ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 14 เผชิญหน้าเทวทูตหน้าทอง ครั้งที่ 2
โดย zeech
หมอวิปลาส โอบกอดร่างเปลือยของหยางเพ่ยจือที่นอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย แล้วก้มลงจุมพิตที่พวงแก้ม
พลางพูดขึ้นว่า
“ข้ามิอาจอยู่รั้งรอกับเจ้าได้นาน คงเพียงแต่คาดหวังว่า เจ้าคงคิดถึงข้าบ้าง
ข้าจะขอรับพิษ สะกดวิญญาณและกระดิ่งเรียกวิญญาณนี้ ไปเป็นที่ระลึกแทนตัวเจ้า
และขอลาเจ้าแล้ว”
เมื่อมันสวมใส่เสื้อผ้าเสร็จ ก็กระโจนขึ้นหลังคาตึก แล้วก้าวย่างไปในอากาศด้วยวิชา เมฆาลอยล่อง
หายลับไปจากหลังคาตึกนั้น
หยางเพ่ยจือ เปิดเปลือกตาขึ้น แววตาฉายแววเซื่องซึม นางได้ยินทุกคำพูดของหมอวิปลาส
แม้มันมิใช่ชายที่นางคาดหวังไว้ว่าจะเป็นสามีของนาง แต่เมื่อมันเป็นไปแล้ว นางเองก็มิได้รู้สึกเสียใจ
แต่อย่างใด ในช่วงชีวิตที่ผ่านมานางไม่เคยพบชายใดที่มีความสามารถสยบนางได้เช่นมัน มีแต่จบชีวิตลง
ด้วยพิษของนาง พลันก็บังเกิดความประทับใจในตัวมันขึ้นในจิตใจ
ฟ้าใกล้จะสว่าง หมอวิปลาสหมอบนิ่งอยู่บนหลังคาตึกใหญ่ตึกหนึ่ง ลอบสังเกตุเห็นความเคลื่อนไหว
คล้ายเตรียมกองกำลังครั้งใหญ่ออกเดินทาง พลันได้ยินชายผู้หนึ่ง แต่งกายคล้ายเป็นหัวหน้ากองกำลัง
พูดถึงการจัดเตรียมสัมภาระเพื่อเดินทางไปยังวังหุบผาภูต ก็สอดคล้องกับเรื่องที่เฟยอี้เล่าให้ฟังเมื่อก่อนหน้านี้
มันจึงเห็นเป็นโอกาสอันเหมาะสม รอให้เจ้าลัทธิและกองกำลังส่วนใหญ่ออกเดินทางแล้ว จึงค่อยสืบหาและชิงตัว
เยี่ยกุ้ยอิงกลับมาในคราวนี้เลย
รอจนขบวนเจ้าลัทธิออกเดินทางออกไปจนหมดสิ้นแล้ว มันจึงลงจากหลังคา สืบเสาะเข้าไปภายในวังแล้วเดินลัดเลาะ
ลึกเข้าไปยังส่วนใน บรรลุถึงห้องโถงห้องหนึ่ง บังเกิดเสียงกระดิ่งดังขึ้น มีดรุณีนางนึง แต่งกายเป็นสตรีสูงศักดิ์
ในมือถือกระดิ่ง กำลังร้องสั่งสตรีสามนางที่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าของนาง พลันสตรีทั้งสามนางก็แยกย้ายไป แล้วยืนนิ่งตาม
จุดต่างๆตามคำสั่งของดรุณีผู้นั้น หลังจากนั้นดรุณีผู้นั้นก็เดินจากไป
หมอวิปลาสลอบมองดูอยู่นาน เห็นสตรีทั้งสามนางยืนนิ่งประดุจหุ่นไร้ชีวิต ก็มั่นใจว่าคงเป็นสตรีที่ถูกลักพาตัวมา
ทำให้เป็นองครักษ์หุ่น มันจึงตัดสินใจออกมา จากที่กำบังเข้าไปพิจารณาสตรีทั้งสามโดยใกล้ชิด
สองนางแรก เป็นนักบวชหญิงวัยสิบหกสิบเจ็ดปี ตามคำบอกเล่าของเหม่ยเยี่ยมันก็คาดเดาว่าเป็น
ศิษย์แห่งสำนัก อารามชีบุปผาหยก ฮุ่ยหนิง และ ลี่จิน ทั้งสองนางยืนนิ่งประดุจหุ่นไร้ชีวิต ครั้นพอมันก้าวเดิน
ล่วงเขตที่ทั้งสองนางยืนอารักขาอยู่ ทั้งสองนางก็ชักกระบี่ออกจ้องมองมายังมันคล้ายเตรียมจะลงมือ
ครั้นมันเดินถอยออกมา นางทั้งสองก็หยุดนิ่งอยู่ในตำแหน่งเดิม
หมอวิปลาสเดินสำรวจไปยังอีกนางหนึ่ง เป็นสตรีวัยสามสิบปี ใบหน้านางขาวผุดผ่องงดงาม เป็นที่ต้องใจมันนัก
มันยืนชมโฉมของนางอยู่ครู่หนึ่ง พลันสายของมันก็ไปหยุดอยู่ที่ฝักกระบี่ของนาง มีรูปจันทร์เสี้ยวทาบทับบนดอกบ๊วย
อันเป็นสัญลักษณ์ของสำนักเงาจันทรา มันจึงมั่นใจว่านางผู้นี้ต้องเป็น เยี่ยกุ้ยอิง ศิษย์เอกของ ลิ่มบ้อฮวย เป็นแน่แท้
หมอวิปลาสเดินสำรวจโดยรอบมองไม่เห็นผู้ใด นอกจากนางทั้งสาม จึงตัดสินใจหยิบเอากระดิ่งเรียกวิญญาณของหยางเพ่ยจือ
ออกมา แล้วสั่นกระดิ่งพลางออกคำสั่ง
“พวกเจ้าทั้งสาม จงตามข้ามา”
จากนั้น มันก็เดินตรงไปยังทางออก แล้วทะยานร่างขึ้นบนหลังคาตึก องครักษ์หุ่นทั้งสามก็ติดตามมันมาอย่างใกล้ชิด
แล้วทะยานร่างขึ้นบนหลังคาตึกเช่นเดียวกับมัน หมอวิปลาสเห็นเช่นนั้นก็มั่นใจว่าได้ผล จึงนำนางทั้งสามออกจาก
วังเบญจธาตุไปในวันนั้นมุ่งหน้าไปพบ ลิ่มบ้อฮวยและศิษย์ของนางตามที่นัดหมายกันไว้
ลิ่มบ้อฮวย เหม่ยเยี่ย เหม่ยผิง เหม่ยลี่ และ เม่ยเม่ย เฝ้ารอการกลับมาของหมอวิปลาส ด้วยความกระวนกระวานยิ่ง
จนแสงตะวันแห่งวันใหม่ สาดส่องเข้ามา ลิ่มบ้อฮวยก็สิ้นสุดความอดทน ลุกขึ้นเตรียมจะออกติดตาม
เหม่ยเยี่ยเห็นเช่นนั้นจึงร้องทักขึ้น
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านจะไปที่ใด”
“ข้าเกรงว่า ท่านหมอเมี่ยวจะมีอันตราย ไปดูเบาะแสเหตุใดจึงใช้เวลาหมดไปทั้งคืน ข้าเกรงว่า..”
