กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 15

กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 15

กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 15
โดย saradio

หลังจากออกจากที่ประชุมแล้ว งิวฮู ก็บอกให้ผมกลับไปก่อน ตัวมันมีเรื่องอยากจะปรึกษากับนายท่านตั๋งโต๊ะ ผมจึงอำอาควบม้ากลับไปจวนคนเดียว
พอถึงช่วงบ่าย งิวฮู ก็กลับมา สีหน้าอิ่มเอมแลดูมีความสุข มันให้คนมาเรียกผมเข้าไปพบในห้อง พอเห็นผมเข้ามา ท่าทางของ งิวฮู ที่มีต่อผมก็เปลี่ยนไป จากที่เคยเห็นผมเป็นเหมือนลูกน้องหรือบ่าวรับใช้ในบ้าน กลับมีท่าทีให้เกียรติมากกว่าเดิม ถึงกลับกล่าวเชิญผมให้เข้ามานั่ง แล้วเรียกผมว่าท่านกาเซี่ยง แทนการเรียกชื่อธรรมดา
ผมรู้สึกงุนงงสงสัย และอึดอัดกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของ งิวฮู จนทำตัวไม่ค่อยถูกแต่ก็นั่งตามคำเชิญ เมื่องิวฮูเห็นผมนั่งเรียบร้อยแล้ว ก็พูดว่า
“ท่านกาเซี่ยง ที่ข้าพเจ้าให้คนไปเชิญท่านมา ก็เพราะมีข่าวดีจะแจ้งให้ทราบ”
ผมต้องกล่าวถามว่า
“ไม่ทราบว่า นายท่าน มีข่าวดีอันใด”
งิวฮู จึงยิ้มอย่างปิติยินดี พูดว่า

