กามลิขิต ชีวิตหฤหรรษ ตอนที่ 3
โดย saradio
ผมมาถึงตัวจังหวัดก็เกือบมืด อ้อ ลืมบอกว่าผมอยู่เชียงใหม่จังหวัดนี้ที่ตัวเมืองก็คึกคักไม่แพ้กรุงเทพหรอก ผมยังไม่รู้จะไปไหนก็เดินเตร็ดเตร่อยู่ตรงท่ารถขนส่ง กะว่าถ้ามืดก็นอนมันแถวนี้ก่อน เช้าค่อยว่ากัน
ระหว่างที่ผมนั่ง งงงวย อยู่กับชีวิตเหมือนคนพเนจรไร้ทิศทาง จู่ๆโทรศัพท์ที่น้าแก้วซื้อให้ก็ดังขึ้นผมคิดว่าน้าแก้วโทรมา แต่เบอร์ก็ไม่ใช่ ผมกดรับอย่างสงสัย
“สวัสดีครับ”
“เออ.. ไอ้ใหญ่เหรอ นี่กูเอง”
เสียงหวนๆ ห้าวๆ ที่คุ้นหูอยู่ทักกลับมา แต่ผมยังนึกไม่ออกว่าใครเลยถามไปอย่างซื่อๆ
“กู นี่มันใครครับ”
“ไอ้ห่า ก็กูไง พี่จันหนะ มึงจำเสียงกูไม่ได้หรือไง”
“อ๋อ พี่จัน ครับๆ จำได้ครับ”
ผมตอบไปอย่างดีใจ ที่มีคนรู้จัก โทรหาผมในเวลาแบบนี้เพราะตอนนี้ผมเหมือนตัวคนเดียวโดดๆ
“เออ เรื่องของมึงกูรู้แล้ว แก้วมันบอก มันขอให้กูเอามึงไปทำงานด้วยตอนนี้ มึงอยู่ไหน กูจะไปรับ”
“จะ จริงเหรอครับเออตอนนี้ผมอยู่ขนส่งที่ตัวเมืองครับพี่”
ผมดีใจรีบบอกออกไปเพราะตอนนี้เหมือนมีที่คุ้มกะลาหัวแล้ว
“เออ มึงรออยู่นั่นแหละ เดี๋ยวกูไป”
ผมดีใจรีบตอบกลับว่า ครับๆ แล้วพี่จันก็วางสายไป ผมรอด้วยใจจดจ่อจนผ่านไปเกือบชั่วโมง พี่จันก็โทรมาบอกว่าถึงแล้ว อยู่ที่ลานจอดรถ ผมจึงรีบออกไปหาพอถึงลานจอดรถ ก็เห็นพี่จันยืนรออยู่คู่กับรถปิ๊กอัพต่อหลังคาที่เอาไว้ขนของเร่ไปขาย
พี่จันพอเห็นผมก็ก้าวเดินเร็วๆมาหาผมมาฉุดมือผมไปหลังรถก่อน เหมือนมีอะไรจะพูดด้วย แล้วพี่จันก็บอกว่า
“ลูกสาวกูอยู่ด้วย เรื่องอีแก้วมึงไม่ต้องพูดถึงเลยนะถ้าอีห่านี่มันรู้ มันเอากูตายแน่ บอกว่ามึงเป็นญาติห่างๆกับกู มาขอทำงานด้วย”
ผมมองไปที่หน้ารถเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ ก็พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็พยักหน้ารับแล้วพี่จันก็บอกให้ผมขึ้นหลังรถ ผมก็ขึ้นไป แล้วแกก็ขับรถออกไปผมไม่ได้ถามว่าพี่จันไปไหน แต่ไปไหนก็ไปเหอะ ผมไม่มีทางเลือกอยู่แล้วผมหลับไปหลังรถงีบใหญ่ จนรถจอดเหมือนถึงที่หมาย
