กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 42

กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 42

กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 42
โดย saradio

ในตอนนั้นแม้สถานภาพทางครอบครัวผมมีความสงบรักใคร่กลมเกลียว แต่สถานภาพทางการเมืองของผมเริ่มมีความง่อนแง่น ลิฉุยกับกุยกีนั้น มิได้ให้ความสำคัญกับผมอีกต่อไปแล้ว น้อยครั้งจะเรียกไปร่วมว่าราชการด้วย พอถึงคราวไปมัน ก็หาได้ฟังความคิดเห็นไม่ กลับรับฟังแต่พวกประจบสอพลอมัน และนับวันลิฉุยกับกุยกีก็ยิ่งหลงตัวเองมากขึ้นทุกทีเพราะฟังแต่คำประจบสอพลอ พาให้กำเริบเสิบสานหลบหลู่พระเจ้าเหี้ยนเต้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทั้งยังใช้อำนาจบาตรใหญ่กอบโกยผลประโยชน์เข้าหาตนเองอย่างหน้าด้านๆ โดยไม่สนใจสิ่งใดๆทั้งสิ้น พฤติกรรมนี้สร้างความไม่พอใจให้กับขุนนางผู้ใหญ่ที่จงรักภักดิ์ดีต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้อย่างสุดทน
เอียวปิวกับจูฮีขุนนางผู้ใหญ่ผู้ภักดีจึงแอบนำความไปปรึกษาพระเจ้าเหี้ยนเต้ จูฮีคิดอ่านจะโค่นล้มลิฉุยกับกุยกีลง โดยเสนอแผนการ ขอให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงมีราชโองการลับขอความช่วยเหลือไปยังโจโฉ ที่ตอนนี้มีกำลังกล้าแข็งอยู่ทางฝั่งตะวันออก คิดว่าโจโฉเป็นคนมีความสามารถมากอีกทั้งยังปกครองราษฎรได้อย่างดีจนตอนนี้มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมา เห็นควรจะนำมันมารับใช้ในเมืองหลวง
แต่เอียวปิวเห็นว่า แม้โจโฉจะมีกำลังกล้าแข็ง แต่พวกลิฉุยนับแล้วก็ยังมีกำลังมากกว่า ยิ่งรบชนะม้าเท้งจับทหารเฉลยไว้ได้เป็นจำนวนไม่น้อย ไม่แน่ว่าโจโฉจะรบชนะ จึงคิดแผนการทำให้ พวกลิฉุยแตกคอกันเสียก่อน จึงจะค่อยให้โจโฉเข้ามาปราบ ทุกฝ่ายก็เห็นด้วย
เอียวปิว จึงกระทำแผนการยุยงให้ ลิฉุยกับกุยกีแตกคอกัน โดยติดสินบนพวกประจบสอพลอ คอยช่วยปลุกปั่น ทั้งยังเข้าหาทางภรรยาลิฉุยกับกุยกี ยุยงให้เกลียดกัน เมื่อโดนคนรอบข้างปลุกปั่นเช่นนี้แล้ว ลิฉุยกับกุยกีก็เริ่มหวาดระแวงกันเอง กลัวอีกฝ่ายจะคิดมิซื่อลอบทำร้าย พาลคิดหาวิธีกำจัดกันและกัน
ในทีสุดก็ถึงวันแตกหัก เมื่อเหตุทะเลาะบานปลายเป็นเรื่องใหญ่ ถึงกับแตกหักประกาศท้าทายกัน ลิฉุยพลันได้ข่าวว่ากุยกีคิดจะไปชิงตัวพระเจ้าเหี้ยนเต้ เพื่อยึดอำนาจบริหาร ดังนั้นรีบส่งกำลังจำนวนหนึ่งไปควบคุมพระราชวัง กักขังบริเวณพระเจ้าเหี้ยนเต้ไว้
