กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 25
โดย saradio
หลังจากผ่านศึกหนักจนอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ผมพอตื่นมาก็ไม่เห็นสามสาวอยู่บนที่นอน พอลุกขึ้นจะสวมเสื้อผ้า แข้งขาพลันอ่อนแรงแทบจะทรงตัวไม่ไหว ก้าวเดินแทบไม่ออก ต้องค่อยๆ เกาะผนังกำแพงห้อง เดินคืบตัวไปอย่างยากลำบาก
เมื่อออกจากห้องได้ก็เรียกหาสาวๆ แต่มีเพียงอาเจินคนเดียวที่ขานรับ เพราะตอนนั้นตูตู้หลุนพาตั๋งไป่ไปเที่ยวชมหมู่บ้าน จึงเหลือผมกับอาเจินอยู่บ้านกันสองคน อาเจินพอเห็นสภาพผม นางก็หัวเราะพูดว่า
“นี่ถึงกลับเดินไม่ไหวเชียวรึ”
ผมยิ้มแห้งๆตอบอย่างยอมรับสภาพ ต้องกวักมือเรียนนางมาช่วยพยุงไปนั่งเก้าอี้ อาเจินจึงเข้ามาให้ผมกอดไหล่ แล้วพาไปนั่ง จากนั้นก็ให้ผมรออยู่นี่ จะไปต้มยาบำรุงกำลังมาให้ดื่ม
ผมตอนนี้จะไปไหนได้ ก็ต้องนั่งรอตามที่นางบอก สักพักอาเจินก็ยกยามาให้ แต่ในมือกลับถือตำราติดมือมาด้วยอีกเล่มหนึ่ง เมื่อให้ผมดื่มยาแล้ว นางก็ยื่นส่งตำราให้ ผมมองอย่างสงสัย หยิบตำรามาเปิดดู ถามว่า
“มันคืออะไรรึ”
อาเจินยิ้มอย่างมีเลศนัย แล้วพูดว่า
“ตำรา เสริมสุขภาพ ตระกูลกา”
ผมฟังแล้วยิ่งงงหนักขึ้นไปอีก ถามว่า
“แล้วเจ้าเอามาให้ข้าเพื่ออะไร”
“ก็เพื่อท่านจะได้มีกำลังวังชา ยามต้องการหักโหมเยี่ยงเมื่อคืนนี้ จะได้ไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้”
ผมจึงยิ้มอย่างกระดากอายตัวเอง ร้อง อ้อ แล้วลองเปิดอ่านดู แต่อ่านไปไม่กี่หน้าก็รู้สึกสงสัยใจ เพราะดูไปมันเหมือนศาสตร์วิชากำลังภายใน มีเดินลมปราณ มีจุดชีพจร อะไรก็ไม่รู้ เลยต้องถามว่า
“มันใช่ได้แน่หรือ”
อาเจินเลยพูดว่า
“ตำราเล่มนี้ กาฮูหยิน นำเคล็ดเสริมสุขภาพหลากหลายอย่างที่นางเคยศึกษามา แล้วนำมาวิเคราะห์เขียนขึ้นมาใหม่ เคยทดลองใช้รักษาคนอ่อนแอไร้แรง ที่แทบเดินจะไม่ไหว จนสุดท้ายลุกวิ่งได้อย่างคนปกติ ท่านพี่ว่า มันควรจะได้ผลหรือไม่”
ผมเอียงคอคิดอย่างในใจไม่ใคร่เชื่อเท่าไหร่ แต่คิดไปคิดมา กาฮูหยินก็ไม่ใช่คนธรรมดา นางสามารถเรียนรู้วิชาการแพทย์ผ่าตัดได้ ดังนั้นสิ่งที่นางคิดวิเคราะห์ขึ้นมา มันย่อมต้องมีหลักการเหตุผลที่น่าเชื่อถือ เลยทำให้คิดไปว่า หรือวิชากำลังภายในนั้นมีจริง นี่คงไม่ใช่ว่า พอผมฝึกไปแล้วจะมีกำลังภายใน กระโดดเหาะเหินข้ามกำแพง หรือแค่ซัดฝ่ามือก็สามารถฆ่าคนได้อย่างในหนังที่ดูหรือเปล่า ยามสงสัยใคร่รู้จึงอ่านทำความเข้าใจกับมัน
