อาถรรพ์ปลัดขิก ตอนที่ 16 พ้นวิกฤต
โดย Kamen Rider V-3″
อ้าาาาา…….”
ป๊อดส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แล้วรวบรวมพละกำลังที่ยังมีอยู่ยึดจับมือของชิตที่พยายามผลักดันคมมีด
ให้จมลึกลงมาในท้องของเขา
“มึงตายซะเถอะ…….เหนียวนักใช่ไหมมึง………….นี่……….”
“โอ๊ววว……..”
มีดหมอหลวงพ่อเดิม เป็นวัตุมงคลที่มีผ่านการอธิษฐานจิตจากพระอริยสงฆ์ผู้ทรงอภิญญาขั้นสูง จึงสามารถทำลายล้าง
คุณไสย มนต์ดำ หรือแม้แต่การปลุกเสกใดๆได้ทุกชนิด ดังนั้นคมมีดหมอหลวงพ่อเดิมจึงสามารถทะลุผ่านร่างของป๊อด
ที่ถึงแม้ว่าจะมีปลัดขิกที่ลงอักขะมหาอุตม์คุ้มครองอยู่ จนแม้แต่มนต์พญาลิงลมก็เสื่อมพลังอำนาจลงไปด้วย
ถึงตอนนี้ป๊อดจึงมีแต่พละกำลังของตนเองแต่เพียงอย่างเดียว ที่จะหยุดยั้งคมมีดไม่ให้ทะลุผ่านร่างของเขามากไปกว่านี้
เลือดของป๊อดยังคงไหลออกมาไม่หยุด เรี่ยวแรงของเขาค่อยๆถดถอยลงเรื่อยๆ แต่เขาก็ยังพยายามรวบรวมกำลังทั้งหมด
หยุดยั้งไม่ให้ชิตฝังคมมีดลึกเข้ามาได้อีก
ขณะที่ชิตและป๊อดกำลังยื้อยุดกันอยู่นั้น ไอ้ซันที่ถูกเหวี่ยงออกไปด้วยกำลังแรงของฤทธิ์พญาลิงลม ก็ค่อยๆฟื้นจากอาการมึนงง
แล้วหันไปเห็นลูกพี่ของมันกำลังโหมแรงขึ้นคร่อมร่างของป๊อดอยู่ มันจึงยันตัวลุกแล้วรีบเดินตรงเข้ามาหมายจะช่วยชิต
ซ้ำเติมป๊อดอีกแรงหนึ่ง
แต่ทันใดนั้น ก็บังเกิดเงาดำเคลื่อนที่ตัดหน้ามันไปวูบหนึ่ง แล้วใบหน้าของมันก็ผงะหงายไปข้างหลังอย่างแรงแล้วล้มลง
กองอยู่กับพื้นนิ่งสนิท คล้ายอาการของคนคอหักตายอย่างไม่ทราบสาเหตุ แล้วเงาดำนั้นก็พุ่งปราดเข้าไปยังจุดที่ป๊อดกับชิต
กำลังต่อสู้กันอยู่ แล้วร่างของชิตก็ลอยกระเด็นออกไปด้วยกำลังแรง ชนเข้ากับผนังห้องอย่างแรงจนมีดหมอหลวงพ่อเดิม
กระเด็นหลุดออกจากมือ
“โครมม ! ”
ชิตหันซ้ายหันขวาอย่างมึนงง ที่จู่ๆก็ถูกกระแทกอย่างแรงจนตัวมันต้องลอยออกมาแล้วจุกจนตัวงอ
“ใครวะ…..ใครทำกู…..”
เมื่อมองไม่เห็นว่าเป็นใคร ชิตก็ยิ่งโกรธแค้น มันจึงปิดตาลงพึมพำออกมาเป็นมนต์ภาษาเขมรอยู่ครู่หนึ่งแล้วเป่าพรวดออกมา
พลันก็ค่อยๆปรากฎเป็นเงาร่างของโหงพราย กำลังตรงเข้ามาประชิดถึงตัวมัน ชิตตกใจจนตาเหลือก รีบลนลานล้วงมือลงไปในย่าม
หยิบหุ่นไม้ที่สะกดดวงวิญญาณของโหงพรายออกมาทันที
แต่ไม่ทันการเสียแล้ว โหงพรายถลันเข้ามาถึงตัวมันเสียก่อนแล้วใช้สองมือที่มีเล็บงุ้มงอ บีบเข้าที่ลำคอของมันอย่างแรง
พร้อมกับแผดเสียงกร้าวออกมาอย่างดุร้าย
“ไอ้คนสารเลว…..มึงอย่าอยู่เลย……มึงทรมานกูมาช้านานแล้ว…..ตายซะในวันนี้เถอะ”
“อ้อก….อ้อก……ไอ้โหงพราย….ปล่อยกู…..อ้อก.ๆๆ….”
ชิตหน้าแดงกล่ำหายใจด้วยความยากลำบาก แล้วพยายามดิ้นรนออกจากมือทั้งสองของโหงพรายอย่างสุดกำลัง แต่แล้วมัน
ก็กลับมามีสติฝืนร่ายมนต์สะกดที่กำกับหุ่นไม้นั้นออกมาด้วยลมหายใจที่กำลังจะหมดลง
เมื่อมนต์สะกดถูกร่ายออกมาจนจบ โหงพรายก็ถูกอำนาจของมนต์ผลักดันจนผงะถอยออกมา โหงพรายกำลังอาฆาตแค้น
ก็พุ่งเข้าหาชิตอีกครั้ง แต่มันก็ไม่สามารถที่จะฝ่ากำแพงมนต์เข้าไปทำร้ายชิตได้อีก
ชิตลูบคลำที่ลำคออย่างโล่งอก หลังจากเกือบสิ้นสติจากการขาดอากาศหายใจ แล้วเพ่งจ้องไปที่ร่างของโหงพรายอย่างโกรธแค้น
“ไอ้โหงพราย….มึง…มึงทรยศแว้งกัดกู…อย่างนี้กูคงเลี้ยงมึงไว้ไม่ได้แล้ว…….มึงจงทุกข์ทรมานไปตลอดกาลเถอะ”
แล้วเชิดก็ล้วงมือลงไปในย่ามหยิบเอาเหล็กแหลมขึ้นมา แล้วทิ่มไปที่หน้าอกของหุ่นไม้อย่างแรง
“นี่ !…….”