“ตอนนี้ ท่านเจ้าเมือง คิดตกลงทำตามแผนการท่านแล้ว แถมยังตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นเจ้าเมืองดูแลเมืองซีหลงชั่วคราว เรื่องนี้หากสำเร็จท่านก็จะได้รับความดีความชอบอย่างมาก”
ผมฟังแล้ว ต้องตกตะลึงตาค้าง ถามอย่างตกใจว่า
“ท่านหมายถึง นายท่านตั๋งโต๊ะจะคิดเข้ายึดอำนาจในเมืองหลวงหรือ”
งิวฮู ดูท่าทางผมต้องขมวดคิ้ว สงสัย ถามว่า
“เอ๋..แล้วที่ท่านนำเสนอแผนการ ไม่ใช่เพื่อการนี้หรอกหรือ ท่านทราบหรือไม่ ท่านเจ้าเมืองเฝ้ารอโอกาสนี่มานาน จึงซ่องสุ่มกำลังทหารและเสบียงมาหลายปี แต่ยังไม่มีโอกาส แต่ตอนนี้ท่านกลับเป็นผู้ชี้ช่องทางสว่างให้นายท่านเห็น ทั้งที่คนอื่นนั้นมองไม่เห็น เมื่อโอกาสมาถึงดังนี้แล้ว มีหรือนายท่านจะปล่อยให้พ้นมือไป ”
ผมเหมือนกับถูกฟ้าผ่าลั่นกลางหัว เพราะเจตนาของผมจริงๆ ไม่ได้ต้องการนำเสนอให้ตั๋งโต๊ะเข้าไปยึดอำนาจ เพียงแต่เห็นช่องโหว่ในแผนของโฮจิ๋นเท่านั้น เลยพูดวิเคราะห์วิจารณ์ไปตามเนื้อผ้าเมื่อถูกสักถาม โดยไม่ได้เจาะจงส่งเสริมให้ผู้ใดทำตาม แต่ตั๋งโต๊ะนั้นกลับคิดจะทำตามแผนการนี้ ทำให้ผมนึกถึงเรื่องของสามก๊ก ที่เคยได้ยินมาบ้างว่า ตั๋งโต๊ะนั้นเป็นทรราชปกครองแผ่นดินอย่างเหี้ยมโหด หรือการที่ตั๋งโต๊ะได้เข้าไปปกครองแผ่นดินนั้น ก็เพราะผลสำเร็จในแผนการนี้ อย่างนี้ไม่เท่ากับว่า ที่ตั๋งโต๊ะเข้าไปปกครองแผ่นดินได้ก็เพราะผมเองหรอกหรือ
ยามนั้น ผมยืนนิ่งอึ้ง สมองมึน ตาพร่า จนคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะตอบคำยังไง งิวฮูเห็นผมท่าทางแปลกๆ จึงนึกสงสัย ถามน้ำเสียงครางแคลงว่า
“ท่านดูเหมือนไม่ดีใจในเรื่องนี้ ไม่ทราบว่า มีเรื่องอันใดหรือ”
ผมพลันได้สติ รีบตอบแก้ตัวว่า
“อ้อ ข้าพเจ้ายินดีเป็นอันมาก เพียงแต่ทราบเรื่องกะทันหันไม่ทันตั้งตัว จึงรู้สึกตกใจ”
งิวฮูได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ พูดว่า ดี แล้วพูดต่อว่า
“ข้าพเจ้ายังมีอีกเรื่องหนึ่งจะแจ้งให้ทราบ.. ตอนนี้ นายท่านตั๋งโต๊ะได้เลื่อนตำแหน่งให้ท่านเป็นที่ปรึกษาอยู่ในคณะที่ปรึกษาของท่านลิยูแล้ว และท่านก็จะต้องติดตามทัพไปเมืองหลวงลกเอี๋ยนด้วย กองทัพจะเดินทางพรุ่งนี้เช้า ให้ท่านรีบไปเตรียมตัวเถอะ”
คำพูดนี้ทำเอาผมตกใจกว่าทีแรกอีก ถ้าเดินทัพพรุ่งนี้เช้า ผมก็ไม่มีเวลาไปบอกอาเจินกับตูตู้หลุนเลย จะไม่ไปก็ไม่ได้ เพราะมีคำสั่งออกมาแล้ว ขืนไม่ไปก็มีหวังหัวหลุด จึงรีบไปเขียนจดหมายแจ้งข่าวกับอาเจินกับตูตู้หลุนแทนแล้วไหว้วานให้คนนำไปส่ง
จากนั้นก็รีบไปเก็บข้าวของส่วนตัวบรรจุลงหีบลัง เพื่อเตรียมตัวติดตามทัพไปในตอนเช้า ตอนนั้นงิวอี้หลางมาด้อมๆมองๆ แอบมองผมเก็บของ ท่าทางของนางเต็มไปด้วยเงียบเหงาเศร้าสร้อย พลันตัดสินใจเข้ามาถามว่า
