กามลิขิต ชีวิตหฤหรรษ ตอนที่ 19
โดย saradio
วันนั้นผมไม่มีโอกาสคุยกับเรกะเลยพอออกจากห้องท่านประธาน ท่านประธานก็สั่งฮิเดตะให้ส่งผมกลับคืนนั้นผมกลับมานอนที่ห้องเป็นครั้งแรกหลังจากถูกจับตัวไปสามวันทำให้รู้สึกผ่อนคลายและหลับไปอย่างง่ายดาย
พอวันรุ่งขึ้นก็ต้องสะดุ้งตื่นเพราะมีคนมาเคาะห้อง ผมงัวเงียไปเปิด ก็เห็นพวกยากูซ่ามากันสามคนที่รู้ว่าเป็นยากูซ่า เพราะดูจากลักษณะการแต่งตัวและบุคลิกของพวกมันพอพวกมันเห็นผมก็โค้งคำนับเก้าสิบองศา พูดพร้อมกันเสียงดังว่า
“สวัสดีตอนเช้าครับ คุณโอกิ”
ผมยังงงเบลอๆ อยู่ไม่รู้ว่าพวกมันมาจากไหน
“พวกคุณมาทำอะไร”
ผมถาม
คนหัวโล้นที่ดูจะเป็นหัวหน้าพวกนี้ก็พูดว่า
“พวกผมได้รับคำสั่งให้มารับคุณโอกิไปเป็นหัวหน้าสาขาที่ชินจูกุครับ”
ผมก็พยักหน้าเข้าใจอย่าง สมองยังไม่ตื่นเต็มที่ บอกว่า
“เริ่มวันนี้เลยเหรอ”
“ครับผม”
“งั้นผมขอไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วเก็บเสื้อผ้าก่อนได้มั๊ย”
“ครับ เสื้อผ้าพวกผมเตรียมมาให้แล้วส่วนของอะไรที่จะให้ขนไป สั่งมาได้เลยนะครับ”
พวกมันคนหนึ่ง ส่งชุดสูทที่อยู่ในถุงไม้แขวนคลุมชุดให้ผมแล้วก็พากันยืนรอหน้าห้อง รอให้ผมอาบน้ำแต่งตัว
เมื่ออาบน้ำเก็บเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวที่จะเอาไปยัดใส่กระเป๋าเสร็จ ผมก็ลองใส่ชุดสูทสีดำที่พวกมันเอามาให้มันฟิตพอดีตัวอย่างกับวัดตัวผมมาพอดี เมื่อผมมองตัวเองในกระจกก็ต้องเห็นมุมมองของตัวเองใหม่ เพราะผมไม่เคยใส่ชุดสูทมาก่อนทำให้ผมดูหรูและเทห์มีระดับขึ้นมาถนัดตา ก็มีปัญหาตรงเน็คไทนี่แหละที่ผมผูกไม่เป็นเลยไม่ได้ใส่ มันเลยดูไม่ค่อยจะเนี้ยบและออกแบดบอยหน่อยๆ ซึ่งผมก็ชอบเสียด้วยดูแมนดี และไม่ต้องลำบากกับการผูกเน็คไท
เมื่อผมแต่งตัวเสร็จแล้ว พวกมันก็ช่วยผมขนกระเป๋าลงไปที่รถรถที่พวกมันเอามารับผมเป็นรถตู้คันใหญ่สีดำ ดูหรูและอลังการมากและข้างในห้องโดยสารถูกดัดแปลงให้โอโถงสะดวกสบายและสวยงาม
พวกมันเชิญผมขึ้นรถ โดยมี 2 คนนั่งที่นั่งตอนหน้าคนขับ ส่วนอีกคนหนึ่งที่โกนผมจนหัวโล้นมานั่งเป็นเพื่อนผมในห้องโดยสารผมรู้สึกว่าหน้ามันคุ้นๆ ตั้งแต่แรก เพียงแต่ยังนึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหนเลยถามว่า
“ผมว่าผมคุ้นหน้าคุณนะ คุณชื่ออะไรหนะ เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า”
“อ๋อ.คือ ..ผมชื่อ วากาชิ มิซากิครับ เออ…แล้วก็ผม.คือ..เออ คือคนที่จับตัวคุณไป.แล้วเอาไปซ้อมนั่นแหละครับ”