ยังมิทันที่นางจะพูดจบ ก็ปรากฏร่างของหมอวิปลาส และ สตรีอีกสามนาง กำลังเดินตรงมา ยังที่อยู่ของพวกนาง
ทั้งหมดทราบดีว่า บรุษที่เดินตรงเข้ามานั้น คือ หมอวืปลาส แต่สตรีเสื้อเขียวที่เดินตามติดหลังมันมา
ช่างดูคุ้นตาพวกนางนัก เมื่อนางเดินใกล้เข้ามาในระยะหนึ่ง เหม่ยลี่ก็เบิกตากว้างตะเบ็งเสียงดังออกมาเป็นคนแรก
“นั่น..นั่น.อาจารย์หญิง”
เหม่ยเยี่ย เหม่ยผิง เหม่ยลี่ วิ่งตรงไปหาเยี่ยกุ้ยอิง พลางเขย่าแขนของนางทั้งสองข้างอย่างดีใจ
ลิ่มบ้อฮวย เดินยิ้มเข้ามาหาหมอวิปลาส แล้วพูดขึ้นว่า
“ท่านได้ช่วยข้าสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่อีกเรื่องหนึ่งแล้ว ข้าไม่รู้จะตอบแทนคุณท่านเช่นใดดี”
หมอวิปลาสจ้องมองลิ่มบ้อฮวยด้วยดวงตาหยาดเยิ้ม แล้วพูดว่า
“บ้อฮวย เจ้ากับข้า ใยต้องเกรงใจกันอีก”
ลิ่มบ้อฮวย เหลือบมองไปที่เยี่ยกุ้ยอิง เห็นอาการของนางนิ่งคล้ายดังหุ่นก็นึกขึ้นได้
จึงเอ่ยปากถามขึ้น
“ท่านได้เบาะแสของยาถอนพิษหรือไม่”
“พิษสะกดวิญญาณ ไม่มียาถอนพิษ ข้าจะต้องนำพวกนางไปศึกษาหายาถอนพิษในภายหลัง
แต่ในตอนนี้ พวกเราต้องเร่งเดินทางออกจากที่นี่ก่อน หากพวกมันรู้ตัวแล้วออกติดตาม
พวกนางทั้งสามก็จะกลับไปหาพวกมันอีก”
ทุกคนในที่นั้น เห็นด้วยกับหมอวิปลาส จึงเร่งพากันออกเดินทางไปจาก ณ ที่นั้น
ในระหว่างการการเดินทาง หมอวิปลาสได้บอกเล่าเรื่อง เจ้าลัทธิได้จัดขบวนออกเดินทางไปยัง
วังหุบผาภูต รวมทั้งเรื่องของเฟยอี้ที่กำลังเดินทางไปสมทบที่วังหุบผาภูตด้วยเช่นเดียวกัน
ครั้น เหม่ยผิง และเหม่ยลี่ ได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจยิ่งนักที่เฟยอี้ยังไม่ตาย ตรงเข้าไถ่ถาม หมอวิปลาส
อย่างตื่นเต้นดีใจ ครั้นพอทราบเรื่องทั้งหมด ทั้งสองนางก็บังเกิดความห่วงหาขึ้นในจิตใจของนาง
ใคร่จะพบหน้าของเฟยอี้โดยเร็ว นางทั้งสองก่อเกิดความรักให้กับชายที่เสียสละชีวิตของตนเพื่อช่วยนาง
เหม่ยเยี่ย ครั้นเห็นน้องสาวทั้งสองมีอาการเช่นนั้น และรู้จักนาม เฟยอี้ แทนที่จะเป็น หลิงหลิง สตรีแปลงโฉม
ก็คาดเดาเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด เนื่องจากนางทราบดีว่าในกายของเฟยอี้นั้น มีฤทธิ์ยาเหมยฟ้ารัญจวนแฝงอยู่
เช่นเดียวกับนาง นางได้แต่รำพึงอยู่ในใจว่า พวกเราพี่น้องทั้งสาม มีชะตาร่วมสามีเดียวกันแล้ว
ส่วนตัวนางเองนั้นไม่สามารถระบายความรู้สึกใดๆออกมาได้ เพียงได้ยินชื่อเฟยอี้ นางก็หวลคิดถึง
วันที่ได้ร่วมรักกันกับมัน พลันก็คล้ายจะก่อเกิดกำหนัดขึ้นจากฤทธิ์ยาเหมยฟ้ารัญจวนที่อยู่ในร่าง
นางจึงนิ่งเงียบระงับสติ ไม่กล่าวสิ่งใดออกมา
ส่วนเม่ยเม่ยที่ร่วมเดินทางไปด้วย ครั้นพอทราบว่าจะเดินทางไปยังวังหุบผาภูต ก็เกิดความลำบากใจ
นางละอายที่ถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้ไม่รู้คุณผู้อื่นที่ให้ความช่วยเหลือ ซ้ำยังขโมยคัมภีร์ยุทธ และฆ่าคน
ของวังหุบผาภูตตายอีก ทั้งหมดเป็นความเลวที่เกิดขึ้นจริง แต่นางมิได้เป็นผู้ก่อ หากแต่เป็นพี่ชายของนาง
แต่ก็ไม่มีผู้ใดคิดถึงความจริงข้อนี้ นางก็ยังคงถูกประนามว่าเป็นพวกเดียวกัน
เมื่อเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง มองไม่เห็นผู้ใดสนใจนางแล้ว เม่ยเม่ยก็ค่อยๆชลอฝีเท้าลงจนหยุดนิ่ง
แล้วหลบเดินหนีไปอีกทาง โดยไม่มีผู้ใดเฉลียวใจ
———–
แสงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า ความมืดมิดเริ่มเข้ามาเยือน เว่ยฉิงคังพาร่างอันบอบช้ำของมันบรรลุ
จากป่าลึกมาพบกับสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นที่กว้างโล่งชายเขา ร่างของมันทรุดลงแล้วล้มกลิ้งหมุนไป
จนกระทบเข้ากับแผ่นศิลาแผ่นหนึ่ง แล้วค้างนิ่งอยู่เช่นนั้น มันหันใบหน้าเหลือบตามองดูที่แผ่นศิลานั้น
เห็นข้อความจารึกอยู่บนแผ่นศิลา ก็ทราบว่าเป็นป้ายชื่อบนหลุมฝังศพ ครั้นพอกวาดตาไปโดยรอบก็พบกับ
เครื่องเซ่นวิญญาณ วางอยู่สำรับหนึ่ง ด้วยความอ่อนเพลียและหิวกระหาย เว่ยฉิงคังก็ตรงเข้ายกขวดสุราขึ้นมาดื่ม
และกินเครื่องเซ่นที่จัดไว้นั้นจนหมดสิ้น แล้วหลับไปอย่างอ่อนเพลียอยู่ ณ สถานที่แห่งนั้น
จนเวลาล่วงมาถึงเช้าวันใหม่ เว่ยฉิงคังก็กลับมีกำลังขึ้น มันจึงเริ่มเดินสำรวจอาณาบริเวณโดยทั่ว ก็ทราบว่า
