กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 40

กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 40

กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 40
โดย saradio

หลังจากเสร็จศึกกับม้าเท้งแล้ว ผมจึงได้มีเวลากลับบ้าน ขณะนั้นผมอยู่กับตูตู้หลุนที่ค่ายทหาร เพราะยามศึกยามสงครามตูตู้หลุนมักอยู่ข้างกายผมเสมอ เพื่อทำหน้าที่เป็นองครักษ์ โดยนางจะแต่งกายคล้ายบุรุษแล้วคอยติดตามอยู่ข้างกายผมตลอด
เมื่อได้เวลากลับบ้าน ผมกับตูตู้หลุน จึงพากันขึ้นม้าควบขี่ออกจากค่าย แล้วให้ม้าวิ่งย่างเยาะๆ ไปตามถนนในเมือง เพื่อมุ่งตรงไปยังจวนของผมที่อยู่ยังใจกลางเมืองเตียนอัน
ยามนั้น นึกถึงหวนเตียวตายอย่างไม่สมควร เป็นที่ท้อแท้รันทดนัก เพราะหวนเตียวตามอุปนิสัย ถึงจะเป็นคนดูโผงผาง พูดจาไม่คิด แต่ก็ไม่ใช่คนคิดคดต่อเพื่อนฝูง ยิ่งเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายกันมาอย่างพวกลิฉุย กุยกี มีแต่หวนเตียวจะช่วยปกป้อง การที่จะไประแวงมันว่ามันจะคิดทรยศนั้น มองยังไงผมก็คิดว่าเป็นไปได้ยาก แม้กระทั้งครั้งหนึ่ง ผมเคยขอให้มันช่วยดำเนินแผนอุบายเล่นงานตั๋งไป่ เพื่อจะได้ตั๋งไป่มาเป็น

อนุ มันก็เต็มใจช่วยเหลืออย่างเต็มที่ โดยไม่เห็นเป็นเรื่องไร้สาระ นึกแล้วก็น่าเศร้าใจที่มันต้องมาตายด้วยน้ำมือของลิฉุย หากมันตายในสนามรบ ผมก็คงไม่เสียใจเท่านี้
นึกแล้วพลันใคร่อยากหาสุราดื่มดับอารมณ์ จึงชักชวนตูตู้หลุนแวะหาเหลาสุราดื่มกันก่อน จึงได้แวะเหลาสุราร้านหนึ่ง นั่งดื่มกินกับตูตู้หลุนสองคน
ตูตู้หลุน เห็นผมเหมือนกำลังมีเรื่องครุ่นคิดเหนื่อยใจ พอสุรามาถึงโต๊ะ ก็ยกเทใส่จอกดื่มเอาๆ โดยไม่พูดจาสักคำ นางจึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า
“พี่เจ๋ง พี่มีเรื่องไม่สบายใจหรือ”
ผมพยักหน้าแล้วเทสุราลงจอกยกดื่มอีก ก่อนถอนหายใจยาว พูดระบายอารมณ์อย่างแช่มช้า ว่า
“เดิมที่ ข้าเพียงคิดแสวงหาอำนาจให้มีพอคุ้มกะลาหัว เพื่อให้พวกเราอยู่รอดพ้นกลียุคนี้ไปก็เท่านั้น ไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย แต่โชคชะตาเหมือนเล่นตลก ให้ข้าต้องไปร่วมหัวจมท้ายกับพวกลิฉุย จนผลักดันพวกมันเข้าสู้อำนาจได้ เลยเกิดความคิดอยากจะสร้างความสงบให้แผ่นดิน ประชาชนจะได้พ้นทุกข์เข็ญของภัยสงคราม เลยวางรากฐานนโยบายให้พวกมันปฏิบัติ หวังไว้ว่า พวกมันจะสามารถช่วยกันทำให้แผ่นดินเกิดความสงบได้ แต่ดูแล้วประวัติศาสตร์ก็คงต้องเป็นไปตามประวัติศาสตร์ ข้าคงจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ จะอย่างไรมันก็คงต้องเป็นไปตามนั้น”
ถึงผมจะไม่รู้อะไรในสามก๊ก แต่ก็รู้ประวัติศาสตร์ของประเทศจีนบางช่วงอย่างคราวๆ เพราะหลังจากหมดยุคโจรผ้าเหลืองแล้ว ก็จะเกิดกลียุคสงครามหัวเมือง เนื่องเพราะอำนาจราชสำนักฮั่นเสื่อมถอยอย่างรุนแรง ทำให้แต่ละหัวเมืองต่างแข็งเมืองตั้งตัวเป็นอิสระ และเข้าทำสงครามตีชิงแย่งดินแดนของกันและกัน เพื่อหมายครองความเป็นใหญ่
ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ผมคิดว่า มันคงใกล้ถึงจุดนั้นแล้ว เพราะราชสำนักฮั่นเสื่อมถอยมาตั้งแต่ยุคตั๋งโต๊ะ ไม่เคยได้รับการฟื้นฟู จนมาถึงยุคนี้ ผมจะวางแผนจะฟื้นฟูอำนาจส่วนกลางของราชสำนักฮั่น พวกลิฉุยกับกุยกีก็หลงระเริงอำนาจทำมันพังเสียก่อน และดูท่าจะรุนแรงกว่าครั้งตั๋งโต๊ะ เพราะพฤติกรรมของลิฉุยกับกุยกีในยามนี้นั้น กระทำการวางตัวเหนือกว่าฮ่องเต้อย่างโจ่งแจ้ง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีทางพลิกอำนาจส่วนกลางให้ฟื้นฟูขึ้นมาได้อีก เชื่อว่าอีกไม่นานหัวเมืองต่างๆ ก็คงเริ่มแข็งเมืองเป็นแน่
ผมคิดแล้วได้แต่ถอดถอนใจ ยกเหล้าเข้าปากดื่มไปอีกหลายจออก ตูตู้หลุนไม่รู้ว่าผมกล่าวอ้างประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงไม่ได้อันใด แต่ก็พอจับใจความโดยรวมได้ แถมเข้าใจสถานภาพของผมตอนนี้เป็นอย่างดี จึงเอื้อมมือมาข้างหนึ่งจับกุมมือผมไว้ พูดจาปลอบโยนว่า
“พี่เจ๋ง คิดอ่านทำเพื่อประโยชน์ของราษฎรทั้งปวง ข้าพเจ้าภูมิใจในตัวท่านนัก นับว่าบิดาข้าพเจ้ามองคนไม่ผิด ที่เลือกให้ท่านเป็นสามีข้าพเจ้า แต่ยามนี้ ลิฉุย กุยกี มีความหวาดระแวงพวกพ้องกันเอง กระทั้งท่านที่ช่วยเหลือพวกมันจนได้เป็นใหญ่ พวกมันก็ไม่แลเห็นความสำคัญเสียแล้ว เห็นทีรับราชการสืบต่อไป อาจจะมีภัยเหมือน หวนเตียว ข้าพเจ้าว่า พวกเราควรหลีกหนีจากพวกมัน หาที่สงบสักแห่งหนึ่ง อยู่กันตามประสาไม่ดีกว่าหรือ”
ผมฟังแล้วต้องหัวเราะอย่างเอ็นดู พูดจาปนเมามายว่า
“ต่อไปนี้ คงจะไม่มีที่ ที่มีความสงบกันอีกแล้ว ไม่ว่าที่ใดก็หนีไม่พ้นภัยสงคราม อีกทั้งตอนนี้ข้าเหมือนขึ้นขี่หลังเสือ หาทางลงได้ยาก แต่ถึงหาทางลงได้ ก็จะกลับกลายเป็นกระต่ายให้เสือไล่ล่าจับกิน เมียของข้าล้วนหน้าตาสวยน่ารักจิ้มลิ้มกันทั้งนั้น มีหรือผู้ที่เห็นไม่คิดหมายปอง หากวันหนึ่งข้าไร้ซึ่งอำนาจวาสนาแล้ว พวกเจ้าก็คงไม่แคล้วถูกผู้อื่นช่วงชิงเอาไป”
ตูตู้หลุนรับฟัง จนคิดตาม รู้สึกคับแค้นใจจนโมโห หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นจริง พลันหน้านิ้วคิ้วขมวด เค้นเสียงดังเฮอะ พูดด้วยอารมณ์โมโหว่า
“หากผู้ใดกล้าทำเช่นนั้นกับพวกเรา ข้าจะฆ่ามัน”
“หลุนเอ๋อ ต่อให้เจ้าเก่งกาจสักแค่ไหน ก็ฆ่าคนพวกนี้ได้ไม่หมดหรอก ฆ่าได้คนหนึ่งก็จะมีอีกคนหนึ่งโผล่มา สิ่งเดียวที่จะยับยั้งคนพวกนี้และปกป้องประชาชนตาดำๆได้ คืออำนาจแห่งรัฐที่เข็มแข็งและกฎหมายที่ศักดิ์สิทธิที่สามารถบังคับใช้ได้กับทุกชนชั้นเท่านั้น ถึงจะทำได้ ตอนนี้อำนาจรัฐอ่อนแอ กฎหมายใช้ได้แต่กับประชาชน หากเจ้าทำผิดก็ต้องรับโทษ หากแต่ผู้มีอำนาจหรือขุนนางทำผิด ก็สามารถเบี่ยงเบนกฎหมายจนพ้นความผิดไปได้ แล้วเจ้าจะอยู่รอดได้อย่างไร”
