้า เหม่ยเยี่ยอยู่ทางนี้”

นางเหลียวมองกลับไปมองเห็นใบหน้าของเหม่ยเยี่ย กำลังโบกมือให้ตนอยู่ก็ดีใจ
รีบตรงเข้าไปหาทันที เหม่ยผิง และเหม่ยลี่ ต่างก็ส่งเสียงเรียกชื่อพี่ใหญ่ แล้วโผตรงเข้าหา
เหม่ยเยี่ยอย่างดีใจ

“เหม่ยเยี่ย เจ้า…เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ เจ้าหมอวิปลาส มันอยู่ที่ไหน มันทำร้ายเจ้าหรือไม่”

เหม่ยเยี่ยยิ้ม แล้วสวมกอดอาจารย์หญิงของนางอย่างเอาใจ

“ข้าเป็นปกติดี ท่านไม่ต้องกังวล ”

เยี่ยกุ้ยอิง ลูบศรีษะศิษย์รักที่มีวัยไม่ห่างจากตนมากนัก อย่างรักใคร่ นางรักเหม่ยเยี่ยประดุจน้องสาว

“เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ก่อนอื่นเราต้องรีบเดินทางไปที่ลานประลอง ท่านเจ้าสำนักกำลังรอเจ้าอยู่”

นางพูดพลางเหลือบตาไปมอง หลิงหลิง ที่ยืนอยู่เบื้องหลังของเหม่ยเยี่ย
แล้วใช้สายตามองมาที่เหม่ยเยี่ย

เหม่ยเยี่ยจึงพูดขึ้นว่า

“ท่านอาจารย์ นี่คือ หลิงหลิง นางพลัดหลงกับบิดา และไร้ที่พักพิง นางเข้าช่วยเหลือ เหม่ยลี่
จนนางเองก็ถูกหมอวิปลาสจับตัวไปพร้อมกับข้า”

หลิงหลิง กระทำคารวะต่อ เยี่ยกุ้ยอิง แล้วพูดขึ้นว่า

“ขอคารวะท่านจอมยุทธหญิง ข้าน้อยไม่มีที่ไป ขอท่านจอมยุทธหญิงโปรดเมตตา”

เยี่ยกุ้ยอิงเอื้อมมือไปสัมผัสที่ไหล่ของ หลิงหลิง แล้วกล่าวว่า

“เจ้าพักพิงอยู่กับพวกเราได้ จนกว่าเจ้าจะพบกับบิดาเจ้า”

ทั้งห้า สนทนากันอยู่ตรู่นึง ก็เร่งออกเดินทางไปสู่ลานประลองในทันที

เมื่อถึงลานประลอง เยี่ยกุ้ยอิง ก็นำศิษย์ทั้งสามพร้อมกับหลิงหลิง เข้าไปพบกับ
เจ้าสำนักเงาจันทราลิ่มบ้อฮวย แล้วเล่าเรื่องที่ตนเองทราบมาจาก เหม่ยเยี่ยให้ทราบทุกประการ

เฟยอี้ในร่างของหลิงหลิงเฝ้าสังเกตใบหน้าของ เจ้าสำนักเงาจันทรา ก็คิดภายในใจว่า นางแม้มี
วัยที่มากแล้ว แต่ยังคงมีใบหน้าและทรวดทรงดุจเดียวกับสตรีที่มีวัยสามสิบปี และใบหน้าของ
นางช่างละม้ายกับเหม่ยเยี่ยยิ่งนัก

(ฮูหยิน ลิ่มบ้อฮวย เป็นม่ายสามีตายจากการประลองยุทธ เมื่อหลายปีก่อน
ตั้งแต่นั้นมานางก็มีบุคลิกเงียบขรึม ชาเย็น และเก็บตัวฝึกฝน เพลงกระบี่เงาจันทรา
และฝ่ามือจันทราสาดแสง ซึ่งเป็นวิชาที่ได้รับถ่ายทอดมาจาก
บิดาของนางเอง จนสามารถก่อตั้งสำนักเงาจันทรา จนมีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นที่ประจักษ์)

เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม ทุกสำนักต่างก็เดินทางมาถึงลานประลองกันอย่างคับคั่ง
เหม่ยลี่ และเหม่ยผิง ตื่นตาตื่นใจ กับผู้คนลักษณะแปลกๆที่มาร่วมงาน
ผลัดกันไถ่ถาม เยี่ยกุ้ยอิง อาจารย์ของนาง ถึงชื่อและที่มาของแต่ละสำนัก
เฟยอี้ก็รับฟังสิ่งที่ เยี่ยกุ้ยอิงเล่าให้ฟังอย่างสนใจ

เยี่ยกุ้ยอิงเล่าให้ศิษย์ของนางฟังว่า

“สำนักที่เป็นเจ้าภาพในการจัดงานในวันนี้ คือสำนักมังกรเขียว
มีท่าน เอี้ยงซิมตั๊ง เป็นประมุข และเป็นเจ้ายุทธในการประลองครั้งที่ผ่านมา
พลังปราณมังกรเขียว ของท่าน เอี้ยงซิมตั๊ง นับว่าร้ายกาจนัก ในการประลองครั้งที่ผ่านมา
ไม่มีชาวยุทธท่านใดต่อสู้กับท่านได้เกินยี่สิบกระบวนท่า

