ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 28 พลังหยินอันยิ่งใหญ่

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 28 พลังหยินอันยิ่งใหญ่

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 28 พลังหยินอันยิ่งใหญ่
โดย zeech

ทหารของวังเบญจธาตุผู้หนึ่ง ควบม้าติดธงสัญลักษณ์ตรงมายังวังเบญจธาตุอย่างเร่งรีบ
ทหารที่เฝ้าประตูวัง สังเกตุเห็นธงสัญลักษณ์แต่ระยะไกล ก็ทราบว่าเป็นทหารลาดตระเวนข่าว
แห่งลัทธิตน จึงเร่งเปิดประตูวังให้ทหารลาดตระเวนผู้นั้นผ่านเข้าไปโดยมิต้องหยุดพัก
เนื่องด้วยเป็นที่ทราบกันดีในหมู่ทหารวังเบญจธาตุว่า หากเมื่อใดที่ทหารลาดตระเวน
ชูธงสัญลักษณ์นี้ตรงเข้ามา ต้องมีเหตุการณ์เร่งด่วนเกิดขึ้นแล้ว

ครั้นทหารผู้นั้นเข้ามายังวังชั้นใน ก็มีผู้ไปแจ้งต่อเจ้าลัทธิให้ทราบโดยทันที

เจ้าลัทธิ และทูตทั้งสี่พร้อมทั้งบริวารคนสำคัญทั้งหมดเร่งมาชุมนุมกันที่ห้องโถงใหญ่
จนเมื่อเจ้าลัทธินั่งลงบนที่นั่งประธานกลางที่ชุมนุมแล้ว ก็พูดขึ้นกับทหารลาดตระเวณ
ผู้นั้นว่า

“ทหาร มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น จงเร่งแจ้งมา”

ทหารผู้นั้นก้าวออกมากระทำคารวะ แล้วพูดขึ้นว่า

“คารวะท่านเจ้าลัทธิ ช่วง

เช้าวันนี้ข้าน้อยเห็นฝุ่นผงลอยอยู่บนอากาศกลุ่มใหญ่ทางด้านทิศตะวันออก
ข้าน้อยจึงออกจากที่มั่นไปสืบดู พบกองกำลังเหล่าชาวยุทธจงหยวนจำนวนหนึ่ง กำลังมุ่งตรงมา
ยังวังเบญจธาตุ ข้าน้อยจึงเร่งกลับมาแจ้งข่าวต่อท่าน”

เจ้าลัทธิได้ยินเช่นนั้นก็ยืนขึ้น พูดด้วยเสียงอันดังว่า
“เฮอะ….เจ้าพวกมดปลวก กล้าบังอาจต่อกรกับข้ารึ ผู้ใด..มันคือผู้ใดที่บังอาจ
เป็นผู้นำกองกำลังครั้งนี้”

“ข้าน้อยสังเกตุจากธงประจำตัวมัน มันคือเจ้าสำนัก ทวนผดุงคุณธรรม เว่ยฉิงคัง ขอรับ”

เจ้าลัทธิ ครั้นได้ยินว่าเป็น เว่ยฉิงคังก็มี แววตาแข็งกร้าวขึ้น พูดออกมาว่า
“เว่ยฉิงคัง….เมื่อเจ้าดิ้นรนหาที่ตายข้าก็จะสนองตอบเจ้า”

พลันหันไปทางทูตทั้งสี่ แล้วออกคำสั่งทันที
“ทูตทั้งสี่ พวกเจ้าจงเร่งเตรียมกองกำลังสี่ธาตุและ พลเกาทัณฑ์ให้พร้อม ในวันรุ่งขึ้น
พวกเราจะยกกองกำลังทั้งหมดออกไป กำจัดพวกมันให้สิ้นซาก”

สิ้นคำสั่งของเจ้าลัทธิ ทูตทั้งสี่ก็ก้าวออกมารับคำ แล้วเดินออกไปจากห้องโถงนั้นทันที
จากนั้นเจ้าลัทธิก็เรียกเหล่าหัวหน้ากองกำลังทิศทั้งสี่ มาสั่งความให้วางกองกำลังรักษาวัง
รวมทั้งวางค่ายกลไว้อย่างรัดกุม ก่อนที่จะเตรียมตัวออกไปบัญชาการรบด้วยตนเอง

——-

เว่ยฉิงคัง นำกองกำลังหยุดพักแรมห่างจากอาณาเขตของวังเบญจธาตุไปไม่มากนัก
ครั้นรุ่งเช้า ก็ออกคำสั่งให้เดินทางต่อไปในทันที ขณะนั้นเจ้าสำนักบ้อซัวซึ่งเป็นชาวยุทธผู้หนึ่ง
ที่เสื่อมความยอมรับนับถือต่อตัวของเว่ยฉิงคังเป็นทุนอยู่แล้ว ครั้นเห็นว่าจนบัดนี้ก็ยังไม่ได้ยินเว่ยฉิงคัง
สั่งการหรือวางแผนใดๆออกมาจึงเอ่ยปากถามโดยคิดจะฉีกหน้าเว่ยฉิงคัง ว่า

“ท่านเจ้าสำนักเว่ย นี่ก็จะเข้าเขตของวังเบญจธาตุแล้ว มิทราบท่านมีแผนการจู่โจมพวกมันเช่นไร
ช่วยบอกเล่าต่อพวกเราก่อนที่จะออกเดินทางได้หรือไม่”

เว่ยฉิงคังได้ยินเช่นนั้น ก็ กล่าวออกมาในขณะที่ก้าวขึ้นนั่งบนหลังม้า คล้ายกับไม่แยแสสิ่งใดว่า

“ถล่มวังเบญจธาตุเพียงเท่านี้ ใยต้องใช้แผนการใดๆ พวกเราเพียงตรงเข้าไปเข่นฆ่าพวกมัน
เสียให้หมดสิ้นเท่านั้น ”

เหล่าชาวยุทธได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ ส่งเสียงฮือฮาขึ้นพร้อมกัน เจ้าสำนักบ้อซัวได้ยินเช่นนั้นก็ทนไม่ได้
ส่งเสียงติติงมันขึ้นว่า

“เจ้าสำนักเว่ย ท่านเป็นถึงผู้นำชาวยุทธ เหตุใดจึงกล่าวออกมาเช่นนี้ ท่านประมาทในการศึก
นำพาผู้คนจำนวนมากมาเสี่ยงตายโดยไร้แผนการเช่นนี้ได้อย่างไร”

เว่ยฉิงคังนั่งอยู่บนหลังม้า ขณะกำลังย่างเหยาะออกไปได้ยินเช่นนั้น ก็หยุดฝีเท้าม้าลง ชำเลืองสายตากลับไป
ยังต้นเสียงที่เบื้องหลัง
“หรือว่า ที่แท้ท่านก็ขลาดกลัวพวกมัน คิดจะถอยหลังกลับใช่หรือไม่”

เจ้าสำนักบ้อซัว ได้ยินเช่นนั้นก็โกรธ กล่าวออกมาว่า

“เฮอะ…ท่านเจ้าสำนักเว่ย ท่านไร้สติปัญญาที่จะคิดแผนในการรบ ลุแก่ความต้องการของตนเอง
แต่เพียงฝ่ายเดียวเช่นนี้ มีแต่จะนำพาพวกเราไปสู่ความตาย ท่านไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำชาวยุทธอีกต่อไป”

เว่ยฉิงคังชักม้ากลับหลังมา เพ่งมองไปที่ เจ้าสำนักบ้อซัว แล้วกล่าวถากถางขึ้นว่า
“หรือว่า ท่านมีความเหมาะสมกว่าข้า เจ้าสำนักบ้อซัว หากว่าท่านต้องการเป็นผู้นำชาวยุทธแทนข้า
ก็ต้องออกแรงแล้ว อย่าเพียงแต่ใช้ฝีปาก”

เหล่าชาวยุทธที่รวมกลุ่มกันอยู่ใกล้กับเจ้าสำนักบ้อซัวได้ยินเช่นนั้น ต่างก็มองหน้ากันแล้วถอยห่างออกไป
คงเหลือแต่เจ้าสำนักบ้อซัวยืนอยู่ ณ ที่นั้นแต่เพียงผู้เดียว

เจ้าสำนักบัอซัวอยู่ในสถานะอับจนทางเลือก มองรอบข้างไม่เห็นผู้ใดยืนเคียงข้างตน จะถอยหลังกลับก็ละอาย
จึงพูดขึ้นว่า

“ข้ายอมตายเสียดีกว่า ยอมติดตามบุคคลที่ไร้สติปัญญา ขาดคุณธรรมเช่นเจ้า”

สิ้นคำ เจ้าสำนักบ้อซัว ก็ชักกระบี่ออกจากฝักแล้วทะยานร่างเข้าจู่โจมใส่เว่ยฉิงคังทันที

เว่ยฉิงคังนั่งนิ่งอยู่บนหลังม้า คล้ายกับไม่รับรู้ว่ากำลังถูกจู่โจมอยู่ รอจนคมกระบี่เสือกแทงเข้ามา
ใกล้จะถึงทรวงอกของมัน ก็ยกมือขึ้นใช้นิ้วมือคีบจับปลายกระบี่ไว้อย่างรวดเร็ว
พลันพลังปราณเยียบเย็นของมัน ก็ไหลผ่านเข้าสู่กระบี่ แพร่ผ่านเข้าสู่ร่างของเจ้าสำนักบ้อซัวจนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
แล้วติดตามด้วยพลังปราณอันรุนแรงลูกหนึ่ง พุ่งทำลายกระบี่ที่มันคีบอยู่จนหักสะบั้นลง แล้วพุ่งตรงสู่ทรวงอก
ของเจ้าสำนักบ้อซัวจนร่างของมันลอยกระเด็นห่างออกไป

เว่ยฉิงคังสะบัดปลายกระบี่ที่หักค้างคาอยู่ที่นิ้วมือทั้งสองของมัน ออกติดตามไปยังร่างของเจ้าสำนักบ้อซัว
โดยไม่เหลือบตามอง ปลายกระบี่หักนั้นพุ่งปักเข้าที่ทรวงอกของเจ้าสำนักบ้อซัว ที่เสียหลักล้มลงนอนอยู่กับพื้น
สิ้นลมหายใจตายลงในทันที

เว่ยฉิงคัง สอดส่ายสายตามองไปยังบรรดาชาวยุทธที่ยืนนิ่งตะลึงค้างอยู่ พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“มีท่านใดเห็นว่า ข้าไม่เหมาะสมที่จะเป็นเป็นผู้นำชาวยุทธอีกหรือไม่”

ชาวยุทธเหล่านั้น มองเห็นพลังฝีมือของเว่ยฉิงคังที่สามารถสยบ เจ้าสำนักบ้อซัวลงได้ในพริบตาก็รู้สึก
ครั่นคร้าม ไม่มีผู้ใดกล้าพูดสิ่งใดออกมาอีก จนเว่ยฉิงคังกล่าวออกมาว่า

“เช่นนั้น ก็ตามข้าไปถล่มวังเบญจธาตุให้พินาศลงในวันนี้เถิด”

เว่ยฉิงคังนำพากองกำลังเหล่าชาวยุทธนับร้อย เดินทางจนเข้าใกล้อาณาเขตของวังเบญจธาตุ ก็สั่งให้กองกำลัง
ทั้งหมดหยุดรอ ณ.พื้นที่ราบกว้างแห่งหนึ่ง เว่ยฉิงคังหันมองไปทางด้านขวาเห็นเป็นผาสูงชัน ลึกลงไปเบื้องล่าง
เห็นเป็นสายน้ำอันเชี่ยวกราก ด้านซ้ายเป็นป่ารกครึ้ม อุดมไปด้วยพรรณไม้ ส่วนด้านหน้า และหลัง เป็นเส้นทางแคบเล็ก
จัดเป็นสถานที่ที่อันตรายทางยุทธศาสตร์ยิ่งนัก

เว่ยฉิงคังหยุดรอนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วสั่งบริวารคนสนิท ให้ควบม้าเข้าไปสำรวจภายในป่าอันรกครึ้ม และทางเบื้องหน้า
อันแคบเล็กนั้นทันที

ครั้นคนสนิทกลับออกมารายงานว่าไม่พบร่องรอยพิรุธใดๆ เว่ยฉิงคังก็มีความยินดี ส่งเสียงหัวเราะขึ้น พลางพูดว่า

“ฮ่า ๆๆๆๆ นับว่าฟ้าเข้าข้างข้าแล้ว”

แล้วเว่ยฉิงคังก็เอ่ยออกมาอีก ด้วยน้ำเสียงที่ทรงอำนาจว่า

“ประมุขบ้านดาบฟ้ามังกร เจ้าสำนักเกาทัณฑ์เงิน และ ประมุขสำนักคุ้มภัยคงหยวน ท่านทั้งสามจงออกมาพบข้า”

เหล่าชาวยุทธ ที่ร่วมกองกำลังมาได้ยินเช่นนั้น ก็ได้แต่ส่งเสียงพึมพำพูดคุยกัน แต่ก็มิกล้าเอ่ยปากใดๆ ออกมา
พลัน ประมุขบ้านดาบฟ้ามังกร เจ้าสำนักเกาทัณฑ์เงิน และ ประมุขสำนักคุ้มภัยคงหยวน ก็ก้าวออกมายืนนิ่งสงบ
อยู่เบื้องหน้าของ เว่ยฉิงคังอย่างระมัดระวังตัว

แล้วเว่ยฉิงคังก็ออกคำสั่งขึ้นว่า

“ท่านประมุขบ้านดาบฟ้ามังกร และ ประมุขสำนักคุ้มภัย คงหยวน ท่านทั้งสองจงนำกำลังศิษย์ของท่าน ไปซุ่มรอไว้
ณ สองข้างทางที่เบื้องหน้า และหลัง ของเส้นทางแคบเล็กนี้ หากว่าเห็นกองกำลังทางฝ่ายเรา ถูกพวกมันรุกไล่ตามเข้ามา
ก็จงนิ่งเฉยอยู่ก่อน รอจนกระทั่ง กองกำลังทางฝ่ายเราออกไปจนหมดแล้ว จึงยกกำลังออกสกัดปิดทางเข้าและออก อย่าให้พวกมัน
ตีฝ่าออกไปได้”

เว่ยฉิงคังหันไปทางเจ้าสำนักเกาทัณฑ์เงิน แล้วถามขึ้นว่า

“ท่านเจ้าสำนักเกาทัณฑ์เงิน ท่านมีพลเกาทัณฑ์ที่ยกมาร่วมในครั้งนี้เป็นจำนวนเท่าใด”

” ประมาณ ร้อยเศษ”

“ดี เช่นนั้น ท่านจงนำพลเกาเทัณฑ์ของท่าน มาซุ่มรอไว้ ในป่าทึบเบื้องซ้ายนี้ แล้วรอสัญญาณสั่งยิงจากข้า”

เว่ยฉิงคัง สั่งการเสร็จก็หันไปกล่าวกับกองกำลังส่วนใหญ่ว่า

“ส่วนข้า และกองกำลังที่เหลือ จะยกออกไปเผชิญหน้ากับพวกมัน พวกมันเห็นว่าเรามีกำลังจำนวนน้อยกว่ามาก
ก็จะย่ามใจบุกเข้ามา พวกท่านทั้งหมดจงแสร้งตื่นกลัวหลบหนีมายังสถานที่แห่งนี้”