ในยุคสมัยสามก๊กสภาพสังคมมันก็เป็นเช่นนี้แล ผมถึงต้องดิ้นรนมาเป็นขุนนาง เพื่อสร้างความเป็นอภิสิทธิ์ชนให้กับตนเอง จะได้ไม่ต้องโดนใครข่มเหงได้ง่ายๆ และการจะให้ผมออกจากการเป็นขุนนางไปเป็นคนธรรมดาตามคำแนะนำของตูตู้หลุน มันก็เลยเป็นเรื่องที่ลำบากใจอยู่ จึงได้ยกเหตุผลบอกต่อตูตู้หลุน ตูตู้หลุนก็รับฟังและหาคำโต้แย้งไม่ได้ จึงได้แต่ทอดถอนใจ
ผมเห็นนางพลอยหดหูทุกข์ใจไปด้วย ก็เลยรู้สึกตัวว่าพล่ามมากไป สร้างความทุกข์ใจให้กับภรรยาไปเสียเปล่าๆ จึงแสร้งทำเป็นร่าเริงขึ้น พูดว่า
“เอาเถอะ เรื่องมันยังไม่เกิด มันก็ไม่แน่นอนอันใด ทุกข์ใจไปก็เปล่าประโยชน์ ก็คงต้องทำสิ่งที่ทำได้กันไป ก็หวังว่าลิฉุยกับกุยกีมันจะคิดเองกันได้บ้าง…”
พลันยกสุรารินใส่จอกทั้งของผมและตูตู้หลุน พูดต่อไปว่า
“อืม.. เมื่อคิดดูแล้ว เจ้ากับข้าก็ไม่เคยได้ดื่มเหล้ากันสองต่อสองเช่นนี้มาก่อน วันนี้ก็ถือโอกาสเมามายกันให้เต็มทีไปเลยก็แล้วกัน”
พลันส่งเหล้าให้ตูตู้หลุน คำพูดและกิริยาท่าทางของผม ปลุกอารมณ์ชาวยุทธจักรของตูตู้หลุนให้ตื่นขึ้น นางก็แย้มยิ้มรับไป แล้วพูดว่า
“ดี เมื่อพี่เจ๋ง อยากเมามาย ข้าก็จะเมามายเป็นเพื่อน วันนี้ไม่เมา ไม่เลิกลา”
ผมจึงดื่มเหล้าดวลกับตูตู้หลุน พลัดกันยกคนละจอก จนเมามายบ้าบอไปด้วยกันทั้งคู่ ผมว่าผมคอแข็งแล้ว ตูตู้หลุนก็ใช่ย่อย ดื่มกันจนเมามายสติหลุดรั่วกอดคอกันหัวเราะกันเริ่งร่า ก็ยังไม่มีผู้ใดยอมลง พลันเกิดอารมณ์สุนทรี บรรยากาศแบบนี้มันต้องมีเสียงเพลง เพียงแต่เพลงจีนโบราญนั้นผมไม่ถนัด แต่ชอบฟังเพลงประกอบเกมออนไลน์เกมส์หนึ่ง คือเกมส์เดชคัมภีร์เทวดา ที่ร้องโดย ฟักกลิ้ง ฮีโร่ เนื่อร้องนั้นเป็นเพลง rap ภาษาไทย แต่ใช่ทำนองจังหวะแบบเพลงจีนโบราณประยุกต์เพื่อให้เข้าบรรยากาศของเกมส์ ผมเลยแปลงเป็นภาษาจีน ร้องร่ำเป็นกลอนกึ่งrap ออกมา โดยใช้ตะเกียบเคาะจอกสุราให้จังหวะ พลันเริ่มเค้นเสียง ร้องทำนองกลาบกลอน สีหน้าอินไปกับบทความ ว่า
//ยุทธจักร หามีสิ่ง แท้จีรัง
มิตรรัก หรือศัตรู ชั่งยากแยก
อย่าถือความ กังวลมาก ดังลากแอก
จงอย่าแบก ความแค้น ไว้นานา
ไม่ต้องมาก กฎยุทธจักร ไปนักดอก
สหายร่วม ยกจอก หรรษา
โลกทั้งสิ้น ล้วนเป็น อนิจจา
ตามชะตา ที่ผ่านมา ก็ผ่านไป//
เมื่อจบกลอนก็เริ่ม rap อย่างเมามัน และเคาะจังหวะให้สนุกเร้าใจ
//กระบี่ว่าคมแค่ไหนใยตัดความรักไม่ยักกะขาด
สำเร็จคัมภีร์ปราบมารแต่มารในใจใยยิ่งผงาด
บูรพาไม่แพ้ใยแพ้เพลิงพิศวาส
มหาเวทย์ดูดดาวใยมิอาจดูดกลืนความพยาบาท
แสงแดดสาดมา มองด้วยตาเปล่าก็หรี่เท่ากัน
มีดสั้น ดาบทวน จะใช้ยาพิษ หรือกระบี่เกาทัณฑ์
มันตายเพราะอาวุธใด พอท่านแก่ไปก็ตายเหมือนมัน
หาได้มีใครจะอยู่ค้ำฟ้า ยาจกเศรษฐี หรือจอมราชันย์
ใยต้องแก่งแย่งกันทั้งปี เมื่อชีวิตนั้นสั้นลงทุกนาที
ยุทธภพได้แต่ฆ่าได้แต่ฟัน ได้แต่แย่งได้แต่ชิง ได้แต่ต่อยได้แต่ตี เอ้วว
บารมีมากไปใย เหมือนแบกสัมภาระแล้วเดินทางไกล
ปล่อยวางมายาลงเถิดสหาย แล้วใช้มือคู่นั้น ยกจอกเมรัย
เฮ้ย.. เสี่ยวเอ้อ ไปยกสุรา มาอีกไห
ยกจอกย้อมใจ ให้ไมตรีนั้นไม่เฉไฉ
กอดคอฝ่าอุปสรรค ปล่อยวางความแค้นที่หนัก