สำนักที่นั่งอยู่ด้านซ้ายสุด คือ อารามชีบุปผาหยก
มี ซือไท่แส้เหล็ก เป็นเจ้าสำนัก ฝีมือของนางนับว่าเป็นยอดฝีมือของยุทธภพ
นางสามารถใช้แส้ปัดของนางประดุจดังกระบี่ ร่ายรำเพลงกระบี่บุปผาหยก
สร้างชื่อในยุทธภพ ผู้คนจึงเรียกนางว่า ซือไท่แส้เหล็ก
ส่วนนักบวชหญิงสองนางที่ยืนอยู่ด้านหลังคือ ศิษย์เอกของนาง ฮุยหนิง และ ลี่จิน

ถัดมาจาก อารามชีบุปผาหยก เป็น จอมยุทธอั้งฮุ้นปัง เพลงกระบี่วรุณของท่าน
รวดเร็ว ว่องไว ไร้ช่องโหว่ นับเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าสะพรึงเป็นอย่างยิ่ง

ถัดจากท่าน อั้งฮุ้นปัง ก็เป็นสำนักทวนผดุงคุณธรรม มีท่าน เว่ยน่ำเทียน เป็นประมุข
วิชาทวนแหวกนภา 16 ท่าที่ร้ายกาจเป็นวิชาประจำสำนัก
บุรุษหนุ่มที่ยืนยิ้มมาให้พวกเจ้าคือ คุณชายแห่งสำนัก ทวนผดุงคุณธรรม
เว่ยฉิงคัง”

เยี่ยกุ้ยอิง พูดมาถึงตอนนี้ เหม่ยลี่ก็สอดขึ้นว่า

“ข้ามไปเถอะท่านอาจารย์ ไม่อยากทราบเรื่องของคนผู้นี้”

เฟยอี้ลอบยิ้ม มันเองก็ไม่ชอบหน้าคนผู้นี้เช่นกัน

นางชี้นิ้วไปยังกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งแล้วถามขึ้น

“แล้วนางที่แต่งกายชุดดำนั้น คือผู้ใด”

เยี่ยกุ้ยอิง มองตรงไปยังร่างสตรีที่ เหม่ยลี่พูดถึง แล้วพูดว่า

“นั่นคือ กิมเฮียกจื้อ มารแมงป่องทอง จัดได้ว่าเป็นชาวยุทธฝ่ายมาร
นางเชี่ยวชาญในการใช้พิษ เจ้าควรหลีกการปะทะกับสตรีผู้นี้”

เฟยอี้มองดู กิมเฮียกจื้อ อย่างครุ่นคิด ความจริงนางเป็นสตรีที่จัดได้ว่า
มีความงามผู้หนึ่ง ใบหน้าของนางคมเข้ม จมูกโด่งเป้นสันงาม ไม่เหมือน
ชาวจงหยวนทั่วไป เสียแต่ว่านางสวมใส่อาภรณ์ที่เศร้าหมองเกินไป
ใบหน้าของนางหากมีรอยยิ้มเจือปนอยู่บ้าง นางจะมีความงามเป็น
ที่ประจักษ์เป็นแน่

เยี่ยกุ้ยอิง ต้องหยุดการสนทนาลงเมื่อ ประมุขสำนักมังกรเขียว เอี้ยงซิมตั๊ง
ก้าวเดินออกมาสู่เลานประลองและกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยกำลังภายในที่ล้ำลึกว่า

“ข้าพเจ้า เอี้ยงซิมตั๊ง ในฐานะเจ้ายุทธ และเป็นเจ้าภาพในการจัดการประลองในครั้งนี้
ขอคารวะต่อทุกท่านที่ได้ให้เกียรติมาร่วมงาน ข้าขอประกาศให้เริ่มการประลอง
เพื่อหาเจ้ายุทธคนใหม่ ณ บัดนี้”

สิ้นคำประกาศ เอี้ยงซิมตั๊ง ก็นั่งลงในที่สำหรับผู้ที่เป็นเจ้ายุทธ

ศิษย์แห่งสำนักมังกรเขียวผู้หนึ่งก็ขึ้นมา แล้วเปล่งเสียงอันดังออกมาว่า

“ขอผู้ที่ต้องการประลอง จงก้าวขึ้นมาบนลานประลองแห่งนี้ หากผู้ใดมีชัยในการประลองเป็นคนสุดท้าย
ผู้นั้นจะได้ครองตำแหน่ง เจ้ายุทธ”

สิ้นสุดคำประกาศ บุรุษร่างใหญ่ เคราครึ้มดกดำ อยู่ในอาภรณ์แดงทั้งร่าง ถือกระบองเหล็กใหญ่ยาว
ก็ก้าวขึ้นมาบนลานประลอง

“ข้า เลาะฮวยกุ้น ขอท้าประลองพวกท่าน”

มันเหลียวหน้าไปมา พลันก็มีเสียงดังขึ้นจากเบื้องหลัง

“ฮ่าๆๆๆ ท่านแซ่เลาะ ข้าขอช่วยสงเคราะห์ท่าน”

