กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 43

กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 43

กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 43
โดย saradio

ทางด้านเอียวฮองกับหันเซียม เมื่อพาพระเจ้าเหี้ยนเต้หนีแยกไปตามทางเส้นทางสู่เมืองลกเอี้ยน ตันสินพ่อตาพระเจ้าเหี้ยนเต้ ที่หนีมาด้วยพร้อมพระมเหสี เห็นว่าที่นี่เป็นเขตเมืองหลวงเก่า ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองนี้ย่อมมีความจงรักภักดีต่อราชวงค์ฮั่นอยู่มาก จึงหมายหาอาสาสมัครมาเสริมกำลังพล พอผ่านแห่งหนตำบลใด ก็ให้เอียวฮองกับหันเซียม ไปป่าวประกาศ ว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ทรงหนีภัยทรราช ลิฉุยกับกุยกีมา ผู้ใดขันอาสา ช่วยปกป้องพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้พ้นภัย ก็ให้มาเข้าร่วมกับกองทัพ หากการสำเร็จย่อมมีบำเหน็จรางวัลให้อย่างสูง
ยามนั้นพลันมีผู้เข้าร่วมอยู่มากหลาย ทั้งชาวบ้านผู้มีใจภักดีต่อราชวงค์ฮั่น ทั้งผู้ยากไร้ที่อดยากหวังมีเพียงข้าวกิน หรือกระทั้งพวกต้องการตำแหน่งลาภยศในภายภาคหน้า ก็พาทยอยกันไปเข้าร่วมกับกองทัพพระเจ้าเหี้ยนเต้ นับจำนวนได้เพิ่มอีกเป็นหลักหมื่น เพียงแต่ตอนนั้นเป็นยามฉุกระหุก ไม่มีเสื้อผ้าทหารหรืออาวุธแจกจ่ายให้ ผู้ใดหยิบฉวยสิ่งใดพอจะเป็นอาวุธได้จากบ้านตนเองก็นำติดมือมา บางมีทั้งจอบทั้งคลาด หรือขวานหรือมีดพร้า บางคนดีหน่อยก็มีกระบี่หรือดาบหรือไม่ก็ทวน
พระเจ้าเหี้ยนเต้ พอเห็นแล้วก็ทรงโทมนัสยิ่ง นึกเทียบกับฮ่องเต้พระองค์อื่นแล้ว กองทัพนั้นยิ่งใหญ่เกรียงไกรสมพระเกียรติประดับด้วยธงทิวปลิวไสวดูน่าเกรงขาม แต่สำหรับพระองค์แล้วยามนี้ กองทัพคล้าย กองกำลังชาวนายากไร้ ดูแล้วแทบร่ำไห้อย่างนึกอับอาย
ยามนั้นก็มีปัญหาตามมาอีก เพราะมีคนเข้าร่วมมาก แต่เสบียงไม่ได้มีเพิ่มเติม กองกำลังกลับขาดเสบียง มีทานได้ไม่เต็มมื้อ เพียงสามวันก็หมด กองกำลังกลับเริ่มท้อใจที่หนีไปก็มีบ้าง แต่ที่ยังทนอยู่ก็มีไม่น้อย ก็หาเสบียงเบี้ยบ้ายรายทางกินกันไปตามมีตามเกิด
