กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 26
โดย saradio
เมื่อผมตกลงจะพักที่บ้านตระกูลงิวแล้ว ฮูหยินรองก็สั่งให้บ่าวไพรให้ไปจัดห้องพักรับรองให้ หลังจากนั้นก็ให้บ่าวรับใช้พาพวกผมไปพักผ่อน
ระหว่างที่เดินไปยังห้องพักรับรองนั้น ผมสังเกตบ่าวไพร ที่เห็นเดินผ่านตา รู้สึกว่าไม่มีใครที่ผมรู้จักเลยสักคนเดียว แม้แต่ตั๋งไป่เองก็ไม่รู้สึกคุ้นหน้าใคร เหมือนที่นี่ได้เปลี่ยนบ่าวไพร่ใหม่หมดแล้ว คนรับใช้เก่าแก่ของตระกูลงิวนั้นไม่หลงเหลือให้เห็น ยามนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำถึงไม่มีใครรู้จักตั๋งไป่ ทั้งที่นางก็เป็นญาติกับเจ้าของบ้าน
พอพวกผมได้เข้ามาในห้องรับรอง พวกบ่าวที่มาส่ง ก็บอกว่า
“คุณชายกา ฮูหยินรองให้พวกเราคอยรับใช้ พวกเราจะอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ หากท่านต้องการเรียกใช้ก็สามารถเรียกหาได้”
แล้วพวกมันก็ปิดประตู พากันหายไป
ตอนนั้นผมยังไม่แน่ใจ ว่า เกิดอะไรขึ้นกับงิวอี้หลาง นางป่วยจริงหรือไม่ ยังไม่รู้ได้ และทำไมฮูหยินรองถึงไม่ยอมให้พบ นับเป็นเรื่องมีพิรุธน่าสงสัย จึงพูดคุยปรึกษากับเหล่าภรรยาดู ว่าใครมีความคิดเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร
อาเจินคิดแล้วจึงพูดว่า
“นี่คงมิใช่ว่า คุณหนูงิวไม่คิดจะแต่งงาน พวกนั้นเลยปิดกั้นนางไม่ให้พบเจอใคร เพราะกลัวนางจะอาศัยคนนอกพาหลบการแต่งงานหรอกรึ”
สิ่งที่อาเจินพูด ฟังดูมีเหตุผล เพราะคนที่มา หนึ่งนั้นเคยเป็นอาจารย์ อีกหนึ่งนั้นเป็นญาติและเพื่อนสนิท ย่อมทำให้พวกนั้นกริ่งเกรง สำหรับผมนั้นไม่เท่าไหร่ แต่คนที่พวกนั้นกลัวและไม่ต้องการให้พบงิวอี้หลางมากที่สุด น่าจะเป็นตั๋งไป่ เพราะคนพวกนั้นต้องคิดว่า หากงิวอี้หลางขอให้ตั๋งไป่ช่วย ตั๋งไป่ก็จะต้องช่วยนางอย่างแน่นอน
ตั๋งไป่นั้นพอฟังสิ่งที่อาเจินบอก ก็มีน้ำโหขึ้นมา พูดว่า
“งิวอี้หลางหากไม่อยากแต่ง ฮูหยินรองมีสิทธิอันใดไปบังคับ นางไม่ใช่มารดาของฮี้หลางสักหน่อย ไม่ได้ข้าพเจ้าต้องไปพูดให้รู้เรื่อง ข้าจะไปหากฮูหยินรองเรียกให้นางมอบตัวงิวอี้หลางออกมา”
ตั๋งไป่พอพูดจบก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ หมายจะออกไปพูดกับฮูหยินรองจริงๆ ผมต้องรีบคว้าแขนนางไว้ แล้วดึงมากอดให้นั่งบนตัก พร้อมพูดว่า
“ท่านหญิง ท่านนี่ก็เหลือเกิน คิดปุ๊บจะไปปั๊บ ถ้าทำอย่างนั้น คิดว่าฮูหยินรองจะยินยอมรึ”
“หากนางไม่ยินยอม เจ้าเป็นถึงขุนนางใหญ่ เรื่องแค่นี้ไม่มีปัญญาจัดการหรือ”
ตั๋งไป่เถียงอย่างไม่ยอม ดีดดิ้นบนตักผม ทั้งคำพูดนางก็ทำเอาผมโมโหมันเขี้ยวต้องเค้นเสียงดัง เหอะ เสียงเขียวดุว่า
“ข้าเป็นสามีท่าน ท่านพูดจาไม่ให้เกียรติสามียังพอทำเนา เดี๋ยวนี้ถึงกับกล้าจิกหัวใช้ด่าว่า พูดจาก็ไม่เชื่อฟัง สงสัยต้องจับหยิกหีสั่งสอนเสียแล้วมั่ง”
ผมทำหน้าดุ พร้อมทำท่ายกมือทำนิ้วขู่ ตั๋งไป่ที่นั่งบนตักรีบหุบขาเข้าหากันกลัวผมทำจริงๆ ทุกคนฟังคำพูดผมพร้อมดูกิริยาท่าทาง ต่างพากันกลั่นหัวเราะรู้ว่าผมล้อเล่น แต่ตั๋งไป่กับหัวเราะไม่ออก สีหน้านางทั้งตกใจทั้งอับอาย ยิ่งเห็นผมหน้าดุถมึงตึงใส่ปานนั้น ยามกะทันหันถึงกับพูดอะไรไม่ออก พาลน้ำตาคลอจะร้องไห้