ที่แห่งนี้เป็นสุสานของคนตระกูลใหญ่ มันเดินสำรวจจนพบกับฮวงซุ้ยใหญ่ตั้งอยู่บนเนินดินสูง
คล้ายเป็นฮวงซุ้ยของผู้เป็นใหญ่ในตระกูลนี้ มันจึงเปิดประตูเข้าไปยังภายในฮวงซุ้ย พบว่ามีพื้นที่กว้างใหญ่
เหมาะแก่การฝึกยุทธ ทั้งยังเป็นสถานที่มิดชิด รอดพ้นจากสายตาผู้คน และมีลักษณะต้องตามข้อความที่ระบุ
อยู่ในคัมภีร์ มันจึงตกลงใจจะใช้สถานที่ภายในฮวงซุ้ยแห่งนี้ ฝึกฝนวิชายุทธ
ในวันนั้น เว่ยฉิงคังตกลงใจเริ่มฝึก มันพลิกเปิดคัมภีร์ลมปราณพรากวิญญาณ ในส่วนการฝึกเดินลมปราณออกอ่าน
ก็พบกับวิธีการฝึกลมปราณที่พิสดาร
โดยปกติช่องท้องจะเป็นฐานเก็บพลังลมปราณ เมื่อเดินลมปราณให้โคจรทั่วร่างจนเกิดกระแสไอร้อนขึ้นแล้ว
ก็จะช่วยทะลวงจุดสำคัญต่างๆของผู้ฝึกยุทธให้เปิดออก และเมื่อเสร็จสิ้นการเดินลมปราณแล้ว ก็จะต้องโคจร
ลมปราณนั้นคืนกลับช่องท้อง มิให้เหลือคั่งค้างตามส่วนต่างๆของร่างกายจนก่อเกิดอันตรายขึ้น
แต่ในคัมภีร์ลมปราณพรากวิญญาณกลับแตกต่างออกไป
โดยในขั้นตอนแรกให้รวบรวมลมปราณทั้งร่างมาไว้ที่ช่องท้อง แล้วโคจรลมปราณให้หมุนวนอยู่แต่ในช่องท้องนั้น
จนเกิดกระแสไอร้อนพุ่งพวยขึ้น
จากนั้นจึง เคลื่อนย้ายลมปราณที่มีกระแสอุ่นร้อนนั้นไปยังฐานทั้งห้า คือ กึ่งกลางศรีษะ กึ่งกลางหน้าผาก
เบ้าตาทั้งสอง กึ่งกลางหน้าอก และ ทวารหนัก แล้วปิดกั้นลมปราณนั้นไว้ มิให้ไหลวนกลับมาที่ท้องน้อย
เพื่อเร่งเปิดจุดสำคัญแห่งฐานทั้งห้า ในขั้นตอนนี้จะสร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้ฝึกอย่างแสนสาหัส
จนเมื่อเมื่อจุดสำคัญทั้งห้าเปิดออก ก็จะสามารถเปิดรับพลังจากภายนอกได้ ในขั้นตอนนี้จึงออกไปรับ
พลังไอเย็นจากดวงวิญญาณคนตายเข้าสู่ร่างควบคู่กับการฝึกฝนกระบวนท่า
เว่ยฉิงคังทดลองฝึกฝนตามคัมภีร์นั้นทันที มันผ่านขั้นตอนแรกมาได้ด้วยดี จึงเริ่มฝึกในขั้นตอนที่สอง
เมื่อปิดกั้นลมปราณค้างไว้ ให้อยู่แต่ในฐานทั้งห้า ก็บังเกิดความทุกข์ทรมานขึ้นแก่ร่างของมัน
จนเกิดเม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้าอย่างชุ่มโชก มันแข็งใจสู้อดทนต่อความทุกข์ทรมาน ที่ทวีความรุนแรง
มากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดมันก็ต้องส่งเสียงระบายความทุกข์ทรมานนั้นออกมาอย่างโหยหวน
ในวันแรกมันทนต่อความทุกข์ทรมานได้เพียงหนึ่งชั่วยาม จนเวลาล่วงผ่านไปหลายวัน มันก็เพิ่มขีดความ
สามารถในการทนต่อความทุกข์ทรมานได้นานขึ้นเรื่อยๆ เสียงร้องโหยหวนบังเกิดขึ้นทุกค่ำคืน จนผู้คน
ที่ได้ยินเข้าใจว่าเป็นเสียงของภูตผีในสุสาน
วันเวลาล่วงผ่านไป ร่างกายของเว่ยฉิงคังกลับเปลี่ยนแปรไปอย่างเห็นได้ชัด เส้นผมของมันหลุดร่วง
จนมีหน้าผากที่กว้างขึ้น และแปรเปลี่ยนเป็นสีขาว ดวงตาเป็นเบ้าลึก บังเกิดสีแดงดังโลหิตปะปนกับสีขาวในดวงตามัน
ร่างกายผอมแห้ง ขาวซีดจนคล้ายดั่งไม่มีโลหิตในร่าง โดยรวมคล้ายกับมันมีอายุเกินสี่สิบปีไปแล้ว
ในวันหนึ่ง ในขณะที่มันเดินลมปราณเหมือนเช่นเคย เว่ยฉิงคังก็พบกับความเปลี่ยนแปลงในร่างของมัน
จุดสำคัญในตำแหน่งฐานทั้งห้ามีอาการคล้ายดังพองโต สามารถดูดและซึมซับ พลังลมปราณที่มันโคจรไปกักไว้
ได้จนหมดสิ้น ครั้นทดลองโคจรถ่ายเทพลังลมปราณจากจุดทั้งทั้งห้า กลับมายังท้องน้อย ก็เป็นไปได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว
ใบหน้าของมันฉายแววแห่งความยินดีออกมา คล้ายได้สิ่งที่สมดังหวัง จุดสำคัญแห่งฐานทั้งห้าของมันถูกเปิดออก
มันสำเร็จการฝึกลมปราณในขั้นตอนที่สองแล้ว จากวันนี้ไปความหวังของมันใกล้ความจริงเข้ามาอีกขั้น
เหลือเพียงการเดินลมปราณ ซึมซับพลังวิญญาณ และฝึกฝนกระบวนท่าเท่านั้น
หลังจากวันนั้น ในยามค่ำคืนอันปลอดผู้คน เว่ยฉิงคังจะเดินออกมาจากฮวงซุ้ย ไปยังลานกว้าง อันเป็นที่ฝังศพของคนนับร้อย
แล้วนั่งโคจรลมปราณเปิดจุดทั้งห้าออกรับพลังวิญญาณอยู่จนตลอดคืน จนท้องฟ้าเริ่มมีแสงอรุณส่องมา มันก็จะเดินกลับไป
พักในฮวงซุ้ย ฝึกฝนกระบวนท่า ฝ่ามือพรากวิญญาณจากคัมภีร์ รอจนถึงค่ำคืนก็จะออกมารับพลังวิญญาณใหม่ มันคร่ำเคร่ง
ฝึกปรืออยู่เช่นนี้อย่างไม่หยุดหย่อน ทุกคืน ทุกวัน ไม่เคยว่างเว้น
ผู้ใดมุ่งมั่น ขวนขวาย กระทำในสิ่งที่ตนปราถนาอย่างถึงที่สุด โดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค จนถึงขั้นเอาชีวิตเข้าแลก