พลันโหงพรายก็ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมาอย่างทุกข์ทรมาน
“โอ๊ยยยยยยย…………..เจ็บเหลือเกิน…….โอ๊ยยยยยยยยยยยยย……………..”
“พอเหรอ……นี่แหนะ………..ไอ้ผีทรยศ………….นี่…..นี่…….”
“โอ๊ยยยยยย………ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน………….พอแล้ว…..ข้ายอมแล้ว……โอ๊ยยยยยย…….”
ป๊อดนอนระทวยอยู่กับพื้นด้วยฤทธิ์ของบาดแผลที่ถูกแทง โดยมีหลิวเข้ามานั่งดูแลอาการอยู่ใกล้ๆด้วยความเป็นห่วง
“ป๊อด….เป็นยังไงบ้าง….เจ็บมากไหม”
ป๊อดพุ่งความสนใจไปที่เสียงร้องอย่างโหยหวนของโหงพราย ก็รู้ว่าโหงพรายกำลังถูกทรมาน จึงพูดกับหลิวอย่างแผ่วเบาว่า
“คุณหลิวครับ….ช่วยพยุงผมลุกขึ้นนั่งที”
“จะไหวหรือป๊อด”
ป๊อดพยักหน้าอย่างเชื่องช้าแทนคำตอบ หลิวจึงสอดมือไปที่ต้นคอของเขาแล้วประคองร่างของป๊อดให้ลุกขึ้นนั่งโดยให้อิง
ไว้กับร่างของเธอ
ป๊อดพยายามนั่งขัดสมาธิแล้วปิดตาลง โดยตั้งใจจะเข้ากสิณไฟด้วยสติที่ยังพอเหลืออยู่ เขาพยามดิ่งจิตลึกลงเข้าสู่ระดับฌาณ
ด้วยความยากลำบาก จากสภาพอันอิดโรยเนื่องด้วยพิษของบาดแผล แต่แล้วในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ เมื่อนิมิตรแห่งดวงไฟ
ได้บังเกิดลุกโพลงขึ้นในมโนทวาร ป๊อดจึงลืมตาขึ้นแล้วเพ่งกระแสจิตไปยังหุ่นไม้ในมือของชิตนั้นเพียงจุดเดียว เนื่องจาก
เขาประเมินแล้วว่ากำลังกสิณของเขาในตอนนี้อ่อนกำลังนัก
พลันหุ่นไม้ในมือของชิตก็ลุกโชติช่วงไปด้วยเปลวไฟจนชิตตกใจสลัดมันทิ้งออกจากมือ โหงพรายก็พลันหลุดพ้นจากการถูกทรมาน
แล้วจ้องมองชิตอย่างโกรธแค้น ชิตเห็นดังนั้นก็รีบถลาลนลานไปที่หุ่นไม้หมายจะหยิบมันขึ้นมา แต่โหงพรายก็ปราดเข้าไป
ขวางหน้ามันเอาไว้
“หึ…..ทีนี้มึงก็ทรมานกูไม่ได้อีกต่อไปแล้ว…..อย่าอยู่เลยมึง”
แล้วโหงพรายก็พุ่งเข้าหาชิตด้วยอาการโกรธแค้น แต่ร่างของโหงพรายก็สะท้อนกลับออกไปอย่างแรงเช่นกัน นั่นก็เป็นเพราะไฟกสิณ
ที่ลุกไหม้หุ่นไม้นั้นมอดดับลงก่อนที่สายสิญจน์ที่พันธนาการหุ่นนั้นจะถูกทำลายลง โหงพรายจึงได้แต่จ้องมองมายังมันด้วยดวงตา
อันวาวโรจน์
ชิตเห็นเป็นโอกาสดีที่โหงพรายทำอะไรตนเองไม่ได้ ก็หันมองไปโดยรอบแล้วก็เห็นปืนกระบอกหนึ่งตกอยู่ใกล้ๆร่างของลูกสมุนของมัน
ชิตยิ้มออกมาอย่างเหี้ยมเกรียม แล้วตรงเข้าไปหาปืนกระบอกนั้นทันที เป็นเวลาเดียวกันกับที่ป๊อดก็กำลังบอกหลิวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“คุณหลิวครับ….คุณหลิวเห็นมีดหมอกับหุ่นไม้ที่อยู่ตรงหน้าของเราไหม ผมอยากให้คุณหลิวช่วยไปเอามีดหมอเล่มนั้นไปตัดสายสิญจน์
ที่พันหุ่นไม้นั้นออกให้หมด คุณหลิวจะทำได้ไหมครับ”
หลิวมองตามไปยังสิ่งที่ป๊อดบอก และเห็นว่าของทั้งสองสิ่งอยู่ห่างจากจุดที่เธออยู่ไปไม่ไกลนัก
“ได้สิป๊อด….งั้นป๊อดนอนลงก่อนนะ”
แล้วหลิวก็ถอนวงแขนวางร่างของป๊อดลงนอนกับพื้น แล้วรีบตรงไปยังจุดที่มีดหมอตกอยู่ทันที พร้อมกับหยิบหุ่นไม้ที่อยู่ใกล้ๆกันขึ้นมา
แล้วใช้คมของมีดหมอเฉือนตัดจนสายสิญจน์ที่พันรอบหุ่นไม้นั้นขาดสะบั้นลงทันที
ทันทีที่สายสิญจน์ขาดสะบั้นลง โหงพรายก็รู้สึกได้ถึงอิสระภาพที่ได้รับการปลดปล่อย และสิ่งแรกที่มันคิดจะทำก็คือ
ฆ่าไอ้คนที่จับมันมาสะกดไว้แล้วทรมานมันครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างของโหงพรายหายวับไปจาก ณ ที่ตรงนั้น แล้วไปปรากฏอยู่ที่เบื้องหน้า
