กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 13
โดย saradio
เมื่อผมได้รับการยกย่องจากชาวบ้านให้เป็นปราชญ์แล้ว ก็คิดว่าควรมีความรู้ให้สมกับเป็นปราชญ์ไม่ให้คนหัวเราะเยาะ จึงเริ่มคิดจะศึกษาตำรับตำรา โดยให้พ่อค้าที่มารับซื้อผลผลิตที่หมู่บ้าน เป็นผู้จัดหาซื้อตำรามาให้ และเผอิญมีพ่อค้าคนหนึ่งแต่ก่อนเคยเป็นพ่อค้าขายหนังสือตำรา มันรวบรวมหนังสือตำราเก่าแก่ไว้มากมาย แต่ต่อมาเกิดภัยแล้งและกบฏโจรผ้าเหลืองทำให้ เศรษฐกิจไม่ดี หนังสือตำราขายไม่ได้ จึงต้องเปลี่ยนอาชีพมาเป็นพ่อค้าเสบียงแทน
ครั้งนี้มันเดินทางมาซื้อเสบียงที่หมู่บ้านผม ได้ฟังชาวบ้านบอกว่า ผมกำลังจัดหาซื้อรวบรวมหนังสือตำรา มันจึงเสนอเอาตำราที่มันมีมาขอแลกเสบียง ชาวบ้านรู้สึกยินดี คิดตอบแทนคุณผม จึงเอาผลผลิตที่จะขายเป็นเสบียงให้พ่อค้า ทำเป็นข้อตกลงแลกหนังสือตำราเหล่านั่นมาให้ผม
หนังสือตำราที่พ่อค้าผู้นั้นเอามาให้นั้น เป็นหนังสือเก่าตำราดี มีทั้ง ปรัชญาลัทธิขงจื้อ ลัทธิหยู ลัทธิเต๋า กฎหมายและหลักการปกครองหลายยุคสมัยร่วมถึงราชวงค์ฮั่นด้วย และยังมีตำราพิชัยสงครามซุนวู ประวัติศาสตร์หลายยุค ตำราวิชายุทธหลายสำนัก และอีกหลากหลายตำรับตำรา ที่ส่งเสริมความรู้
ผมเห็นแล้วรู้ว่าเป็นตำราดี ก็ดีใจยิ่ง เมื่อมีมากมายอย่างนี้ ก็มีให้อ่านได้เพลิดเพลินไม่รู้เบื่อ ทำให้ผมเข้าใจอะไรๆ ในอดีตได้มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการเมือง ทั้งระบบระเบียบการปกครอง กฎหมาย และการสงคราม
เวลาผันผ่านไปอีกปีหนึ่ง พวกผมยังอยู่กันอย่างสงบสุข ผมตอนนั้นเป็นนักปราชญ์ผู้นำชุมชนสอนหนังสือชาวบ้านเริ่มจะมีชื่อเสียงและพัฒนาพื้นที่ทรัพยากรให้กับหมู่บ้านและอาเจินนั้นก็เป็นหมอรักษา ส่วนตูตู้หลุนนั้นก็ทำงานที่นางถนัด คือสอนวรยุทธให้กับเด็กและชายฉกรรจ์ ในหมู่บ้าน เพื่อมีความสามารถในการป้องกันตนเอง หากมีโจรคิดปล้นหมู่บ้าน ผมจึงยกตำราวรยุทธทั้งหมดให้กับนาง เพราะคิดว่าเป็นประโยชน์กับนางมากกว่าผม
