กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 3

กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 3

กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 3

โดย saradio

จริงๆแล้ว ผมไม่คิดมาก่อน ว่าอาเจินจะยอมผมง่ายดายขนาดนี้ เพราะตอนแรกดูเธอจะถือตัว และเคร่งขนบธรรมเนียมประเพณี แต่มาคิดดูอีกที เธอเป็นหญิงม่ายสาวอายุยังน้อย แค่ 21 แก่กว่าผมปีเดียว แต่ต้องมาทนเหงาเปล่าเปลี่ยวและรับภาระทำทุกอย่างเพื่อหาเลี้ยงตัวเองและแม่ผัวที่สติไม่ค่อยจะดี มันเลยอาจทำให้เธอต้องการใครสักคนมาช่วยแบ่งเบาภาระดูแลครอบครัว
ประจวบเหมาะที่ผมผ่านเข้ามาในชีวิตเธอ และ หญิงชรา กาฮูหยิน ก็เข้าใจว่าผมเป็นลูกชาย มันเลยเข้าล๊อกลงตัวทุกอย่าง ถ้าผมยอมอยู่ที่นี่ในนามเหวินเหอ เพราะนั่นทำให้กาฮูหยินได้ลูกชายคืน ทำให้พอมีสติสะตังกลับคืนมาบ้าง ส่วนอาเจินนั้น ก็ไม่ต้องทนเหงาเปล่าเปลี่ยวอีกต่อไป เมื่อได้ผัวใหม่โดยไม่ถูกคำครหาและยังได้ผมมาช่วยแบ่งเบาภาระอีกด้วย และสำหรับผม ถึงจะไม่ได้กลับไปยังปัจจุบัน แต่ก็มีที่ซุกหัวนอนพร้อมได้อาเจินเป็นเมีย อยู่เป็นครอบครัวเป็นหลักเป็นแหล่ง ไม่ต้องหลงยุค อยู่ในยุคนี้อย่างเคว้งคว้าง หาทางไปไม่ได้ นี่เท่ากับว่าความคิดของอาเจินที่เสนอให้ผมสวมรอยเป็นเหวินเหอนั้น สร้างความสุขสมหวังให้กับทุกฝ่าย มันช่างลงตัวเหมาะเจาะจริงๆ
แต่ก่อนอื่น เมื่อผมตัดสินใจอยู่ที่นี่เป็นเหวินเหอแล้ว สิ่งแรกที่ผมต้องทำ ก็คือหาถังไม้ใส่น้ำสักใบไปตั้งทิ้งไว้ในส้วมเพื่อใช้ล้างตูด ผมทนไม่ได้หรอกที่จะขี้แล้วไม่มีน้ำล้าง หลังจากนั้นเรื่องอื่นค่อยว่ากัน
หลังจากนั้นผมก็เริ่มปรับตัว ให้ใช้ชีวิตเข้ากับความเป็นอยู่และวิถีชีวิตของคนในยุคนี้ บ้านของอาเจินนั้น ทำมาหากินหลักๆคือการเลี้ยงแกะ นำขนแกะมาทอขาย ส่วนอาหารการกินก็หาเอาตามวิถีชาวบ้าน เช่นล่าสัตว์ ปลูกผัก หาเห็ด เก็บสมุนไพร ถึงแม้ความเป็นอยู่ค่อนข้างจะอัตคัด แต่ก็อยู่ได้โดยไม่อดอยาก
