ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 27 วิกฤติชีวิตของเฟยอี้

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 27 วิกฤติชีวิตของเฟยอี้

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 27 วิกฤติชีวิตของเฟยอี้
โดย zeech

ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา บ้อเมี่ยวเล่านั้งก็รับเฟยอี้ไว้เป็นศิษย์ แล้วฝึกสอนฝ่ามือสุญญตาพันกร
ให้กับเฟยอี้ตามที่มันตั้งใจไว้ ด้วยลมปราณฟ้าดิน-หยินหยางที่อยู่ในร่างของเฟยอี้ มีความแข็งแกร่ง
และอ่อนหยุ่นซึ่งสอดคล้องกับกระบวนท่าในคัมภีร์ สุญญตาพันกร ทำให้เฟยอี้มีความรุดหน้าในการฝึกฝน
ได้อย่างรวดเร็ว และยิ่งนานวันที่มันได้รับโสมหิมะพันปีเข้าไปในร่าง ก็ไม่ปรากฎอาการผิดปกติใดๆ
อีก จนมันสามารถโคจรลมปราณขณะฝึกเพลงยุทธได้อย่างคล่องตัว

ส่วนองค์หญิงฯ ตั้งแต่นางได้เข้ามาอยู่ที่บ้านของบ้อเมี่ยวเล่านั้ง นางก็ทำหน้าที่หลายๆอย่างที่นางมิเคยกระทำ
มาก่อนเลย ทั้งดูแลความสะอาดเรียบร้อยภายในบ้าน ทำอาหาร และตระเตรียมโสมหิมะพันปีให้กับเฟยอี้
ทำให้นางมี

ภาระวุ่นวายอยู่ทุกวันมิได้ขาด แต่นางก็มีความสุขและเพลิดเพลินกับชีวิตความเป็นอยู่
ในรูปแบบที่นางไม่เคยกระทำ จนลืมเลือนวันคืนที่ล่วงผ่าน ลืมแม้กระทั่งว่านางได้จากวังหุบผาภูตมานานแล้ว

วันหนึ่ง บ้อเมี่ยวเล่านั้ง เห็นนางกำลังวุ่นวายกับการจัดเตรียมอาหารเย็นอยู่ ก็พูดกับนางขึ้นว่า

“ลู่อิน เจ้าพักอาศัยอยู่กับข้ามันก็เป็นเวลานานแล้วนะ บ้านของข้าไม่มีความสุขสบาย
ดังเช่นวังหุบผาภูตอันเป็นบ้านของเจ้า เจ้าคงคิดถึงบ้านของเจ้ามากเลยซินะ”

องค์หญิงได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งอึ้ง หวนคิดถึงวังหุบผาภูต และ บิดาของตน
พลันใบหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นซึมเศร้าลง แล้วพูดขึ้นว่า

“ท่านผู้เฒ่า อันที่จริงข้ากลับมีความสุขและเพลิดเพลินในการพักอาศัยอยู่กับท่านมาก
ข้าสามารถทำอาหารเป็น อีกทั้งยังรู้จักการดูแลบ้านเรือน อันเป็นสิ่งที่สตรีทั่วไปควรกระทำ
แต่ข้าก็มิอาจปฏิเสธได้ว่า ข้าคิดถึงบิดาของข้า คิดถึงบ้านของข้า”

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ยิ้มอย่างมีเมตตา แล้วกล่าวว่า

“ตอนนี้โสมหิมะพันปีที่ข้าเก็บรักษาไว้ก็หมดลงแล้ว เฟยอี้ก็มีอาการดีขึ้นจนดูคล้ายกับว่า
จะกลับมาเป็นปกติ ข้าคิดว่าภายในสองวันนี้ ทั้งเจ้าและเฟยอี้ก็สมควรที่จะเดินทางกลับไปยัง
วังหุบผาภูตได้แล้ว”

องค์หญิงฯได้ยินเช่นนั้น ก็มีท่าทีตื่นเต้น แย้มยิ้มอย่างยินดี กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรน ว่า

“จริงรึ ท่านผู้เฒ่า อีกสองวันข้าและเฟยอี้จะได้กลับบ้านแล้ว เช่นนั้นข้าจะไปบอกข่าวดีนี้ต่อเฟยอี้”

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง รีบโบกมือห้ามองค์หญิงฯไว้

“ช้าก่อน…..ลู่อิน เจ้าอย่าพึ่งเร่งรีบ รอให้ข้าทดสอบความพร้อมของเฟยอี้ก่อน ว่ามันจะไม่เกิด
อาการหยางกำเริบขึ้นมาอีก หลังจากกินอาหารเย็นแล้ว ข้าจะทดสอบความพร้อมของมันดู”

เย็นวันนั้น เมื่อทั้งสามกินอาหารเย็นร่วมกันจนอิ่มหนำ เฟยอี้สังเกตเห็นใบหน้าขององค์หญิง
ฉายแววแย้มยิ้มอย่างมีความสุข ผิดแผกไปจากทุกวัน จึงถามขึ้นว่า

“องค์หญิงฯ เหตุใดวันนี้ท่านจึงดูยิ้มแย้มคล้ายดังพบสิ่งที่ถูกใจ ท่านบอกต่อข้าได้หรือไม่
ว่าท่านยินดีด้วยเรื่องอันใด”

องค์หญิงสบตามันด้วยประกายตาที่เจิดจ้า เต็มไปด้วยความสุข

“เฟยอี้…เราจะได้กลับวังหุบผาภูตแล้ว ท่านผู้เฒ่า บอกต่อข้าว่า อาการของเจ้าเป็นปกติแล้ว”

เฟยอี้มีท่าทีตื่นเต้นดีใจ หันไปไถ่ถาม ต่อบ้อเมี่ยวเล่านั้งทันที

“จริงรึ อาจารย์ ที่องค์หญิงพูดว่าอาการของข้าเป็นปกติ สามารถกลับไปยังวังหุบผาภูตได้แล้ว”

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ใช้มือลูบเคราสีเงินอยู่ไปมา แล้วพูดว่า

“จริงหรือไม่ คงต้องทดสอบเจ้าดูก่อน เฟยอี้ เจ้าจงร่ายรำฝ่ามือสุญญตาพันกร พร้อมกับ โคจรลมปราณ
ฟ้าดิน-หยินหยาง ให้ข้าชมดู หากว่าเจ้าสามารถกระทำได้จนครบทุกกระบวนท่า โดยไม่เกิดอาการ
ธาตุไฟเผาผลาญจากพลังหยางกำเริบขึ้นอีก ก็นับว่าเจ้ากลับมาเป็นปกติแล้ว ”

เฟยอี้สบตากับบ้อเมี่ยวเล่านั้ง และ องค์หญิงฯ ด้วยสายตาที่มุ่งมั่น
แล้วเดินออกไปยังลานกว้างหน้าบ้าน ยืนนิ่งสงบพร้อมกับหลับตาลง

แต่ภายใต้อาการสงบนิ่งที่เบื้องนอกนั้น ภายในร่างของมันกลับบังเกิดขุมพลังลมปราณ
พวยพุ่งขึ้น จนก่อเกิดเป็นวงล้อแห่งปราณหยินหยาง แผ่ซ่านไปตามส่วนต่างๆในร่างของมัน

เฟยอี้ลืมตาขึ้น แล้วเริ่มร่ายรำกระบวนท่าใน คัมภีร์สุญญตาพันกรทันที

ฝ่ามือสุญญตาพันกรถูกหล่อหลอมจาก ฝ่ามือสุญญตาอันเกรี้ยวกราด ดุดัน และเปี่ยมล้นไปด้วยพลังปราณ
อันกล้าแข็ง ผสานเข้ากับ ท่วงท่าของยูไลพันกร อันพิสดารล้ำลึก วรยุทธ์ทั้งสองถูกผนึกเข้าเป็นวรยุทธ์
เดียวกัน ต่างช่วยอุดช่องโหว่และจุดอ่อนของกันและกัน จนกลายเป็นวรยุทธ์ที่ทุกท่วงท่าเต็มไปพลังทำลายล้าง
อันกล้าแข็ง แต่แฝงไปด้วยความล้ำลึกพิสดาร ยิ่งเฟยอี้นำเอาปราณฟ้าดิน-หยินหยางในร่างร่ายรำออกไป
พลังหยางก็ถูกนำไปใช้เกื้อหนุนในกระบวนท่าของฝ่ามือสุญญตา ครั้นพลิกผันมาใช้กระบวนท่าของยูไลพันกร
พลังหยินในร่างของเฟยอี้ก็โคจรเสริมส่ง จนทุกกระบวนท่าที่มันร่ายรำล้วนเปล่งอานุภาพแห่งเพลงยุทธ
ออกมาอย่างสูงสุด

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ยืนจ้องมองดูกระบวนท่าที่เฟยอี้ร่ายรำ จนนิ่งค้างตกอยู่ในภวังค์ สายตาของมันติดตามไป
ทุกท่วงท่าของเฟยอี้ ครั้นเฟยอี้ร่ายรำมาจนถึงกระบวนท่าสุดท้าย พลันฝ่ามือทั้งสองของเฟยอี้ก็แปรเปลี่ยน
คล้ายกลับมีมืออยู่มากมายถึงสิบยี่สิบฝ่ามือ วาดออกไปมาจนพร่างพรายตา แล้วฟาดซัดพลังปราณอันรุนแรงออกไป
ยังเบื้องหน้าของมันอันเป็นดงไม้ทึบ

บังเกิดกลุ่มก้อนพลังปราณอันรุนแรง ราวสิบสายพุ่งออกจากฝ่ามือของเฟยอี้แล้วตรงเข้าทำลายล้าง
ดงไม้ทึบที่อยู่ ณ เบื้องหน้าของมันจนพังราบไปในพริบตา

“บึ้มมมม…..บึ้มมมม…..บึ้มมมม…..บึ้มมมม…..บึ้มมมม…..บึ้มมมม…..บึ้มมมม……”

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ยืนชมดูอ้าปากค้างนิ่งอย่างตกตะลึง แล้วเผลอไผลปล่อยคำอุทานออกมา

“ยอดเยี่ยม……ยอดเยี่ยมที่สุด…ข้าได้สร้างสุดยอดวิชาฝ่ามือขึ้นมาแล้ว…..”