ของชิตในขณะที่มันกำลังก้มลงไปหยิบปืน
ชิตเงยหน้าขึ้นมองดูโหงพราย พร้อมกับแสยะยิ้มออกมาอย่างชะล่าใจ เพราะคิดว่าโหงพราย คงทำอะไรตนเองไม่ได้จึงไม่ทันระวังตัว
มันจึงถูกโหงพรายรวบลำคอของมันไว้ด้วยมือข้างหนึ่งอย่างง่ายดาย แล้วใช้มืออีกข้างเงื้อตบไปที่หัวของชิตอย่างแรง
“มึงตายซะเถอะ….ไอ้ชิต……กร๊อบบ”
ชิตคอหักตายคามือของโหงพราย แล้วถูกโยนร่างทิ้งไปอย่างไม่ใยดี จากนั้นโหงพรายก็ตรงเข้าไปยังร่างของลูกสมุนคนหนึ่งของชิต
ที่อยู่ใกล้ที่สุดหมายจะเข้าไปหักคอให้มันตายไปตามลูกพี่ของมัน แต่ก็ถูกป๊อดส่งกระแสจิตเข้าไปยับยั้งเอาไว้
“โหงพราย…พอเถอะ…..อย่าสร้างเวรกรรมให้ติดตัวไปเลย…”
แล้วป๊อดก็สิ้นสติไปจากการเสียเลือดไปเป็นจำนวนมาก
———–
หลังจากที่เถ้าแก่เจียงโทรศัพท์ติดต่อไปยังนายพลตำรวจเพื่อนสนิทตั้งแต่ในวัยเด็ก แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น
ให้นายพลตำรวจท่านนั้นฟังจนหมดสิ้น เพียงไม่นานกองกำลังของตำรวจประจำพื้นที่ก็ถูกส่งมาที่บ้านของเถ้าแก่เจียง
แล้วเข้ารวบตัวลูกสมุนทั้งหมดของชิตใส่กุญแจมือพร้อมกับเข้าเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุ
จากนั้นก็ตามติดมาด้วยเสียงของหวอรถพยาบาลที่ดังกระชั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้วจอดลงที่หน้าบ้านของเถ้าแก่เจียง
บุคลากรของทางโรงพยาบาล กุลีกุจอลงมาจากรถพร้อมกับเปล รถเข็น และอุปกรณ์ปฐมพยาบาลครบมือ แล้วตรงไปที่ร่างของป๊อด
เป็นคนแรก โดยมีหลิวและหนิงประกบอยู่ใกล้ๆ แล้วทำการปฐมพยาบาลให้กับป๊อด
และในขณะที่ตำรวจและบุคลากรของโรงพยาบาลกำลังปฏิบัติหน้าที่กันอยู่อย่างรีบเร่ง รถยนต์หรูสีดำคันหนึ่งก็ขับเข้ามา
ในบริเวณบ้านของเถ้าแก่เจียงอีกคันแล้วจอดสนิทลง พลตำรวจซึ่งทำหน้าที่เป็นพลขับ รีบลงมาเปิดประตูหลังให้นายพลตำรวจ
นายหนึ่งลงมาจากรถ แล้วเดินตรงเข้าไปยังบริเวณบ้าน
เหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังเก็บหลักฐาน พอเห็นนายพลตำรวจนายนั้นเดินใกล้เข้ามายังจุดที่ตนกำลังปฏิบัติภารกิจอยู่
ก็พากันยืนตรง แล้วกระทำวันทยาหัตย์อย่างตกใจ นายพลตำรวจคนนั้นก็กระทำวันทยาหัตย์ตอบพร้อมกับเดินตรงเข้าไป
ภายในบ้านโโยมิได้ทักทายเจ้าหน้าที่ตำรวจเหล่านั้น
ตำรวจยศนายสิบคนหนึ่งทนต่อความสงสัยไว้ไม่ได้ เมื่อเห็นว่านายพลท่านนั้นเดินห่างออกไปแล้ว ก็พูดขึ้นกับเพื่อนตำรวจด้วยกัน
“ท่านอยู่สังกัดไหนวะ คดีนี้ถ้าจะไม่ธรรมดาซะแล้ว ขนาดท่านนายพลยังต้องมาลงพื้นที่ด้วยตัวเองเลย”
“ใช่….ผมก็ไม่เคยเห็นท่านมาก่อนเลยนะ หมู่…สงสัยเราจะได้ออกข่าวกันแน่เลยงานนี้”
ในระหว่างนั้นเองผู้หมวดหนุ่มก็เดินเข้ามายังจุดที่ตำรวจทั้งสองกำลังคุยกันอยู่
“เอาหมู่…….มัวแต่คุยกันอย่างเนี้ย แล้วเมื่อไหร่จะเสร็จล่ะ”
“จะเสร็จอยู่แล้วครับหมวด……..ว่าแต่หมวด เห็นท่านนายพลเมื่อสักครู่ไหม”
“เห็น…ทำไมเหรอ….นั่นท่านรองฯ เดชา ท่านเป็นเพื่อนกับเสี่ยเจียงเจ้าของบ้านนี้”
“อ๋อ…ถึงว่า….ผมตกใจหมดเลย……คิดว่าคดีนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญๆที่ต้องเร่งมือกันทั้งวันทั้งคืนอีกแล้ว…โล่งไปที”
“ไม่โล่งแล้วล่ะหมู่ คดีนี้ผู้กำกับฯ ท่านสั่งมาเองเลยว่า จะต้องเร่งมือหาตัวผู้ที่อยู่เบื้องหลังให้ได้โดยเร็วที่สุด ฉันถึงต้องมาเร่งหมู่นี่ไง”