ตอนนี้อาเจินดูจะยิ้มแย้มแจ่มใสและร่าเริงกว่าตอนแรกที่พบกัน เพราะหลังจากที่ได้ผมเป็นผัวแล้ว ผมก็หยอกเย้าเกาหอยเธอไม่ให้เหงาใจ และยังช่วยงานของเธอให้เบาแรง เธอจึงรู้สึกอบอุ่นใจที่มีคู่ชีวิตคอยรวมทุกข์รวมสุข และได้รับความสุขอย่างที่หญิงสาวแต่งงานมีสามีแล้วควรได้รับ ทำให้เธอมีความหวังกับชีวิต ส่งผลให้เธอดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา และเธอก็สอนผมบังคับรถม้า และขี่ม้าต้อนแกะ ยามออกไปเลี้ยงแกะที่ทุ่งกว้าง เราจะขี่ม้าออกไปด้วยกัน เมื่อปล่อยฝูงแกะไปหากิน เราก็นั่งจู๋จี๋หยอกเย้ากันใต้ร่มไม้
ชีวิตพวกเรานั้นถือว่ามีความสุขได้ตามอัตภาพ และเป็นความสุขแบบที่ผมไม่คิดมาก่อน ว่าผมจะได้มาใช้ชีวิตแบบนี้ แต่ถึงผมจะรู้สึกมีความสุข แต่ผมก็ยังรู้สึกกังวลใจเกี่ยวกับสงครามในยุคสามก๊ก ไม่รู้ว่ามันจะปะทุขึ้นเมื่อไหร่ เนื่องจากผมไม่รู้การเทียบปีราชวงศ์การปกครองของจีนตอนนี้เปลี่ยนไปเป็น ปี ค.ศ ทำให้ไม่สามารถคาดการได้ว่า กลียุคแห่งสงครามจะอุบัติขึ้นเมื่อไหร่
แล้ววันหนึ่งผมก็ได้รู้ เมื่อผมกับอาเจินกลับเข้าไปในเมืองอีกครั้ง เพื่อเอาผ้าทอขนแกะไปขาย และหาซื้อข้าวสารนำกลับบ้าน ข้าวสารนั้นตอนนี้มีราคาแพงขึ้นจนอาเจินตกใจ ถามพ่อค้าร้านขายข้าวว่า
“เฒ่าแก่ ไฉนข้าวสาร ราคาถึงขึ้นเป็นเท่าตัว ท่านคิดโก่งราคารึ?.”
“โธ่..ฮูหยิน(ผู้หญิงที่มีสามีแล้ว) ชาวนาถูกภัยแล้งเล่นงานมาหลายปี ปีนี้ซ้ำร้ายยังแล้งหนักกว่าเดิม ชาวนาปลูกข้าวกันไม่ได้ ไม่มีผลผลิตออกมา ที่ข้าพเจ้าสามารถหามาขายได้นั้น ก็นับว่าดีมากแล้ว ราคานี้ตอนนี้ถือว่าสมเหตุสมผล หากขายราคาต่ำกว่านี้ ข้าพเจ้าก็ขายให้ไม่ได้”
ผมฟังดูแล้ว เริ่มเอะใจ เพราะต้นเหตุของกลียุคในยุคสามก๊ก มันมาจากภัยแล้งที่ติดต่อกันนานหลายปี เป็นเหตุให้ข้าวอยากหมากแพง เศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้ผู้คนเริ่มอดอยาก ส่วนทางราชสำนักก็ไม่ได้ใส่ใจดูแลแก้ไข ทำให้ประชาชนที่ใกล้จะอดตาย หันไปเป็นโจรปล้นชิงชาวบ้าน เพื่อความอยู่รอด
เมื่อทางราชสำนักไม่สนใจใยดีเยี่ยงนี้ จึงก่อให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ประชาชน และเกิดกลุ่มกบฏ โพกผ้าเหลืองเกิดขึ้น
หัวหน้ากลุ่ม กบฏนี้ นำโดยเตียวก๊ก ศึกษาวิชาลัทธิเต๋า ตั้งตัวผู้วิเศษ สำแดงอภินิหารรักษาผู้คนแล้วสร้างลัทธิความเชื่อเพื่อโค่นล้มราชสำนักเผยแผ่ไปทั่วแผ่นดิน จนมีผู้คนเข้าร่วมจำนวนมาก และเกิดเป็นกบฏจลาจลขึ้นตามหัวเมืองต่างๆ และนี่แหละคือจุดเริ่มต้นของกลียุค จุดเริ่มต้นของสามก๊กที่ผมรู้มาคร่าวๆ
