กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 2
โดย saradio
ขณะที่ผมพูดคุยกับอาเจินอยู่นั้น ทัดใดนั้นก็มีเสียงเอะอะโวยวายในห้องของหญิงชรา อาเจินรีบเข้าไปดู พบว่าหญิงชรากำลังคิดฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอ อาเจินรีบเข้าไปห้ามปราม หญิงชรากลับร้องไห้ตีโพยตีพายจะตายให้ได้ เธอบอกว่า เมื่อผมไม่นับถือเธอเป็นแม่แล้ว เธอก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ อาเจินไม่เคยเห็นหญิงชราคลุ้มคลั่งมากขนาดนี้ ห้ามปราบอย่างไรก็ไม่ฟัง อาเจินไม่รู้จะทำยังไงดี แต่จู่ๆ เธอก็พูดกับผมว่า
“ท่านพี่ ท่านเลิกหยอกล้อมารดาเถอะ นี่เกรงจะเลยเถิดเกินไป ยังไม่รีบมากล่าวขอขมามารดาอีก”
ผมฟังแล้วต้องเบิ่งตามองอาเจินอย่างงงๆ คิดไม่ทันว่าเธอจะสื่ออะไร แต่เห็นเธอขยิบตาส่งซิก พร้อมพยักหน้าให้ผมเข้าไป ผมเลยพอจะเดาออกว่า อาเจินคงต้องการให้ผมทำอะไร สวมรอยเป็น เหวินเหอ เพื่อปลอบใจหญิงชรา เพราะอาเจินเกรงว่า หญิงชราตอนนี้สติฟั่นเฟือนจนคุมไม่อยู่ อาจจะคิดฆ่าตัวตายไปจริงๆ
ผมเมื่อรู้ดังนั้นจะนิ่งเฉยได้ยังไง พวกเขาอุสาห์ช่วยชีวิตผม ก็คงต้องสวมบทเล่นละครตามน้ำไป ผมเลยยิ้มแฉ่งปากกว้างให้กับหญิงชรา ผายมือออกสองข้างรอการโอบกอด แล้วพูดว่า
“ท่านแม่ ข้าพเจ้าล้อเล่น จะมีใครจำแม่ตัวเองไม่ได้ ข้าพเจ้าจากท่านไปนาน คิดถึงท่านปานขาดใจ เมื่อกลับมาจึงคิดแย่ท่านเล่นเล็กน้อย”
ผมพยายามพูดจาศัพท์ภาษาจีนโบราณ ใส่ความออดอ้อนออเซาะ อย่างกับเด็กน้อยหยอกล้อแม่ตัวเอง หญิงชราได้ฟัง ถึงกับยิ้มดีใจ โผเข้ากอดผม เรียกผม เหวินเหอไม่ขาดปาก สักพักหญิงชราก็หยุดร้องไห้ แต่เปลี่ยนเป็นฉุนโกรธ เอามือเขกกะโหลกผม พูดว่า
“เจ้าลิงน้อย น่าตีนัก ผู้ใดให้เจ้าล้อเล่นกับมารดาเยี่ยงนี้ เหอะ..อาเจินเจ้าก็รู้เห็นด้วยรึ”
อาเจินได้แต่พยักหน้าไม่ได้พูดอะไร แต่ลอบถอนหายใจ ที่หญิงชราเลิกคลุ้มคลั่งฟูมฟายได้ อาเจินคิดว่า เมื่อหญิงชราปักใจเชื่อไปแล้ว ก็อยากจะบอกให้เข้าใจ ก็มีแต่ต้องให้ผมสวมรอยเป็นเหวินเหอไปเท่านั้น
หญิงชราคนนี้ แซ่ กา ชื่อ เจาจี อายุ 60 เศษ ตอนนี้เธอดีใจที่ได้ลูกคืน เมื่อตัดพ้อต่อว่าแล้ว ก็จับมือผมและอาเจิน พูดด้วยความดีใจทั้งน้ำตาว่า
“ตอนนี้สกุล กา ของพวกเราได้อยู่กันพร้อมหน้าแล้ว ต้องขอบคุณสวรรค์ นับแต่นี้ไปเราจะได้อยู่กันอย่างมีความสุขเสียที เหวินเหอ เจ้ากลับมาครั้งนี้ อย่าได้เอื่อยเฉื่อยเหมือนก่อน รีบเร่งสร้างหน่อเนื้อสกุล กา ให้มีทายาทสืบทอดจะดียิ่ง”
คำพูดนี้ทำเอาผมสะอึก ส่วนอาเจินนั้นปั้นหน้าไม่ถูกและหน้าแดงเป็นผลตำลึง จากนั้นหญิงชราก็ชวนผมพูดคุยไม่ขาดปาก บอกกล่าวเรื่องราว เกี่ยวกับที่บ้านว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง ขณะที่เธอเฝ้ารอคอยผมหรือเหวินเหอกลับมา
ตอนนั้น อาเจิน เมื่อเห็นว่า แม่ผัวของเธอ กลับมามีสติ ไม่คลุ้มคลั่งแล้วก็เบาใจ จึงเดินออกจากห้องไปจัดการธุระการงานของเธอ โดยปล่อยทิ้งให้ผมอยู่กับหญิงชรา และหญิงชรามักจะกล่าวเล่าถึงอดีตวัยเยาว์ของ เหวินเหอ และถามผมว่า จำได้หรือไม่ ผมก็ได้แต่พยัก เออออไป
หลังจากได้พูดคุยกับหญิงชราอยู่นานนม ผมชักเอะใจว่า ที่ผมอยู่ในตอนนี้ มันจะไม่ใช่ปัจจุบันของผมเสียแล้ว เพราะทั้งอาเจินทั้งแม่ผัวของเธอ เวลาเล่าเรื่องราวอะไร บรรยากาศสิ่งแววล้อมที่พวกเธอพูดถึง มันล้วนแต่เกี่ยวกับอารายธรรมโลกโบราณ ทำให้ผมต้องแอบคิดว่า ในโลกปัจจุบันในประเทศจีน มันยังจะมีกลุ่มคนบางกลุ่มที่หลงตกยุคได้ขนาดนี้อยู่อีกเหรอ