คืนนี้ข้าจะนั่งดื่ม แล้วยิ้มเยาะเย้ยให้ยุทธจักร// ฮ่าฮ่าฮ่า

ตูตู้หลุนไม่เคยฟังบทกลอน ที่มีทวงทำนองรู้สึกสนุกเร้าใจเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งเนื้อความก็มีความหมายตรงใจ ถึงกับปรบมือรัวๆ โห่ฮาอย่างชอบใจ จากนั้นพูดป่นหัวร่อว่า
“พี่เจ๋ง ท่านสุดยอดยิ่งนัก มามา ดื่มกันอีกจอก”
ยามนั้นไม่เพียงตูตู้หลุนเท่านั้นที่ชอบ แม้แต่คนที่นั่งกินเหล้าดื่มสุราก็หยุดฟังจนจบ แล้วปรบมือให้อย่างทึ่งในทวงทำนองและความหมายของบทกลอน
พลันมีคนผู้หนึ่งยกไหสุราเดินมาหาผมที่โต๊ะ คนผู้นี้ยังหนุ่มแน่น รูปร่างสะโอดสะอง หน้าตาหล่อเหลา แต่งตัวคล้ายบัณฑิตและสะพายกระบี่กับห่อผ้าไว้ข้างหลัง ดูไป การแต่งตัวก็คล้ายเล้งหูชงในหนังเดชคัมภีร์เทวดาอยู่ไม่น้อย
มันมาถึงก็วางไหสุราลงบนโต๊ะ และยิ้มทักทายยกประสานมือคาราวะ กล่าวแนะนำตัวว่า
“ข้าพเจ้า เรียกว่า กุยแก ไม่ทราบว่า พี่ชายท่านนี้ มีนามสูงส่งเรียกหาว่ากระไร”
ผมจึงประสานมือคาราวะตอบ พูดด้วยเสียงที่เมาอยู่หลายส่วนว่า
“ข้าพเจ้าเรียกว่า กาเซี่ยง ส่วนสตรีผู้นี้ เป็นภรรยาข้าพเจ้า นามว่าตูตู้หลุน”
กุยแก จึงได้มองสังเกตตูตู้หลุนใหม่ เพราะที่แรกมองไกลๆ นึกว่านางเป็นบุรุษ เนื่องเพราะนางแต่งกายด้วยชุดบุรุษ อีกทั้งยังเกล้ามวยผมรัดแบบบุรุษบวกกับรูปร่างทะมัดทะแมงและสูงกว่าสตรีทั่วไปของนาง ไม่ว่าผู้ใดก็เข้าใจว่านางเป็นบุรุษมากกว่าสตรี
แต่เมื่อได้เห็นใกล้ชิดแล้ว ทั้งยังได้รับคำแนะนำ จึงรู้ว่านางเป็นสตรี ทั้งยังเป็นสตรีที่มีหน้าตาสวยคมคาย จึงประสานมือคาราวะ กล่าวเรียกว่า ฮูหยินตู คำหนึ่ง จากนั้นก็หันมาพูดกับผมต่อไปว่า
“ที่แท้ ท่านก็คือ ท่านกาเซี่ยง ผู้โด่งดัง เห็นที่งานนี้ข้าพเจ้าคงไม่กล้านั่งร่วมดื่มกับท่านแล้ว”
ผมจึงหัวเราะ พูดเป็นกลอน อย่างติดลม ว่า
“ชื่อเสียง ลาภยศ ล้วนไม่จีรัง ชื่อเสียงโด่งดังใช่ว่าจะไม่ดับสูญ สหายเอ๋ย ถ้าอยากเมาก็เชิญนั่งเถิด”
กุยแก พอฟังก็หัวเราะชอบใจ พูดว่า
“ยากนักจะหาคนเช่นท่านได้ นับถือๆ ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าก็ไม่เกรงใจ ขอเมามายร่วมกับท่านสักครา”
พลันนั่งลง แล้วยกไหสุราชวนดื่ม ตอนนั้นจอกเจิกผมก็ไม่สน คว้าไหสุรามาชนดื่มร่วมกับมัน หลังจากดื่มไปอึกใหญ่ กุยแก ก็กล่าวว่า
“ข้านั่งฟังท่านร่ายเพลงบทกลอน เนื้อหาเป็นสัจจะธรรมสะท้อนใจ รู้สึกตรงใจยิ่งนัก จึงได้บากหน้ามาขอทำความรู้จัก ร่วมดื่มและร่ายบทกลอนกับท่าน”
ผมอดหัวเราะอย่างเสียมิได้ พูดว่า
“บอกกับท่านตามความสัตย์ บทกลอนที่ร้องร่ายเมื่อครู่ ล้วนแต่จดจำเขามา หาได้แต่งเองไม่ เกรงว่าท่านจะผิดหวังเสียแล้ว”
กุยแก มีสีหน้าอึงอนขึ้นมา แต่แล้วก็ปรากฏรอยยิ้มหัวเราะขึ้น กล่าวว่า
“พี่ท่านช่างเป็นคนเปิดเผยยิ่งนัก เอาเถอะ เมื่อมาแล้วไยต้องคิดมาก เราก็มาดื่มยิ้มเย้ยให้ยุทธจักรนี้ด้วยกัน”