ผมเลยต้องเปลี่ยนเป็นยิ้ม และเอาชี้หน้าว่าอย่าดื้อ พร้อมกับกอดเอวนางมให้ตัวแนบชิดกันเป็นการปลอบ ตั๋งไป่จึงไม่ร้องไห้ออกมา แต่หน้าเง้างอเหมือนงอนไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าดื้อหรือลุกหนีจากตักผมให้ผมนั่งกอดอยู่แบบนั้น
ตูตู้หลุนเห็นแบบนั้นจึงพูดปลอบตั๋งไป่ ว่า
“น้องเล็ก เจ้าอย่าเพิ่งหุนหันไป นี่ยังเป็นเพียงข้อสันนิฐานของพี่ใหญ่เท่านั้น ส่วนข้อเท็จจริงนั้นเรายังไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร อย่าเพิ่งตื่นตูมจนทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ทางที่ดีควรรอดูท่าทีไปก่อน”
อาเจินพลางถอนหายใจ มีความคิดอีกอย่างหนึ่งพูดว่า
“ความจริงเรื่องนี้ถ้าให้พูดตามตรง คุณหนูงิวจะถูกบังคับให้แต่งงานหรือไม่นั้น มันก็เป็นเรื่องของคนในตระกูลงิว พวกเราเป็นคนนอก ไหนเลยมีสิทธิ์ไปก้าวก่าย หากทางฝ่ายว่าที่เจ้าบ่าวรู้ว่าเรามาขัดขวางยุ่มย่าม เกรงว่าเรื่องนี้จะไม่จบง่ายๆ.”
นับว่าอาเจินวิเคราะห์ได้ถูกที่เดียว เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ผมก็คิดอยู่
ตั๋งไป่ก็แย้งว่า
“พี่ใหญ่ ปกติข้าพเจ้าเชื่อฟังท่าน แต่เรื่องนี้ข้าพเจ้านิ่งเฉยไมได้ งิวอี้หลางกับข้าพเจ้ารักกันดูจพี่น้องคลานตามกันมา หากนางต้องการความช่วยเหลือไหนเลยข้าพเจ้าสามารถจะนิ่งดูดาย”
นางกล่าวน้ำตาคลอ กลัวว่าจะไม่มีใครยอมช่วยงิวอี้หลาง ผมเองก็เห็นด้วยกับตั๋งไป่ เพราะการคลุมถุงชนแบบนี้ แม้จะเป็นวัฒนธรรมในยุคนี้ แต่มันขัดแย้งความคิดเสรีในหัวคนยุคอนาคตอย่างผม เรื่องนี้หากเป็นคนอื่นผมอาจจะทำเป็นเพิกเฉยได้ แต่นี่คืองิวอี้หลางลูกศิษย์ที่ผมสอนมา มันเลยทำใจได้ลำบากถ้ารู้ว่านางถูกบังคับขู่เข็ญ จึงพูดกับอาเจินว่า
“ที่เจ้าพูดมามันก็ถูก แต่คนเราจะมีความสุขได้ยังไง ถ้าต้องใช้ชีวิตกับคนที่ตัวเองไม่ได้รักไปตลอดชีวิต ข้อนี้ลองถามใจเจ้าดู เจ้าน่าจะรู้ดีที่สุด”
ผมบอกพร้อมจับมืออาเจินอย่างให้รู้ว่ารัก และยิ้มมองตานางด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง เพื่อแสดงให้นางได้เห็นว่าการได้อยู่กับคนที่รักนั้นมีความสุขมากเพียงใด
อาเจินพลันได้สะดุดใจคิดทบทวน เพราะว่านางเองก็ถูกจับให้แต่งงานกับเหวินเห่อตัวจริงมาก่อนเหมือนกัน ในตอนนั้นถึงนางจะได้รับการปฏิบัติที่ดีจากเหวินเห่อ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ารักและมีความรู้สึกสุขใจเท่ากับอยู่กับผม นางจึงมีข้อเปรียบเทียบได้ดีที่สุด พลางถอนหาย พูดว่า
“จริงที่เดียว หากไม่ได้อยู่กับคนที่ตัวเองรัก ชีวิตจะมีความหมายอะไร ถ้าอย่างนั้น ท่านพี่ก็ช่วยเหลือนางตามที่เห็นควรเถอะ”
ตั๋งไป่ได้ฟังก็ดีใจ รีบพูดสนับสนุนว่า
“ใช่แล้ว กาเซี่ยง ยังไงเจ้าก็ต้องช่วยนาง หากเจ้าไม่ช่วยนาง เจ้าจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต..”