ผู้นั้นย่อมได้ผลสำเร็จ ตามที่ปราถนาอย่างแน่นอน
เว่ยฉิงคังก็เช่นกัน ในวันหนึ่ง ขณะที่มันกำลังฝึกฝนกระบวนท่าในคัมภีร์ จนมันสามารถร่ายรำได้อย่างช่ำชอง
และสอดคล้องกับการโคจรพลังให้ไหลเคลื่อนไปตามท่วงท่า ก็พลันบังเกิดคล้ายขุมพลังเย็นเยียบขนาดใหญ่
ขึ้นมาจากฐานทั้งห้า มันรู้สึกว่าร่างของมันมีพลังปราณที่พร้อมใช้อย่างไม่สิ้นสุด มันจึงนั่งลง แล้วรวบรวมลมปราณ
จากฐานทั้งห้ามาสู่ท้องน้อย จนพลังเย็นเยียบนั้นผนึกเป็นก้อนพลังขนาดใหญ่ แล้วส่งพลังนั้นผ่านไปยังฝ่ามือทั้งสอง
แล้วฟาดออกไปในลักษณะชูขึ้นเหนือศรีษะ ก้อนพลังนั้นพุ่งออกจากฝ่ามือของมันตรงขึ้นไปปะทะเข้ากับส่วนบนของฮวงซุ้ย
จนเกิดเสียงกัมปนาทสนั่นหวั่นไหว ส่วนบนของฮวงซุ้ยพลังทลายปลิวกระเด็นออกไปเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เว่ยฉิงคัง แหงนขึ้นมองไปยังเบื้องบนที่เปิดโล่ง มองเห็นท้องฟ้าที่สว่างไสว แล้วส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างยินดีในความสำเร็จของตน
———-
ขบวนของลัทธิเบญจธาตุประกอบไปด้วย ไพร่พลนับร้อย โดยมีเจ้าลัทธินั่งมาในเกี้ยวที่มีบริวารสี่คนแบกหาม
ข้างขวา เป็นบุรุษสวมหน้ากากทองคำ นั่งอยู่บนหลังอาชาที่เหยาะย่างอยู่ไม่ห่าง จากเกี้ยวนัก
ส่วนหน้าของเกี้ยว คือ บุรษสี่คน ได้แก่ ทูตดิน ทูตน้ำ ทูตลม และทูตไฟ เดินถือาวุธประจำกาย ออกเดินนำหน้า
ดวงตาทั้งสี่คู่ สอดส่องความเคลื่อนไหวและระแวดระวังภัย ให้กับผู้เป็นนายในขณะเดินนำขบวน
พวกมันเดินทางมาเป็นเวลากว่าสิบวัน ข้ามหุบเขาน้อยใหญ่ จนบรรลุถึงผาแห่งหนึ่ง ทูตไฟก็ให้สัญญาณ
หยุดขบวน แล้วเดินมายังหน้าเกี้ยวที่เจ้าลัทธินั่งอยู่
“ท่านเจ้าลัทธิ เบื้องหน้าเป็นหน้าผาสูงชัน หากมองลงสู่เบื้องล่างจะมองเห็นวังหุบผาภูตอยู่ ณ ที่นั้นแล้ว”
เจ้าลัทธิได้ยินเช่นนั้น ก็สั่งให้ลดเกี้ยวลง แล้วเดินไปยังขอบหน้าผานั้น
“ข้าจะขอทักทายอ๋องลีลู่ปังจากผาแห่งนี้ พวกเจ้าจงถอยออกไปแล้วปิดหูซะ”
ทูตทั้งสี่ เดินกลับมาออกมาแล้วสั่งไพร่พล ให้ปิดหูทั้งหมด สงบนิ่งรออยู่ ณ เบื้องหลัง
เจ้าลัทธิครั้นเห็นไพร่พลฝ่ายตนถอยออกไปแล้ว ก็ตั้งท่าโคจรพลังลมปราณเบญจธาตุ เคลื่อนเข้าสู่
ลำคอ แล้วเปล่งเสียงออกมาด้วยวิชา ส่งเสียงพันลี้
“ข้าพเจ้าประมุขแห่งลัทธิเบญจธาตุ นำไพร่พลมาขอคารวะท่านอ๋อง ณ.ที่แห่งนี้แล้ว”
เสียงอันทรงพลังแหวกอากาศลงไปยังเบื้องล่าง ฝูงนกน้อยใหญ่ในป่าต่างตื่นกลัวในพลังเสียง
พากันกระพือปีกบินขึ้นสู่เบื้องบน จนเต็มท้องฟ้า
เสียงอันทรงพลังนั้น ดังไปถึงภายในวัง ขณะที่อ๋องลีลู่ปังกำลังนั่งกรรมฐานอยู่ จนสะดุ้งลืมตาขึ้น
เหล่าองครักษ์ ต่างกรูกันเข้ามาให้การอารักขารายล้อมอ๋องลีลู่ปังไว้ อ๋องลีลู่ปังเห็นดังนั้น
ก็พูดขึ้นว่า
“พวกเจ้าไม่ต้องตื่นตกใจ เจ้าลัทธิเบญจธาตุหมายจะข่มขวัญพวกเราด้วย วิชาส่งเสียงพันลี้
พวกเจ้าจงไปเตรียมพร้อมต้อนรับพวกมัน ไม่ต้องห่วงข้า”
เป็นเวลาเดียวกันกับเฟยอี้ และภูตแพรทั้งสี่ เดินทางมาถึงรอบนอกกำแพงวัง เฟยอี้ได้ยิน
เสียงแฝงพลังลมปราณอันเข้มแข็ง ดังออกมาจากผาสูงนั้น ก็ทราบได้ทันทีว่า เหล่าลัทธิเบญจธาตุได้เดินทาง
มาถึงแล้ว ครั้นไม่ได้ยิน อ๋องลีลู่ปังส่งพลังเสียงตอบกลับไป ก็คาดว่าคงเป็นเพราะอ๋องลีลู่ปังต้องการสงวนพลังไว้
เนื่องจากอยู่ในภาวะฟื้นฟูอาการธาตุไฟกำเริบ
มันจึงคิดใช้พลังลมปราณของมันตอบโต้ออกไป แทนอาจารย์ จึงหันไปบอกให้ ภูตแพรทั้งสี่ถอยห่างออกไป
แล้วปิดหูเสีย พลางตั้งท่าโคจรพลังลมปราณตามแนววิชา ลมปราณภูตคำราม อ้าปากส่งเสียงอันแฝงไปด้วย
พลังปราณที่เข้มแข็งขึ้นสู่ผาแห่งนั้น
“ข้าน้อย เฟยอี้ ศิษย์แห่งอ๋องลีลู่ปัง มารอต้อนรับท่านตามคำสั่งของท่านอ๋องอยู่ ณ.ที่แห่งนี้แล้ว”
พลังเสียงของ เฟยอี้ แหวกอากาศพุ่งสูงขึ้นไปกระทบกับยอดผาแห่งนั้น จนเกิดการสั่นสะเทือน
เป็นผลให้ก้อนหินเล็กใหญ่ไหลลงมา จนเจ้าลัทธิเบญจธาตุ ต้องถอยห่างออกมาจากขอบหน้าผานั้น
อย่างตื่นตะลึง แล้วลอบคิดอยู่ภายในใจ
“แม้เพียงศิษย์ของมัน ยังมีพลังลมปราณที่กล้าแข็งถึงเพียงนี้ เราจะประมาทอ๋องผู้นี้ไม่ได้แล้ว”
อ๋องลีลู่ปัง กำลังสั่งการเตรียมกองกำลัง เพื่อรับมือกับเหล่าคนของ ลัทธิเบญจธาตุ พอได้ยินพลังเสียง
ของเฟยอี้ที่ส่งออกมานั้น เต็มไปด้วยพลังปราณที่เข้มแข็ง ก็หยุดนิ่งด้วยความตื่นตะลึง