เจ้าสำนักเกาฑัณฑ์เงิน นิ่งฟังเว่ยฉิงคังอยู่นานจนเข้าใจ ก็เบิกตากว้าง กล่าวขึ้นมาด้วยความยินดีว่า
“นี่ท่านคิดใช้แผน ล่อมันมาติดกับ แล้วใช้พลเกาทัณฑ์ของข้าสังหารพวกมัน หรือไม่ก็รุกไล่ให้พวกมัน
ตกหน้าผาไปใช่หรือไม่”

เว่ยฉิงคัง ยิ้มออกมาอย่างเหี้ยมเกรียม แล้วพูดว่า

“เราจะลดทอนกำลังของมันลงก่อน แล้วจึงบุกไปเผชิญหน้ากับพวกมัน กำจัดพวกมันให้สิ้นซากในภายหลัง”

เหล่ากองกำลังชาวยุทธได้ยินแผนการที่เว่ยฉิงคัง สั่งการออกมาเช่นนั้นก็คลายความกลัวเกรง ลัทธิเบญจธาตุลง
และยอมรับนับถือ ในตัวเว่ยฉิงคังขึ้นอีกมาก

————–

เบื้องหน้าวังเบญจธาตุในยามบ่าย ดวงตะวันบนฟากฟ้าถูกเมฆดำใหญ่เคลื่อนเข้าบดบัง จนอาณาบริเวณนั้นร่มครึ้ม
คล้ายดังมีพายุฝน กระแสลมแรงพัดพาฝุ่นผงจากพื้นดินลอยฟุ้งขึ้นมาจนปกคลุมไปทั่ว

กองกำลังสี่ธาตุของลัทธิเบญจธาตุ แบ่งออกเป็นสี่กองตามชื่อธง ดิน น้ำ ลม ไฟ ชูไสวอยู่ภายใต้แรงลมที่กระพือพัด
โดยมีทูตทั้งสี่แห่งวังเบญจธาตุเป็นผู้ควบคุมกองกำลัง นั่งอยู่บนหลังม้าเงียบสงบคอยทีอยู่
เบื้องหลังถัดจากกองกำลังสี่ธาตุ เจ้าลัทธิเบญจธาตุ ในเสื้อคลุมสีทองสุกสกาว นั่งเป็นสง่าอยู่บนหลังม้าสีขาวบริสุทธิ์
ภายใต้ธงใหญ่สีน้ำเงินตัวอักษรสีทอง อ่านว่า ลัทธิศักดิ์เบญจธาตุ ทั้งสองข้างของเจ้าลัทธิ มีองค์รักษ์สวมชุดเกราะสีเงิน
ให้การอารักขาอยู่ทั้งสองข้าง เจ้าลัทธิเพ่งมองไปเงาจางๆเบื้องหน้าที่กำลังคืบคลานเข้ามา

ครั้นกระแสลมที่กระพือพัดสงบลง ก็เริ่มปรากฎชัดว่าเป็นกองกำลังเหล่าชาวยุทธจงหยวน ยืนนิ่งสงบคอยทีอยู่เช่นกัน

เว่ยฉิงคังขยับม้าขึ้นมายังเบื้องหน้าของกองกำลังนั้น แล้วส่งเสียงอันเปี่ยมล้นไปด้วยพลังปราณออกมาว่า

“ลัทธิเบญจธาตุทั้งหลาย จงฟังข้า วันนี้ ข้า เว่ยฉิงคังผู้นำชาวยุทธจงหยวน นำกองกำลังมาเพื่อบดขยี้พวกเจ้าให้สิ้นซาก
หากพวกเจ้ายินยอมทิ้งอาวุธยอมศิโรราบแต่โดยดี ข้าจะละเว้นโทษตายให้ หาไม่แล้วในวันนี้พวกเจ้าทุกคนจะต้องตาย
ไร้ที่กลบฝัง”

เจ้าลัทธิมองดูกองกำลังของ เหล่าชาวยุทธจงหยวนเห็นว่ามีจำนวนน้อยกว่ากำลังของตนถึงเท่าตัว
ก็หัวเราะอย่างเย้ยหยันอยู่ในลำคอ แล้วเปล่งเสียงแฝงกำลังภายในตอบโต้ออกไปว่า

“เจ้าพวก มดปลวก ไม่เจียมตัวทั้งหลาย วันนี้พวกเจ้าทุกคนจะต้องเน่าเหม็น
อยู่ที่หน้าวังของข้า ”

แล้วเจ้าลัทธิก็ยกมือเป็นสัญญาณขึ้นทันที ทูตทั้งสี่คอยทีอยู่แล้วครั้นเห็นเช่นนั้น
ก็เปล่งเสียงสั่งการให้กองกำลังที่ตนควบคุมอยู่บุกโจมตีทันที

กองกำลังสี่ธาตุ จัดขบวนโดยใช้กองกำลังธาตุดินซึ่งถือโล่เหล็กใหญ่ และ หอกยาว นำไปเป็นกองหน้า แล้วตามด้วย
ด้วยกองกำลังธาตุน้ำซึ่งแปรขบวนออกเป็นปีกสองข้าง คอยเสริมกำลังให้กองหน้า

ห่างออกไป เป็นกองกำลังธาตุไฟเดินเป็นขบวนติดตามออกมาอย่างเป็นระเบียบ และท้ายสุดเป็นทหารกองกำลังธาตุลม
เดินถือเกาทัณฑ์ออกมา แล้วยิงออกไปยังกองกำลังชาวยุทธจงหยวนอยู่เป็นระยะ

เหล่ากองกำลังชาวยุทธจงหยวน เห็นกองกำลังสี่ธาตุบุกเข้ามาเช่นนั้นก็ขวัญเสีย เกิดความระส่ำระสายขึ้น
เว่ยฉิงคังเห็นเช่นนั้น ก็กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า

“ชาวยุทธจงหยวนทั้งหลายจงฟังข้า เบื้องหน้าของพวกท่านคือผู้ที่บุกรุกดินแดนของเรา กดขี่ ข่มเหง
เข่นฆ่า ล้างผลาญพี่น้องของเรามาช้านาน จนถึงวันนี้ หากพวกท่านยังไม่คิดสู้ ปล่อยให้กองกำลังของพวกมัน
มาบดขยี้ ล้างผลาญพวกเราได้ตามใจชอบอีก พวกท่านก็ไม่มีศักดิ์ศรีใดๆที่จะเรียกตนเองว่า เป็นชาวจงหยวน
อีกต่อไป”

สิ้นคำของเว่ยฉิงคัง ก็บังเกิดความเงียบงันขึ้นทันที ดวงตาทุกคู่ของเหล่าชาวยุทธจงหยวนเพ่งมองดู
กองกำลังของลัทธิเบญจธาตุที่กำลังบุกเข้ามาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงปรากฎเสียงของคนผู้หนึ่งดังขึ้น แล้วตามติด
ด้วยเสียงของคนทั้งหมดในกองกำลังนั้น

“ฆ่าพวกมันให้หมด !!!………….ฆ่าพวกมันให้หมด ฆ่าพวกมันให้หมด ฆ่าพวกมันให้หมด”

เว่ยฉิงคังเห็นเช่นนั้น ก็ยิ้มขึ้นมาอย่างลำพองใจ แล้วออกคำสั่งออกไปทันที

“พวกท่านทั้งหลาย ทำตามแผนที่เราได้วางเอาไว้ และจงคอยดูสัญญาณจากข้า………….บุก ! ”

สิ้นคำของเว่ยฉิงคัง เจ้าสำนักแต่ละสำนัก ก็นำเหล่าศิษย์ของตน โหมจู่โจมออกไปทันทีด้วยกำลังใจที่ฮึกเหิม
ต่างถืออาวุธประจำตัวมั่นเอาไว้ในมือ แล้ววิ่งออกไปยังเบื้องหน้าเป็นหน้ากระดาน หมายจะฟาดฟันทหารลัทธิเบญจธาตุ
ทุกคนที่ขวางทางอยู่ให้สิ้นซากไป

แต่ยังมิทันที่จะได้ฟาดฟันอาวุธลงไปก็ถูกห่าฝนของเกาทัณฑ์จำนวนมาก ตกลงมาจากเบื้องบนเข้าสกัดขวางการบุกเอาไว้
จนกองกำลังชาวยุทธฯ ที่กำลังบุกหนุนต่อเข้ามายังเบื้องหลังต้องถอยร่น รวนไปอย่างไม่เป็นขบวน บางส่วนที่สามารถ
ฝ่าฝนเกาทัณฑ์เข้าไปได้ก็ต้องพบกับกองกำลังธาตุดินที่ถือโลห์เหล็กใหญ่ และแทงหอกยาวสวนออกมา
จนคมอาวุธของกองกำลังชาวยุทธจงหยวนไม่สามารถทำอันตรายต่อกองกำลังธาตุดินได้เลยแม้แต่น้อย
ยิ่งรบนานไปก็ยิ่งถูกผลักดันให้ถอยร่นกลับออกไปทุกที

มีเพียงบางส่วนที่มีวิชาตัวเบาอันล้ำเลิศ สามารถฝ่าห่าฝนเกาทัณฑ์โดยการลอยตัวข้ามกองทหารที่มีโล่ห์เข้าไป
แต่ก็ต้องตรงอยู่ท่ามกลางวงล้อมของกองกำลังธาตุน้ำ และ ธาตุไฟที่ตีโอบกระชับเข้ามา ทำให้เหล่าชาวยุทธจงหยวนที่บุกเข้าไป
เหล่านั้น บ้างบาดเจ็บ บ้างล้มตายลง

เว่ยฉิงคังเห็นเช่นนั้น ก็ให้สัญญาณถอยขึ้นในทันที เหล่าชาวยุทธที่บุกเข้าไปเห็นเช่นนั้น แม้จะยังไม่เห็นสัญญาณ
ก็ใกล้จะพ่ายแพ้อยู่แล้ว ก็ดีใจรีบตีฝ่าจากวงล้อมถอยออกมาอย่างเร่งด่วน

ทูตทั้งสี่ ที่อยู่บนหลังม้าเห็นกองกำลังเหล่าชาวยุทธจงหยวนแตกพ่ายอย่างง่ายดาย หนีออกมาไม่เป็นขบวน
เช่นนั้น ก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน รีบควบม้าสั่งกองกำลังของตนให้บุกติดตามไปในทันที

“ฮ่า…ฮ่า….ฮ่า…ฮ่า…..เหล่าทหารของข้า จงติดตามพวกมันไป ฆ่ามันให้สิ้นทุกตัวคน”

ทูตทั้งสี่นำกองกำลังสี่ธาตุ ไล่จี้ตามติดกองกำลังชาวยุทธจงหยวนอย่างกระชั้นชิด ครั้นเห็นทางหนข้างหน้าตีบตัน
ก็คาดว่า เหล่าชาวยุทธจงหยวนคงจะหนีไม่ทันแล้ว ก็ยิ่งฮึกเหิมลำพองใจออกคำสั่งให้เร่งตามติดเข้าไปอย่างกระชั้นชิด

กองกำลังชาวยุทธจงหยวนครั้นถึงจุดหมายที่วางแผนกันเอาไว้ ผู้นำกองกำลังก็ให้สัญญาณแปรขบวนเป็นสองแถว
เดินผ่านเข้าไปยังเส้นทางที่แคบเล็กนั้นอย่างว่องไว

ทูตดินเห็นเช่นนั้น ก็เร่งสั่งให้กองกำลังธาตุดินของตนติดตามเข้าไปทันที ตามติดด้วยกองกำลังธาตุน้ำ ธาตุไฟ
และธาตุลม จนในที่สุดทหารของลัทธิเบญจธาตุทั้งสี่กองก็ผ่านเข้าไปจนพบพื้นที่ราบกว้างใหญ่ ข้างหนึ่งเป็นป่า
รกครึ้ม ข้างหนึ่งเป็นผาเหวสูงชัน ครั้นมองไปข้างหน้าก็เห็นกองกำลังชาวยุทธจงหยวนกำลังแปรขบวนกลับหลังมา
ตั้งยันไว้ ทูตไฟซึ่งเป็นพี่ใหญ่ในบรรดาทูตทั้งสี่เห็นเช่นนั้นก็คิดระแวงภัยหันมองไปโดยรอบอีกครั้ง
แล้วส่งเสียงไปยังทูตดินอย่างรีบเร่งขึ้นว่า

“น้องสี่ ถอยออกมาก่อน จงถอยออกมาเดี๋ยวนี้”

ทูตดินซึ่งกำลังออกคำสั่งทหารให้เข้าบุกได้ยินเช่นนั้น ก็หันมาถามทันที

“พี่ใหญ่ เหตุใด..เหตุใดจึงต้องถอย”

“ไม่มีเวลาแล้ว น้องสี่ เจ้าต้องฟังข้า ถอยออกมาเดี๋ยวนี้”

กองกำลังสี่ธาตุ ได้รับคำสั่งให้ถอยอย่างรีบเร่ง ก็แปรขบวนจากส่วนท้ายกลับกลายเป็นส่วนหน้า แล้วเดินกลับออกไป
ยังเส้นทางที่เข้ามา

พลันก็มีเสียงสัญญาณดังยาวขึ้น ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องของกองกำลังฝ่ายชาวยุทธจงหยวนที่ซุ่มซ่อนดักรอทีอยู่ ก็พุ่งออกมา
จากสองข้างทาง จู่โจมปิดทางถอยกลับของกองกำลังสี่ธาตุเสีย อีกทั้งที่เบื้องหลังก็ยังถูกกองกำลังชาวยุทธจงหยวนที่แปรขบวนกลับมา
ตีกระหนาบหลังบีบพื้นที่เข้ามา จนกองกำลังสี่ธาตุยืนเบียดเสียดกันอยู่ในพื้นที่ที่คับแคบ

เว่ยฉิงคัง ย่างเหยาะม้าออกมาแล้วเพ่งมองไปยังกองกำลังสี่ธาตุที่ตกอยู่ในวงล้อมด้วยแววตาที่เหี้ยมเกรียม
แล้วส่งเสียงขึ้นว่า

“ท่าน เจ้าสำนักเกาทัณฑ์เงิน ถึงเวลาของท่านแล้ว”

สิ้นคำของเว่ยฉิงคัง เจ้าสำนักเกาเทัณฑ์เงินก็ยืนขึ้นจากที่ซ่อน ออกคำสั่งให้กองกำลังเกาทัณฑ์ของตน
ยิงออกไปในทันที

ลูกเกาทัณฑ์พุ่งตรงออกมาจากที่หลบซ่อนในป่าที่รกครึ้ม จนไม่สามารถมองเห็นแหล่งที่มาของมัน พุ่งตรงปักเข้าที่ร่าง
ของกองกำลังเบญจธาตุ คนแล้วคนเล่า จนล้มลงนอนตายอยู่ ณ พื้นที่แห่งนั้น ทหารในกองกำลังสี่ธาตุที่อยู่ด้านใน
เห็นพวกของตนถูกเกาทัณฑ์จนล้มตายลง ก็บังเกิดความโกลาหล เบียดเสียดกันหนีออกให้ห่างจากวิถีของลูกเกาทัณฑ์
จนกองกำลังสี่ธาตุ หลายต่อหลายคนร่วงตกลงหุบเหวที่เบื้องล่าง