กุยกีพอแผนล้มเหลวก็โกรธ จึงนำทหารจำนวนหนึ่งไปไล่จับขุนนางทั้งหมด ไปกักขังบริเวณไว้เช่นกัน และใช้ต่อรองกับลิฉุย ว่าหากไม่ปล่อยพระเจ้าเหี้ยนเต้ มันก็ไม่ปล่อยขุนนาง บ้านเมืองนี้ก็ไม่ต้องมีผู้ใดมาบริหารกัน ผมเห็นความเดือดร้อนบานปลายถึงขนาดนี้ ต้องบากหน้าไปหาพวกมัน ขอร้องให้ปล่อยตัวทั้งฮ่องเต้และเหล่าขุนนาง แล้วพูดเกลี่ยกล่อมให้ทั้งคู่มาเจรจาหาขอตกลงกัน และสมัครสมานสามัคคีกันไว้ มิเช่นนั้นภัยภายนอกจะเข้ามาจะพากันล้มจมกันหมด พวกมันก็หาฟังไม่ พาลจะจับผมฆ่าทิ้งหาว่าไปเข้าด้วยอีกฝ่าย
ก็ดีที่ยังใช้ลิ้นวาจาพูดจนหลุดรอดมาได้ ไม่ได้ตายไปเสียแต่ตรงนั้น ยามนั้นเห็นว่าถึงที่สุดแล้ว พลันตัดสินใจที่จะต้องหนี จึงได้ให้ลูกศิษย์ของตูตู้หลุน นำพาคนในครอบครัวและบ่าวทาส พร้อมทรัพย์สินจำนวนหนึ่งทยอยกันหลบหนีออกนอกเมืองไปก่อน โดยเหลือผมกับตูตู้หลุนไว้เป็นเป้าล่อ เพราะถ้าผมหายไป พวกมันก็รู้ว่าผมหลบหนีต้องส่งทหารออกตามล่าตัวแน่
ไม่นานนักพวกมันก็ตกลงกันไม่ได้ พาลตัดสินใจท้ารบกัน หากว่าผู้ใดชนะก็ครองความเป็นใหญ่ไปเสีย ทั้งสองคนเลย พาทหารของตัวเองที่ตั้งค่ายอยู่นอกเมือง มาเตรียมรบประจันหน้ากัน
ผมพอทราบว่าพวกมันถึงขั้นพาทหารออกมารบกันเองแล้ว ก็เริ่มจะเห็นภัยที่จะมาหาผมในไม่ช้า เพราะถ้าพวกมันรบกันเองเมื่อใด มันทั้งคู่ต่างก็ต้องอยากได้ตัวผมไปเป็นที่ปรึกษาวางแผนการรบให้ และหากไม่ได้ก็มีแต่จะฆ่าผมทิ้งเสียเท่านั้น เพื่อไม่ให้ผมไปเข้าด้วยกับอีกฝ่าย จึงเห็นว่าได้เวลาที่ต้องจากจรเสียแล้ว ที่ทำมาก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว หากผมพูดแล้วพวกมันไม่เชื่อฟัง คราวนี้ก็คงมีแต่ตัวใครตัวมัน พลันพาตูตู้หลุนแอบหลบหนีออกนอกเมืองไปเสียแต่คืนนั้น

ลิฉุยกับกุยกี ทั้งสองต่างส่งทหารไปหาผมที่บ้าน เพื่อแย่งชิงตัวไปเป็นเสนาธิการ แต่พอรู้ว่าหนีไปแล้วก็โกรธ แต่ยามนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ แล้วทั้งลิฉุยกับกุยกีก็นำทหารเข้ารบกันอย่างสุดความสามารถ เพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ในเมืองหลวง
ยามนั้นรบกันได้อาทิตย์กว่าๆ ยังมิรู้แพ้รู้ชนะ พลันทั้งลิฉุยกับกุยกีต่างก็ได้รับหนังสือจากเตียวเจ แจ้งให้หยุดรบ หากผู้ใดไม่ฟัง จะนำทหารเข้าด้วยอีกฝ่าย
ที่แท้เตียวเจนำกองทัพของมันจากเมืองฮองหลงมาห้ามปราม โดยทันทีที่ทราบข่าวก็รีบเร่งเดินทัพมาไม่ได้หยุดรีบมาห้ามศึก เพราะคิดว่าหากลิฉุยกับกุยกีรบกันเองนั้นมันมีแต่ผลเสีย อาจจะพากันล่มจมทั้งหมดแล้วสิ่งที่สร้างกันมาก็สูญสิ้น จึงไม่อาจนิ่งดูดายได้