“นั่นไง…ผมว่าแล้ว คดีนี้มันต้องไม่ธรรมดา”
เถ้าแก่เจียงทราบจากคนรับใช้ที่เข้าไปเชื้อเชิญต้อนรับท่านนายพลให้เข้าไปยังห้องรับแขก ก็รีบออกมาพบนายพลตำรวจเพื่อนเก่าในทันที
“โอ้วว…..สวัสดีครับท่านรองฯ เดชา ขอบพระคุณท่านมากๆ เลยครับ ที่ช่วยจัดการเรื่องนี้ให้กับผม แต่ท่านไม่จำเป็นต้องมาเองก็ได้นี่ครับ
ผมเกรงใจ”
“เฮ้ยยย…..เจียง…ทำไมลื้อพูดกับอั๊วอย่างนี้วะ….ไม่เอาๆ…พูดใหม่ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กๆ…ลื้อต้องเรียกอั๊วเหมือนเดิมสิวะ”
“ไม่ได้หรอกครับ…ถ้าทำอย่างนั้นก็จะเป็นการไม่ให้เกียรติท่าน ถึงสนิทแค่ไหนผมก็ทำอย่างนั้นไม่ได้…”
“แต่สำหรับลื้อ…ได้เสมอ…อั๊วไม่ถือ…สมัยที่อั๊วยังเด็ก หากไม่ได้เตี่ยลื้อ แล้วก็ตัวลื้อช่วยไว้ มีเหรอที่อั๊วจะมีวันนี้”
“ฮ่าๆๆ…….ย้อนอดีตไปไกลเลยนะท่าน เอาเป็นว่า ผมขอเอาไว้ตอนที่เราอยู่กันเพียงลำพังเถอะนะครับ จะให้ผม
เรียกชื่อท่านเฉยๆก็ได้ แต่ในตอนที่มีคนอื่นอยู่ด้วยแบบนี้ มันดูไม่เหมาะสม”
“ฮ่าๆๆๆ…….เอาเถอะ…ตามใจลื้อ แต่อั๊วจะเรียกลื้อเหมือนเดิมนะเจียง ฮ่าๆๆๆๆ….เออว่าแต่ที่ลื้อเล่าให้อั๊วฟังทางโทรศัพท์
เห็นว่าพวกมันมากันสี่ห้าคน พร้อมปืนเลยไม่ใช่เหรอ แล้วลื้อรอดมาได้ยังไงวะเนี่ย”
“โอวว….เรื่องมันยาวท่านรองฯ โน่น…”
เถ้าแก่เจียงชี้มือไปยังป๊อดที่กำลังถูกพยุงร่างให้ขึ้นไปนอนบนเตียงรถเข็น
“ท่านเห็นเด็กหนุ่มที่บรุษพยาบาลกำลังหามไปขึ้นเปลนั่นไหม หากไม่ได้เจ้าเด็กนั่น ป่านนี้ผมคงไม่ได้อยู่คุยกับท่านแล้ว”
รองฯเดชา หันมองไปยังจุดที่เถ้าแก่เจียงชึ้ ก็เห็นเป็นเด็กหนุ่มรูปร่าง ผอมบาง ที่กำลังถูกพยุงตัวอยู่ แม้จะมีร่างกายที่สูงแต่ก็ดูเด็กนัก
อายุคงราวๆ 17 ปี ก็ยิ่งเกิดความสงสัย
“เด็กคนนั้นคนเดียวเนี่ยนะ ที่ฟาดให้พวกนี้ซะสลบเหมือดไปอย่างนี้”
“ใช่ครับท่าน เขานี่แหละ ผมรับเขามาอุปการะให้เรียนหนังสือ เดิมทีเขาเป็นเด็กวัด ผมก็พึ่งรู้วันนี้แหละว่าเด็กคนนี้
มันมีฝีมือ ผมเองก็อยากจะให้มันไปสอบนายสิบตำรวจแล้วก็คิดจะฝากฝังไว้กับท่านอยู่เหมือนกัน”
“เฮ้ย….ดีเลยเจียง…อั๊วกำลังอยากได้เด็กที่มีแววมาปั้นทีมอยู่พอดี ให้มันไปสอบได้เลยเดี๋ยวอั๊วจัดการให้”
“ทีมอะไรเหรอ..ท่านรองฯ”
“อ้าว…นี่ลื้อจำไม่ได้เหรอว่าอั๊วดูแล ตำรวจพลร่ม ค่ายนเรศวรอยู่ อั๊วจะให้เด็กของลื้อไปฝึกที่นี่ร่วมกับเด็กของอั๊ว
อั๊วกำลังจะสร้างทีมตำรวจสายลับ เพื่อจัดการกับกลุ่มอิทธิพลที่กำลังแผ่บารมีอยู่ในเวลานี้ ไอ้เสี่ยวิชัยศัตรูของลื้อก็อยู่ในข่ายที่อั๊ว
กำลังเฝ้าจับตามองอยู่เหมือนกัน”
แล้วรองเดชาฯ ก็รับปากกับเสี่ยเจียงว่า จะช่วยบอกกับพรรคพวกให้เร่งสืบค้นหลักฐานคดีนี้เพื่อเอาผิดกับเสี่ยวิชัยให้ได้
จากนั้นก็พูดคุยสอบถามข้อมูลกับเถ้าแก่เจียงอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงลากลับไป
——
รุ่งเช้าวันใหม่ที่โรงพยาบาลเอกชน อันเป็นที่สมาชิกในบ้านของเถ้าแก่เจียงใช้บริการอยู่เป็นประจำ ร่างของป๊อด
ถูกเข็นออกมาจากห้องผ่าตัด แล้วเข้ามาพักฟื้นอยู่ในห้องคนไข้พิเศษตามที่เถ้าแก่เจียงได้จัดเตรียมไว้กับทางโรงพยาบาล
ภายในห้องนั้นมีสมาชิกครอบครัวของเสี่ยเจียง เฝ้ารอคอยฟังอาการของป๊อดจากหมอผู้ผ่าตัดกันครบทุกคน หมอผู้ทำการผ่าตัด
แจ้งว่าป๊อดพ้นขีดอันตรายแล้ว เขาถูกคมมีดแทงทะลุไปถึงกระเพาะต้องผ่าตัดใหญ่เพื่อเย็บแผลภายในและต้องพักฟื้นอยู่ที่