เนิ่นนานฟ้าเริ่มมืด อาเจิน นำเอาตะเกียงเข้ามาให้ แล้วบอกต่อแม่ผัวของเธอนอนพักผ่อน เพราะเห็นคุยกันเป็นเวลานานแล้ว หญิงชราพอถูกอาเจินไล่ให้นอน ก็ยิ้มเยาะอย่างมีเลศนัย ก่อนพูดว่า
“จริงสินะ เจ้าสองคนผัวเมียห่างเหินกันมานาน เวลาฟ้ามืดค่ำเยี่ยงนี้ เราผู้เฒ่าคงต้องรีบนอนแต่หัวค่ำ หากดื้อรั้นนอนดึกดื่น คงไม่มีหลานให้อุ้มเป็นแน่แท้”
หญิงชราพอพูดจบ ก็หัวเราะชอบใจ แล้วไปนอนบนเตียงอย่างว่าง่าย อาเจินถึงกับหน้าแดงวูบ แต่เธอก็พยายามทำเป็นเรียบเฉย ก่อนพยักหน้าเป็นความหมายให้ผมออกจากห้อง
เมื่อออกมาข้างนอก อาเจินก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกับผม เธอไปนั่งทำงานของเธอต่อ นั้นคือการทำขนสัตว์ ส่วนผมไม่รู้จะทำอะไรได้แต่มองสำรวจและดูเธอทำงาน
บรรยากาศมันเงียบชวนอึดอัด จนผมทนไม่ไหว ต้องชวนเธอคุยทำลายบรรยากาศที่ชวนอึดอัดนี้
“นี่ เราหลอก คนแก่แบบนี้ จะดีเหรอ”
อาเจินมองหน้าผมพร้อมทอดถอนใจ แล้วตอบว่า
“ข้าพเจ้า ไม่มีทางเลือก แม่ผัวข้าพเจ้าไม่เคยคลุ้มคลั่งรุนแรงเช่นนี้มาก่อน เมื่อนางปักใจเชื่อเช่นนั้น ก็มีแต่วิธีนี้ที่ทำให้นางหยุดคลุ้มคลั่งได้”
“แล้ว ผม เอ้ย ข้า ต้องเป็นเหวินเหอ ถึงเมื่อไหร่เหรอ”
“ก็คงสักระยะหนึ่ง หากท่านไม่มีธุระอะไรรีบร้อน ก็วิงวอนท่านอยู่ช่วยข้าพเจ้า จนกว่านางจะเข้าใจอะไรดีขึ้น ถือว่าตอบแทนที่ข้าพเจ้าช่วยชีวิตท่านก็แล้วกัน”
ผมกรอกตาคิด คิดแล้วมันจะนานเลยนะสิ เพราะการที่จะช่วยคนป่วยทางจิตคนหนึ่ง ให้ยอมรับความจริง มันต้องใช้เวลานานมากเลยทีเดียว ผมเลยรีบพูดว่า
“โอ้ย ถ้านานแบบนั้นผมคงอยู่ไม่ได้หรอก ผมต้องกลับบ้าน และใกล้จะเปิดเทอมแล้วด้วย”
อาเจินรู้สึกผิดหวังที่ผมตอบปฏิเสธ แต่เธอก็ไม่แสดงออกอะไรมาก เธอจึงพูดว่า
“ถ้าท่านลำบากใจ ข้าพเจ้าก็ไม่บังคับ ส่วนแม่ผัวข้าพเจ้าก็คงต้องปล่อยตามเวรตามกรรมของนางแล้ว”
คำพูดของอาเจิน ทำเอาผมรู้สึกผิดเต็มๆ ผมเลยพูดว่า
“เอางี้นะ ถ้าผมกลับบ้านได้แล้ว ผมจะติดต่อหมอจิตประสาท ให้มารับตัวเธอไปรักษา ถือว่าเป็นการตอบแทนที่ช่วยชีวิตผมก็แล้วกัน”
อาเจินไม่เข้าใจที่ผมพูดมากนัก แต่เธอก็ไม่อยากคาดครั้นเอาอะไรจากผม เธอจึงก้มหน้าก้มตาทำงานของเธอต่อ ความเงียบอึดอัดจึงปกคลุมในห้องอีกครั้ง ทำให้ผมต้องชวนเธอคุยต่อ
“นั่นอะไรหนะ”
ผมถามในสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ อาเจินตอบสั้นๆว่า
“ขนแกะ”
“ทำไว้ทำไมเหรอ”
“ทำเตรียมไว้ พรุ่งนี้เช้าจะเอาไปขาย”
“ทำยังไงหนะ ช่วยทำมั๊ย”
ผมบอกพร้อมขยับไปนั่งบนแคร่ที่เธอทำงานอยู่ หวังจะช่วยงานและทำตัวให้เป็นประโยชน์ เพื่อตอบแทน แต่เธอก็ขยับออกอย่างไว้ตัว เหมือนไม่ต้องการให้ผมเข้าใกล้เธอ พร้อมพูดว่า
“ไม่เป็นไร ข้าพเจ้าทำเองได้ ท่านก็ไปนอนเถอะ”
ผมนอนมาจนอิ่มแล้ว ไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด และผมดูออกว่าเธอถือตัว เลยไม่เข้าใกล้มากนัก แต่ยังชวนคุยต่อว่า
“เอาไปขายที่ไหนอ่ะ ในเมืองหรือป่าว”
อาเจินพยักหน้าแทนคำตอบ ทำให้ตาผมเป็นประกายทันที เพราะผมคิดว่าหากไปในเมืองที่มีคนแยะๆ ผมก็อาจได้มีโอกาสกลับบ้านได้ง่ายขึ้น ผมจึงขออาเจินไปด้วยในวันพรุ่งนี้ อาเจินก็รับปาก
คืนนั้นผมนอนที่เดิม ที่เตียงที่ผมนอนป่วยในตอนแรก มันตั้งอยู่ห้องกลางของบ้าน ส่วนอาเจินและแม่ผัวของเธอนอนคนละห้อง
พอถึงตอนเช้า อาเจินและแม่ผัวตื่นแต่เช้าเพื่อมาเตรียมขนแกะขึ้นใส่ม้าเพื่อเตรียมเดินทางนำไปขาย แม่ผัวของอาเจินเห็นผมนอนที่เดิมนอกห้อง ก็มองอาเจินอย่างสงสัย ว่าทำไมยังปล่อยให้สามีมานอนข้างนอกห้อง ยามกะทันหันอาเจินนึกคำแก้ตัวไม่ออก ผมจึงรีบแก้ตัวแทนว่า