จำนวนทหารอันมากมายของลัทธิเบญจธาตุ กลับไม่มีประโยชน์อันใดเมื่อถูกตีกระหนาบ อยู่ในที่อันคับแคบเช่นนี้
ซ้ำยังมีลูกเกาทัณฑ์ที่ซุ่มยิงออกมาอย่างนับไม่ถ้วน จนเหล่าทหารลัทธิเบญจธาตุล้มตายทับถมอยู่ ณ ที่แห่งนั้น
จนแทบไม่มีพื้นที่หยัดยืน ทูตไฟขับม้าฟาดฟันปัดป้องลูกเกาทัณฑ์ ที่พุ่งตรงเข้ามายังร่างของตนเป็นสามารถ
ในขณะที่ฟาดฟันอาวุธป้องกันตนเอง ก็เห็นทหารในกองกำลังของตนล้มตายก่ายกองทับถมกัน โดยที่ตนเอง
ไม่สามารถแก้ไขสิ่งใดให้ดีขึ้นได้ ก็คลั่งแค้นใจยิ่งนัก ครั้นมองออกไปเบื้องหน้า เห็นเว่ยฉิงคังนั่งมองพวกตน
อยู่บนหลังม้า ก็เปล่งเสียงด่าทอออกมาว่า

“เว่ยฉิงคัง ไอ้ลูกไม่มีพ่อ หากเจ้ายังมีศักดิ์ศรีอยู่ก็จงมาต่อสู้กับข้าให้รู้แพ้และชนะกันในวันนี้”

เว่ยฉิงคังได้ยินเช่นนั้น ก็หัวเราะในลำคอ แล้วยกมือขึ้นพร้อมกับส่งเสียงออกไปยังกองกำลังเกาทัณฑ์ที่ซุ่มอยู่ว่า
“เจ้าสำนักเกาทัณฑ์เงิน โปรดหยุดเกาทัณฑ์ของท่านก่อน”

เจ้าสำนักเกาทัณฑ์เงินได้ยินดังนั้นก็ให้สัญญาณหยุดยิงขึ้น ลูกเกาทัณฑ์อันมากมายจากป่าที่รกครึ้มนั้นก็หยุดลง
เหล่ากองกำลังชาวยุทธจงหยวนที่กำลังตีกระหนาบกองกำลังเบญจธาตุซึ่งเหลือรอดชีวิตเพียงไม่ถึงครึ่ง ก็หยุดการโจมตีลง
แล้วตรึงกำลังโอบล้อมเอาไว้เช่นนั้นนิ่งอยู่

เว่ยฉิงคังถือทวนเงินย่างเหยาะม้าตรงเข้าไปหากองกำลังเบญจธาตุ แล้วหยุดม้าลง ณ. เบื้องหน้าของทูตทั้งสี่ ท่ามกลางสายตา
ของเหล่าทหารเบญจธาตุที่เพ่งมองมายังมันอย่างไม่วางตา แล้วพูดขึ้นว่า

” เจ้าสุนัขรับใช้ทั้งสี่ วันนี้ข้าจะเอาศีรษะของพวกเจ้าทุกคนมาเซ่นสรวงดวงวิญญาณของบิดาข้า เชิญพวกเจ้า
แสดงฝีมืออกมา”

ทูตทั้งสี่ได้ยินเช่นนั้น ก็หันหน้ามามองดูกัน แล้วเดินตีวงโอบล้อมเว่ยฉิงคังที่นั่งอยู่บนหลังม้าเอาไว้
ท่ามกลางสายตาของกองกำลังทั้งสองฝ่ายที่นิ่งมองดูอยู่อย่างตื่นเต้น

ฉับพลัน บังเกิดเสียงโลหะพุ่งแหวกอากาศออกมาสายหนึ่ง ตรงมายังเบื้องหน้าของเว่ยฉิงคังอย่างรวดเร็ว
มันคือโซ่เปลวอัคคีของทูตไฟ ที่ปลดปล่อยออกมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับพลังลมปราณที่ลอบเกร็งกำลังเอาไว้

เว่ยฉิงคังเบี่ยงร่างหลบออกไปด้านข้างเพียงเล็กน้อย ปลายโซ่เปลวอัคคีก็วิ่งผ่านใบหน้าของมันไปอย่างฉิวเฉียด
แต่ปลายโซ่นั้นกลับคล้ายว่ามันมีชีวิต มันวกกลับเข้ามาจู่โจมใส่เว่ยฉิงคังที่เบื้องหลังอีกครั้ง

เว่ยฉิงคังรับรู้ถึง กระแสพลังที่กำลังตรงมายังเบื้องหลังของมัน ก็ก้มตัวลงหลบปลายโซ่อัคคีได้อีกครั้งคล้ายกับ
มีดวงตาอยู่ที่เบื้องหลัง

ทูตทั้งสามเห็นดังนั้นก็ใช้อาวุธประจำตัวของตนจู่โจมเข้าใส่เว่ยฉิงคังโดยพร้อมกัน ทูตน้ำและทูตดิน ใช้ดาบผลึกน้ำแข็ง
และกระบองสยบปัฐพี จู่โจมโดยตรงเข้าทางเบื้องหน้า ทูตลมใช้ธงวายุอสูรในมือของมันกระโจนลอยตัวขึ้นสู่เบื้องบน
แล้วฟาดลงมาหมายให้ถูกร่างของเว่ยฉิงคัง ในจังหวะที่มันกำลังพัวพันต่อสู้กับ ทูตดินและทูตน้ำ

เว่ยฉิงคังจับทวนเงินด้วยมือเพียงข้างเดียว แทงหมุนควงออกไปเบื้องหน้าปะทะเข้ากับอาวุธของทูตดินและทูตน้ำ
แรงปะทะของทวนที่หมุนควงออกไป ทำให้ทั้งทูตดินและทูตน้ำต้องถึงกับผงะถอยออกไป แล้วทะยานร่างออกจากหลังม้า
หลบธงวายุอสูรที่กำลังฟาดลงบนศรีษะของมัน ถูกม้าของเว่ยฉิงคังสิ้นใจตายในทันที

ทูตทั้งสี่ผนึกกำลังกันเข้าจู่โจมใส่เว่ยฉิงคังโดยพร้อมกัน เว่ยฉิงคังใช้ทวนในมือร่ายรำเพลงทวนเข้าต้านรับ
แม้เพลงทวนของเว่ยฉิงคังจะอ่อนด้อยกว่า แต่กำลังภายในที่แฝงออกไปในการตีโต้ตั้งรับนั้นมากล้น จนทำให้ทูตทั้งสี่
ต้องถึงกับผงะออกไปทุกครั้งที่ปะทะอาวุธกัน ไม่สามารถแสดงอานุภาพเพลงอาวุธของตนออกมาได้อย่างสูงสุด
จนในที่สุดเว่ยฉิงคังก็เร่งเร้ากำลังภายในถ่ายเทพลังลมปราณร่ายรำเพลงทวนรุกกลับไปบ้าง

เพลงทวนของเว่ยฉิงคัง ทั้งรวดเร็วและเปี่ยมล้นไปด้วยพละกำลัง ยามฟาดไปต้องกับอาวุธของทูตทั้งสี่ที่พยายามตั้งรับ
พวกมันก็รู้สึกปวดแปลบที่ข้อมือไปทุกครั้ง จนต้องตั้งรับไปพลางถอยไปพลาง ในที่สุดเว่ยฉิงคังก็เร่งเร้าพลังลมปราณ
เพิ่มขึ้นอีก แล้วปาดป่ายคมทวนแทงออกไปที่ยังทูตทั้งสี่อย่างรวดเร็ว ทูตทั้งสี่ล้วนคิดใช้อาวุธของตนปัดทวนของเว่ยฉิงคัง
ออกไปให้พ้นร่าง แต่ครั้งนี้อาวุธในมือของพวกมันกลับต้องเป็นฝ่ายหลุดลอยออกไป ทั้งยังถูกคมทวนทิ่มแทงจนบาดเจ็บ

เว่ยฉิงคังเพ่งมองไปยังทูตทั้งสี่ที่ยืนกุมบาดแผลจากคมทวนของมันด้วยแววตาอำมหิต โยนทวนคู่มือของมันทิ้งไป
แล้วพูดขึ้นว่า

“พวกเจ้าทั้งสี่ จงลงนรกไป ณ บัดนี้เถิด”

สิ้นคำ เว่ยฉิงคังก็ร่ายรำกระบวนท่า ฝ่ามือวิญญาณคร่ำครวญ อันร้ายกาจออกมา
พลันลมปราณจากจุดตังชั้งของมันก็ไหลเวียนพุ่งพวยขึ้น จนเกิดไอเย็นเยียบแผ่ซ่านออกจากร่างของมัน
และกระจายไอเย็นไปรอบอาณาบริเวณ ก่อเกิดพลังวัตรอันแรงกล้าไร้ขอบเขต ไหลรวมตัวมาอยู่ที่ฝ่ามือทั้งสอง
แล้วฟาดออกไปยังทูตทั้งสี่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า

กลุ่มก้อนพลังปราณอันยิ่งใหญ่พุ่งแหวกอากาศ ตรงไปยังทูตทั้งสี่อย่างรวดเร็ว ทูตทั้งสี่เห็นเช่นนั้นก็ทะยานร่าง
คิดจะหลบเลี่ยงไปจาก ณ ที่นั้น แต่ก็มิอาจพ้นรัศมีพลังปราณอันแรงกล้าของเว่ยฉิงคังไปได้ พลังปราณอันแรงกล้า
ตรงเข้ากระแทกร่างของทูตทั้งสี่ลอยกระเด็นไกลออกไป จนอวัยวะภายในของพวกมันแหลกเหลวไปหมดสิ้น

ร่างไร้วิญญาณของทูตทั้งสี่นอนกระจัดกระจายไปคนละทิศทาง โลหิตสดๆหลั่งไหลออกมาจากปากของพวกมัน
ไม่ขาดสาย เป็นที่น่าอเนจอนาถยิ่งนัก

กองกำลังของทั้งสองฝ่าย นิ่งงันอย่างตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงมีเสียงโห่ร้องอย่างยินดีออกมาจากฝ่ายกองกำลัง
ชาวยุทธจงหยวน

เว่ยฉิงคัง ยังคงมีแววตาอำมหิตอย่างแรงกล้า มองไปยังกองกำลังเบญจธาตุที่ยังเหลืออยู่ แล้วหันไปออกคำสั่งทันที

“ฆ่าพวกมันให้หมดอย่าให้เหลืออยู่แม้แต่ผู้เดียว”

กองกำลังชาวยุทธจงหยวนได้ยินเช่นนั้น ก็โห่ร้องตรงเข้าจู่โจมใส่กองกำลังเบญจธาตุที่ยังเหลืออยู่ พลเกาทัณฑ์
ที่ซุ่มซ่อนอยู่ในป่า ก็กระหน่ำยิงออกมาอีกครั้ง

กองกำลังเบญจธาตุครั้นขาดผู้นำ ก็เสียขวัญมีแต่จะพยายามหลบหนีจากคมอาวุธที่พุ่งตรงเข้ามา ไม่คิดต่อสู้อีกต่อไป
พากันเบียดเสียดผลักดันพวกของตนให้พ้นทางเพื่อจะหลบหนีออกไป จนทำให้หลายคนต้องร่วงหล่นลงไปในผาสูงเบื้องล่าง
บ้างก็ถูกเกาทัณฑ์เสียบเข้าที่ศรีษะ และทรวงอก บ้างก็ถูกฟาดฟันด้วยคมกระบี่และดาบ ต่างส่งเสียงร่ำร้องคร่ำครวญ
ด้วยความเจ็บปวดจนอื้ออึงไปทั่ว

จนสุดท้ายก็ไม่เหลือกองกำลังของลัทธิเบญจธาตุหลงเหลืออยู่ ณ ที่แห่งนั้นแม้แต่คนเดียว มีเพียงซากศพล้มตาย
อยู่เกลื่อนกราดไปทั่วบริเวณ เสียงโห่ร้องของผู้มีชัยดังขึ้นอย่างกึกก้องจนได้ยินไปถึงกองกำลังอีกส่วนหนึ่ง
ที่คุ้มครองเจ้าลัทธิอยู่ เจ้าลัทธิได้ยินเช่นนั้นก็แย้มยิ้มขึ้น พูดกับองครักษ์ข้างกายว่า

“เจ้าพวกมดปลวก คงตายกันหมดสิ้นแล้ว”

พลันเจ้าลัทธิก็มองเห็นฝุ่นผงลอยคละคลุ้งจากที่ห่างไกลออกไป แล้วค่อยๆปรากฎเป็นภาพของกองกำลังกลุ่มหนึ่งเคลื่อนที่
ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ กองกำลังนั้นไม่มีธงอันเป็นสัญลักษณ์ของกองกำลังสี่ธาตุ ซ้ำเบื้องหน้ามีคนผู้หนึ่งควบม้านำออกมา
เจ้าลัทธิจดจำได้ว่ามันคือผู้นำกองกำลังชาวยุทธจงหยวน เว่ยฉิงคัง นั่นเอง

เว่ยฉิงคัง นำกองกำลังชาวยุทธจงหยวนมาหยุดอยู่ ณ เบื้องหน้าของกองกำลังที่คุ้มครองเจ้าลัทธิ แล้วให้สัญญาณหยุด
จากนั้นมันย่างเหยาะม้าตรงเข้ามาอยู่ ณ เบื้องหน้าของเจ้าลัทธิ แล้วพูดขึ้นว่า

“กองกำลังอันต่ำช้าของเจ้า บัดนี้ถูกข้าทำลายจนย่อยยับไปสิ้น ครั้งนี้ถึงคราวของเจ้าแล้ว หากยังมีความกล้าพอ
ก็จงลงจากหลังม้า มาต่อสู้กับข้าให้รู้แพ้ชนะ อย่าให้กองกำลังของเจ้าต้องมาตายอย่างน่าอนาถอยู่ ณ ที่นี้เลย”

เจ้าลัทธิได้ยินวาจาหยามเหยียดเช่นนั้นก็โกรธ ตอบคำออกมาว่า

“หากเจ้าต้องการตายด้วยน้ำมือข้า ข้าก็จะสงเคราะห์เจ้าเอง”

สิ้นคำร่างของเจ้าลัทธิยันก็พุ่งลอยขึ้นจากหลังม้าลอยแล้วลงมายืน ณ.พื้นดินเบื้องล่าง
เว่ยฉิงคังเห็นเช่นนั้นก็กระทำตามบ้าง ร่างของคนทั้งสองยืนห่างกันเพียงสิบก้าว
ต่างยืนเพ่งมองกุมเชิงกันอย่างนิ่งสงบ

เว่ยฉิงคังจ้องมองนิ่งไปยังใบหน้าของเจ้าลัทธิอยู่ครู่หนึ่ง แล้วแปรเปลี่ยนเป็นแววตาอันอำมหิตเกิดขึ้น
ในห้วงสมองของมันบังเกิดภาพของบิดาที่ถูกสังหารล่องลอยขึ้นมาซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า จนโทสะของมันก่อตัว
แล้วเพิ่มพูนขึ้น จนกลับกลายเป็นแรงผลักดันอย่างรุนแรง

พลังลมปราณจากจุดตังชั้งของมันก่อเกิดขึ้นมาจนทะลักล้น จากภาวะบีบครั้นทางอารมณ์ แล้วแผ่ซ่านไหลเวียน
ไปตลอดร่าง ก่อเกิดพลังไอเย็นเยียบครอบคลุมไปทั้งร่างของมัน และแผ่ขยายออกไปโดยรอบ จนเจ้าลัทธิถึงกับรู้สึกได้
และเกิดความประหวั่นใจขึ้น

ตลอดชีวิตการต่อสู้ของมันที่ผ่านมา ไม่เคยพานพบพลังลมปราณที่แปลกประหลาดพิสดารเช่นนี้มาก่อน
ความเย็นเยียบที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของมัน เสียดแทงลึกเข้าไปจนถึงกระดูก ทั้งยังแฝงไปด้วยพลังอันกล้าแข็ง
ที่มิอาจประมาณขอบเขตจนน่าพรั่นพรึง