สิ้นคำพูด บรุษร่างเล็กผอมบาง เส้นผมทั้งศรีษะขาวโพลน แต่ร่างกายมันยังอยู่ในวัยฉกรรจ์
ก็กระโดดขึ้นมาบนลานประลอง ในมือมันมีพู่กันเล็กสองด้าม

“ข้า ลี้ปวยฮ้ง เชิญท่านลงมือ”

เลาะฮวยกุ้น ทิ้งกระบองเหล็กของมันลงจากมือ พลันปรากฎโซ่เชื่อมโยงกระบองกับมือของมัน
มันกวัดแกว่งกระบองในมือ แล้วฟาดออกไป กระบองเหล็กของมันพุ่งแหวกอากาศตรงเข้ามา
ยังร่างของ ลี้ปวยฮ้ง อย่างรวดเร็ว ลี้ปวยฮ้ง ยกพู่กันเหล็กทั้งสองในมือของมันประสานรับ
แรงจู่โจมจากกระบองเหล็ก ผลักร่างของมันถึงกับไถลไปตามแรงของกระบองหลายเชี๊ยะ
มันใช้วิชา ถ่วงศิลาพันชั่งยึดขาทั้งสองของมันไว้ จนร่างมันหยุดนิ่งแล้วใช้พู่กันเหล็ก
ของมันปัดกระบองกระเด็นออกไป

แต่ เลาะฮวยกุ้น ดึงกระบองกลับ แล้วหวดมาอีกคราด้วยกำลังแรง คราวนี้ ลี้ปวยฮ้ง
เรียนรู้แนวทาง กระบองของมันแล้ว มันฟาดพู่กันเหล็กข้างนึงปัดกระบองออกไป
แล้วกระโดด ด้วยท่านางแอ่นเหิร ยกเท้าถีบใส่ร่างของ เลาะฮวยกุ้น

เลาะฮวยกุ้น ไม่สามารถปัดป้องได้ทัน โดนเท้าของ ลี้ปวยฮ้ง เต็มหน้าอก
ร่างของมันลอยตกเวทีไป

ศิษย์สำนักมังกรเขียว ออกมาประกาศให้ ลี้ปวยฮ้ง เป็นผู้ชนะ

ถัดจากนั้น เง็กฮู้เตียบ จอมยุทธ ดาบอ่อนผีเสื้อบิน
ก็ขึ้นมาท้าประลองเป็นคนต่อไป การประลองดำเนินไปเช่นนี้อยู่หลายคู่จนในที่สุด
สำนักทวนคุณธรรม ส่งคุณชาย เว่ยฉิงคัง ขึ้นมาประลอง และได้ชัย
ด้วยวิชา ทวนแหวกนภา สิบหกท่า

อารามชีบุปผาหยกจึงส่งศิษย์เอก ฮุ่ยหนิง ขึ้นมาท้าประลอง

“ข้า ฮุ่ยหนิง ศิษย์แห่งอารามชีบุปผาหยก ขอท้าประลองท่าน”

เว่ยฉิงคัง เป็นชายเจ้าชู้ เมื่อเห็นนักบวชหญิงที่มีความงามอย่าง ฮุ่ยหนิง
ก็อดที่จะใช้วาจาเกี้ยวไม่ได้

“แม่นาง ฮุ่ยหนิง ข้ามิอาจหักใจต่อสู้กับท่านอย่างจริงจังได้ ขอท่านยั้งไมตรีด้วย”

เฟยอี้ ในร่าง หลิงหลิง ทนมิได้ ก็เปล่งวาจาออกไป

“สุนัขตัวใด มาเห่าหอนในที่นี้ ขอท่านพี่ฮุ่ยหนิงช่วยสั่งสอน สุนัขตัวนั้นด้วย”

ฮุ่ยหนิงได้ยินดังนั้น ก็อดที่จะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้ รวมทั้งเหล่าชาวยุทธ
ณ ที่นั้นก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาเช่นกัน

เฟยอี้จ้องมองใบหน้าของ ฮุ่ยหนิงอย่างเลื่อนลอย เวลานางหัวเราะช่างงามจับหัวใจ
มันยิ่งนัก

เหม่ยลี่ และเหม่ยผิง ต่างก็ถูกใจวาจาของ หลิงหลิง ก็เข้าสวมกอดหลิงๆ
พร้อมกัน

“เจ้าพูดได้ดีมาก หลิงหลิง ถูกใจข้านัก”

ด้วยฤทธิ์ยา เหมยฟ้ารัญจวน เฟยอี้พร้อมที่จะมีอารณ์กำหนัดอยู่แล้ว ยิ่งมาถูกกระตุ้น
ด้วยร่างงามของดรุณีทั้งสองมาสวมกอด มันยิ่งต้องใช้ความสามารถในการข่มอารมณ์
เป็นอย่างยิ่ง และมันต้องหนาวไปถึงกลางสันหลัง เมื่อเห็นแววตาของ เหม่ยเยี่ยที่จ้องมอง
มาที่มัน ด้วยความโกรธ

ฮุ่ยหนิง ชักกระบี่ออกมาตั้งท่า บุปผาหยกเบ่งบาน อันเป็นกระบวนท่าที่หนึ่ง ของเพลง
กระบี่บุปผาหยก