ลิฉุยกับกุยกีพอได้รับหนังสือจากเตียวเจ ก็ส่งคนไปสืบดู เห็นกองทัพของเตียวเจมาแล้วจริงๆ โดยตั้งค่ายหากออกไปสามสิบลี้ ทั้งคู่ต่างกลัวเตียวเจไปเข้าด้วยอีกฝ่าย จึงมีหนังสือตอบกลับว่า เห็นแก่หน้าเตียวเจจึงหยุดพักรบชั่วคราว
เตียวเจเมื่อได้รับหนังสือก็ตั้งตัวเป็นคนกลางเปิดโต๊ะเจรจา แต่จนแล้วจนรอดก็ยังหาความสรุปไม่ได้ จึงตั้งทัพยันกันอยู่เช่นนั้นทั้งสามทัพ
ยามนั้น เอียวฮอง นายพันทหารในสังกัดทัพลิฉุย ที่ทำหน้าดูแลกักขังพระเจ้าเหี้ยนเต้ไว้ในวังหลวงนั้นตามคำสั่งของลิฉุย มันเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างไม่ห่าง เห็นสถานการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ กระทั้งตอนนี้ทัพเตียวเจยกทัพมาห้ามก็ยังตกลงกันไม่ได้ พลันเห็นท่าไม่ดี บังเกิดความคิดว่า หากลิฉุยกับกุยกีรบกันเช่นนี้ ย่อมมีแต่ความวิบัติ ดีไม่ดีผู้อื่นจะฉวยโอกาสเข้ามาจัดการปราบปรามพวกมันลงเสียทั้งหมด ถึงตอนนั้น เราเองเป็นผู้กักขังบริเวณฮ่องเต้ ย่อมมีความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง มีแต่ต้องตกตายเท่านั้น
พลันคิดหาทางแก้ไขเอาชีวิตรอด กระทั้งคิดแผนการจะนำพาพระเจ้าเหี้ยนเต้หลบหนี เพื่อลบล้างความผิด จึงนำความลอบเข้าไปกราบบังคมทูล พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงดีพระทัยยิ่ง ตรัสว่า
“การที่ท่านคิดอ่าน พาเราหลบหนีภัยครั้งนี้ เราขอบใจนัก หากแต่เราหนีไปผู้เดียวนั้นไม่ได้ ขอให้ท่านจงคิดอ่านช่วยเหลือเหล่าขุนนางข้าราชบริพารของเราด้วยเถอะ”
เอียวฮองก็รับคำ และด้วยเอียวฮองรู้จักกับหันเซียมที่เป็นนายทหารฝ่ายกุยกีผู้ทำหน้าที่ดูแลกักขังบริเวณเหล่าขุนนางที่กุยกีจับไว้เป็นตัวประกัน จึงหาทางลอบติดต่อไปนำความไปบอก
ฝ่ายหันเซียมนั้น คิดอ่านเหมือนเอียวฮองอยู่แล้ว พอได้รับการติดต่อก็เห็นเป็นโอกาส แถมยังคิดการใหญ่กว่า จึงลอบมาปรึกษากันว่า หากต้องเสี่ยวตายพาพระเจ้าเหี้ยนเต้และเหล่าขุนนางหลบหนีแล้ว ก็สมควรคิดการใหญ่ ใช้บารมีพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เป็นประโยชน์แก่ตนดังเช่นพวกลิฉุยกับกุยกี คราวนี้ก็สามารถจะเป็นใหญ่ขึ้นมาได้
เอียวฮองคิดแล้วเห็นจริง จึงตกลงทำตามหันเซียม เลยพากันไปเกลี่ยกล่อมทหารทั้งฝ่ายลิฉุยและกุยกีกระทั้งไปถึงประชาชน โดยอ้างรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ ว่าผู้ใดเข้าช่วยเหลือพระเจ้าเหี้ยนให้พ้นภัยครั้งนี้ได้ ก็จะได้ลาภยศและบำเหน็จรางวัล ทำให้มีผู้เข้าร่วมกับเอียวฮองและหันเซียมอยู่ไม่น้อย นับจำนวนได้ถึงสามพันกว่าคน และหนึ่งในนั้นกลับมี ทหารชั้นผู้น้อยฝีมือดีผู้หนึ่งนามว่า ซิหลง เข้าร่วมด้วย เพราะเห็นแก่การช่วยเหลือพระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นสำคัญ จึงได้เข้าร่วมกับเอียวฮอง