ซึ่งตอนนี้ ผมคิดว่ามันใกล้จะถึงเลาเกิดขึ้นแล้ว เพราะจากภัยแล้งและราคาข้าวที่สูงขึ้นเรื่อยๆในตอนนี้
อาเจินจึงไม่มีทางเลือก จำต้องซื้อข้าวด้วยราคาที่แพงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะถ้าไม่ซื้อก็ไม่มีข้าวกิน เงินที่ได้มาจากการขายผ้าทอขนแกะ เคยซื้อได้ 1 กระสอบและมีเงินเหลือ ตอนนี้กลับซื้อได้แค่ครึ่งเดียว
ระหว่างนั่งรถม้าขนข้าวครึ่งกระสอบนั้นกลับบ้าน อาเจินพูดกลับผมว่า
“พี่เจ๋ง เราได้ข้าวมาเพียงครึ่งกระสอบ เกรงว่าจะไม่เพียงพอไปตลอดเดือน ถ้าแต่นี้ไปต้องทานข้าวต้มทุกวัน ท่านจะทานได้หรือไม่”
ผมตอนนั้น ขับรถม้าอย่างใจเหม่อลอย เพราะมัวแต่คิดว่า จะรับมือกับกลียุคที่จะมาถึงนี่ได้ยังไง เลยไม่ได้สนใจจะตอบ อาเจินต้องบูดบึงเง้างอน พูดว่า
“ผู้อื่นคุยกับท่าน ไฉนท่านไม่สนใจ หรือข้าพเจ้าไร้ความหมายกับท่านแล้ว”
คำตัดพ้อของอาเจิน ทำให้ผมรู้สึกตัว เลยถอดหายใจระบายความคิดกลัดกลุ่มออกไป คิดในใจว่า เรื่องมันยังมาไม่ถึง คาดเดาเหตุการณ์อะไรก็ไม่ได้ เพราะไม่รู้ข่าวสารสถานการณ์ จะคิดไปมันก็คิดอะไรไม่ออกรั้งแต่จะกลัดกลุ่มกังวลใจไปเปล่าๆ สู้เอาเวลากลัดกลุ่มนี้ มาตักตวงความสุขที่มีอยู่ไม่ดีกว่าหรือ ส่วนอะไรมันจะเกิด มันก็ต้องเกิดนั่นแหละ
เมื่อคิดได้แบบนี้ ผมจึงยิ้มให้อาเจินที่แง่งอนอยู่ แล้วง้อโดยการดึงเธอมากอดแนบข้าง พูดหยอกว่า
“โถ โถ….แค่นี้ทำเป็นงอนไปได้ เจินของเจ๋งจะไร้ความหมายได้ยังไง มาม๊ะ มาหอมแก้มหน่อย”
อาเจินแทบกลั้นยิ้มไม่อยู่ เมื่อถูกผมง้อด้วยคารมหวานแกมเย้า แต่เธอก็ยังพยายามแสร้งหน้าบึงทั้งที่ปิดรอยยิ้มไม่มิด แสร้งทำเป็นขยับตัวอิดออดไม่ยอมให้หอม ดูก็รู้ว่าต้องการให้ผมง้อมากกว่าเดิม ผมเลยกอดแน่นกว่าเดิม อ้อนว่า
“โกรธเหรอ อย่าโกรธนะ ที่หลังจะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้ว นานะ จุ๊บ จุ๊บๆ”
ผมพูดจบก็ระดมจุ๊บหอมแก้มเธอ หัวเจินหัวเราะ ทั้งจักกะจี้ ทั้งเขินอาย เพราะอยู่บนรถม้ากลางทาง เธอจึงพยายามดิ้นออก แต่ดิ้นไม่หลุด ต้องร้องทั้งหัวเราะว่า
“อ้อยย คิ คิ พอแล้วๆท่านพี่ ในที่โจ่งแจ้งเช่นนี้ ท่านอย่าได้ทำประเจิดประเจ่อมากนัก หากผู้อื่นเห็น เกรงว่าจะไม่เหมาะสม”