ฉิงคัง ชักทวนสองท่อนที่เอวออกมา เตรียมพร้อมด้วยกระบวนท่า ทวนค้ำปฐพี
อันเป็นกระบวนท่าที่หนึ่งในสิบหกกระบวนท่า ของทวนแหวกนภาเช่นกัน

ฮุ่ยหนิง มองเห็นช่องโหว่ท่าตั้งรับของ ฉิงคัง จึงเสือกกระบี่แทงออกไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว
ฉิงคัง เบี่ยงหลบคมกระบี่ แล้วยกทวนสองท่อนขึ้นรับ พลางหมุนตัวย้อนทางแนวกระบึ่
หวังจี้สกัดจุดไปที่ร่างของ ฮุ่ยหนิง อย่างรวดเร็วเช่นกัน ฮุ่ยหนิง ถอยเท้ากลับสองสามก้าว
แล้วกระโดดข้ามร่างของ ฉิงคัง นางหย่อนตัวลงที่พื้นพร้อมกับ แทงกระบี่ออกไป
ด้วยกระบวนท่าบุปผาหยกร่วงโรย ปลายกระบี่ของนางจ่อเข้าที่ลำคอ ของ เว่ยฉิงคัง

ฮุ่ยหนิงมีชัยต่อ เว่ยฉิงคัง อย่างง่ายดาย

ทันทีที่ประกาศว่า ฮุ่ยหนิง เป็นผู้ชนะ สตรีในอาภรณ์สีดำทั้งร่างก็ทะยานขึ้นมาบน
ลานประลอง นางคือ กิมเฮียกจื้อ มารแมงป่องทอง

(กิมเฮียกจื้อ เดิมเป็นบุตรสาวพ่อค้าชาวเปอร์เซีย ที่เข้ามาค้าขายในจงหยวน
แล้วถูกโจรปล้นฆ่า ตัวนางหนีรอดออกมาได้แล้วเดินทางกลับไปเปอร์เซีย
นางได้รับการอุปการะ จากคนในลัทธิเบญจธาตุแห่งเปอร์เซีย จนมีความเชี่ยว
ชาญเรื่องการใช้พิษ นางกลับมาจงหยวนอีกครั้ง เพื่อแก้แค้น ชาวจงหยวน
ด้วยการใช้พิษทำร้ายคน จนได้ฉายาว่า มารแมงป่องทอง )

กิมเฮียกจื้อ ยืนถือกระบี่นิ่งอยู่มิเอ่ยวาจาใดๆ ฮุ่ยหนิงจึงร้องออกไปว่า

“ท่านมีนามว่าอะไร”

กิมเฮียกจื้อ จ้องมองไปที่ ฮุ่ยหนิง แล้วกล่าวว่า

“ชื่อของข้า หามีประโยชน์กับคนตายไม่ ลงมือ”

กิมเฮียกจื้อ ลอยตัวขึ้นบนอากาศ พุ่งปลายกระบี่ตรงไปยังร่างของ ฮุ่ยหนิง
ฮุ่ยหนิง ฟาดฟันกระบี่ปัดป้อง แล้วแทงสวนออกไป กิมเฮียกจื้อ ม้วนตัวกลับ
หย่อนปลายเท้าลงสู่พื้น แล้วก้าวสวบไปยังร่างของฮุ่ยหนิง พร้อมปลายกระบี่

เงากระบี่วาววับผ่านหน้าฮุ่ยหนิงไปอย่างหวุดหวิด ฮุ่ยหนิงใช้กระบวนท่า
บุปผาหยกลอยล่อง จู่โจมกลับ เสียงกระบี่กระทบกันดังรัวถี่ ผู้คนที่จ้องดูการประลอง
ต่างตะลึงค้าง ในความว่องไวและคล่องแคล่วในการใช้กระบี่ของทั้งคู่

กิมเฮียกจื้อ เริ่มตกเป็นฝ่ายตั้งรับ เมื่อฮุ่ยหนิง จู่โจม ด้วยกระบวนท่าใน
เพลงกระบี่บุบผาหยกอย่างต่อเนื่อง จนนางต้องกระโดดม้วนตัวถอยหลัง
หนีคมกระบี่ ฮุ่ยหนิงทะยานร่างตามติด ด้วยกระบวนท่าร้อยบุปผาลอยลม
ซึ่งเป็นท่าไม้ตายของนาง แต่ก็ต้องม้วนตัวกลับอย่างกระทันหัน เมื่อเงาสะท้อน
วาววับจากสิ่งเล็กนับสิบชิ้น ลอยออกมาจากมือ กิมเฮียกจื้อ มันคือ เข็มพิษแมงป่องทอง
ฮุ่ยหนิงใช้กระบี่ปัดป้อง พลางม้วนตัวกลับกลางอากาศ จนเสียหลัก ล้มกลิ้งเกือบตกจาก
เวทีประลอง

กิมเฮียกจื้อ เห็นเป็นโอกาสงาม จึงลงมืออย่างโหดเหี้ยม ซัดเข็มพิษแมงป่องทอง
ออกมาอีกครั้ง