ผมนึกออกทันที มันคือมือขวาของเจ้า โคอิจิ ที่พูดคุยกันเรื่องแผนยึดอำนาจตอนที่ผมแกล้งสลบอยู่แต่ตอนนั้นมันไว้ผมยาวไม่ได้หัวโล้นอย่างนี้ ผมเลยจำหน้ามันไม่ได้ในตอนแรก
ผมร้องบอกว่า เวรแล้ว พร้อมขยับตัวลุกอย่างรวดเร็วแล้วเอาตีนเหยียบยันมันจนตัวมันติดเบาะ ตามหลักการเปิดก่อนย่อมได้เปรียบมันจุกหน้าอก ร้อง อั๊กก คำหนึ่ง ผมก็เงื้อหมัดจะต่อยตาม มันรีบยกมือห้ามพูดว่า
“คุณโอกิครับฟังก่อนครับ ผมไม่ได้มาทำร้ายคุณตอนนี้ผมเป็นลูกน้องคุณแล้ว”
ผมชะงักไม่ได้ต่อยมัน แต่มองมันอย่างไม่ค่อยเชื่อใจเท่าไหร่มันเลยยกมือซ้ายให้ผมดู ข้อนิ้วก้อย กับข้อนิ้วนางของมัน ถูกพันด้วยผ้าพันแผลเหมือนเพิ่งถูกตัดออกไปไม่นาน จากนั้นพูดว่า
“ผมได้รับการละเว้นโทษตายจากคุณหนู แต่ต้องเสียนิ้ว 2นิ้วพร้อมโกนหัวห้ามไว้ผม จนกว่าจะทำคุณไถ่โทษได้คุณหนูเลยให้ผมมาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยคุณโอกิครับ”
ผมเห็นแบบนี้แล้วจึงพอจะเชื่อได้บ้าง เลยปล่อยมัน บอกเบาๆ ว่า
“งั้นก็ ขอโทษแล้วกัน”
คำขอโทษของผม ออกมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก เพราะยังนึกโมโหมันอยู่มันเลยพูดว่า
“ไม่เป็นไรครับ ..แต่นึกดูแล้วคุณโอกิก็สมควรโกรธผมจริงๆลองเป็นใครถ้าโดนจับไปทรมานสัก 3 วัน ไม่นึกอยากกระทืบไอ้คนจับไป ก็แปลกไปแล้ว”
“เออ.. รู้ก็ดีแล้ว และฉันก็อยากจะกระทืบแกจริงๆ”
ผมตอบมันอย่างเคืองๆ มันเลยหน้าเจือลงไปคงคิดว่าอนาคตของมันกับการเป็นลูกน้องของผมคงไม่ราบลื่นแน่ ผมเห็นสีหน้ามันมีแววสำนึกผิดทำให้ผมคิดถึงคำสั่งสอนของหลวงพ่อว่า อภัยได้ก็ควรอภัย มีมิตรมากดีกว่ามีศัตรูจะอย่างไรผมก็ต้องทำงานร่วมกับเจ้ามิซากิคนนี้ ผูกมิตรไว้ไม่ใช่เรื่องเสียหายดีกว่ามาคอยหวาดระแวงกัน ส่วนเรื่องที่แล้วมาก็ให้แล้วไปเถอะวะผมเลยไปตบบ่ามันแล้วยิ้มให้ บอกว่า
“พูดเล่นน่า เรื่องที่แล้วไปแล้วก็ช่างมันเถอะต่อไปนายก็อย่าเอาฉันไปซ้อมอีกก็แล้วกัน”
มิซากิ มีสีหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รับคำเสียงดัง และบอกว่า
“ถ้าคุณโอกิไม่ถือโทษผมต่อไปผมจะตั้งใจทำงานเพื่อคุณโอกิอย่างเต็มที่ครับ”
ผมฟังมันพูดแบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย เลยพอจะเปิดใจพูดคุยกับมันอย่างสนิทด้วยได้