เจ้าลัทธิปลุกปลอบใจตนเองพลางคิดอยู่ภายในใจว่า มันเองก็สำเร็จฝ่ามือเบญจธาตุขั้นสูงสุด ใยจึงต้องมาครั่นคร้าม
วิชานอกรีตเช่นนี้ คิดได้เช่นนั้น เจ้าลัทธิก็รวบรวมลมปราณในร่าง ร่ายรำกระบวนท่า ห้าธาตุสอดประสาน
แล้วตรงเข้าจู่โจมใส่เว่ยฉิงคังในทันที

ร่างของเจ้าลัทธิ เคลื่อนที่ตรงเข้าไปหา เว่ยฉิงคัง อย่างรวดเร็ว บางคราปรากฎเป็นร่างของมันกำลังตรงเข้ามาจู่โจม
แต่แล้วก็กลับวูบหายไปคล้ายกับสลายไปในอากาศธาตุ แล้วก็กลับมาปรากฏร่างขึ้นอีกครั้งในระยะประชิด
พลันฟาดฝ่ามือเข้าใส่ร่างของเว่ยฉิงคังอย่างหนักหน่วง

ปฏิกริยาของเว่ยฉิงคังก็รวดเร็วไม่แพ้กัน ร่างของมันล่องลอย ถดถอยหลบฝ่ามืออันรุนแรงนั้นได้ทันท่วงที
เจ้าลัทธิเห็นเช่นนั้นก็รุกไล่เข้าไปอีกอย่างต่อเนื่องอีกสามสี่ฝ่ามือ แต่ครั้งนี้เว่ยฉิงคังก็ร่ายรำกระบวนท่าเข้าต้านรับ
ไว้ได้ ทั้งสองต่อสู้กันด้วยกระบวนท่าที่แฝงไปด้วยพลังปราณอันกล้าแข็งจนแผ่รัศมีพลังนั้นออกไปโดยรอบ

การต่อสู้ของทั้งสองผ่านไปได้สามสิบกระบวนท่า พลันกระบวนท่าของเจ้าลัทธิก็แปรเปลี่ยนเป็นพิศดารขึ้นอีก
ร่างของมันเคลื่อนที่เป็นวงกลมล้อมรอบร่างของเว่ยฉิงคัง จนดูคล้ายกับมีร่างของเจ้าลัทธิอยู่ถึงสิบร่าง
จู่โจมใส่เว่ยฉิงคังให้ตกอยู่ในวงล้อม

เว่ยฉิงคังรู้สึกงงันได้แต่ร่ายรำกระบวนท่าปัดป้องออกไปอย่างจวนตัว ครั้นเห็นว่าหนักมือยิ่งแล้ว
มันก็ส่งเสียงดังยาวออกมาคำหนึ่ง พลันร่างของเว่ยฉิงคังก็ลอยขึ้นสูงจากพื้นดินราวหนึ่งเชี๊ยะแล้วแปรเปลี่ยน
กระบวนท่าที่ล้ำลึกพิสดารเพิ่มขึ้น ร่างของมันหมุนรอบตัวเองพร้อมกับร่ายรำฝ่ามือตอบโต้ออกไปรอบทิศ
แต่ละฝ่ามือของเว่ยฉิงคังที่ฟาดออกไป ล้วนเต็มไปด้วยพลังอำนาจที่รุนแรงและรวดเร็ว จนสลายเงาร่าง
ของเจ้าลัทธิที่ล้อมรอบร่างมันไว้จนสลายไปหมดสิ้น ทั้งตัวของเจ้าลัทธิเองก็จำต้องดีดร่างถอยห่างพลังฝ่ามือ
อันรุนแรงนั้นออกมา

เจ้าลัทธิถูกทำลายกระบวนท่าอันร้ายกาจของมัน ก็จ้องมองเว่ยฉิงคังด้วยความโกรธแค้น แล้วเร่งเร้าพลังปราณ
ในร่างขึ้นอีกใหม่อีกครั้ง พลันถ่ายเทพลังลมปราณไปที่ฝ่ามือทั้งสองอย่างต่อเนื่อง แล้วฟาดฝ่ามือสลับกันออกไป
ทั้งซ้ายขวานับสิบฝ่ามือ ด้วยกระบวนท่า อัคคีผลาญฟ้า บังเกิดเป็นลูกพลังนับสิบพุ่งออกจากฝ่ามือของเจ้าลัทธิ
ตรงไปยังเว่ยฉิงคังในคราวเดียว

เว่ยฉิงคังเห็นเช่นนั้นก็โคจรลมปราณขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วยืนนิ่งตั้งรับพลังฝ่ามือของเจ้าลัทธิที่พุ่งจู่โจมเข้ามา
ฝ่ามือของเว่ยฉิงคังร่ายรำไปมาอย่างรวดเร็ว ปัดป้องลูกพลังที่พุ่งเข้ามายังร่างของมันให้เปลี่ยนทิศทางไปลูกแล้วเล่า

ลูกพลังเหล่านั้น ครั้นถูกปัดให้เปลี่ยนทิศทางออกไป ก็พุ่งเข้าทำลายสิ่งที่อยู่รอบกายของเว่ยฉิงคังจนพังทลายไปหมดสิ้น
ทั้งก้อนหินและไม้ใหญ่ รวมถึงกองกำลังของเหล่าชาวยุทธที่อยู่เบื้องหลังของเว่ยฉิงคัง บ้างก็หลบหนีได้ทัน บ้างก็ถูกพลังฝ่ามือ
ของเจ้าลัทธิบาดเจ็บล้มตายลงไปเป็นอันมาก

ครั้นปัดป่ายพลังฝ่ามือของเจ้าลัทธิจนหมดสิ้นไปแล้ว เว่ยฉิงคังก็บังเกิดโทสะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
พลางร่ายรำกระทวนท่าไม้ตาย ฝ่ามือวิญญาณคร่ำครวญออกมา

ไอเย็นเยียบแผ่ซ่านออกจากร่างของมันแล้วแพร่กระจายจนจนครอบคลุมไปทั่วร่าง ฝ่ามือทั้งสองของมันที่ร่ายรำอยู่ไปมา
จนบังเกิดเป็นกระแสลมสองสาย เคลื่อนที่ติดตามทิศทางฝ่ามือทั้งสองของมัน แล้วรวมตัวบังเกิดเป็นงวงพายุล้อมรอบร่าง
ของเว่ยฉิงคังเอาไว้

เว่ยฉิงคังแผดเสียงดังออกมาพร้อมกับกระแทกพลังฝ่ามือทั้งสองออกไปในทันที

“จงตายไปซะ………………..”

กลุ่มก้อนพลังปราณอันแรงกล้าที่ล้อมรอบด้วยงวงลมพายุ พุ่งออกมาจากฝ่ามือทั้งสองของเว่ยฉิงคัง
ตลอดเส้นทางที่กลุ่มก้อนพลังปราณนั้นเคลื่อนที่ไป ฝุ่นธุลีจากพื้นดินก็ตลบขึ้น แล้วฟุ้งกระจายติดตามกลุ่มพลังนั้นไป
จนดูคล้ายกับเป็นมหาพายุอันน่าสะพรึงตรงเข้ามายังร่างของเจ้าลัทธิอย่างรวดเร็ว

เจ้าลัทธิเมื่อเห็นเว่ยฉิงคังร่ายรำคล้ายกับกำลังรวบรวมลมปราณ ก็เตรียมการณ์ตั้งรับไว้ก่อนแล้ว
มันคิดใช้กระบวนท่าไม้ตาย วิชาฝ่ามือเบญจธาตุขั้นสูงสุด ห้าธาตุรวมเป็นหนึ่ง มันเร่งเร้าลมปราณในร่างขึ้น
จนร่างของมันเบ่งพอง ฝ่ามือทั้งสองของมันประกบกันแล้วประทับนิ่งอยู่ที่ทรวงอกพร้อมกับหลับตาลง
รอบๆร่างของมันปรากฎเป็นกระแสลมแรงหมุนวนอยู่โดยรอบ

เจ้าลัทธิลืมตาขึ้นแล้วถ่ายเทพลังลมปราณทั้งหมดไปที่ฝ่ามือทั้งสอง แล้วฟาดออกไปเบื้องหน้าอย่างหนักหน่วง
บังเกิดเป็นกลุ่มพลังลูกใหญ่พุ่งไปยังร่างของเว่ยฉิงคังเช่นกัน

พลังฝ่ามือของคนทั้งสอง พุ่งตรงเข้าหากันแล้วปะทะกันอย่างรุนแรง จนเกิดเป็นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
คลื่นพลังจากการปะทะกันแผ่รัศมีกระจายออกไปโดยรอบ ทำลายทุกสิ่งที่ขวางทางจนพินาศลง

พลังฝ่ามือของเจ้าลัทธิถูกพลังฝ่ามือของเว่ยฉิงคัง สลายลงไปในพริบตาแล้วพุ่งตรงไปกระแทกเข้ากับ
ทรวงอกของเจ้าลัทธิจนร่างของมันล่องลอยกระเด็นไกลออกไป แล้วล่วงหล่นลงสู่พื้นดินกลิ้งไถลออกไป

ก้อนโลหิตสดๆ ไหลทะลักออกจากปากของเจ้าลัทธิอย่างไม่หยุดยั้ง เจ้าลัทธิพยายามขยับร่างหมายจะลุกขึ้น
แต่ก็มิอาจจะกระทำได้ เส้นเอ็นมือและเท้าของมันฉีกขาด อวัยวะภายในของมันถูกพลังอันรุนแรง
กระแทกเข้าอย่างหนักหน่วงจนบอบช้ำอย่างสาหัส หากมิใช่เพราะมีกำลังภายในที่กล้าแข็งคุ้มครองร่างเอาไว้
ชีวิตของมันคงดับสูญไปแล้ว

มันหลับตาลงด้วยความหดหู่ใจอย่างที่สุด หากตายไปเสียเลยยังประเสิรฐกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปในสภาพเช่นนี้

เว่ยฉิงคังเดินตรงเข้ามาแล้วหยุดมองดูเจ้าลัทธิอยู่ครู่หนึ่ง แล้วแผดเสียงหัวเราะจนดังก้องไปทั่ว

“ฮ่า…ฮ่า…..ฮ่า…..ฮ่า…..ในที่สุด ข้าก็มีวันนี้ วันที่ข้าจะได้เห็นเจ้าตายไปต่อหน้าของข้า”

สิ้นคำ เว่ยฉิงคังก็เงื้อฝ่ามือขึ้น หมายจะฟาดลงบนศีรษะของเจ้าลัทธิให้แหลกเหลวไปคามือของมัน
แต่แล้ว มันก็กลับชะงักแล้วลดฝ่ามือลง

“ไม่…..ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า ข้าจะให้เจ้ามีชีวิตจ่อมจมอยู่กับสภาพทุกข์ทรมานเช่นนี้
ให้สาสมกับความแค้นของข้า….ฮ่า….ฮ่า…ฮ่า…ฮ่า…”

—-

หลังจากมีชัยต่อเจ้าลัทธิแล้ว เว่ยฉิงคังก็สั่งให้นำเจ้าลัทธิไปพันธนาการไว้ แล้วนำกองกำลังชาวยุทธบุกเข้าไปยังวังเบญจธาตุ
ออกคำสั่งให้เข่นฆ่า กวาดล้าง ไพร่พลบริวารของลัทธิเบญจธาตุให้หมดสิ้น ภายในวังเบญจธาตุในยามนี้จึงมีสภาพ
ที่น่าสยดสยองยิ่งนัก มองไปทางใดก็มีแต่ซากศพกระจัดกระจายไปทั่ว ผู้คนส่งเสียงร่ำร้อง และวิ่งหนีความตายกันอย่างอลหม่าน
และหนึ่งในนั้นก็ประกอบด้วย หยางเพ่ยจือ นางเร่งรีบลอบหลบหนีออกวังเบญจธาตุด้วยเส้นทางลับ มุ่งหน้าเข้าสู่ป่าลึกลับ
หลังวังอันเงียบสงัดออกไปได้

เวลาล่วงผ่านไปหลายวัน ภายในวังเบญจธาตุก็เหลือแต่ความว่างเปล่า หมดสิ้นสภาพอันน่าเกรงขาม ยิ่งใหญ่อลังการไปหมดสิ้น
ข้าทาสบริวารของเจ้าลัทธิถูกสังหารตายไปกว่าครึ่ง ที่เหลืออยู่ ก็หลบหนีซุ่มซ่อนกระจัดกระจายออกไปตามที่ต่างๆ

หลังจากมีชัยยึดวังเบญจธาตุไว้ได้ เว่ยฉิงคังออกสำรวจดูสภาพภายในวังเบญจธาตุจนทั่ว แล้วเห็นว่าวังเบญจธาตุมีอาณาเขตที่กว้างใหญ่
สวยงามอลังการกว่าสำนักของตนมากนัก มันจึงคิดที่ใช้วังเบญจธาตุแห่งนี้เป็นที่ตั้งสำนักเจ้ายุทธ จิตใจของมันในยามนี้
มีเพียงความภาคภูมิใจในพลังฝีมือของตนเอง มันคิดที่จะรวบรวมสำนักยุทธทั้งหลายให้เหลือเพียงหนึ่งเดียว โดยมีมัน
ผู้ซึ่งมีพลังฝีมือที่กล้าแข็งที่สุดในบู๊ลิ้ม เป็นประมุขของสำนักเจ้ายุทธแห่งนี้ คิดได้ดังนั้น เว่ยฉิงคังก็เร่งออกคำสั่ง
ให้ชาวยุทธทั้งหมดเข้ามาชุมนุมกันในวันรุ่งขึ้นทันที

ภายในห้องโถงใหญ่ของวังเบญจธาตุ เว่ยฉิงคังนั่งอยู่บนแท่นที่นั่งอันเป็นตำแหน่งประธานในที่ชุมนุม
ชาวยุทธทุกสำนักต่างพากันมาร่วมชุมนุมโดยพร้อมกันในห้องโถงนั้นอย่างเนืองแน่น เมื่อเห็นว่าเหล่าชาวยุทธ
ได้มาชุมนุมโดยพร้อมหน้ากันแล้ว เว่ยฉิงคังก็เอ่ยขึ้นว่า

“ข้า เว่ยฉิงคัง ขอคารวะต่อชาวยุทธมีจิตใจอันกล้าหาญทุกท่าน ด้วยแรงกาย แรงใจ และความสมัครสมานสามัคคี
ของพวกเราเหล่าชาวยุทธจงหยวน จึงทำให้เราสามารถขจัดลัทธิเบญจธาตุอันชั่วร้ายให้หมดสิ้นไปจากยุทธภพได้
นับแต่นี้ต่อไปพวกเราเหล่าชาวยุทธจงหยวนสามารถเป็นอิสระโดยไม่ต้องขึ้นกับลิทธิชั่วร้ายใดๆอีกต่อไปแล้ว”

สิ้นคำของเว่ยฉิงคัง เหล่าชาวยุทธจงหยวนที่ชุมนุมอยู่ ณ ที่นั้น ก็โห่ร้องขึ้นพร้อมกันด้วยความยินดี
เว่ยฉิงคังเงียบงันอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อไปว่า

“เมื่อใดที่พวกเราเหล่าชาวยุทธจงหยวน รวมตัวกัน สามัคคีกันเช่นนี้ ก็จะบังเกิดความเข้มแข็ง ไม่มีผู้ใดกล้ามาราวี
ต่อกรกับพวกเราได้อีก พวกท่านเห็นว่าข้าพูดถูกหรือไม่”