“ท่านอาจารย์เซี่ยง ท่านจะไปจริงหรือ ท่านไม่ไปไม่ได้หรือ”
ผมฟังพลันไปกระตุ้นความขุ่นข้องใจ พูดบ่นระบายว่า
“งิวเสียวเจี๊ยะ(คุณหนูงิว) เจ้าคิดว่าข้าอยากไปนักรึ ก็เพราะปู่ของเจ้ามีคำสั่งมา หากข้าไม่ไปก็มีแต่คอขาด”
งิวอี้หลางพลันยิ้ม เหมือนคิดอะไรได้ รีบพูดว่า
“ถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าจะไปคุยกับท่านปู่ ให้ยกเลิกคำสั่ง ให้ท่านไม่ต้องไปดีหรือไม่”
ผมต้องส่ายหัวในความคิดของนาง จึงพูดว่า
“เจ้ายังเด็กนัก จึงคิดตื้นเขิน เรื่องแบบนี้ ผู้ใหญ่ที่ไหนคิดตามใจเด็ก”
งิวอี้หลางพอถูกว่าเป็นเด็ก ก็มีอาการแง่งอนพูดตัดพ้อว่า
“ท่านชอบว่ากล่าว ข้าพเจ้าเป็นเด็กทุกที ปีนี้ข้าพเจ้าอายุสิบสามผ่านเข้าพิธีเข้าสู่วัยสาวแล้ว”
“เหรอ เด็กบ้านข้า อายุเท่าเจ้า ก็ยังเรียกเด็ก เด็กก็คือเด็ก เจ้าอย่าเพิ่งรีบโตจะดีกว่า โตมามีแต่เรื่องปวดหัว เป็นเด็กจึงดีที่สุด”
งิ้วอี้หลางหน้าบูดบึ่ง เหมือนโกรธ แต่ก็ไม่ได้ไปไหน ช่วยผมเก็บของบรรจุลงหีบ จากนั้นก็ไปตามคนรับใช้ให้มาช่วยขนของขึ้นรถม้า จากนั้นผมก็เข้าไปอำลาต่อ งิวฮู และงิวอี้หลางก็ตามมาส่งถึงรถม้า นางจู่ๆก็น้ำตาคลอ ทำเอาผมต้องถอนหายใจพูดว่า
“งิวเสียวเจี๊ยะ ข้าไม่ได้ไปตาย เจ้าจะร้องไห้ทำไม ทำอย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นลางหรอกหรือ”
งิวอี้หลาง จึงกลั้นข่มน้ำตาสะอึกสะอื้น ผมจึงบอกปลอบว่า
“เอาเถอะ ไว้ข้ามีเวลาจะมาเยี่ยมเจ้าก็แล้วกัน”
นางจึงค่อยข่มสะอื้นได้ พลางยิ้มออก พูดว่า
“ท่านอาจารย์ ท่านสัญญาแล้ว”
ผมจึงพยักหน้า แล้วขับรถม้าออกไป มุ่งตรงสู่ค่ายทหารนอกเมืองที่กำลังรวมพลกันอยู่ และเข้ารายงานตัวกับท่านลิยู
ตอนนี้ค่ายทหารนอกเมืองกำลังตระเตรียมการเดินทัพกันอย่างขมักเขม่น ตั๋งโต๊ะคิดชิงเดินทัพอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวว่าจะมีเจ้าเมืองอื่นคิดแผนนี้ออกเหมือนกัน จึงคิดจะรีบเดินทัพให้ถึงก่อน กองทัพของตั๋งโต๊ะนั้นมีกำลังพลถึง10หมื่น มากกว่าที่ผมบอกในแผนถึงเท่าตัว ดังนั้นมันยิ่งมีความมั่นใจว่าจะทำได้สำเร็จ
ตอนนี้ผมเป็นที่ปรึกษาในคณะที่ปรึกษาของตั๋งโต๊ะอยู่ในสังกัดของลิยู แม้จะมีตำแหน่งสูงขึ้นมามากกว่าเดิม แต่ก็ไม่ได้รับความสำคัญและความไว้วางใจอะไรนัก เพราะตั๋งโต๊ะมีที่ปรึกษาที่สำคัญ คือ ลิยู กับ ลิซก อยู่แล้ว ที่เอาผมมาด้วยเพราะผมเป็นคนคิดแผนการนี้ หากเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่เป็นไปตามแผน ผมอาจจะคิดหาทางแก้ไขได้
พอถึงรุ่งเช้ากองทัพก็เตรียมพร้อมเดินทาง ตั๋งโต๊ะก็นำทัพเดินทางไปลกเอี๋ยน
————————————–