มิซากิ พาผมไปที่อาคารหลังหนึ่งที่ดูหรูและทันสมัยมันเป็นอาคารที่เปิดเหมือนบริษัททั่วไป ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการลงทุน ในแหล่งสถานบันเทิงยามราตรีโดยมีหุ้นส่วนหรือเป็นเจ้าของอยู่กับสถานบันเทิงชื่อดังหลายแห่ง ในย่าน คาบุกิโจย่านโคมแดงสวรรค์นักเที่ยวยามราตรีในเขตชินจูกุ
ส่วนเบื้องหลังบริษัทนี้ คือที่ตั้งสำนักงานยากูซ่าของแก็งค์คิมิยะสาขาชินจูกุนั่นเอง ขณะที่รถกำลังเข้าเทียบจอดหน้าอาคาร ก็มีพนักงานออกมาตั้งแถวต้อนรับหลายสิบคนที่ด้านหน้าเมื่อผมลงจากรถ ทุกคนก็กล่าวคำทักทายพร้อมกันเสียงดังและโค้งคำนับผมรู้สึกค่อนข้างวางตัวได้ลำบาก เพราะไม่คิดว่า ตัวเองมันจะยิ่งใหญ่อะไรขนาดนี้
มิซากิพาผมไปที่ห้องทำงาน และอธิบายโครงสร้างต่างๆ ภายในแก็งค์คิมิยะร่วมถึงธุรกิจการทำงานให้ฟัง ผมถึงได้รู้ว่า แก็งค์ยากูซ่าตระกูลคิมิยะ แต่เดิมก่อตั้งโดยคน 3 คน คือ คิมิยะ ทาเอดะ โอชิมัสสึ โทกิ และ มาสึชิดะ โคสุเกะ พ่อของมาสึชิดะ โคอิจิ
ทั้ง 3คนรวมฟันฝ่าเส้นทางสายนักเลงมาด้วยกันและยกให้ ทาเอดะเป็นหัวหน้าจนตั้งเป็นแก็งค์ยากูซ่า ที่มีสมาชิก กว่า 3หมื่นคน จนขยายอิทธิพลครอบคลุมโตเกียวและเมื่อ 20 ปีก่อน มาสึชิดะโคสุเกะถูกล้อมจับและวิสามัญ ในคดีฆ่าคนตาย และค้ายาเสพติด
จากผลครั้งนั้น ทำให้ทาเอดะไม่อยากให้ยากูซ่าในแก็งค์ของตัวเองต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ในมุมมืดของสังคมรอวันถูกลงโทษจากกฎหมายบ้านเมืองเพราะตอนนั้น รัฐบาลญี่ปุ่นเริ่มเข็มแข็งขึ้นในเรื่องกฎหมาย และการใช้กำลังเข้าปราบปรามอย่างจริงจังกับการกระผิดกฎหมายของผู้มีอิทธิพล
ทาเอดะจึงเลิกการกระทำผิดกฎหมายในคดีใหญ่ๆทั้งหมดเพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นเป้ารัฐบาล เหลือไว้แต่การเปิดซ่องเปิดบ่อนและการเก็บค่าคุ้มครองแล้วหันมาทุ่มเงินทั้งหมดกับการลงทุนภาคธุรกิจถูกกฎหมายแทนโดยใช้อิทธิพลยากูซ่าเข้าช่วย ทำให้ทาเอดะเติบโตในภาคธุรกิจอย่างรวดเร็ว
แต่การตัดสินใจครั้งนั้นก็ทำให้เกิดการแตกแยกของสมาชิกที่ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกการกระทำผิดกฎหมาย เพราะมันเป็นผลประโยชน์มหาศาล และมองว่าทาเอดะขี้ขลาด จึงมีสมาชิกจำนวนมากแยกตัวออกไปเข้ากับแก็งค์ ยามากุชิ ที่มีฐานอำนาจอยู่โอซาก้าและดำเนินธุรกิจ ทั้งถูกและผิดกฎหมายไปพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นการค้ายาเสพติดค้าอาวุธ ค้าของเถื่อน ร่วมถึงการค้ามนุษย์ ยามากุชิทำหมด ทำให้ยามากุชิ เติบโตอย่างรวดเร็วจนขึ้นเป็นแก็งค์ยากูซ่าที่มีอิธิพลอันดับหนึ่ง