พลันปรากฎเงาร่าง ร่างนึงลอยตัวเข้ามาอย่างว่องไว ยืนสกัดเข็มพิษนั้นไว้
มิให้ถูกร่างของฮุ่ยหนิง เข็มพิษนับสิบเล่มพุ่งปักเข้าที่ร่างของมันทั้งหมด ร่างร่างนั้นคือ หลิงหลิง

เฟยอี้ในร่างของ หลิงหลิง ในตอนที่เห็น กิมเฮียกจื้อ กำลังจะซัดเข็มพิษมาที่ร่าง ฮุ่ยหนิงนั้น
พลันกำลังวัตรของมันก็พุ่งขึ้นมาตามใจปราถนา ทะยานร่างออกมาด้วยวิชา เมฆาลอยล่อง
ว่องไวปาน ภูติผี เข้าขวางเข็มพิษเหล่านั้นด้วยความคิดเพียงชั่วลมหายใจเท่านั้น

หลิงหลิง ทรุดกายลงกับพื้น ร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด ร่างของหลิงหลิง ค่อยๆกลับ
กลายเป็นสีม่วงคล้ำอย่างน่ากลัว ฮุ่ยหนิงเห็นดังนั้นก็ตรงเข้าประคองร่างของ หลิงหลิง ไว้

กิมเฮียกจื้อมองไปที่ร่างของ หลิงหลิง ด้วยตาที่ดุดัน แล้วพูดขึ้นว่า

“เจ้าสมควรตาย มิใช่กิจธุระที่เจ้าควรมาสอด”

ฮุ่ยหนิง ได้ยินดังนั้นก็โกรธ

“เจ้ามันไร้ยางอาย ใช้อาวุธต่ำช้า ลอบจู่โจมผู้อื่น เจ้ามิควรได้รับเกียรติ
ให้มายืนบนลานประลองแห่งนี้”

สิ้นคำ ฮุ่ยหนิงก็ทะยานร่างเข้าจู่โจมใส่ กิมเฮียกจื้อ ด้วยความโกรธ

เฟยอี้ในร่าง หลิงหลิงยันกายลุกขึ้นนั่ง คิดถึงวิชาจี้สกัดจุดที่ได้รับถ่ายทอดจาก
หมอวิปลาส แล้วรวบรวมกำลังภายในของตนเข้าที่ปลายนิ้ว จี้สกัดจุดตัวเอง ตาม
ส่วนต่างๆของร่าง แล้วเดินพลังวัตรให้ไหลเวียนไปตามจุดสำคัญในร่าง เพียงชัวครู่
พิษของ เข็มพิษแมงป่องทอง ก็ไหลออกจากมาจากปากของมันเป็นน้ำสีดำคล้ำ

ร่างของหลิงหลิง กลับมีผิวกายเป็นปกติ แล้วลุกขึ้นยืนเหมือนไม่เกิดสิ่งใดขึ้น
ชาวยุทธที่ล้อมดูการประลอง ต่างตกตะลึงส่งเสียงฮือฮา เป็นเวลาเดียวกับที่
ฮุยหนิง ซัดฝ่ามือเข้าใส่ร่าง กิมเฮียกจื้อ จนลอยตกเวทีไป

กิมเฮียกจื้อ ยันกายลุกขึ้น เพ่งมองไปที่ร่างของหลิงหลิง อย่างโกรธแค้น
นางแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าจะมีผู้ใดรอดพื้นจากพิษของนางได้
นางเกิดความอาฆาต ต่อหลิงหลิง และมิอาจปล่อยให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้
มิเช่นนั้น ชื่อเสียงของนางจะต้องเสื่อมความน่าเกรงขามลงเป็นแน่
กิมเฮียกจื้อ เดินจากไปจากลานประลองด้วยท่าทีสงบ ไม่พูดคำใดอีก

ฮุ่ยหนิงลงมาจากลานประลอง แสดงความขอบคุณต่อ หลิงหลิง
แล้วพา หลิงหลิง มาทำความคารวะต่อ ซือไท่แซ่เหล็กและทำความรู้จัก
กับ ลี่จิน ศิษย์ผู้น้อง

และแล้ว ศิษย์แห่งสำนักมังกรเขียว ก็ประกาศหยุดการประลองในวันนี้
แล้วให้เริ่มทำการประลองใหม่ในวันรุ่งขึ้น

ฮูหยิน ลิ่มบ้อฮวย เยี่ยกุ้ยอิง เหม่ยเยี่ย เหม่ยผิง และเหม่ยลี่ เดินเข้า
มาหาหลิงหลิง ร่วมพูดคุยสอบถามอาการของหลิงหลิง
ซือไท่แส้เหล็ก ก็สอบถามต่อ ฮูหยิน ลิ่มบ้อฮวยว่า

“ศิษย์ของท่านผู้นี้ วิชาตัวเบา และการสกัดจุด เลอเลิศนัก ข้าผู้เฒ่า
ได้เปิดหูเปิดตาในวันนี้แล้ว”

ฮูหยิน ลิ่มบ้อฮวย ทำคารวะต่อ ซือไท่แส้เหล็ก แล้วกล่าวว่า

“มิได้ ซือไท่ นางมิได้เป็นศิษย์ของข้า นางเป็นสหายกับศิษย์ข้าเท่านั้น”