“ท่านแม่ ไม่ใช้ความผิดอาเจินหรอก คือเมื่อคืนข้ายังรู้สึกอ่อนเพลีย เกรงว่านอนรวมห้องกับนาง จะอดใจไม่ไหว จนออกกำลังกายหักโหม ร่างกายอาจจะทรุดโทรมลงไปอีก ก็เลยเลือกที่จะมานอนข้างนอก”
อาเจินพอฟังถึงกับอายหน้าแดง ต้องแอบกรอกตามองค้อนผม ส่วนหญิงชรา กาเจาจีถึงกับลั่นหัวเราะ ที่ผมพูดวาจาล่อแหลมเปิดเผย หญิงชราจึงหยอกว่า
“เจ้าลิงน้อยไม่เอาไหน ปล่อยให้ภรรยาเจ้านอนเปล่าเปลี่ยวทั้งคืน แล้วเมื่อไหร่เราจะได้ทายาทไว้สืบสกุล เฮ้อ ช่างมันเถอะ แล้วนี่จะเดินทางไหวหรือไม่”
“อ้อ ตอนนี้แข็งแรงดีแล้วไม่มีปัญหา”
หญิงชราก็หัวเราะดีใจ เร่งให้นำขนแกะขึ้นรถม้าเทียมเกวียน ระหว่างขนขนแกะขึ้นรถม้านั้น อาเจินหน้าบูดบึงแอบมาพูดกับผมว่า
“ท่านไฉนกล่าววาจาน่าอายเยี่ยงนั้น”
“อ่าว ถ้า ไม่กล่าวเยี่ยงนั้น แม่ผัวท่านจะเชื่อเยี่ยงนี้เหรอ หรือตอนนั้น ท่านมีคำแก้ตัวที่ดีกว่า”
ผมบอกอย่างด้วยสีหน้าหยอกเย้าขี้เล่น เพราะรู้สึกว่า เวลาที่อาเจินทำหน้าบูดบึงด้วยความอายนั้น เธอดูน่ารักดี
อาเจินไม่รู้จะโต้แย้งยังไง ได้แต่สะบัดหน้าส่งเสียง ชิ ออกมา
เมื่อขนขนแกะขึ้นรถม้าเสร็จแล้ว ก็พร้อมจะเดินทาง หญิงชรานั้นอยู่ดูแลบ้าน ส่วนผมกับอาเจินก็เดินทางเข้าไปในเมือง นำขนแกะไปขาย อาเจินเป็นคนขับรถม้า เพราะผมขับไม่เป็น เลยได้แต่นั่งว่างๆ ชวนเธอคุยอยู่ข้างๆ
ตอนนั้นผมรู้สึกนึกชอบอาเจินขึ้นมาเสียดื้อๆ เพราะเวลาผมแหย่เธอ ให้โกรธงอน หรือค้อนผมนั้น เธอดูน่ารักดี ใจหนึ่งผมก็คิดอยากจะจีบเธอจริงๆจังๆ เลย แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าเราสองคนนั้นคงไม่เหมาะสมกัน นั้นเพราะเธอแต่งงานแล้วเป็นแม่ม่าย ครอบครัวผมคงไม่ชอบเท่าไหร่ และแถมเธอก็ยังเป็นสาวบ้านป่าที่ต้องมีภาระดูแลแม่ผัวอีก ส่วนผมนั้นเป็นนักศึกษามหาลัยที่ชอบลั้นลาไปตามแสงสีและความศิวิไล มันคงอยากที่เราจะคบเป็นแฟนกันได้ เพราะไลฟ์สไตล์เราต่างกัน แต่กระนั้นผมก็อดที่จะหยอกเย้าแหย่เธอเล่นแบบหมาหยอกไก่ไม่ได้ เพราะมันสนุกและมีความสุขดี เวลาเห็นเธออายและงอนผม ผมจึงใช้สรรพนามเรียกเธอว่า ที่รัก ตั้งแต่ออกเดินทาง เธอทั้งอายทั้งฉุน ห้ามไม่ให้ผมใช้คำนั้น เพราะในความคิดเธอมันเป็นคำที่น่าอายหากถูกบุรุษอื่นที่ไม่ใช่สามีเย้าแหย่แบบนี้
“ท่านไฉนว่ากล่าวมิฟัง ข้าพเจ้าห้ามไม่ให้ท่านเรียกเช่นนั้นอีก หาไม่แล้วข้าพเจ้าจะเฆี่ยนท่านด้วยแส้ม้านี้”
อาเจินยกแส้ม้าขู่ ท่าทางขึงขัง ผมกลับหัวเราะสบายๆ เพราะรู้เธอไม่ได้เอาจริง พูดแก้ตัวว่า
“เอ๊า…ก็เราแกล้งเป็นสามีภรรยากันไม่ใช่เหรอ ข้าพเจ้า ก็ทำให้สมจริง ก็ฝึกไว้จะได้คล่อง”
“เหอะ ถึงเป็นสามีภรรยากัน ก็ไม่มีคู่ใด พูดจาเรียกหากันแบบนี้ ในที่สาธารณะหรอก”
“อ่าว แล้วเรียกที่ไหน….อืม. ในห้องนอนใช่มั๊ย”
เพี้ยะ
โอ้อยยยยยยย
แส้ม้าของเธอสะบัดตีใส่ต้นแขนผม จนผมร้องลั้นหน้าอู้ ไม่คิดว่าเธอจะตีมาจริงๆ ต้องพูดตัดพ้อว่า
“อะไร เอาจริงเหรอเนี้ยะ มันเจ็บนะ”
หน้าผมนิ้ว คิ้วขมวด เอามือลูบต้นแขนตัวเองไล่ระบายความเจ็บ ก็ดีที่เธอยังยั้งมือไว้บ้าง ไม่ได้หนักหนาอะไร แค่เจ็บแสบคันๆ เหมือนโดนก้านมะยม
อาเจินพอตีผมเพราะความโกรธ เมื่อตีแล้วกลับรู้สึกผิด เธอชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเบาๆและยิ้ม พูดกึ่งปลอบกึ่งเย้ยหยันว่า
“สมแล้ว ผู้ใดให้ท่านปากมาก ใช้วาจาแทะโลมหญิงสาว เหอะ หากยังไม่หลาบจำ ข้าพเจ้าก็จะเฆี่ยนท่านอีก”
.”จ้า…เข้าใจแล้วจ้า เมียจ๋า”
“ท่าน….”