ผมจึงหยุดจุ๊บ แต่กระซิบบอกข้างหูว่า
“งั้นกลับไปทำที่บ้านก็แล้วกันนะ”
อาเจินยิ้มเอียงอายไม่ตอบ ผมเลยหัวเราะ แล้วลงแส้ม้าให้วิ่งเร็วขึ้น เพื่อให้ถึงบ้านไวๆ จะได้ง้ออาเจินให้หนำอุรา
และหลังจากวันนั้น สิ่งที่ผมกังวลก็มีเค้ารางออกมาให้เห็นมากขึ้น ทั้งบรรดาข้าวสารพืชพันธ์ต่างๆ ยังขึ้นราคาเรื่อยๆ จนคนจนไม่มีปัญญาซื้อกิน และเศรษฐกิจก็ตกต่ำไม่มีการจ้างงาน ทำให้คนจนคนอดอยากมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว และในที่สุดก็ได้ยินข่าว การก่อกบฏของเตียวก๊ก ที่ลุกฮือขึ้นก่อการจลาจลทั่วประเทศ
เรื่องนี้ทำให้ ราชสำนักของพระเจ้าเลนเต้ นิ่งเฉยอยู่ไม่ได้ จึงมีราชโองการเร่งด่วน ให้หัวเมืองต่างๆนำกำลังทหารเข้าปราบปราม สงครามการปะทะจึงเริ่มเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ
ตอนนี้ผมเองก็ได้รับผลกระทบ ผ้าทอขนแกะของผมขายไม่ได้แล้ว และข้าวสารอาหารแห้งเราก็ไม่พอกิน จึงได้แต่กินนมแกะและหาอาหารตามป่าเขามาประทังชีวิต ถือว่าโชคดีที่พวกผมยังอยู่กันได้ ไม่ถึงกับอดอยากขาดอาหาร และยังไม่ได้รับผลกระทบจากภัยสงคราม เพราะอยู่ในสถานที่โดดเดี่ยวเปลี่ยวร้าง ห่างไกลจากผู้คน
แต่แล้ววันหนึ่ง ขณะที่ผมกับอาเจินเลี้ยงแกะ บนทุ่งหญ้า อาเจินส่งเสียงร้องตกใจ ชี้ให้ผมดู ผมเห็นม้าตัวหนึ่ง วิ่งสะเปะสะปะไปตามทุ่งหญ้า บนหลังม้ามีทหารคนหนึ่งนอนฟุบอยู่บนหลังม้า ที่หลังของทหารคนนั้นถูกลูกธนูปักไว้ดอกหนึ่ง
ผมเห็นแบบนั้น ต้องขึ้นม้าของตัวเองควบไปหาม้าตัวนั้น เพื่อสำรวจดู เมื่อไปถึงเห็นทหารที่ฟุบบนหลังม้ายังไม่ตาย จึงจูงม้าตัวนั้นนำพาทหารกลับมาหาอาเจิน
“เขายังไม่ตาย”
ผมบอกพร้อมลงจากหลังม้า แล้วไปประคองดึงทหารลงมานอนคว่ำหน้ากับพื้น อาเจินแหวกเสื้อเกราะดู เห็วหัวธนูจมเข้าไปในแผ่นหลัง และมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด จึงพูดว่า
“ลูกธนูจมลึก เขาเสียเลือดมาก ไม่นานเขาอาจจะตาย พี่เจ๋ง รีบพาไปหาท่านแม่เถอะ เขาอาจจะรอด”
ผมจึงเอาทหารคนนั้นขึ้นม้า แล้วขี่ม้าพาไปก่อน ส่วนอาเจินนั้น ขี่ม้าต้อนแกะตามหลังมา เมื่อมาถึงที่บ้าน ผมรีบอุ้มทหารคนนั้นเข้าบ้าน พร้อมตะโกนเรียก ท่านแม่ หรือ กาฮูหยิน