เมื่อได้อ่านไปบ้างจนพอเข้าใจบ้างแล้ว ทำให้ทราบว่า จริงๆแล้วกำลังภายในมันไม่ได้พิสดารเวอร์วังอลังการเหมือนอย่างในหนังที่เคยดู เพียงแต่มันเป็นศาสตร์วิชา ที่ทำให้คนที่ฝึกมีความสมดุลในร่างกาย มีสุขภาพแข็งแรง และสามารถควบคุมนำพลังแฝงที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ออกมาใช้ได้
***** โดยปกติมนุษย์ทุกคนมีพลังแฝงอยู่ในตัว จะเห็นได้ยามตกใจหรือมีจิตใจมุ่งมั่นมากๆ พลังแฝงจึงถูกนำมาใช้ เช่น คนบ้านไฟไหม้ยกตู้เย็นหนีไฟ ซึ่งยามปกตินั้นยกไม่ขึ้น แต่ยามตกใจแบกวิ่งไปหน้าตาเฉย หรือที่เห็นบ่อยๆ ก็คือนักกีฬา โดยเฉพาะกีฬาจำพวกวิ่ง หรือต่อยมวย คนพวกนี้ถูกฝึกฝนร่างกายมาอย่างดี ก็มีกำลังมากกว่าคนปกติอยู่แล้ว และเมื่อยิ่งมีจิตมุ่งมั่นที่จะเอาชนะมากๆ บางครั้งพวกเขาก็ดึงพลังแฝงมาใช้โดยไม่รู้ตัว จนทำสิ่งที่เกินขีดจำกัดของตัวเอง และเมื่อพลังแฝงถูกนำมาใช้แล้ว มันจะเผาผลาญสิ่งที่ต้องนำไปใช้เป็นพลังงานในร่างกายออกไปจำนวนมาก ทำให้ร่างกายเสียความสมดุล จนรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ยืนแทบจะทรงตัวไม่อยู่ หรือบางทีก็ถึงกับช๊อกหมดสติ
ดังนั้นวิชากำลังภายในจึงถูกคิดค้นมาเพื่อการนี้ นั้นคือการทำหน้าที่เป็นตัวเสริมสร้างพลังงานในตัวและเป็นตัวปิดเปิดให้นำพลังแฝงในตัวออกมาใช้ได้ ทั้งยังควบคุมการเผาผลาญพลังงานไม่ให้ร่างกายสูญเสียความสมดุล
เมื่อเป็นดังนี้ คนที่ฝึกกำลังภายใน จะมีสุขภาพดี มีกำลังแข็งแรง มีการเผาผลาญพลังงานที่ดีพร้อมที่จะใช้แรงได้ตลอดเวลา และใช้กำลังแฝงเกินขีดจำกัดยามปกติได้ โดยไม่ทำให้เหนื่อยง่าย และร่างกายไม่เสียสมดุล****
เมื่อผมอ่านเบื้องต้นพอเข้าใจแล้ว ก็ต้องถามอาเจินว่า
“แล้วเจ้าสอนกำลังภายในข้าได้หรือ”
อาเจินกลับยิ้ม ตอบว่า
“ข้าพเจ้าสอนไม่ได้ เพราะข้าพเจ้าไม่เคยร่ำเรียนวิชาการต่อสู้หรือกำลังภายใน”
“อ่าว แล้วข้าจะทำตามตำรานี้ได้ยังไงหากไม่รู้วิชากำลังภายใน”
อาเจินจึงบอกว่า
“เหตุใดท่านไม่ถามตูตู้หลุน ตูตู้หลุนย่อมสอนท่านได้”