พอครั้นถึงเมืองหลวงเก่าลกเอี้ยน เมืองนั้นถูกเผาเสียจนวอดวาย ตั้งแต่สมัยตั๋งโต๊ะ กำแพงเมืองล้วนพังทลาย ประตูเมืองหอรบล้วนใช้การไมได้ ย่อมไม่สามารถใช้เป็นที่ป้องกันกองทัพลิฉุยกับกุยกีที่กำลังติดตามมา เอียวฮองกับหันเซียมจึงคิดจะไปต่อ แต่ด้วยกองทัพขาดเสบียง อีกทั้งเดินทางติดต่อกันหลายวันไม่ได้พักไม่ได้ผ่อน ทำให้เหล่าทหารไร้เรี่ยวแรงไปต่อไม่ได้ ทั้งคู่จำต้องให้ทหารออกไปหาเสบียงมาทำกินและพักผ่อนกันก่อน หากหาเสบียงไม่ได้จำเป็นต้องล้มม้าเพื่อมาเป็นอาหารก็ต้องทำ
ยามนั้นพลันมีกองกำลังควบขี่ม้ามาวนรอบกำแพงเมืองที่หักพัก ป่าวประกาศถามหาพระเจ้าเหี้ยนเต้ เมื่อเอียวฮองให้คนไปสืบดู ก็รู้ว่าเป็นกลุ่มโจรป่าคิดมาขอสวามิภักดิ์ เอียวฮองดีใจยิ่ง จึงให้รีบเชิญเข้ามา
กลุ่มโจรป่านี้เป็นกลุ่มใหญ่ พอได้ยินที่ป่าวประกาศก็หวังในลาภยศ เลยพากันรวมกลุ่มกันมาขอเข้าด้วยกับกองทัพพระเจ้าเหี้ยนเต้ เอียวฮองเห็นว่าถึงพวกนี้เป็นโจรแต่ก็รบเป็น ก็เลยรับไว้ แถมพวกมันยังมีจำนวนถึงสองสามพัน และมีเสบียงมาอีกด้วย
เอียวฮองจึงพาหัวหน้าพวกกลุ่มโจรนั้น ไปเข้าเฝ้า พระเจ้าเหี้ยนไม่ใคร่ดีพระทัยนัก ที่จะเอาโจรมารวมทัพ แต่เห็นว่าจำเป็นก็ไม่ได้แสดงออก จึงยิ้มรับ และว่า หากการสำเร็จก็จะมีบำเหน็จรางวัล พวกโจรดีใจยิ่ง เลยให้นำเสบียงออกมาแจกจ่าย ทุกคนจึงพอได้กินอิ่มในมื้อนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าพอจะมีกินอิ่มได้อีกสักกี่วัน
พระเจ้าเหี้ยนเต้ เห็นว่าหากเป็นดังนี้คงหนีไม่พ้นเงื้อมือลิฉุยกับกุยกีเป็นแน่เพราะอีกไม่นานมันก็คงตามมาทัน และตอนนี้กองทัพก็ไม่มีเสบียงเพียงพอ ก็ไม่รู้จะสู้รบได้ยังไง จึงปรึกษากับบรรดาขุนนางร่วมถึงพ่อตานามว่าตันสิน ว่าจะทำประการใดดี แต่ก็ไม่มีขุนนางคนใดครุ่นคิดออก เอียวฮองกับหันเซียม จึงทูลกล่าวให้ความมั่นใจว่า
“ฝ่าบาท อย่าได้ทรงเป็นวิตกกังวล หากลิฉุยกุยกียกทัพตามมาทัน ข้าพเจ้าทั้งสอง ก็จะทำการโจมตีกองทัพของพวกมันให้แตกพ่ายกลับไปเอง”
พระเจ้าเหี้ยนเต้ตอนนี้ไม่ใช่เด็กน้อยไม่รู้ความ ที่จะมาใช้ถ้อยคำอวดโอ้หลอกให้ดีใจได้ กับสถานการณ์ในตอนนี้มีหรือจะดูไม่ออกว่าขับคันแค่ไหน ขนาดเตียวเจมีกำลังถึงสิบหมื่นยังถูกลิฉุยกับกุยกีตีแตกพ่ายไปแล้ว ยามนั้นคิดว่ากล่าวตำหนิมันทั้งสอง แต่ก็ยับยั้งไว้เพราะเห็นแก่ที่พวกมันทำการช่วยเหลือออกมา
จึงหันไปตรัสถามเอียวปิวกับจูฮีแทนว่า เรื่องราชโองการลับที่ส่งให้โจโฉนั้น มีคำตอบมาประการใด เหตุไฉนจึงไม่ยกทัพมาช่วยเรา