กาฮูหยิน ออกมาดู และบอกให้ผมพาเขาไปนอนบนเตียงที่ผมเคยนอนป่วยอยู่ เธอจัดการรักษาทหารคนนั้น อย่างที่ผมไม่เชื่อว่าเธอจะมีความสามารถขนาดนี้
กาฮูหยิน ใช้ชุดเครื่องมือการรักษาของเธอ ที่เป็นชุดมีดเล็กๆ และนำเหล้าที่เทียบได้กับแอลกอฮอมาราดล้างเครื่องมือ จากนั้นก็ผ่าเอาหัวธนูออก แล้วจัดการเย็บปิดแผลด้วยด้ายขนแกะที่ผ่านการจุ่มลงในเหล้าเพื่อฆ่าเชื้อแล้ว
ผมมองอย่างตื่นตะลึง ที่ กาฮูหยิน รู้จักวิชาการแพทย์มากขนาดนี้ แล้วที่ว่าสมัยจีนโบราณรู้จักวิธีการรักษาโดยการผ่าตัดตั้งแต่พันกว่าปีก่อน นั้นก็คงจะเป็นเรื่องจริง เพราะผมได้เห็นมันกับตา
วันนั้นผมถึงได้รู้ว่า สมัยกาฮูหยิน ยังเป็นสาว เคยศึกษาวิชาการแพทย์จากบิดา และต่อมาเธอได้ไปศึกษากับกลุ่มแพทย์ ที่ค้นคว้าเรื่องการผ่ารักษาคน ซึ่งในตอนนั้น แพทย์ที่ใช้การผ่ารักษาถูกมองว่าเป็นพวกแพทย์นอกรีตและไม่ให้การยอมรับ เพราะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้
และเหตุการณ์ร้ายแรงก็เกิดขึ้น เมื่อ กาฮูหยินและกลุ่มสหายแพทย์ที่ค้นคว้าด้วยกัน คิดจะผ่าตัดรักษาคนไข้ในส่วนที่วิทยาการทางการแพทย์ในสมัยนั้นยังไปไม่ถึง ผลปรากฏคนว่าไข้ตาย ทำให้แพทย์พวกนี้ถูกมองเป็นฆาตกร และไม่เชื่อการรักษาด้วยการผ่าตัดอวัยวะภายในตั้งแต่นั้นมา
กาฮูหยินเลยต้องจบชีวิตการเป็นหมอ แล้วเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่แอบไปใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา จวบจนได้แต่งงานเข้าตระกูลกา แต่เธอก็ไม่เคยละทิ้งความรู้ที่มี หากมีโอกาสเธอก็จะใช้มันรักษาคนดังเช่นตอนนี้
หลังจากที่ กาฮูหยินเย็บแผลเสร็จ อาเจินก็มาถึงพอดี กาฮูหยินใช้ให้นางไปต้มยา อาเจินก็ไปโดยไม่ถามไถ่สักคำว่าจะให้ต้มยาอะไร เหมือนอาเจินรู้อยู่แล้วว่าต้องต้มยาอะไร ดูท่าคงจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแพทย์มาจากกาฮูหยินไม่ใช่น้อย
ผลเลยหายสงสัยว่า ทำไมอาเจินต้องไปเก็บหาสมุนไพรบ่อยๆ เพราะพวกเขามีความเป็นหมออยู่ในตัวนี่เอง เพราะเมื่อรู้ว่ามียา มีหรือจะไม่หาเก็บเอามาไว้
ทหารคนนั้นหลังจากได้รับการรักษาแผล และกินยาสมุนไพร อาการก็เริ่มดีขึ้น เวลาผ่านไปอีกพักหนึ่ง มันก็เริ่มรู้สึกตัว กาฮูหยินจึงถามมันว่า
“เจ้าเรียก ว่ากระไรรึ?”