ผมกับมันพลันพูดคุยกันถูกคอ จึงพูดคุยกันสรวนเสเฮฮาอย่างกับรู้จักสนิทกันมานาน พอได้พูดคุยกันหลายๆเรื่อง ก็พบว่ากุยแก เป็นคนชาญฉลาดมีภูมิความรู้กว้างขวาง และมีความคิดอ่านไม่ธรรมดา พลันคิดว่า เหตุไฉนคนมีความรู้ความสามารถอย่างมันถึงได้มาร่อนเร่พเนจรอยู่แบบนี้
จึงตัดสินใจถามมันตรงๆ ว่า
“ท่านกุยแก ท่านเองก็เป็นคนมีความรู้ความสามารถมาก ไฉนจึงไม่เข้ารับราชการสร้างหลักปรักฐาน กลับมาใช้ชีวิตร่อนเร่พเนจรอยู่แบบนี้”
กุยแก ทอดถอนใจ แล้วจึงว่า
“ใช่ว่าข้าพเจ้าเองไม่อยากรับราชการ ใจก็คิดอยากลงหลักปักฐานสร้างคุณประโยชน์ให้แผ่นดิน แต่ยามนี้ราชสำนักฮั่นอ่อนแอ หัวเมืองต่างๆล้วนแตกแยก ใจก็นึกใคร่ยากรวบร่วมแผ่นดินให้เป็นปรึกแผ่นเช่นดังเดิม แต่ติดที่ยังหานายดีฝากความหวังไว้ไม่ได้ ก็เลยยังไม่คิดรับใช้ผู้ใด”
ผมฟังแล้วต้องอึ้งไป เพราะอุดมการณ์มันยิ่งใหญ่นัก เมื่อเทียบกับผมแล้วช่างห่างไกลเหลือเกิน เพราะผมก็แค่คิดให้ตัวเองและครอบครัวอยู่รอดผ่านยุคสมัยไปก็เท่านั้น
แล้วกุยแกก็ย้อนถามผมว่า
“พี่เซี่ยง ท่านเองก็ดูแล้วมิใช่คนเห็นแก่ลาภยศ ทั้งยังมิใช่คนหลงใหลในอำนาจ หาไม่คงไม่ร่ายบทกลอนที่มีความหมายเช่นนั้นออกมา ไฉนท่านยังรับใช้ลิฉุยกับกุยกีอยู่ ยามนี้เห็นแน่ชัดแล้วว่า มันทั้งสองคน ล้วนมิได้ดำรงอยู่ในธรรมจะปกครองบ้านเมืองได้”
คำถามนี้ทำผมนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะถอนใจ พูดว่า
“เมื่อรับปากเขาแล้ว ว่าจะทำงานให้ ครั้งจะทิ้งหนีไปแต่กลางคัน ก็หาควรไม่ แม้ตอนนี้หนทางยังดูมืดมิด แต่ก็แอบหวังไว้ให้มีแสงไฟจุดติดส่งสว่างขึ้นมา เอาเถอะหน้าข้าวหน้าเหล้าอย่าได้พูดเรื่องเคร่งเครียดกันอยู่เลย สมควรพูดคุยเรื่องราวสังสรรค์กันดีกว่า”
กุยแก เห็นผมไม่ใครอยากตอบเรื่องนี้นัก มันก็ไม่เซ้าซี้ จึงหันเหหัวเรื่องคุยกัน ยามนั้นตูตู้หลุนฟุบหลับไปกับโต๊ะ กุยแกเห็นว่า ไม่ควรเหนี่ยวรั้งชวนดื่มอยู่อีก สมควรให้พวกเขาได้กลับไปพักผ่อน จึงขอตัวจากไป โดยอ้างว่า เมามายมากแล้วต้องขอกลับไปพักผ่อน
พอกุยแกจากไป ผมจึงปลุกตูตู้หลุน เพียงเขย่าตัวทีเดียวนางก็ตื่นขึ้นมา ท่าทางไม่คล้ายคนหลับสักเล็กน้อย ผมจึงรู้ได้ทันที แย้มยิ้มอย่างเท่าทัน พูดว่า
“อ้อ นี่เจ้าแสร้งหลับ เพื่อทำลายวงเหล้าอย่างนั้นหรือ ช่างร้ายนัก เดี๋ยวนี้เจ้าหัดมีความเจ้าเล่ห์แล้ว”
ตูตู้หลุนยิ้มหัวร่อเล็กน้อยอย่างยอมรับ พูดว่า
“ก็พี่เจ๋งเอาแต่คุยกับสหายใหม่ ไม่สนใจข้า อีกทั้งตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว สมควรต้องกลับบ้าน ข้าพเจ้าจึงต้องใช้วิธีนี้”
ผมจึงได้แย้มยิ้มไม่พูดอะไร แล้วเรียกเสี่ยวเอ้อให้มาคิดเงิน หลังจากนั้นก็พากันออกจากเหลาสุรา แล้วพากันกลับบ้าน
ในที่แรกตอนผมดื่มสุราดูไม่ใคร่เมามายเท่าไหร่ แต่พอเลิกดื่มขี่ม้ากลับบ้านกลับเมามายสาหัสนัก ถึงกับหัวทิ่มฟุบลงบนหลังม้า ตูตู้หลุนต้องชักม้าเข้าแนบข้างคอยจับประคองและไสม้าให้เดินไปพร้อมกันจนถึงบ้าน