เอียวปิวกับจูฮีก็ไม่อาจตอบได้ ว่าไฉนโจโฉจึงยังไม่มา แต่ได้ยินข่าวมาล่าสุดว่า โจโฉติดพันการรบกับลิโป้ ด้วยเหตุที่ลิโป้แอบมาตีเมืองกุนจิ๋ว ตอนที่โจโฉยกทัพออกไปจะไปล้างแค้นโตเกี๋ยม ทำให้โจโฉต้องถอยทัพกับมารบกับลิโป้แทน หรือเพราะเหตุนี้ก็ไม่ทราบได้ โจโฉมันจึงไม่มาช่วย แต่ตอนนั้นก็ไม่กล้ากราบทูลทำลายขวัญกำลังใจพระเจ้าเหี้ยนเต้ จึงพากันเงียบลงเสีย
ฉับพลัน ก็มีทหารเข้ามารายงานว่า เห็นกองทัพใหญ่มาทางตะวันออก ธงนำหน้ากองทัพนั้นเป็นธงของโจโฉ ทุกคนต่างตื่นเต้นดีใจจนรนราน รีบออกไปดู พบเห็นจริงดังว่า จูฮีต้องยิ้มเปรยอย่างดีใจ ว่า พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา
ยามนั้นแลเห็นกองทัพใหญ่จำนวนนับแสน มีธงทิวปลิวโบกสะบัดมากมาย และเสียงกลองศึกก็ลั่นดังสนั่นเป็นจังหวะ ทั้งกองทหารม้าและกองทหารเดินเท้าทุกคนต่างดูฮึกเหิม ส่งเสียง โฮ้ โฮ้และวิ่งเหยาะย่ำเท้าเคลื่อนที่กันตามจังหวะเสียงกลองศึก ดูแล้วเป็นที่น่าเกรงขามยิ่ง และในที่สุดโจโฉก็มา
เมื่อเท้าความถึงโจโฉก่อนหน้านี้นั้น หลังจากมันตั้งตัวได้ที่เมืองกุนจิ๋ว และยังได้เมืองฮูโต๋ ดูแล้วเป็นปรึกแผ่นมั่นคงจึงคิดจะไปรับ โจโก๋ ผู้เป็นบิดาจากเมืองตันหลิวให้มาอยู่ด้วย จึงได้ส่งทหารขบวนหนึ่งไปรับตัวมา
ขบวนทหารนั้นก็ไปรับตัวโจโก๋มาตามคำสั่ง ครั้งขาเดินทางกลับ ต้องผ่านเขตเมืองชีจิ๋ว โตเกี๋ยมเจ้าเมืองชีจิ๋วก็คิดเอาใจโจโฉ โดยส่งทหารไปช่วยคุ้มกัน แต่ดันใช้คนผิด ไปใช้คนที่มีสันดานโจรอย่างเตียวคี เลยแทนที่จะไปช่วยคุ้มกัน กลับไปปล้นขบวนเสีย แถมยังฆ่าโจโก๋ตายอีก เนื่องเพราะเห็นว่ามีทรัพย์สมบัติมากจึงเกิดความโลภ พอปล้นได้แล้วก็หนีหายไป
พอโจโฉรู้เข้าก็โกรธ จึงยกทัพจะไปตีโตเกี๋ยม เพราะคิดว่าโตเกี๋ยมวางแผนสังหารบิดาตน ส่วนโตเกี๋ยมเองพอทราบข่าว ก็เร่งให้ไปจับเตียวคีมา พร้อมกับส่งหนังสือไปอธิบายต่อโจโฉ แต่โจโฉก็หาฟังไม่
โตเกี๋ยมจึงจนใจ เลยต้องเตรียมรับศึกโจโฉ โดยขอความร่วมมือไปยังเมืองต่างๆ แต่ปรากฏว่าไม่มีผู้ใดยื่นมือมาช่วย นอกจากขงหยงเจ้าเมืองปักไฮ และได้สามพี่น้องจากสวนท้อ เล่าปี่ กวนอู และเตียวหุย ที่มาช่วยเหลือด้วยคุณธรรม
แต่เล่าปี มากันเพียงลำพังกันสามพี่น้อง ไม่มีกองทหารอันใด จึงถูกคอนแคะจากขุนนางในเมืองชีจิ๋วว่า เมื่อไม่มีทหารมาช่วยจะทำการใดได้ เล่าปีจึงบอกว่า จะยืมทหารจากกองซุนจ้านมาช่วยเหลือ ขุนนางของโตเกี๋ยมก็ค่อนแคะอีกว่า ที่มานี่คงเพื่อมาดูลาดเลา พอเห็นแล้วว่าสู้ไม่ได้ ก็เลยอ้างว่าจะไปยืมทหาร แต่ดูแล้ว ถ้าไปคงไม่กลับมา