ที่ลกเอี๋ยนนั้น สิบขันที พอรู้ว่า โฮจิ๋น แอบอ้างออกราชโองการเรียกกำลังหัวเมืองเข้ามาปราบพวกตนและได้ข่าวว่า ตั๋งโต๊ะกำลังเดินทัพมาจะถึง คิดว่าภัยใกล้มาถึงชีวิตแล้ว ก็แค้นโฮจิ๋น จึงคิดจะกำจัดโฮจิ๋นเสียก่อน จึงวางแผนหลอกโฮจิ๋นเข้ามาในตำหนัก เพื่อกำจัดเสีย โดยซุ่มกำลังไว้ หลังประตูทางเดินเข้าตำหนัก แล้วก็ไปกราบทูลพระนางโฮไทเฮา ว่า โฮจิ๋นเรียกกำลังหัวเมืองเข้ามา คิดจะบีบบังคับพระนาง ให้ส่งตัวพวกมันออกไปให้โฮจิ๋น ครั้งนี้เห็นทีจะไม่รอดเป็นแน่แท้ จึงอยากให้พระนางโฮไทเฮาไปขอร้องโฮจิ๋นให้ละเว้นชีวิต
พระนางโฮไทเฮา ก็เริ่มเบื่อหน่าย รู้สึกว่าเรื่องราวชักบานปลายจนกองกำลังหัวเมืองยกทัพเข้ามา จึงบอกให้ไปขอร้องโฮจิ๋นเอาเอง เหล่าขันทีฟังดังนั้นก็ร้องห่มร้องไห้ บอกว่าถ้าออกไปต้องตายเป็นแน่ อยากให้พระนางเรียกโฮจิ๋นเข้ามา จะได้ขอร้องขอชีวิตโฮจิ๋นในตำหนักนี้ต่อหน้าโฮไทเฮา หากโฮจิ๋นไม่ยินยอมต้องการชีวิตก็สุดแล้วแท้แต่โฮจิ๋น
พระนางโฮไทเฮา ก็ใจอ่อน รับสั่งเรียกโฮจิ๋นให้เข้าเฝ้า
โฮจิ๋นพอได้รับสั่ง ก็จะเข้าเฝ้า ตั้งใจไปตกลงให้รู้เรื่อง แต่โจโฉกับอ้วนเสี้ยวก็ห้ามไว้ว่า ขันทีพวกนี้อาจคิดร้ายลอบซุ่มทำร้ายเอา ถ้าจะเข้าไปให้พวกขันทีออกมาก่อน
โฮจิ๋นหยิ่งทะนงตน คิดว่าพวกขันทีไม่มีปัญญาทำอะไรตนได้ ก็ไม่ฟังคำ เดินผ่านประตูเข้าไปในตำหนัก เท่านั้นเองประตูตำหนักก็ถูกปิด คนของเหล่าขันทีก็ออกมารุมฆ่าโฮจิ๋นตายเสีย
โจโฉกับอ้วนเสี้ยว เห็นโฮจิ๋นหายไปนาน เห็นผิดวิสัย ก็ตะโกนเรียกให้ออกมา แทนที่โฮจิ๋นจะได้กลับออกมา กลับออกมาแต่หัว ขันทีก็ตะโกนว่า โฮจิ๋นคิดกบฏ เราได้ตัดหัวเสียแล้ว ผู้ใดไม่เกี่ยวข้องกับกบฏครั้งนี้ให้สลายตัวไป
ขันทีทั้งสิบคิดว่า หากจัดการโฮจิ๋นได้แล้ว พวกขุนนางจะกลัวแล้วพากันสลายตัวไปเอง ไม่คาดว่า โจโฉกลับร้องป่าวประกาศเสียงดัง
“ไอ้พวกขันที บังอาจนัก กล้าลอบสังหารผู้สำเร็จราชการ พวกมันเหล่านั้นเป็นกบฏ เป็นโจรปล้นราชสมบัติ ใครจะตามข้าพเจ้าเข้าไปจับพวกมัน”
โจโฉพูดจบ ก็พยายามพังประตูตำหนักโดยใช้ดาบฟัน เหล่าขุนนางเห็นดังนั้นก็รีบลงมือช่วยโจโฉพังประตูเข้าไปหมายจับตัวสิบขันที
เหล่าขันทีทั้งสิบ เห็นท่าไม่ดีจึงพากันหนีออกท้ายตำหนัก แล้วพาฮ่องเต้หองจูเปียนกับอนุชาหองจูเหียบหนีไปด้วย
โจโฉ อ้วนเสี้ยว และเหล่าขุนนางพร้อมทหารวังหลวงหลายร้อยคน พอพังประตูเข้าไปได้ ก็ไล่เข่นฆ่าพรรคพวกขันทีตายเสียหลายคน ขันทีคนหนึ่งเป็นคนเก็บตราแผ่นดินเอาไว้ มันวิ่งหลงกับพวก พลางสับสนวิ่งวนไปมาหนีไม่ทันถูกทหารวังล้อมไว้ที่ท้ายสวน ขันทีคนนั้นเห็นจวนตัวหนีไม่รอด จึงตัดสินใจโจนลงบ่อน้ำในสวนตาย โดยไม่มีผู้ใดทราบว่า มันได้เอาตราแผ่นดินตกลงไปในบ่อน้ำนั้นด้วย
ส่วนโจโฉกับอ้วยเสี้ยวพอไปถึงที่ประทับพระนางโฮไทเฮา ไม่พบฮ่องเต้ ทราบว่าขันทีพาหนีไปแล้ว จึงเชิญเสด็จพระนางโฮไทเฮา ขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนชั่วคราวก่อน จากนั้นก็รีบออกตามหาฮ่องเต้

