ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 1 โจรน้อยแห่งเขาแปดกระโหลก
ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 1 โจรน้อยแห่งเขาแปดกระโหลก
โดย zeech
ในยุคสมัยต้นราชวงศ์หยวน เป็นยุคที่บู๊ลิ๊มเฟื่องฟูถึงขีดสุด ก่อเกิดสำนักยุทธต่างๆขึ้นมากมาย
แต่ละสำนักก็ก่อเกิดผู้ทักษะยุทธ และแย่งชิงความเป็นหนึ่งกันในเชิงยุทธ แต่ในยุคนั้นก็มีอัจฉริยะบุคคล
ที่ได้รับการยอมรับว่ามีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุดในบู๊ลิ้ม จนได้สมญานามว่า “ห้าเซียนเทพยุทธ” ได้แก่
ลำดับที่ หนึ่ง ทิกุ้ยชิ้ว ฉายา หัตถ์เทพอสูร เจ้าของวิชา ฝ่ามือสุญญตา
ถูกนับเป็นหนึ่งในบู๊ลิ้มในด้านพลังฝ่ามือ ฝ่ามือสุญญตา ใช้วิธีโคจรพลังปราณสุญญตา
รวบรวมไว้ที่ฝ่ามือ แล้วปล่อยออกไป พลังฝ่ามือ รุนแรง เกรี้ยวกราด ดุดัน ว่ากันว่า พลังฝ่ามือสุญญตา
สามารถทำลายแผ่นหินหนา หนึ่ง เชี๊ยะให้พลังทลายลงได้ในพริบตา
ลำดับที่ สอง จางหย่งจง ฉายา ผู้เฒ่าเงาภูติ เจ้าของวิชา หมื่นแปรเปลี่ยน
ถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในด้านกระบวนท่ายุทธ ท่าร่างคล่องแคล่ว ว่องไว
คล้ายล่องหน กระบวนท่าไร้รูปแบบ ผันแปรต่อเนื่องประดุจสายน้ำ บางครั้งจริง บางครั้งเท็จ
บางครั้งรุนแรง บางคราพริ้วไหว จู่โจมทุกครั้งเข้าจุดตาย
จางหย่งจง เป็นเต้าหยินที่รักอิสระ อยู่ไม่เป็นที่ มีนิสัยประหลาดไม่ชอบระเบียบแบบแผนใดๆ
จึงมักซ่อนกายสงบ ไม่ยุ่ง
เกี่ยวกับยุทธภพ
ลำดับที่ สาม หลงจินหู่ ฉายา บัญฑิตไร้ใจ เจ้าของวิชา เจ็ดกระบี่ปลิดชีพ
กระบวนยุทธมีเพียงเจ็ดกระบวนท่ากระบี่ แต่ทุกกระบวนท่าล้วน โหดเหี้ยม อำมหิต
รวดเร็วประหนึ่งสายฟ้า ใช้ความรวดเร็ว ว่องไว ส่งรังสีพิฆาต จนคู่ต่อสู้ไม่สามารถตั้งกระบวนท่าตั้งรับได้ทัน
เวลาที่หลงจินหู่ใช้อาวุธ จะไม่มีใครได้เห็นแม้เงากระบี่ของมัน มีคำเล่าลือว่า ผู้ที่เห็นรังสีกระบี่ของมัน
คือผู้ที่ตายไปแล้ว
ลำดับที่ สี่ หลวงจีนหลี่เต๋อ ฉายา หลวงจีนเทวดา เจ้าของวิชา ยูไลพันกร
กำลังภายในล้ำเลิศ กระบวนท่าฝ่ามือพลิกแพลงพิศดาร ทั้งรวดเร็วและต่อเนื่อง ไร้ช่องโหว่
โจมตีด้วยพลังฝ่ามือพร้อมกับการเคลื่อนที่ของท่าร่างจนดูประหนึ่งมีพันมือเข้าโจมตี
หลวงจีนหลี่เต๋อ เคยประลองยุทธกับ ทิกุ้ยชิ้ว เพื่อชิงความเป็นหนึ่งในด้านวิชาพลังฝ่ามือ