แม้เฟยอี้เองก็งงงันในอานุภาพพลังฝ่ามือที่ตนเองปลดปล่อยออกไป มันหงายฝ่ามือทั้งสองของมันขึ้นมองดู
แล้วหันไปทางบ้อเมี่ยวเล่านั้ง

“อาจารย์…นี่มัน…..ช่างเป็นพลังฝ่ามือที่ร้ายกาจนัก”

บ้อเมี่ยวเล่านั้งปรากฎรอยยิ้มขึ้นที่ปากอย่างปลาบปลื้มยินดี เดินเข้ามาหาเฟยอี้แล้วพูดว่า

“ใช่แล้ว….เฟยอี้ นี่คือวิชาฝ่ามือที่ร้ายกาจที่สุดในยุทธภพ แล้วเจ้ามีอาการผิดปกติใดเกิดขึ้นบ้างหรือไม่”

เฟยอี้ก้มลง เหลียวมองสำรวจเรือนร่างของตน แล้วพูดขึ้นว่า

“ไม่….ไม่มีอาการผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นกับข้า….ข้าเป็นปกติแล้วใช่หรือไม่ อาจารย์”

บ้อเมี่ยวเล่านั้งปลดปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างยินดี

“ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า…..เจ้ายื่นมือมาขอให้ข้าตรวจดูชีพจรสักหน่อย”

บ้อเมี่ยวเล่านั้งวางนิ้วมือทั้งสองลงบนข้อมือของเฟยอี้ สงบนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถอนใจยาวออกมา

“เสียดายนัก…… โสมหิมะพันปีของข้าได้หมดลงแล้ว อาการของเจ้าเกือบจะเป็นปกติ หากว่ารักษา
ด้วยโสมหิมะพันปีอีกสองสามวัน ข้าคิดว่าเจ้าต้องหายเป็นปกติอย่างแน่แท้

เมื่อสักครู่ที่ข้าตรวจดูชีพจรของเจ้า ยังพบพลังหยางที่เอ่อล้นขาดความสมดุลย์อยู่ แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นอันตราย
เช่นนี้ เจ้าจงระวังตัว อย่าพึ่งชะล่าใจหักโหมโคจรปราณหยินหยาง ให้มากนัก”

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง หันกลับไปเห็นองค์หญิงฯมองมาด้วยแววตาอันแฝงไปด้วยความหวัง
จึงหันไปกล่าวกับเฟยอี้ว่า

“เฟยอี้ อาการของเจ้าคงต้องใช้เวลาในการรักษาอีกสักระยะหนึ่ง หากเจ้าเดินทางกลับไปแล้ว
จงหมั่นฝึกฝนซึมซึบพลังหยินเข้ามาในร่างอย่างต่อเนื่องอย่าได้ขาด จนวันหนึ่งลมปราณ
ของเจ้าก็จะถึงจุดสมดุลย์เป็นแน่แท้”

เฟยอี้พยักหน้ารับคำอาจารย์ของมันแล้วก็พูดว่า

“อาจารย์ข้าคงต้องลาท่าน พาองค์หญิงฯกลับไปยังวังหุบผาภูตในอีกสองวันข้างหน้านี้แล้ว”

“เฟยอี้ สิ่งที่ข้าขอไว้ให้เจ้ากระทำเพื่อข้า เจ้าจงอย่าได้ลืมเลือนเสีย”

เฟยอี้สบตากับบ้อเมี่ยวเล่านั้ง แล้วพูดขึ้นอย่างหนักแน่นว่า

“สยบเว่ยฉิงคัง แล้วทำลายคัมภีร์ลมปราณพรากวิญญาณเสีย”

————–

ธิดาเทพ นำทาง หมอวิปลาส และกิมเฮียกจื้อมาจนบรรลุถึง เนินดินกว้างริมลำธาร
อันเป็นจุดสิ้นสุดของสายธารแห่งนี้ ก่อนที่จะไหลล่วงหล่นลงพื้นหินชั้นล่างอันล้ำลึก
นางเหม่อมองเนินดินแห่งนี้ด้วยอาการเซื่องซึม แล้วหวนคิดถึงคืนวันที่ได้อยู่ภายใต้
อ้อมกอดของเฟยอี้ท่ามกลางค่ำคืนอันมีแสงจันทร์ทอแสงกลางแผ่นฟ้า
เนินดินแห่งนี้เอง คือที่ที่เฟยอี้ช่วยเหลือนางให้ขึ้นมาจากลำธาร เมื่อครั้งที่นางลอบติดตาม
มันมา

หมอวิปลาส สำรวจเนินดินแห่งนั้นโดยทั่ว ก็พบเศษซากกองเพลิงที่เคยมีผู้ก่อเอาไว้
จึงเงยหน้าขึ้น ไถ่ถามต่อธิดาเทพว่า

“นี่ใช่ ร่องรอยของเฟยอี้หรือไม่”

ธิดาเทพ ตื่นจากภวังค์ แล้วพูดว่า

“ใช่แล้ว เฟยอี้กับข้า เคยพักแรมอยู่ ณ ที่นี้”

กิมเฮียกจื้อได้ยินเช่นนั้น ก็เกิดอาการขุ่นเคืองในอารมณ์ พูดขึ้นว่า

“ธิดาเทพ ท่านพักแรมอยู่กับมันเพียงสองคนรึ”

ธิดาเทพได้ยิน กิมเฮียกจื้อพูดเช่นนั้น ก็ล่วงรู้ว่านางเกิดอาการหึงหวง จึงพูดขึ้นว่า

“ใช่แล้ว เป็นค่ำคืนที่เราทั้งสองจะจดจำไว้ไม่ลืมเลือน”

กิมเฮียกจื้อ ยืนนิ่ง รู้สึกเจ็บปวดภายในจิตใจนัก จนหมอวิปลาสสังเกตุเห็น จึงพูดตัดบทขึ้น

“ไปกันเถอะ พวกเราเดินทางกันต่อ”

ธิดาเทพ นำทางหมอวิปลาส และกิมเฮียกจื้อไปตามเส้นทางที่นางจดจำได้ว่า เป็นเส้นทางเดียวกันกับ
ที่นางและเฟยอี้ เคยเดินทางมา จนเวลาล่วงเข้าสู่ช่วงบ่ายคล้อย ธิดาเทพก็พาคนทั้งสองมาลงมาจากเขา
ยังที่ราบเบื้องล่าง นางหยุดยืนแล้วเหลียวมองไปโดยรอบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วชี้ไปยังพงไม้ที่ไกลออกไป

“นั่น พงไม้นั้น”

หมอวิปลาสเหลือบตามองติดตามไปยังทิศทางที่นางชี้ไป

แล้วธิดาเทพก็พูดขึ้นว่า

“พงไม้นั้น คือสถานที่สุดท้าย ก่อนที่ข้าจะถูกทหารนำพาตัวมาจนพบกับพวกเจ้า”

หมอวิปลาสและกิมเฮียกจื้อ เร่งรีบเดินตรงไปยังพงไม้นั้น เพื่อหาเบาะแสทันที
แต่ก็ไม่พบสิ่งใดที่จะชี้นำได้อีก กิมเฮียกจื้อเกิดความร้อนใจจึงพูดขึ้นว่า

“เราจะทำเช่นไรต่อไป ท่านหมอเมี่ยว”

หมอวิปลาส ครุ่นคิดแล้วก็นิ่งงันไป จนในที่สุด ธิดาเทพก็พูดขึ้นว่า

“เฟยอี้บุกเข้ามาในวังของข้า เพื่อช่วยเหลือองค์หญิงฯ หนทางที่มันจะไป
ต้องเป็นวังหุบผาภูต พวกเราสมควรเดินทางต่อในทิศที่จะมุ่งหน้าไปยังวังหุบผาภูต”

หมอวิปลาสได้ยินเช่นนั้น ก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย แล้วพูดว่า

“ข้าเห็นด้วย แต่ข้าว่าเราควรหาที่พักแรมกันก่อน นี่ก็จะเข้าสู่เวลาเย็นแล้ว พรุ่งนี้พวกเรา
ค่อยเดินทางต่อไปยังวังหุบผาภูตก็แล้วกัน

————-

ทางด้านคณะเดินทางของลิ่มบ้อฮวย และ ภูตแพรทั้งสี่ หลังจากที่ได้พบกันในระหว่างการเดินทางที่โรงเตี๊ยม
แล้วรวมตัวเป็นคณะเดินทางเดียวกัน ทั้งคณะเดินทางฝ่าป่าทึบอันเป็นจุดเชื่อมต่อ ระหว่าง วังหุบผาภูต
และวังเบญจธาตุ ครั้นพบค่ำ ลิ่มบ้อฮวยก็ออกความเห็น ให้หาที่พักแรม ณ กลางป่าลึกนั้น

ในระหว่างการเดินทาง ลิ่มบ้อฮวยสังเกตดูอาการของ เยี่ยกุ้ยอิงมาเป็นเวลานาน นางดูเหม่อลอย และมัก
ไม่สบสายตากับนางยามพูดคุยกัน นางพยายามปลีกตัวออกห่างไม่ใกล้ชิดเหมือนที่เคยเป็นมา
จนมาถึงคืนที่ต้องพักแรมกลางป่าแห่งนี้ เยี่ยกุ้ยอิงก็ปลีกตัวห่างออกไปอีกเช่นเคย

ลิ่มบ้อฮวย พอจะหยั่งทราบเรื่องราวในจิตใจของเยี่ยกุ้ยอิงอยู่ว่า เหตุที่นางเป็นเช่นนี้เนื่องด้วยเพราะเหตุใด
จึงคิดตัดสินใจพูดคุยกับเยี่ยกุ้งอิงให้กระจ่างชัดในคืนนี้

เยี่ยกุ้ยอิงนั่งอยู่บนหินก้อนหนึ่ง นางปลีกตัวมาก่อกองเพลิงแล้วนั่งรับไออุ่นจากกองเพลิงอยู่เพียงลำพัง
ดวงตาของนางเหม่อมองไปยังเปลวเพลิงที่วับแวมอยูเบื้องหน้าของนาง จิตใจของนางขณะนี้ทั้งว้าวุ่น
และวิตกกังวล นางครุ่นคิดอยู่ว่าความสัมพันธ์ของนางและหมอวิปลาสจะเป็นอย่างไรต่อไป
นางรู้สึกผิดต่อลิ่มบ้อฮวยที่นางทั้งรักและนับถือ

ลิ่มบ้อฮวยแม้มีฐานะเป็นอาจารย์ของนาง และแต่ด้วยวัยที่ไม่ห่างกันมากนัก อีกทั้งความสนิทสนม
ที่มีต่อกัน ทำให้เยี่ยกุ้ยอิงมีความรักต่อนางประดุจพี่สาว นางไม่ต้องการเป็นต้นเหตุให้ลิ่มบ้อฮวย
บังเกิดความเสียใจ

เยี่ยกุ้ยอิงครุ่นคิดมาเป็นเวลานาน แล้วตัดสินใจไว้ตั้งแต่ก่อนออกเดินว่า หากว่าการเดินทางติดตาม
หาหมอวิปลาสในครั้งนี้ปรากฎว่า หมอวิปลาสได้สิ้นชีวิตไปเสียแล้ว แม้จะมีความเสียใจมากมายเท่าใด
แต่ก็คงจะเจ็บปวดน้อยกว่า ที่จะเห็นลิ่มบ้อฮวยเสียใจเพราะตนเป็นต้นเหตุ นางจะเก็บความสัมพันธ์ที่มี
ต่อหมอวิปลาสเป็นความลับตลอดไป

แต่หากว่าพบตัวหมอวิปลาส นางก็จะเป็นฝ่ายหลบหนีไปเอง และจะไม่หวนกลับมาให้ลิ่มบ้อฮวย
เห็นหน้านางอีกตลอดชีวิต

ขณะที่นางกำลังจ่อมจมอยู่ในภวังค์อยู่นั้น หัวไหล่ของนางก็มีมือของคนผู้หนึ่งจับไว้ ณ เบื้องหลัง
แล้วร้องเรียกชื่อของนางขึ้น

“กุ้ยอิง…เหตุใดเจ้าจึงหลบมานั่งแต่เพียงผู้เดียว”

เยี่ยกุ้งอิงสะดุ้งตื่นจากภวังค์ นางจดจำเสียงของลิ่มบ้อฮวยได้เป็นอย่างดี จึงพูดตอบนางไป
ทั้งที่ยังก้มหน้าลง

“ท่านเจ้าสำนัก ข้า……ท่านมีเรื่องใดจะให้ข้ารับใช้หรือไม่”

ลิ่มบ้อฮวยทรุดตัวลงนั่งเคียงข้างกับนาง

“กุ้ยอิง เจ้ามีเรื่องทุกข์ร้อนใดในใจ ใยจึงไม่บอกต่อข้าบ้าง”