แต่กระนั้น ยามากุชิก็ยังไม่กล้าเปิดศึกกับ ทาเอดะ เพื่อชิงเขตปกครองในโตเกียว เพราะทาเอดะก็ยังรักษาฐานอำนาจในโตเกียวได้อย่างเหนียวแน่น เพราะมีการวางรากฐานไว้อย่างดีทั้งอิทธิพลทางเศรษฐกิจระดับสูง ทางการเมือง และยังมีสมาชิกยากูซ่า หลายพันคน ที่ดูแลกลุ่มธุรกิจสีเทาให้
เขตชินจูกุก็เป็นเขตหนึ่งที่เป็นแหล่งธุรกิจสีเทาที่ทำเงินให้กับแก็งค์คิมิยะและเป็นแหล่งหากินของยากูซ่า มีทั้งเปิดบ่อน เปิดซ่อง สถานเริงรมย์ เทค ผับไนท์คลับ บาร์ หรือโรงแรมม่านรูดและยังเก็บค่าคุ้มครองกับผู้ที่มาเปิดสถานบันเทิงในย่านนี้แล้วก็ยังปล่อยเงินกู้อีกด้วยเรียกว่าครบวงจรเลยทีเดียว
ขณะที่ผมฟัง มิซากิพูดอธิบายเรื่องราวต่างๆ และเรื่องงานอยู่นั้น จู่ๆประตูห้องก็ถูกเปิดออกและมีหญิงสาวก้าวเข้ามา มิซากิ เมื่อหันไปเห็น ก็ต้องรีบดีดตัวลุก โค้งคำนับทันที
ผู้หญิงที่เข้ามาสวมชุดสูทผู้หญิงใส่กระโปรงสั้นและสวมถุงน่องอย่างกับนักธุรกิจ เธอก็คือเรกะนั่นเอง
ส่วนผมนั่งมองเธออย่างดีใจที่ไม่คิดว่าเธอจะมาหาผมที่นี่ ผมเลยไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นทักทายเธอยังไงดีเลยนั่งยิ้มบื่ออยู่แบบนั้น
เรกะ โบกมือให้มิซากิ ออกไปก่อนรอจนมิซากิออกไปจากห้องแล้ว เธอก็เดินมาหาผมที่หน้าโต๊ะทำงาน แต่เธอเห็นผมยังนั่งยิ้มเฉยๆก็เลยกระแอมไอเล็กน้อย ก่อนจะยิ้ม แล้วพูดว่า
“คุณโอกิ ไม่คิดจะทำความเคารพทักทายฉันหน่อยเหรอ ”
ผมเกาหัวแกรกๆ รู้สึกว่าเธอนี่ มาดเยอะจริงๆ แต่อย่างว่าตอนนี้เธอเป็นหัวหน้าแก็งค์ ดูแลงานแทนท่านประธานทาเอดะ ส่วนผมเป็นแค่หัวหน้าสาขาถ้าทำเป็นสนิทกับเธอแบบกันเองเกินไปก็อาจจะดูไม่เหมาะเท่าไหร่นัก ก็เลยลุกขึ้นโค้งคำนับเธอ พูดเสียงดังว่า
“สวัสดีครับคุณหนู”
น้ำเสียงผมออกแนวล้อเล่นและประชดเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่ได้สนใจ พูดว่า
“ดี …ให้มันรู้ซะมั่งว่าใครเป็นใคร”
ผมหัวเราะเล็กน้อย ที่เธอทำเป็นพูดข่มขู่ผมเล่นทำให้ผมอยากจะกอดเธอให้หายคิดถึง เลยเอื้อมมือไปจะไปดึงเธอเข้ามากอดแต่เธอกลับถอยตัวหลบ ชี้นิ้วมาที่ผม แล้วยิ้มอย่างรู้เท่าทันพูดว่า
“นั้นนายจะทำอะไร ลืมคำสัญญาที่ให้กับพ่อฉันแล้วเหรอ”
“แหม..ก็แค่อยากจะกอดให้หายคิดถึงนิดเดียวก็ไม่ได้”