ไม่มีผู้ใดทราบผลการประลองในครั้งนั้น และทั้งคู่ก็หายสาบสูญไปตั้งแต่นั้นมา
ลำดับที่ ห้า หานไป๋เจี้ยน ฉายา เทพกระบี่ขาว เจ้าของวิชา กระบี่เทพวายุ
ได้รับการยอมรับให้เป็นอันดับหนึ่งในด้านวิชากระบี่ ท่องบู๊ลิ๊มโดยใช้กระบี่ศิลาขาว
สยบยอดฝีมือมาทั่วหล้า ด้วย สิบหกกระบวนท่ากระบี่เทพวายุ ทั้งยังมีวิชาตัวเบาเป็นเลิศ
พลังฟาดพันรุนแรงและรวดเร็วซับซ้อน จนดูเหมือนมีนับสิบกระบี่เข้าโจมตี พร้อมกัน
เล่าลือกันว่า หานไป๋เจี้ยน เคยท้าประลองกับ หลงจินหู่ จากนั้นทั้งคู่ก็หายสาบสูญไปจากยุทธภพเช่นกัน
—————-
กลางเมืองชิงหลง คราคร่ำไปด้วยผู้คนสัญจร เนื่องด้วยในอีกสามวันข้างหน้าจะมี
งานประลองยุทธประจำปี ทีสำนักมังกรเขียว ชาวยุทธหลายสำนักต่างจับจองโรงเตี๊ยม
กันอย่างคับคั่ง ข้างล่างโรงเตี๊ยมเป็นลานกว้างเปิดโล่ง โต๊ะรับรองทุกตัวต่างถูกนั่งจนเต็ม
เฟิงอี้ เด็กหนุ่มวัยสิบสี่ปี กำลังลอบมองที่โต๊ะของดรุณีสามนาง แต่งตัวเป็นชาวยุทธ
กำลังกินอาหารและพูดคุยหยอกล้อกัน มันมองที่ห่อผ้าที่วางอยู่ข้างกายของดรุณีอาภรณ์ม่วง
นางหนึ่งอายุราวสิบหกปี อีกสองนางที่นั่งร่วมโต๊ะกับนางนั้นดูอ่อนวัยกว่าราวสองปี
เฟิงอี้มีความเชี่ยวชาญในวิชาแปลงโฉม มันได้วิชานี้มาจากหมู่โจรในหุบเขาแปดกระโหลก
ที่มันใช้เป็นที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่เล็กจนโต ครานี้มันกลับแปลงโฉมเป็นดรุณีน้อยเดินเข้าไปที่โต๊ะ
ของเถ้าแก่เจ้าของโรงเตี๊ยม
“ท่านเถ้าแก่ ข้าขอห้องพักหนึ่งห้อง”
“ห้องพักเต็มแล้ว แม่นางน้อย”
“เถ้าแก่ ข้าเดินทางไกลมาคนเดียว ไร้ที่พักพิง กรุณาข้าเถอะ”
“ข้าเสียใจ แม่นางน้อย ห้องพักของข้าเต็มทุกห้องจริงๆ ข้าไม่สามารถช่วยท่านได้”
บุรุษสองคนที่นั่งดื่มสุราอยู่ที่โต๊ะใกล้ๆ ก็พูดขึ้นว่า
“แม่นางน้อย ถ้าไม่รังเกียจมาพักที่ห้องของพวกข้าก็ได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เฟิงอี้ ในโฉมดรุณีน้อย แสร้งทำสีหน้าไม่พอใจ แล้วเดินหนี บุรุษหนึ่งในสองที่กำลังดื่มสุราอยู่ก็
คว้าข้อมือดรุณีแปลงโฉมไว้ แล้วพูดขึ้นว่า
“คืนนี้ถ้าเจ้านอนกับข้า เจ้าจะได้ไปสวรรค์ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“เผี่ยะ” เสียงฝ่ามือดรุณีแปลงโฉมฟาดเข้าที่หน้าบุรุษนั้น
“เผี่ยะ เผี่ยะ” บุรุษนั้นฟาดฝ่ามือเข้าที่หน้าดรุณีแปลงโฉมคืนมา สองฉาดใหญ่