เธอยกแส้ม้าทำท่าจะตีผมอีก ผมต้องรีบยกมือห้าม แล้วรีบพูดว่า
.”โอเคๆ ไม่เล่นแล้ว มันเจ็บ ไม่พูดแล้ว สาบาน”
ท่าทางของผมที่แสดงอาการกลัวเธอเหมือนเด็กกลัวโดนแม่ตี ทำให้เธอต้องหลุดยิ้ม เหมือนภูมิใจตัวเองที่ทำให้ผมกลัวได้ แล้วเธอก็เขม่งตาใส่ผม เป็นเชิงบอกว่า ถ้าลองดีอีก โดนแน่ ผมจึงเงียบไม่ได้พูดอะไร ได้แต่อมยิ้ม ครั้งนี้เธอเห็นผมอมยิ้มไม่หุบ ต้องถามอย่างสงสัย
“ท่าน มีอะไรนึกขำ”
“ปล๊าวววว”
ผมตอบเสียงสูง ทำให้เธอยิ่งลางแคลงใจ ในที่สุดตัดสินใจหยุดรถม้า แล้วพูดว่า
“ท่านโป้ปดแล้ว ลักษณะสีหน้าท่าน ผู้ใดก็ดูออก ในใจใช่คิดอกุศลต่อข้าพเจ้าหรือไม่”
อาเจินเริ่มหวาดระแวง จับแส้ม้าขู่อีก
“โอ้ยยย ไม่ใช่ เอะอะจะตีอย่างเดียวเลย.”
“แล้วท่านคิดอันใดอยู่ ไฉนไม่บอกเล่า”
“บอกก็ถูกตี ไม่บอกก็ถูกตี ไม่บอกดีกว่า”
“นั้นก็แสดงว่าท่านคิดอกุศลจริงๆ ข้าพเจ้าไม่น่าช่วยท่านไว้เลย หากรู้ท่านเป็นปีศาจราคะ ไปเถอะ ท่านไปตามทางของท่าน และลงไปจากรถม้าของข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้ ”
อาเจินเริ่มคิดไปแบบนั้นจริงๆ ท่าทางของเธอขึงขังเอาเรื่อง เธอเริ่มไม่ไว้ใจผม เนื่องเพราะผมอาจจะแสดงอาการเจ้าชู้กรุ่มกริ่มกับเธอมากเกินไป ทำให้เธอเริ่มหวาดระแวง แล้วเธอก็เอาแส้ม้าโบกตีไล่ผมให้ผมลงจากรถ ผมเลยจำเป็นต้องกระโจนหลบหนีลงจากรถม้าโดยไม่ได้แก้ตัวอะไร
เมื่อผมหนีลงรถม้าไปแล้ว อาเจินสะบัดแส้ลงม้าให้ม้าควบไป ผมแตกตื่นตะลึง รีบตะโกนว่า
“เอ้ย เอาจริงเหรอเนี่ย ข้าแค่คิดว่า เจ้าเป็นผู้หญิงที่สวยและใจดีที่สุดเท่าที่เจอมาเท่านั้นเอง คิดแค่นี้มันราคะตรงไหนว่ะ เอ้ยยยย จะทิ้งข้าไว้กลางทางแบบนี้จริงๆหรือไง”
เสียงตะโกนของผมไล่ตามหลังเธอ ไม่รู้เธอจะได้ยินหรือเปล่า แต่สักพักรถม้าก็หยุดรอ ทำให้ผมดีใจรีบวิ่งตามไป
ผมรีบขึ้นรถม้าอย่างหืดหอบ ภายใต้สายตาเธอที่มองอย่างแอบยิ้มสมใจ ผมพูดอะไรไม่ออกได้แต่โบกมือให้เธอไปต่อ แล้วผมก็นั่งเงียบไม่พูดอะไรอีก และคิดในใจว่า ตอนแรกเห็นเธอเงียบๆ หงิมๆ หยอกแหย่ง่าย แต่พอบทเอาจริงก็โหดใช่เล่น ที่หลังต้องระวังปากหน่อยแล้วเรา
รถม้าวิ่งอีกประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึงที่หมาย ภาพเบื้อหน้าที่ปรากฏท่ามกลางสายตาผม ทำเอาผมมองตะลึงตาค้าง มันเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่มีบ้านเรือนมากมาย บ้านแต่ละหลังก็ล้วนแต่เป็นสถาปัตยกรรมสมัยโบราณแทบทั้งสิ้น ผมกวาดตามองจนทั่วยังไม่เห็นอะไรเลยที่ผมคุ้นตาและมาจากในยุคสมัยผม
“อะไรว่ะ ล้อเล่นหรือป่าวเนี่ยะ มันเป็นไปได้ยัง”
ผมบอกตัวเองเบาๆ ในลำคอ ขณะรถม้ากำลังเคลื่อนวิ่งบนถนนเส้นหนึ่งในแหล่งชุมชนนี้ ผมคิดว่ามันต้องมีอะไรผิดธรรมชาติแล้ว มันจะเป็นไปได้ยังไง ที่โลกปัจจุบัน จะมีเมืองเก่าแก่อย่างนี้หลงเหลืออยู่ ไอ้เมืองหนะพอว่า แล้วผู้คนพวกนี้หละ จะอธิบายยังไง
ตอนนั้นสิ่งที่ผมหวาดกลัวในความคิดลึกๆ เริ่มจะชัด ความคิดที่ผมไม่ได้อยู่ในโลกปัจจุบัน แต่ผมหลงกาลเวลามา มันเริ่มจะชัดขึ้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่เป็นของจริง มันไม่ใช่โรงถ่ายหนัง หรือฉากที่สร้างขึ้น ทุกอย่างทั้งเมืองและผู้คนล้วนเป็นของจริง
เมื่อรถม้าของอาเจินจอดหยุดหน้าร้านส่งขนสัตว์ ผมก็รีบลงจากรถม้า และวิ่งไปตามถนน โดยไม่ได้สนใจเสียงของอาเจินที่เรียกถาม ผมเหมือนคนเสียสติ ที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินไปตามถนนพร้อมสายตาที่กวาดมองหาไปทั่ว เหมือนคนที่กำลังมองหาอะไรบางอย่าง