แต่ความสงบสุขมักอยู่ไม่นาน ที่มีข้าวปลาอุดมสมบูรณ์ก็เริ่มแพร่กระจายออกไป จนรู้ไปถึงนายอำเภอ จึงพาทหารมาเรียกเก็บส่วย การเก็บส่วยตามกฎหมายนั่นถือว่าถูกต้อง เพียงแต่ว่าส่วยนี้นายอำเภอพาทหารมาเรียกเก็บนี่ นั้นเรียกเก็บเกินจริง ซึ่งความจริงภาษีส่วย แต่เดิมนั้นกำหนดที่ 3 ใน 10 แต่พอตั๋งโต๊ะมาอยู่ก็เรียกเก็บ 5 ใน 10 โดยเก็บเพิ่มขึ้นสองส่วนอ้างว่าต้องนำมาสำรองกองทัพป้องกันโจรกบฏ แต่นายอำเภอผู้นี่กลับจะเอาเสบียงทั้งหมดในยุ้งฉางหมู่บ้าน โดยอ้างว่า ต้องเรียกเก็บย้อนหลัง
ผมเองตอนนี้นั้น รู้กฎหมายเป็นอย่างดี ไม่ใช่ตาสีตาสา จึงตอบกลับว่า
“ที่ท่านกล่าวมานั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่ถูกต้อง ตามธรรมดา หมู่บ้านที่เกิดขึ้นใหม่ จะได้รับการยกเว้นภาษีในสองปีแรก หมู่บ้านนี้ ก็เพิ่งก่อตั้งได้เพียงสองปี ปีนี้เป็นปีที่สาม เท่ากับต้องเสียภาษีปีนี้เป็นปีแรก ไฉนท่านจึงเรียกเก็บย้อนหลัง ทำเช่นนี้ไม่ถูกต้องแล้ว”
นายอำเภอถึงกับหน้าเสีย ไม่คิดว่าจะมีคนรู้กฎหมายอยู่ในที่นี้ ยามนั้นจึงไม่คิดโต้เถียงต่อความยาวสาวความยืด แค่นเสียงกลบเกลื่อนพูดว่า
“เฮอะ หมู่บ้านเจ้าตั้งมาจนอุดมสมบูรณ์ปานนี้ ยังคิดมาหลอกลวงเราว่าเพิ่งก่อตั้งอีกหรือ พวกเราไม่ต้องสนใจ ไปจัดการเอามา”
ผมจึงยกมือห้ามว่า
“ช้าก่อน หากท่านคิดจะเอาไปให้ได้ ท่านก็จงออกหนังสือรับรองมา”
นายอำเภอไหนเลยกล้าออกหนังสือรับรอง เพราะถ้าออกหนังสือ ก็เท่ากับเป็นหลักฐานมัดตัวมันในการทำทุจริต เมื่อตกลงกันไม่ได้ดังนี้ก็คิดใช้กำลัง ป่าวประกาศว่า
“คนพวกนี้คิดขัดขืน ไม่ยินยอมจ่ายส่วย คงเข้าพวกกับโจรกบฏเป็นแน่แท้ ให้ยึดเสบียงและจับตัวไปสอบสวนให้หมด”
สิ้นเสียง พวกทหารก็ปรี่กันเข้ามา
ตูตู้หลุนเห็นดังนั้นก็ทนไม่ได้ พาพวกสี่ห้าคนเข้าขวางหน้าไว้ ผมต้องร้องบอกว่า
“หลุนเอ๋อ อย่าได้ฆ่าพวกมัน”
ตูตู้หลุนพยักหน้ารับ พลันกระโดดโจนทะยาน เข้ากลางกลุ่มทหาร ยามนั้นนางคึกคักอักโข เนื่องเพราะไม่ได้ต่อสู้ยืดเส้นยืดสายมานาน ยิ่งตอนนี้นางได้ศึกษาวิชายุทธจากตำรามากมายหลายสำนัก ยิ่งอยากคิดลองวิชา จึงบุกตะลุยสะบัดควงทวน ตีทหารตกม้าไปหลายคน