เยี่ยกุ้ยอิงเงยหน้าขึ้นสบตากับลิ่มบ้อฮวยวูบหนึ่ง แล้วหันกลับไป

“ไม่…ไม่มี….ท่านเจ้าสำนัก ข้าเพียงต้องการอยู่ผู้เดียวเท่านั้น”

ลิ่มบ้อฮวยมีใบหน้าที่ราบเรียบ เอ่ยขึ้นอย่างจริงจังว่า

“กุ้ยอิง เจ้าเปรียบเสมือนน้องสาวของข้า มีรึที่ข้าจะไม่รู้ว่าน้องสาวของข้า
กำลังทุกข์ร้อนจิตใจ และข้าก็ล่วงรู้เรื่องที่เจ้าเป็นทุกข์ใจด้วย”

เยี่ยกุ้ยอิงได้ยินเช่นนั้น ก็หันหน้ากลับมาสบตากับลิ่มบ้อฮวย ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

ลิ่มบ้อฮวยยิ้มน้อยๆออกมา แล้วพูดว่า

“กุ้ยอิง เจ้าคิดจะปิดบังข้าไปถึงเมื่อไหร่ เจ้าเป็นทุกข์ใจก็เพราะเจ้าผิดต่อข้า เรื่องที่เจ้า
มีความสัมพันธ์กับหมอเมี่ยว ใช่หรือไม่”

สิ้นคำของลิ่มบ้อฮวย เยี่ยกุ้ยอิงก็ถึงกับเย็นวาบไปทั้งร่าง นางเพ่งมองลิ่มบ้อฮวย
อย่างตื่นตกใจ แล้วอุทานออกมาอย่างลืมตัว

“ท่าน…ท่านรู้..!!! ”

ลิ่มบ้อฮวยพูดตอบนางด้วยใบหน้าที่ราบเรียบปราศจากอารมณ์ใดๆ

“ใช่..ข้ารู้….ข้ารู้มานานแล้ว…ข้ารู้ตั้งแต่วันที่เจ้าตื่นฟื้นจากพิษสะกดวิญญาณ
เช้าวันนั้นข้าเข้าไปหาเจ้าที่ห้องในโรงเตี๊ยม คิดที่จะพูดคุยกับเจ้าแต่เพียงลำพัง
โดยมีความหวังว่าอาจจะช่วยให้เจ้าตื่นฟื้นขึ้นมา แต่กลับไม่พบเจ้า พบเพียงร่าง
ของสองนักบวชน้อยเท่านั้น ข้าจึงเร่งไปที่ห้องของหมอเมี่ยว หมายจะแจ้งเรื่อง
ที่เจ้าหายไปให้มันทราบ ขณะที่ข้าใกล้จะถึงห้องของหมอเมี่ยว พลันก็ได้ยินเสียงของพวกเจ้า……..เอ่อ….”

ลิ่มบ้อฮวยเล่ามาถึงตอนนี้ เยี่ยกุ้ยอิงก็มีน้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสอง
นางส่งเสียงร่ำร้อง เสียใจอย่างน่าเวทนา

“พอ…พอเถิด..ท่านเจ้าสำนัก ข้าผิดต่อท่าน ผิดจนไม่สมควรได้รับการให้อภัย
ใยในตอนนั้นท่านจึงไม่ลงโทษข้า แม้ท่านลงมือฆ่าข้าเสีย ข้าก็จะไม่ถือโกรธท่านเลยแม้แต่น้อย”

ลิ่มบ้อฮวยยิ้มออกมาอย่างเซื่องซึม แล้วพูดว่า

“เจ้าเชื่อหรือไม่ กุ้ยอิง ทันทีที่ข้าได้ยินเสียงของเจ้าในห้องของหมอเมี่ยว ข้ากลับบังเกิดความยินดียิ่งนัก
ข้ายินดีที่น้องสาวของข้า ตื่นฟื้นจากพิษแล้ว ในช่วงเวลานั้นข้าหามีความโกรธเคืองใดๆต่อเจ้าไม่
จนถึงวันนี้ ในตอนนี้ ข้าก็ไม่มีความโกรธ หรือแค้นเคืองเจ้าเลยแม้แต่น้อย กุ้ยอิง เจ้าคือน้องสาว
ของข้า น้องสาวที่ข้ารักที่สุด”

สิ้นคำของ ลิ่มบ้อฮวย เยี่ยกุ้ยอิงก็ร้องไห้ออกมาประดุจทารก แล้วโผเข้าโอบกอดร่างของลิ่มบ้อฮวยอย่างแนบแน่น
นางก้มหน้าร้องไห้อยู่กับทรวงอกของลิ่มบ้อฮวยอย่างเนิ่นนาน

“ฮืออ…ฮือออ……………..ท่านเจ้าสำนัก ……..”

ยังมิทันที่เยี่ยกุ้ยอิงจะพูดสิ่งใด ลิ่มบ้อฮวยก็พูดขึ้นอีกว่า

“จากนี้ไป ข้าคือพี่สาวของเจ้า เจ้าจงเรียกข้าว่า พี่ เถิดนะ กุ้ยอิง”

เยี่ยกุ้ยอิง ผงกศีรษะออกมาจากทรวงอกของ ลิ่มบ้อฮวย แล้วจ้องมองนางอย่างฉงน

ลิ่มบ้อฮวย ลูบศรีษะของนางอย่างแผ่วเบา แล้วพูดว่า

“เจ้าทดลองเรียกข้าใหม่อีกทีซิ กุ้ยอิง”

เยี่ยกุ้ยอิง จ้องมองหน้าของลิ่มบ้อฮวยด้วยน้ำตาที่นองหน้า จิตใจของนาง
เต็มตื้นไปด้วยความรักและเคารพ ต่อลิ่มบ้อฮวย อย่างเปี่ยมล้น

“พี่บ้อฮวย”

“ใช่…..ใช่แล้ว น้องของพี่ เจ้าคือน้องรักของข้า”

เยี่ยกุ้ยอิงบังเกิดความปลาบปลื้มอย่างเปี่ยมล้น นางซบใบหน้าลงบนทรวงอกของลิ่มบ้อฮวย
อีกครั้ง

ลิ่มบ้อฮวยใช้มือลูบศรีษะของนาง พลางพูดขึ้นว่า

“ท่านหมอเมี่ยวคือชายที่ ทั้งเจ้าและข้าต่างก็มีความรักให้มัน เหตุใดพวกเราจะต้องแยกจากกัน
เพราะเกรงต่อคำของผู้อื่น เราทั้งสามจะอยู่ด้วยกันฉันท์สามีภรรยา และมีความสุขร่วมกัน”

เยี่ยกุ้ยอิงได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ ผละจากอ้อมกอดออกมา

“ท่านพี่ ท่านพูดสิ่งใดออกมา ไม่….ไม่เป็นอันขาด หากทำเช่นนั้น ผู้คนจะติฉินนินทาท่าน”

“กุ้ยอิง หากเราทั้งสามต่างก็มีความสุข จะสนใจคำติฉินนินทาใดๆไปใย ถ้าข้าบอกต่อเจ้าว่า
ทำเช่นนี้ข้าจึงจะมีความสุข เจ้าจะยินยอมทำเพื่อข้าได้หรือไม่”

ทั้งสองนาง ต่างสบตากันนิ่งในค่ำคืนอันเงียบสงัด เบื้องลึกภายในจิตใจของนางทั้งสอง
บังเกิดความรัก ความผูกพันธ์ที่มีต่อกันมาอย่างยาวนาน และมากจนเกินกว่าผู้ใดจะเข้าใจ

———

เช้าตรู่ในวันที่ทั้งเฟยอี้ และ องค์หญิงฯ ต่างจะต้องเดินทางกลับไปยังวังหุบผาภูต
องค์หญิงฯ คิดจะทำอาหารมื้อสุดท้ายเพื่อรับประทานร่วมกันกับ บ้อเมี่ยวเล่านั้ง
นางจึงออกจากบ้านเข้าไปในป่า เพื่อไปยังริมธารน้ำโดยคิดจะดักจับปลามาทำอาหาร

ในระหว่างนั้น จึงมีเพียงบ้อเมี่ยวเล่านั้ง และเฟยอี้อยู่ร่วมกันเพียงสองคน บ้อเมี่ยวเล่านั้ง
สั่งให้เฟยอี้ทบทวนกระบวนท่าในคัมภีร์สุญญตาพันกรเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะออกเดินทางไป
เพื่อให้แน่ใจได้ว่า ยามโคจรลมปราณร่ายรำวรยุทธ์ จะไม่เกิดอาการผิดปกติใดๆ กำเริบขึ้นอีก

ขณะที่เฟยอี้กำลังทบทวนกระบวนท่าอยู่นั้น บ้อเมี่ยวเล่านั้งก็คิดถึงรากไม้ชนิดหนึ่งซึ่งมี สรรพคุณ
ช่วยเพิ่มพูนพลังหยินได้ จึงคิดที่จะเก็บมาให้เฟยอี้เก็บไว้กินในระหว่างเดินทาง จึงพูดกับเฟยอี้ขึ้นว่า

“เฟยอี้ เจ้าจงทบทวนกระบวนท่าไปแต่ผู้เดียวก่อน ข้าจะเข้าป่าไปหาตัวยา เพื่อที่เจ้าจะได้เอาไว้กิน
ในระหว่างเดินทาง”

สิ้นคำ บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ก็ทะยานร่างหายไปเข้าไปในป่า เพียงชั่วพริบตา

เฟยอี้หันไปคิดจะพูดจาตอบโต้ แต่ก็ไม่พบร่างของบ้อเมี่ยวเล่านั้งเสียแล้ว จึงหันมาทบทวนกระบวนท่า
ต่อไปเพียงลำพัง

ในทุกๆ วันนี้ของทุกปี เป็นกำหนดนัดหมายที่ ทิกุ้ยชิ้ว และ หลวงจีนหลี่เต๋อ จะมาพบกับ บ้อเมี่ยวเล่านั้ง
เพื่อประลองยุทธกัน โดยให้บ้อเมี่ยวเล่านั้ง เป็นสักขีพยานและช่วยวิจารณ์เพลงยุทธ แต่ในครั้งนี้
บ้อเมี่ยวเล่านั้งกลับลืมเลือนไป เพราะมุ่งแต่ช่วยฝึกฝนเพลงยุทธให้กับเฟยอี้

ทิกุ้ยชิ้วเดินทางมาถึงก่อน ครั้นได้ยินเสียงการร่ายรำเพลงยุทธอันเปี่ยมล้นไปด้วยพลังปราณอันล้ำลึก
ก็รู้ได้ว่า ต้องเป็นยอดฝีมือคนใดคนหนึ่งเป็นแน่ จึงแฝงตัวหลบซ่อน แล้วค่อยๆคืบคลาน ลอบมองออกไป
ยังที่มาของเสียง

พลันก็แลเห็น หลวงจีนหลี่เต๋อ กำลังเดินทางมาถึงเช่นกัน หลวงจีนหลี่เต๋อมาถึงยังลานหน้าบ้าน
ของบ้อเมี่ยวเล่านั้ง แล้วหยุดยืนนิ่งจ้องมองเฟยอี้ร่ายรำกระบวนท่าในวิชา สุญญตาพันกร อย่างตื่นตะลึง
แล้วครุ่นคิดอย่างสงสัยอยู่ภายในใจว่า เหตุใดทุกกระบวนท่าที่เฟยอี้ร่ายรำออกมา จึงมีความคล้ายคลึง
กับกระบวนท่า ยูไลพันกรของมันเป็นอย่างมาก