โรงพยาบาลอีกหลายวัน
เสี่ยเจียงรู้สึกซาบซึ้งที่ป๊อดได้เสี่ยงชีวิตช่วยครอบครัวของเขาไว้ และยินดีที่เขาพ้นขีดอันตรายมาได้ บุตรสาวทั้งสองของเถ้าแก่เจียง
เองก็เช่นเดียวกัน พอทราบผลของการผ่าตัดจากหมอแล้ว ก็พากันล้อมดูป๊อดที่ยังหลับสนิทอยู่บนเตียงด้วยฤทธิ์ของยาสลบ
หลิวรู้สึกกระวนกระวายเป็นห่วงป๊อดจนไม่สามารถนั่งได้นานๆ เธอเอาแต่ผุดลุกผุดนั่งคอยดูว่าเมื่อไหร่ป๊อดจึงจะรู้สึกตัว
แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมาให้คนอื่นเห็นมากนัก เหตุการณ์ในคืนที่ผ่านมาทำให้เธอรู้แก่ใจของเธอดีว่า เธอรู้สึกเป็นทุกข์มากเช่นใด
ยามเมื่อเห็นเขาเป็นอันตราย ทั้งยังรู้สึกขอบคุณในน้ำใจของเขา ที่ไม่ว่าครั้งใดที่เธอต้องการความช่วยเหลือ เขาคนนี้
ก็จะปรากฎตัวและเข้ามาให้การช่วยเหลือเธอไว้ได้ทันท่วงทีทุกครั้ง
ถึงตอนนี้เธอเริ่มเข้าใจแล้วว่า เธอรู้สึกกับเขาเช่นใด เธอต้องการเห็นเขาปลอดภัยและลืมตาขึ้นมาพูดคุยกับเธออย่างที่สุด
ผิดกับหนิงที่แสดงถึงความเป็นห่วงป๊อดออกมาอย่างชัดเจน เธอนั่งเฝ้ามองดูหน้าเขาจนชิดขอบเตียงอยู่ตลอดเวลา จนวิไล
เองก็มองดูอย่างรู้สึกขัดเขินแทน และลอบมองไปยังเถ้าแก่เจียงว่าจะมีอาการเช่นไรกับพฤติกรรมของลูกสาวคนเดียวของเธอ
เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง เข้าสู่ช่วงเวลาสายของวันนั้นป๊อดก็รู้สึกตัวและลืมตาขึ้น เขาเหลียวมองไปโดยรอบก็รู้ว่าตนเอง
อยู่ในโรงพยาบาล แล้วจึงเพ่งมองไปยังใบหน้าของคนที่กำลังห้อมล้อมอยู่รอบเตียงที่เขานอนอยู่ทีละคน
ป๊อดมีสติกลับมาเป็นปกติแล้ว เขายิ้มอย่างรู้สึกดีใจที่เห็นบุคลเหล่านี้ซึ่งเขาถือเสมือนเป็นครอบครัวของเขา ได้มารวมตัว
มองดูเขาด้วยดวงตาที่แฉวแววแห่งความยินดีที่เห็นเขาลืมตาขึ้น เถ้าแก่เจียงเป็นคนแรกที่เริ่มเอ่ยปากทักขึ้น
“ป๊อด ลื้อเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บแผลมากไหม”
ป๊อดพยายามจะยกมือไหว้ แต่ถูกห้ามไว้
“รู้สึกตึงๆที่แผลเท่านั้นครับ ขอบคุณครับเถ้าแก่”
“เฮ้ย….อั๊วต่างหากที่ต้องขอบคุณลื้อ…..ถ้าลื้อไม่เข้ามาช่วย ป่านนี้ทุกคนในบ้านจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้”
ป๊อดรู้สึกภาคภูมิใจที่ตนเองได้มีโอกาสปกป้องบุคคลที่เขารัก จึงเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกจากใจ
“ผมรักทุกคนที่อยู่ในบ้านนี้ ผมจะไม่มีวันยอมให้ใครมาทำร้ายคนในบ้านหรอกครับ เถ้าแก่”
เถ้าแก่เจียงรู้สึกซาบซึ้ง และยิ่งมีเมตตาต่อป๊อดมากยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของป๊อด ถึงกับเอื้อมมือไปลูบหัวป๊อด
“ดีมาก ดีมาก….ที่ลื้อคิดอย่างนี้ อั๊วเองก็ไม่เคยเห็นลื้อเป็นคนอื่นเลย”
แต่แล้วเถ้าแก่เจียงก็นึกเรื่องหนึ่งที่เขาคิดสงสัยขึ้นมาได้ จึงถามขึ้น
“อาป๊อด….อั๊วขอถามลื้อจริงๆนะ เมื่อคืนที่ลื้อสู้กับไอ้พวกนั้น ลื้อไปเรียนวิชาแบบนั้นมาจากไหน”
ป๊อดถูกถามเข้าเช่นนี้ก็ถึงกับนิ่งอึ้ง เขาเองก็ลืมไปเลยว่าได้เปิดเผยความลับที่เขาได้เรียนไสยดำออกไปอย่างเปิดเผย
เพราะในตอนนั้นเขามีเพียงแต่ความวิตกกังวลที่จะช่วยเหลือคนในบ้านเท่านั้น ป๊อดนิ่งอึ้งแล้วมองไปยังใบหน้า
ของแต่ละคนที่กำลังจ้องมองมายังเขาเหมือนกำลังรอคอยคำตอบอยู่เช่นกัน
“เอ่อ…..เอ่อ……….”