เมื่อเอียวฮองกับหันเซียมเตรียมการพรักพร้อม ก็พากันก่อการพาพระเจ้าเหี้ยนเต้และเหล่าขุนนางหลบหนี โดยใช้กำลังที่รวบรวมมาได้ ตีหักฝ่าประตูเมืองเปิดทางหนีออกนอกเมือง ในตอนนั้น ซิหลงทำหน้าที่เป็นหัวหมู่ทะลวงฟันพาคนจำนวนหนึ่งนำหน้า ตัวมันถือขวานใหญ่กำด้วยสองมือ บุกฆ่าเปิดทางจนเป็นเส้นทางสายเลือด และบุกยึดประตูเมืองเปิดทางให้หลบหนีกันออกมาได้
ในตอนนั้น ทางลิฉุยและกุยกี ต่างฝ่ายต่างก็ได้รับรายงาน พลันโมโหโกธายิ่ง รีบสั่งทหารแบ่งกำลังจากกองทัพออกไปตามจับตัวมาให้ได้
เอียวฮองกับหันเซียม แม้ตีฝ่าประตูเมืองหนีออกมาได้แล้ว แต่ก็เสียไพร่พลตอนตีฝ่าออกนอกเมืองไปจำนวนไม่น้อย อีกทั้งพวกตนมีแต่พลเดินเท้าเดินทางได้เชื่องช้า ไม่ช้าไม่นานทัพม้าของลิฉุยกับกุยกี ก็ตามมาใกล้ถึง
เอียวฮองเห็นจวนตัว พลันครุ่นคิดว่าเตียวเจนั้นตั้งค่ายอยู่ไม่ไกลจากนี่นัก สมควรอาศัยกำลังกองทัพมันต้านพวกทหารที่ตามมาก่อน จึงรีบบ่ายหน้าหนีไปทางค่ายของเตียวเจ
ยามนั้นขบวนพาพระเจ้าเหี้ยนเต้หนี ถูกกองทหารม้าของทั้งลิฉุยกับกุยกีตามอย่างกระชั้นชิด ชนิดที่หันหลังมองไป ก็เห็นฝุ่นตลบเป็นม่านหมอกอยู่เบื้องหลัง เอียวฮองพอมองเห็นธงค่ายเตียวเจข้างหน้า ก็ดังเห็นประตูสวรรค์ รีบให้ทหารคนหนึ่งเร่งขี่ม้าเร่งขึ้นนำหน้า นำข่าวไปบอกก่อน
เตียวเจพอได้รับแจ้งก็ตกใจ รีบให้เตียวสิ้วยกทัพม้าออกไปต้านสกัดช่วยเหลือ เตียวสิ้วจึงนำทัพม้าออกจากค่าย เข้าตีกองทหารม้าที่ไล่ตามขบวนเสดร็จหนีมาจนแตกพ่าย แล้วอารักขานำขบวนเสร็จกลับเข้าค่าย
พระเจ้าเหี้ยนเต้ พอพ้นภัยได้มาอยู่ในกองทัพของเตียวเจก็ทรงดีพระทัย คิดจะอาศัยกองทัพของเตียวเจพาให้พ้นเภทภัยในครั้งนี้ จึงตั้งให้เตียวเจเป็นเพียวกี๋จงกุ๋น ซึ่งเป็นยศตำแหน่งนายทหารระดับสูง เตียวเจยินดียิ่งรีบถวายบังคม กล่าวขอบพระทัย และสั่งให้ทหารไปจัดแจงที่ประทับให้สมพระเกียรติ
หากแต่เตียวสิ้วมีสีหน้ากังวลไม่ใครยินดีนัก แอบไปกระซิบบอกต่อเตียวเจผู้เป็นอาว่า
“ตอนนี้ พระเจ้าเหี้ยนเต้หนีมาพึงเรา มิช้ามินาน ลิฉุยกุยกี คงต้องตามาจัดการเราแน่เพื่อชิงตัวพระเจ้าเหี้ยนเต้กลับคืนไป ขอท่านอารีบแก้ไขหาหนทางเถิด”
เตียวเจคิดแล้วเห็นจริง จึงรีบสั่งให้ถอนทัพโดยเร่งด่วน หมายกลับไปตั้งหลักที่เมืองฮองหลง