พอถึงบ้านก็มีบ่าวผู้ชายที่เป็นเวรยาม มาช่วยตูตู้หลุนแบกผมลงจากหลังม้า แล้วหิ้วปีกนำพาไปนั่งพักที่ห้องโถง เหล่าภรรยาพอทราบว่าผมกลับมาแล้ว ก็พากันตื่นออกมารับหน้ารวมถึงเสี่ยวถิงและเสี่ยวจูด้วย
แต่พอทุกคนเห็นสภาพผมก็แปลกใจ อาเจินต้องถามตูตู้หลุนว่าเกิดอันใดขึ้น ตูตู้หลุนจึงเล่าให้ฟัง ว่า สาเหตุที่เมามายขนาดนี้เพราะรับไม่ได้กับการตายของหวนเตียว อีกทั้งยังกลัดกลุ่มผิดหวังกับเรื่องลิฉุยกับกุยกีที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป จนทำให้สิ่งที่พยายามทำและสร้างมาล้มเหลวไม่เป็นท่า เลยเกรงว่าอนาคตจะไม่สามารถคุ้มครองพวกเราเหล่าภรรยาให้อยู่รอดปลอดภัยได้ จึงได้แวะดื่มเหล้าระบายความกลัดกลุ้ม
ตูตู้หลุนพอเล่าให้ฟัง ทั้งอาเจิน ตั๋งไป่ และงิวอี้หลาง ต่างมองผมด้วยแววตาอย่างนึกรักและเวทนาสงสาร ยามนั้นผมรู้สึกตัวตื่น ลืมตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ แต่ก็ไม่มีสติสัมปชัญญะ พอเห็นตั๋งไป่
ก็เข้าไปกอดนาง พูดว่า
“ท่านหญิง เจ้ายังโกรธข้าอยู่หรือไม่ บางครั้งข้าดูใจร้ายกับเจ้าแต่ก็มิได้หมายความว่า ไม่ได้รักเจ้า หากเจ้ายังโกรธข้าจะคุกเข่าขอโทษเจ้าสักร้อยครั้งก็ได้”
พลันทรุดตัวคุกเข่าจนหัวทิ่มพื้น ท่าทางทุเรศทุรัง ทุกคนพากันตกใจ โดยเฉพาะตั๋งไป่ นางถึงกับ ตวาดออกมาเบาๆ ว่า
“เจ้าบ้ากาเซี่ยง เจ้าทำอันใด ผู้ใดโกรธเจ้ากัน รีบลุกขึ้นเดี๋ยวนี้”
พลันจะจับผมพยุงลุกขึ้น แต่ก็ไม่ไหว งิวอี้หลางต้องมาช่วยอีกคน พอผมเห็นงิวอี้หลางก็กอดนางทันที พร้อมกับร่ำไห้ พูดว่า
“อี้หลางข้าขอโทษ ข้าไม่รู้เจ้าจะยึดมั่นรอคอยข้าอยู่เช่นนั้น หากรู้แต่แรกคงไปหาเจ้านานแล้ว ข้าขอโทษจริงๆ ข้าขอโทษ”
งิวอี้หลางน้ำตาไหล รีบตบหลังพูดปลอบว่า
“ข้าพเจ้าอยู่นี่แล้ว มิได้โกรธเคืองท่าน ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรแล้ว ท่านนั่งพักผ่อนก่อนเถอะ”
อาเจินเห็นแบบนั้นถึงกับส่ายหน้าถอนหายใจ ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมายังไม่เคยเห็นมันเมามายได้ขนาดนี้ พลันถามตูตู้หลุนว่า
“นี่ดื่มไปเท่าไหร่”
“สิบ”
ตูตู้หลุน ตอบสั้นๆ
อาเจินพลันขมวดคิ้วสงสัย ถามต่อ
“สิบปาน รึ”
“หึ ..ไห”
ตูตู้หลุนตอบแบบอมยิ้ม ทำเอาอาเจินถึงกับแค่นยิ้มค้อนนาง ตอนนั้นผมยังรุงรังไม่หาย พอกอดงิวอี้หลางก็รวบกอดตั๋งไป่มาอีกคน ปากก็ร้องหาอาเจินกับตูตู้หลุนให้มาหาด้วย แล้วกอดรวมพวกนางเข้าหากันทั้งสี่คน พร่ำพรอดบอกรักไม่หยุด จนอาเจินต้องปลอบพาให้ไปนั่งพักสงบสติอารมณ์ ผมจึงนั่งหลับสงบลงได้
หลังจากนั้นพวกนางก็พยุงผมไปอาบน้ำในอ่างที่เตรียมไว้ ทั้งหมดช่วยกันนำผ้ามาชุบน้ำเช็ดไปตามตัวผม เพื่อบรรเทาอาการเมาสุรา
การได้แช่น้ำอุ่นพร้อมทั้งได้รับการถูนวดตัว ช่วยให้ผ่อนคลาย จนค่อยๆส่างเมาฟื้นคืนสติขึ้นมา พอลืมตาก็เห็นบรรดาภรรยารายล้อม รวมถึงเสี่ยวถิงกับเสี่ยวจูด้วย ก็นึกแปลกใจ ถามด้วยน้ำเสียงที่ยังเมาค้างอยู่ว่า
“ไฉนข้ามานอนแช่น้ำอยู่ที่นี่”
ทั้งหมดเอาแต่ยิ้มไม่ตอบ ตั๋งไป่อดไม่ได้ พูดคอนแคะว่า