เป็นเขตอำเภอที่ติดๆกับตัวเมืองที่นี้เหมือนกำลังมีงานเตรียมจัดงานกันแต่ไม่ใหญ่เหมือนงานจังหวัดที่ผมมากับน้าแก้วคราวที่แล้ว ผมมาถึงก็ได้ทำงานเลยเพราะพี่จันเตรียมมาขายของที่อำเภอนี้ ผมช่วยแกกางเต็นลงของจัดแผงตอนนั้นถึงได้มีโอกาสเห็นหน้าลูกสาวพี่จัน เธอชื่อ กิ่ง อายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมไม่รู้อ่อนกว่าหรือแก่กว่า แต่ผมก็เรียกพี่เพราะหลวงพ่อสอนให้ผมรู้จักพูดจานอบน้อมถ่อมตน มันจะเป็นเมตรามหานิยมที่ดีกว่ามนต์คาถาหรือวัตถุมงคล
เขาบอกว่าชายเจ้าชู้มักมีลูกสาวสวยและจะกลัวลูกสาวมันก็จริง กิ่งก็เป็นผู้หญิงที่สวยคนหนึ่งหน้าคมเข้มตาโตจมูกโด่งได้พ่อ แต่ผิวขาวคงได้แม่ เพราะพี่จันผิวดำแดงเธอเป็นคนสวยแบบที่หน้าออกต่างจังหวัดชัดเจน และเป็นเอกลักษณ์คือถ้าไปกรุงเทพก็ดูรู้เลยว่าไม่ใช่คนกรุงเทพ
และกิ่งเป็นคนรักสวยรักงามแต่งตัวเก่งแต่แต่งเวอร์ออกแนวล่อตะเข้ แถมจะดูหยิ่งๆ ตีหน้าบึงทำตาดุตลอดพูดจาก็เชื้อไม่ทิ้งแถวไปจากพี่จัน พ่อยังไงลูกก็ยังงั้น
“เฮ้ย มึงชื่อใหญ่ใช่มั๊ย กูจะได้เรียกถูก”
นี่คือประโยคแรกที่เธอทักผม พูดหยาบแบบบ้านๆแถมไม่มีรอยยิ้มด้วยเหมือนจะข่มกันกลายๆ ว่ากูคือลูกพี่ มึงคือลูกน้อง ผมก็ยิ้มรับหน้าตาซื่อๆ ซึ่งเป็นไม้ตายของผมเพื่อให้คนรู้สึกว่าผมไม่มีพิษมีภัย รับคำว่าครับ
“เออ มึงมาช่วยกูดึงผ้าเต็นท์อันนี้ไปทีสิ”
กิ่งใช้ให้ผมไปดึงคลีผ้าเต็นท์ ที่จะขึงกันอีกด้าน โดยเธอนั่งยองๆดึงขอบไว้ด้านหนึ่ง แล้วให้ผมเข้าไปดึงอีกด้าน ผมก็วางของที่ขนมาอยู่ลงและเดินเข้าไปก้มลงดึงผ้าเต็นท์ จังหวะก้มก็เห็นร่องนมขาวๆ ของกิ่งที่ใส่เสื้อกล้ามสีดำรัดรูปคอเว้ากว้างดันนมแทบล้นออกมานอกเสื้อนมของกิ่งถึงไม่ใหญ่เท่า น้าแก้ว แต่ก็ถือว่าพอตัว
“นี่ มึงแอบมองนมกูเหรอ”
กิ่งถามน้ำเสียงข้องใจ อย่างกับหาเรื่อง เมื่อเห็นสายตาผมมองไปที่นมของเธอผมก็เลยตอบไปแบบแกล้งโง่หน้าตายว่า
“เปล่าครับ ไม่ได้แอบมอง พอดีมันเห็นเอง”
แล้วผมก็รีบดึงปลายผ้าเต็นท์ถอยกลางออกไป อย่างไม่อยากต่อล้อต่อเถียงแต่กิ่งทำปากขมุบขมิบด่าผม สีหน้าขุ่นๆ ว่า กวนตีน
หลังจากตั้งเต้นท์เสร็จขนกางเกงยีนส์มือสองมาแขวนราว เตรียมวางขายสำหรับพรุ่งนี้เรียบร้อยพี่จันก็ทำเหมือนมีธุระออกไปข้างนอก บอก กิ่งว่า
“กิ่ง เดี๋ยวพ่อไปธุระก่อนคืนนี้ไม่กลับมานอนเต็นท์นะ เดี๋ยวตอนเช้ามา”
“อีกแหละ คราวที่งานจังหวัด ก็ไปทั้ง 7วันเลยปล่อยให้นู๋นอนเฝ้าเต็นท์คนเดียวตลอด”