ฝ่ายลิฉุยและกุยกี พอทราบว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้และเหล่าขุนนางหนีไปกับทัพของเตียวเจ ต่างก็วิตกกังวลว่า หากพระเจ้าเหี้ยนเต้พ้นมือไปแล้ว ภายหลังอาจมีราชโองการสั่งหัวเมืองต่างมาจักการพวกมัน จึงยุติข้อบาดหมางกันลงชั่วคราว หันมาสามัคคีกันดังเดิมแล้ว รวมทัพกันไล่ตามกองทัพของเตียวเจไป
เตียวเจถูกลิฉุยกับกุยกียกทหารไล่ตามหลังมา เกรงว่ายังไม่ทันถึงเมืองฮองหลง ก็จะถูกตามตีท้ายทัพได้ทัน จึงบอกให้เอียวฮองและหันเซียม คุมกันอารักขาพระเจ้าเหี้ยนเต้ล่วงหน้าไปก่อน ส่วนมันจะตั้งทัพประจันหน้าสกัดลิฉุยกับกุยกีไว้
ไม่นานนัก กองทัพของลิฉุยกับกุยกีก็ตามมาถึง และบุกประจันบาลกับกองทัพของเตียวเจที่ตั้งทัพรออยู่ ทั้งสองฝ่ายสู้รบกันเป็นสามารถ ทัพเตียวเจนั้นยามปกติก็มีจำนวนพลน้อยกว่า ทัพลิฉุยหรือกุยกี่อยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้พวกมันรวมเข้าด้วยกัน ก็ยิ่งไม่อาจเทียบได้ แม้จะสู้สุดความสามารถอย่างไรก็ยังไม่อาจเอาชนะทั้งคู่ได้ พลันพ่ายแพ้ถอยร่น ไปเป็นระยะ รบยื้อเวลาได้ไม่เกินเจ็ดวัน ก็ถูกทัพของลิฉุยกับกุยกีเข้าตีขนาบจนย่อยยับสูญเสียทหารไปเป็นอันมาก
เตียวสิ้วเห็นเกินกำลัง จึงบอกแนะนำต่ออาเตียวเจว่าสมควรต้องถอยทัพ ไม่อาจรบสืบต่อไม่เช่นนั้นจะพากันตายหมด เตียวเจก็เห็นตามนั้น จึงสั่งให้ทหารถอยทัพหนี
ยามนั้นลิฉุยกับกุยกี จึงได้ชัย ไล่ฆ่าฟันทหารของเตียวเจที่หนีไม่ทันล้มตายไปมากมาย เลยจะเดินทัพตามตีเตียวเจไปให้ถึงเมืองฮองหลง แล้วจับตัวพระเจ้าเหี้ยนเต้กลับคืนมา
ไม่คาดว่า สายของลิฉุยมารายงานว่า กองอารักขาพระเจ้าเหี้ยนเต้ไม่ได้ไปทางเมืองฮองหลงของเตียวเจ แต่ไปทางเมืองลกเอี้ยน ลิฉุยกับกุยกีได้ฟังก็หัวร่อ นึกเยาะเย้ยเตียวเจ พูดว่า
“ไอ้เตียวเจหน้าโง่ ถูกเอียวฮองหลอกให้มาเป็นผีตายแทนแล้ว ดีหละ เราไม่ต้องตามเตียวเจแล้ว แต่ไปเมืองลกเอี้ยนแทน”
ทั้งลิฉุยกับกุยกี จึงไม่ตามเตียวเจไปเมืองฮองหลง แต่ไล่ติดตามขบวนเสด็จไปยังลกเอี้ยนเมืองหลวงเก่า
เตียวเจนับว่าถูกหลอกใช้จริงๆ ทั้งที่จริงเอียวฮองมันสมควรพาฮ่องเต้มาฮองหลง แต่เอียวฮองกลัวว่าเมื่อมาฮองหลงแล้ว อาจจะตกอยู่ในอำนาจของเตียวเจ ก็เลยพาฮ่องเต้หนีไปยังที่อื่นแทน หวังหาสถานที่ ที่เหมาะสมตั้งเป็นเมืองหลวง และตั้งตนเป็นใหญ่ขึ้นมาแทน