หัวหน้านายกองทหาร เห็นนางฝีมือร้ายกาจปานนั้น จึงกระตุ้นม้า ขับม้าเข้าสู้ ไม่คาดว่าไม่ถึงสองเพลง ก็ถูกตูตู้หลุน ใช้ด้ามทวนแทงท้องจนร่วงตกม้าไปอีกคน ที่แรกมันตกใจนึกว่าตกตายแล้ว แต่พบตัวเองไม่มีบาดแผลแต่แค่จุกลุกไม่ขึ้น จึงรู้ว่าถูกปลายทวน หน้าพลันถอดสี คิดไม่ถึงว่า สตรีผู้นี้อายุไม่ถึงยี่สิบ กลับมีฝีมือร้ายกาจถึงเพียงนี้ ยามนั้นสำนึกตนว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ ได้แต่ก้มหน้ารับชะตากรรม
เหล่าทหารที่มาเห็นนายกองผ่ายแพ้ตกอยู่ในมือศัตรู ก็ไม่กล้าผลีผลาม พากันถอยห่างออกมา ตูตู้หลุนจึงร้องสั่งว่า
“สามีข้า สั่งไม่ให้ข้า ฆ่าพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงกลับไปซะ อย่าได้เสนอหน้ามาอีก”
พูดจบก็ใช้ทวนตีก้นไล่นายกองทหารกลับไปหานายอำเภอ นายอำเภอเห็นว่าสู้ไม่ได้อยู่ไปพาลจะถูกฆ่า จึงรีบหนีล่าถอย ทหารก็พากันหนีตามนายอำเภอไปเป็นพรวน
ตูตู้หลุนเมื่อเห็น ทหารหนีไปหมดแล้ว ก็เดินกลับมาหาผม ยิ้มอย่างภูมิใจตัวเองพูดว่า
“พี่เจ๋ง.. ฝีมือข้าพเจ้าร้ายกาจขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ ลองพวกมันโดนสั่งสอนไปแบบนี้ คงไม่กล้ากลับมาแล้วละ”
ผมแสยะยิ้มอย่างมันเขี้ยว แต่ในใจนึกหวั่นวิตก พูดตอบว่า
“มะเหงกสิ เจ้าคิดผิดแล้ว พวกมันจะกลับกันมาอีกสิไม่ว่า และจะมากันเยอะกว่าเดิมด้วย เจ้าไม่ได้ฟังหรือ พวกมันใส่ไคร้ให้เราเป็นกบฏแล้ว”
ตูตู้หลุนตกใจ ถามว่า
“แล้วทีนี่พวกเราจะทำยังไงกันดี รู้เช่นนี้ พี่ควรให้ข้าพเจ้าฆ่าพวกมันเสียแต่ทีแรก มันจะได้ไม่สามารถกลับไปรวบรวมคน”
ผมเลยบอกว่า
“ไหนเลยฆ่ามันได้ หากฆ่าพวกมัน เราก็จะกลายเป็นกบฏไปจริงๆ แล้วทีนี่เราจะต้องหนีกันหัวซุกหัวซุน ”
“อันนี้ก็ไม่ได้ อันนั้นก็ไม่ได้ แล้วจะให้ทำอย่างไร”
ผมพลางถอนหายใจครุ่นคิด พลันรู้สึกว่า ต่อให้ไม่มีภัยจากพวกโจรกบฏ ก็มีภัยจากพวกข้าราชการต่ำช้าที่เที่ยวขูดรีดราษฎรอยู่ดี ที่เป็นเช่นนี้เพราะราชสำนักอ่อนแอ กฎหมายไม่เป็นกฎหมาย ทำให้ข้าราชการใช้อำนาจตามอำเภอใจ คนที่รับกรรมทั้งขึ้นทั้งล่องก็คือประชาชนอย่างพวกเรา หากเราไม่มีอำนาจราชศักดิ์ ไหนเลยจะป้องกันตัวเองให้รอดพ้นยุคสมัยได้ โจรในเครื่องแบบที่ถือกฎหมายมันยังร้ายกว่าโจรป่าห้าร้อยหรือโจรกบฏมากนัก
ดังนั้นพลันตัดสินใจ บอกกับตูตู้หลุนว่า
“หลุนเอ๋อ เดี๋ยวข้าจะเขียนจดหมาย เจ้าช่วยเข้าเมือง นำไปส่งให้คนผู้หนึ่ง”