“อ้อ เป็นเช่นนั้น”

ซือไท่แส้เหล็ก กล่าวแล้วหันไปมองหลิงหลิง

“เด็กน้อย ผู้ใดเป็นอาจารย์เจ้า”

“ขออภัย ซือไท่ ข้าน้อยรับปากกับ ผู้เป็นอาจารย์ มิสามารถเปิดเผยชื่อของท่านได้”

ซือไท่แส้เหล็ก พยักหน้าหลายครั้ง

“ถ้าเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร”

—————

ตกค่ำทุกสำนักต่างเข้าที่พัก ตามที่สำนักมังกรเขียวได้จัดไว้ให้
แต่ละห้องพักร่วมกันสองคน ข้างฝ่ายสำนักเงาจันทรา ฮูหยิน ลิ่มบ้อฮวย อยู่ร่วมกับ
เยี่ยกุ้ยอิง อีกสองห้องที่เหลือ เหม่ยเยี่ยเป็นผู้จัดแจงให้ ตัวนางเอง เหม่ยผิง
และเหม่ยลี่ นอนร่วมกันสามคน แม้ว่าเหม่ยลี่จะคัดค้านขอไปนอนกับ หลิงหลิง เพียงใดก็ตาม
แต่ เหม่ยเยี่ยก็ไม่ยินยอม อีกห้องนึงจึงมีเพียง หลิงหลิง นอนเพียงผู้เดียว

เวลาล่วงเลยจนดึกสงัด กิมเฮียกจื้อ ยังคงรุ่มร้อนด้วยแรงอาฆาตต่อหลิงหลิง
นางลอบเข้ามา สังเกตุการณ์ตั้งแต่หัวค่ำ จนรู้ว่า หลิงหลิง พักอยู่เพียงลำพังในห้อง
นางใช้วิชาตัวเบาลอบเข้ามาถึงหน้าห้อง แล้วเจาะรูพ่นควันพิษเข้าไปในห้อง

ข้างฝ่ายเฟยอี้ ถึงแม้ว่าจะยังไม่ถึงกำหนดที่พิษของ เหมยฟ้ารัญจวนจะกำเริบ
แต่การที่ถูกเหม่ยเยี่ยกีดกัน ไม่ให้นอนร่วมห้องกับน้องสาวของนาง ทำให้มัน
ครุ่นคิดถึงคืนที่มันได้นอนร่วมกับ เหม่ยลี่ เท่ากับไปกระตุ้นให้พิษกำเริบขึ้น
จนมันร้อนรุ่มไปทั้งร่าง และนอนไม่หลับ เมื่อได้กลิ่นควันพิษกระจายเข้ามาในห้อง
ทำให้มันหายใจติดขัด เฟยอี้ตัดสินใจจี้สกัดจุดตัวเอง ป้องกันพิษไว้

กิมเฮียกจื้อ พ่นควันพิษเข้าไปในห้องแล้วก็ต้องการตรวจดูว่า หลิงหลิง ตายหรือไม่
จึงถอดสลักประตูแล้ว เข้าห้องไป นางพบร่างของหลิงหลิง นอนอยู่บนเตียงนิ่ง
นางจึงลอบเอามืออังที่ปลายจมูกของหลิงหลิง พลันเฟยอี้ในร่างของ หลิงหลิง
ก็จี้สกัดจุดไปที่ร่าง กิมเฮียกจื้อ ร่างของนางหยุดนิ่งไม่ไหวติง คงเหลือเพียง
แต่ดวงตา และ วาจาเท่านั้นที่ยังเป็นอิสระ

“นางคนรับใช้ คลายจุดให้ข้าเดี๋ยวนี้ หากเจ้าไม่อยากทรมานไปจนตาย”

เฟยอี้เดินตรงไปปิดประตู พลางคิดภายในใจ

“นางคนนี้ก็ไม่ใช่คนดี ทั้งยังมุ่งหมายชีวิตเรา เราควรจะนำนางไปให้ท่านหมอ
เพื่อแลกกับยาถอนพิษจะดีหรือไม่”

กิมเฮียกจื้อ แผดเสียงออกมาอีก

“เจ้าหูหนวกหรือไร ข้าบอกให้คลายจุดให้ข้า”

เฟยอี้แสร้งทำเป็นหูหนวก เดินสำรวจรอบตัวนาง แล้วยื่นใบหน้าเข้ามองใบหน้าของนางใกล้ๆ

ใบหน้าของนางขาวอมชมพู ดวงตาของนางคมโต ขนตาดกงอน จมูกนางโด่งเป็นสันงาม
รับกับริมฝีปากอวบอิ่ม เฟยอี้ตระหนักได้ทันทีว่า กิมเฮียกจื้อ เป็นสตรีที่มีความงามมาก
งามแบบธรรมชาติของคนเปอร์เซีย เพียงแต่ใช้อาภรณ์สีคล้ำ ปกปิดความงามของนางไว้เท่านั้น