ผมรู้สึกเอะใจในคำพูดของ ตั๋งไป่ จึงถามอย่างสงสัยว่า
“ทำไมข้าจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต หากไม่ช่วยนาง”
ตั๋งไป่ถึงรู้ตัวว่าหลุดปาก จึงเป็นบ่ายเบี่ยงไขสือ ว่า
“ก็ ก็ นางเป็นลูกศิษย์เจ้าไง”
แต่ผมว่าไม่ใช่แค่นี้ มันต้องมีมากกว่านั้น จึงบี้เค้นถามนางให้ได้ เพราะดูมีพิรุธในคำพูด ทุกคนเองก็อยากรู้ ทำให้ตั๋งไป่นั้น ทนแรงกดดันไม่ได้ ต้องยอมพูดออกมา ทำให้ผมรู้ว่า แท้จริงนั้น งิวอี้หลางแอบรักผมอยู่ โดยตั้งแต่ผมจากนางไป นางมีความรู้สึกชอบผม เมื่อจากกันแล้วจึงมีความคิดถึง จากนั้นความคิดถึงจึงเปลี่ยนเป็นความรัก และนางก็มักจะส่งจดหมายไปถามข่าวผมกับตั๋งไป่บ่อยๆ พร้อมทั้งยังบรรยายความในใจลงในจดหมาย ทำให้ตั๋งไป่รู้ว่างิวอี้หลางนั้นรักผม
แต่ตอนนั้นตั๋งไป่ไม่ได้สนใจผมเท่าไหร่ จึงตอบข่าวอะไรไม่ได้ ครั้งเมื่อตั๋งไป่มาเจอผมตอนย้ายเมืองหลวง เห็นผมเป็นขุนนางตัวเล็กๆทำงานหนัก ก็เลยเห็นแก่งิวอี้หลาง จึงคิดจะช่วยผมให้ทำงานในตำแหน่งที่ดีขึ้น จึงดึงไปเป็นที่ปรึกษาของตัวเอง แต่ผมกลับไปทะเลาะกับนางจนถูกจับขัง และไปๆมาๆ ตั๋งไป่กลับมาชอบผมเสียเองจนกลายเป็นเมียผม เรื่องนี้เลยทำให้ตั๋งไป่รู้สึกผิดต่องิวอี้หลางมาตลอด
พอเมื่อกลับมาเมืองซีหลงครั้งนี้ ตั๋งไปได้ยินว่า งิวอี้หลางจะแต่งงาน นางนั้นก็แอบดีใจ เพราะคิดว่างิวอี้หลางอาจจะตัดใจจากผมไปแล้ว เรื่องนี้พวกนางก็จะคุยกันง่าย
แต่รูปการตอนนี้กลับกลายเป็นว่างิวอี้หลางอาจถูกบังคับ เพราะไม่ยอมแต่ง ทำให้ตั๋งไป่รู้ว่า งิวอี้หลางยังรักผมอยู่ จึงไม่คิดจะแต่งงานกับคนอื่น และหากนางเพิกเฉยปล่อยไปโดยไม่ช่วยเหลือ ก็จะยิ่งรู้สึกผิดหนักเข้าไปอีก นางจะสู้หน้างิวอี้หลางไม่ได้อีกเลยตลอดชีวิต ดังนั้นจึงคิดว่า ไม่ว่าเป็นตายร้ายดียังไง นางก็จะต้องช่วยงิวอี้หลางให้ได้
คำบอกกล่าวของนางทำเอาทุกคนนั่งนิ่งตาค้าง โดยเฉพาะผม อาเจินเลิกตาเล็กน้อยหันไปสบตาตูตู้หลุน พร้อมพูดว่า
“หลุ่นเอ๋อ ดูท่างานนี้ เราคงได้น้องเล็กเพิ่มอีกคน”
ตูตู้หลุนจึงได้แต่ยิ้มส่ายหัว กับความเจ้าชู้เสน่ห์แรงของผม ยามนั้นผมเมื่อได้รับรู้อย่างนี้แล้ว ไหนเลยจะนิ่งนอนใจอยู่ได้ ก็คงต้องหาทางอย่างเต็มที่เพื่อช่วยงิวอี้หลางออกมา