ตูตู้หลุน พลันถามอย่างสงสัย
“ส่งจดหมายให้ผู้ใด”
“เตียวสิ้ว”
ผมบอกพร้อมยิ้มอย่างมีแผนอยู่ในใจ
———————————————–
อีกวันต่อมา นายอำเภอกลับมาพร้อมทหารนับร้อยคนหมายกวาดล้างทั้งหมู่บ้าน แต่ก็หยุดชะงักแปลกใจเมื่อเห็น ผมตระเตรียมเสบียงมารอไว้หน้าหมู่บ้าน พร้อมยืนรอรับ
นายอำเภอเห็นเช่นนั้น ก็นึกแปลกใจสั่งชะลอม้า ไม่รู้ว่ามีลับลมคมในอันใด ผมจึงน้อมคาราวะแต่ไกล พูดว่า
“ท่านนายอำเภอ เมื่อวานข้าพเจ้าไม่ทันยั้งคิด วันนี้ข้าพเจ้าได้ตระหนักแล้ว จึงขอมอบเสบียงทั้งหมดให้ท่าน”
นายอำเภอฟังดังนั้นก็หัวร่อ พูดว่า
“เจ้าสำนึกตอนนี้ก็สายไปแล้ว ไหนเลยวันนี้ที่เรามาจะเอาแต่เสบียง เราจะกวาดล้างพวกเจ้าให้สิ้นหมู่บ้าน แล้วยึดเอาทั้งหมดที่เจ้ามี”
ผมจึงพูดว่า
“ท่านนายอำเภอ ท่านทำผิดแล้วยังทำผิดซ้ำ เมื่อวานมาเก็บส่วยเสบียงเกินกฎหมาย เมื่อไม่ได้วันนี้กลับจะมาปล้นหมู่บ้านอีก แถมยังใส่ร้ายให้พวกเราเป็นกบฏ ทำเช่นนี้ ท่านจะตอบผู้ตรวจการเมืองอย่างไร”
“เหอะ เราเป็นคนเขียนรายงาน ทำไมจะตอบไม่ได้ อีกประการคนตายนั้นพูดไม่ได้ เมื่อพวกเจ้าตายกันหมดแล้วเราจะรายงานอย่างไรก็ได้ พวกเจ้าไม่ต้องพูดมากอีกแล้ว ..พวกเราจัดการ”
ทหารของนายอำเภอพอขยับจะเข้ามา ทหารอีกกลุ่มที่ซ่อนอยู่ในหมู่บ้านก็พากันออกมายืนประจันหน้า พรรคพวกนายอำเภอพากันตกใจจนทำอะไรไม่ถูก จากนั้นคนสองคนก็เดินแทรกแถวทหารออกมา คนหนึ่งคือ แม่ทัพเตียวสิ้ว อีกคนหนึ่งคือผู้ตรวจการเมือง นามว่า งิวฮู เป็นบุตรเขยของท่านเจ้าเมืองตั๋งโต๊ะ
นายอำเภอพอเห็นก็แทบลมจับ หน้าถอดสี มือไม้สั่นเทา ยามกะทันหันถึงกับทำอะไรไม่ถูก
เตียวสิ้วจึงตวาดว่า
“พวกเจ้ายังไม่รีบทิ้งอาวุธ คิดเป็นกบฏรึ”
ทหารฝ่ายนายอำเภอ ตกใจพากันทิ้งอาวุธไปเสียสิ้น นายอำเภอรีบลงจากลังม้า คุกเข่ากราบกราน ร้องขอชีวิต งิวฮูจึงสั่งให้คุมตัวไว้ก่อน ให้นำกลับไปสอบสวน
ผมเห็นแบบนี้ ก็ยิ้มอย่างโล่งใจ ที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน รอดพ้นข้อหากบฏไปได้ เรื่องนี้ความจริงคิดรบกวนเตียวสิ้วเพียงคนเดียว ไม่คาดว่าเตียวสิ้วพาผู้ตรวจการเมืองมาด้วย