เหล่าชาวยุทธจงหยวนในที่นั้น ก็โห่ร้องด้วยความยินดีขึ้นมาอีกครั้ง ต่างส่งเสียงตอบเว่ยฉิงคังขึ้นว่า

“ท่านเจ้าสำนักเว่ย กล่าวได้ถูกต้องแล้ว”

“ท่านเจ้าสำนักเว่ย กล่าวได้ถูกต้องแล้ว”

เว่ยฉิงคังรอให้เสียงโห่ร้องของเหล่าชาวยุทธเงียบลง ก็กล่าวต่อไปว่า

“ข้าจึงคิดว่า หากพวกเราทั้งหมดรวมตัวก่อตั้งเป็นสำนักหนึ่งเดียวขึ้นมา เราก็จะมีกำลังที่เข้มแข็งและจะไม่มีลัทธินอกรีตใดๆ
กล้าเข้ามาข่มเหงพวกเราเช่นนี้ได้อีก ข้าจึงขอเชื้อเชิญพวกท่านทั้งหมด ยุบสำนักของตนเสีย แล้วมารวมตัวกันก่อตั้งสำนักใหม่ขึ้น
ใช้ชื่อว่า สำนักเจ้ายุทธ โดยมีวังเบญจธาตุแห่งนี้เป็นที่ตั้งของสำนัก พวกท่านจะเห็นเป็นประการใด”

พอเว่ยฉิงคังกล่าวจบ ที่ชุมนุมแห่งนั้นก็เงียบเสียงลงปานประหนึ่งไร้สิ่งมีชีวิตอยู่ ณ ที่นั้น

เว่ยฉิงคังสอดส่ายสายตาของมันจ้องมองไปยังดวงตาทุกคู่ที่ยืนอยู่ ณ ที่นั้น ก็หามีผู้ใดกล้าต่อตากับมัน
กลับก้มหน้าลงเงียบงันไปสิ้น

เว่ยฉิงคังจึงกล่าวต่อไปว่า

“หากไม่มีความเห็นเป็นอื่น ก็หมายความว่าที่ชุมนุมแห่งนี้ยอมรับความคิดเห็นของข้า
เช่นนั้นในระหว่างนี้ข้าจะรักษาการตำแหน่งประมุขสำนักเจ้ายุทธไปก่อน รอจนกว่าการรวมสำนักทั้งหมดเสร็จสิ้น
พวกเราจึงค่อยคิดหาวิธีคัดสรรประมุขคนใหม่อีกครั้ง”

เว่ยฉิงคังสอดส่ายสายตามองไปโดยทั่ว ก็มิเห็นผู้ใดกล่าวสิ่งใดตอบมัน ก็กล่าวออกมาอีก
ด้วยน้ำเสียงที่แฝงกำลังภายในอันกล้าแข็งว่า

“ในฐานะประมุข สำนักเจ้ายุทธ เรื่องสำคัญเป็นอันดับแรกที่ต้องกระทำให้เสร็จสิ้นก็คือ
การรวบรวมทุกสำนักให้เป็นหนึ่งเดียว และกำจัดผู้ที่ต่อต้านหลักการของสำนักให้หมดสิ้นไป
เช่นนั้นข้าจึงคิดว่า สำนักยุทธใดที่ไม่ส่งกำลังมาร่วมกับพวกเราในครั้งนี้ ถือเป็นผู้ต่อต้านหลักการของสำนัก
ขอทุกท่านจงเตรียมตัวให้พร้อม วันรุ่งขึ้นพวกเราจะออกเดินไปกำจัดสำนักเหล่านั้นให้หมดสิ้นไป”

——–

ธิดาเทพ หมอวิปลาส และกิมเฮียกจื้อ เดินทางลัดเลาะไต่ลงจากเขาจนมาถึงยังพื้นดินเบื้องล่าง
มองเห็นลำธารน้ำที่ไหลต่อเนื่องมาจาก ธารอันเชี่ยวกราก ที่เฟยอี้ตกลงมาคนทั้งสามตัดสินใจ
เดินทางไปตามแนวลำธารนั้น เพราะเชื่อว่า เฟยอี้และองค์หญิงคงต้องไม่ออกนอกเส้นทาง
ที่ห่างจากแหล่งน้ำเป็นแน่

หลังจากพักแรมระหว่างเดินทาง ไม่ห่างจากธารน้ำนั้นอีกคืนหนึ่ง จนล่วงเข้าสู่เช้าวันใหม่
ทั้งหมดก็พากันออกเดินทางต่อ จากเส้นทางจากที่เคยเตียนโล่ง ก็เริ่มรกครึ้มไปด้วยพันธุ์ไม้
มากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็บรรลุเข้าไปในเขตแดนป่าอันรกครึ้ม

ธิดาเทพมองเห็น สตรีผู้หนึ่งแต่งกายคล้ายกับเป็นชาวบ้านละแวกนั้น กำลังขึ้นจากน้ำและเก็บ
สัมภาระอยู่ จึงบอกกับ หมอวิปลาสและ กิมเฮียกจื้อว่า จะเข้าไปไถ่ถามเบาะแสของเฟยอี้ดู
แล้วนางก็เดินตรงไปหาสตรีผู้นั้น สตรีผู้นั้นได้ยินเสียงฝีเท้าคนกำลังเดินเข้ามายังตนก็เงยหน้าขึ้น
สบตากับธิดาเทพ ธิดาเทพพอมองเห็นใบหน้าของนางผู้นั้นอย่างชัดเจน ก็ถึงกับร้องเรียกออกมา
ด้วยเสียงอันดัง

” องค์หญิง ! ”

องค์หญิงฯ ครั้นพอสบตากับธิดาเทพก็ร้องเรียกด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นออกมาเช่นกัน

” ธิดาเทพ ! ”

ทั้งสองนางต่างตรงเข้ากัน แล้วจับมือกันไว้ด้วยมิตรภาพอันลึกซึ้งที่เคยฝ่าความยากลำบาก
มาด้วยกันในครั้งก่อน

องค์หญิงฯ มองใบหน้าของธิดาเทพอย่างตื่นเต้น แล้วพูดขึ้นว่า
“ธิดาเทพ…ข้าไม่คาดคิดเลย ว่าจะได้พบเจ้าในที่เช่นนี้ แล้วเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”

ธิดาเทพยังไม่ตอบคำนาง แต่กลับสำรวจเรือนร่างขององค์หญิง และหันเหลียวมองไปโดยรอบ
แล้วกล่าวขึ้นว่า

“องค์หญิงฯ เหตุใดเจ้าจึงแต่งกายเช่นนี้ แล้วเจ้าทึ่มเล่าตอนนี้อยู่ใด”

ในระหว่างที่องค์หญิงฯ และ ธิดาเทพกำลังสนทนากัน หมอวิปลาส และ กิมเฮียกจื้อ ก็เดินเข้ามา
ธิดาเทพเห็นเช่นนั้น ก็เอ่ยคำแนะนำขึ้น

“นี่คือ ท่านหมอเมี่ยว อาจารย์ของเฟยอี้ และนี่คือกิมเฮียกจื้อ พวกเราพากันออกตามหา เฟยอี้
โดยติดตามร่องรอยของพวกเจ้ามา”

แล้วทั้งหมดก็ทำความรู้จักซึ่งกันและกัน จากนั้นองค์หญิงฯก็เล่าเรื่องราวของตนและเฟยอี้
ให้ทุกคนในที่นั้นได้รับฟังจนหมดสิ้น

หมอวิปลาสพอฟังความเช่นนั้น ก็พูดออกมาว่า

“ที่แท้ ตาเฒ่าบ้อเมี่ยวก็รั้งศิษย์ของข้าเอาไว้นี่เอง
แล้วมันไม่ซ้อมศิษย์ของข้าจนบอบช้ำไปแล้วหรือนี่”

องค์หญิงฯ ได้ยินเช่นนั้น ก็หันไปกล่าวกับ หมอวิปลาสว่า
“มิได้เป็นเช่นนั้น ท่านผู้เฒ่าดีกับเราทั้งสองคนยิ่งนัก ทั้งยังรับเฟยอี้ไว้เป็นศิษย์อีกด้วย
แล้วท่านหมอเมี่ยว รู้จักกับท่านผู้เฒ่ามาก่อนหรือนี่”

หมอวิปลาสได้ยินเช่นนั้น ก็หัวเราะเสียงดังออกมา แล้วพูดว่า

“ฮ่า….ฮ่า….ฮ่า….ตาเฒ่าบ้อเมี่ยวกับข้า รู้จักกันมาช้านานแล้ว ข้ากับมันปะมือกันอยู่บ่อยครั้ง
ตาเฒ่านั่นมันเป็นผู้งมงายในวิชายุทธ วันๆก็เอาแต่ชวนให้ข้าต่อยตีกับมัน ข้าจึงหนีมันออกมา”

กิมเฮียกจื้อได้ยินเช่นนั้น ก็พูดแทรกขึ้นว่า

“หาเป็นเช่นท่านไม่ ที่ทุกวันมีแต่งมงายอยู่กับอาจารย์ของข้ามิได้ขาด ”

หมอวิปลาสได้ยินเช่นนั้น ก็พูดตัดบทขึ้นทันที

“เฮ้ย..หยุดปากของเจ้าซะ….ไปเถอะองค์หญิงฯ โปรดนำทางพวกเราไปพบกับเฟยอี้เถิด”

ในขณะที่ทุกคนกำลังจะออกเดินทางไป โดยมีองค์หญิงฯ เป็นผู้นำทางก็พลันบังเกิดเสียงร้องเรียกดังขึ้น

“องค์หญิงฯ….องค์หญิงฯ..องค์หญิงฯจริงๆด้วย”

องค์หญิงฯได้ยินเสียงร้องเรียกเช่นนั้นก็หันไปมองดูทิศทางของต้นเสียง
เห็นเป็น ภูตแพรทั้งสี่กำลังวิ่งเข้ามาหาตนก็ตกตะลึงยืนนิ่ง จนภูตแพรทั้งสี่เข้ามาถึงตัว
แล้วเอ่ยคำซักถามจนเซ็งแซ่ขึ้น

“องค์หญิงฯ เป็นท่านจริงๆ ท่านปลอดภัยดีอยู่ใช่หรือไม่ พวกเราพากันออกติดตาม
คิดไปช่วยเหลือท่าน มิคาดว่าจะพบกับท่านที่นี่”

องค์หญิงฯ มีน้ำตาไหลซึมออกมาด้วยความดีใจที่เห็นภูตแพรทั้งสี่ กล่าวออกมาว่า
“แพรขาว แพรเหลือง แพรแดง แพรเขียว ข้าดีใจที่ได้เห็นพวกเจ้า”

ในขณะที่องค์หญิงฯและภูตแพรทั้งสี่ กล่าวคำทักทายพูดคุยกันอยู่นั้น คณะเดินทางของลิ่มบ้อฮวย
และศิษย์ รวมทั้ง ฮุ่ยหนิง ลี่จิน และเม่ยเม่ย ก็เดินทางเข้ามสมทบ หมอวิปลาสเห็นเป็นลิ่มบ้อฮวย
และเยี่ยกุ้ยอิงกำลังเดินมาก็ดีใจ ส่งเสียงร้องเรียกขึ้น เป็นเวลาเดียวกันกับภูตแพรแดงมองมาเห็นมันพอดี

“เจ้าเฒ่าลามก เจ้าอยู่นี่เอง วันนี้เป็นวันตายของเจ้า”

ภูตแพรอีกสามนาง หันไปเห็นเป็นหมอวิปลาสก็จำได้ ก็ปราดตรงเข้าจู่โจมใส่หมอวิปลาสพร้อมกันอย่างหักโหม
หมอวิปลาสมิทันระวังตัวทั้งมันก็มิได้จดจำว่าเคยทำสิ่งใดไว้กับสตรีทั้งสี่ เร่งรีบใช้วิชา เมฆาลอยล่อง ถีบเท้าขึ้นจากพื้น
หลบหลีกการโจมตีจากภูตทั้งสี่อยู่ไปมา

องค์หญิงเห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงห้ามปรามภูตแพรทั้งสี่ แต่ภูตแพรทั้งสี่คล้ายกับไม่ได้ยิน ต่างพยายาม
พุ่งแพรสีของตนยาวออกมาเป็นสาย สกัดหนทางหลีกหนีของหมอวิปลาสไว้ ด้วยโทสะที่พุ่งพล่าน
องค์หญิงฯพยายามห้ามปรามเช่นไรก็ไม่เป็นผล จึงออกเสียงเป็นคำสั่งอย่างเฉียบขาดขึ้นทันที

“ภูตแพรทั้งสี่ พวกเจ้าจงหยุดเดี๋ยวนี้”

สิ้นคำขององค์หญิงฯ ภูตแพรทั้งสี่ก็ชะงักเท้าหยุดการเคลื่อนไหวลงโดยพลัน หันมามององค์หญิงโดยพร้อมกัน
ครั้นเห็นองค์หญิงฯมีสีหน้าที่จริงจัง ก็ก้มหน้าลงสงบนิ่งอยู่ ณ.ที่นั้น

องค์หญิงฯ เดินเข้ามาพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า

“เหตุใดพวกเจ้าจึงจู่โจมใส่ผู้อื่นโดยไร้เหตุผลเช่นนี้”

ภูตแพรแดงได้ยินเช่นนั้นก็ตอบคำองค์หญิงฯ ออกไปทันที

“เจ้าเฒ่าลามกผู้นี้ มัน…เอ่อ…มัน….”