แล้วเปล่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความยินดี
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ศิษย์ของข้า ประเสริฐนัก เจ้ารุดหน้า เกินหน้าอาจารย์เจ้าแล้ว”
เหล่ากองกำลังลัทธิเบญจทูต เดินทางเข้ามาถึงประตูใหญ่ของวังหุบผาภูต ที่เปิดโล่งออก
สองข้างทางเดิน ล้วนเต็มไปด้วยกองกำลังทหารยืนนิ่งสงบ คล้ายดั่งให้เกียรติต้อนรับ
แต่ในมือถืออาวุธ และโล่ ทั้งใส่เกราะพร้อมทำการรบอย่างพรักพร้อม
เจ้าลัทธิเบญจธาตุที่นั่งอยู่ภายในเกี้ยว มองสำรวจไปโดยรอบ เห็นเชิงเทินกำแพง
ก็ดูคล้ายกับมีทหารซุ่มซ่อนอยู่ จึงสั่งให้ลดเกี้ยวลง แล้วเดินออกมาพลางพูดขึ้นเสียงอันดังว่า
“วังหุบผาภูต มีธรรมเนียมต้อนรับอาคันตุกะเยี่ยงนี้เองรึ”
สิ้นเสียงของเจ้าลัทธิ ก็ปรากฎเสียงตอบโต้ขึ้น พร้อมกับการปรากฏร่างของ อ๋องลีลู่ปัง
เฟยอี้ ภูตแพรทั้งสี่ และองค์รักษ์ประจำตัวอีกลุ่มใหญ่
“ขออภัย ขออภัย โดยปกติวังหุบผาภูตไม่ต้อนรับอาคันตุกะ จึงไม่เรียนรู้ธรรมเนียมใดๆ”
เทวทูตหน้าทอง มองเห็นเฟยอี้ เดินออกมาในกลุ่มของอ๋องลีลู่ปัง ก็ตกใจจนลืมตัว
ร้องถามออกไป
“เจ้าเด็กน้อย เจ้า..เหตุใดเจ้าจึงยังมีชีวิต”
เฟยอี้ ยิ้มพลางส่ายศรีษะ แล้วโต้ตอบกลับไปว่า
“พลังฝ่ามือของท่าน ไร้เรี่ยวแรง ดุจฝ่ามืออิสตรี ไฉนจะทำร้ายข้าได้”
อ๋องลีลู่ปังเอ่ยปากห้ามปรามเฟยอี้ ไม่ให้เสียมารยาท แล้วเดินเข้ามายืนอยู่เบื้องหน้าเจ้าลัทธิ
พลางผายมือเชื้อเชิญให้เข้าไปยังปรัมพิธีที่จัดไว้ที่เบื้องนอก
เจ้าลัทธิมองไปยังปรัมพิธีแล้วพูดขึ้นว่า
“ท่านอ๋อง แม้ต้อนรับแขกท่านก็มิยินยอมเชื้อเชิญให้เข้าไปในบ้านเลยรึ หรือว่าท่านหลบซ่อน
สิ่งใด เกรงกลัวผู้อื่นจะพานพบใช่หรือไม่”
“ท่านเจ้าลัทธิ โดยปกติ เรากับท่านก็มิได้คบหาเป็นสหาย อีกทั้งเราก็มีธรรมเนียมไม่ต้อนรับ
บุคคลภายนอก ท่านพูดธุระของท่านจนจบสิ้น จะมิตรงความต้องการกว่ารึ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ประเสริฐ ท่านอ๋องกล่าววาจาตรงไปตรงมาเช่นนี้ ข้าชอบใจนัก ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะ
ไม่เกรงใจแล้ว กระบี่ศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิเรา ถูก หานไป่เจี้ยน ลักลอบขโมยไป ข้าสืบทราบมาว่า
มันหลบซ่อนอยู่ในวังหุบผาภูต จึงใคร่ขอท่านอ๋องส่งตัวมันคืนมาให้แก่ลัทธิเรา”
“ท่านเจ้าลัทธิ หานไป่เจี้ยน ฝีมือสูงล้ำ คุณธรรมสูงส่ง มีเหตุผลใดที่จะต้องลักลอบขโมยกระบี่
ของลัทธิท่าน มีเพียงผู้ที่มีฝีมือด้อยกว่า พ่ายแพ้แก่ท่านแล้วใช้วิธีต่ำทรามใส่ความให้ร้าย
หรือท่านมีความเห็นเช่นไร ท่านเทวทูตหน้าทอง”
เทวทูตหน้าทองมีอาการคล้ายเกิดความโกรธขึ้น
“ท่านพูดเช่นนี้ หมายความเช่นไร ใครเป็นผู้พ่ายแพ้ใส่ความให้ร้าย”
อ๋องลีลู่ปังหันไปมอง เทวทูตหน้าทอง แล้วพูดขึ้นว่า
“ชายชาตรี กล้าทำต้องกล้ารับ ใยมีพฤติกรรมเยี่ยงอิสตรี หลบๆซ่อนๆ ถอดหน้ากาก
ออกมา ท่าน หลงจินหู่”
เทวทูตหน้าทองมีอาการคล้าย อสรพิษถูกตีที่ขนดหาง พลันทะยานร่างจากหลังม้า โผเข้าจู่โจมใส่
อ๋องลีลู่ปังในทันที
อ๋องลีลู่ปังเกร็งลมปราณขึ้นยกฝ่ามือขึ้นต้านรับฝ่ามือของเทวทูตหน้าทองที่ถั่งโถมเข้ามา
เสียงฝ่ามือปะทะกันฉาดใหญ่ อ๋องลีลู่ปังเซถลาถอยหลังไปสองสามเก้า แล้วยืนหยัดขึ้นเก็บอาการไว้
ส่วนเทวทูตหน้า ถูกพลังต่อต้านจากอ๋องลีลู่ปังก็ถึงกลับล่องลอย ม้วนตัวกลับหลัง แล้วยืนหยัดขึ้นกับพื้น
พลางพูดขึ้นว่า
“เรามาต่อสู้กันอีกสักร้อยกระบวนท่า ให้รู้แพ้ชนะ ท่านเห็นเป็นเช่นไร ท่านอ๋อง”
เฟยอี้เห็นสถานการณ์ของอาจารย์คับขันเช่นนั้น ก็ก้าวออกมา แล้วพูดขึ้นว่า
“แค่ตัวท่าน มิต้องรบกวนให้อาจารย์ข้าลงมือ เพียงข้าเองแต่เพียงลำพังก็พิชิตท่านได้แล้ว”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าเด็กปากกล้า รอดตายจากฝ่ามือของข้ามาครั้งหนึ่ง ยังมีขวัญกล้า เสนอหน้า
มารับมือกับข้า ในคราวนี้ ข้าจะส่งเสริมให้เจ้าตายอย่างแท้จริง”
สิ้นคำพูด เทวทูตหน้าทองก็ปราดเข้ามา ฟาดฝ่ามือใส่ร่างของเฟยอี้ทั้งซ้ายและขวา ทุกกระบวนท่า
ล้วนกราดเกรี้ยวจู่โจมใส่จุดตาย แต่เฟยอี้ในยามนี้ ทั้งกระบวนท่า และพลังวัตรของมันล้วนสอดคล้อง
และเปี่ยมไปด้วยพลัง สายตาของมันจับจ้องที่กระบวนท่าที่จู่โจมเข้ามา พลางใช้ท่อนแขน และฝ่ามือซ้ายขวา