ผมถึงได้นึกออก และคิดว่าตูตู้หลุนต้องมีวิชากำลังภายในแน่ๆ ไม่อย่างนั้นนางคงไม่แข็งแรงได้ขนาดนี้ และตูตู้หลุนเวลาทำอะไรไม่ว่างานจะหนักหรือต้องใช้แรงแค่ไหน ก็ไม่เคยเห็นนางแสดงท่าทีออกอาการเหนื่อยแม้แต่น้อย
เมื่อคิดได้ดังนี้จึงพูดว่า
“จริงทีเดียว เรื่องนี้ข้ากลับคิดไม่ถึง”
อาเจินยังบอกต่ออีกว่า
“ในตำรานี้ ไม่ใช้แค่ต้องเรียนวิชากำลังภายในเท่านั้น ในหน้าหลังๆยังต้องฝั่งเข็ม และดื่มยาโสมสมุนไพรเป็นประจำอีกด้วยจึงจะครบสูตรของกาฮูหยิน ยาโสมสมุนไพรข้าพเจ้าเอามาให้ท่านดื่มไปแล้ว ทีนี้ก็คงต้องฝั่งเข็ม ท่านจะได้รู้สึกดีขึ้น มาเถอะข้าพเจ้าจะฝังเข็มให้ท่าน”
ผมจึงทำตามที่นางให้นางฝังเข็มให้ พออาเจินฝังเข็มให้เท่านั้น ผมรู้สึกดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รู้สึกเริ่มสบายตัวมีกำลังขึ้นมาบ้าง
ยามนั้นตูตู้หลุนก็พาตั๋งไป่กลับมาพอดี ทั้งคู่พอเห็นผมถุกจับฝังเข็ม ก็ตกใจ คิดว่าผมเกิดอาการป่วยขึ้นมา แต่พอทั้งคู่รู้จากอาเจินว่า ที่ผมต้องฟังเข็ม เพราะคืนนั้นโหมมากไปหน่อยจนหมดแรง ก็พากันหัวเราะ
แล้วตูตู้หลุนก็พูดว่า
“พี่เจ๋ง เห็นทีพี่ต้องออกกำลังกายบ่อยๆแล้ว”
ส่วนตั๋งไป่กลับแสยะสีหน้า พูดเยาะเย้ยว่า
“สมน้ำหน้า รู้ว่าไม่ไหวก็ไม่เจียมตัว”
นางแสร้งทำเป็นว่า แต่ในใจกลับนึกเป็นห่วง
ผมพอฟังก็ต้องโมโห เงยหน้าพูดโต้เถียงว่า
“ท่านหญิง รอบสุดท้ายเจ้าเป็นคนร้องขอเอง จำไม่ได้หรอกรึ เหอะ หะ ข้าอุตสาห์กัดฟัน ทำแทบตายให้เพื่อให้เจ้าสำเร็จถึงสวรรค์ บุญคุณนี้มิสำนึก ยังมีหน้ามาสมน้ำหน้าข้าอีกหรือ”
ตั๋งไป่นั้น ยังพูดจากับผมแบบสมัยที่นางยังเป็นท่านหญิงอยู่ เนื่องเพราะเคยชินติดปาก ไม่ได้เรียกผมว่า พี่เจ๋งหรือท่านพี่ เหมือนอาเจินหรือตูตู้หลุน ซึ่งผมก็ไม่ถือสา และยังคงเรียกนางเป็นท่านหญิงอยู่ เพราะดูน่ารักดี
พอนางถูกทัก ก็ทำให้นึกออก ถึงกับหน้าแดงวูบ ยามกะทันหันโต้แย้งไม่ออก เลยพยายามเถียงไปอย่างข้างๆคู่ ว่า
“ก็.ก็ .ก็ ข้าไม่รู้นี่ว่าเจ้าไม่ไหว และ..และ ..ตอนนั้นข้าก็ต้องการด้วย เจ้าเป็นสามีก็ต้องตอบสนองสิ”
นางพอเถียงออกมา ก็ทำเอาคนหัวเราะ ทั้งตูตู้หลุนและอาเจินต่างก็นึกเอ็นดู อาเจินจึงไปกอดเอวตั๋งไป่ พูดว่า
“เจ้าอย่าไปโต้เถียงกับคนไม่เจียมตัวเลย ทิ้งเขาไว้อย่างนั้นเถอะ พวกเราไปเตรียมอาหารเย็นกัน”