นางชะงักคำเอาไว้ด้วยความละอาย มิกล้ากล่าวตอบออกมาจนหมด

หมอวิปลาสลืมเลือนเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก็มีสีหน้าคล้ายกับมิเคยกระทำความผิดสิ่งใด เอ่ยขึ้นว่า

“ข้าไปทำสิ่งใดกับพวกเจ้า ใยมิเอ่ยออกมา”

ภูตแพรขาว มิสามารถทนนิ่งเฉยก็ก้าวเท้าออกมาคิดจะจู่โจมใส่มันอีกครั้ง
แต่นางก็ต้องชะงักเท้าลง เมื่อพลันคิดขึ้นได้ว่า องค์หญิงฯได้จ้องมองมาที่นางนิ่งอยู่
แล้วองค์หญิงฯ ก็เอ่ยขึ้นว่า

“จากนี้ไปข้าขอสั่งพวกเจ้าว่า อย่าได้ล่วงเกินท่านหมอเมี่ยวผู้นี้อีกเป็นอันขาด
หากมิฟังคำข้า ข้าจะลงโทษพวกเจ้าตามกฎแห่งวังหุบผาภูต”

เมื่อบรรดาภูตทั้งสี่มีท่าทีสงบเย็นลงแล้ว หมอวิปลาส ก็เข้าไปพูดคุยกับคณะเดินทางของลิ่มบ้อฮวย
และเล่าเรื่องราวของเฟยอี้ที่ทราบมาจาก ธิดาเทพและองค์หญิงฯ ให้ทุกคนได้ทราบ ครั้นพอทุกคนทราบว่า
เฟยอี้ยังมีชีวิตอยู่ คณะเดินทางของลิ่มบ้อฮวยทุกคนมีท่าทีดีใจเป็นอย่างมาก

จากนั้นต่างก็แนะนำ บุคคลในคณะเดินทางของตนให้รู้จักกัน จนพอทราบว่าในคณะเดินทางของหมอวิปลาส
มีธิดาเทพแห่งวังเบญจธาตุเดินทางร่วมมาด้วย ภูตแพรทั้งสี่ และสามพี่น้อง เหม่ยเยี่ย เหม่ยผิง และ เหม่ยลี่
ต่างก็มีท่าทีไม่พอใจ เหม่ยเยี่ยจ้องมองดูหน้าธิดาเทพอย่างไม่วางตา แล้วชี้หน้าพูดต่อธิดาเทพขึ้นว่า

“ลัทธิอันชั่วร้ายของเจ้า ทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นต่อยุทธภพไม่มีสิ้นสุด เจ้ายังกล้ามาเสนอหน้าที่นี่อีกรึ”

ธิดาเทพ ได้ยินเช่นนั้น ก็แย้มยิ้มออกมาแล้วพูดยั่วขึ้นว่า

“ข้าคิดจะไปก็ไป คิดจะมาก็มา เกี่ยวอันใดกับเจ้า”

เหม่ยเยี่ยได้ยินเช่นนั้น ก็มีดวงตาวาวโรจน์ขึ้น ก้าวออกมาพร้อมกับ เหม่ยผิงและเหม่ยลี่
คิดจะจู่โจมใส่ ธิดาเทพพร้อมกันทั้งสามคน หมอวิปลาสเห็นเช่นนั้นก็รีบสาวเท้าเข้าไปห้ามปราม
แล้วพูดขึ้นว่า

“ธิดาเทพผู้นี้ เป็นสหายของเฟยอี้ ตลอดเวลาที่เฟยอี้บุกเข้าไปในวังเบญจธาตุ ก็ได้ธิดาเทพผู้นี้
คอยช่วยเหลือมันไว้ แม้นางจะเป็นธิดาของเจ้าลัทธิแต่ก็มิได้ประสงค์ร้ายต่อพวกเราหรอก”

เหม่ยเยี่ยได้ยินเช่นนั้น ก็กล่าวออกมาว่า

“ท่านทราบได้อย่างไรว่านางไม่ประสงค์ร้าย เหตุใดนางจึงต้องยินยอมทรยศบิดาของตน
เพื่อมาช่วยเหลือเฟยอี้ด้วย”

แล้วนางก็หันไปทางธิดาเทพ กล่าวออกมาว่า
“บอกมาจุดประสงค์แท้จริงของเจ้ามา เหตุใดเจ้าจึงเดินทางมาที่นี่”

ธิดาเทพเหลือบมองดูสตรีในคณะเดินทาง ก็พอจะล่วงรู้ว่านางทั้งหลายเหล่านั้นคงมีใจต่อเฟยอี้
นางจึงคิดใช้คำพูดเพื่อเป็นการกีดกันขึ้นว่า

“ข้ากับเฟยอี้ มีสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่อกัน ข้าเดินทางมาตามหาคนรักของข้า เกี่ยวข้องอันใดกับเจ้า”

เหม่ยเยี่ยได้ยินเช่นนั้น ก็นิ่งงันมิรู้จะกล่าวคำใดออกมา และไม่แต่เพียง เหม่ยเยี่ยผู้เดียว
สตรีในคณะเดินทางทั้งหมดที่ได้ยินคำพูดของธิดาเทพ ก็พลันรู้สึกวูบไหวขึ้นจิตใจทันที

หมอวิปลาสเห็นว่า หากปล่อยให้สตรีทั้งสองโต้เถียงกันต่อไป คงต้องเกิดการต่อสู้กันเป็นแน่
มันจึงหันไปหาองค์หญิงฯ แล้วกล่าวตัดบทตัดบทขึ้นว่า

“องค์หญิงฯ ท่านช่วยนำทางพวกเราไปพบกับเฟยอี้โดยเร็วเถิด”

องค์หญิงฯ พอจะทราบจุดประสงค์ของหมอวิปลาส ก็เร่งเดินนำทางออกไปในทันที

แล้วทั้งหมดก็ออกเดินทาง ติดตามองค์หญิงฯ ไปยังบ้านของบ้อเมี่ยวเล่านั้งโดยพร้อมกัน

ในยามบ่ายของวันนั้น องค์หญิงฯได้นำทางคณะติดตามเฟยอี้มาจนถึงบ้านของบ้อเมี่ยวเล่านั้ง
นางเหลือบมองตรงออกไป เห็นบ้อเมี่ยวเล่านั้ง ยืนสนทนาอยู่กับชายแปลกหน้าสองคน บริเวณ
นอกชานบ้าน ตรงกลางของคนเหล่านั้นมีร่างของชายผู้หนึ่งนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียง
องค์หญิงจึงเร่งฝีเท้าพาคณะเดินทางเข้าไป เพื่อต้องการทราบว่าเกิดสิ่งใดขึ้น

บ้อเมี่ยวเล่านั้งครั้นรู้สึกว่ามีกลุ่มคนกำลังเดินเข้ามายังบริเวณบ้านของตน ก็เหลือบมองดู
เห็นเป็นองค์หญิงฯ นำพาคนกลุ่มใหญ่กำลังตรงเข้ามา ก็ส่งเสียงร้องทักขึ้น

“ลู่อิน เจ้ามาแล้วรึ เร่งมาที่นี่เถิด เกิดเรื่องขึ้นกับเฟยอี้แล้ว”

องค์หญิงฯ พอได้ยินเช่นนั้นก็ทิ้งข้าวของที่ถือมาลงกับพื้น แล้ววิ่งตรงไปยังจุดที่ บ้อเมี่ยวเล่านั้งยืนอยู่
บรรดาคณะติดตามเห็นเช่นนั้น ก็พากันวิ่งตามองค์หญิงฯไปในทันที

ครั้นพอถึงเตียงที่มีร่างของเฟยอี้นอนนิ่งอยู่ นางก็จ้องมองอย่างตกใจ แล้วเงยหน้าขึ้นสอบถามกับ
บ้อเมี่ยวเล่านั้งทันที

“เฟยอี้เป็นอะไรไปรึ ท่านผู้เฒ่า !”

บรรดาคณะติดตามวิ่งมาถึงก็เห็นภาพร่างของเฟยอี้นอนนิ่งอยู่บนเตียง ใบหน้าของมันแดงกล่ำดุจสีโลหิต
ก็ตกใจหันมาจ้องมองใบหน้าของบ้อเมี่ยวเล่านั้งเป็นตาเดียว รอคอยคำตอบเช่นเดียวกับองค์หญิง

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ถอนหายใจยาวออกมาทอดใหญ่ แล้วพูดขึ้นว่า

“เฟยอี้เกิดอาการหยางในร่างกำเริบ อาการของมันสาหัสนัก ข้าเองก็ได้พยายามแก้ไขให้มันทุกวิถีทางแล้ว
แต่ครั้งนี้เห็นทีว่ามัน…..”

บ้อเมี่ยวเล่านั้งหยุดพูดแต่เพียงเท่านั้น ไม่สามารถกล่าวสิ่งใดออกมาได้อีก

องค์หญิงฯ ยืนนิ่งค้างทำสิ่งใดไม่ถูก ดวงตาทั้งสองของนางปรากฏหยาดน้ำเอ่อคลอแล้วไหลรินลงมา
อาบใบหน้าไม่ขาดสาย

ธิดาเทพซึ่งยืนฟังอย่างนิ่งสงบอยู่เบื้องหลัง พอได้ยินบ้อเมี่ยวเล่านั้งพูดเช่นนั้น นางก็แหวกกลุ่มคนเข้ามา
ยังร่างของเฟยอี้ แล้วเขย่าร่างของมันอย่างรุนแรง

“เจ้าทึ่ม….เจ้าตื่นขึ้นมา ตื่นขึ้นมาคุยกับข้า ฮือ….ฮือ….ฮือ……”

ธิดาเทพร้องไห้คร่ำครวญ แล้วหยิบผ้ายาวขึ้นมาชิ้นหนึ่ง มันเป็นผ้าที่เฟยอี้เคยพันธนาการข้อมือของนางไว้กับมัน
แล้วพูดขึ้นว่า

“นี่อย่างไรเจ้าจำได้หรือไม่ ผ้าชิ้นนี้เจ้ามอบให้ข้า เจ้าบอกว่ามันเป็นผ้าที่ผูกความสัมพันธ์ของเราเอาไว้
เจ้าจดจำได้หรือไม่……. เจ้าทึ่ม…. เจ้าตื่นขึ้นมาบอกต่อข้า….ตื่นขึ้นมา….ฮือ…ฮือ….ฮือ….ฮือ…..”

พลัน องค์หญิงฯ กิมเฮียกจื้อ เหม่ยเยี่ย เหม่ยผิง เหม่ยลี่ เม่ยเม่ย ฮุ่ยหนิง ลี่จิน ภูตแพรขาว ภูตแพรเหลือง
ภูตแพรแดง และภูตแพรเขียว ก็สุดสิ้นความอดทนต่างทรุดร่างลงนั่งล้อมรอบร่างของเฟยอี้ พากันร้องคร่ำครวญ
ออกมาด้วยความเสียใจอย่างยิ่ง

ในระหว่างที่นางทั้งสิบสามคนกำลังร้องไห้เสียใจอยู่นั้น หมอวิปลาสก็เข้าไปใกล้กับบ้อเมี่ยวเล่านั้ง ถามถึงสาเหตุ
ที่เฟยอี้ต้องมีอาการเช่นนี้ บ้อเมี่ยวเล่านั้งจึงเล่าเรื่องราวของเฟยอี้ทั้งหมดให้หมอวิปลาสฟังจนหมดสิ้น
ครั้นหมอวิปลาสรับทราบเรื่องราวทั้งหมด ก็ตรงเข้าไปตรวจดูชีพจรของเฟยอี้ แล้วยืนนิ่งอย่างใช้ความคิด

ในระหว่างที่หมอวิปลาสกำลังยืนใคร่ครวญอย่างใช้ความคิดอยู่นั้น เยี่ยกุ้งอิงก็ตรงเข้ามาแล้วพูดขึ้นหมอวิปลาสว่า

“ตัวท่านเป็นหมอที่มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ ข้าเชื่อว่าท่านต้องมีหนทางรักษาศิษย์ของท่านได้ ”

หมอวิปลาสได้ยินเช่นนั้นก็ถอนใจ กล่าวออกมาด้วยความหนักใจว่า

“แต่อาการของเฟยอี้ในครั้งนี้ สาหัสยิ่งนัก ข้าเกรงว่าไม่เกินสามวันนับจากนี้ มันคงต้องถึงแก่ความตายเป็นแน่แท้”

ในระหว่างนั้น นางทั้งสิบสามคนก็พลันรู้สึกตัวว่า มิได้มีเพียงนางเท่านั้นที่กำลังร้องไห้เสียใจ แต่กลับมีถึงอีกสิบสองนาง
ที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญล้อมรอบร่างของเฟยอี้เช่นเดียวกัน พลันความรู้สึกต่างๆก็เกิดขึ้นมาในจิตใจ
ทั้งความหึงหวงตามนิสัยสตรี และเจ็บแค้นที่รู้ว่าเฟยอี้มิได้มีเพียงตน แต่แล้วความรู้สึกเหล่านั้นก็กลับลดลงไป
เมื่อเห็นร่างของเฟยอี้นอนนิ่งคล้ายดั่งตายไปแล้ว เหลือเพียงความเสียใจก่อเกิดประดังขึ้นมาอีกอย่างท่วมท้น
และยิ่งได้ยินหมอวิปลาสกล่าวออกมาว่า เฟยอี้จะถึงแก่ความตายภายในสามวัน พวกนางก็ยิ่งทวีความเสียใจมากขึ้นไปอีก

เม่ยเม่ยยืนขึ้นใบหน้าของนางชุ่มชื้นไปด้วยน้ำตา เดินเข้ามายังหมอวิปลาสแล้วกล่าวว่า

“ท่านหมอเมี่ยว หาหนทางช่วยพี่เฟยอี้ด้วยเถิด ”

หมอวิปลาสกำลังครุ่นคิดหาวิธีอยู่ แต่ก็ยังอบจนไร้หนทาง จึงกล่าวต่อนางเป็นการปลอบใจไปว่า

“ขอข้าใคร่ครวญดูก่อน ข้าเชื่อว่าต้องพบวิธีรักษามันอย่างแน่นอน”

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ส่ายหน้ายืนมองดูด้วยความเศร้าใจแล้วกล่าวขึ้นต่อหมอวิปลาสด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินเพียงสองคนว่า

“เจ้าเฒ่าลามก เจ้าจะหาพลังหยินอันยิ่งใหญ่จากที่ใดได้ ในเวลาสั้นๆเพียงเท่านี้เล่า….”

สิ้นคำของบ้อเมี่ยวเล่านั้ง หมอวิปลาสก็เบิกตาโพลงขึ้นด้วยความดีใจหันมาพูดกับบ้อเมี่ยวเล่านั้งขึ้นว่า

“ข้ารู้แล้ว……ข้ารู้วิธีรักษามันแล้ว เจ้าเฒ่าบ้อเมี่ยว ……”

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ทิกุ้ยชิ่ว และหลวงจีนหลี่เต๋อ ซึ่งยืนอยู่ใกล้กันได้ยินเช่นนั้น ก็รู้สึกตื่นเต้น
เดินเข้ามาสอบสอบถามต่อ หมอวิปลาสทันที

“เป็นวิธีใด เป็นวิธีใด เร่งแจ้งมา”

หมอวิปลาสจ้องมองไปทางพวกนางทั้งสิบสามคนที่นั่งเศร้าเสียใจล้อมรอบร่างของเฟยอี้อยู่
แล้วกล่าวว่า

“ข้าต้องทำพิธี คืนนี้ข้าต้องทำพิธี เจ้าเฒ่าบ้อเมี่ยว เจ้าพอที่จะหาสถานที่กว้างขวาง
เป็นส่วนตัว และ ห่างไกลผู้คนในอาณาบริเวณนี้ได้หรือไม่”

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ยืนคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า

“มีอยู่ที่หนึ่ง ห่างจากบ้านข้าไปสองลี้ เป็นถ้ำหินกว้างใหญ่ จุคนได้ถึง ห้าสิบคน
แล้วเจ้าบอกมาได้หรือยัง ว่าต้องทำพิธีเช่นไร แล้วเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือเฟยอี้อย่างไร”

หมอวิปลาส จูงมือบ้อเมี่ยวเล่านั้ง ทั้งยังชักชวนให้ ทิกุ้ยชิ่ว และหลวงจีนหลี่เต๋อติดตามมันไป
พร้อมกับกล่าวว่า

“มา ตามข้ามา พวกท่านต้องมาช่วยข้าก่อน แล้วข้าจะเล่าวิธีรักษาให้พวกท่านทราบ”

ดวงตะวันในยามบ่าย เริ่มเคลื่อนคล้อยเข้าใกล้ขอบฟ้า แล้วลาแสงลงเข้าสู่เวลาเย็น
สตรีทั้งสิบสามนางในตอนนี้ ยังคงนั่งล้อมรอบร่างของเฟยอี้ไว้ไม่ห่าง ใบหน้าของพวกนาง
เหลือเพียงคราบน้ำตาที่พึ่งเหือดแห้งลงไป ต่างนั่งเหม่อยลอยจ้องมองดูร่างของชายอันเป็นที่รัก
ด้วยความหวังอันเปี่ยมล้นว่ามันจะตื่นฟื้นขึ้นมา ในบางคราพวกนางต่างก็จ้องมองดูกันแล้วบังเกิด
ความรู้สึก เห็นอกเห็นใจกัน เนื่องด้วยว่ามีเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์จากสิ่งเดียวกัน