ใช้แล้วผมกำลังหา หาก๊อกน้ำ หาสายไฟ หาตู้โทรศัพท์ หรืออะไรก็ได้ที่บอกให้ผมรู้ว่าผมยังอยู่ในปัจจุบัน ไม่ใช่อยู่ในอดีต ผมหาอยู่นานแต่ผมหาไม่เจอ และเตลิดเดินไปอย่างไม่รู้ทิศทาง สิ่งที่ผ่านตาและเห็นนั้น ทำให้ผมเริ่มตระหนักขึ้นเรื่อยๆ ว่าผมไม่ได้อยู่ในโลกของผมแล้ว ขาผมเริ่มอ่อนแรง และทรุดลงนั่งข้างกำแพงในที่สุด หัวผมหมุนคว้างไปหมด และคิดอะไรไม่ออก มันจะเป็นไปได้ยังไง ที่ผมจะย้อนเวลา ผมนึกทบทวนอะไรหลายอย่างๆ ว่าผมมาที่นี่ได้ยังไง แล้วผมก็พอจะเดาออกแล้วว่า น่าจะเป็นไอ้ประตูวงกลมที่ส่องแสงนั่นมันส่งผมมา แล้วทีนี่ผมจะกลับไปได้ยังไง เพราะประตูวงกลมนั่นไม่มีอยู่อีกแล้ว
ผมนั่งจมอยู่กับความคิดตัวเองอยู่นานจนไม่รู้เวลา นั่งเหมือนคนบ้าจิตใจเลื่อนลอยไม่ได้สติ จวบจนกระทั้งเสียงผู้หญิงเสียงหนึ่งปลุกผมขึ้นจากภวังค์
“ท่านอยู่ที่นี่เอง ข้าพเจ้าตามหาท่านตั้งนาน”
เสียงของอาเจินนั้นเอง เธอเดินตามหาผม และเมื่อมาถึงก็ดึงให้ผมลุกขึ้น
“เกิดอันใดขึ้น ไฉนท่าน จึงวิ่งหนีไปโดยไม่บอกกล่าว”
ผมไม่ได้สนใจที่เธอถามแต่นึกเรื่องที่คิดอยู่ในหัว รีบถามเธอว่า
“อาเจิน ตอนนี้ ใครคือฮ่องเต้”
อาเจิน ดูงุนงงที่ผมถามเธอแบบนั้น เหมือนเธอคิดว่า มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าใครคือฮ่องเต้ แต่เธอดูผมจริงจังรอคำตอบ เธอจึงพูดว่า
“ฮ่องเต้ ก็คือพระเจ้าเลยเต้ ท่านถามทำไมหรือ”
ผมไม่ได้ตอบอาเจิน แต่ทวนคำพระเจ้าเลนเต้ในหัวหลายเที่ยว เพื่อนึกยุคสมัย จนในที่สุดผมก็นึกออก ถึงกับอุทานออกมา
“ตายห่า ยุคต้นสามก๊กเลยนี่หว่า”
ผมแทบเข่าอ่อนจะเป็นลม เพราะยุคนี้มีแต่สงคราม ไอ้ไม่ได้กลับบ้านยังพอว่า แต่ต้องมาใช้ชีวิตในช่วงกลียุคชนิดที่เกิดสงครามทุกหย่อมหญ้าแบบนี้ ผมจะมีชีวิตรอดไปถึงเมื่อไหร่กัน
อาเจินเห็นผมเงียบและมีท่าทางไม่สู้ดี เธอจึงเอ่ยปากชวนกลับไปที่รถม้า เพื่อเดินทางกลับ ผมเดินเป็นตุ๊กตาใจลอย คิดไม่ออกว่าจะทำยังไงกับชีวิตดี จวบจนกระทั้งกลับถึงบ้าน ผมก็เอาแต่นั่งใจลอยใครถามคำผมก็ตอบคำ ไม่พูดเล่นลิ้นคารมเหมือนเคย
กระทั้งมืดค่ำเข้านอน ผมก็นอนตาค้างมือก่ายหน้าผากคิดไม่ตก ว่าจะดำเนินชีวิตต่อไปยังไง ขณะที่ว้าวุ้นคิดอะไรในใจนั้น ก็เห็นอาเจินถือตะเกียงออกจากห้องส่องแสงไฟเดินมาหาผม
ผมมองดูเธอและถามว่า
“มีอะไรเหรอ”
อาเจิน เหมือนพยายามปั้นขรึม พูดเบาๆว่า
“ท่านเข้าไปนอนในห้องเถอะ”
สิ่งที่เธอพูด ทำเอาผมต้องเลิกคิ้ว และมองเธออย่างสงสัย อาเจินกลัวผมคิดไปไกล รียร้อนรนพูดต่อว่า
“อย่าได้เข้าใจผิด แค่ข้าพเจ้าไม่อยากให้แม่ผัวข้าพเจ้า เห็นท่านนอนอยู่ที่นี้ ไม่อย่างนั้นคงต้องวุ่นวายหาข้อแก้ตัวอีก”
ผมจึงพยักหน้าเข้าใจและเดินตามเธอไปอย่างว่าง่าย เมื่อเข้าไปในห้อง ก็เห็นเสื่อและผ้าปูเป็นที่นอนไว้ตรงพื้นข้างเตียงให้เป็นที่เรียบร้อย ผมคงไม่ต้องถามว่าให้ผมนอนตรงไหน ผมจึงไปจัดการล้มตัวนอนอย่างไม่ถามไถ่
อาเจินเห็นผมเงียบผิดปกติตั้งแต่กลับมา ไม่พูดจาเย้าแหย่เธอเหมือนเคย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม ตอนอยู่ในเมือง เธอรู้สึกค้างคาใจใคร่รู้ นอนพลิกตัวกระสับกระส่ายไปมาบนเตียงหลายครั้งจนไม่เป็นอันนอน แล้วในที่สุดเธอก็อดไม่ได้ที่จะชวนผมคุยเมื่อเห็นผมยังไม่หลับ