แล้วก็พาตั๋งไป่ จะไปเข้าครัว ก่อนไปนางให้ตูตู้หลุน อยู่นั่งดูผมและให้พูดสอนอธิบายวิชากำลังภายในให้กับผม
ตอนนั้นผมถึงได้รู้ว่า ตูตู้หลุนรู้วิชากำลังภายในได้อย่างลึกล้ำ รู้จุดชีพจรทั้งหมดของร่างกายเป็นอย่างดี ในตำราของฮูหยินกาที่อาเจินให้ไว้ ตูตู้หลุนเมื่อดูแล้วสามารถอธิบายได้หมดว่าต้องเดินลมปราณยังไงทำแบบไหน และสามารถสอนวิธีเดินลมปราณให้ผมได้ เนื่องเพราะนางตอนยังเด็กได้กราบจอมยุทธ์ผู้หนึ่งเป็นอาจารย์ จอมยุทธ์ผู้นั้นศึกษาวิชากำลังภายในลึกล้ำ และได้สอนมันให้กับตูตู้หลุน ตูตู้หลุนนั้นก็ยังหมั่นฝึกฝนมาจนถึงทุกวันนี้ ทำให้นางแม้เป็นผู้หญิงแต่ก็แข็งแรงยิ่งกว่าบุรุษบุคคลธรรมดา
โดยเบื้องต้น นางสอนการเดินลมปราณโดยการกำหนดลมหายใจเข้าออก เหมือนกับการนั่งสมาธิ ผมก็เริ่มจะเรียนรู้จากนางในวันนั้น
———————————-
ในวันถัดมา ผมเริ่มรู้สึกสบายตัวขึ้น เดินเหินได้สะดวก จึงคิดจะเข้าไปทำธุระในเมือง เพื่อไปหาเตียวสิ้ว เพราะไม่ได้เจอกันนานแล้ว เมื่อมาถึงซีหลงก็คิดจะไปเยี่ยมเยียนเสียหน่อย ก็เลยพาภรรยาทั้งสามไปด้วย
เมื่อเข้าเมืองไปเจอเตียวสิ้ว ต่างคนต่างรู้สึกยินดีที่ได้เจอเพื่อนเก่า ตรงเข้าสวมกอดกันอย่างสนิทสนม ตอนนั้นมันได้มอบเมืองให้ม้าเท้งปกครองแล้วตามราชโองการของลิฉุย และกำลังตระเตรียมตัวถอนกำลังของตัวเองออกจากเมืองซีหลง เดินทางเข้าเมืองหลวงไปเป็นแม่ทัพของเตียวเจผู้เป็นอา
แต่เนื่องจากม้าเท้งจะมีงานมงคลของบุตรชายนามว่าม้าเฉียวจะแต่งภรรยา จึงเชื้อเชิญให้เตียวสิ้วเข้าร่วมงานมงคลด้วย เตียวสิ้วจึงยังไม่ได้ไป คิดจะรอจนงานมงคลของม้าเฉียวเสร็จสิ้นก่อนค่อยออกเดินทางไปหาเตียวเจ
ยามนั้นพวกเรานั่งดื่มสุราพูดคุยกันหลายเรื่องสอบถามความเป็นไปของกันและกัน จากนั้นก็คุยกันเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อย จนถึงเรื่องม้าเฉียวจะแต่งงาน ผมถึงได้รู้ว่า เจ้าสาวของม้าเฉียวนั้น ก็คือ งิวอี้หลาง
เนื่องจากม้าเท้งพอเข้ามาปกครองเมือง ม้าเฉียวผู้บุตรก็ได้พบกับ งิวอี้หลางลูกเจ้าเมืองคนก่อน พลันถูกตาต้องใจจนตกหลุมรัก จึงขอให้ม้าเท้งไปทาบทามสู่ขอ ตอนนั้นตระกูลงิวหลังจากสูญเสียงิวฮูไป พวกลูกชายของงิวฮูก็ไร้ความสามารถ ทำให้ครอบครัวตระกูลงิวตกอยู่ในสถานะย่ำแย่ ค่อยๆหมดอำนาจทางการเมืองในซีหลง แต่พอรู้ว่าม้าเฉียวบุตรชายม้าเท้งเจ้าเมืองคนใหม่ถูกตาต้องใจงิวอี้หลาง ก็ดีใจ เพราะหากเกี่ยวดองกัน ก็จะได้อาศัยอำนาจของม้าเท้งมาช่วยสนับสนุนตระกูลงิวได้ จึงตอบตกลง