แล้วทั้งสองบุรุษก็ตรงเข้ายื้อแขนทั้งสองข้างของดรุณีแปลงโฉม
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย ได้โปรดช่วยข้าด้วย”
ดรุณีเสื้อม่วงทนนั่งอยู่ไม่ได้ ก็ลุกขึ้นแล้ว ยกขาเตะไปที่บุรุษหนึ่งในสองนั้นล้มกระเด็นไป
แล้วชักกระบี่ออกมาชี้ปลายกระบี่จิ้มเข้าที่ลำคอของบุรุษอีกหนึ่งคน แล้วพูดว่า
“พวกเจ้าอยากตายหรือไม่”
บุรุษนั้นเป็นเพียงนักเลงสุราชั้นปลายแถว พอเห็นคมกระบี่จ่ออยู่ที่ลำคอของตน
ก็ตาเหลือกลนลานด้วยความกลัวตาย
“ไม่..ไม่… แม่นาง ข้ายังไม่อยากตาย ขออภัยต่อแม่นางด้วย”
“จงไปให้พ้นหน้าข้า”
พูดจบดรุณีเสื้อม่วงก็คลายกระบี่ลง นักเลงสุราทั้งสองก็รีบลนลานออกจากโรงเตี๊ยมไป
ดรุณาแปลงโฉมก็แสร้งทำเป็นร้องไห้ เดินตรงเข้ายังดรุณีเสื้อม่วงแล้วพูดว่า
“ข้า หลิง หลิง ขอขอบคุณ ท่านจอมยุทธหญิง”
ดรุณีแปลงพูดพลางใช้ผ้าซับน้ำตา
“ไม่เป็นไร ข้าชื่อ เหม่ยเยี่ย นั่นน้องสาวของข้าสองคน ชื่อ เหม่ยผิง
และเหม่ยลี่
เหม่ยผิง และเหม่ยลี่ ลุกออกมาจากโต๊ะ ตรงเข้ามาร่วมสนทนาด้วย
เหม่ยผิงกล่าวขึ้นว่า
“พวกเราเป็นศิษย์ สำนักเงาจันทรา มารอท่านอาจารย์หญิง
ที่จะเข้าร่วมการประลองในครั้งนี้ ตัวท่านมีชื่อว่าอะไร”
“ข้าชื่อ หลิง หลิง ข้าพลัดหลงกับบิดา ข้า ..ข้า …ฮือๆๆ”
เหม่ยเยี่ยจับไหล่ดรุณีแปลงโฉม แล้วพูดขึ้นว่า
“ข้าได้ยินว่าท่านยังไม่มีที่พัก หากไม่รังเกียจมาพักร่วมห้องกับพวกเราก็ได้”
ดรุณีแปลงโฉมยิ้ม ดวงตาเบิกกว้าง แต่แววตาแฝงไว้ด้วยเล่ห์ เฟิงอี้ในร่างดรุณีแปลงโฉม
นึกกระหยิ่มในใจที่แผนของมันสำเร็จ มันคิดจะหลอกล่อทั้งสามดรุณีให้ตายใจ
แล้วขโมยของมีค่าของนางทั้งสาม
“ท่าน..พวกท่านจะให้ข้าพักด้วยกระนั้นหรือ โอ้… ข้าขอบคุณพวกท่านมาก”
“ยามจำเป็น เพื่อนมนุษย์ต้องช่วยเหลือกัน พวกข้าสามคนก็พักรวมกันอยู่เพียงห้องเดียว
เราเบียดๆกันหน่อย คงไม่เป็นไร งั้นตอนนี้ เชิญท่านมาร่วมโต๊ะ กินอาหารกับพวกเราก่อน
เสี่ยวเอ้อ จัดอาหารมาเพิ่ม”
ครั้นเวลาค่ำ ดรุณีทั้งสาม ก็พา เฟิงอี้ในร่างดรุณีแปลงโฉมเข้ามาในห้องของโรงเตี๊ยม
มันเป็นห้องนอนเล็กๆ ภายในมีโต๊ะน้ำชาตั้งอยู่กลางห้อง มีเตียงวางใกล้กันสองเตียงอยู่ที่มุมห้อง
เฟยอี้ตรงเข้าไปที่โต๊ะน้ำชา อาศัยความว่องไวของมือที่ฝึกฝนวิชาโจรมา โรยผงหลับใหลลงในกาน้ำชา
ในขณะที่แสร้งทำเป็นรินน้ำชาใส่ถ้วยสี่ใบแล้วพูดว่า