ผมเองก็ต้องการใครสักคนเพื่อพูดคุยระบายเหมือนกัน เลยตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดของผมให้เธอฟัง เรื่องมันน่าอัศจรรย์จนเธอไม่อยากจะเชื่อ ว่าผมมาจากอนาคตพันแปดร้อยกว่าปีข้างหน้า แต่เธอก็เชื่อผม เพราะดูผมจะพูดความจริง แถมลักษณะบุคลิกการพูดจาของผมก็ไม่เหมือนคนในยุคเธอ นั้นทำให้เธอเข้าใจในตัวผมมากยิ่งขึ้น ว่าทำไมผมถึงมีนิสัยแปลกแหวกกว่าชาวบ้าน และเมื่อเธอฟังว่าผมไม่สามารถหาทางกลับไปได้อีกแล้ว ทำให้เธอนิ่งคิดใจลอยไปครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยปากบอกผมว่า
“เมื่อท่านกลับไปไม่ได้และไม่มีที่ไป ไฉนจึงไม่อยู่เสียที่นี่ ก็ในเมื่อ แม่ผัวข้าพเจ้ายึดถือว่าท่านเป็นเหวินเหอลูกของนางแล้ว ท่านก็อยู่เป็นเหวินเหอไปใยไม่ดีกว่าหรือ ท่านจะได้มีที่พักอยู่อาศัย ส่วนนางก็ได้ลูกชายไว้ดูแลยามชรา นี่เท่ากับดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย”
ผมฟังแล้ว ก็เห็นว่าดี แต่ก็ยังคิดไม่ตก เลยไม่ได้ตอบรับในทันที่ อาเจินเห็นผมไม่ตอบรับคำใดๆ เอาแต่ ตาลอยมองหลังคานิ่งเงียบ เธอก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อมแอ้มเบาๆไม่เต็มเสียงว่า
“หากท่านยินยอมตัดสินใจเป็นเหวินเหออยู่ที่นี่แล้ว ข้าพเจ้า…ข้าพเจ้า ก็จักเป็นภรรยาท่าน”
คำพูดนี้ของอาเจิน ทำเอาผมตื่นตะลึงลืมเครียดเรื่องกลับบ้าน ตัวผมดีดขึ้นนั่งอัตโนมัติ และมองไปที่เธอที่กำลังนอนอยู่บนเตียง อาเจินรู้สึกอายสุดชีวิตเธอรีบพลิกตัวหันหลังหลบสายตาผม ผมมองเงาหลังของเธอภายในชุดผ้าหนาที่มีสาดรัดเอว ทั้งสวดทรงเว้าโค้งของเธอที่เห็นแค่ภายนอก ก็นึกภาพออกถึงภายใน เมื่อคิดว่าจะได้สัมผัส ก็ทำผมคึกคะนองจนควยตั้งโด่แล้ว
แต่ก็ยังอึ้งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่แน่ใจว่าเธอพูดจริงหรือพูดเล่น จึงถามย้ำว่า
“พูดจริงหรือเปล่าเนี่ย”
อาเจินไม่ได้ตอบคำเพราะอายเกินกว่าจะเอ่ย เธอขดตัวจนงอและขยับดึงผ้าห่มมาห่อตัวไว้ เมื่อเป็นแบบนี้มีหรือผมจะรีรอ ค่อยๆลุกขึ้นขยับไปบนเตียงด้วยใจเต้นระทึกและกระหยิ่มยิ้มย่อง
อาเจินตัวสั่นสะท้านหายใจแรง เพราะรับรู้ถึงการคืบคลานของผมที่กำลังลุกล้ำขึ้นมาบนเตียงเพื่อเข้าหาตัวเธอ เมื่อมือของผมจับกับคอดเอวกึ่งสะโพกของเธอ เธอก็สะท้านจนกายกระตุก ผมจึงแกล้งแหย่พูดว่า
“ที่รัก คำนี้คงเรียกได้แล้วมั่ง”
ครั้งนี่อาเจินไม่ได้โกรธ แต่ยิ้มอายจนตัวม้วน แต่เธอก็ยังตอบคำผมว่า
“เกรงว่า เมื่อเบื่อหน่ายแล้ว คำนี้ก็จะไม่เรียก”
“อื้ม..พูดอะไรอย่างนั้น จะเรียกทุกวันเลย”
ผมบอกพร้อมเลิกผ้าห่มเธอออกแล้วนอนประกบกอดเธอจากด้านหลัง จากนั้นก็หอมดอมดมทายทอย เล้าโลมซุกไซ้ไปตามซอกคอ อาเจินตัวสั่นงันงกนอนนิ่งไม่ไหวติง เหมือนเธอไม่รู้ว่าจะต้องตอบสนองอย่างไร จะว่าไปแม้อาเจินเคยแต่งงานมาแล้ว แต่เธอก็ได้อยู่กับสามีแค่ช่วงสั้นๆ ดังนั้นความช้ำชองในการตอบสนองเอาใจสามีบนเตียงถือว่าน้อยนิดนัก
แต่นั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับผม ทำไม่เป็น ทำไม่ได้ เดี๋ยว เจ๋งจัดให้ จะสอนให้รู้รสรักของศตวรรษที่ 20 ให้ดูให้รู้ว่าเป็นยังไง
ขณะที่ผมจูบหอมดอมดมท้ายทอยและซอกคอของอาเจิน มือของผมก็ลื่นเลื้อยรูปไล้ไปตามตัวเธอแม้เธอจะมีเสื้อผ้าที่หนาห่อหุ้มตัว แต่ไม่กี่อึดใจมันก็หลุดลุยจากการลูบล้วงของผม ตอนนั้นผมลูบล้วงเข้าไปในอกเสื้อ สัมผัสกับเต้าปทุมทันของเธอ มันใหญ่อูมเต็มมือและเด้งลู้อย่างกับลูกโป่ง หัวนมก็เป็นจุกดีดเด้งดึ๋งดั๋งเขี่ยเล่นได้มันนิ้ว