ยิ่งมันมองดู ก็ยิ่งมั่นใจว่า เป็นกระบวนท่าที่ดัดแปลงมาจาก วิชายูไลพันกรของตนเป็นแน่แท้
ก็บังเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก ใคร่จะสั่งสอนให้รู้ว่า กระบวนท่ายูไลพันกรที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร
จึงตัดสินใจตรงเข้าจู่โจมใส่เฟยอี้ในทันที

เฟยอี้ตื่นตกใจเป็นอย่างมาก ที่จู่จู่ ก็มีหลวงจีนผู้หนึ่งตรงเข้าจู่โจมใส่มันอย่างหักโหม ทั้งยังเป็นวรยุทธ์ที่คล้ายคลึง
กับกระบวนท่าที่ตนกำลังฝึกฝนร่ายรำเป็นยิ่งนัก จึงได้แต่เพียงร่ายรำกระบวนท่าขึ้นต้านรับ พลางถดถอยหนี
หมายว่าจะไถ่ถามให้ล่วงรู้เสียก่อนว่า ผู้ที่จู่โจมมันมีจุดมุ่งหมายอันใด

“ทะ..ทะ…ท่าน..หยุดก่อน….โปรดยั้งมือก่อน…”

แต่หลวงจีนหลี่เต๋อ ใคร่จะทดสอบฝีมือให้รู้แจ้งไปว่า กระบวนท่าที่เฟยอี้ใช้นั้น มีอานุภาพเช่นไร
มันจึงไม่ตอบคำใดๆออกมา แต่กลับเร่งเร้ากำลังฝีมือจู่โจมหนักขึ้นอีก

เฟยอี้ถูกจู่โจมอย่างหนักหน่วงเพิ่มขึ้น ก็สุดที่จะตั้งรับเพียงอย่างเดียวได้ มันสังเกตุดูพลังฝีมือของ
บุคคลผู้นี้ทั้งล้ำลึกไปด้วยพลังปราณ และผันแปรพลิกผัน จนมันต้องร่ายรำกระบวนท่าเชิงรุกเข้าหักล้าง

คนทั้งสองต่อสู้พัวพันกันจนผ่านไปยี่สิบกระบวนท่า ทุกกระบวนท่าที่หลวงจีนหลี่เต๋อจู่โจมออกไป
เฟยอี้ก็ใช้กระบวนท่าเข้าหักล้างได้ทันท่วงที คล้ายดั่งจะรู้เท่าทันในทุกกระบวนท่าที่หลวงจีนหลี่เต๋อจู่โจมมา
ทั้งยังรุกไล่กลับด้วยกระบวนท่าที่ดัดแปลงมาจากกระบวนท่าฝ่ามือสุญญตาของทิกุ้ยชิ่วอีกด้วย

หลวงจีนหลี่เต๋อ รู้สึกตื่นตกใจในระหว่างพัวพันต่อสู้ มันคาดไม่ถึงว่าเด็กน้อยผู้นี้นอกจากจะล่วงรู้กระบวนท่า
ยูไลพันกรของมันอย่างกระจ่างชัดแล้ว ทั้งยังสามารถดัดแปลงนำเอาวิชาฝ่ามืออันร้ายกาจของทิกุ้ยชิ่ว
มาผสมผสานอีกด้วย ยิ่งต่อสู้พัวพันมากกระบวนท่าเข้า หลวงจีนหลี่เต๋อก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองตกเป็นรอง
เนื่องด้วยวิชาสุญญตาพันกรถูกหล่อหลอมจากสองสุดยอดวิชาที่อุดช่องโหว่ของกันและกัน

หลวงจีนหลี่เต๋อ จึงคิดใช้ไม้ตายเพื่อเอาชนะให้เด็ดขาด พลันถดถอยร่างออกมา แล้วร่ายรำกระบวนท่า
ยูไลปราบมาร อันเป็นกระบวนท่าไม้ตายของวิชายูไลพันกรเข้าต่อสู้

ร่างของหลวงจีนหลี่เต๋อ พลันบังเกิดมีเงาแขนทั้งสองข้างจำนวนมากมาย กำลังร่ายรำกระบวนท่าอย่าง
พร่างพรายตา คล้ายดังว่า หลวงจีนหลี่เต๋อมีแขนอยู่เป็นจำนวนมากมายนัก

เฟยอี้เห็นเช่นนั้น ก็ตัดสินใจโคจรปราณฟ้าดิน-หยางในร่างขึ้น แล้วร่ายรำกระบวนท่า สุญญตาปราบมาร
เข้าหักล้าง

พลัน ร่างของเฟยอี้ก็ปรากฏมีเงาแขนจำนวนมากมายบังเกิดขึ้นเช่นกัน แล้วทั้งสองก็ตรงเข้าต่อสู้กัน
ด้วยกระบวนท่าฝ่ามือ ที่ทั้งล้ำลึกพิศดารและผันแปรสุดหยั่งคาด

ทิกุ้ยชิ้วซึ่งซุ่มมองดูอยู่ห่างๆ ถึงกับตื่นตะลึง เดินเลื่อนลอยออกมาจากที่ซ่อน แล้วมาหยุดยืนดูอย่างเปิดเผย
พลางส่งเสียงรำพึงออกมาอย่างลืมตัว

“เป็นไปไม่ได้ นั่นคือฝ่ามือสุญญตาของข้า ไม่..ไม่ใช่……มันแปรเปลี่ยนไปแล้ว…ช่างล้ำเลิศนัก”

การต่อสู้ของคนทั้งสองผ่านไปถึงร้อยกระบวนท่าก็ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ หลวงจีนหลี่เต๋อเริ่มรู้สึกหนักมือขึ้น
แล้วรู้ตัวว่ากระบวนท่าของตนนั้น มีพลังจู่โจมอ่อนด้อยกว่าเฟยอี้ หากการต่อสู้ครั้งนี้เป็นการประลองกับทิกุ้ยชิ้ว
เหมือนดังที่เคยกระทำมา มันก็จะยอมรับว่ามันพ่ายแพ้แล้ว แต่คู่ต่อสู้ของมันในครั้งนี้กลับเป็นหนุ่มน้อย
ผู้หนึ่งซึ่งมันคิดว่าลอบขโมยวิชาฝีมือของมันไปฝึกฝน จึงบังเกิดมานะคิดรวบรวมกำลังทั้งหมดเข้าต่อสู้

หลวงจีนหลี่เต๋อผละร่างออกจากวงต่อสู้ แล้วโครจรพลังปราณทั้งหมดในร่าง แขนทั้งสองของหลวงจีนหลี่เต๋อ
พลันดูคล้ายกับมีอยู่ถึงข้างละสิบแขน ร่ายรำกระบวนท่า ฝ่ามือพระธรรม อันเป็นกระบวนท่าสุดท้ายของ
วิชายูไลพันกร จนบังเกิดกระแสพลังหมุนวนไปรอบร่างแล้วถ่ายเทมายังแขนทั้งสอง

พลันหลวงจีนหลี่เต๋อก็ฟาดพลังปราณนั้นออกไปยังเฟยอี้ทันที

พลังฝ่ามือหลายสิบสิบสาย พุ่งออกจากฝ่ามือของหลวงจีนลี่เต๋อ ตรงไปยังร่างของเฟยอี้อย่างรวดเร็ว
จนปรากฎเป็นฝุ่นผงคละคลุ้งติดตามพลังฝ่ามือทั้งสิบสายนั้นไป

เฟยอี้มองเห็นกระบวนท่าที่หลวงจีนหลี่เต๋อร่ายรำ ก็รู้ว่านี่เป็นกระบวนท่าที่มีอานุภาพยิ่ง
จึงเร่งเร้าปราณฟ้าดิน-หยินหยางให้โคจรมากขึ้น จนบังเกิดกระแสพลังปราณอันกล้าแข็งครอบคลุมรอบร่างของมัน
แล้วร่ายรำ กระบวนท่า สุญญตาดับสูญ อันเป็นไม้ตายของฝ่ามือสุญญตา แล้วฟาดพลังฝ่ามือตอบโต้กลับไป
เกิดเป็นพลังปราณอันกล้าแข็งลูกใหญ่ พุ่งตรงไปยังร่างของหลวงจีนหลี่เต๋อพร้อมกับฝุ่นผงคละคลุ้งคล้ายกับลมพายุใหญ่
พัดพาไปเช่นกัน

ทิกุ้ยชิ่วซึ่งเฝ้ามองดูเหตุการณ์อยู่โดยตลอด เห็นเช่นนั้น ก็ร้องขึ้นอย่างตกใจ แล้วเคลื่อนร่างตรงไปยัง
หลวงจีนหลี่เต๋ออย่างรวดเร็ว

“แย่แล้ว..!!!!”

พลังฝ่ามือทั้งสิบสายของหลวงจีนหลี่เต๋อ ปะทะกับ พลังฝ่ามือที่เฟยอี้ฟาดออกมา จนบังเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวนับสิบครั้ง
ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ พลังฝ่ามือของหลวงจีนหลี่เต๋อทั้งสิบสายถูกพลังฝ่ามือของเฟยอี้ ทำลายล้างจนสลายไปสิ้น แล้วยังพุ่งตรง
มายังร่างของหลี่เต๋ออย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้น ทิกุ้ยชิ้ว ก็มาปรากฎร่างอยู่ ณ เบื้องหน้าของหลวงจีนหลี่เต๋อ แล้วฟาดพลังฝ่ามือสุญญตา เข้าต้านทาน
พลังฝ่ามือของเฟยอี้ที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาในทันที

ฝ่ามือสุญญตา ได้รับการยอมรับว่าเป็นวิชาฝ่ามือที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงที่สุดในบู๊ลิ้ม การฟาดฝ่ามือออกไปของทิกุ้ยชิ้ว
ในครั้งนี้ แม้เป็นกระทำโดยเร่งด่วนแต่ก็เต็มไปด้วยพลังที่รุนแรงนัก เกิดเป็นลูกพลังปราณพุ่งตรงเข้าปะทะกับ พลังปราณ
ของเฟยอี้ ที่กำลังพุ่งตรงเข้ามา จนบังเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณนั้นขึ้นอีกระลอกหนึ่ง

คลื่นพลังปราณทั้งสองปะทะกัน แล้วแผ่วงกว้างออกไป คล้ายดั่งมีขุมพลังลมอันมหาศาลอยู่ ณ จุดนั้น กำลังแผ่รัศมีพลังลม
ออกไปโดยรอบ จนฝุ่นผงลอยคละคลุ้งไปทั่วอาณาบริเวณ

พลังฝ่ามือของทิกุ้ยชิ่ว พุ่งสลายพลังฝ่ามือของเฟยอี้ที่อ่อนแรงลงแล้วจนสิ้นไป แล้วพุ่งตรงไปยังร่างของเฟยอี้
อย่างรวดเร็ว

แม้ยังมองไม่เห็น เฟยอี้ก็สัมผัสได้ว่ามีกระแสพลังอันรุนแรงกำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วมายังตน ก็ทะยานร่างหลบไปทางด้านข้าง
พลังฝ่ามือของทิกุ้ยชิ่วพุ่งผ่านร่างของเฟยอี้กระทบเข้ากับเนินดินสูงจนแตกกระจายเป็นผงธุลีไป

แล้วทิกุ้ยชิ้วก็ตามติด ปราดเข้าจู่โจมใส่เฟยอี้ในทันที

“ทดลองฝ่ามือสุญญตาของข้าดูบ้าง…เจ้าเด็กน้อย”