ธิดาเทพได้สติกลับคืนมาก่อนใคร นางพยายามสลัดความเศร้าโศกออกจากจิตใจ เพื่อที่คิดที่จะหาหนทาง
ช่วยให้เฟยอี้ตื่นฟื้นคืนมาให้ได้ ก็ได้ทำลายความเงียบ แล้วปลุกปลอบสตรีอีกสิบสองนางขึ้นว่า

“พวกเราทั้งสิบสามคนนี้ คงมีบุพกรรมร่วมกันมาแต่หนหลัง จึงทำให้ต้องมีบุรุษอันเป็นที่รักเป็นคนๆเดียวกัน
และในยามนี้พวกเราต่างก็เศร้าโศก เสียใจ ทั้งที่บรุษผู้นี้ยังมีลมหายใจอยู่ ข้าคิดว่าพวกเราสมควรใช้เวลาที่มีอยู่นี้
ค้นหาวิธีช่วยเหลือให้มันตื่นฟื้นคืนมา แล้วหาวิธีลงโทษมันโทษฐานที่มันเป็นคนมากรักยิ่งนัก พวกเจ้าว่าจะดีหรือไม่”

สตรีอีกสิบสองนาง ต่างจ้องมองดูหน้าธิดาเทพอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง กิมเฮียกจื้อก็เอ่ยขึ้นมาว่า

“หากมันตื่นขึ้นมา ข้าจะบิดใบหูของมันขึ้นลง ขึ้นลง หลายร้อยเที่ยวให้สมกับความมากรักของมัน”

ภูตแพรขาวได้ยินเช่นนั้นก็ลอบยิ้มขึ้น แล้วกล่าวว่า

“ข้าก็จะบิดใบหูของมันอีกข้างหนึ่งไปพร้อมกับเจ้า ให้สาสมกับที่มันมากรักเช่นกัน”

สิ้นคำของภูตแพรขาว ทุกนางในที่นั้นก็มีรอยยิ้มออกมาพร้อมกัน แล้วมองดูกันด้วยสายตาอันเป็นมิตร

ภูตแพรเหลืองแย้มยิ้ม แล้วก็พูดขึ้นมาบ้างว่า

“ส่วนข้ากับ พี่แพรแดง และน้องแพรเขียว จะกัดใบหูมัน จนกว่ามันจะร้องว่ายินยอมแล้ว ”

แล้วนางก็หันไปพูดกับเม่ยเม่ยว่า

“แล้วเจ้าเล่า เม่ยเม่ย จะทำเช่นไรกับมัน”

เม่ยเม่ย ซึ่งมีวัยเยาว์ที่สุดในที่นั้นก็พูดขึ้นว่า

“หากข้าเป็นพี่เฟยอี้ ได้ยินพวกท่านพูดเช่นนี้ ข้าคงไม่ยินยอมตื่นฟื้นมาเป็นแน่”

แล้วทุกคนก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน ความสัมพันธ์ที่ได้ร่วมอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน เริ่มก่อตัว
เปลี่ยนเป็นมิตรภาพ ทุกนางในที่นี้ บางคนที่เคยคิดเป็นศัตรูต่อกัน ก็เริ่มกลับกลายมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน
และเห็นใจซึ่งกันและกัน

ในขณะนั้นเอง หมอวิปลาสก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่ผ่องใส หยุดยืนต่อหน้าสตรีทั้งสิบสามนาง แล้วกล่าวขึ้นว่า

“ข้ามีข่าวดีมาบอกต่อพวกเจ้า ข้าค้นพบวิธีรักษาเฟยอี้ให้กลับมาเป็นปกติแล้ว”

ทั้งสิบสามนาง พอได้ยินเช่นนั้น ก็แย้มยิ้มอย่างยินดี แล้วแย่งกันส่งเสียงพูดต่อหมอวิปลาสจนฟังไม่รู้ความหมาย
หมอวิปลาสจึงยกมือขึ้นเพื่อเป็นเครื่องหมายให้พวกนางสงบลง แล้วจึงกล่าวออกมาว่า

“แต่พวกเจ้าทุกคน จะต้องเข้าพิธีแต่งงานกับเฟยอี้”

องค์หญิงฯได้ยินเช่นนั้น จึงเอ่ยปากไถ่ถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า

“การเข้าพิธีแต่งงานของพวกเรา จะสามารถช่วยเฟยอี้ได้อย่างไรรึ ท่านหมอเมี่ยว”

สตรีอีกสิบสองนาง ก็สงสัยในเรื่องนี้เช่นกัน ต่างก็นิ่งฟังหมอวิปลาสตอบคำออกมาอย่างตั้งใจ

หมอวิปลาสแย้มยิ้มแล้วกล่าวว่า

“ข้าจะทำพิธีเพื่อขอพลังต่อฟ้าและดิน เพื่อช่วยเหลือเฟยอี้ให้ฟื้นคืนมา แต่ผู้ที่ทำพิธีต้องมีความสัมพันธ์
เป็นภรรยาของมันเท่านั้น ยิ่งมีจำนวนมากก็ยิ่งได้รับพลังของฟ้าและดินมาก ดังนั้นข้าจึงขอให้พวกเจ้า
เข้าพิธีแต่งงานกับเฟยอี้พร้อมกันทั้งสิบสามคน”

ภูตแพรขาว จ้องมองหมอวิปลาสอย่างไม่เชื่อถือ กล่าวว่า

“ข้าไม่เชื่อเจ้า แต่ยินยอมที่จะทดลองดู หากว่าเฟยอี้ไม่ฟื้นคืนมา ข้าค่อยคิดบัญชีกับเจ้า”

หมอวิปลาสหลบตาหันไปยังสตรีคนอื่นๆ แล้วถามขึ้นอีกครั้งว่า

“มีผู้ใดไม่ยินยอมหรือไม่”

ลิ่มบ้อฮวย ซึ่งนิ่งฟังอยู่ คิดสงสัยจึงถามขึ้นว่า

“ท่านหมอเมี่ยว ท่านจะทำพิธีแต่งงานได้อย่างไร ในเมื่อเฟยอี้ยังหลับใหลอยู่เช่นนั้น”

หมอวิปลาสจึงตอบคำออกไปว่า

“ข้าได้เตรียมการณ์ไว้ทั้งหมดแล้ว หากพวกเจ้าทั้งหมดยินยอมกระทำก็จงเร่งติดตามข้ามาเถิด”

สิ้นคำหมอวิปลาสก็แบกร่างของเฟยอี้ แล้วเดินนำสตรีทั้งหมดในที่นั้นให้ติดตามมันไป
ครั้นหมอวิปลาสหันมองกลับมาเห็น ลิ่มบ้อฮวย และ เยี่ยกุ้ยอิงติดตามมาด้วย ก็เอ่ยห้ามขึ้นทันที

“บ้อฮวย กุ้ยอิง พวกเจ้าทั้งสองไม่เกี่ยวข้องกับพิธีนี้ จงรออยู่ที่บ้านจนกว่าพิธีจะเสร็จสิ้น”

ลิ่มบ้อฮวย และ เยี่ยกุ้งอิง ถูกห้ามปรามไว้เช่นนั้น แม้คิดสงสัย แต่ก็ปฏิบัติตามแต่โดยดี
มิได้ติดตามมันต่อไปอีก

หมอวิปลาสแบกร่างของเฟยอี้ นำพาสตรีทั้งสิบสามนางเดินทางไป ท่ามกลางบรรยากาศในยามเย็นอันเริ่มปกคลุม
ไปด้วยเมฆฝน กระแสลมแรงที่พัดผ่านคล้ายกับเป็นสัญญาณว่าจะมีฝนตกลงมาในอีกไม่ช้า หมอวิปลาสเร่งรีบนำพา
ทั้งสิบสามนาง เดินทางมาจนถึงหน้าถ้ำอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งมันและ บ้อเมี่ยวเล่านั้ง พร้อมกับ ทิกุ้ยชิ่ว และ หลวงจีนหลี่เต๋อ
ช่วยกันจัดเตรียมสถานที่นี้ไว้เมื่อก่อนหน้านี้

เมื่อคนทั้งหมดเดินเข้าไปภายใน ก็พบว่า ภายในถ้ำมีคบเพลิงติดอยู่ตามผนังถ้ำทั้งสองด้าน จนสว่างไสวมองเห็นสภาพ
ทางเดินได้อย่างกระจ่างชัด ครั้นล่วงเข้าสู่ส่วนที่ลึกเข้าไปก็พบว่า สภาพภายเป็นพื้นที่โล่งกว้าง พื้นถ้ำถูกปัดกวาด
อย่างสะอาดเรียบร้อย บริเวณเบื้องลึกติดกับผนังถ้ำด้านหนึ่ง มีแท่นบูชาที่ถูกจุดธูปเทียนรอเอาไว้

หมอวิปลาสตรงไปยังพื้นที่โล่ง หน้าแท่นบูชาแห่งนั้นแล้ววางร่างของเฟยอี้ลงบนกองฟางซึ่งถูกนำมาปูไว้อย่างมากมาย
พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า

“มา…พวกเจ้าจงมายืนอยู่พร้อมกันหน้าแท่นบูชาแห่งนี้ ข้าจะเริ่มพิธีแต่งงานให้กับพวกเจ้าและขอพลัง
อำนาจของฟ้าและดิน มาสู่ร่างของเฟยอี้ในคราวเดียวกันเลย”

สตรีทั้งสิบสามนาง เดินมายังแท่นบูชา ล้อมรอบร่างของเฟยอี้ไว้ แล้วหยุดนิ่งรอฟังคำของหมอวิปลาสต่อไป

หมอวิปลาสเห็นว่าสตรีทั้งสิบสามนางพร้อมแล้ว มันก็กล่าวขึ้นว่า

“พวกเจ้าจงคารวะต่อฟ้าและดิน แล้วกล่าวคำสาบานตามคำของข้า”

เมื่อทั้งสิบสามนางกระทำคารวะต่อฟ้าดินแล้ว หมอวิปลาสก็กล่าวนำขึ้นว่า

“พวกข้าทั้งสิบสามคน ขอให้ฟ้าและดินจงรับรู้และเป็นพยานว่า พวกข้ายินยอมเป็น ภรรยา ของบุรุษผู้มีนามว่า เจ้าเฟยอี้
ซึ่งนอนทอดร่างอยู่ ณ ที่นี้ พวกข้าทั้งสิบสามคนจะสมัครสมาน รักใคร่กลมเกลียวกัน ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน
และ นับถือ เจ้าเฟยอี้ผู้นี้ เป็นสามีของพวกข้าไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ขอฟ้าและดินจงรับรู้และเป็นพยาน
ในความสัมพันธ์ของพวกข้าด้วย”

สิ้นคำสาบาน บรรยากาศภายนอกถ้ำก็บังเกิดฝนตกลงมาอย่างหนัก ประกอบไปด้วยกระแสลมที่พัดพาอย่างรุนแรง
เล็ดลอดเข้ามาภายในถ้ำจนเปลวเทียนที่หน้าแท่นบูชาพริ้วไหว

หมอวิปลาสหยิบจอกสุราออกมาแจกจ่ายให้กับนางทั้งสิบสามคน แล้ววางลงข้างร่างของเฟยอี้จอกหนึ่ง
จากนั้นรินสุรามงคลแจกจ่ายให้กับทุกคน พร้อมกับกล่าวว่า

“พวกเจ้าจงดื่มสุรามงคลนี้ แล้วกล่าวขอพลังอำนาจจากฟ้าและดินตามคำของข้า”

แล้วทั้งสิบสามนางก็ยกจอกสุราขึ้นดื่มพร้อมกัน ในระหว่างนั้น หมอวิปลาสก็นำจอกสุรามงคลป้อนให้กับเฟยอี้
จนหมดเช่นเดียวกัน แล้วลุกขึ้นกล่าวคำขอพลังอำนาจของฟ้าและดิน นำขึ้นว่า

“พวกข้าทั้งสิบสามคน เป็นภรรยาของบุรุษผู้นอนทอดร่างอยู่ ณ เบื้องหน้านี้ ด้วยความรักที่พวกข้ามีต่อมัน
อย่างสัตย์จริง พวกข้ายินยอมใช้เรือนร่างของพวกข้านี้ แปรเปลี่ยนเป็นพลังหยินอันยิ่งใหญ่”

กล่าวมาถึงคำนี้ สตรีทั้งสิบสามนางกลับอ้ำอึ้งไม่ยอมกล่าวคำตามออกมา จนหมอวิปลาสต้องกล่าวนำ
ซ้ำอีกครั้ง

“พวกข้ายินยอมใช้เรือนร่างของพวกข้านี้ แปรเปลี่ยนเป็นพลังหยินอันยิ่งใหญ่ ส่งมอบให้กับร่างของสามีข้า
ขอฟ้าและดินจงประทานพรให้พวกข้ากระทำสำเร็จ ดังปรารถนาด้วยเถิด”

พลันที่เบื้องนอกก็ปรากฎเป็นเสียงฟ้าร้องคำรามท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ดังอย่างกึกก้องขึ้น
คล้ายดัง ฟ้าจะรับรู้และประทานพรให้ตามคำขอของพวกนาง

เสร็จสิ้นพิธีหมอวิปลาสแย้มยิ้มออกมา แล้วพูดว่า

“เสร็จพิธีแล้ว ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าอยู่ด้วยกันกับเฟยอี้ คล้ายกับเป็นคืนส่งตัวเจ้าสาว เอาล่ะข้าไปละนะ”

สิ้นคำหมอวิปลาสก็ก้าวเท้าจะเดินออกไป แต่ภูตแพรขาวได้เข้ามาขวางทางเอาไว้ แล้วถามขึ้นว่า

“ไหนเจ้าบอกว่า ทำพิธีแล้วจะช่วยให้เฟยอี้ฟื้นคืนมา เจ้ามิเห็นรึว่ามันยังนอนนิ่งอยู่ณ ที่นั้น นี่เจ้าคิดจะหลอกลวง
พวกเราแล้วจะเดินออกไปง่ายๆอย่างนั้นรึ”

หมอวิปลาสมองไปที่ร่างของเฟยอี้ แล้วส่งเสียงหัวเราะออกมา

“ฮ่า…ฮ่า…ฮ่า…ฮ่า……..ข้านี่แก่แล้วจริงๆ กลับหลงลืมเรื่องสำคัญไปได้”

แล้วมันก็เดินตรงเข้าไปยังร่างของเฟยอี้ นั่งลงแล้วชูสองนิ้วของมันจี้ไปที่ร่างของเฟยอี้อย่างรวดเร็วสองสามครั้ง
พลันร่างของเฟยอี้ก็สะอึกขึ้น จุดที่บ้อเมี่ยวเล่านั้งจี้สกัดไว้ให้มันหลับไหลก็คลายตัวลงทันที เฟยอี้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับ
ความทุกข์ทรมานจากความร้อนรุ่มของพิษหยางในร่างของมันอีกครั้ง มันส่งเสียงร่ำร้องครวญคราง พร้อมกับดิ้นทุรนทุราย
อยู่ไปมาบนพื้นถ้ำนั้น

เหม่ยเยี่ยซึ่งยืนอยู่ใกล้มันที่สุดเห็นเช่นนั้น ก็ปราดเข้าไปประคองร่างของมันไว้ในอ้อมแขน พร้อมกับ
ร่ำร้องออกมาอย่างตกใจ

“เฟยอี้ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เฟยอี้…เฟยอี้….ท่านหมอใยจึงยืนนิ่งอยู่ ไม่เร่งมาแก้ไขอาการของเฟยอี้เล่า”

แล้วสตรีอีกสิบสองนางต่างก็พากันเข้ามารุมล้อมตรวจอาการของเฟยอี้โดยหมดสิ้น ต่างส่งเสียงร้องเรียกชื่อ
ของเฟยอี้อย่างเซ็งแซ่

หมอวิปลาสยืนมองนิ่ง แล้วกวาดสายตาไปยังสตรีทั้งสิบสามนางพร้อมกับพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า

“มันจะพ้นจากความตายหรือไม่อยู่ที่พวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าทั้งสิบสามคนหากคิดจะได้อยู่ครองรักกันกับมัน
ก็จงลืม ขนบธรรมเนียม และความละอายให้หมดสิ้น ข้าขอให้พวกเจ้าจงเข้าห้องหอร่วมกันอย่างมีความสุข
ในคืนนี้ ”

สิ้นคำมันก็ทะยานร่างออกไปที่หน้าถ้ำอย่างรวดเร็ว พร้อมกับผลักก้อนหินใหญ่ปิดปากถ้ำเอาไว้ ก่อนที่จะ
เดินหายเข้าไปในความมืด

เหม่ยเยี่ย เปลี่ยนสายตาจากหมอวิปลาสกลับมามองดูเฟยอี้อีกครั้งก็พบว่า มันกลับมีท่าทีผ่อนคลายลง
ไม่ร่ำร้องด้วยความทุกข์ทรมานอย่างเมื่อครู่ องค์หญิงฯซึ่งเฝ้าดูอาการของเฟยอี้มาโดยตลอด เห็นเช่นนั้น
ก็จดจำเหตุการณ์ของนางกับมันในครั้งก่อนได้ กล่าวออกมาว่า

“ใช่แล้ว…..เมื่อคราวมันอยู่ในถ้ำใต้ปล่องเขากับข้า มันก็เคยมีอาการเช่นนี้ เหม่ยเยี่ยเจ้าต้องโอบกอดมัน
ให้พลังหยินในร่างของเจ้าถ่ายเทสู่ร่างของมัน อาการของมันจะดีขึ้น แล้วก็เอ่อ……..”