“จะบ่นทำไมวะ พ่อก็มีธุระของพ่อสิ …ไอ้ใหญ่มึงก็ช่วยดูแลลูกกูด้วยอย่าให้ใครมาเกาะแกะหละ”
ประโยคหลังพี่จันหันมาสั่งผม อย่างกับใช้หมาเฝ้าสมบัติ ผมก็พยักหน้ารับกิ่งก็หน้ามุ่ย ไม่สนใจ ปล่อยให้พ่อจะไปไหนก็ไป ผมเดาว่า พี่จันคงจะนัดกิ๊กไว้แน่ๆหรือนัดกับน้าแก้ววะ แต่ไม่น่าใช่น้าแก้วเพราะน้าแก้วตอนนี้โดนผัวคุมแจกระดิกไปไหนไม่ได้แน่นอน ตอนแรกผมก็หวังไว้ลึกๆว่าพี่จันจะชวนผมไปด้วย แต่ลองบอกผมมาแบบนี้ คงไม่เอาผมติดไปยุ่มย่ามหรอก ผมคิดว่าพี่จันตอนนี้มองผมเป็นแค่ลูกจ้างหรือลูกน้องไม่ใช่ก๊วนร่วมสนุกเหมือนตอนที่อยู่ด้วยกันที่งานจังหวัด ตอนนั้นพี่จันยังเกรงใจผมบ้างปฏิบัติกับผมเหมือนน้องเหมือนนุ่ง แต่ตอนนี้สั่งได้สั่งเอาและใช้งานเหมือนขี้ข้าทำให้ผมแอบคิดว่า จริงๆแล้วพี่จันคงไม่อยากให้ผมมาอยู่ด้วยเท่าไหร่แต่ติดที่น้าแก้วเป็นคนขอ เลยต้องจำใจ เพราะฉะนั้นทางเดียวที่ผมจะอยู่รอดได้ คืออย่าลามปามอย่าร้องขอ เขาให้ทำอะไรก็ทำไป
คืนนั้นผมเลยนอนเฝ้าเต้นท์กับลูกสาวพี่จัน 2 คน เธอนอนอยู่บนเก้าอี้นอน ด้วยชุดเดิม คือกางเกงยีนส์ขาสั้นเสื้อกล้ามสีดำรัดรูปคอเว้า ดูทีวีแบบพกพา โดยเสียบไฟ้ฟ้าที่ต่อมาจากสถานที่ที่เขาเตรียมไว้ให้
แล้วจู่ๆ เธอก็ถามลอยๆมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุย ว่า
“ไอ้ใหญ่ มึงคนที่ไหนวะ”
ผมตอนนั้นนอนกับพื้นที่ปูด้วยผ้าเต็นท์ส่วนที่เหลือ หนุนหัวด้วยกระสอบใส่ผ้านอนอยู่ห่างออกมา กำลังเคลิ้มจะหลับ แต่ก็ต้องตื่นมาตอบว่ามาจากไหน เธอก็ถามอีกว่าเป็นญาติฝ่ายไหนกับพ่อ ผมก็โม้ไปตามที่เตี้ยมกับพี่จันเอาไว้ ว่าเป็นญาติห่างๆแล้วเธอก็ถามว่า
“แล้วมึงอายุเท่าไหร่วะ”
“18 ครับ”
“อ่าว.. งั้นมึงก็พี่กูอะสิ กูเพิ่ง 17ตอนแรกกูก็นึกว่ามึงอ่อนกว่า”
“ก็ไม่เป็นไร ตอนนี้จะเปลี่ยนมาเรียกพี่ก็ได้นะ”
ผมบอกเย้าเล่นๆ เพราะรู้สึกขัดใจเหมือนกันเวลาฟังผู้หญิงพูดมึงกูกับผม กิ่งพอฟังก็ขยับตัวชะโงกหัวจากเก้าอี้นอนมามองหน้าผมด้วยสีหน้าแกมดูถูก แกมขบขัน แล้วบอกว่า
“ไม่เป็นไรหรอก กูถือว่ามึงรุ่นเดียวกันก็แล้วกัน ง่ายดี”
เอ๊า อิห่า แล้วเสือกจะมาถามไล่กันอายุทำไม ผมแอบด่าในใจรู้สึกคันในหัวใจหยิ๊กๆ ในท่าทีกวนตีนของเธอ
เธอยังชวนผมคุยไปเรื่อยๆเหมือนแก้เซ็ง ส่วนใหญ่เธอเป็นคนพูดผมเป็นคนฟัง แล้วผมก็เออออหอหมกไปจากที่ถามไปถามมา หลังๆเริ่มบ่นเรื่องพ่อ เหมือนนินทาพ่อตัวเองให้ผมฟัง ยิ่งพูดยิ่งมันปากเหมือนได้ระบาย