เตียวเจกับเตียวสิ้วหลังจากโดนตีจนย่อยยับ ต้องถอยทัพหนีกันมา ทหารจากที่มีมาถึง10 หมื่น ตอนนี้ที่เหลือรอดมารวมตัวกัน เหลือแค่สองหมื่นเศษเท่านั้น เตียวสิ้วเกรงว่าจะถูกพวกมันตามตีซ้ำอีก จึงนำทหารส่วนหนึ่งรั้งท้ายรอสกัด แต่ก็ไม่เห็นวี่แววทหารของลิฉุยกับกุยกีตามมา ไม่นานนัก สายก็มารายงานว่า กองทัพของลิฉุยกับกุยกี ไม่ได้ตามมาทางนี้แต่บ่ายหน้าไปทางลกเอี้ยนแล้ว
เตียวสิ้วจึงได้ฉุกคิด ว่าเอียวฮองคงไม่ได้พาพระเจ้าเหี้ยนเต้มายังเมืองฮองหลงเป็นแน่ จึงนำความไปบอกต่อเตียวเจ เตียวเจรู้ดังนั้นก็โกรธที่ถูกหลอกใช้ให้เสียทหารไปจำนวนมาก อีกทั้งยังต้องเป็นศัตรูกับพวกลิฉุยกับกุยกีอีก แต่ตอนนั้นก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ได้แต่นำพาทหารที่รอดตายกลับเมืองฮองหลง
ระหว่างทางนั้น พลันเจอกองคาราวานกองหนึ่งกำลังถูก โจรเข้าปล้นชิงและกำลังต่อสู้กันอย่างวุ่นวาย หัวหน้ากลุ่มคาราวานเป็นเด็กหนุ่มอายุไม่มากนัก ดูแล้วไม่ใคร่มีฝีมือเท่าใดนัก หาก แต่ยังพยายามนำพาคนในกองคาราวาน จับอาวุธเข้าต่อสู้กับกลุ่มโจรอย่างเต็มความสามารถ ดูแล้วเป็นที่น่าทุลักทุเลน่าสงสาร จึงสั่งให้ทหารกลุ่มหนึ่งให้เข้าไปช่วย
ทหาารม้ากลุ่มหนึ่งจึงแยกตัวออกไปจากกองทัพ เร่งรุดเข้าไปช่วยเหลือตามคำสั่ง พวกโจรเหล่านั้นพอเห็นกลุ่มทหารยื่นมือเข้ามาสอดก็ตกใจ พอเหลือบแลเลยไปยังเห็นกองทัพทหารอยู่ด้านหลังพวกมันอีกเป็นจำนวนมาก เลยพากันแตกตื่นกระจายกันหลบหนีไปคนละทิศคนละทาง กลุ่มทหารม้าของเตียวเจก็ไม่ได้ตามไป แต่ไปดูกองคาราวานที่ถูกปล้นชิงว่าเป็นอย่างไรบ้าง
กองคาราวานเมื่อปลอดภัยแล้ว เด็กหนุ่มหัวหน้ากองคาราวานก็รีบเข้ามากล่าวขอบคุณเหล่าทหาร ทหารจึงนำพาไปพบกับเตียวเจ
เตียวเจพอเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ก็รู้สึกคุ้นหน้ายิ่ง เพียงแต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ใด แต่เตียวสิ้วจำได้ จึงว่า
“เจ้าคืองิวกุย บุตรชายของท่านงิวฮูมิใช่รึ”
งิวกุยก็จำเตียวสิ้วได้ พลันรู้สึกยินดีเลยรีบรับคำ เตียวเจจึงนึกออก พลันนึกไปถึงฮูหยินรอง รีบถามว่า
“แล้วมารดาเจ้าเล่า มิได้มาด้วยหรือ”
งิวกุย รีบพูดว่า
“มารดาข้าพเจ้าย่อมมาด้วย”
พลันรีบให้คนไปตามที่กองคาราวาน ไม่นาน ขบวนรถม้าของกองคาราวานก็วิ่งมาหาที่กองทัพเตียวเจ สตรีผู้หนึ่งในเก๋งรถม้าคันหนึ่ง ก็ก้าวออกมาพบกับเตียวเจ นางก็คือฮูหยินรองนั่นเอง
เตียวเจถึงกับตะลึงลาน มองนางจนยิ้มตาค้าง นางยังมีเสน่ห์สวยสะคราญโฉมไม่เปลี่ยนแปลง หากกล่าวถึงในอดีต ครั้งที่ฮูหยินรองยังเป็นนางรำอยู่นั้น นางได้ไปรำอวยพรวันเกิดให้กับงิวฮู ครั้งนั้นเตียวเจก็ไปร่วมงาน และตกหลุมรักฮูหยินรองด้วยเช่นกัน เพียงแต่ในวันนั้นงิวฮูเองก็แสดงความเจตจำนงจนออกนอกหน้า ว่าต้องการตัวนางมาเป็นภรรยา เตียวเจจึงได้แต่ตัดใจ แต่ทุกวันนี้ก็ยังเฝ้าฝันถึง ครั้งนี้ได้พบกับนางอีกครั้งก็นับว่าเป็นโชควาสนาโดยแท้ จึงไม่ยอมปล่อยโอกาสให้หลุดลอย พลันพูดชักชวนนางให้ไปเมืองฮองหลงด้วยกัน