“ข้าไม่มีสิ่งตอบแทนในน้ำใจของท่านทั้งสาม ได้แต่ใช้น้ำชานี้เป็นตัวแทนแสดงความขอบคุณจากใจ”
พูดจบ เฟยอี้ ในร่างแปลงก็ยกถ้วยน้ำชาแจกจ่ายให้ทั้งสามดรุณี
“ข้าขอคารวะท่านทั้งสาม”
เฟยอี้ในร่างแปลงยกถ้วยชาดื่มจนหมด ทั้งสามดรุณีก็ยกถ้วยขึ้นดื่มตามจนหมดเช่นกัน
จนเวลาล่วงไปครึ่งชั่วยาม ทั้งสามดรุณีเชิญ เฟยอี้ในร่างแปลงขึ้นเตียงนอน
แต่เดิม พี่ใหญ่ เหม่ยเยี่ย นอนคนเดียวหนึ่งเตียง และเหม่ยผิง กับเหม่ยลี่นอนร่วมกันอีกหนึ่งเตียง
แต่เมื่อมี เฟยอี้ในร่างแปลงมาด้วย เหมยผิงจึงเปลี่ยนไปนอนร่วมเตียงกับ เหม่ยเยี่ย ส่วนเหม่ยลี่
น้องคนเล็กนอนร่วมเตียงกับเฟยอี้ในร่างแปลง
เวลาผ่านไปสองชั่วยาม ทุกสิ่งในห้องอยู่ในความเงียบงัน เฟยอี้นอนเบียดร่างอยู่กับเหมยลี่
ด้วยใจที่เต้นแรง โดยตัวเองก็ไม่ทราบสาเหตุ กลิ่นกายของดรุณีแรกรุ่นอย่างเหมยลี่หอมจางๆ
มากระทบกับจมูก ยิ่งทำให้เฟยอี้ ร้อนรุ่ม เลือดในกายพลุ่งพล่าน ท่อนแขนของมันที่เบียดอยู่กับร่าง
ของเหมยลี่ สัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่มของกายดรุณีแรกรุ่น ที่ตัวมันเองก็อยู่ในวัยที่เรียกร้องสัมผัสอย่างนี้ตามธรรมชาติ
มันหันใบหน้าไปด้านข้าง มองไปที่ใบหน้าของเหม่ยลี่ สำรวจความงามบนใบหน้าของดรุณีน้อย วัยประมาณสิบสี่ปี
มันชอบความงามของจมูกน้อยๆ ที่ปลายเชิดเล็กน้อย รับกับริมฝีปากบางสีชมพูของนาง อารมณ์กำหนัดของวัยหนุ่มของมัน
ประทุโดยที่ตัวมันเองก็ไม่เคยเป็นมาก่อน แก่นแห่งบุรุษของมันแข็งชี้ขึ้นมา มันลืมเสียสิ้นถึงจุดประสงค์ในการแปลงโฉมของมัน
เฟยอี้แสร้งนอนนิ่ง แล้วยกแขนของมันขึ้น ค่อยๆวางมือของมันลงไปบนโคนขาของเหม่ยลี่ มันค่อยๆทิ้งน้ำหนักมือลง
จนรับสัมผัสอันนิ่มนวลมือ แม้จะเป็นสัมผัสนอกร่มผ้าก็ตาม ใจของมันเต้นระรัวเหมือนจะหลุดออกมานอกร่าง
มือของมันค่อยเคลื่อนไปตามโคนขาอันนุ่มนิ่มนั้นจน สัมผัสเข้ากับก้อนเนื้อที่นูนออกมาจากหน้าขา นิ้วของมันที่สัมผัสที่ก้อนเนื้อนั้น
หยุดนิ่งแช่อยู่กับที่ มันบอกกับตัวเองได้ทันทีว่าสิ่งที่มันสัมผัสอยู่นั้น คือเนินสวาทของ เหม่ยลี่นั่นเอง แก่นบุรุษของมันตอนนี้
ขยายใหญ่ขึ้นมาจนเจ็บไปหมด มือของมันเริ่มเคลื่อนไปอีก จนเกาะกุมเนินสวาทของ เหม่ยลี่ไว้เต็มฝ่ามือของมัน
เฟยอี้มีอารมณ์กำหนัดจนขาดความยับยั้งอีกต่อไป มันแสร้งตะแครงข้างแล้วป่ายมือและขาของมันขึ้นทับร่างของ เหม่ยลี่ที่นอนหงายนิ่งอยู่