“เอาเถอะ…ๆ อั๊วเข้าใจ ลื้อคงลำบากใจที่จะพูดออกมาเอง แต่อั๊วก็พึ่งรู้นะว่าหลวงตาเปลวท่านก็เป็นวิชาพวกนี้ด้วย
ลื้ออยู่กับหลวงตามาโดยตลอดหนิ ลื้อจะไปเรียนจากคนอื่นได้อย่างไร จริงไหม”
“ไม่ใช่ครับเถ้าแก่…ไม่ใช่หลวงตา….แต่……”
“เออน่า….อั๊วเข้าใจ…อั๊วจะไม่บอกใครให้หลวงตาท่านเสื่อมเสียหรอก ลื้อก็ไม่ได้เอาวิชาของหลวงตาไปทำความชั่วนี่ จริงไหม
อั๊วเชื่อว่า ถ้าลื้อเรียนมาจากหลวงตาเปลว มันต้องเป็นวิชาที่ดีแน่ๆ”
ป๊อดกลืนน้ำลายลงคอ แล้วก้มหน้าลงเมื่อเห็นแววตาของเถ้าแก่เจียงและทุกๆคนที่มองมายังเขาอย่างเข้าใจไปเองอย่างนั้น
และเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดแก้ต่างให้หลวงตาได้ยังไง
ตลอดวันในวันนั้น สมาชิกในบ้านของเสี่ยเจียงทุกคนต่างก็อยู่พร้อมหน้ากันในห้องผู้ป่วยพิเศษ เป็นเพื่อนป๊อดจนถึงเวลาเย็น
ป๊อดรู้สึกอบอุ่นและเป็นสุขอย่างที่สุด มันเหมือนกับว่า เขาได้อยู่กับครอบครัวของตนเองที่มีแต่ความรัก ความห่วงใยให้กัน
มีเพียงวันนี้เท่านั้นที่เขาได้เห็นสมาชิกในบ้ายทุกคนกินข้าวกลางวันพร้อมกัน พูดคุยซักถามกันและส่งเสียงหัวเราะ
อย่างสนุกสนาน จนเวลาได้คืบคลานมาถึงเวลาเย็น เถ้าแก่เจียงก็เอ่ยขึ้น
“อาป๊อด….เดี๋ยวพวกเราจะกลับบ้านแล้วนะ ลื้อคงต้องนอนอยู่คนเดียวที่โรงพยาบาล แต่ไม่ต้องเป็นห่วง อั๊วจ้างพยาบาลพิเศษ
มาดูแลลื้อเป็นอย่างดี ลื้อต้องการอะไร อยากได้อะไร ก็บอกเขาไปนะอาป๊อดนะ”
พอหนิงได้ยินอย่างนั้นก็พูดขึ้นทันที
“ไปจ้างทำไมล่ะเตี่ย พยาบาลน่ะ เดี๋ยวหนิงช่วยอยู่เฝ้าเป็นเพื่อนป๊อดเองก็ได้”
หนิงพูดออกไปโดยไม่ได้ยั้งคิดเพราะความต้องการที่จะอยู่ใกล้ชิดกับป๊อด จนมาสำนึกได้เมื่อเห็นแววตาตำหนิของเถ้าแก่เจียง
“อาหนิง ลื้อโตเป็นสาวแล้วนะ ไม่ใช่เด็กๆ จะมานอนค้างอย่างนี้จะเหมาะสมเหรอ…รู้จักคิดบ้างนะ”
หนิงก้มหน้านิ่งอย่างยอมรับในความผิดพลาดของตนเอง ได้แต่เงียบแล้วเดินตามเถ้าแก่เจียงออกไปจากห้อง
หลิวเดินรั้งท้ายสุดอย่างตั้งใจ เธอเดินเข้ามาหาป๊อดก่อนที่จะไปจากห้องแล้วพูดขึ้นอย่างแผ่วเบา
“ป๊อด…พรุ่งนี้หลิวจะมาเยี่ยมอีกนะ”
ป๊อดสบสายตากับหลิวด้วยหัวใจอันคับพองไปด้วยความดีใจ นี่เป็นครั้งแรกในหลายๆวันที่ผ่านมาที่เขาได้ยินหลิว
พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่เขาคุ้นเคย ไม่ห้วนและเย็นชาเหมือนที่ผ่านมา
“ครับ…ผมจะรอ”
หลังจากที่ทุกคนกลับไปแล้ว บรรยากาศในห้องก็เงียบสนิท ป๊อดลืมตาโพลงนอนอยู่ในห้องแต่เพียงลำพัง แล้วหันไป
หยิบรีโมททีวีมาเปลี่ยนช่องไปมาอย่างเบื่อหน่าย พอเวลาผ่านไปนานเข้าเขาก็คิดที่จะลุกลงจากเตียงเพื่อเดินไปดูทัศนียภาพ
ภายนอกที่กระจกหน้าต่างบ้าง แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักและร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เนื่องจากแผลที่เย็บไว้ที่ท้อง
ยังไม่ประสานกัน เขาจึงอยู่ในท่าหยั่งเท้าข้างหนึ่งลงกับพื้น ส่วนลำตัวยังคงคาอยู่ที่เตียงอยู่อย่างนั้น
“ก๊อก…ก๊อก….ก๊อก…”
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น แล้วเปิดออกมาโดยไม่ได้รอคำอนุญาตจากผู้ที่อยู่ในห้อง ปรากฏเป็นร่างของนางพยาบาลสาว
หุ่นบอบบางคนหนึ่ง เดินฉับๆ เข้ามาพร้อมกับถาดใส่อุปกรณ์ในมือ พอเธอหันไปพบร่างของป๊อดที่กำลังค้างเติ่งอยู่ที่ขอบเตียง
เธอก็รีบวางถาดลงแล้วพุ่งตรงเข้ามาช่วยประคองร่างของป๊อดอย่างรวดเร็ว
“โอ๊ะ….ระวังค่ะ…………..ทำไมถึงทำอย่างนี้ล่ะคะ..แผลพึ่งเย็บมาใหม่ๆ คุณไม่ควรลงมาจากเตียงโดยลำพังนะคะ”
พยาบาลสาวคนนั้น เอ่ยคำตำหนิป๊อดพร้อมกับสอดตัวเข้าไปใต้วงแขนของเขา พร้อมกับโอบร่างของเขาดันขึ้นบนเตียงเช่นเดิม
วงแขนของโอบไหล่ของนางพยาบาลเอาไว้จนใบหน้าของเธอแทบจะสัมผัสกับปลายจมูกของเขา ป๊อดรู้สึกตะขิดตะขวงในทีแรก