ทหารคนนั้นยังงุงงงอยู่ ไม่ได้ตอบในทันที แต่พอครู่เดียว ก็พอรู้ว่าได้ถูกช่วยเหลือ จึงกล่าวว่า
“ข้าพเจ้า แซ่เตียว นาม สิ้ว เรียกว่า เตียวสิ้ว ต้องขอบคุณท่านยาย ที่ช่วยชีวิต”
กาฮูหยิน ยังสอบถามมันอีกหลายคำ จนได้ความว่า บุรุษทหารนามเตียวสิ้วผู้นี้ ได้คำสั่งให้นำทหารกองหนึ่ง เข้าปราบกบฏโจรโพกผ้าเหลือง ที่มาร่วมตัวกันแถบหุบเขาใกล้ๆนี้
แต่โจรโพกผ้าเหลือง กลุ่มนี้แข็งแกร่ง มีหัวหน้ากลุ่มฝีมือเยี่ยม แถมชำชองการรบ ทำให้มันแตกพ่ายไม่เป็นท่า ถึงกับควบม้าหนีตาย ซ้ำร้ายยังถูกลูกธนูยิงปักกลางหลัง
กาฮูหยินได้ฟัง ต้องร้องว่า แย่แล้ว พูดว่า
“คนผู้นี้เป็นนายทัพ หนีตายบาดเจ็บมาเยี่ยงนี้ พวกโจรกบฏต้องออกตามล่าตัวเป็นแน่ ไม่นานพวกมันคงจะตามมาถึงที่นี่ อาเหวิน อาเจิน พวกเจ้ารีบไปเก็บข้าวของ พวกเราจะอพยพเข้าเมือง”
คำพูดของกาฮูหยิน ทำเอาผมกับอาเจินมองหน้ากัน ไม่คิดว่าเราจะย้ายกันออกจากบ้านกันเดี๋ยวนี้ เพียงเพราะช่วยทหารไว้คนหนึ่ง ผมจึงพูดกับ กาฮูหยินว่า
“ท่านแม่ ท่านไม่ตีตนไปก่อนไข้หรือ มันคงไม่เลวร้ายขนาดนั้น”
“เพ้ย เจ้าเด็กโง่ ไม่เคยได้ยินสุภาษิต จับโจรต้องจับหัวหน้า ข่มขวัญทหารต้องจัดการนายทัพหรือไร พวกโจรเมื่อตีทัพทหารแตกแล้ว ย่อมต้องการจับตัวนายทัพ เพื่อสร้างความฮึกเหิมกับพวกพร้อง และตัดกำลังผู้บัญชาการทหารฝ่ายตรงข้าม ยิ่งพวกนั้นรู้ว่ามันบาดเจ็บเยี่ยงนี้ มีหรือจะไม่ออกตามหาตัว”
คำพูดของ กาฮูหยิน เต็มไปด้วยเหตุผล ดูไม่ใช่คนสติสะตังไม่ดีเสียแล้ว ที่ผ่านมาตั้งแต่ผมมาอยู่ นางก็เริ่มมีสติแจ่มใสขึ้นเรื่อยๆ และนางก็ถือว่าเป็นคนฉลาดปราดเปรื่อง รอบรู้กว้างขวาง ไม่อย่างนั้นก็ไม่สามารถศึกษาวิชาแพทย์เรื่องการผ่าตัดได้ หากไม่เชื่อนางตอนนี้ผมก็ไม่รู้จะเชื่อใคร
ตอนนั้นผมกับอาเจิน จึงตกลงใจจะอพยพตามคำบอกของนาง พวกเราช่วยกันขนของที่จำเป็น พร้อมนายทหารเตียวสิ้วผู้นั้น ขึ้นหลังรถม้า แล้วผมก็ไปต้อนแกะออกมา เพื่อจะให้มันเดินตามขบวนอพยพไปด้วย
มิคาดว่าในตอนนั้น ได้ยินเสียงม้าควบตะบึงมา ม้าห้าตัวถูกควบขี่โดยชายฉกรรจ์ห้าคน แต่ละคนโพกผ้าสีเหลืองบนศีรษะ ถึงไม่บอกผมก็รู้ว่าเป็นใคร พวกมันคงตามแกะรอยมาถึงนี่แล้ว
ตอนนั้นผมใจหายวูบ รีบตะโกนบอกอาเจิน ให้ขึ้นรถม้าพาแม่ และนายทหารคนนั้นหนีไปก่อน
อาเจินยามนั้นใจเต้นผะว้าผะวง ด้วยความเป็นห่วงผม แม้ขึ้นรถม้าแล้วแต่ยังไม่ได้ออกรถม้า ผมเลยต้องตะโกนเร่งไปอีกที ว่าหากไม่รีบไปจะตายกันหมด นางถึงตัดใจควบรถม้าออก ส่วนผมรีบต้อนแกะไปทิ้งขวางทาง อย่างน้อยก็พอช่วยถ่วงเวลาได้ แล้วรีบควบม้าตามหลังรถม้าไป