อาเจินสยิวหัวนมจนเผลอซีดส์ปากครางเบาๆ และหนังตาที่พริ้มหลับกระตุกสั่นระริก เมื่อผมเล่นนมเธอจนหนำมือแล้ว ก็ลูบไล้ลงหน้าท้อง ก่อนลงสู้ทุ่งหญ้าท้องนาที่อวบอูม มันสากนิ้วตรงผืนหญ้าบนเนินท้องนาที่แน่น แต่เมื่อแหวกผ่านสัมผัสเจอร่องหลืบที่เปียกชุ่มชื้น ใช้นิ้วกดจมร่องหลืบ ก็เหมือนจับถูกเนื้อหอยที่สดในเปลือก
ผมเล่นจนเพลิดเพลิน ส่วนอาเจินก็ซ่านสยิวจนเผลอหนีบขาเข้าหากัน และกัดริมฝีปากหลับตาแน่น
“ไม่เอา อย่าเกร็งหนีบสิ ทำไม่ถนัด ปล่อยตามสบายนะ”
ผมกระซิบยิ้มบอกที่ข้างหู ทำให้อาเจินต้องพยายามผ่อนคลายตัวเองลง และอดทนสู้กับความเสียว
นิ้วผมเลื่อนมุดเข้าออก ทุกขณะที่ขยับจะค่อยๆ เลื่อนจมลึกลงไป อาเจินเมื่อไม่เกร็งหุบขาก็ยิ่งเข้าได้ง่ายขึ้น จนสุดท้ายจดมิดนิ้ว เข้าไปขยับเขี่ยอยู่ภายใน
“อ้อยยยยยยยย ซีดดดส์ ท่านพพพพพี่”
อาเจินเผลอร่ำร้องออกมา พร้อมขยับสะโพกสับส่าย คล้ายพยายามหนีจากความเสียวทรมานนั้น
“อืม อาเจินจ๋า จุ๊บ จุ๊บ แบบนี้เจ้าชอบมั๊ย”
ผมจุ๊บจูบหอมแก้มอาเจิน ขณะที่นิ้วมือก็เร่งเร้าเขย่าน้ำในหีเธอจนแตกเจาะแจะ อาเจินเสียวซ่านทรมานจนหน้านิ้วคิ้วขมวด กัดริมฝีปากแน่น และขาก็เกร็งถ่างกระตุก ไม่นานเธอก็กรีดร้องงอตัว ร้องว่า
“ไม่ไหวแล้วข้าพเจ้า ทรมานเหลือเกิน”
เธอร้องพร้อมพลิกตัวแรงให้นิ้วผมหลุดออกจากหีเธอ ก่อนที่จะมีน้ำฉีดพุ่งตามออกมา อาเจินหายจากการทรมานและความสุขหฤหรรษ์เข้ามาแทนที จนเหมือนวิญญาณหลุดล่องลอยขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้า จนนอนตาเหม่อยิ้มค้างหอบหายใจรวยริน
จากนั้นผมก็ดึงเธอมากอดจูบประกบปาก ชวนเล่นลิ้นให้ครื้นเครง ส่วนมือก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้าเธอออกทีละชิ้น จนไม่เหลือสิ่งใดติดตัว
รูปร่างอวบอิ่มเย้ายวนของเธอค่อยๆเผยต่อหน้าผม ทั้งส่วนเว้าส่วนโค้งบนเรือนร่างไม่ทำให้ผมผิดหวังแม้แต่น้อย นี่ถ้าอาเจินไปอยู่ในยุคของผม คงไม่แคล้วได้เป็นพริตตี้มอเตอร์โชว์เป็นแน่แท้ ยิ่งผิวที่ขาวใสภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านทางหน้าต่าง มันสะท้อนเจิดจ้าดังกับพื้นหิมะในคืนวันเพ็ญ ดูแล้วมันช่างยั่วยวนจนอดใจไม่ได้ที่อยากจะจูบดูดดื่มไปให้ทั่วเรือนร่างของเธอ
ตอนนั้นผมรู้สึกช่างเป็นวาสนาในคราเคราะห์จริงๆ เพราะถึงแม้จะไม่ได้กลับไปในยุคของผม แต่ผมก็ได้เมียที่น่าเย็ดตามความใฝ่ฝัน ผมจึงไล่ไซ้จูบไปทุกสัดส่วนของเธออย่างหื่นกระหายให้สมกับความน่าเย็ดของเธอ จนเธอต้องใช้ปากหอบหายใจระบายความเสียวสยิวแทนจมูก
แล้วผมก็มาจบที่จุดเดิม จุดที่ความทรมานและความสุขหฤหรรษ์มาบรรจบอยู่ ณ จุดเดียวกัน ทันทีที่ผมแตะลิ้นลงไป อาเจินถึงกับสะดุ้ง และรีบจับประคองดึงหัวผมขึ้น ท่าทางของเธอแตกตื่น และพูดว่า
“ท่านพี่ ท่านเป็นบุรุษเพศ อย่าได้ทำเช่นนั้น หาไม่แล้วท่านจะเสื่อมเสียศักดิ์ศรี”
ผมรู้สึกงงเล็กน้อย แต่ก็คิดเข้าใจได้ คาดว่า ผู้ชายในยุคนี้คงไม่นิยมทำรักด้วยปากให้สตรี เพราะถือตัวว่าบุรุษเพศนั้นสูงส่งกว่า หากการทำรักด้วยปากจะมี ก็มีแต่สตรีทำให้บุรุษเท่านั้น ดังนั้นผมจึงจับมืออาเจินออกแล้วยิ้มอย่างอ่อนหวานพูดว่า