ม้าเฉียวนั้นอยู่ในวัยหนุ่มอายุ 16 มีหน้าตาหล่อเหล่า ทวงท่าสง่างาม กล้าหาญ ส่วนงิวอี้หลางก็เข้าวัย15กำลังเบิกบานเป็นสาวสะพรั่ง กอปรไปด้วยความงามที่น่ารักสดใส ทั้งยังมีกิริยามารยารทเรียบร้อย ทำให้ทั้งคู่ดูเหมาะสมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยก งานวิวาห์จึงจะมีขึ้นในอีก 5 วันข้างหน้า
ผมพอรู้จากเตียวสิ้ว ก็รู้สึกยินดี ใคร่พบงิวอี้หลางเพื่อจะอวยพรนางสักครา ตั๋งไป่เองก็เช่นเดียวกัน นางต้องการไปหางิวอี้หลางตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ยังไม่มีโอกาส พอรู้ว่างิวอี้หลางจะแต่งงานก็ยิ่งรบเร้าให้ผมพาไป
วันนั้นพวกผมจึงค้างที่บ้าน เตียวสิ้วก่อนคืนหนึ่ง พอวันรุ่งขึ้นก็ลาเตียวสิ้วไปงิวอี้หลางที่บ้านตระกูลงิว พวกเราขี่ม้าไปคนละตัว เมื่อใกล้ถึง ตั๋งไป่ตื่นเต้นใจร้อน รีบขี่ม้านำไปก่อน
เมื่อไปถึงหน้าบ้านตระกูลงิวนางก็รีบกระโดดลงหลังม้า เดินเข้าประตูหายไป พวกผมตามมาถึงที่หลัง ทันได้เห็นตั๋งไป่เดินเข้าประตูไป จึงปล่อยให้เป็นธุระของนาง ที่จะไปบอกคนในบ้านว่าพวกเราต้องการมาอวยพร เพราะตั๋งไป่เป็นญาติกับตระกูลงิวมีความสนิทชิดเชื้อกันดี
ไม่คาดว่า กลับได้ยินเสียงตั๋งไป่ร้องโวยวายจากข้างในบ้าน แล้วนางก็ถูกคนรับใช้ผู้ชายสองสามคนใช้ไม้พลองพลักดันออกมานอกประตู จนนางต้องชักกระบี่ออกใช้ข่มขู่ป้องกันตัว ตวาดร้องอย่างโมโหว่า
“พวกเจ้าอยากตายรึ เราคือตั๋งไป่ เป็นญาติกับฮูหยินใหญ่ของพวกเจ้า กล้าดียังไงทำกับข้าแบบนี้”
เหล่าคนรับใช้เห็นนางชักกระบี่ ก็ไม่กล้าเข้าไปพลักดันนางอีก แล้วคนหนึ่งก็เค้นเสียงดัง เฮอะ แสยะสีหน้าอย่างดูแคลน พูดว่า
“ฮูหยินใหญ่ เสียชีวิตไปแล้ว เจ้าก็อ้างได้ เราไปสอบถามฮูหยินรองมาแล้ว นางก็บอกไม่ได้เป็นญาติกับเจ้าให้ขับไล่เจ้าไป เจ้ายังหน้าด้านแอบอ้างอีกหรือ หากคิดจะมาก่อกวนก็ไปที่อื่น ไม่อย่างนั้นพวกเราจะจับเจ้าส่งทางการ”
ตั๋งไป่พอฟังว่า น้าสาวตัวเองเสียชีวิตแล้ว และเมียน้อยของน้าเขยก็ไม่นับตนเป็นญาติ ทั้งยังให้พวกนี้มาขับไล่ พลันเดือดดาลโมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่ จึงคิดใช้กำลังบุกฝ่าเข้าไปสอบถามให้รู้เรื่อง เลยขยับกระบี่ฟาดฟันบุกเบิกทาง ทำให้เหล่าคนใช้แตกตื่น หลบกันวุ่นวาย จนล่าถอยออกจากประตู
ผมเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบร้องห้ามว่า
“ท่านหญิง อย่าวู่ว่าม”
เสียงร้องห้ามของผม ทำให้ตั๋งไป่ยับยั้งชั่งใจได้ จึงหยุดมือเก็บกระบี่คืนฝัก แล้วเปลี่ยนไปบอกคนรับใช้เหล่านั้นว่า
“ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าไปเรียกงิวอี้หลางออกมา”
คนรับใช้เหล่านั้นก็ไม่ยอมไป กลับพูดว่า
“คุณหนูงิวไหนเลยจะออกมาพบกับพวกเจ้า หากพวกเจ้ายังไม่ไป พวกเราจะไปตามทางการมาเดี๋ยวนี้”
ผมฟังแล้ว คิดว่าตั๋งไป่เจรจาไปก็ไม่ได้ความเป็นแน่ เพราะหากฮูหยินใหญ่มารดาของงิวอี้หลางเสียชีวิตไปแล้ว ฮูหยินรองขึ้นมาเป็นใหญ่แทนในบ้าน นิสัยฮูหยินรองจากการที่ได้เรียรู้ตอนผมมาอยู่บ้านนี้ นางเป็นคนที่เห็นแก่ประโยชน์ตนเองเป็นใหญ่ ชอบคบหาแต่คนใหญ่คนโต ตั๋งไป่ยามนี้นับว่าไม่มีสิ่งใดหลงเหลือให้นางเก็บเกี่ยวประโยชน์ มีแต่จะนำความเดือดร้อนมาให้ นางย่อมไม่ยึดถือเป็นญาติอยู่แล้ว สงสัยงานนี้คงต้องมีอวดยศฐาบรรดาศักดิ์กันหน่อย ผมเลยลงจากหลังม้า ไปหาเหล่าคนใช้ ส่งหยกชั้นยศประจำตัวขุนนางให้ไป แล้วพูดว่า
“ถ้าพวกท่านคิดจะแจ้งทางการก็แจ้งเถอะ แต่ก่อนอื่นรบกวนพวกท่าน นำของสิ่งนี้ ไปมอบให้กับฮูหยินรองชมดู บอกว่าข้ากาเซี่ยง เลขาธิการราชสำนัก ขอเข้าพบ หากนางยังไม่ยอมให้พบ พวกท่านก็ค่อยจับพวกเราส่งทางการก็แล้วกัน”
คำพวกนั้นพอฟังว่าผมเป็นขุนนางราชสำนัก ก็แตกตื่นสับสน มิรู้จะเชื่อคำดีหรือไม่ ยามกะทันหันตัดสินใจอะไรไม่ได้ จึงคิดจะเอาหยกนี้ไปให้ฮูหยินรองชมดูก่อน
สักพักฮูหยินรองกับลูกชายของนางนามว่างิวกุย ก็ถือหยกวิ่งหน้าตาตื่นออกมาต้อนรับ และด่ากราดคนรับใช้เหล่านั้น โยนความผิดให้พวกมันหาว่ามิรู้ความ จากนั้นก็คืนหยกให้ผม และเชิญเข้าด้านใน
เรื่องราวของผมที่ช่วยลิฉุยกับกุยกี เอาชนะทัพลิโป้ และเข้ายึดเมืองหลวงจากอ้องอุ้นได้นั้นขจรกระจายไปไกล ดังนั้นฮูหยินรองจึงรู้ดีว่า ลิฉุยกับกุยกีคงต้องให้ความสำคัญกับผมมาก ดังนั้นมีหรือจะพลาดหาความสนิทหากผมมาหาถึงที่บ้าน
นางจึงปฏิบัติตัวกับผมอย่างนอบน้อม และฉอเลาะเยิ่นยอ ทั้งที่แต่ก่อนเห็นผมเป็นเพียงคนรับใช้ที่เดินตามงิวฮูเท่านั้น