ในตอนนั้น ฮูหยินรองไร้ที่พึง อีกทั้งเตียวเจตอนนี้ ก็ไม่ใช่เป็นนายทหารแม่ทัพต่ำต้อยเหมือนแต่ก่อน มีทั้งเมืองให้ปกครองและมีกองกำลังทหาร จึงยอมไปตามคำชักชวน
ส่วนเตียวสิ้วนั้น แม้ไม่ค่อยชอบฮูหยินรองนัก เพราะรู้กิตติศัพท์นิสัยนางดี แต่ในเมื่อผู้เป็นอาจะเอา มันก็ห้ามไม่ได้ ก็เลยไม่ได้ทัดทานอะไร ฮูหยินรองจึงติดขบวนกองทัพของเตียวเจไปยังเมืองฮองหลงด้วยกัน

Share the Post:

Related Posts

แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู

เรื่องเสียว แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู เอิร์นนะคร้า เป็นสาวมหาลัยในเชียงใหม่นี้เองค่า เอิร์นเป็นสาวมหาลัยปีสองแล้วค่ะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องผู้ชายเลย ยุคนี้แล้วเนอะ ไม่ใช่แค่ผู้ชายนะคะที่ล่าแต้ม เอิร์นเองก็กินมาเยอะเหมือนกันค่ะ สูงยาว ลำอวบ ใหญ่ยาว กินมาหมดแล้วค่า ชีวิตครั้งนึงเนอะ เรื่องพวกนี้ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ต้องมีบ้างอยู่แล้วใช่ไหมค่ะ และแน่นอนว่าเอิร์นเลยกินแต่วัยเดียวกัน รู้ตัวอีกทีได้แอบกินรุ่นใหญ่พี่แท็กซี่ซะอย่างนั้นเลยค่ะ ที่สำคัญไม่เคยเจอมังกรที่ใหญ่ยักษ์ขนาดนี้มาก่อน มาเริ่มเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ ด้วยความที่อยู่เชียงใหม่ที่เที่ยวเยอะ

Read More

จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว

เรื่องเสียว จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว “ตั้งกล้องเรียบร้อยแล้ว มึงพร้อมยังจะได้กดเริ่ม” วันนี้เรามีถ่ายคลิปวิดีโอทำอาหารที่คอนโดของพวกเราสองคนที่เป็นเพื่อนกัน เรามองเม็กที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมสองเม็ดจนเห็นแผงอกที่เป็นมัดกล้าม กางเกงขาขั้นสั้นสบาย ๆ แต่พอมาอยู่บนร่างกายของเม็กแล้วมันดูดีไม่น้อยเลย ถึงแม้เราทั้งสองจะเป็นเพื่อนกัน แต่พอมาเจอมันในลุคนี้ก็ทำให้เราใจสั่นไม่น้อย “มึงกูสวยยัง” “สวยแล้ว” พอได้รับคำตอบที่สร้างความมั่นใจให้กับตัวเองแล้ว เราก็พยักหน้าให้มันเริ่มกดบันทึกภาพวิดีโอทันที การถ่ายทำดำเนินไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นตอนการชิมอาหาร “อะ

Read More