เฟยอี้เอื้อมมือดึงผ้าคลุมศรีษะของนางออก มวยผมสลวยยาวดกดำก็ตกลงมา รับกับใบหน้างาม
ผุดผ่องของนางยิ่งนัก เฟยอี้ถึงกับหยุดตะลึงมองอยู่พักใหญ่ จนได้ยินเสียงของนางตวาดออกมา

“เจ้ามัวทำอะไร คลายจุดให้ข้าเดี๋ยวนี้”

เฟยอี้คิดคำนึงในใจ

“นางงามออกปานนี้ หากนำไปให้ท่านหมอ จะเสียเปล่า เราควรจะเชยชมนางเสียก่อน
เห็นจะดี”

เฟยอี้เดินตรงไปช้อนร่างของนางไว้ในอ้อมแขน แล้ววางร่างของนางลงบนเตียง

แล้วตัวมันก็ล้มตัวลงนอนเคียงข้าง มันโอบแขนรัดร่างนางไว้แล้วจุมพิตที่พวงแก้ม
ของ กิมเฮียกจื้อ นางรู้สึกงงงัน ทำตัวไม่ถูก นางไม่เข้าใจว่าเหตุใด หลิงหลิง
จึงมีกิริยาเช่นนี้

กลิ่นหอมจากแก้มสาวงาม กระตุ้นให้ราคะของเฟยอี้กำเริบขึ้นมาอีก มันใช้ปากของมัน
ดอมดมไปทั่วใบหน้าของนาง

“เจ้าทำอะไรของเจ้า อย่ามาทำวิปริตกับข้านะ หากข้ารอดไปได้ เจ้าตายแน่ๆ”

เฟยอี้ไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้น มันคิดเพียงแต่จะปลดเปลื้องราคะที่กำเริบขึ้นในยามนี้
มันเริ่มเปลื้องผ้าของนางออก กิมเฮียกจื้อ ส่งเสียงด่าทอไม่หยุดปาก แต่มันเหมือนหูหนวก
เฟยอี้จ้องมองดูทรวงอกงาม ของสาวงามเปอร์เซียอย่างตะลึงงัน ทรวงอกคู่นั้นไม่เพียง
แต่งดงาม แต่มีขนาดที่ใหญ่และเต่งตึงมาก มันชวนให้สัมผัสแตะต้องยิ่งนัก เฟยอี้ใช้
สองมือของมัน บีบขยำทรวงอกทั้งสองข้างของนางอย่างหื่นกระหาย

กิมเฮียกจื้อ ด่าทอไม่หยุดปาก แต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย นางคิดแต่เพียงว่าหากรอดไปได้
จะฆ่า สตรีลักเพศผู้นี้ซะ และแล้วนางก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อหลิงหลิง อ้าปากงับที่ทรวงอก
แล้วดูดกินอย่างกระหาย แรงดูด และปลายลิ้นของ หลิงหลิงที่ตวัดไปมา ทำให้นางเกิดความเสียวซ่าน
อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นางไม่ทราบว่ามันคืออะไรแต่นางรู้สึกเป็นสุขที่ ปลายลิ้นของหลิงหลิง
มาสัมผ้สโลมไล้ที่ยอดถันนั้นจนเผลอส่งเสียงครางออกมา

แต่แล้ว นางก็ต้องสะดุ้งอีกครั้ง เมื่อฝ่ามือของหลิงหลิง เลื่อนไหลผ่านหน้าท้องลงไปเกาะกุม
ที่เนินเนื้อแห่งความเป็นหญิง นิ้วของหลิงหลิง ชอนไชเข้าไปถูไถที่ร่องกลางเนินสวาท
แล้วกดหายเข้าไปจนสัมผัสกับติ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในร่องหลืบนั้น หลิงหลิงรัวไปนิ้วไปมา
ที่ติ่งนั้นไม่หยุด กิมเฮียกจื้อ ถึงกับทนนิ่งอยู่กับที่ไม่ได้ ส่งเสียงครางออกมาอย่างเคลิบเคลิ้ม

เฟยอี้ เปลื้องอาภรณ์ของ กิมเฮียกจื้อ ออกจนหมด เหลือเพียงร่างงามระหง อวบอัด ขาวผุดผ่อง
ปรากฎต่อสายตา มันหายใจหอบถี่ด้วยราคะที่กำเริบอย่างรุนแรง เฟิงอี้ตรงเข้าจับเรียวขาของ
กิมเฮียกจื้อ แยกออก แล้วซุกไซ้ใบหน้าลงไปลิ้มรสเนินสวาทของนางอย่างหื่นกระหาย
มันลากลิ้นวนรอบกลีบสวาททั้งสองข้าของนางไปมา แล้วเกร็งปลายลิ้นสอดลงในร่อง
พร้อมกับดูดกินอย่างรุนแรง

“อ๊ายยยยยยย…..อ๊ายย….ข้าไม่ไหวแล้ว…..อูยยยยยยยย”

ใบหน้าของ หลิงหลิง ที่ซุกไซ้เนินสวาทอยู่นั้นเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ แห่งความเสียวซ่าน
ของนาง