เรกะ ยิ้มหน้าแดงเหมือนใจละลาย ที่ฟังผมบอกเธอว่าคิดถึงภาพราชินีน้ำแข็งนั้นหายไปเหลือแต่สาวน้อยที่กำลังล้นเปี่ยมไปด้วยความรักหน้าเธอแดงมะเรื่อและมีรอยยิ้มที่ดูสุขใจ ผมเห็นเธอยังเฉยอยู่ก็เลยแกล้งทำเป็นถอนหายใจอย่างผิดหวัง เธอเห็นแล้วคงสงสาร บอกว่า
“ก็ได้.. แค่กอดนะ”
ผมเลยยิ้มปรี่ออกมา เข้ามากอดเธอเธอมีอาการสะท้านอายเหมือนสาววัยรุ่นที่ถูกคนรักกอดครั้งแรกแต่ผมยิ่งกอดเธอยิ่งรู้สึกโหยหา จนกอดเธอแน่นแนบกับอก แล้วจูบหอมผมบนหัวเธอเธอเหมือนเคลิ้มไปชั่วขณะใช้มือโอบกอดผมตอบ พูดถามเบาๆว่า
“นายคิดถึงฉันขนาดนี้เลยเหรอ”
“อืมส์”
ผมครางรับเบาๆ
“นายลืมคนรักเก่านายไปหมดแล้วหรือไง”
“ไม่ลืมหรอก..แต่ฉันคิดว่าเธอพิเศษกว่าคนอื่น..เธอทำให้ฉันคิดถึงเธอตลอด”
“ที่ฉันพิเศษกว่าคนอื่นเพราะฉันเป็นลูกสาวยากูซ่าที่บันดาลอะไรให้นายได้ทุกอย่างหรือไง”
“เปล่า เพราะเธอคือเรกะ คนที่ติดอยู่บนเกาะกับฉันต่างหากช่วงเวลาความสุขบนเกาะนั้น มันทำให้ฉันคิดถึงเธออยู่ทุกวัน”
เรกะ ยิ้มจนเหมือนเศร้า นึกถึงความสุขที่อยู่บนเกาะร้าง จนพูดเบาๆว่า
“ฉันก็คิดถึงนาย”
แล้วเธอก็เคลิ้มหลงไหลไป กับอ้อมกอดของผม จนผมเองก็เผลอไผลเอามือลูบเข้าไปใต้กระโปงตรงแก้มก้นของเธอสัมผัสถุงน่องครึ่งตัวที่ห่อหุ้มแก้มก้นของเธอที่แน่นมือทำให้ผมเกิดอารมณ์จนเกินหักห้ามใจ แต่แล้วผมก็ต้องหยุดลูบไล้ เมื่อเรกะพูดเบาๆอยู่ในอ้อมกอดผมว่า
“อย่าได้คิดเชียว รู้จักหักห้ามใจซะบ้าง เผลอไม่ได้เลยนะ”
ผมเลยต้องเอามือออกและหัวเราะแก้เก้อ เรกะเงยหน้าขึ้นมาจ้องผมพูดต่อว่า
“นายจำสิ่งที่นายเคยเล่าให้ฉันฟังไม่ได้แล้วเหรอว่าชีวิตนายต้องพลัดพรากจากคนที่รัก เพราะขาดความยับยั้งชั่งใจ และไม่รักษาสัจจะนายจะให้มันเกิดขึ้นอีกหรือไง”
ผมไม่คิดว่าเธอจะจำคำพูดผมได้ขนาดนี้เลยต้องตัดใจข่มอารมณ์เงี่ยนตัวเอง แล้วพูดว่า
“ผมไม่ยอมเสียคุณไปเด็ดขาด”
เรกะ ยิ้มแล้วพูดว่า
“ดีมาก.แล้วฉันจะรอวันนั้น ตั้งใจทำงานหละ ฉันต้องไปแล้วอยู่นานก็จะเป็นที่ครหา”
เรกะ ยืดตัวเขย่งมาหอมแก้มผม เป็นการบอกลาโดยที่ผมยังมีอาการเซ็งจากการเงี่ยนค้าง เธอหัวเราะอย่างนึกสมเพศและสงสารผมแล้วเธอก็เดินออกไป แต่ก่อนจะออกนอกประตู เธอก็หันมาบอกว่า
“ถ้าเงี่ยนนัก ก็ไปหาที่ระบายได้ ฉันอนุญาต แต่จำไว้ว่าฉันต้องเป็นที่หนึ่งในใจคุณ”
“คุณไม่หึงเหรอ”
ผมถามส่วนออกไป
“แต่ก่อนฉันหึง แต่วันนี้ฉันไม่อีกแล้ว เมื่อฉันรู้ว่าคนที่คุณรักที่สุดคือฉันอ๋อ..นายต้องไปขอบคุณนามิ เพราะนามิบอกฉันว่า คนที่นายรัก คือผู้หญิงที่หักอกนายและทิ้งนายลงจากฮอลิคอปเตอร์แต่นายก็ยังคิดถึงเธออยู่”