หลังจากจบเรื่องนี้ งิวฮู รู้สึกถูกใจผม ที่เป็นคนฉลาดเฉลียว ทั้งยังสามารถพัฒนาหมู่บ้านได้อุดมสมบูรณ์ จึงชักชวนให้ไปรับราชการด้วย ผมเห็นว่าการรับราชการตอนนี้ก็เป็นเรื่องดี เพราะจะได้มีอำนาจไว้คุมกะลาหัว ไม่ต้องกลัวขุนนางอย่างนายอำเภออีก จึงตกปากรับคำ วันนั้นจึงจัดงานเลี้ยงรับ งิวฮูกับเตียวสิ้วที่หมู่บ้าน
เตียวสิ้วกับผมไม่ได้เจอกันนาน มีเรื่องคุยมากมาย แต่น่าเสียดายมันต้องตาม งิวฮูกลับไปเมืองก่อน มันจึงบอกว่า ไว้ให้ไปพบกันในเมืองตอนเข้ารับราชการ ถึงตอนนั้นค่อยกินเหล้าเมามายกันให้เต็มที่ ผมหัวเราะและรับปาก จากนั้นก็น้อมส่ง ท่านงิวฮูกับเตียวสิ้ว กลับเมือง
เมื่อทั้งคู่กลับไปแล้ว อาเจินก็ถามผมว่า
“พี่เจ๋ง พี่คิดจะรับราชการจริงหรือ”
“ใช่แล้ว เพราะถ้ามีอำนาจการเมืองคุ้มหัว เราก็น่าจะอยู่ได้อย่างปลอดภัย”
ตูตู้หลุนจึงบอกว่า
“ถ้าเช่นนั้น พวกเราก็จะตามท่านไปด้วย”
“ตอนนี้ยังไม่ได้ พวกเจ้าต้องอยู่ที่นี่ก่อน..เพราะข้ายังไม่รู้เลยว่าจะไปอยู่ที่ไหนยังไง หากพาพวกเจ้าไปด้วยคงจะไม่สะดวก”
อาเจินกลับพูดว่า
“ข้าพเจ้าไม่ไปนั้นไม่เป็นไร แต่หลุนเอ๋อนั้นไม่ไปกับท่านไม่ได้ หากเกิดอะไรขึ้นจะไม่มีผู้ใดช่วยเหลือท่าน”
“พวกเจ้าไม่ต้องหวงหรอก ที่นั้นคงไม่มีอันตราย แต่ที่นี่จะอันตรายมากกว่า ข้าจึงอยากให้หลุนเอ๋ออยู่ดูแลเจ้าที่นี่..ว่าไงหลุนเอ๋อเจ้าเห็นด้วยมั๊ย”
ตูตู้หลุนท่าทางหนักใจ ทางนี้ก็ห่วง ทางโน้นก็ห่วง ในที่สุดก็พยักหน้ารับคำพูดว่า
“พี่เจ๋ง พี่ไม่ต้องห่วง ข้าจะอยู่ดูแลพี่เจินที่นี่เอง”
ตูตู้หลุนรับปากหนักแน่นอย่างนี้ ทำให้ผมเบาใจ จึงยิ้มพูดปลอบใจว่า
“พวกเจ้าไม่ต้องอาวรณ์มากนัก เมืองซีหลงก็อยู่ใกล้แค่นี้ วิ่งม้าครึ่งวันก็ถึง หากข้ามีเวลาว่างวันหยุดก็จะกลับบ้านมาหาพวกเจ้า หรือถ้าหากอยู่ที่โน้น ได้ที่พักขยับขยายก็จะกลับมาพาพวกเจ้าไปอยู่ด้วย ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าเหงานานหรอก”
เมียทั้งสองคนของผมได้ฟังก็ยิ้ม ผมจึงโอบเอวทั้งสองคนเข้านอนแต่หัวค่ำ ดื่มด่ำสั่งลากันจนเกือบฟ้าสาง พากันสูญเสียไปหลายน้ำ
พอถึงรุ่งเช้า ก็เก็บของขึ้นรถม้าเตรียมออกเดินทาง ตูตู้หลุนกับอาเจินก็ขี่ม้าตามไปส่งถึงหน้าเมือง