องค์หญิงฯลืมตัวพูดออกไป แล้วก็ชะงักคำไว้ด้วยความละอาย เหม่ยเยี่ยเพียงได้ยินว่าต้องโอบกอดร่างของมัน
ให้แนบแน่น นางก็เร่งโอบเอาใบหน้าของมันแนบไว้กับทรวงอกของนางในทันที

เฟยอี้ครั้นได้ใกล้ชิดกับเรือนร่างของเหม่ยเยี่ย พลังหยินจากกายของนางก็แพร่ผ่านเข้าสู่ร่างของมัน
จนมันเริ่มผ่อนคลายความร้อนในร่างลง แล้วลืมตาขึ้นด้วยอาการโหยหา มันต้องการพลังหยินมาบรรเทา
อาการของมันมากขึ้นไปอีก เฟยอี้ดอมดมกลิ่นกายอันหอมกรุ่นของเหม่ยเยี่ย แล้วซุกไซ้ใบหน้าลงบนทรวงอก
ของนางในทันที

เหม่ยเยี่ยรู้สึกตกใจจนทำสิ่งใดไม่ถูก นางคิดจะผลักไสใบหน้ามันให้พ้นจากทรวงอกของนาง แต่พลันกลับมี
ความรู้สึกหนึ่งพลุ่งพล่านขึ้นในร่าง นางบังเกิดความรู้สึกเร่าร้อนและวูบไหวในอารมณ์ มันคือความกำหนัด
ที่ถูกกระตุ้นให้ลุกโชนขึ้นอันเกิดจากสุรามงคลจอกนั้น 

เรื่องเสียว อ่านเรื่องเสียว เล่าเรื่องเสียว ประสบการณ์เสียว เรื่องเล่าเสียว เล่าเสียว อ่านเสียว เรื่องเสียวแม่ลูก doujin sak รวมเรื่องเสียว

 ที่แท้หมอวิปลาสได้วางแผนให้เฟยอี้ ได้รับพลังหยินจากเรือนร่างของสตรีทั้งสิบสามนาง จึงลอบปรุงยา
เหมยฟ้ารัญจวนผสมลงในสุรามงคล รินแจกจ่ายให้กับทั้งสิบสามนางพร้อมกันกับเฟยอี้ ด้วยมันเกรงว่า
พวกนางทั้งสิบสามคนจะไม่ยินยอมเสพสมกับเฟยอี้โดยพร้อมกันนั่นเอง

ไม่เพียงแต่เหม่ยเยี่ยเท่านั้น สตรีอีกสิบสองนางต่างก็เริ่มรับรู้ถึงความผิดปกติที่กำลังบังเกิดขึ้นกับตน
พวกนางจ้องมองไปยังเฟยอี้ที่กำลังแบะคอเสื้อของเหม่ยเยี่ยออก จนเผยให้เห็นปทุมถันขาวผุดผ่องอย่างเต็มตา
แล้วมันก็ซุกใบหน้าลงดูดกินยอดถันงามของเหม่ยเยี่ยอย่างหื่นกระหาย พวกนางเห็นเช่นนั้นก็พลันรู้สึก
วาบหวาม ก่อเกิดความพลุ่งพล่านในอารมณ์ขึ้น จนในที่สุดฤทธิ์ยาเหมยฟ้ารัญจวนก็แสดงอานุภาพของมัน
ออกมาอย่างเต็มที่จนสตรีทั้งสิบสองนางถึงกับทรงกายไว้ไม่อยู่ เรือนร่างของพวกนางอ่อนระทวย
จนต้องนอนราบลงไปกับพื้นพลางส่ายเรือนร่างไปมาอย่างวาบหวิวในอารมณ์

เฟยอี้ใช้มือหนึ่งฟอนเฟ้นถันงามของเหม่ยเยี่ย อีกมือหนึ่งล้วงลึกลงไปบดคลึงเนินสวาทของนางอยู่ไปมา
แล้วกดปลายนิ้วของมันให้จมลึกลงไปในร่องสวาทของนาง พลันก็พบกับความฉ่ำเยิ้มที่ปรากฎรออยู่แล้ว
เหม่ยเยี่ยแอ่นร่างตอบรับปลายนิ้วของมัน ที่กำลังหยอกล้อกับติ่งสวาทพร้อมกับหลับตาลง แล้วเผยอริมฝีปาก
ครางออกออกมาด้วยความซ่านเสียว

“ซี๊ดดดด……อ้าาาาา…………………….ซี๊ดดดดดดดด……………..”

ในขณะที่เฟยอี้กำลังซุกไซ้ใบหน้าของมันไปตามเรือนร่างของเหม่ยเยี่ยอยู่นั้น ก็ปรากฎสตรีสองนางเคลื่อนกาย
ขยับเข้าไปหาเฟยอี้ ทั้งสองนางใช้มือลูบไล้เรือนร่างของเฟยอี้อยู่ไปมา ก่อนที่จะช่วยกันปลดเปลื้องเสื้อผ้าของมันออก
ทีละชิ้นจนเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่า นางทั้งสองนั่นคือ เหม่ยลี่ และเหม่ยผิง

เฟยอี้ถูกจู่โจมเข้าเช่นนั้นก็เปลี่ยนเป้าหมายตรงเข้าหาเหม่ยลี่แทน มันปลดเปลื้องเสื้อเหม่ยลี่ออกจนเผยให้เห็นปทุมถัน
ชูยอดสีชมพูของสตรีวัยแรกรุ่นอย่างชัดเจน แล้วตรงเข้าใช้ปากของมันดูดกินยอดถันสีชมพูพร้อมกับใช้มือคลึงเค้น
อย่างรุนแรง จนเหม่ยลี่ถึงกับสะดุ้งร่างส่งเสียงครางดังออกมา

“โอ๊ะ………..ซี๊ดดดดดดดดดด………………….”

ดวงตาของเฟยอี้เป็นสีแดงกล่ำ อันบังเกิดจากทั้งพิษของหยางกำเริบ และฤทธิ์ยาเหมยฟ้ารัญจวน มันทั้งก่อเกิดความกำหนัด
และต้องการคลายความรุ่มร้อนในร่างของมัน ยิ่งมันได้เชยชมเรือนร่างอิสตรีมันก็ยิ่งได้รับการผ่อนคลายทั้งความกำหนัด
และความรุ่มร้อนในร่างลง มันจึงยิ่งโหยหามากขึ้น อาการของมันจึงเปรียบประดุจบรุษผู้บ้าคลั่งราคะอย่างรุนแรง

มันซุกไซ้ใบหน้าของมันไล่ลงมายังหน้าท้องขาวนวลเนียนของเหม่ยลี่ แล้วไล่ลึกลงไปจนถึงขอบกางเกงของนาง
เหม่ยลี่บังเกิดความซ่านเสียวจนถึงกับ ต้องใช้มือยึดศรีษะของมันไว้แล้วร้องครางออกมาดังขึ้นอีก

“อูยยยยยยยยยยยย……………..ซี๊ดดดดดดดดดด……..”

เฟยอี้ยันกายขึ้น ใช้สองมือของมันรูดกางเกงของเหม่ยลี่จนหลุดพ้นออกไปจากร่างของนาง เผยให้เห็น
เนินสวาทอันกว้างขวาง กลีบเนื้อขาวผ่องนูนเปล่งเบียดชิดกัน มีไหมสีดำบางๆเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ
ตามเนินเนื้อขาวผ่องนั้น เฟยอี้จ้องมองดูแล้วใช้มือของมันลูบไล้ไปที่เนินสวาทอยู่ไปมา ก่อนที่จับ
ขาทั้งสองของนางแยกออกจากกัน แล้วก้มลงดูดกินอย่างหื่นกระหาย เหม่ยลี่ผวาเฮือกจนสุดตัว
แล้วปล่อยเสียงร่ำร้องออกมา นางบังเกิดความเสียวสยิวอย่างที่สุด ยิ่งเมื่อลิ้นของมันล้วงลึกลงไปในช่อง
สวาทของนาง ความเสียวสยิวก็ยิ่งก่อตัวมากขึ้นจนนางมิอาจระงับอารมณ์กระสันต์เอาไว้ได้ เหม่ยลี่
ร้องครวญครางพร้อมกับยกสะโพกขึ้นจากพื้น พร้อมกับส่ายไปมาเพื่อระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านนั้น

“โอ้วววว……….อูยยยยยย….ซี๊ดดดดดด……..ซี๊ดดดดดด……….ซี๊ดดดดดดด………”

ในขณะที่เฟยอี้กำลังเชยชมเรือนร่างของเหม่ยลี่อยู่นั้น เหม่ยผิง ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งก็เกิดความรุ่มร้อนด้วยราคะไม่แพ้กัน
นางเปลื้องเสื้อผ้าตนเองจนเหลือแต่ร่างเปลือยเปล่า แล้วตรงเข้าคลอเคลียกับเรือนร่างของเฟยอี้อยู่เบื้องหลังมิได้ห่าง
อีกทั้งเหม่ยเยี่ย ซึ่งถูกเฟยอี้ก่อกวนจนคั่งค้าง ก็ลุกขึ้นมาเคล้าเคลียกับเรือร่างของเฟยอี้อยู่เช่นเดียวกัน

ทั้งสองนางต่างพากันดึงร่างของเฟยอี้ให้ผละออกจากร่างของเหม่ยลี่ จนมันนอนล้มหงายลง แล้วเหม่ยผิงก็ตรงเข้าจู่โจม
ใส่มันอย่างรวดเร็ว นางใช้มือของนางกำแก่นกายอันแข็งเกร็งของมันไว้แล้วรูดขึ้นลงอยู่ไปมา ก่อนที่จะก้มลงส่งมัน
เข้าไปไว้ในปากของนางแล้วดูดกินอย่างรุนแรง ส่วนเหม่ยเยี่ยก็ตรงเข้าจู่โจมใส่ท่อนบนของเฟยอี้ นางใช้ลิ้นโลมเลีย
ลงบนทรวงอกของเฟยอี้ สลับกับดูดกินปลายยอดบนทรวงอกอยู่ไปมา

เฟยอี้ถูกทั้งสองนางจู่โจมโดยพร้อมกันถึงสองจุดเช่นนั้น มันถึงถึงกับต้องปิดตา แล้วส่งเสียงครางออกมาอย่างสุดเสียว

“โอ้วววววว………..ซี๊ดดดดดดดด……..อ้าาาาาาา…….ซี๊ดดดดดด…..อ้าาาา……..”

แต่ในที่สุดมันก็ไม่สามารถส่งเสียงครางออกมาได้อีก เมื่อเหม่ยลี่ที่นอนคั่งค้างอยู่ ลุกขึ้นมาแล้วทรุดร่างคร่อมลงบนใบหน้ามัน
จนเฟยอี้มองเห็นกลีบสวาทที่เบ่งบานออกมาอย่างชัดเจน นางต้องการให้เฟยอี้สานต่อสิ่งที่คั่งค้างให้จบสิ้นไป

เฟยอี้เห็นเช่นนั้นก็ไม่รอช้า มันผงกศรีษะขึ้นแล้วระรัวลิ้นใส่เนินสวาทของนางในทันที จนเหม่ยลี่แหงนหน้าเผยอริมฝีปาก
ครางออกมาอย่างเคลิบเคลิ้ม

ซี๊ดดดดด…..อ้าาาาาา………………ซี๊ดดดดดดดดดดดดดด ………อ้าาาาาา

Share the Post:

Related Posts

แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู

เรื่องเสียว แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู เอิร์นนะคร้า เป็นสาวมหาลัยในเชียงใหม่นี้เองค่า เอิร์นเป็นสาวมหาลัยปีสองแล้วค่ะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องผู้ชายเลย ยุคนี้แล้วเนอะ ไม่ใช่แค่ผู้ชายนะคะที่ล่าแต้ม เอิร์นเองก็กินมาเยอะเหมือนกันค่ะ สูงยาว ลำอวบ ใหญ่ยาว กินมาหมดแล้วค่า ชีวิตครั้งนึงเนอะ เรื่องพวกนี้ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ต้องมีบ้างอยู่แล้วใช่ไหมค่ะ และแน่นอนว่าเอิร์นเลยกินแต่วัยเดียวกัน รู้ตัวอีกทีได้แอบกินรุ่นใหญ่พี่แท็กซี่ซะอย่างนั้นเลยค่ะ ที่สำคัญไม่เคยเจอมังกรที่ใหญ่ยักษ์ขนาดนี้มาก่อน มาเริ่มเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ ด้วยความที่อยู่เชียงใหม่ที่เที่ยวเยอะ

Read More

จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว

เรื่องเสียว จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว “ตั้งกล้องเรียบร้อยแล้ว มึงพร้อมยังจะได้กดเริ่ม” วันนี้เรามีถ่ายคลิปวิดีโอทำอาหารที่คอนโดของพวกเราสองคนที่เป็นเพื่อนกัน เรามองเม็กที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมสองเม็ดจนเห็นแผงอกที่เป็นมัดกล้าม กางเกงขาขั้นสั้นสบาย ๆ แต่พอมาอยู่บนร่างกายของเม็กแล้วมันดูดีไม่น้อยเลย ถึงแม้เราทั้งสองจะเป็นเพื่อนกัน แต่พอมาเจอมันในลุคนี้ก็ทำให้เราใจสั่นไม่น้อย “มึงกูสวยยัง” “สวยแล้ว” พอได้รับคำตอบที่สร้างความมั่นใจให้กับตัวเองแล้ว เราก็พยักหน้าให้มันเริ่มกดบันทึกภาพวิดีโอทันที การถ่ายทำดำเนินไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นตอนการชิมอาหาร “อะ

Read More