ขึ้นต้านรับ พลังวัตรที่เปี่ยมล้นของเฟยอี้ หนุนเนื่องรองรับทุกกระบวนท่าที่มันใช้ออกไป จนสลายพลังจู่โจม
ที่เทวทูตหน้าทองทุ่มเทเข้ามาจนหมดสิ้นไป
ยิ่งต่อสู้ เฟยอี้ก็ยิ่งรู้สึกมีความมั่นใจเพิ่มขึ้น จนเพิ่มพูนความพิสดารของกระบวนท่าขึ้นอีก
การต่อสู้ผ่านไปสามสิบกระบวนท่า เฟยอี้ก็กลับกลายจากตั้งรับเป็นจู่โจมบ้าง มันร่ายรำกระบวนท่า
ฝ่ามือภูตคำราม จากขั้นที่หนึ่ง จนถึงขั้นที่หก จู่โจมเข้าใส่จนเทวทูตหน้าทอง จนมันพร่างพรายตา
เคลื่อนย้ายฝ่ามือขึ้นตั้งรับเป็นพัลวัล พลางถอยเท้ากลับมาข้างหลัง
มันตื่นตกใจเป็นอย่างมาก ที่เห็นเฟยอี้มีความรุดหน้าในพลังฝีมือจนถึงขั้นนี้ จึงลอบคิดอยู่เพียงในใจว่า
หากมันตั้งรับอยู่เช่นนี้ คงต้องพลาดพลั้งต่อเฟยอี้เป็นแน่ จึงคิดที่จะใช้พลังลมปราณที่เหนือกว่าจัดการกับ
เฟยอี้ให้เด็ดขาดเช่นเดียวกันกับในครั้งก่อน
เมื่อคิดได้เช่นนั้น มันก็สะกิดเท้าล่องลอยมาข้างหลัง ห่างออกมาหลายสิบเก้า แล้วยกฝ่ามือทั้งสอง
จากช่วงเอวเลื่อนขึ้นสู่ทรวงอก เกร็งพลังลมปราณเบญจธาตุ จนตัวของมันโป่งพอง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้ม
แล้วผลักฝ่ามือทั้งสองออกจากร่างเต็มแรง พลันบังเกิดก้อนพลังใหญ่เคลื่อนออกจากฝ่ามือทั้งสอง
พุ่งสู่ร่างของเฟยอี้
เฟยอี้ครั้นเห็น เทวทูตหน้าทองเกร็งพลังลมปราณ ก็ทราบว่ามันคิดใช้พลังลมปราณเบญจธาตุมาจัดการกับตน
เช่นครั้งที่ผ่านมา มันจึงเดินลมปราณไปยังที่จุดตันเถียน และสงบดวงจิตไว้ที่กึ่งกลางหน้าผาก พลันบังเกิดขุมพลังวัตร
จำนวนมหาศาลขึ้นที่ท้องน้อย เฟยอี้โยกย้ายฝ่ามือทั้งสองไปทางซ้ายและขวา ขุมพลังวัตรมหาศาลนั้นก็โคจรมา
ที่ฝ่ามือทั้งสองอย่างรวดเร็ว
อ๋องลีลู่ปัง มองดูเฟยอี้ร่ายรำกระบวนท่าด้วยดวงตาตื่นตระหนก พลางรำพึงออกมาอย่างลืมตัว
“ลมปราณภูตคำรามขั้นที่แปด”
เฟยอี้เกร็งพลังฝ่ามือนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่า เทวทูตหน้าทองฟาดพลังฝ่ามือเบญจธาตุ
มาที่ตน มันจึงผลักฝ่ามือทั้งสองออกไป
ทันใดนั้นก็เกิดก้อนพลังใหญ่พุ่งแหวกอากาศออกมาจากฝ่ามือของเฟยอี้ ไปยังร่างของเทวทูตหน้าทอง บังเกิดเสียงหวีดหวิว
ดุจดั่งเสียงภูตผีร่ำร้องติดตามก้อนพลังนั้นไป ก้อนพลังใหญ่ทั้งสองปะทะกันกลางอากาศ จนเกิดเสียงดังสนั่น คลื่นอากาศจาก
การปะทะกันของกลุ่มพลังทั้งสอง แตกกระจายออกไปโดยรอบจนคล้ายบังเกิดลมพายุใหญ่
พลังฝ่ามือภูตคำรามขั้นที่แปด เข้าสลายพลังฝ่ามือเบญจธาตุของเทวทูตหน้าทองไปจนหมดสิ้น
ทั้งยังพุ่งตรงไปยังร่างของเทวทูตหน้าทองอย่างรวดเร็ว เทวทูตหน้าทองเห็นเช่นนั้นก็ร้องขึ้น
“ไม่ได้การ”
แล้วเกร็งพลังลมปราณขึ้นต้านรับแรงปะทะจากพลังฝ่ามือภูตคำรามอย่างรวดเร็ว
ร่างของเทวทูตหน้าทองลอยกระเด็นไปปะทะกับกำแพงใหญ่ เสียงดังสนั่น จนบังเกิดก้อนโลหิต
หลั่งไหลออกมาจากปากของมัน
ในชั่วชีวิตของมัน ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อผู้ใดจนบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ มันทั้งคลั่งแค้นและอับอาย
ค่อยๆยันกายลุกขึ้นหันมองมาที่เฟยอี้
“เจ้าเด็กน้อย หากเจ้าไม่ฆ่าข้าในวันนี้ ในวันหน้าเจ้าจะตายอย่างน่าสมเพช”
“ไม่ ข้าไม่ฆ่าท่าน ข้าต้องการให้ท่านลิ้มรสชาดความพ่ายแพ้ดูบ้าง”
เทวทูตหน้าทอง หันร่างไปที่ประตูวังแล้วเดินออกไป เหล่าบริวารของลัทธิเบญจธาตุ
ถลันเข้ามา หมายจะประคองร่าง แต่มันก็โบกมือห้ามไว้ จนร่างของมันหายลับไป
เจ้าลัทธิเห็นเหตุการณ์กลับกลายเป็นเช่นนั้น ก็คิดอยู่ภายในใจว่า หากปล่อยให้เรื่องนี้
ล่วงรู้ไปในบู๊ลิ้ม ชื่อเสียงของลัทธิเบญจธาตุก็จะลดความน่าเกรงขามลง เนื่องเพราะว่า
มีผู้ต่อต้าน วิชายุทธของลัทธิเบญจธาตุได้สำเร็จ มันจะต้องหาหนทางมีชัยต่อ วังหุบผาภูติ
ให้จงได้ คิดได้ดังนั้น จึงกล่าวออกไปว่า
“ท่านอ๋อง ข้าต้องการพิสูจน์ว่า พลังฝ่ามือเบญจธาตุของข้า กับ ลมปราณภูตคำรามของท่าน
วิชายุทธใดจะเหนือกว่า ขอเชิญท่านมาให้ความกระจ่างแก่ข้าด้วย”
เฟยอี้ได้ยินเช่นนั้น ก็สอดขึ้นว่า
“ท่านเจ้าลัทธิ อาจารย์ของข้าป่วย ร่างกายของท่านยังไม่พร้อมสมบรูณ์ ท่านคงไม่ต้องการ