แต่เมื่อจมูกของเขาสัมผัสกับกลิ่นหอมละมุนของนางพยาบาลสาวคนนั้น เขาก็แทบจะใช้วงแขนรั้งร่างของเธอไว้อย่างนั้น
แล้วสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆของเธอให้สาแก่ใจของเขา
พยาบาลสาวประคองให้เขานอนลงไปอย่างเดิมแล้ว ก็ปรับระดับเตียงให้ชันขึ้นอีกเล็กน้อย
“ทีหลัง ถ้าอยู่คนเดียวแล้วต้องการอะไร กดสัญญาณเรียกพยาบาลได้นะคะ อย่าพยายามลงมาจากเตียงโดยลำพัง”
ป๊อดสบสายตากับพยาบาลสาวคนนั้น แล้วยิ้มตอบให้เธอ ไม่เพียงแต่กลิ่นหอมจากตัวเธอเท่านั้นที่น่าใกล้ชิด แต่พยาบาลคนนี้
ยังมีใบหน้าที่น่ารักชวนมอง เธอละสายตาไปจากป๊อดแล้วหันกลับไปสวมถุงมือยางอย่างเงียบๆ ป๊อดยังคงลอบมองเธอและคิดอยู่ภายในใจ จะดีไม่น้อย
หากว่าเธอคนนี้มีใบหน้าที่เจือไปด้วยรอยยิ้มบ้าง เขามีความรู้สึกว่า ใบหน้าของเธอเฉยเมยและแฝงด้วยความเศร้าหมอง เป็นทุกข์
เธอรูดม่านบางตากั้นเตียงไว้ แล้วพูดขึ้น
“เดี๋ยวพยาบาลจะเช็ดตัวให้นะคะ”
พอป๊อดได้ิยินอย่างนั้นก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจ แล้วพูดขึ้นอย่างเกรงใจ
“ไม่เป็นไรครับ คุณพยาบาล ผมพอจะทำเองได้”
“ไม่ได้หรอกค่ะ…คนไข้พึ่งจะผ่าตัดผนังช่องท้อง ไม่ควรเอี้ยวตัวขยับไปมาเดี๋ยวแผลจะเปิด”
คำพูดของเธอห้วนสั้น ได้ใจความ และพูดโดยไม่มองหน้าเขา พร้อมกับเอื้อมมือไปปลดกระดุมเสื้อของโรงพยาบาล
ที่ป๊อดสวมใส่อยู่แล้วแบะออก เธอหยิบผ้าขนหนูที่เตรียมมาบิดน้ำลงไปอ่างพลาสติค แล้วเริ่มเช็ดไปตามลำคอของเขา
อย่างแผ่วเบา
ป๊อดจ้องมองไปทุกความเคลื่อนไหวของพยาบาลสาวอย่างใกล้ชิด แม้ใบหน้าของเธอเมินเฉยอยู่ก็จริงแต่ก็ยังแฝงไปด้วย
ความน่ารักแบบใสๆและดูเยาว์วัยเกินกว่าที่จะเป็นพยาบาล
จากนั้นเธอก็ใช้ผ้าผืนนั้นเช็ดไปแผงอก รักแร้ แขนทั้งสองข้างและหน้าท้อง แม้เธอจะใส่ถุงมือยางแต่ป๊อดก็เห็นอยู่กับตา
ว่าผู้ที่กำลังใช้ผ้าลูบไล้เรือนร่างของเขาอยู่เป็นหญิงสาวที่มีความสวยและน่ารัก ด้วยพื้นนิสัยเจ้าชู้ที่มีอยู่เดิมทำให้ป๊อด
พูดขึ้นด้วยความคะนอง
“คุณพยาบาลหน้าเด็กจัง…เป็นนักศึกษาอยู่ใช่ไหมครับ”
พยาบาลสาวชะงักนิดหนึ่งแล้วเงยหน้าสบตากับป๊อด
“ใช่ค่ะ พี่เป็นนักเรียนพยาบาล ปี 4 เป็นรุ่นพี่น้องหลายปีเลยล่ะ”
ป๊อดชะงักคำพูดที่คิดจะพูดต่อในทันที เมื่อเธอแสดงตนว่าเป็นรุ่นพี่ของเขาออกมาอย่างชัดเจน แต่แล้วเขาก็คิดว่าควรจะ
ทำความสนิทสนมเธอไว้ดีกว่าปล่อยให้บรรยากาศในห้องดูเงียบและเกร็ง
“คุณพยาบาลรู้ได้ยังไง…ว่าผมอายุน้อยกว่า”
เธอเหลือบตาขึ้นมองป๊อดอีกครั้ง
“พยาบาลทุกคนต้องอ่านประวัติคนไข้ก่อนที่จะเข้ามาปฏิบัติงานค่ะ”
ป๊อดพยักหน้าแล้วยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้น ผมจะเรียกคุณพยาบาลว่าพี่นะครับ…ไม่ทราบพี่ชื่ออะไรครับ”
พยาบาลสาว ไม่ตอบแต่ขมักเขม้นกับผ้าที่กำลังขยี้อยู่ในอ่างแล้วบิดน้ำ ป๊อดเลื่อนสายตาลงไปที่ป้ายชื่อบนอกของเธอ
” นิสาชล ศิริสกุล งั้นผมเรียก พี่นิสา ก็แล้วกันนะครับ”
พยาบาลสาวยังคงบิดผ้า เหมือนกับไม่ได้ยินคำพูดของป๊อด แล้วเอื้อมมือไปปลดผ้านุ่งคนไข้ของป๊อด
เธอนึกหมั่นไส้และรู้ทันว่า ป๊อดพยายามหาทางพูดคุยกับเธอเหมือนคนไข้ชายหลายๆรายที่มักจะทำอย่างนี้
ป๊อดถึงกับตาเหลือก ร้องออกมาอย่างตกใจ
“อย่าครับ…พี่นิสา……….ตรงนั้นไม่ต้องครับ……พรึบบ……”
ช้าไปเสียแล้ว ผ้าสีฟ้าอ่อนที่ห่มคลุมท่อนล่างของป๊อดไว้อย่างหลวมๆ ถูกแบะกว้างออกอย่างง่ายดาย จนมองเห็นทุกอย่าง
ของป๊อดอย่างชัดเจน ป๊อดพยายามหุบขาและคิดจะโน้มตัวเอาผ้าไปปิดส่วนนั้นไว้ด้วยความอาย แต่ก็ถูกพยาบาลสาวห้ามเอาไว้
“อย่าค่ะ..น้อง…อย่าพยายามขยับตัว…เดี๋ยวปากแผลจะเปิดนะคะ”
เธอมีรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปาก คล้ายกับพอใจที่ทำให้ป๊อดรู้สึกอาย
“ไม่…ไม่ต้องเช็ดตรงนั้นก็ได้ครับ….”