เมื่อไปถึงห้องโถงรับแขกนางก็เชิญให้นั่งในที่อันควร พร้อมเอาน้ำชามารินให้ด้วยมือ และพูดกับผมว่า
“ท่านกาเซี่ยง พวกเราไม่พบกันนาน ยามนี้ ดูท่านมีสง่าราศรีเหลือเกินสมกับเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ถ้าอย่างไร ข้าพเจ้าขอดื่มให้กับความก้าวหน้าของท่านจอกหนึ่ง”
นางพูดและรินน้ำชาใส่สองจอก ยกให้ผมจอกหนึ่ง ถือเองจอกหนึ่ง และชวนผมดื่ม ผมก็รับยกดื่มตามมารยารท จากนั้นนางก็พูดต่อว่า
“ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ่งใจยิ่ง ที่ท่านยังระลึกถึงตระกูลงิวของเรา และกลับมาเยี่ยมเยี่ยน นี่ถ้างิวฮูสามารถรับรู้ได้คงดีใจเป็นอย่างยิ่ง”
นางพอเอ่ยปากก็จะลำเลิกบุญคุณ ผมจึงต้องยิ้ม ยกมือคาราวะพูดว่า
“บุญคุณของท่านงิวฮู ที่เคยสนับสนุนอุ้มชูข้าพเจ้า ข้าพเจ้าย่อมระลึกถึงเสมอ วันนี้จึงคิดมาเยี่ยมเยี่ยนคุณหนูงิว ทราบว่านางจะแต่งงาน จึงคิดจะมาอวยพรด้วยตัวเอง ไม่ทราบว่าข้าพเจ้าพอจะขอพบนางได้หรือไม่”
ฮูหยินรองหน้าสะดุดแปลเปลี่ยนเล็กน้อย เหมือนมีอะไรในใจปิดบัง จากนั้นก็ปั้นแย้มยิ้มพูดว่า
“น่าเสียดายนัก ท่านกาเซียงอุสาห์มา แต่นางคงออกมาพบไมได้ เนื่องจากนางล้มป่วยอยู่ ไม่สะดวกกับการออกมาพบ”
ผมฟังแล้วนึกเป็นห่วงขึ้นมา จึงพูดว่า
“นางไม่สบายรึ เป็นอะไรมากหรือไม่ พอดีข้าพเจ้ามีภรรยาเป็นหมอ ให้ภรรยาข้าพเจ้าตรวจดูนางดูหน่อยจะดีหรือไม่”
ฮูหยินรองยิ่งมีสีหน้าลำบากใจอึดอัดกว่าเดิม พยายามพูดบ่ายเบี่ยงว่า
“อ้อ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ท่านอย่าได้เป็นห่วงไปเลย เราเองก้ได้พาหมอมาตรวจแล้ว นางไม่เป็นอะไรมาก เพียงแต่หมอต้องการให้นางพักผ่อนมากๆ”
ตั๋งไป่นั่งฟังอยู่นาน พอทราบว่านางป่วย ก็นึกเป็นห่วงงิวอี้หลางขึ้นมา จึงพูดแทรกว่า
“งั้นข้าขอเข้าไปเยี่ยมนางหน่อย”
ตั๋งไป่พูดจบก็ลุกขึ้นจะเดินไป เพราะนางคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้ดี ย่อมรู้ว่าห้องงิวอี้หลางอยู่ตรงไหน ฉับพลันนั้น ฮูหยินรองก็รีบเข้าไปขวางไว้พูดว่า
“หลานตั๋ง ข้าเพิ่งบอกไปว่า นางต้องการพักผ่อน เจ้าก็อย่าเพิ่งได้ไปรบกวนนาง เจ้ามาเป็นแขกบ้านข้าก็ควรให้เกียรติข้าด้วย”