ขาของเฟยอี้วางทับอยู่ที่เนินสวาทของ เหม่ยลี่ พอดี มันกดน้ำหนักขาของมันลงจนแนบแน่นกับเนินเนื้อของนาง
ส่วนมือของมันก็เกาะกุมอยู่ที่ปทุมถันของนาง ใบหน้าของเฟยอี้เลือนเข้าไปจนติดพวงแก้มขาวอมชมพูของ เหม่ยลี่แล้วสูดดม
แม้ถูกกระทำอย่างนี้ เหม่ยลี่ก็ไม่มีท่าทีที่จะรู้สึกตัว เฟยอี้ได้ใจ มันเริ่มขยับส่วนล่างของมันเลื่อนไปมากับโคนขาของนาง
แก่นบุรุษที่แช็งชูชันของมัน ถูไถไปมากับโคนขานุ่มนิ่มของนาง ส่วนมือของมันก็สอดเข้าใต้เอี๊ยมชั้นในของนางอย่างย่ามใจ
จนมือของมันสัมผัสเข้ากับปทุมถันของ ดรุณีวัยแรกแย้มอย่างเต็มฝ่ามือ มันคลึงเค้นอย่างหลงใหล อยู่เป็นเวลานาน
อารมณ์ของเฟยอี่พลุ่งพล่านถึงขีดสุด มันสินใจเปลื้องผ้าของเหม่ยลี่ออก เริ่มจากปลดสายคาดเอว แล้วแบะเสื้อของนางออกจนเห็น
เอี๊ยมสีแดงภายใน แล้วเอื้อมมือปลดสายเอี๊ยมดึงออกมา ปทุมถันของเหม่ยลี่ก็ปรากฎต่อสายตาของมัน มันช่างงดงามรับกับ
ใบหน้าของนางยิ่งนัก ยอดถันสีชมพู ชูปลายเด่นบนฐานขนาดซาลาเปา เฟยอี้มือสั่นเทาด้วยไฟกำหนัด มันใช้ฝ่ามือเค้นคลึง
ปทุมถันอันงดงามนั้น ทั้งสองมือแล้วก้มใบหน้าของมันลงไปใกล้ใบหน้าของนาง
“เหม่ยลี่ เจ้าช่างงามยิ่งนัก ข้าอดใจไม่ไหวแล้ว” มันรำพึงออกมาอย่างแผ่วเบา แล้วจรดริมฝีปากประกบปากของนาง
ใบหน้าของเหม่ยลี่หลับพริ้มนางไม่รับรู้แม้แต่น้อยว่า กางเกงของนางกำลังถูกรูดลง แล้วถูกชายแปลกหน้าจ้อง
เนินเนื้อแห่งความเป็นหญิงของนางอยู่ เฟิงอี้จ้องมองเนินสวาทของเหม่ยลี่ ตลึงค้างอยู่ ถึงแม้ว่า เหม่ยลี่จะเป็น
เพียงแต่ดรุณีน้อยที่เริ่มเข้าสู่วัยสาว แต่เนินสวาทของนางกลับกว้างขวางและอวบอิ่มยิ่งนัก กลีบเนื้อขาวผ่องนูนเปล่ง
เบียดชิดกันเห็นเป็นร่องปิดสนิท มีไหมสีดำบางๆเรียงตัวเป็นระเบียบตามเนินเนื้อขาวผ่องนั้น เฟิงอี้อดใจไม่ไหว
ใช้มือของมันลูบไล้ไปที่เนินสวาทนั้นอย่างหื่นกระหาย
มันใช้ความอดกลั้นอย่างมากที่จะไม่ทำลายความสาวของนางมันตัดสินใจใช้มือรูดแก่นกายของมัน พลางลูบไล้เนินสวาท
ของนางไปพลาง จนในที่สุดทำนบที่กั้นธารแห่งราคะของมันก็พังทลาย พุ่งไปต้องเนินสวาทของ เหม่ยลี่จนเปียกชุ่ม
แล้วมันก็ซบกายลงกอดก่ายร่างของ เหม่ยลี่ อย่างทะนุถนอม มันตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ ขโมยสิ่งของใดๆของนางทั้งสาม
แต่จะขอติดตามพวกนางไปเท่าที่จนกว่าพวกนางจะกลับสำนัก