ให้ผู้อื่นคิดว่า ท่านเอาเปรียบผู้อื่นใช่หรือไม่ หากไม่รังเกียจข้าพร้อมที่จะทดลองกับท่าน”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าเด็กน้อย เจ้ามีชัยต่อเทวทูตหน้าทองได้ ก็หาญกล้าคิดจะประลองกับข้ารึ
ข้ามิต้องการได้ชื่อว่า รังแกผู้เยาว์ ถอยไปซะ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ที่แท้ ท่านก็เกรงกลัวผู้เยาว์เช่นข้า เอาเถอะ ข้าจะใช้มือเพียงข้างเดียวเอาชัยต่อท่าน”
เจ้าลัทธิได้ยินเช่นนั้น ก็โกรธจนยับยั้งอารมณ์ไม่อยู่ พลางตวาดออกไป
“เจ้าเด็กสามหาว วันนี้เจ้าต้องได้รับบทเรียนแล้ว”
เจ้าลัทธิเกร็งพลังลมปราณจนตัวโป่งพอง มือทั้งสองประกบกันอยู่บริเวณช่องท้อง
พลันพลังลมปราณทั้งหมดของมัน ก็โคจรมารวมกันอยู่ที่มือทั้งสอง
เฟยอี้เห็นเช่นนั้น ก็ไขว้มือซ้ายไปที่กลางหลังข้างหนึ่ง แล้วร่ายรำมือขวาเดินพลังลมปราณ
ภูตคำรามขั้นที่แปด เหล่าทหารและภูตแพรทั้งสี่ เห็นเฟยอี้ ใช้มือข้างเดียวหยามเจ้าลัทธิเช่นนั้น
ก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่ ปล่อยเสียงออกมาเป็นที่ครื้นเครง
เจ้าลัทธิอยู่ในระหว่างโคจรพลังครั้นเห็นเฟยอี้ทำเช่นนั้นก็ยิ่งคลั่งแค้นเพิ่มขึ้น พลันเคลื่อนไหว
ด้วยท่าร่างที่พิสดารจนมองตามไม่ทัน ร่างของมันดุจดังหายไปในอากาศธาตุ แล้วกลับปรากฎขึ้นมา จนใกล้เข้ามา
ที่ร่างของเฟยอี้
เฟยอี้มองเห็นท่วงท่าที่พิสดารเช่นนั้น ก็มิกล้าประมาทอีก ลอบโคจรพลังลมปราณทั้งหมดไว้ที่มือข้างขวา
แล้วเกร็งพลังฝ่ามือเตรียมพร้อมรับมือ
พริบตานั้นก็บังเกิดร่างของ เจ้าลัทธิปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้าของมัน แล้วใช้ฝ่ามือทั้งสอง ฟาดใส่มีเป้าหมายที่
ทรวงอกของมัน
เฟยอี้ใช้มือขวาที่เกร็งพลังลมปราณไว้ ขึ้นต้านรับ เกิดเสียงกระทบกันของคลื่นอากาศจากพลังฝ่ามือของคนทั้งสอง
ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว
ร่างของเฟยอี้เซถลาไปสามสี่ก้าว เนื่องจากเสียสมดุลย์จากการใช้ฝ่ามือเพียงข้างเดียวขึ้นต้านรับ แต่ไม่บังเกิด
ร่องรอยบาดเจ็บใดๆ
ส่วนเจ้าลัทธิ ทรงกายอยู่กับที่นิ่งอยู่ มีสีหน้าที่เรียบสงบ ดวงตาของมันแข็งกร้าว เต็มไปด้วยความเครียดแค้น
มันหันหลัง เดินกลับออกไปโดยไม่ร่ำลา เหล่าบริวารของลัทธิเบญจธาตุต่างงงงัน แล้วรีบพากันตามนายของตน
กลับออกไป
ครั้นพอพ้นจากกำแพงวังหุบผาภูต มาได้ระยะหนึ่ง เจ้าลัทธิก็ทรุดกายลงกระอักโลหิตออกมาคำใหญ่
เหล่าบริวารพากันเอาเกี้ยวออกมา แบกร่างของเจ้าลัทธิขึ้นเกี้ยวเตรียมจะออกเดินทางต่อ พลันก็บังเกิดเสียงเรียก
อยู่เบื้องหลัง ปรากฎร่างของทูตลมและสตรีรูปโฉมงดงามนางหนึ่ง แต่งกายในชุดขาว มือของนางถูกพันธนาการไว้
ที่ปากก็ถูกผ้าพันปิดเอาไว้ มิให้สามารถเปล่งเสียงใดๆออกมา นางคือ องค์หญิงลีลู่อิน
เจ้าลัทธิวางแผนให้ทูตลม ผู้มีวิชาตัวเบาอันล้ำเลิศ ลักลอบเข้าไปภายในวังหุบผาภูตคำราม ในขณะที่กองกำลังทั้งหมด
ถูกระดมมาไว้ที่เบื้องหน้าทั้งหมด ทูตลมสามารถเข้าไปสำรวจหา หานไป่เจี้ยน ได้อย่างราบรื่นไร้การการขัดขวาง
เมื่อไม่พบ มันจึงตัดสินใจลักลอบนำตัว องค์หญิงลีลู่อินออกมาแทน
——–
เวลาผ่านไปจนใกล้ค่ำ คณะเดินทางอันประกอบไปด้วย หมอวิปลาส ลิ่มบ้อฮวยและศิษย์ รวมทั้งองครักษ์หุ่นอีกสามนาง
ก็เดินทางมาถึง โรงเตี๊ยมใกล้เขตของวังหุบผาภูต ทั้งหมดตกลงใจกันว่าจะค้างแรมที่นี่ แล้วจึงเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น
ครั้นนั่งพักอยู่ครู่หนึ่งก็ทราบว่า เม่ยเม่ย หายไป ทุกคนในที่นั้นจึงคิดจะออกตามหา หมอวิปลาสทบทวนแล้วก็เข้าใจ
จึงห้ามปรามไว้ แล้วให้เหตุผลว่า นางมิสะดวกที่จะติดตามเราไปวังหุบผาภูต ปล่อยนางไปเสียเถอะ ทุกคนจึงระลึกขึ้นมาได้
พอตกค่ำ ทุกคนก็แยกย้ายเข้าห้องของตน ลิ่มบ้อฮวย ร่วมห้องกับ เหม่ยเยี่ย เหม่ยผิง ร่วมห้องกับ เหม่ยลี่
องครักษหุ่นทั้งสามอยู่ในห้องเดียวกัน ส่วนหมอวิปลาสอยู่เพียงลำพัง
ในค่ำคืนวันนั้น หมอวิปลาสครุ่นคิดหาวิธีช่วยเหลือทั้งสามนางให้พ้นจากสภาวะ องครักษ์หุ่น
ในความเป็นจริง มันได้เข้าใจอย่างกระจ้างแจ้ง ถึงวิธีแก้ไขพิษสะกดวิญญาณ ตั้งแต่ทราบว่า เหม่ยเยี่ย รอดพ้นจาก
สภาวะองครักษ์หุ่นได้ด้วยตัวนางเอง นั่นคือ ฤทธิ์ยาเหมยฟ้ารัญจวนในตัวของนางได้กระตุ้น จุดที่ก่อเกิดราคะให้ตื่นขึ้น
ตามกำหนดเวลา ซึ่งมีผลให้ไปกระตุ้นจุดต่างๆที่สร้างพลังชีวิตให้ฟื้นตื่นขึ้นด้วย จนไปหักล้างกันกับ พิษสะกดวิญญาณ