เรกะ พูดให้ผมงง แล้วเธอก็ออกไป จนผมมานึกได้ทีหลัง ว่า เรกะตอนที่หึงผม คงเอาตัวนามิไปคุยด้วยแน่ๆ และนามิคงปฏิเสธว่าเธอไม่ใช่คนรักผมและคงบอกว่าคนที่ผมรักจริงๆเป็นใคร เพราะผมเคยบอกนามิเกี่ยวกับผู้หญิงที่หักอกผมและทิ้งผมจากฮอลิคอปเตอร์ ซึ่งนามิไม่รู้ว่าเป็นเรกะเธอบอกไปอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่ก็ทำให้เรกะไม่ทำอะไรเธอ
ถึงว่า ช่วงหลังมานี่ นามิหายไปจากชีวิตผมเลยเธอคงกลัวว่าคบกับผมแล้วจะเดือดร้อน ผมไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีที่อนาคตจะได้เรกะเป็นเมีย หวังว่าวันหนึ่งเธอคงไม่หึงโหดขนาดฆ่าผมหรอกมั่งแล้วตอนนี้เธอบอกว่าไม่หึงแล้วนี่มันจะเชื่อได้แค่ไหนว่ะทางทีดีอย่าเสี่ยงเป็นดีที่สุด
วันนั้นผมจึงเริ่มต้นทำงานเป็นหัวหน้าสาขาชินจูกุงานก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่ดูแลสาขา เก็บเงินรายได้ที่เข้ามา ดิวตำรวจส่งส่วยให้กับสาขาใหญ่ และก็ดูแลควบคุมลูกน้องแจกจ่ายงานให้พวกมันทำตรงกับความสามารถ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีรากฐานที่ทำมากันก่อนจนอยู่ตัวอยู่แล้ว
งานทุกอย่างผมก็ไม่ต้องออกหน้าเองมีคนจัดการให้หมด เหมือนผมมานั่งเป็นแมวให้หนูมันกลัวว่ามีหัวหน้าสาขาอยู่เท่านั้นผ่านไปหนึ่งเดือน ก็ยังนึกไม่ออกว่าผมจะมีผลงานอะไรให้เป็นที่ยอมรับจนได้แต่งงานกับเรกะวะเพราะรู้สึกว่ามานั่งวางงานเฉยๆ ไม่มีอะไรทำ
ตอนนั้นรู้สึกเซ็งๆ อยากออกไปเดินเล่นมิซากิก็จะตามมาด้วยพร้อมลูกน้องอีกสี่ห้าคน ผมก็บอกว่าไม่ต้องอยากเดินเล่นคนเดียวมิซากิที่แรกก็ไม่ยอม เพราะกลัวเกิดอันตรายขึ้นกับผม ต้องการให้มีคนคุ้มกันแต่ผมคิดว่า ผมเดินคนเดียวไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอก แต่เดินกับพวกมันเนี่ยไม่แน่เพราะพวกมันจะเดินตามผมเป็นพรวนแบบประกาศศักดา ใครดูก็รู้ว่าผมเป็นหัวหน้าถ้าจะมีใครลอบฆ่าละก็มันคงฆ่าไม่ผิดตัวแน่
แต่ที่มิซากิห่วงไม่ได้ห่วงคนจากแก็งค์อื่นลอบฆ่าหรอก แต่ห่วงคนแก็งค์เดียวกันเนี้ยแหละเพราะสมาชิกลูกกระจ๊อกที่หากินอยู่แถวนั้นมันไม่เคยเห็นหน้าตาหัวหน้าก็มีเยอะไปคนเดียวเผลอๆ โดนลูกกระจ๊อกตัวเองเล่นงานเอา เมื่อผมยืนกรานจะไปคนเดียวมิซากิเลยให้ผม ติดกระดุมเข็มกลัดของแก็งค์ไว้ที่ปกคอเสื้อถ้าพวกสมาชิกในแก็งค์เห็นก็จะรู้ตำแหน่งของผมทันที