เฟยอี้รู้สึกถึงพลังปราณอันหนักหน่วงของกระบวนท่าที่จู่โจมมาจากทิกุ้ยชิ้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ผันแปร พิศดาร
เหมือนกับกระบวนท่าของหลวงจีนลี่เต๋อ แต่ก็ยากต่อการตั้งรับยิ่งนัก ยิ่งตั้งรับผ่านไปหลายกระบวนท่า
พลังจู่โจมอันหนักหน่วงก็คล้ายกับจะเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ มันจึงตัดสินใจเร่งเร้าปราณพลังหยางในร่างให้เพิ่มพูนขึ้น
แล้วพลิกผันกลับเป็นกระบวนท่าจู่โจมเข้าตอบโต้บ้าง

พลันทิกุ้ยชิ่วก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของกระบวนท่าที่เฟยอี้นำออกมาใช้ เฟยอี้ตอบโต้มันด้วยกระบวนท่า
เดียวกันกับที่มันใช้ และมีพลังปราณที่เข้มแข็งขึ้น ซ้ำยังว่องไวและพิศดารกว่า จนมันเริ่มตกเป็นรอง
แล้วถดถอยออกมาเป็นฝ่ายตั้งรับ

ขณะนั้น บ้อเมี่ยวเล่านั้งกำลังมองหารากไม้ ณ ตำแหน่งที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ได้ยินเสียงการต่อสู้เกิดขึ้น
ในทิศที่ตั้งทางบ้านของตน ก็ตกใจยิ่งนัก รีบเร่งทะยานร่างกลับไปยังบ้านของตนด้วยวิชาตัวเบาในทันที

ครั้นถึงบ้านของตนก็เห็นภาพ ของเฟยอี้ และ ทิกุ้ยชิ้ว กำลังประทับสองฝ่ามือเข้าหากัน ต่างกำลังใช้ลมปราณ
ของแต่ละฝ่ายเข้าต่อสู้กัน ก็ร้องขึ้นด้วยความตกใจ

“หยุดก่อน..!!!…..ท่านทิกุ้ยชิ่ว…….หยุดเถิด เฟยอี้…….”

หลวงจีนหลี่เต๋อ ซึ่งยืนดูการต่อสู้ของคนทั้งสองอยู่ เหลียวมองไปเห็น เป็นบ้อเมี่ยวเล่านั้งก็ดีใจ
ส่งเสียงร้องเรียกขึ้น

“ท่านบ้อเมี่ยว”

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง เดินเข้าไปหาคนทั้งสองที่กำลังทุ่มเทพลังลมปราณเข้าหักล้างกัน อย่างหักโหม
ก็รู้ว่า มิสามารถเข้าไปแทรกแซงได้ จึงพูดขึ้นว่า

“ท่านทิกุ้ยชิ่ว และ เฟยอี้ จงฟังข้า หากข้านับถึงสามขอให้พวกเจ้าทั้งสอง จงโคจรลมปราณ
คืนกลับฐานโดยพร้อมกัน”

ทิกุ้ยชิ่วอยู่ในระหว่างต้านทานกระแสลมปราณที่เฟยอี้ทุ่มเทออกมา จนแทบจะทรงกายไว้ไม่อยู่
ก็พูดขึ้นว่า

“เจ้าเด็กน้อย เจ้ายินยอมทำตามคำของท่านบ้อเมี่ยวหรือไม่”

เฟยอี้สบตาพร้อมกับพยักหน้ารับคำ แล้วรอฟังคำของบ้อเมี่ยวเล่านั้ง จนบ้อเมี่ยวเล่านั้งนับถึงสาม
ทั้งสองก็โคจรลมปราณของตนคืนกลับเข้าสู่ฐานโดยพร้อมกัน พลันร่างของคนทั้งสองก็ผละกระเด็น
ออกจากกัน

หลวงจีนหลี่เต๋อเห็นเหตุการณ์คลี่คลายแล้ว ก็ตรงเข้ามาหาบ้อเมี่ยวเล่านั้ง แล้วพูดว่า

“ท่านบ้อเมี่ยว ท่านรู้จักเจ้าเด็กน้อยผู้นี้ด้วยรึ”

ทิกุ้ยชิ่ว ได้ยินหลวงจีนหลี่เต๋อไถ่ถามเช่นนั้น ก็เดินเข้ามาสมทบ แล้วพูดว่า

“เจ้าเด็กน้อยผู้นี้ เหตุใดจึงรู้กระบวนท่าวิชาฝ่ามือสุญญตาของข้า ทั้งมันยังใช้
วิชายูไลพันกร ของท่านหลี่เต๋อได้อีกด้วย”

บ้อเมี่ยวเล่านั้งได้ยินเช่นนั้น ก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ส่งเสียงหัวเราะอย่างชอบใจ
ออกมา

“ฮ่า..ฮ่า…ฮ่า…ฮ่า…นี่คือ เฟยอี้ ศิษย์ของข้าเอง วรยุทธ์ที่มันใช้ต่อสู้กับท่านทั้งสอง
มีชื่อว่า สุญญตาพันกร ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า ”

ทั้งหลวงจีนหลี่เต๋อ และ ทิกุ้ยชิ่ว ร้องทวนคำของบ้อเมี่ยวเล่านั้ง ด้วยความงุนงง

” สุญญตาพันกร”

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง เห็นท่าทีงุนงงของคนทั้งสอง ก็เอ่ยออกมาว่า

“เมื่อครั้งการประลองยุทธของท่านทั้งสองในครั้งก่อน ข้าเคยวิจารณ์ไว้ว่า
วิชายูไลพันกร ของท่านลี่เต๋อ แม้กระบวนท่าพลิกแพลง เลิศล้ำ แต่ก็ขาดจุดเด่น
ทางด้านพลังทำลายล้าง ส่วนฝ่ามือสุญญตา ของท่านทิกุ้ยชิ้วนั้น แม้มีอานุภาพที่รุนแรง
และเกรี้ยวกราด แต่ท่าร่าง กลับเชื่องช้า ขาดความล้ำลึก

ข้าจึงบอกแก่พวกท่านไปว่า หากแม้นประสานทั้งสองวิชาเข้าไว้ด้วยกันได้ ก็จะกำเนิดสุดยอดวรยุทธ์
ของบู๊ลิ้มขึ้นมา แต่พวกท่านทั้งสองไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ เนื่องด้วยทั้งสองวิชาเป็นคนละแนวทางกัน
ข้าจึงขอทดลองดู และนัดหมายให้พวกท่านมาชมดูในการนัดประลองครั้งต่อไป พวกท่านยังจำได้อยู่หรือไม่”

ทิกุ้ยชิ้ว และหลวงจีนหลี่เต๋อ ฟังคำของบ้อเมี่ยวเล่านั้งอย่างตั้งใจ ก็รำลึกถึงเหตุการณ์ในการประลอง
ครั้งก่อนขึ้นมาได้

ทิกุ้ยชิ้ว ร้องขึ้นมาว่า
“อือ…ข้าจดจำได้แล้ว”

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง มีรอยยิ้มอย่างภาคภูมิเกิดขึ้นที่มุมปาก แล้วพูดว่า

“ข้าหล่อหลอม วิชาฝ่ามือสุญญตา และวิชายูไลพันกร เข้าไว้ด้วยกัน แล้วให้ชื่อใหม่ว่า
วิชา สุญญตาพันกร”

หลวงจีนหลี่เต๋อได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตากว้าง ร้องออกมาอย่างตื่นเต้นว่า
“หมายความว่า เจ้าเด็กน้อยผู้นี้ สำเร็จวิชา สุญญตาพันกร รึ”

บ้อเมี่ยวเล่านั้งปลดปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ
“ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า…ฮ่า……เฟยอี้ เจ้ายังไม่มาคารวะ ท่านทิกุ้ยชิ่ว และ ท่านหลี่เต๋อ อีกรึ
ท่านทั้งสองนี้ก็เปรียบเสมือน อาจารย์ของเจ้าเช่นกัน”

เฟยอี้ เดินเข้าประสานมือคารวะ ต่อ ทิกุ้ยชิ่ว และหลวงจีนหลี่เต๋อ
“ผู้น้อย เฟยอี้ คารวะต่อ อาจารย์ทั้งสอง และขออภัยที่ข้าได้ล่วงเกินด้วย”

ทิกุ้ยชิ่ว และ หลวงจีนหลี่เต๋อ ครั้นพอทราบที่มาของ วรยุทธ์ที่เฟยอี้ใช้
ก็คลายความขัดเคืองใจ เข้าไปรับการคารวะจากเฟยอี้

หลวงจีนหลี่เต๋อพูดกับเฟยอี้ว่า
“ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า.. ข้าเองก็ลุแต่อารมณ์ ไม่ไถ่ถามเจ้าเสียก่อน ”

ทิกุ้ยชิ้วก็กล่าวเสริมว่า
“วันนี้ เป็นวันดียิ่งนัก ข้ามีศิษย์ที่มีฝีมือสูงเยี่ยม สืบทอดต่อจากข้าแล้ว ฮ่า…ฮ่า..ฮ่า..”

แต่แล้วทิกุ้ยชิ้ว ก็สังเกตุเห็นความผิดปกติเกิดขึ้นที่ใบหน้าของเฟยอี้
“เฟยอี้ เหตุใดใบหน้าของเจ้าจึงแดงประหนึ่งโลหิตเช่นนี้”

ตลอดเวลาที่ บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ทิกุ้ยชิ้ว และ หลวงจีนหลี่เต๋อ กำลังสนทนากันนั้น เฟยอี้กลับบังเกิดอาการ
พลังหยางไม่ย้อนคืนกลับเข้าสู่ฐาน กำเริบขึ้นทีละน้อย เนื่องเพราะมันเร่งเร้า พลังปราณ ฟ้าดิน-หยินหยาง
ติดๆ กันหลายครั้งในการต่อสู้ จนขุมพลังหยางในร่างของมันถ่ายเทออกมามากเกินไป มันใช้ความพยายาม
ข่มกลั้นและควบคุมการโคจรลมปราณให้กลับเป็นปกติ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ จนในที่สุด
พอทิกุ้ยชิ้วสังเกตุเห็นความผิดปกติของมัน เฟยอี้ก็ล้มลงกับพื้นนอนเกลือกกลิ้ง ร้องออกมาอย่างทุรนทุราย

“อ้าาาาา……..ร้อน….ร้อน…..ข้าร้อนเหลือเกิน……..ร้อน…ร้อน…ร้อน……อ้าาาาาา….”