โตเกี๋ยมเห็นขุนนางตนพูดเสียมารยาท จึงตำหนิขุนนางคนนั้นไป ไม่ให้พูดอีก เล่าปี่ถูกกระตุ้นเช่นนั้น จึงพูดว่า เมื่อไปแล้วจะได้หรือมิได้ทหาร ก็จะกลับมาช่วย แล้วก็รีบเร่งออกเดินทางไปหากองซุนจ้านที่เมืองปักเป่ง เอ่ยปากขอยืมทหารสักห้าพัน เพื่อจะไปช่วยโตเกี๋ยมรบกับโจโฉ แต่กองซุนจ้านยามนั้นก็มีเรื่องระหองระแหงกับอ้วนเสี้ยวอยู่ ทหารจำเป็นต้องมีไว้ให้มาก จึงได้ปฏิเสธ และบอกเหตุผลไป
เล่าปี่ รู้สึกผิดหวังจนแสดงออกทางสีหน้า แต่มาแล้วก็ไม่อยากเสียเที่ยว พลันจำได้ว่า เมื่อครั้งที่ได้ติดตามกองทัพกองซุนจ้านไปปราบโจรโพกผ้าเหลืองนั้น ในกองทัพกองซุนจ้าน มีทหารเอกฝีมือเยี่ยมผู้หนึ่ง คนผู้นี้มีความกล้าหาญและมีฝีมือร้ายกาจอาจเทียบได้กับกวนอู นั่นก็คือจู่ลง จึงได้เอ่ยปากขอยืมอีก
กองซุนจ้านหนักใจยิ่ง ถึงกับพูดไม่ออก เพราะทั้งที่ได้อธิบายไปแล้วว่า กำลังต้องการใช้ทหาร และจู่ลงก็เป็นทหารเอกที่มีฝีมือดีที่สุดในกองทัพ มันกลับจะขอยืมอีก ไอ้นี่นี้ ไม่ได้โน้นก็จะเอานี่ ขอยืมไม่หยุดหย่อน ไม่รู้ว่าแต่ก่อนไปเป็นหนี้มันมาตั้งแต่ชาติปางไหน ถึงได้ต้องมาตามชดใช้ให้มัน ยามนั้นจะพูดตรงๆ ก็กลัวเสียน้ำใจเพื่อน จึงบอกอ้อมๆว่า เรื่องนี้ข้าตอบแทนจู่ลงไม่ได้ ท่านไปถามมันเองเถอะ ว่ามันจะยอมไปหรือไม่
ความจริงพูดแค่นี้ เล่าปี่ก็น่าจะรู้ว่าไม่เต็มใจ ควรจะกลับไปได้แล้ว ไม่คาดว่ามันยังหน้าด้านแกล้งซื่อไปถามจู่ลงเอาจริงๆ โดยอ้างเรื่องคุณธรรมจะไปช่วยโตเกี๋ยม และอ้างว่ากองซุนจ้านให้มาถามความสมัครใจท่าน เมื่อฟังดังนี้ จู่ลงก็เข้าใจว่า เจ้านายอนุญาตและต้องการอาสาสมัครใจ จึงได้รับอาสาไปด้วย
เมื่อเป็นดังนี้ กองซุนจ้านก็ได้แต่จำใจให้ไป เพราะได้ลั่นวาจาไปแล้วจะกลับคำก็ไม่ได้ ยามนั้นถึงกับแหงนมองฟ้าน้ำตาซึม บ่นพึมพำกับตัวเอง ว่า กูจะฉิบหายเพราะเห็นแก่คำว่าเพื่อนมากไปหรือไม่
เล่าปี่เมื่อได้จู่ลงมาแล้ว ก็พามุ่งหน้ากลับมาหาโตเกี๋ยม แต่ตอนนั้นสงคราวระหว่างโจโฉกับโตเกี๋ยวเริ่มขึ้นแล้ว โดยโจโฉรบชนะมาตลอดจน และบุกจะถึงเมืองชีจิ๋ว
เมื่อเล่าปี่มาถึง ก็ยากจะพลิกสถานการณ์ให้กลับกลายได้ จึงคิดจะใช้ไมตรีเมื่อครั้งเคยร่วมกันทำศึกกับตั๋งโต๊ะด้วยกันกับโจโฉ จึงแต่งหนังสือไปขอไมตรีเห็นแก่หน้าสักครั้งขอให้โจโฉยกทัพกลับ