ผมก็เลยทำตามที่มิซากิบอกแล้วออกไปเดินเล่น แถว คาบุกิโจ แหล่งโคมแดงที่มีชื่อเสียงที่สุดในโตเกียวและอยู่ในเขตปกครองของผมเอง
ย่านนี้ดูสว่างไสวไปทั้งย่านด้วยป้ายจอโทรทัศน์ที่ใช้โฆษณาร้านตั้งตระหง่านสูงเต็มพรึบไปหมด มันดูเป็นย่านที่เจริญด้วยแสงสีและอารยะธรรมแห่งกามารมณ์ ที่ล่อให้เหล่าบรรดานักเที่ยวยามค่ำคืนทั้งในและต่างประเทศมาแสวงหาความสุขกันแบบ อิคึ คิมูจี้ กันอย่างล้นหลาม เหมือนกับวอร์กกิ้งสตรีทที่พัทยา
และเป็นหนึ่งในสถานที่เที่ยวที่คนไทยนักเที่ยวถ้ามีโอกาสก็อยากมาสัมผัสถนนสายกิเลสเส้นนี้อย่างมากเพราะมีทั้งร้านนวดกระปู๋สไตล์ญี่ปุ่น ร้านเปิดให้ลวนลามสาวแบบจัดฉากเป็นตู้รถไฟเหมือนในหนังเอวีหรือกินซูชิบนร่างสาวเปลือย ถ้าชอบแนวนายท่านก็มีร้านให้บริการเล่นทาสสาวเมทหรือจะชอบคุณคอสเพลย์ก็มีให้บริการ เรียกได้ว่าอะไรที่เห็นในหนัง Av แล้วคุณอยากลองทำหรืออยากมีความสุขอย่างนั้นบ้าง ที่นี่มีให้ลองหมด แต่ส่วนใหญ่ร้านใหญ่ๆ ดังๆ สนนราคาเรียกว่าตึงมือเลยทีเดียวถ้าไม่มีเงินถุงเงินถังแล้วคิดจะมาหาความสุขแบบสุดเหวี่ยงนี่คงอยากสักหน่อย
ขณะที่ผมเดินชมสถานที่สองข้างทางอ่านป้ายโฆษณาแหล่งบันเทิงว่าที่ไหนให้บริการอะไรยังไงอย่างเพลินใจอยู่นั้นก็มาสะดุดกับป้ายไฟ เล็กๆ ที่ตั้งกับถนน เขียนว่า ขึ้นสวรรค์กับสาวเอวีราคาไม่แพงแล้วก็มีลูกสรชีไปที่ร้านเล็กๆในตอกแคบๆ ลึกเข้าไปจากถนนใหญ่ 20 กว่าเมตรผมลองเดินเข้าไปดูหน้าร้านเห็นป้ายโฆษณา ติดรูปดาราดังๆเต็มไปหมด แล้วมีราคาบอกว่าหมื่นเย็น ก็ประมาณ 3 พันบาท ซึ่งถือว่าถูกมาก ถ้าคนที่อยู่ญี่ปุ่นเห็น ก็รู้ได้ทันทีเลยว่าแม่งหลอก เพราะหน้าดาราที่มันเอามาขึ้นแต่ละคนค่าตัวเล่นหนังเอวีแต่ละเรื่องได้กันหลักล้าน ใครจะมานั่งขายตัว ทีละ 3พันสงสัยมันจะทำไว้หลอกนักท่องเที่ยวต่างชาติ
แล้วก็จริงอย่างที่ผมคิดเมื่อมีนักท่องเทียวคนหนึ่งโวยวาย และโดนผู้ชาย 2 คนจับโยนออกมาพอนักท่องเที่ยวคนนั้นยังไม่เลิกโวยวายผู้ชายสองคนนั้นก็เข้ามาพักอกเหมือนจะทำร้าย จนนักท่องเทียวคนนั้นต้องยอมเงียบแล้วเดินหนีจากตรงนั้น
“เหี้ยเอ้ย โครตซวยเลย นึกว่าจะได้เย็ดสาวเอวี แม่งเสือกเจอผีญี่ปุ่นหมดไป 2หมื่นกว่าเยนไม่ได้เหี้ยอะไรเลย แม่งหลอกกูนี่หว่า สัด”
นักท่องเที่ยวคนนั้นเดินบ่นผ่านผม ทำให้ผมรู้ว่ามันเป็นคนไทยเลยพูดทักว่า
“พี่มีอะไรเหรอ”