พวกโจรห้าคนควบม้ามาติดฝูงแกะทำให้ชะงักงัน เสียเวลาไปช่วงหนึ่ง จากนั้นพวกมันก็ผ่าฝูงแกะมาได้ไล่ตามมาอีก พร้อมกับส่งลูกธนูพุ่งเพี้ยวฟ้าวไล่หลังผม
ตอนนั้นผมเห็น กาฮูหยิน ขยับตัวหลังรถม้า พยายามยกของที่หนักทิ้งออกจากรถม้าเพื่อให้รถมีน้ำหนักเบาขึ้น เตียวสิ้วแม้เพิ่งได้สติไม่นาน พออยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ก็กัดฟันลุกขึ้นช่วยกาฮูหยินทิ้งของลงจากรถม้า
ฉันพลัน ลูกธนูดอกหนึ่งทมี่พวกโจรยิงพุ่งออกมา วิ่งปักเข้าอก กาฮูหยิน นางส่งเสียงร้องคราหนึ่ง ก็ฟุบลงไปบนหลังรถม้า เหตุการณ์นี้สร้างความตื่นตระหนกยิ่ง อาเจิงร้องเรียกท่านแม่เสียงหลง แต่ก็ไม่สามารถทิ้งการบังคับรถม้าไปดูได้ เตียวสิ้วก็พยายามจะช่วยเหลือแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้
กาฮูหยินอาการล่อแลขับขัน แต่นางก็ยังสั่งให้อาเจินขับรถม้าไปไม่ต้องสนใจ แล้วสั่งเตียวสิ้วห้ามทิ้งห่อตำราที่เห็นนั้น ให้เก็บไว้ให้อาเจิน จากนั้นนางก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหวสิ้นใจตาย เพราะลูกธนูถูกจุดสำคัญ
ตอนนั้นผมรู้สึกเสียใจอย่างใจหาย ทั้งยังโกรธและคับแค้นที่ช่วยอะไรไม่ได้ ถึงแม้กาฮูหยินไม่ใช่แม่แท้ๆ แต่วันเวลาที่อยู่ด้วยกันความรู้สึกก็ผูกพันกันดังฉันแม่ลูก เมื่อเห็นนางตายไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้ทำเอาผมถึงกับน้ำตาหลั่งไหล และคิดไปว่าถ้าหากความตายนั้นเกิดขึ้นกับอาเจินผมคงทนไม่ได้แน่ๆ
ตอนนั้นลูกธนูของพวกมันหมดแล้ว ไม่มียิงมาอีก แต่พวกมันก็ไล่บี้เงื้อดาบกวดม้าตามห่างกันไม่กี่ช่วงตัว ยามคับขันบีบครั้นขนาดนี้ ผมจึงเกิดความคิดบ้าระห่ำขึ้นมา ตะโกนว่า
“ข้าจะนำทองคำร้อยตำลึงหนีไปก่อน พวกเจ้ารีบหนีไปยังค่ายทหาร”
ผมตะโกนเสียงดังเน้นหนัก คำว่าทองคำร้อยตำลึงให้พวกมันได้ยิน แล้วฉีกม้าวิ่งแยกไปอีกทาง การเดิมพันครั้งนี้ของผมสูงมากเพราะ หากพวกมันไม่ตามผมมา อันตรายจะไปตกที่อาเจิน ผมจึงภาวนาให้พวกมันโลภมากและวิ่งตามผมมา ห่อผ้าสะพายหลังของผมคงจะหลอกพวกมันว่าผมมีทองคำอยู่ได้
คำภาวนาผมได้ผล พวกมันลังเลและชะลอม้าในที่แรกที่ได้ยิน และเห็นผมควบม้าวิ่งฉีกออกไป เหมือนกำลังคิดชั่งใจว่าจะตามใครดี แล้วพวกมันก็มองหน้ากันพร้อมตัดสินใจควบมาฉีกวิ่งตามมาทางผม