โจโฉ พอได้รับหนังสือ ก็ทั้งโมโห ทั้งขบขัน พูดว่า ไอ้เล่าปี่มันคิดว่ามันเป็นใคร ถึงกล้ามาออกหน้าขนาดนี้ ลำพังตัวมันยังเอาตัวไม่รอด ยังต้องร่อนเร่เป็นแม่ทัพพเนจร กลับมีหน้ามาขอให้ข้ายกทัพกลับ
ความจริงแล้ว โจโฉ ไม่เพียงแค้นเรื่องบิดา แต่ใจจริงก็ต้องการชีจิ๋วด้วย เมื่อยกทัพมาขนาดนี้ สูญเสียทรัพยากรไปเป็นอันมาก อีกทั้งจวนจะได้ชัย มีหรือจะยอมยกทัพกลับไปโดยง่าย
แต่เหมื่อนฟ้าเข้าข้างเล่าปี่ ยามนั้นกลับมีม้าเร็วถือสารมาจากเมืองกุนจิ๋ว แจ้งข่าวด่วนให้ทราบ ว่าตอนนี้ที่กุนจิ๋ว ที่ซุนฮกกำลังรักษาการอยู่กำลังถูกลิโป้ เข้าตีอย่างหนัก ให้ยกกำลังกลับไปช่วยโดยด่วน
โจโฉได้ฟังถึงกับโมโหแค้นเคืองลิโป้ เพราะตัวชีจิ๋วอยู่แล้ว แต่ไอ้ลิโป้ โผล่มาจากไหนไม่รู้กลับเข้าตีตลบหลังจะยึดกุนจิ๋ว ยามนั้น ข้างหน้าก็กำลังจะได้ แต่ข้างหลังก็กำลังจะเสียไป เมื่อชั้งน้ำหนักแล้ว กุนจิ๋วสำคัญกว่า จึงต้องยกทัพกลับ
เทียหยกที่ปรึกษาโจโฉจึงว่า หากจะยกทัพกลับไปเสียแต่เฉยๆ ก็หาควรไม่ ควรตอบหนังสือเล่าปี่ไป ว่าเห็นแก่หน้ามัน จึงยกทัพกลับ ทางหนึ่งยังรักษาไมตรีต่อเล่าปี่ เผื่อมีประโยชน์ในภายภาคหน้า อีกทางหนึ่งพวกมันก็จะไม่คิดตามตีท้ายทัพเรา ทำให้เราถอยทัพได้อย่างไม่มีกังวล โจโฉคิดแล้วเห็นดีด้วย จึงให้ทำตามนั้น แล้วรีบยกทัพกลับกุนจิ๋ว โตเกี๋ยมจึงรอดมือโจโฉไปได้
ฝ่ายเมืองกุนจิ๋ว ที่ซุนฮกรักษาการอยู่ มีทหารในเมืองเพียงห้าพัน เพราะทหารส่วนใหญ่โจโฉยกออกไปรบกับโตเกี๋ยมเสียหมด แต่ด้วยความสามารถของซุนฮกในการวางแนวป้องกันเมืองอย่างชาญฉลาด ยามนั้นแม้ถูกลิโป้นำทหารสามหมื่นล้อมตีนานเป็นเดือนยังไม่อาจหักเข้าไปได้ จนกระทั้งโจโฉกลับมาถึง จึงตีขนาบหลังลิโป้ จนลิโป้ต้องแตกพ่ายถอยหนีไป
ในตอนนั้นเอง โจโฉถึงได้รู้ว่ามีราชโองการมาถึง โดยซุนฮกเป็นผู้เก็บรักษาและมอบให้ และแนะนำว่า ตอนนี้สมควรปล่อยวางเรื่องทั้งหมดไว้ และนำกำลังไปช่วยพระเจ้าเหี้ยนเต้เสียก่อน เพราะลิฉุยกับกุยกีกำลังแตกคอรบกันเอง เป็นโอกาสที่เราจะเข้าไปฉกฉวย หากได้ตัวพระเจ้าเหี้ยนเต้แล้ว การรวบรวมแผ่นดินก็จะกระทำไปได้โดยง่าย โจโฉเห็นด้วยอย่างยิ่ง จึงสั่งให้จัดเตรียมทัพใหม่ แล้วยกทัพไปช่วยพระเจ้าเหี้ยนเต้ในทันที