ขณะครุ่นคิดหาหนทางอยู่นั้น ก็มีบ่าวรับใช้มาเคาะประตู พวกเราจึงต้องหยุดปรึกษากัน ตูตู้หลุนเป็นคนไปเปิด ก็เห็นบ่าวสาวรับใช้สองคนนำอาหารว่างมาให้ บอกว่าฮูหยินรองให้นำมา หนึ่งในบ่าวสาวรับใช้ มองผมอย่างมีพิรุธในสายตา พร้อมกับมองไปที่จานหมั่นโถ เหมือนจะบอกอะไรเป็นนัยๆสักอย่าง แต่นางก็ไม่ได้พูดอะไร เมื่อวางจานอาหารว่างเสร็จ พวกนางก็พากันออกไป
ผมนึกสงสัย จึงไม่ให้ทุกคนแตะต้องอาหารเหล่านั้น โดยเฉพาะหมั่นโถ ตอนแรกผมนึกว่า อาหารมีพิษ แต่เมื่ออาเจินตรวจดูแล้ว กลับไม่มีพิษอะไร แต่เมื่อแหวกข้างในดู กลับเห็นม้วนเศษผ้าเล็กๆซ่อนไว้ในหมั่นโถลูกหนึ่ง
เมื่อคลี่ออกมา ก็มีข้อความเขียนไว้ว่า
“คุณหนูงิว ถูกกักตัวอยู่เรือนตะวันตก ห้องที่สี่ โปรดช่วยนางด้วย”
ข้อความนี้ ทำให้รู้ว่า งิวอี้หลางถูกกักตัวไว้เพื่อบังคับให้แต่งงานตามที่คาดไว้จริงๆ คาดว่าบ่าวสาวรับใช้คนเมื่อครู่คงต้องการให้พวกเราช่วยงิวอี้หลางจึงแอบส่งข้อความให้ นี่ถือว่าโชคดีจริงๆ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาสืบเสาะหาว่างิวอี้หลางอยู่ที่ใด
ยามนั้นตั๋งไป่จึงพูดว่า
“เมื่อแน่ชัดแล้วก็ไม่ต้องรีรออันใด พวกเราก็บุกไปชิงตัวอี้หลาง หนีไปจากที่นี่กัน”
ผมต้องพูดแย้งว่า
“ไหนเลยทำได้ คิดจะชิงอี้หลางพาหนี มันไม่ง่ายอย่างที่คิด”
“ทำไมเล่า ในบ้านหลังนี้ ย่อมไม่มีใครมีฝีมือสู้พี่หลุนเอ๋อได้ แค่นางคนเดียวก็สามารถบุกเข้าไปชิงตัวได้แล้ว”
อาเจินจึงพูดตอบแทนผมว่า
“จริงอยู่ว่าหลุนเอ๋อเป็นยอดฝีมือ แต่หลุนเอ๋อคนเดียวก็ไม่สามารถสู้กับกองทัพของม้าเท้งได้ หากใช้วิธีใช้กำลังบุกชิงตัว ฮูหยินรองต้องไปบอกม้าเท้งให้ส่งคนมาตามตัวนางกลับคืนเป็นแน่ และเราก็จะไปไหนไม่รอด”
ตั๋งไป่ฟังแล้ว ต้องยอมฟังด้วยเหตุผล แต่ใจก็ร้อนรุ่มไม่รู้จะทำยังไง ผมเลยต้องคิดหาวิธีว่าจะทำยังไง ถึงจะต้องให้งานแต่งงานนี้ล้มเลิก โดยที่จะต้องไม่เกิดเรื่องราวบานปลาย
ครุ่นคิดอยู่นานพลันบังเกิดความคิดหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือไม่ จึงลองถามอาเจินดู ว่า
“ถ้าจะทำให้เรื่องนี้จบลงได้ด้วยดี ต้องทำให้อี้หลาง ไม่เป็นที่ต้องการของม้าเฉียว หญิงสาวที่ไม่เป็นที่ต้องการของบุรุษ นั่นย่อมต้องมีสิ่งที่น่ารังเกียจ ข้าจึงอยากทำให้อี้หลาง ดูป่วยเป็นโรคติดต่อร้ายแรง เจ้าพอมีวิธีหรือไม่”