“ศักดิ์ศรีบุรุษในยุคเจ้า อาจถือว่าเป็นเรื่องเสื่อมเสียเกียรติ แต่ศักดิ์ศรีบุรุษในยุคข้านั้น หากไม่ทำรักด้วยปากให้หญิงสาวที่รักถึงสวรรค์ชั้นเจ็ด ถือว่าเสียชาติเกิด เจ้าอยากให้ข้าเสียชาติเกิดอย่างนั้นหรือ”
อาเจินได้แต่เขินอายไม่กล้าห้ามอีก ปล่อยให้ผมทำตามที่ต้องการ ผมจึงจับเธอแยกขาแบะถ่าง จนกลีบแคมแหวกแหกจนเห็นเน้อหอย อาเจินอายจนหลับตาไม่กล้ามองสภาพตัวเอง แล้วผมก็ก้มลงแทรกหว่างขา ก้มหน้าจูบดูดดื่มละเลงลิ้นเนื้อหอยที่ฉ่ำแฉะ จนมันเรียกน้ำภายในออกมาฉ่ำเยิ้มกว่าเดิม
“อ้อยยยยย ท่านพี่ ข้าพเจ้าแยกแยะไม่ออกแล้ว ว่ามันเป็นความสุขหรือความทรมาน ซีดดดส์”
ผมไม่ตอบคำเพราะปากไม่ว่าง แต่กินตะกละตะกาม จนเสียงดังจ๊วบจาบ และจากนั้นก็ละเลงลิ้นเล่นเม็ดเสียว จนเธอแขม่วท้องเกร็ง ไม่นานเธอก็ถึงสวรรค์น้ำแตกทะลักอีกหน
อาเจินนอนตัวอ่อนปลวกเปลียกอย่างหมดสภาพ ขณะที่ผมเริ่มจัดการถอดเสื้อผ้าตัวเอง เมื่อล่อนจ้อนหมดแล้ว ผมก็อยากจะทดสอบว่าอาเจินอมควยเป็นหรือไม่ โดยการช้อนคอเธอขึ้นและเอาควยไปจ่อตรงปากเธอ ถ้าเธอเป็นเธอต้องรู้ว่าจะจัดการกับมันยังไง ถ้าไม่เป็นเธอก็คงจะมองหน้าผมและไม่รู้จะทำยังไง
แต่ทันที่ที่ควยผมจ่อที่ปากเธอ อาเจินก็อ้าปากรับ และดูดเลียมัน เธอทำเป็นอย่างไม่ต้องสงสัย นั่นก็เพราะเธอเคยมีสามีแล้ว และสามีคนนั้นก็คงสอนให้เธอทำ
“อ้อยยยยย ซีดดดดส์ ดีจ๊ะ เก่งมาก ที่รัก อืมส์ เสียวสุดๆเลย”
คำชมของผมยิ่งทำให้อาเจินทำไม่หยุด เธอดูดเลียอย่างเอาอกเอาใจ จนผมเสียวจะแตกอยู่แล้ว แล้วผมก็ทนไม่ไหวปล่อยน้ำแตกใส่ปากเธอ อาเจินกลืนกินน้ำรักของผมจนหมดสิ้น พร้อมยิ้มอย่างเขินอายผม แหมเห็นแบบนี้ ยิ่งคึกคัก ถึงน้ำแตกควยก็ไม่หด น่ารักน่าเย็ดแบบนี้ คืนนี้ไม่ได้เกิน 3 น้ำอย่าเรียกผมว่าเจ๋งเลย
ผมจึงดันเธอนอนหงาย จับเธอถ่างแบะขาค่อยๆเอาควยสอดยัด อาเจินสะท้านเสียวทุกส่วนเสียวที่ชำแรกเข้าไปในตัวเธอ เธอแต่งงานตั้งแต่อายุ 16 ได้ลิ้มรสดุ้นเพียงไม่กี่วัน สามีก็ด่วนจาก ครั้งนี้ได้ลิ้มรสมันอีกที่ และดูจะใหญ่ยาวกว่าดุ้นก่อน ทำเอาเธอผวาด้วยความสุขโผขึ้นกอดผมแน่นพร่ำบอกรักไม่ขาดปาก เมื่อจมมิดสนิทแน่นแล้ว
ผมก็เริ่มซอยช้าๆ ให้เธอได้ลิ้มรสมันอย่างไม่รีบร้อน พร้อมกับก้มลงไปซุกไซ้จูบเธอ จากนั้นความรู้สึกต้องการของเราสองคนก็เร่งเร้าจังหวะกันเอง มันค่อยๆเร็วขึ้นและเร็วขึ้น
ต๊าบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
“อ้อยยยยยยย พี่ท่านนนน ซีดดดส์”
“โอ้วววว สุดยอดจริงๆ ซีดดดส์ อาห์ อาเจินจ๋า เจินเย็ดมันจัง”
อาเจินทั้งอายทั้งเสียวที่ถูกชมแบบนี้ แต่มันก็กระตุ้นอารมณ์ของเธอให้กระเจิง จนกล้าตอบสนองผมทุกอย่าง เธอเด้งสะโพกรับอย่างต้องการ จนเสียงเนื้อปะทะกันหนักหน่วงกว่าเดิม ไม่นานผมกับเธอก็ถึงสวรรค์พร้อมกัน ผมแตกน้ำใส่หีเธอ ก่อนที่เธอจะน้ำหีแตกเสร็จตามมา ทั้งเธอและผมผวากอดรัดกันจนแนบแน่นแทบจะกลืนกินร่วมกันเป็นก้อนเนื้อก้อนเดียว แล้วหลังจากนั้นไม่นานผมก็พร้อมที่จะบรรเลงยกต่อ คืนนั้นผมหักโหมไม่ได้นอน บรรเลงเพลงรักกันจนไก่ขัน กว่าจะเลิกลาก็ฟ้าสาง
ขณะเสร็จกิจครั้งสุดท้าย ผมทิ้งตัวแผ่หลา หลับตาเคลิ้มจะหลับ กลับได้ยินเสียงหัวเราะคิดคักของหญิงชราที่หน้าห้อง ผมถึงกับนึกยิ้มอายตัวเอง เพราะทั้งคืนเสียงสนั่นลั่นทุ่ง หญิงชราคงได้ยินไม่มากก็น้อย
“เฮ้อ ขอบคุณท่านแม่จริงๆ ที่ให้ผมเป็นเหวินเหอ”
ผมพูดขอบคุณหญิงชราในใจ ก่อนจะยิ้มและพริ้มตานอนหลับไป