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง เห็นอาการของเฟยอี้ก็ทราบโดยทันที จึงตรงเข้าไปสกัดจุดยับยั้งอาการ จนเฟยอี้สิ้นสติไป
แล้วอุ้มร่างของเฟยอี้เข้าไปในบ้านทันที

ทิกุ้ยชิ้ว และ หลวงจีนหลี่เต๋อ ต่างงุนงงในอาการของเฟยอี้ เดินติดตามมา แล้วทิกุ้ชื้วก็ไถ่ถามขึ้นว่า

“ท่านบ้อเมี่ยว เหตุใด เฟยอี้จึงมีอาการเช่นนี้”

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง มองไปยังร่างที่ไร้สติของเฟยอี้ พลางทอดถอนใจ แล้วหันมาเล่าเรื่องราวของเฟยอี้
ถึงที่มาแต่หนหลังทั้งหมด ให้ทิกุ้ยชิ้ว และ หลวงจีนหลี่เต๋อได้รับทราบ

ครั้นทั้งสองทราบเรื่องราวทั้งหมด หลวงจีนหลี่เต๋อก็กล่าวออกมาอย่างเจ็บใจว่า

“เป็นข้าเอง ที่บุ่มบ่าม ลุแก่อารมณ์ตนเอง…ข้าเป็นสาเหตุที่ทำให้มันต้องเป็นไปเช่นนี้”

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ได้ยินหลวงจีนหลี่เต่อกล่าวออกมาด้วยความเสียใจเช่นนั้น ก็พูดขึ้นมาว่า

“แม้มิใช่ท่านในวันนี้ ก็ต้องเป็นผู้อื่น ที่สักวันหนึ่ง เฟยอี้ก็ต้องใช้กำลังฝีมือเข้าต่อสู้ แล้วเกิดอาการเช่นนี้ ท่านก็อย่าได้โทษ
ตัวเองไปเลย ท่านหลี่เต๋อ”

แล้วทิกุ้ยชิ้วก็ถามขึ้นว่า

“ไม่มีหนทางใดรักษาอาการมันได้เลยรึ”

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง มองไปยังร่างของเฟยอี้ แล้วทอดถอนใจอีกครั้ง

” ข้าได้เคยใช้ โสมหิมะพันปี ที่ข้าเก็บรักษาไว้นำมารักษาอาการของมันจนหมดสิ้นแล้ว แต่ก็ทำได้เพียงบรรเทา
อาการเท่านั้น ดูจากอาการกำเริบของมันในครั้งนี้ เห็นจะหนักกว่าในครั้งก่อนมากนัก ใบหน้าของมันแดงระเรื่อ
ด้วยธาตุไฟที่แผ่ซ่าน อีกทั้งร่างของมันก็รุ่มร้อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากใน เจ็ดวันนี้ มันไม่ได้รับพลังหยินอันยิ่งใหญ่
เข้าไปสร้างสมดุลย์แล้ว เห็นทีร่างของมันก็คงจะมอดไหม้ไปสิ้นแล้ว”

———–

ตั้งแต่ถูกเว่ยฉิงคัง ทำร้ายและถูกชุ่ยเหลียนจับได้ว่าลอบมองดูนางกับเว่ยฉิงคังร่วมรักกัน
อาชิว ก็หลบซ่อนตัว มิออกมาให้ใครเห็นหน้า ด้วยเกรงกลัวว่าจะถูกลงโทษ จนเว่ยฉิงคังระดมกำลังคน
แล้วออกไปขับไล่ลัทธิเบญจธาตุ อาชิวจึงค่อยออกมาแล้วซุ่มลอบมองชุ่ยเหลียนอยู่ตลอดเวลา

ภาพของชุ่ยเหลียนในเรือนร่างที่เปลือยเปล่า วนเวียนอยู่ในความคิดและติดตา จนมันเฝ้าแต่หลงไหล
ในเรือนร่างของนาง ยิ่งมันนึกถึงภาพที่เว่ยฉิงคัง จับเรียวขาทั้งสองข้างของนางเปิดออกจนเห็น
เนินสวาทของนางเบ่งบานออกมา มันก็ยิ่งก่อเกิดกำหนัดจนอึดอัดทรมานไปทั้งร่าง แต่มันก็มิรู้ที่
จะทำประการใด มันจึงได้แต่เพียงลอบมองนางแต่ในที่ห่างไกลเท่านั้น

วันนี้เป็นวันที่สามที่แล้ว ที่มันออกมาลอบมองนางทางช่องหน้าต่างอันห่างไกล ความกำหนัดที่สะสม
มากขึ้นอย่างต่อเนื่องบีบบังคบให้มันบังเกิดความกล้าขึ้น วันนี้มันจึงคิดที่จะเข้าไปลอบมองนาง
ให้ใกล้ชิดขึ้นอีก ร่างของอาชิวค่อยๆคืบคลานไปอย่างช้าๆ หัวใจของมันเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น
แต่เมื่อไปถึงในระยะใกล้ แสงสว่างในห้องนอนของชุ่ยเหลียนก็ดับลง

อาชิวถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง แต่ด้วยความกำหนัดที่เปี่ยมล้นของมัน ทำให้มันนั่งรออยู่ ณ ที่นั้น
มันตัดสินใจ และบังเกิดความกล้าบ้าบิ่นขึ้นแล้ว มันคิดที่จะลอบเข้าชมโฉมของชุ่ยเหลียนในห้องนอนของนาง
มันนั่งรอจนคิดว่าชุ่ยเหลียนหลับสนิทแล้ว มันจึงลอบปีนหน้าต่างเข้าไปในห้อง

ทันทีที่ร่างของอาชิวเข้ามาในห้อง ก็บังเกิดความเย็นเยียบทาบลงบนลำคอของมันถึงสองจุด แล้วแสงสว่าง
ในห้องของชุ่ยเหลียนก็สว่างวาบขึ้น

ปรากฏร่างบริวารสนิทของชุ่ยเหลียนสองคน ถือดาบวางลงบนลำคอของมัน แล้วกดร่างของมันให้นั่งลง
ด้วยกำลังแรง

อาชิวตกใจแทบสิ้นสติ หันมองไปมารอบห้องนั้น พลันสายตาของมันก็มองเห็น ร่างของสตรีที่มันหลงใหลคลั่งไคล้
นั่งจ้องมองมายังมันด้วยดวงตาที่เกรี้ยวกราด

“อาชิว เจ้าลอบเข้ามาในห้องของข้าด้วยเหตุใด”

อาชิวหน้าซีดตัวสั่นด้วยความกลัว แต่มิรู้จะกล่าวตอบนางอย่างไร จนมันได้ยินเสียงของนางตวาดออกมาด้วยน้ำเสียง
อันเกรี้ยวกราด

“หากยังไม่อยากตาย ก็จงบอกออกมา”

อาชิว อับจนถ้อยคำมิรู้ว่าจะกล่าวออกมาเช่นไรดี
“ข้า….ข้า…ข้า……….”

พลันเสียงของชุ่ยเหลียนก็ดังขึ้นอย่างเฉียบขาด
“ฆ่ามันซะ..!…”

อาชิวตกใจสุดขีด รีบระล่ำระลัก ตอบออกไปทันที
“ข้า..ข้าบอกแล้ว….ข้าหลงใหลคลั่งไคล้ท่าน นายหญิง…ข้าต้องการเห็นท่าน”

ชุ่ยเหลียน ลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้ อาชิว แล้วยิ้มออกมา
“หลายวันมานี้ เจ้าเอาแต่ลอบมองข้า คิดรึว่า ข้าไม่ล่วงรู้”

ชุ่ยเหลียนเงื้อมือฟาดลงบนใบหน้าของอาชิวเต็มแรง
“เผี่ยะ !.”

“นี่สำหรับที่เจ้าลอบมองดูข้าในห้องโถง”

แล้วชุ่ยเหลียน ก็กล่าวออกมาอีกว่า
“เจ้าลอบเข้ามาในห้องนอนของข้า หากล่วงรู้ถึงหูของ เจ้าสำนัก เจ้ารู้หรือไม่
ว่าเจ้าจะได้รับโทษสถานใด”

ใบหน้าของอาชิวปรากฎเม็ดเหงื่อใหญ่ผุดออกมาด้วยความตื่นกลัว มันก้มลงโขกศรีษะ
แล้วร้องขอต่อชุ่ยเหลียน

“อภัยให้ข้าด้วย นายหญิง โปรดอย่าให้ล่วงรู้ถึงท่านสำนักเลย โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถิด”

ชุ่ยเหลียนนั่งลง แล้วสบตากับมันอยู่ครู่หนึ่ง พลันพูดขึ้นว่า
“หากข้าละเว้นเจ้า เจ้าจะตอบแทนสิ่งใดต่อข้า”

อาชิวรีบระล่ำระลักพูดออกมาอย่างดีใจ
“ข้าจะรับใช้ท่าน ข้าจะเป็นทาสให้ท่านช่วงใช้จนกว่าชีวิตจะหาไม่”

ชุ่ยเหลียนยิ้มขึ้นอย่างสมใจ คล้ายดังได้สิ่งที่คาดหวัง แล้วแบมือยื่นมือออกไป
ต่อหน้ามัน

“เช่นนั้นจงกินยาเม็ดนี้”

อาชิวมองดูเม็ดยาบนฝ่ามือของนาง แล้วมองหน้านางอย่างลังเล

ชุ่ยเหลียนยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียมขึ้นอีกครั้ง
“ไหนเจ้าบอกจะรับใช้ข้า ยอมเป็นทาสให้ข้าช่วงใช้ ข้าสั่งให้เจ้ากินยานี้ เจ้ายังทำไม่ได้รึ”

อาชิว ตัดสินใจรับยาจากมือของชุ่ยเหลียนแล้วเอาใส่ปากของมันทันที

ชุ่ยเหลียนเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มอย่างยินดี แล้วพูดขึ้นกับบริวารทั้งสองที่เอาดาบวางพาด
อยู่บนลำคอของมัน

“เจ้าทั้งสองออกไปก่อน”

เมื่อบริวารทั้งสองออกไปแล้ว ชุ่ยเหลียนก็พูดกับอาชิวว่า
“ยาที่เจ้ากินเข้าไป ต้องได้รับยาบรรเทาพิษจากข้าทุกเจ็ดวัน มิฉะนั้นร่างของเจ้า
จะเน่าเละแหลกเหลวจนตาย”

อาชิวได้ยินเช่นนั้น ก็ถึงกับหน้าซีดเผือด แล้วก้มหน้าลงอย่างหมดอาลัย

ชุ่ยเหลียนเห็นเช่นนั้นก็พูดขึ้นว่า
“แต่หากว่า เจ้าทำงานให้ข้าชิ้นหนึ่งสำเร็จ ข้าจะให้ยาถอนพิษแก่เจ้า”

อาชิวเงยหน้าขึ้นอย่างมีความหวัง แล้วเร่งพูดออกมาว่า
“บอกข้ามาเถิดนายหญิง ข้ายินยอมพร้อมกระทำเพื่อท่านทุกเรื่อง”

ชุ่ยเหลียนพลันมีแววตาที่เหี้ยมเกรียม แล้วพูดออกมาว่า
“หากเว่ยฉิงคังกลับมา เจ้าต้องเสพสมกับข้าต่อหน้ามัน”

อาชิว ตกใจจนตาพองโต พูดออกมาด้วน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“ท่านกล่าวสิ่งใดออกมา นายหญิง ข้าจะสามารถทำสิ่งนั้นได้อย่างไร”

ชุ่ยเหลียนไม่กล่าวสิ่งใด เดินเชื่องช้าไปที่เตียงนอน แล้วเอนร่างลง มือของนางลูบไล้
ไปมาตามทรวงอก และเรียวขาของนางอย่างชวนวาบหวาม แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียง
ที่ยั่วยวนว่า

“อาชิว เจ้าเห็นว่าข้างามหรือไม่”

อาชิวจ้องมองดูพลางกลืนน้ำลายลงคอ แล้วพยักหน้าตอบนางไป

“เหตุใดเจ้าจึงไม่มาชมดูใกล้ๆเล่า”

อาชิวจ้องมองดูเรือนร่างของชุ่ยเหลียนไม่วางตา พลางขยับร่างของมันเข้าไปจนชิด

ชุ่ยเหลียนส่งสายตาอันวาบหวามให้กับมัน พลางดึงมือของมันมาลูบไล้
เรียวขาของนาง

“อาชิว หากเจ้ายินยอมทำเพื่อข้า ข้าก็จะเป็นของเจ้า”

อาชิวเกิดอารมณ์กำหนัดจนพลุ่งพล่าน ในตอนนี้แม้ตายมันก็ยินยอม ขอแต่เพียง
ได้เชยชมนางที่มันหลงใหลคลั่งไคล้เท่านั้น