นักเทียวชาวไทย เลยหยุดมองผม แล้วยิ้มอย่างดีใจที่เจอคนไทยด้วยกันทักว่า คนไทยเหมือนกันเหรอ ผมก็พยักหน้า นักเที่ยวชาวไทยเลยเล่าให้ฟังว่า
“ก็ไอ้ร้านเนี้ย มันบอกมีสาวเอวี มันชวนผมเข้าไปดูรูปผมเห็นแล้วก็เด็ดๆทั้งนั้น เลยอยากลองดูสักหน่อย ก็ถามว่าราคาเท่าไหร่มันบอกหมื่นเย็น ผมเห็นว่าไม่แพงมากก็บอกตกลง แล้วมันก็ให้เลือกคนในรูปผมก็เลือกมา แล้วก็จ่ายเงินมัน แต่พอขึ้นห้อง มันจะเก็บค่าห้องอีกหมื่นหนึ่งและค่าเซอร์วิสอีก5พัน ผมก็เอาวะ ไหนๆ ก็ไหนๆแล้ว ถ้าได้คนในรูปยังไงก็ถือว่าพอรับได้แต่มันพามาให้ หน้าตามันไม่เหมือนในรูปเลย ต่างกันฟ้ากับเหวถ้าผมต้องจ่ายเงินขนาดนี้ แล้วเย็ดกับผีญี่ปุ่นละก็ ผมอยู่โรงแรมนอนชักว่าวดีกว่าผมก็เลยไม่เอาจะขอเงินคืน มันไม่ให้บอกว่าตามน้องเข้ามาแล้วถึงไม่เอาก็ต้องจ่ายอยู่ดี มันเลยถามผมว่าจะเอาไม่เอา ผมก็เลยโวยวายมันก็เลยไล่ผมออกมาเนี่ย เงินก็ไม่คืนด้วย”
ผมเคยทำงานเป็นลูกเรือยอร์ช และคอยบริการนักท่องเทียวมาก่อนรู้ว่าหัวใจหลักของการท่องเที่ยวคือความซื่อสัตย์และจริงใจกับนักท่องเที่ยว และจะทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกอบอุ่นใจและอยากกลับมาใช้บริการอีกครั้งและที่เกลียดที่สุดคือ การเปิดร้านหลอกลวงแบบวางเบ็ดล่อเหยื่อโดยรอเหยื่อมาติดกับแล้วขูดรีดเอาเงิน ซึ่งมันจะทำลายการท่องเที่ยวอย่างแรงจนนักท่องเที่ยวขยาดที่จะมาเที่ยว
แล้วถ้าย่าน คาบุกิโจ มีร้านแบบนี้เยอะๆจนชื่อเสียงเสียหาย มันก็ส่งผลต่อการท่องเที่ยวในย่านนี้ทั้งหมดและรายได้ของสาขาชินจูกุของผมก็จะพลอยไม่ดีไปด้วย ดังนั้นผมคงปล่อยไว้ไม่ได้ผมเลยบอกว่า
“พี่เดี๋ยวพี่รออยู่นี้นะ เดี๋ยวผมเอาเงินมาคืนให้”
แล้วผมก็แกล้งเดินผ่านหน้าร้าน เหมือนนักท่องเที่ยวสนใจมาใช้บริการผู้ชายที่นั่งหน้าร้านรีบลุกขึ้นมาต้อนรับ ผมก็แกล้งพูดภาษาอังกฤษงูๆปลาๆพอสื่อสารเข้าใจกันได้ มันชักชวนให้ไปคุยข้างในร้าน ผมก็เข้าไปแล้วเอารูปมาให้ผมเลือก บอก หมื่นเย็น ผมเลือกมา 2 คนแล้วจ่ายไป 2 หมื่นเยนแล้วผมก็เปลี่ยนเป็นพูดภาษาญี่ปุ่นว่า
“สองหมื่นเยน สำหรับ เออิมิ โยชิกาวา กับ ซากุระ มานะ มันช่างถูกแสนถูกว่าแต่พวกแกจะตามตัวมาให้ฉันได้จริงๆ เหรอวะ”
ผู้ชาย 2 คนนั้นตกตะลึงมองหน้ากัน ก่อนจะมองมาที่ผม แล้วพูดว่า
“นี่แก ไม่ใช่นักท่องเที่ยวนี่หว่า คิดจะมาหาเรื่องกันหรือไงรู้มั๊ยที่นี่เขตของใคร วอนตายซะแล้ว”
มันพูดพร้อมเดินมาโอบหน้าโอบหลัง คิดจะรุมอัดผม แต่ผมก็เตรียมพร้อมแล้วพูดว่า
”