ท่าทางฮูหยินรองจะไม่ยอมให้ตั๋งไป่เข้าไปจริงๆ ผมเห็นควรว่าไม่เหมาะถ้าจะดื้อรั้นจะพบให้ได้ จึงใช้สายตาห้ามตั๋งไป่ไว้ แล้วทำเป็นยิ้มเปลี่ยนเรื่องพูดว่า
“ถ้านางต้องการพักผ่อน เราก็อย่าได้ไปรบกวนเลย วันนี้ข้าพเจ้ามาไม่เพียงคิดจะอวยพรคุณหนูงิวเท่านั้น ยังคิดจะมาตอบแทนตระกูลงิวอีกด้วย หากฮูหยินรองมีสิ่งใดให้ข้าพเจ้าพอช่วยเหลือได้ ก็ขอให้ท่านบอกกล่าวมาได้เลย”
ฮูหยินรองพอฟังหน้าก็แปลเปลี่ยนเป็นยินดียิ่ง รีบพูดว่า
“จริงหรือนี่ โอ้ว ท่านกาเซี่ยงมีจิตใจงดงามนัก งิวฮูนับว่าดูคนได้ไม่ผิดจริงๆ”
พลางเรียกบุตรชายตนนามว่า งิวกุยเข้ามาคาราวะผม และพูดว่า
“ท่านจำงิวกุยได้หรือไม่ ตั้งแต่งิวฮูจากไป มันก็ถูกกลั่นแกล้งจนหาความก้าวหน้าทางราชการไม่ได้ ถ้าอย่างไรข้าพเจ้าอยากให้ท่านช่วยส่งเสริมมันสักเล็กน้อย”
มีหรือผมจะจำงิวกุยไม่ได้ บุรุษเสเพลผู้นี้ ไม่มีสมองทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน หากสิ้นบารมีพ่อแล้วก็คงจะทำอะไรไม่ได้จริงๆ แถมมันตอนนี้มันก็ไม่ได้เต็มใจจะคาราวะผมเท่าใดนัก เพราะแต่ก่อนมันก็คิดว่าผมเป็นเพียงบ่าวไพร มองผมไม่แตกต่างจากที่ฮูหยินรองเคยมอง แต่ตอนนี้ที่ยอมคาราวะ คงเพราะขัดแม่ไม่ได้
ผมตอนนั้นมีแผนในใจ ที่พูดออกไป เพราะต้องการจะพักอยู่ในบ้านนี้ชั่วคราว เนื่องจากรู้สึกไม่ชอบมาพากลเรื่องงิวี้หลาง จึงอยากจะเจอนาง เพื่อให้รู้ว่านางป่วยจริงหรือว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับนางกันแน่
เลยแย้มยิ้มรับ พูดว่า
“ไหนเลยข้าพเจ้าจะจำคุณชายใหญ่ไม่ได้ เรื่องนี้พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วงไป ข้าพเจ้าจะเสนอท่านลิฉุยให้มอบตำแหน่งสำคัญให้กับคุณชายใหญ่ในเร็ววัน”
สองแม่ลูกได้ฟังก็ดีใจยิ่ง ครานี้ งิวกุยจึงยอมคาราวะขอบคุณอย่างยินยอมพร้อมใจ ผมจึงพูดต่อไปว่า
“ข้าพเจ้าที่มาครั้งนี้ เพราะมีราชการเร่งด่วน ยามกะทันหันหาที่พักไม่ได้ คิดจะขอพักในบ้าน ท่านเสียสองคืน ไม่ทราบจะเป็นการรบกวนไปหรือไม่”
ฮูหยินรองมีท่าที กังวลเล็กน้อย แต่ก็รับปากเพราะกลัวว่าหากปฏิเสธ ผมจะไม่พอใจและไม่ยอมช่วยเหลืองิวกุย อีกทั้งนางตอนนั้นก็คล้ายมีความคิดพิเศษสิ่งใดอยู่ในหัว พลางมองชะม้ายชายตาส่งให้ผมแบบแปลกๆ
ผมดูจากท่าทางนางแล้ว เกรงว่านางอาจจะเข้าใจผิด คิดว่าการที่ผมอ้างต้องการจะพักที่นี่ ก็เพราะนาง