“นายหญิง ข้ายินยอมทำเพื่อท่านทุกเรื่อง ขอเพียงท่านสั่งมา”

ชุ่ยเหลียนยิ้มอย่างอ่อนหวาน แล้วพูดกับมันว่า
“เช่นนั้น เจ้ามัวรอสิ่งใดอยู่ หรือว่าเจ้าไม่อยากเห็น ว่าเรือนร่างภายใต้อาภรณ์ของข้างามเช่นไร”

อาชิว ยิ้มออกมาอย่างหื่นกระหายแล้วเอื้อมมืออันสั่นเทา ค่อยๆคลายสายคาดเอว แล้วแบะเสื้อ
ของนางออก จนมองเห็นเอี๊ยมสีแดงสด ตัดกับผิวเนื้องามขาวผุดผ่องของนาง อาชิวกลืนน้ำลายลงคอ
ของมันอย่างยากลำบาก แล้วหันไปสบตากับชุ่ยเหลียน คล้ายกับจะขอปลดเปลื้องเอี๊ยมตัวนั้นออก
ครั้นเห็นนางจ้องมองมันนิ่งอยู่ ไม่ว่ากล่าวสิ่งใดออกมา มันก็ตัดสินใจปลดเปลื้องเอี๊ยมแดงนั้น
ออกจากร่างของนาง

อาชิวจ้องมองดู ปทุมถันงามผุดผ่องทั้งสองข้างของชุ่ยเหลียน แล้วทรุดร่างลงเพ่งมองอีกครั้ง
อย่างใกล้ชิด ยอดถันสีชมพูระเรื่อทั้งสอง ชูยอดอวดต่อสายตาของมันอย่างเปิดเผยคล้ายกับจะยั่วยวน
ให้มันจับต้อง อาชิวก่อเกิดกำหนัดอย่างเหลือล้นจนมันไม่เกรงกลัวสิ่งใดอีกแล้ว

สองมือของอาชิวตรงเข้าเค้นคลึงปทุมถันทั้งสองของชุ่ยเหลียน อย่างเต็มกำมือ
แล้วก้มหน้าลงดูดกินยอดถันทั้งสองสลับไปมาอย่างหื่นกระหาย
จนชุ่ยเหลียนถึงกับหลับตาลง หายใจกระชั้นถี่ 

เรื่องเสียว อ่านเรื่องเสียว เล่าเรื่องเสียว ประสบการณ์เสียว เรื่องเล่าเสียว เล่าเสียว อ่านเสียว เรื่องเสียวแม่ลูก doujin sak รวมเรื่องเสียว

“โอ้ววว……นายหญิง…ท่านช่างงามนัก…”

ใบหน้าของอาชิว ซุกไซ้ไปมาอยู่บนทรวงอกของชุ่ยเหลียนอย่างเนิ่นนาน แล้วลากลิ้นโลมเลีย
ดูดกินเนินเนื้อเต่งตูมนั้นไปทั่วทั้งทรวงอก จนไม่มีที่แห่งใดที่ลิ้นของมันยังไม่สัมผัสถึง

อาชิวเค้นคลึง ดูดกินถันงามทั้งสองอย่างสาแก่ใจของมัน แล้วเงยหน้าขึ้นจ้องมองลงไป
ยังท่อนล่างของชุ่ยเหลียนที่ยังคงมีอาภรณ์ปกปิดอยู่ มันหันมามองดูใบหน้าของนางอีกครั้ง
ครั้นเห็นใบหน้านายหญิงของมันคล้ายกับกำลังเคลิบเคลิ้มอยู่ ก็ได้ใจเร่งปลดเปลื้องอาภรณ์ที่ปกปิด
ท่อนล่างของนางออกจนเหลือเพียงแต่ร่างงามขาวโพลนเปลือยเปล่า

อาชิวจ้องมองเนินสวาทที่ปกคลุมไปด้วยไหมสีดำสนิทอย่างไม่วางตา แล้วเคลื่อนร่างของมัน
มาที่กลางหว่างขาของนาง มันทรุดร่างลงนั่งแล้วจับเรียวขาทั้งสองของนางแยกออกอย่างเปิดเผย
จนมองเห็นเนินสวาทของชุ่ยเหลียนเบ่งบานกระจ่างชัดต่อสายตามัน

อาชิวจ้องมองดูเนินสวาทอันเบ่งบานนั้น ด้วยดวงตาที่เหลือกถลน ครั้งนี้กระจ่างชัดยิ่งกว่า
เมื่อครั้งที่มันลอบมองดูมากนัก

อาชิวไม่รีรออีกต่อไป มันซุกใบหน้าลงโลมเลียดูดกินเนินสวาทที่มันใฝ่ฝันอย่างตระกละตระกราม
กลีบสวาททั้งสองข้างของชุ่ยเหลียน ถูกมันมันใช้ลิ้นโลมเลียจนเปรอะเปลื้อนไปด้วยน้ำลายของมัน
ซ้ำยังพยายามใช้ปลายลิ้นดุนแทรกลึกลงไปในร่องสวาทของนาง

ชุ่ยเหลียนสะดุ้งร่างขึ้นเฮือกหนึ่ง แล้วส่งเสียงครวญครางออกมา เมื่อปลายลิ้นของมันจมลึกลงไปใน
ร่องสวาทแล้วกวาดเลียไปทั่วบริเวณ

“….ซี๊ดดดดดด………อูยยยยยยยย…………อู้วววววว……..”

อาชิวได้ยินนายหญิงของมันส่งเสียงร้องครวญครางออกมา ก็ได้ใจ เร่งระรัวลิ้นอย่างเร็วถี่เพิ่มขึ้นอีก

ชุ่ยเหลียนบังเกิดความเสียวซ่านเพิ่มขึ้น จากลิ้นอันระรัวของมัน ถึงกับต้องร้องออกมาดังขึ้น

“โอ้ววววววว……ซี๊ดดดด………ฮ้าาาา…………ซี๊ดดดดด…….ซี๊ดดดดดดด….”

ใบหน้าของอาชิวซุกไซ้คลุกคลีลงบนเนินสวาทที่มันฝันหาอย่างเพลิดเพลิน
มันห่อปากดูดกินเนินสวาทของนางจนบังเกิดความชื้นแฉะ ไปทั่วเนินนูนของนาง
ยามใดที่ลิ้นของมันลากผ่านสัมผัสกับติ่งสวาท ชุ่ยเหลียนก็พลันวาบหวิวเสียวสะท้าน
ไปทั่วร่าง จนนางต้องแอ่นร่างขึ้นอย่างลืมตัว

“ซี๊ดดดดดด……..อ้าาาาาา………….ซี๊ดดดดด…………….อูยยยยยยย……………………..”

อาชิวเห็นว่า ยามใดที่ลิ้นของมันสัมผัสกับติ่งเสียว นายหญิงของมันก็ถึงออกอาการซ่านเสียวยิ่งนัก
มันจึงห่อปากดูดติ่งเสียวของนางอย่างรุนแรง จนบังเกิดเสียงดังไปทั้งห้อง

” ซู๊ดดด…..ซู๊ดดดดด………ซู๊ดดด…….”

ชุ่ยเหลียนถึงกับแอ่นร่างนิ่งค้าง ส่ายใบหน้าไปมาด้วยความซ่านเสียวอย่างเหลือล้น สองมือของนางกำ
เส้นผมของอาชิวไว้จนแนบแน่น

“อ๊ายยยยยย……….อาชิว….ข้าาาาา…….อ๊ายยยยยยยยยยยยยย………….อูยยยยยยยย…………………
ซี๊ดดดดดด……………….โอ้ววววววววววว”

ในที่สุด ร่างของชุ่ยเหลียนก็สั่นกระตุก อยู่สองสามครั้งแล้วลดร่างที่แอ่นค้างลง พลางหอบหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
อาชิวเห็นนายหญิงของมันถึงจุดสุขสมไปแล้ว ก็เร่งเปลื้องเสื้อผ้าของมันออก แก่นกายของมันแข็งเกร็งมาช้านาน
จนรู้สึกเจ็บปวด มันกำแก่นกายที่ยื่นยาวของมันตรงเข้ามา หมายจะสอดเข้าไปในร่องสวาทของชุ่ยเหลียน

แต่แล้วร่างของมันก็หงายกลิ้งลงไปนอนอยู่กับพื้นห้อง

ชุ่ยเหลียนใช้เท้าทั้งสองของนาง ยันร่างของมันอย่างสุดแรง แล้วยันร่างของตนเองขึ้นมานั่ง

อาชิวจ้องมองนางอย่างสนเท่ห์ แล้วไถ่ถามขึ้น

“นายหญิง ท่านผลักไสข้าด้วยเหตุใด ”

ชุ่ยเหลียน มีสีหน้าที่เฉยเมย ตอบคำมันออกไปว่า

“พอแล้ว พอเพียงเท่านี้ รอไว้ถึงวันที่เจ้าจะต้องทำงานให้ข้า ข้าจะให้เจ้าสุขสม”

อาชิวมีสีหน้าผิดหวัง แล้วเอ่ยปากร่ำร้องอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร

“นายหญิง โปรดสงสารข้าเถิด ข้าคลั่งใคล้ท่าน จนแทบจะบ้าคลั่งตายแล้ว หาก…หากว่าท่านมิยินยอม
ก็ฆ่าข้าเสียเถิด”

ชุ่ยเหลียนจ้องมองนิ่งมายังมันอยู่ครู่หนึ่งก็พูดขึ้นว่า

“เห็นข้าดีด้วย เจ้าก็กำเริบใหญ่ จงมายืนต่อหน้าข้า”

อาชิวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยันกายลุกขึ้นเดินไปหานางอย่างขลาดกลัว

มันยืนนิ่ง หันหน้าไปหานาง แก่นกายอันแข็งเกร็งที่คั่งค้างจากอารมณ์กำหนด ยังคงชี้ยื่นยาวออกมา

“นายหญิง ท่านจะทำสิ่งใดกับข้า ยกโทษให้ข้าเถิด”

และแล้ว สิ่งที่อาชิวไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น นายหญิงของมันเดินเข้ามาหามันแล้วทรุดร่างลง
จับแก่นกายอันแข็งเกร็งของมันยัดใส่ปากของนาง แล้วขยับเข้าและออกอย่างเชื่องช้า

ไออุ่นจากปากอันอ่อนนุ่มของชุ่ยเหลียน สร้างสัมผัสอันสุดแสนซ่านเสียวให้กับมันอย่างเหลือล้น
จนอาชิว ต้องห่อปากพ่นลม ครางออกมา

“โอ้วววว……..ซี๊ดดดดด……………..นายหญิง….ข้า…ข้า….มีความสุขยิ่งนัก……..ซี๊ดดดดด……”

ชุ่ยเหลียน ใช้ลิ้นของนางตวัดโลมเลียทั้งลำแก่นกายของอาชิว สลับกับดูดกินแก่นกายของมันอย่างรุนแรง
จนอาชิวตกอยู่ในความเคลิบเคลิ้มล่องลอย มันไม่คาดคิดมาก่อนว่านายหญิงของมันจะเก่งกาจถึงเพียงนี้

“โอ้ววว….นายหญิง……,โอ้วววว….นายหญิง……ท่าน…ท่าน….ช่างเก่งกาจนัก……..อู้ววววววววว…….
ข้ามีความสุขยิ่งนัก…..นายหญิงของข้า……”