กิมเฮียกจื้อ ทั้งเหนื่อย และเสียวซ่านจนเกร็งแข็งไปหมดทั้งหน้าท้องของนาง
ตั้งแต่เกิดมา นางไม่เคยรับรู้ถึงรสกามราคะมาก่อน มันค่อยๆก่อตัว แล้วขยายใหญ่
ดุจดั่งระลอกคลื่น แล้วก่อตัวใหม่อีกครั้ง อย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดนางก็ถึงจุดสิ้นสุด
ที่รอคอย เมื่อ หลิงหลิง ใช้ปากดูดที่ติ่งนั้นอย่างรุนแรงติดๆกัน นางผวาเฮือก ส่งเสียง
ดังออกมา แล้วสั่นกระตุกไปทั้งร่าง นางรู้สึกเป็นสุข เคลิบเคลิ้ม คล้ายเลื่อนลอยอยู่ในสวรรค์

นางหายใจหอบ อย่างเหนื่อยอ่อน แล้วเปิดตาขึ้นดูก็พบว่า หลิงหลิงแทรกตัวเข้ามา
ในหว่างขาของนาง แล้วเปลื้องผ้าส่วนล่างออก นางตกใจตาเบิกกว้าง
เมื่อเห็นแก่นกายแห่งความเป็นชาย อยู่ที่ร่างของหลิงหลิง นางถึงกับอุทานออกมา
อย่างตกใจ

“เจ้า…เจ้า..ไฉนถึงมี…..”

เฟยอี้ จับแก่นกายของมันจ่อไปที่เนินอันโหนกนูนของ กิมเฮียกจื้อ แล้วแทรกส่วนหัวลงไป
ในช่องสวาทของนาง

[post]”อย่า…อย่า…อู้วววว……….”

เฟยอี้ดันแก่นกายของมัน ทะลวงผ่านพรหมจารีของนางเข้าไปจนสุดลำ
โดยไม่ฟังคำห้าม มันใช้มือจับเอวที่ขอดกิ่วของนางไว้อย่างมั่นคง
แล้วดันส่วนล่างของมัน เข้า และ ออกอย่างหนักแน่น เนิบนาบ
กิมเฮียกจื้อ รับความเสียวซ่านที่ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้มันเกิดขึ้นระลอกใหญ่
ความเจ็บที่ถูกทำลายความบริสุทธิ์ หมดสิ้นไป คงเหลือแต่ความหฤหรรษ์ในรสกาม

“ซี๊ดดดดด……อูยยยยย………อูยยยย”

เฟยอี้รับความรู้สึก หนึบแน่นไปทั้งลำแก่นกาย โพรงสวาทของนางเกิดอาการ
ตอบโต้ ตอดรัดแก่นกายของมันให้หมดทางต่อสู้ มันจึงจำเป็นต้อง เร่งจังหวะ
กระแทกกระทั้น เพื่อให้ถึงจุดหมาย กิมเฮียกจื้อ ร้องครวญครางคล้ายดังเจ็บปวด
จนในที่สุด มันก็ส่งเสียงคำรามลั่นออกมาอย่างสุขสม ผสานกับเสียงร้องของ กิมเฮียกจื้อ
ธารน้ำรักของมันก็พรั่งพรูออกมาจนเต็มโพรงสวาทของนาง มันฟุบร่างลง บนร่างของนาง
อย่างสุขสม

—————————-

Share the Post:

Related Posts

เสียตัวแลกเงิน ยังไงก็คุ้ม

เรื่องเสียว เสียตัวแลกเงิน ยังไงก็คุ้ม “มาเป็นเมียฉันสิ เดี๋ยวฉันจะให้เงินเธอเอง” นั่นคือคำพูดของคุณผู้ชายของบ้านหลังนี้ที่พูดกับฉัน เรื่องเสียวคือสิ่งที่เขานั้นต้องการ สำหรับฉัน การโดนเย็ดไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลยจริง ๆ ที่ฉันมองก็คือเรื่องเงิน เพราะว่าที่ฉันต้องย้ายออกจากบ้านนอกเข้ามาที่เมืองกรุง มาเป็นแม่บ้าน หรือที่ผู้ดีเขาเรียกกันว่าคนใช้มันก็เพราะเงิน ฉะนั้น อาชีพที่ถูกมองว่าต่ำต้อยอย่างฉันนั้น ไม่เห็นจะต้องสนใจเรื่องพวกนั้นเลย ศักดิ์ศรีเหรอ ร่างกายเหรอ ไม่มีทางหรอกที่ฉันจะมีมัน

Read More

จากครูฝึกสอน กลายเป็นครูฝึกเสียว

เรื่องเสียว จากครูฝึกสอน กลายเป็นครูฝึกเสียว ฉันมั่นใจว่าเรื่องเสียวครั้งนั้น ต่อให้ฉันจะเติบโตหรือว่าแก่ตัวลงก็ไม่มีทางลืมมันไปแน่นอน ขนาดนี้ตอนนี้ ผ่านมาราว ๆ 10 ปีแล้ว แต่เวลานึกถึงทีไหร่ ประสบการณ์เสียวครั้งนั้นมันก็ทำให้ฉันเงี่ยนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้จริง ๆ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบางครั้ง ฉันเองก็ช่วยตัวเองไปพร้อม ๆ กับนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ตอนที่ฉันเรียนมัธยมปลาย ที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ด้วยความสามารถทางด้านกีฬาของฉัน

Read More