แต่ในเวลาก่อนหน้านั้น ที่กองทัพตั๋งโต๊ะ มันเร่งเดินทัพทั้งกลางวันกลางคืน โดยมีแม่ทัพทั้งหมด 4 คน นั่นคือ ลิฉุย กุยกี หวนเตียว และเตียวเจ ส่วนเตียวสิ้วนั้น ยังประจำอยู่เมืองซีหลงกับงิวฮู
เมื่อถึงเขตเมืองลกเอี๋ยน เจอด่านทหารของโฮจิ๋น ที่ตั้งขวางทางป้องกันเมืองหลวงไว้ ตั๋งโต๊ะก็ให้คนนำราชโองการฉบับนี้ไปให้ดู ราชโองการฉบับนี้แม้ไม่มีตราแผ่นดินประทับ ที่บรรดาหัวเมืองต่างๆคิดว่าไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ใช้ยึดถืออะไรไม่ได้ แต่กับบรรดาทหารของเมืองลกเอี๋ยนที่อยู่ใต้อำนาจของโฮจิ๋นแล้วย่อมมีความศักดิ์สิทธิ์ เพราะถึงไม่มีตราแผ่นดิน แต่ก็มีลายมือชื่อของโฮจิ๋นอยู่ ย่อมไม่มีใครกล้าขัด
ทหารโฮจิ๋นจึงยอมเปิดประตูด่าน ให้ทัพของตั๋งโต๊ะผ่านเข้าไป ตั๋งโต๊ะเห็นดังนั้น ก็หัวเราะชอบใจเพราะเป็นไปตามที่ผมเคยพูดไว้ ทำให้มันยิ่งคึกคักกระตือรือร้น ที่จะเดินทัพเพื่อให้ไปให้ถึงเมืองหลวงไวๆ
แล้วราชโองการฉบับนั้นช่วยให้ผ่านด่านไปหลายด่าน จนถึงกำแพงเมือง ตั๋งโต๊ะจึงรีบสั่งให้เตียวเจตั้งค่ายหน้าเมือง คุมทหารห้าหมื่นรักษาค่ายคุมเชิงไว้ จากนั้นมันก็นำทหารที่เหลืออีกห้าหมื่นเข้าไปในเมืองลกเอี๋ยน โดยใช้ราชโองการให้ทหารในเมืองเปิดประตูเมืองให้
เมื่อทหาร 5 หมื่นของตั๋งโต๊ะเข้าเมืองได้แล้ว มันก็รู้แล้วว่าอำนาจในเมืองหลวงตกอยู่ในมือของมันแล้ว ตอนนั้นที่ตั๋งโต๊ะนำทหารเข้าเมืองมา เป็นเวลาเดียวกับที่โฮจิ๋นถูกฆ่าตาย และโจโฉกำลังบุกเข้าตำหนักพระนางโอไทเฮา ไล่จับขันที ตามหาฮ้องเต้
ตั๋งโต๊ะพอรู้ว่า โฮจิ๋นตาย ก็หัวเราะดีใจกึกก้อง บอกว่า
“ฮ่าฮ่าฮ่า ฟ้ากำหนดแล้ว ว่าให้ข้าเป็นใหญ่”
จากนั้นรีบสั่งแม่ทัพของตน คือลิฉุย กุยกี หวนเตียว ทั้งสามคนแบ่งทหารนำกำลังไปควบคุมพระนครไว้ ส่วนทหารที่เหลือมันให้แบ่งเป็นกองย่อยๆ ออกไปตามหาตัวฮ่องเต้ จนในที่สุดมันก็ได้พบตัว โดยในตอนนั้น โจโฉกับอ้วนเสี้ยวพบก่อน และกำลังจะพากลับเข้าวัง ตั๋งโต๊ะจึงนำทหารไปขวาง และขอตัวฮ่องเต้มา
โจโฉและอ้วนเสี้ยวขัดไม่ได้ เพราะตอนนั้นตั๋งโต๊ะใช้ทหารคุมเมืองหลวงไว้หมดแล้ว จำต้องยอมมอบฮ่องเต้ให้ตั๋งโต๊ะเป็นผู้นำพาเสด็จไป และหลังจากนั้นตั๋งโต๊ะก็มีอำนาจในเมืองหลวง ถึงกับปลอดฮ่องเต้หองจูเปียน ตั้งพระอนุชาฮ่องจูเหียบขึ้นมาเป็นฮ่องเต้แทน และตั๋งโต๊ะก็ยังได้ ลิโป้ยอดขุนศึกแห่งยุค ที่ทรยศเต็งหงวนมาเข้าเป็นพวกด้วย และตามมาด้วย แม่ทัพของโฮจิ๋น นามว่าฮัวหยง นำทหารโฮจิ๋นมาสวามิภักดิ์ ทำให้ตั๋งโต๊ะเรืองอำนาจมากที่สุด ในแผ่นดินเวลานี้