อาเจินฟังแล้วถึงกลับยิ้มออกมาเหมือนเห็นช่องทาง พูดว่า
“จริงที่เดียวหากว่านางเป็นโรคติดต่อ ก็คงไม่มีใครอยากเข้าใกล้นาง หรืออยากได้นางเป็นภรรยา เรื่องนี้ข้าพเจ้าพอมีวิธีอยู่บ้าง ตำราแพทย์ของกาฮูหยินเล่มหนึ่ง เคยเขียนถึงพืชชนิดหนึ่งหากเอารากของมันมาสกัด น้ำที่ได้จะมีพิษต่อผิวหนังจะทำให้ผิวหนังเป็นผื่นคันพุพองเป็นตุ่มหนอง ดูไปคล้ายโรคติดต่อที่น่ากลัว ถ้าใช้วิธีนี้น่าจะได้ผล แต่จำต้องไปเสาะหาพืชชนิดนี้ก่อน”
อาเจินพูดออกมาแบบนี้ ผมถึงกับตาเป็นประกาย หากนางทำได้โอกาสจะช่วยอี้หลางก็มีมากแล้ว จึงพูดว่า
“เจ้าคิดว่าจะหาได้ทันการณ์หรือไม่”
อาเจินครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้ารับ พูดว่า
“น่าจะพอหาได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีทีเดียว ในเมื่อฮูหยินรองบอกว่าอี้หลางป่วยจนให้พบไม่ได้ ข้าก็จะทำให้อี้หลางป่วยจริงๆ ป่วยจนแต่งงานไม่ได้ ถึงตอนนั้นจะรอดูว่า ฮูหยินรองจะทำยังไง”
ดังนั้นผมจึงกำหนดแผนการกันขึ้น โดยผมจะส่งภรรยาของผมทั้งหมด ออกจากบ้านตระกูลงิวก่อน เพื่อให้พวกนางไปหาสิ่งที่จำเป็นนำมาใช้ตามแผน โดยอ้างกับฮูหยินรองว่า พวกนางจะไปหาดูบ้านเพื่อใช้พักอาศัยชั่วคราวเพื่ออยู่รองานแต่งของงิวอี้หลาง พวกผมจะได้ไม่ต้องอยู่รบกวนที่บ้านตระกูลงิว
ฮูหยินรองย่อมคิดว่าเป็นเรื่องจริงเลยไม่ได้เอะใจสงสัยอะไร และยิ่งเห็นตั๋งไป่ออกจากบ้านตระกูลงิวไปได้ยิ่งดีใจ คิดในใจว่า ทางที่ดีไปแล้วก็ไม่ต้องกลับมา เมื่อพวกนางไปกันหมดแล้วจึงเหลือผมอยู่เพียงคนเดียว
ในยามเย็นใกล้พบค่ำ กลับเกิดเรื่องไม่คาดคิด เมื่อฮูหยินรองให้พ่อบ้านมาเชิญผมไปพบ ผมรู้สึกสงสัย จึงถามพ่อบ้านว่าเรื่องอะไร พ่อบ้านก็มิรู้ความ ตอบแต่ว่าได้รับคำสั่งให้มาเชิญเพียงเท่านั้น ผมต้องรู้สึกประหวั่นใจครุ่นคิดขึ้นมา หรือว่านางระแคะระคายรู้ว่าผมกำลังจะหาทางช่วยงิวอี้หลาง แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้
เลยคิดว่าจะเป็นเรื่องใดก็แล้วแต่ ต้องทำเป็นใจดีสู้เสือ ตามพ่อบ้านไปพบนางก่อน จึงบอกให้พ่อบ้านนำทางไป
——————————-