“ไม่ได้ค่ะ……เดี๋ยวมันจะหมักหมม คุณพ่อน้องป๊อดจ่ายเงินให้พี่นิสาตั้งเยอะ ทั้งท่านยังกำชับให้พี่ดูแลน้องเป็นอย่างดี
อยู่นิ่งๆ เถอะเดี๋ยวก็เสร็จ”
ป๊อดได้ยินพยาบาลนิสาพูดถึงเถ้าแก่เจียง และเข้าใจว่าเป็นพ่อของเขาก็รู้สึกดีใจ นี่คงเป็นเพราะเถ้าแก่เจียงคงแนะนำตัวไว้อย่างนี้
“พอเถอะครับ..พี่นิสา”
นิสาลอบยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ แต่ก็ไม่รอดไปจากสายตาของป๊อด เขาทั้งอายทั้งประหม่าอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อต้องมาเปลือยร่างล่อนจ้อนต่อหน้าหญิงสาวที่เขาเพิ่งจะเคยรู้จัก แม้ว่าที่ผ่านมาเขาจะเคยเปลือยกายในลักษณะนี้หลายๆต่อหลายครั้ง
ต่อหน้าผู้หญิง แต่นั่นก็เป็นการเปลือยด้วยกันทั้งคู่ ไม่ใช่เหมือนในครั้งนี้ที่หญิงสาวยังคงอยู่ชุดพยาบาลที่มิดชิด เท่านั้นยังไม่พอเธอยังใช้
ผ้าลูบไล้ไปตามลำขาทั้งสอง วกกลับเข้ามาที่ใต้พวงไข่อย่างแผ่วเบาแล้วลามเลยไปจนถึงไอ้จ้อนที่ไวต่อความรู้สึกของเขา
พยาบาลนิสาใช้ผ้าขนหนูเช็ดสูงขึ้นมาบริเวญหัวหน่าว แล้วใช้มือข้างหนึ่งจับลำเอ็นของเขาพลิกไปมาเพื่อที่จะได้เช็ดได้สะดวกขึ้น
ป๊อดรู้สึกเสียววาบขึ้นในทันที แม้ว่ามือของเธอยังใส่ถุงมือยางอยู่ แต่มันก็แทบจะไม่ต่างจากสัมผัสด้วยมือแท้ๆเลย ป๊อดมีสีหน้าวิตกกังวล
เมื่อเริ่มรู้สึกตัวว่าเจ้าท่อนเอ็นของเขามันกำลังทรยศหักหน้าผู้เป็นเจ้าของ มันเริ่มแข็งตัวผงาดง้ำแสดงตัวว่ามันนั้นใหญ่ และยาวออกมา
อย่างสุดจะควบคุม จนพยาบาลนิสาสังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน
เธอเริ่มสีหน้าแดงระเรื่อ และออกอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัดทั้งๆที่เธอก็เคยทำเช่นนี้กับคนไข้ชายมาหลายต่อหลายครั้ง
ก็ยังไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้ เธอมองไปที่ลำเอ็นของป๊อดอย่างตื่นตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก็รีบพูดกลบเกลื่อนขึ้น พร้อมกับเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด
ทันที
“เสร็จแล้วค่ะ…เลิกอายได้แล้ว…พี่ก็ทำแบบนี้ให้กับคนไข้ที่รับผิดชอบทุกคน ไม่เห็นเขาจะเขินแบบน้องเลย”
เธอพูดไปอย่างนั้น แต่หน้าของเธอกลับแดงซ่านไปด้วยเลือดลมที่สูบฉีด พร้อมกับจังหวะหัวใจที่เต้นเร็วถี่ขึ้น
ป๊อดไม่กล้ามองหน้าพยาบาลนิสาตรงๆ แสร้งทำเป็นดูทีวีอยู่อย่างสนใจ แต่พอพยาบาลนิสาเดินไปที่ประตูห้อง
เขาก็ลอบสำรวจเรือนร่างของพยาบาลสาวอย่างมีอารมณ์จนร่างเธอหายลับไปจากประตูห้อง
เพียงครู่พยาบาลนิสาก็กลับเข้ามาอีกครั้ง พร้อมกับ หนังสือสองสามเล่ม เธอนั่งลงแล้วกางออกอ่านอย่างนิ่งเงียบ
ป๊อดหันไปดูทีวี แล้วก็ลอบแอบมองเป็นระยะ ป๊อดเห็นว่านิสาเป็นผู้หญิงที่สวยเรียบๆแต่มองแล้วไม่น่าเบื่อ
ตามความรู้สึกของเขา เธอไม่แต่งหน้าทาปากเหมือนผู้หญิงทั่วไป ผมก็รวบไว้หลวมๆไม่ได้ตัดเซ็ตตามแฟชั่น
เขาชอบผู้หญิงที่สวยอย่างเป็นธรรมชาติอย่างนิสาที่สุด
เมื่อเห็นว่าเธอนั่งนิ่งพุ่งความสนใจไปที่หนังสือที่อยู่ตรงหน้า เขาก็จึงจ้องมองเธอนานขึ้นอย่างตั้งใจ จนนิสาเงยหน้าขึ้น
มาจากหนังสือแล้วหันมาสบตากับเขาพอดี แล้วเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย
“ถ้าต้องการเป็นส่วนตัวก็บอกนะคะ พี่จะได้ออกไป”
ป๊อดสะดุ้งเล็กน้อยยิ้มกลบเกลื่อน แล้วแกล้งพูดขึ้น
“ถ้าผมต้องการให้พี่นั่งเป็นเพื่อนผมจนถึงเช้าเลยล่ะ”
พยาบาลสาววางหนังสือลง แล้วหันมามองเขาด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยเหมือนเคย
“คนไข้มีชื่อเล่นว่าอะไรคะ”
“ป๊อดครับ…แล้วพี่ละครับ”
“เรียกพี่ว่านิสา นั่นแหละ………ป๊อดนี่…ท่าทางเธอน่าจะเจ้าชู้ไม่เบาเลยนะ”
“ครับ….ผมยอมรับ..แต่ผมรักจริงนะ ผู้หญิงที่ผมเจ้าชู้ด้วยผมรักเขาด้วยใจจริงทุกคน”