Share the Post:

Related Posts

โดนกระเทยเย็ด จน…แทบฉีก

โดนกระเทยเย็ด จน…แทบฉีก

เรื่องเสียว โดนกระเทยเย็ด จน…แทบฉีก ประสบการณ์เสียวที่ส้มจะเล่าให้อ่าน เรื่องเสียวมันเป็นความลับที่ไม่มีใครรู้ แล้วก็ไม่เคยที่จะปริปากบอกใคร เมื่อครั้งที่ลูกสาวส้มอายุได้ประมาณ 4-5 เดือน ส้มเหนื่อยมากในการดูแลทารก พี่แดงที่เป็นแม่บ้านเลยแนะนำหลานคนหนึ่งที่ชื่อ“แชมป์” ให้เข้ามาช่วยส้มเลี้ยงลูก แชมป์เป็นกระเทยที่รูปร่างค่อนข้างจะใหญ่ ผิวดำแต่หน้าหวานมาก ตาคม นมพุ่งแต่ก็ไม่เหมือนของหญิงแท้อย่างส้มนะ เวลาเดินไม่กระเพื่อม แข่งโป๊กอายุ 30 กว่า

Read More

เมียผมกับเจ้าแม็ค “โอวววว…แม็ค…หลานอา…อาเสียวหีจังเลย…”

เรื่องเสียว เมียผมกับเจ้าแม็ค “โอวววว…แม็ค…หลานอา…อาเสียวหีจังเลย…” เมียผมชื่อ “ปู” นั้น เป็นคนสวยรูปร่างดี และดูเรียบร้อย น่ารักมากจนใครๆ เห็นก็อยากให้เธอมาเป็นเมีย นั้นรวมถึงตัวผมด้วย แต่พอได้แต่งงานกันแล้ว ผมจึงได้เห็นอีกด้านของเธอ คือเมียผม… เธอชอบเรื่องเย็ดมาก แต่มันก็ทำให้ผมกับยิ่งลักษณ์เมียผมมากขึ้นไปอีก เพราะเธอตอบสนองรสนิยมและความต้องการของผมได้เป็นอย่างดี จนทำให้ชีวิตคู่ของเรา…ไม่มีเรื่องน่าเบื่อเลย…วันหยุดส่วนมาก ผมจะชวนเมียขับรถหาที่เหมาะๆ แล้วเย็ดกันตามป่า

Read More