ยาวเลยทีนี้ ผมรู้สึกว่ามันดึกมากประมาณตี 3-4 เพราะผมเริ่มง่วงจะหลับหลายรอบแล้ว แต่ต้องถางตาคอยฟังตลอดเธอพูดไปพูดมา ก็บอกว่า
“ไอ้ใหญ่ มึงนี่ก็เป็นคนคุยสนุกดีเนอะ ตอนแรกเห็นซื่อๆเซ่อๆนึกว่าเป็นคนโง่ซะอีก”
เออ กูแทบไม่ได้พูดเลย มึงก็พูดของมึงอยู่คนเดียวแหละกูก็แค่เออออไปเท่านั้น ดันบอกกูคุยสนุก เลยนึกถึงคำหลวงพ่อขึ้นมาเลย ว่ามนุษย์ทุกคนนิยมพูดมากกว่าฟัง ดังนั้นการเป็นคู่สนทนาที่ดี ไม่จำเป็นต้องพูดเก่งแต่ขอให้รับฟังคู่สนทนาเท่านั้น ก็ถือว่าเป็นคู่สนทนาที่ดีได้แล้ว ผมนึกถึงตอนนี้ต้องเผลอส่งเสียงสาธุยาวๆ ออกจากปาก จนกิ่งงง หันมามองผมอย่างฉงนกึงยิ้มกึงหัวเราะว่า
“มึงสาธุอะไรของมึง มึงนี่ตลกหวะคุยอยู่ดีๆ เสือกสาธุกูเฉยเลย”
ผมก็เลยหัวเราะบอกไปว่าละเมอ เธอหัวเราะและคงคิดว่าผมไม่เต็มบาทผมว่าตอนกิ่งยิ้มหรือหัวเราะด้วยความรู้สึกจริงๆเธอดูน่ารักกว่าตอนทำหน้าบึงเยอะเลย คืนนั้นพากันหลับไป ตี 4 กว่า จนเธอนึกเรื่องจะพูดไม่ออกนั้นแหละถึงได้เงียบหลับกันไป
หลังจากคืนนั้นความสัมพันธ์ระหว่างผมกับกิ่งก็ดีขึ้นเธอมักติดใช้ผมอยู่เสมอเหมือนเป็นคนใช้ส่วนตัว ไปไหนก็ชวนไปด้วยทำอะไรก็ต้องเรียกผมไปช่วย พี่จันก็จ้องจับสังเกตอยู่ เพราะแกเป็นคนหวงลูกสาว แต่ก็คงเห็นผมทำตัวเป็นลูกไล่ให้กิ่งไม่มีพิษภัยอะไรกับลูกสาวแก แกก็เลยไม่ได้ใส่ใจอะไร แถมยังคิดว่าดีเสียอีก จะได้ให้ผมคอยเป็นไม้กันหมาไอ้พวกที่ชอบมายุ่มย่ามกับลูกสาวแก
ผมอยู่กับพี่จันกว่า 4 เดือน เร่ขายกางเกงยีนส์ไปทุกตลาดนัดคำไหนก็นอนนั้น เงินค่าจ้างได้แค่พอมีติดกระเป๋า ได้วันละ 50 บาท แต่ก็กินอยู่พร้อมพักหลังๆ สบายหน่อย เพราะกิ่งชอบชวนผมเดินไปซื้อของกินด้วยกันตลอดแล้วเวลาผมจะกินอะไรเธอก็ซื้อให้ และที่สำคัญ เวลาพ้นสายตาพี่จันกิ่งชอบเดินเกาะแขนผมตลอด บางทีผมยังเสียวว่าพี่จันจะเห็นแล้วเข้าใจผมผิดเลยแต่ถ้าผมไม่ให้กิ่งเกาะแขน กิ่งก็จะแสดงอาการโกรธโดยงอนไม่พูดกับผมไป 3-4 วันผมก็เลยตามเลย และมันก็อุ่นนุ่มดีเวลาแขนผมเบียดโดนนมเธอ บางทียังทำให้ผมคิดฟุ้งซ่านไปถึงน้าแก้วเลย
“พี่ใหญ่ ดูนี่สิน่ารักมั๊ย”