“นี่เจ้าเมาจนจำอะไรไม่ได้เลยหรือ หึ งั้นที่พูดก็ไม่รู้จริงหรือไม่จริง”
ผมงงงัน จึงถามว่า
“ข้าพูดอะไรไปบ้าง”
ตั๋งไป่จึงสาธยายให้ฟังอย่างมันไส้ ว่าพูดและทำอะไรไปบ้าง โดยเฉพาะเรื่องที่ผมบอกว่าผมจะคุกเข่าขอโทษนางสักร้อยที แถมยังเล่าทำท่าทางผมลงไปคุกเข่าหน้าทิ้มอย่างขบขัน จนคนอื่นหัวเราะกันเป็นที่ครึกครื้น
ผมฟังและนึกดูท่าทางตามที่ตั๋งไป่เล่าแล้ว ต้องนึกทุเรศตัวเองไม่น้อย เลยได้แต่หัวเราะหน้าแหยงๆ พลันแกล้งตั๋งไป่แก้การเสียหน้า โดยคว้าดึงนางมากอด ให้ลงมานอนทับผมในอ่างน้ำให้ตัวเปียกปอน
ตั๋งไป่ร้อง ว๊าย คว่ำคะมำลงมานอนทับผม พร้อมกับที่ผมหัวเราะสาใจ แต่อาเจินกับงิวอี้หลางต่างตกใจ ร้องออกมาแทบพร้อมกัน อาเจินมีสีหน้าดุ พูดเสียงเขียว ว่า
“ท่านไฉนแกล้งนางมิรู้เรื่อง หากบาดเจ็บกระเทือนถึงเด็กในครรภ์จะทำอย่างไร”
ผมหน้าตาตื่นงงงันไปชั่วขณะ ก่อนจะยิ้มอย่างไม่อยากจะเชื่อและยินดี รีบถามลิ้นพันระรัวว่า
“นางท้องรึ จริงหรือนี่ ข้ากำลังจะเป็นพ่อคนแล้วหรืออย่างไร”
ความรู้สึกตอนนั้น ดีใจและแตกตื่นอย่างไม่น่าเชื่อ กลับได้รับรู้ความรู้สึกที่จะเป็นพ่อคนครั้งแรก งิวอี้หลางเห็นผมดีใจขนาดนั้น ก็รู้สึกดีใจแทน พูดอีกว่า
“ไม่เพียงแต่ตั๋งไป่ เท่านั้น พี่เจินก็มีครรภ์ด้วย”
ผมยิ่งดีใจเป็นเท่าทวี ที่ภรรยาตั้งท้องพร้อมกันถึงสองคน ตูตู้หลุนเองก็เพิ่งจะรู้เหมือนกันรีบเข้าไปกอดอาเจินแสดงความยินดี ส่วนผมก็พยุงตั๋งไป่ให้ลุกขึ้นจากอ่างน้ำอย่างถนุถนอม แล้วกอดหอมนางเป็นการขอโทษ พูดว่า
“ข้าไม่รู้ จึงแกล้งเจ้าหนักไป หากเจ้าโกรธ ต้องการให้ข้าคุกเข่าเสียร้อยครั้ง ข้าก็ทำได้”
ตั๋งไป่ ในใจรู้สึกอิ่มเอิบ แต่แสร้งงอน เค้นเสียงดัง ชิ พูดว่า
“ที่อย่างนี้ จึงรู้จักทำดีกับข้า หากเจ้าต้องการคุกเข่านัก วันหลังจะให้คุกเข่าเสียให้พอ”
ผมเลยได้แต่ยิ้มไม่พูดอะไร กอดประคองเอวนางไว้ แล้วดึงจูงมืองิวอี้หลาง พาไปหาอาเจินกับตูตู้หลุน พลันหอมแก้มอาเจินก่อน แล้วกอดรวบภรรยาทั้งหมดเข้าหากัน พร้อมพูดว่า
“พวกเจ้าคือสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตของข้า ลูกของเจ้าคนใดคนหนึ่ง ก็คือลูกของทุกๆคน พวกเรามาช่วยเลี้ยงเด็กที่จะเกิดมาให้ดีเถิด”
พลันนึกคึกคักอักโข ใคร่อยากเข้าไปเยี่ยมดูลูกทั้งสองคนในท้องพวกนาง ดีไม่ดีอาจได้เพิ่มมาอีก จึงพูดชักชวนว่า
“วันนี้นับว่าเป็นวันดีที่ได้อยู่กันพร้อมหน้า ข้าเองก็ห่างเกินพวกเจ้ามานานนับเดือน เพราะติดภาระสงคราม รู้สึกคิดถึงพวกเจ้านัก ดูแล้วค่ำคืนนี้ยังมีเวลาเหลือ พวกเราก็ไปสันสร้างหรรษากันตามประสาผัวเมียโดยพร้อมเพรียงกันเถอะ”
คำพูดผมพอเชิญชวนออกมา ภรรยาทุกคนก็ยิ้มกริ่มน้อมรับ พลางพากันเดินไปยังห้องนอน พูดจาเย้าแหย่หัวเราะกันคิกคัก เว้นแต่ งิวอี้หลาง ผู้มาใหม่ ยังไม่เคยได้สังสรรค์หมู่รวมกับผู้ใด จึงรู้สึกตื่นเต้นหวั่นใจอยู่ไม่น้อย ถึงกับออกอาการประหม่าจนเงียบงัน