ในความดีใจที่เห็นนี้ ผมควบม้าล้อให้มันตาม ให้ดูเหมือนจะทันแลไม่ทันแล แต่เมื่อได้ระยะหนึ่งแล้ว ผมก็เร่งควบม้าสุดฝีเท้า และม้าตัวนี้ก็เป็นม้าของนายทหารเตียวสิ้ว มันแข็งแรงและถูกฝึกมาอย่างดี พวกมันจึงกวดตามผมไม่ทัน แต่กลับจะถูกทิ้งห่างไปเรื่อย พวกมันจึงได้แต่ตะโกนขู่ผมให้หยุดม้า หรือไม่ก็ให้ข้อเสนอ หากผมมอบทองคำให้กับพวกมัน พวกมันจะไม่ฆ่าผม ใครจะไปเชื่อว่ะ ผมจึงตะโกนหัวเราะส่วน ด่าไปว่า
“ไอ้ควาย ไอ้โง่ กูไม่มีทองคำหรอก พวกมึงโดนแหกตาแล้วเว้ย ฮ่าฮ่าฮ่า”
ผมหัวเราะอย่างสะใจ เร่งม้าตะบึงไปไม่หยุด พวกมันถึงกับเจ็บใจเป็นที่สุดตะโกนด่าตามหลังผม แล้วก็หยุดชะลอม้าไม่ตามมาอีก เพราะไม่มีทองคำไม่รู้จะตามผมไปทำไม ผมจึงรอดมาได้

Share the Post:

Related Posts

แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู

เรื่องเสียว แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู เอิร์นนะคร้า เป็นสาวมหาลัยในเชียงใหม่นี้เองค่า เอิร์นเป็นสาวมหาลัยปีสองแล้วค่ะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องผู้ชายเลย ยุคนี้แล้วเนอะ ไม่ใช่แค่ผู้ชายนะคะที่ล่าแต้ม เอิร์นเองก็กินมาเยอะเหมือนกันค่ะ สูงยาว ลำอวบ ใหญ่ยาว กินมาหมดแล้วค่า ชีวิตครั้งนึงเนอะ เรื่องพวกนี้ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ต้องมีบ้างอยู่แล้วใช่ไหมค่ะ และแน่นอนว่าเอิร์นเลยกินแต่วัยเดียวกัน รู้ตัวอีกทีได้แอบกินรุ่นใหญ่พี่แท็กซี่ซะอย่างนั้นเลยค่ะ ที่สำคัญไม่เคยเจอมังกรที่ใหญ่ยักษ์ขนาดนี้มาก่อน มาเริ่มเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ ด้วยความที่อยู่เชียงใหม่ที่เที่ยวเยอะ

Read More

จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว

เรื่องเสียว จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว “ตั้งกล้องเรียบร้อยแล้ว มึงพร้อมยังจะได้กดเริ่ม” วันนี้เรามีถ่ายคลิปวิดีโอทำอาหารที่คอนโดของพวกเราสองคนที่เป็นเพื่อนกัน เรามองเม็กที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมสองเม็ดจนเห็นแผงอกที่เป็นมัดกล้าม กางเกงขาขั้นสั้นสบาย ๆ แต่พอมาอยู่บนร่างกายของเม็กแล้วมันดูดีไม่น้อยเลย ถึงแม้เราทั้งสองจะเป็นเพื่อนกัน แต่พอมาเจอมันในลุคนี้ก็ทำให้เราใจสั่นไม่น้อย “มึงกูสวยยัง” “สวยแล้ว” พอได้รับคำตอบที่สร้างความมั่นใจให้กับตัวเองแล้ว เราก็พยักหน้าให้มันเริ่มกดบันทึกภาพวิดีโอทันที การถ่ายทำดำเนินไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นตอนการชิมอาหาร “อะ

Read More