Share the Post:

Related Posts

แอบเย็ดพี่สะใภ้เสียวสุดๆ ไปเลย

เรื่องเสียว แอบเย็ดพี่สะใภ้เสียวสุดๆ ไปเลย ประสบการณ์เย็ดหีของผมจริงๆ แล้วมีหลายเรื่องที่เสียวแบบสุดๆ และได้อารมณ์เป็นอย่างมาก แต่ไม่เคยมีเรื่องไหนที่จะเสียวเท่าเรื่องนี้อีกแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องของผมกับพี่สะใภ้ที่แอบเย็ดกัน เวลาที่ผมได้อ่านเรื่องเสียวในเว็บไซต์บอกเลยนะครับว่าอยากจะมาแชร์ประสบการณ์สุดเสียวมานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสสักที จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจที่อยากจะมาเล่าให้เพื่อนๆ ได้ฟังกันครับ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อประมาณปลายปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่ผมพึ่งมาทำงานที่กรุงเทพฯ ในตอนนั้นผมพึ่งได้งานทำจึงไม่มีที่พัก เลยมาอาศัยอยู่บ้านพี่ชายของผมไปก่อนซึ่งพี่ชายของผมก็อยู่กับเมียเขา 2 คน เมียพี่ชายผมชื่อว่าพี่ดุ๊ เธอเป็นคนที่ดูสาวมากเลยครับ

Read More

หนุ่มขี้เหงา สั่งสวิงกิ้งไซล์ไลน์

เรื่องเสียว หนุ่มขี้เหงา สั่งสวิงกิ้งไซล์ไลน์ หลังจากที่ผมเพิ่งเรียนจบในชีวิตมหาลัยผมก็มุ่งหน้าทำแต่งานจนแทบไม่มีเวลาที่จะหาคนรู้ใจเอาไว้เย็ดกันในวันที่ร่างกายต้องการพลัง เมื่อไหร่ที่รู้สึกเงี่ยนอย่างมากก็ได้แต่นอนชักว่าวอยู่ที่บ้าน ตอนนี้อายุของผมเริ่มเข้าใกล้ 30 แล้ว แต่ความเงี่ยนยังคงไม่ลดละลงเลย มีครั้งหนึ่งที่พอได้เย็ดเพื่อนร่วมงานบ้างแต่ก็เป็นเพราะความเมาจากงานเลี้ยงของบริษัทซึ่งเราเองหลังตื่นขึ้นมาเห็นสภาพตัวเองก็ต่างคุยตกลงถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วแยกย้าย เพราะเขาเองก็มีลูกมีสามีอยู่แล้ว เราได้เย็ดแค่ครั้งเดียวถือว่าเป็นความผิดพลาดแต่ก็ยังเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกันได้ แม้ว่าชีวิตจะผ่านการเย็ดมาแล้วหลังครั้งแต่ครั้งหนึ่งที่ผมอยากจะเล่าประสบการณ์เสี่ยวนี้ก็คือการได้เย็ดผู้หญิงทีเดียวพร้อมกันถึงสองคน โดยเธอทั้งคู่นั้นเป็นสาวขายบริการที่ยังคงเล่นอยู่ในมหาลัย เป็นความมันเกินจะบรรยายและทุกครั้งที่รู้สึกเงี่ยนขึ้นมาผมมักจะนึกถึงเรื่องราวในวันนั้นเสมอ ในอนาคตหากมีเวลาและเงินมากกว่านี้ก็ยังจะเช่าเมียมาอีกสักครั้ง ในวันนั้นเป็นวันเกิดของผม ซึ่งโดยปกติแล้วผมก็ไม่ได้มีเพื่อนสนิทที่อยู่ใกล้กันมากนัก จะมีก็แต่คนที่ดทรมาอวยพรและส่งข้อความผ่านเฟสบุ๊ค จนกระทั่งเลื่อนไปเห็นคนเขามีคู่ก็รู้สึกอิจฉาและพรางคิดไปว่า

Read More