ปากของชุ่ยเหลียนดูดกินแก่นกายของมันอย่างรุนแรง ครั้งแล้วครั้งเล่า จนก่อเกิดความเสียวซ่านแล่นเพิ่มพูนขึ้น
จนอาชิวแข็งเกร็งไปทั้งช่องท้อง อาชิวถึงกับลืมตัวใช้มือสองข้างของมันยึดศรีษะของชุ่ยเหลียนไว้
แล้วเร่งจังหวะกระแทกกระทั้นแก่นกายของมัน เข้าไปในปากของชุ่ยเหลียน แล้วกดแช่นิ่งไว้พลางปลด
ปล่อยเสียงครางยาวออกมา

“โอ๊ะ….โอ๊ะ….โอ๊ะ….โอ๊ะ….โอ๊ะ….โอ๊ะ………………โอ้ววววววววววววววววววววววว…………………”

น้ำเหนียวขุ่นข้นพรั่งพรูจากแก่นกายของมันล่วงเข้าสู่ลำคอของชุ่ยเหลียนจนนางถึงกับสำลัก

ชุ่ยเหลียนผลักร่างของอาชิวจนกระเด็นออกไป พร้อมกับบ้วนน้ำรักของอาชิวออกมาจากปากของนาง

“เจ้าอยากตายรึ จงเร่งออกไปจากห้องของข้าเดี๋ยวนี้”

อาชิว เห็นนางมีความโกรธก็ไม่กล้าตอแย เร่งใส่เสื้อผ้าแล้วออกจากห้องไปทันที

————————-

สตรีสองนางกำลังตกอยู่ในวงล้อม ของทหารลัทธิเบญจธาตุจำนวนหลายสิบคน ทั้งสองนางหันหลังชนกัน
ฟาดฟันกระบี่ต่อสู้ กับเหล่าทหารที่หนุนเนื่องเข้ามาหมายจับตัวพวกนางกลับไป ทั้งสองนางตกอยู่ในวงล้อม
มาหลายชั่วยาม และต่อสู้อย่างต่อเนื่องด้วยความกล้าหาญ จนกำลังเริ่มอ่อนล้าลง

ในที่สุด หัวหน้าทหารที่นั่งอยู่บนหลังม้า ก็ส่งเสียงสั่งบริวารของมัน

“ทหาร จงถอยออกมา”

เหล่าทหารที่รายล้อม ฟาดฟันอาวุธใส่สตรีทั้งสองก็หยุดมือ แล้วถอยออกมายืนล้อมนางทั้งสองไว้

หัวหน้าทหารบนหลังมา บังคับม้าให้เดินเข้ามาใกล้สตรีทั้งสอง แล้วพูดขึ้นว่า
“พวกเจ้า เป็นนักบวชหญิงจงหยวน ใช่หรือไม่ เหตุใดจึงรุกล้ำเข้ามาในดินแดนแห่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของเรา”

ฮุ่ยหนิงและลี่จิน หันมองดูหน้ากัน แล้วฮุ่ยหนิงก็พูดขึ้นว่า
“ข้าคือชาวจงหยวน เดินอยู่บนแผ่นดินจงหยวน เหตุใดจึงมาว่าข้ารุกล้ำดินแดนของพวกเจ้า
พวกเจ้าต่างหากที่ล่วงล้ำแผ่นดินจงหยวนเรา พวกเราแม้เป็นหญิงถึงตายก็หาได้เกรงกลัว เหล่าสุนัขที่รุมล้อม
อย่างพวกเจ้าไม่”

หัวหน้าทหารได้ยินคำตอบโต้อันเผ็ดร้อนของฮุ่ยหนิง ก็โกรธ พูดขึ้นว่า
“นักบวชหญิงผู้นี้ วาจาสามหาวนัก ทหาร…ข้าไม่ต้องการนางทั้งสองเป็นๆแล้ว”

สิ้นคำสั่ง เหล่าทหารที่รายล้อมอยู่ ก็โหมกระหน่ำจ้วงแทงใส่ ฮุ่ยหนิงและลี่จิน ทั้งหอก และดาบ
ฮุ่ยหนิง และลี่จิน ใช้กระบี่คู่กายปัดป้องเป็นพัลวัล แต่ก็มิอาจต้านทานกำลังทหารที่มากกว่า
และหนุนเนื่องมาเพิ่มขึ้น จนเรี่ยวแรงของพวกนางอ่อนลงทุกที

ในที่สุด เหล่าทหารที่รายล้อมอยู่นั้น ก็กระชับพื้นที่เข้ามาแล้วใช้หอกแทงมาจากทุกทิศประสานกัน
จนทั้งสองไม่สามารถขยับร่างได้

หัวหน้าทหารบนหลังม้า เห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีชัย
“ฮ่า…ฮ่า..ฮ่า….ฆ่าพวกมันซะ”

ขณะที่เหล่าทหารรายล้อม ฮุ่ยหนิง และลี่จิน กำลังถอยคมหอกออกมา เพื่อจะจ้วงแทงเข้าไปใหม่
อีกครั้ง ก็บังเกิดเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของทหารเหล่านั้น จนล้มตายลงถึงคราวละสามสี่คน

ปรากฏร่างของ ของสตรีหลายนางถือกระบี่เข้าฟาดฟันกับเหล่าทหารเหล่านั้น จนล้มตายลงอีกนับสิบคน

พวกนางคือ คณะเดินทางของ ลิ่มบ้อฮวย และภูตแพรทั้งสี่ ที่ได้ยินเสียงผู้คนต่อสู้กัน ก็ลอบติดตามมา
สังเกตุการณ์ ครั้นเห็นเป็น ฮุ่ยหนิงและลี่จินถูทหารเบญจธาตุล้อมอยู่ ก็พากันออกมาช่วยเหลือ

ฮุ่ยหนิง และ ลี่จิน เห็นว่ามีคนมาช่วยเหลือก็เกิดกำลังใจลุกขึ้นใช้กระบี่ฟาดฟัน แหวกวงล้อมออกมา
ไล่ฆ่าฟันเหล่าทหารลัทธิเบญจธาตุที่ยังเหลืออยู่จนล้มตายลงหมดสิ้น

ครั้นเห็นว่าเหล่าทหารลัทธิเบญจธาตุ ตายลงจนหมดสิ้นแล้ว ฮุ่ยหนิงและลี่จิน ก็เข้าไปกล่าวขอบคุณ
ต่อ ลิ่มบ้อฮวยและศิษย์ รวมทั้งภูตแพรทั้งสี่

“ข้า ฮุ่ยหนิง และนี่ ศิษย์น้องข้า ลี่จิน ขอขอบคุณพวกท่านเป็นอย่างมาก ที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ”

ลิ่มบ้อฮวย แย้มยิ้มตอบกลับนางไปว่า
“ข้าดีใจยิ่งนัก ที่เห็นท่านทั้งสองตื่นฟื้นจากพิษสะกดวิญญาณแล้ว”

ฮุ่ยหนิงจ้องมองนางด้วยความสนเทห์ใจ
“ท่านทราบรึ ว่าเราทั้งสองเคยต้องพิษสะกดวิญญาณของ ลัทธิเบญจธาตุ”

“ใช่แล้ว พวกเราและท่านหมอเมี่ยวเป็นผู้บุกเข้าไปช่วยพวกท่านออกมา
พร้อมกับ เยี่ยกุ้ยอิง น้องของข้า”

ฮุ่ยหนิง หันไปสบตากับลี่จิน แล้วพูดว่า
“แต่ผู้ที่ช่วยเหลือเรา คือ ชายหนุ่มผู้หนึ่ง มีชื่อว่าเฟยอี้ มิใช่ท่านหมอเมี่ยว”

ลิ่มบ้อฮวย จึงพูดขึ้นว่า
“อ้อ…เฟยอี้เป็นศิษย์ของท่านหมอเมี่ยว ทั้งสองคงร่วมมือกันให้การรักษาพวกท่าน
แล้วเหตุใด ท่านจึงเดินทางมายังที่แห่งนี้”

“ข้าได้ยินมาว่า เฟยอี้ มีอันตรายถึงตาย ข้าจึงออกมาสืบดู และคิดช่วยเหลือหากว่า
มันอาจจะยังมีชีวิตอยู่ เพื่อเป็นการตอบแทนที่มันเคยช่วยพวกเราไว้ แล้วพวกท่านเล่ากำลังจะเดินทางไปที่ใด”

ภูตแพรทั้งสี่ได้ยินนางพูดเช่นนั้น ก็คิดสงสัยแต่ไม่รู้ว่าจะกล่าวออกมาเช่นไร จึงคิดอยู่ภายในใจว่า
หากพบตัวเฟยอี้ ก็จะไถ่ถามให้รู้ความ ว่าเหตุใดจึงมีสตรีหลายนางออกตามหามันมากนัก

แล้วภูตแพรขาวจึงพูดขึ้นว่า
“พวกเราทั้งหมดนี้ ก็ออกตามหาเฟยอี้เช่นกัน ท่านทั้งสองคิดที่จะร่วมทางไปกับพวกเราหรือไม่”

ฮุ่ยหนิงได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจ กล่าวออกมาว่า
“มีเพื่อนร่วมเดินทาง ย่อมปลอดภัยกว่า เดินทางแต่เพียงลำพัง เช่นนั้นเราทั้งสองก็ขอร่วมทางไปกับพวกท่านด้วย”

แล้วทั้งหมดก็พากันออกเดินทางต่อไปด้วยจุดมุ่งหมายเดียวกัน

———–

Share the Post:

Related Posts

แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู

เรื่องเสียว แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู เอิร์นนะคร้า เป็นสาวมหาลัยในเชียงใหม่นี้เองค่า เอิร์นเป็นสาวมหาลัยปีสองแล้วค่ะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องผู้ชายเลย ยุคนี้แล้วเนอะ ไม่ใช่แค่ผู้ชายนะคะที่ล่าแต้ม เอิร์นเองก็กินมาเยอะเหมือนกันค่ะ สูงยาว ลำอวบ ใหญ่ยาว กินมาหมดแล้วค่า ชีวิตครั้งนึงเนอะ เรื่องพวกนี้ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ต้องมีบ้างอยู่แล้วใช่ไหมค่ะ และแน่นอนว่าเอิร์นเลยกินแต่วัยเดียวกัน รู้ตัวอีกทีได้แอบกินรุ่นใหญ่พี่แท็กซี่ซะอย่างนั้นเลยค่ะ ที่สำคัญไม่เคยเจอมังกรที่ใหญ่ยักษ์ขนาดนี้มาก่อน มาเริ่มเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ ด้วยความที่อยู่เชียงใหม่ที่เที่ยวเยอะ

Read More

จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว

เรื่องเสียว จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว “ตั้งกล้องเรียบร้อยแล้ว มึงพร้อมยังจะได้กดเริ่ม” วันนี้เรามีถ่ายคลิปวิดีโอทำอาหารที่คอนโดของพวกเราสองคนที่เป็นเพื่อนกัน เรามองเม็กที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมสองเม็ดจนเห็นแผงอกที่เป็นมัดกล้าม กางเกงขาขั้นสั้นสบาย ๆ แต่พอมาอยู่บนร่างกายของเม็กแล้วมันดูดีไม่น้อยเลย ถึงแม้เราทั้งสองจะเป็นเพื่อนกัน แต่พอมาเจอมันในลุคนี้ก็ทำให้เราใจสั่นไม่น้อย “มึงกูสวยยัง” “สวยแล้ว” พอได้รับคำตอบที่สร้างความมั่นใจให้กับตัวเองแล้ว เราก็พยักหน้าให้มันเริ่มกดบันทึกภาพวิดีโอทันที การถ่ายทำดำเนินไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นตอนการชิมอาหาร “อะ

Read More