แต่เสี่ยวถิงกับเสี่ยวจูนั้น ถึงมิได้แตกตื่นเรื่องการสังสรรค์หมู่ หากแต่พากันคิดหวั่นใจ ว่า เมื่อเหล่าภรรยาพร้อมใจกันปรนนิบัติสามีกันเช่นนี้ แล้วหน้าที่นางทาสบำเรอของพวกนางยังจะมีความหมายอยู่หรือไม่ ยามนั้นจึงไม่รู้จะทำประการใดดี ทำหน้าที่ไม่ถูก เพราะมิรู้ว่านายหญิงใหญ่ จะเรียกพวกนางเข้าห้องด้วยหรือไม่ จึงยืนรออยู่อย่างเก้ๆกังๆกันอยู่แค่หน้าประตู
อาเจินเห็นสีหน้าท่าทีพวกนางก็อ่านใจออก จึงหยุดพูดกับเสี่ยวถิงและเสี่ยวจู ว่า
“พวกเจ้าก็เข้าไปรับใช้ในห้องเถอะ ยามที่อยู่บ้านฮูหยินรองได้รับหน้าที่ดูแล นายท่านของพวกเจ้าอย่างไร ก็ให้ทำไปตามเดิม”
ทั้งพอฟังก็ดีใจ ที่ไม่ถูกถอดทิ้ง ต่างพากันคาราวะขอบคุณอาเจิน แล้วพากันเข้าไปในห้อง ผมเองก็หยุดอยู่ตรงนั้นด้วย พอเห็นอาเจินบอกพวกนางเช่นนี้ ก็มองหน้าอาเจินเผยยิ้มกรุ้มกริ่ม อย่างรู้เท่าทัน
อาเจินเห็นผมยิ้มมองหน้านางอย่างนั้น ก็ถามว่า
“ท่านมองข้าพเจ้าแล้วยิ้มเช่นนี้ มีความหมายอันใดหรือ”
“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ทัน เจ้าเห็นพวกนางเป็นทาสบำเรอ ที่ฮูหยินรองใช้มามัดใจข้า พอพวกนางมาอยู่ที่นี่แล้ว เจ้าจึงคิดจะใช้พวกนางสืบต่อใช่หรือไม่”
อาเจิน หัวเราะน้อยๆที่ถูกจับได้ เลยทำเป็นคล้องกอดแขน เอาหน้าแนบต้นแขนแล้วกัดเบาๆ อย่างมันเขี้ยว ก่อนพูดว่า
“แล้วท่านไม่ชอบรึ”
ผมจึงหัวเราะ พูดว่า
“แค่นี้ ข้าก็หลงรักเจ้าจะตายอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีอย่างฮูหยินรองหรอก มาถอะ เข้าห้องกัน ข้าอยากจะเข้าไปเยี่ยมลูกในท้องเจ้าเต็มทนแล้ว”
อาเจินถึงกับเขิน ตีแขนผมดังเพี้ยะ ผมเลยโอบประคองนางเข้าห้องตามหลังเหล่าภรรยาที่เข้าไปรอกันข้างในกันหมดแล้ว

Share the Post:

Related Posts

แผนลักพาตัวและลักหลับหมอสาวในโรงพยาบาล

เรื่องเสียว แผนลักพาตัวและลักหลับหมอสาวในโรงพยาบาล การวางแผนลักพาตัวใครสักคนมันก็ต้องมีแรงจูงใจเสมอ หลักๆ แล้วอาจจะเป็นเรื่องเงินหรือเกียรติยศตำแหน่งต่างๆ แต่เรื่องความรักหรือหึงหวงนี่จะต้องขนาดลักพาตัวเลยเหรอ เรื่องเสียววันนี้ที่ผมจะมาเล่า ก็เป็นเรื่องราวของผมเองโดยผมได้ทำการลักพาตัวผู้หญิงคนหนึ่งพร้อมกับทีมงานที่ผมจ้างมา พอหลังจากที่ลักพาตัวเรียบร้อยแล้วผมก็ ลักหลับ เธอเพื่อให้หายเงี่ยน แล้วผมจะลักหลับผู้หญิงไปทำไม เธอเป็นใคร สำคัญกับชีวิตผมยังไง ก็ขอให้ติดตามอ่านต่อได้เลยครับ อย่างไรก็ตาม ขอแนะนำตัวก่อน ผมชื่อ เขต เป็นคนว่างงานอายุ30ที่ผมคิดว่ามันก็เหมาะกับตัวผมสุดแล้วๆ

Read More

ลองสวิงกิ้งกัน 3 คน โอ้ววว ไม่น่าเชื่อเลยว่าเสียวขนาดนี้

เรื่องเสียว ลองสวิงกิ้งกัน 3 คน โอ้ววว ไม่น่าเชื่อเลยว่าเสียวขนาดนี้ สวัสดีครับ ผมมีชื่อว่าบุญครับ อายุ 32 ปี ทำงานเป็นวิศวกรอยู่ที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ พอดีเปลี่ยนงานใหม่มาทำงานอยู่ที่กรุงเทพได้ประมาณ 2 ปี แล้วครับ มีเมียแล้วครับ เธอเป็นพนักงานบัญชี อายุ 28

Read More