เธอเกาะแขนลากผมไปดูที่คาดผม ที่เป็นรูปหูแมว ที่มีแม่ค้าวางแผงขายอยู่แต่ผมกำลังงง กับสรรพนามที่เธอเรียกผมที่เปลี่ยนไป ทุกทีเรียกใหญ่ เฉยๆหรือไม่ก็ไอ้ใหญ่ วันนี้มาแปลก เรียก พี่
“เมื่อกี่ กิ่งเรียกผมว่า อะไรนะ”
ผมถามหน้ามึนๆ ไม่ได้ดูหูแมว
“ก็เรียกพี่ ไง ทำไม”
“อ่าว ทุกที่ ก็ไม่เห็นเรียก ทำไมวันนี้เรียก”
“พี่จะถามทำไมเนี้ย กิ่งเรียกพี่ ว่าพี่ไม่ดีเหรอ”
กิ่งแสดงอาการหงุดหงิดใส่ผม แต่หน้าแดงเป็นมะเรื่อผมก็เลยต้องยิ้มเอาใจบอกว่า
“ก็ดี ยังงี้กิ่งค่อยดูหน้ารักหน่อย”
พอผมบอกว่าเธอน่ารัก เธอมีอาการยิ้มเขินจนเห็นชัด แล้วเธอก็ยิ้มแบบอายนิดๆบอกผมเบาๆ ว่า
“ซื้ออันนี้ให้หน่อยดิ”
เธอชี้ไปที่ ที่คาดผมรูปหูแมว ผมก็เลยถามแม่ค้าว่าอันเท่าไหร่ ก็ราคา20 บาท ผมก็ซื้อให้ เธอก็ดูดีใจแบบแปลกๆตอนนั้นผมยังไม่เอะใจเท่าไหร่ว่ากิ่งเริ่มคิดอะไรกับผมแล้ว
จนวันหนึ่ง พี่จันก็ทิ้งผมกับกิ่งเฝ้าเต้นท์ขายของ แล้วตัวเองก็บอกไปทำธุระอีกตามสไตล์ พอ สี่ทุ่มคนเดินตลาดเริ่มหมด กิ่งก็ชวนผมปิดร้าน เอาผ้าเต็นท์มาขึงปิดแล้วก็ไปอาบน้ำที่ห้องน้ำตลาด คืนนั้นกิ่งมีพฤติกรรมแปลกๆ คือหลังจากอาบน้ำเสร็จปกติจะดูทีวีและชวนผมคุยจนหลับ แต่คืนนี้ไม่ดูทีวีหลับเลย พอผมจะดูเธอก็บอกว่าหนวกหูจะนอน ผมก็เลยไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยต้องนอนเลยนะแหละ เธอลุกมาปิดไฟซึ่งทุกทีจะเปิดทิ้งไว้ไม่เคยปิด ตอนแรกผมคิดว่าเธออารมณ์ไม่ดีอะไรสักอย่างหรือไม่ก็แสงไฟแยงตานอนไม่หลับก็เลยไม่ได้ถามอะไร ล้มตัวลงนอน ยังไม่ทันจะหลับก็เห็นเงากิ่งลุกขึ้นมาจากเตียงพับเดินมาที่ผม แล้วนั่งลงข้างผม แล้วล้มตัวนอนเบียดผมให้เถิบไป แล้วพูดสั้นๆว่า
“เถิบหน่อยนอนด้วยคน”
ผมกระเถิบตัวไปตามสัญชาติญาณ แล้วเธอก็นอนกอดผม เอาหน้าคว่ำมุดซุกไหล่หลบหน้าปกปิดความหน้าไม่อายของตัวเองมันเป็นการให้ท่า ที่ตรงไปตรงมามาก แสดงออกกันแบบโต้งๆ ผมนี่เหวอไปเลย
เธอไม่พูดไม่ไหวติงเหมือนกับรอให้ผมจัดการยังไงก็ได้ผมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งว่าทำดีหรือไม่ดี ถ้าผมไม่ทำผมก็ควายในสายตาเธอและอย่าหวังว่าจะมีโอกาสอีก เพราะถ้าเธอเสียหน้าครั้งนี้เดาว่าเธอคงจะไม่ทำอะไรแบบนี้อีก เพราะคงอายและเข็ด แต่ถ้าทำมันก็เสียวว่าพี่จันจะรู้แล้วผมจะเป็นยังไง
………………………………………
โปรดติดตามตอนต่อไป