มันจึงได้ข้อสรุปแล้วว่า หนทางถอนพิษสะกดวิญญาณนั้น มีเพียงสองแนวทาง
แนวทางแรก ให้ยาเหมยฟ้ารัญจวนแก่พวกนาง แนวทางที่สอง เสพสมกับพวกนางเพื่อกระตุ้นราคะให้ก่อเกิดจนถึงจุด
สุขสม เร่งเร้าให้จุดสร้างพลังชีวิตฟื้นตื่นขึ้นมา
มันครุ่นคิดอยู่ครึ่งคืนจึงปลงใจทดลองแนวทางที่สอง กับเยี่ยกุ้ยอิง โดยเบื้องลึกแล้ว คือการสนองตัณหาราคะของมัน
ที่บังเกิดขึ้นเมื่อแรกเห็น ส่วน ฮุ่ยหนิง และ ลี่จิน พวกนางยังเป็นดรุณีเยาว์วัย มันไม่สามารถช่วยเหลือพวกนางได้
มันล่วงรู้ความต้องการเบื้องลึกในจิตใจตนเองแล้ว แท้ที่จริง ความเป็นชายของมันจะสามารถใช้งานได้แต่เฉพาะ
สตรีที่มีวัยสามสิบล่วงไปแล้วเท่านั้น
คิดได้ดังนั้นมันก็ล้วงเอากระดิ่งเรียกวิญญาณออกมา สั่นหนึ่งครั้งเป็นสัญญาณเรียก เยี่ยกุ้ยอิง เพียงครู่ร่างของเยี่ยกุ้ยอิง
ก็ปรากฎที่หน้าประตูห้องของหมอวิปลาส มันเปิดประตูให้นางเดินเข้ามาแล้วปิดประตูทันที
หมอวิปลาสนั่งลง ชมโฉมของเยี่ยกุ้ยอิงด้วยความเคลิบเคลิ้ม นางมีใบหน้าที่งดงาม เจือด้วยรอยยิ้มแม้ในยามไร้สติ
ก็ดูคล้ายเป็นสตรีผู้มีใจกรุณา ผิวของนางขาวนวลผุดผ่องตั้งแต่ลำคองามระหงไปจนถึงเนินอก จนมันใคร่จะรู้ว่าภายใต่ร่มผ้านั้น
จะขาวผ่องผุดปานใด มันตัดสินใจ เอ่ยออกมา
“เปลื้องผ้าของเจ้าออกให้หมด”
สิ้นคำพูด เยี่ยกุ้ยอิง ก็เริ่มเปลื้องเสื้อคลุมยาวของนางออก ลงกองกับพื้น แล้วก็เริ่มคลายแถบคาดทรวงอก
หมอวิปลาสตื่นเต้นจนนั่งไม่ติด ตาของมันพองโต โลหิตในกายสูบฉีดจนร้อนผ่าวไปทั้งร่าง
ผ้าคาดอกของนางหลุดออกจากร่าง เผยให้เห็น ปทุมถันขาวผุดผ่องทั้งสองข้าง ชูยอดสีชมพูงามเด่น
แล้วนางก็หันมาเปลื้องอาภรณ์ที่ห่อหุ้มส่วนล่างของนางออกทั้งหมด จนเหลือแต่ร่างเปลือยเปล่า
หมอวิปลาสเพ่งพิศ ไปทุกสัดส่วนของนางอย่างพึงพอใจ นางเป็นสตรีร่างเล็ก แต่มีส่วนสัดที่สมบรูณ์
โดยเฉพาะสะโพกที่กลมกลึงทั้งส่วนหน้า และส่วนหลัง มันออกคำสั่งให้นางหมุนร่างไปโดยรอบ
แล้วมันก็หยุดมองนิ่งมาที่ เนินสวาทที่อวบอิ่ม มีเส้นไหมอ่อนละเอียดปกคลุมอยู่เพียงบางเบา
“เปลื้องผ้าให้ข้า”
สิ้นคำสั่ง เยี่ยกุ้งอิงก็ตรงเข้าไปชิดร่างของหมอวิปลาส แล้วถอดเสื้อ หมอวิปลาสโอบกอดร่างของนาง
ไว้ แต่เยี่ยกุ้ยอิงก็ยังคงพยามทำหน้าที่นางต่อไป นางพยายามปลดสายคาดเอวของหมอวิปลาส
ในขณะที่หมอวิปลาส ก็ใช้สองมือบีบจับสะโพกของนางจนเต็มฝ่ามือ มันเพ่งมองใบหน้าของนาง
แม้ดวงตาจะไร้แวว แต่ก็งามซึ้งตรึงใจมันนัก
เยี่ยกุ้ยอิงเปลื้องส่วนบนมันจนเปลือยเปล่าแล้ว ก็หันมาเปลื้องส่วนล่างของมันออก ขณะที่นาง
รูดกางเกงมันลงมา แก่นกายที่แข็งเกร็งของมัน ก็เด้งผึงออกมาจนสัมผัสเข้ากับใบหน้าของนาง
หมอวิปลาส เกิดความเสียวซ่านวาบลึกเข้ามาทันที มันคิดเปลี่ยนคำสั่งโดยฉับพลัน
“หยุด แล้วนั่งลง”
เยี่ยกุ้ยอิงทรุดกายลงนั่ง จนใบหน้าของนางอยู่ในระดับเดียวกับแก่นกายของมัน
“อ้าปากของเจ้าออก”
พลันริมฝีปากงามก็เผยอออกจนกว้าง หมอวิปลาสจับแก่นกายของมัน สอดเข้าไปในช่องปาก
แล้วส่งเสียงครวญครางออกมาอย่างสมใจ
“ซี๊ดดดดดดด………………”
มันจับยึดศรีษะของเยี่ยกุ้ยอิงไว้ แล้วโยกบั้นเอว ส่งแก่นกายของมันเข้าออก พลางส่งเสียงครวญคราง
ดังขึ้นอีก
“ซี๊ดดดดด……..อูยยยยยยยยยยย …..ซี๊ดดดดดดดด…..”
“ดูดแก่นกายของข้า”
สิ้นคำพูด หมอวิปลาสก็ถึงกับเขย่งปลายเท้า สองมือกำศรีษะเยี่ยกุ้ยอิงจนแน่น พลางนิ่วหน้า
คล้ายพบความเจ็บปวด เยี่ยกุ้ยอิงใช้ปากของนางดูดแก่นกายของมันอย่างรุนแรง นางดูดอย่างต่อเนื่อง
ไม่หยุดหย่อน จนมันถึงกับร้องคร่ำครวญออกมา
“โอ้ววววววววววว……ปากของเจ้า..ประเสริฐนัก…อูยยยยยยยย…..”
หมอวิปลาสถึงกับมัวเมาในกำหนัดจนเคลิบเคลิ้มหลงใหล มันโยกบั้นเอวส่งแก่นกายของมัน
เข้าไปในปากของนางอย่างถี่เร็ว ในขณะที่นางเองก็ดูดอย่างไม่หยุด จนในที่สุดน้ำรักของมัน
ก็ใกล้จะพังทลายออกมา มันจึงคิดที่จะถอนแก่นกายออกจากปากของนาง
มิคาดมันลืมใช้คำสั่ง เยี่ยกุ้ยอิงไม่ยินยอมให้ผู้ใดมาขัดขวางภาระกิจของนาง นางยึดสะโพกมันไว้
แล้วดูดอย่างรุนแรงตามคำสั่งต่อไป
“โอ้ววว…โอ้วว…อูยยยย…ข้า..ซี๊ดดด…ข้าไม่ไหวแล้ว..โอ้ววววววว….”
หมอวิปลาสถึงจุดสุขสมคาปากของนาง นางดูดแก่นกายมัน จนน้ำรักของมันทะลักพรั่งพรูออกมาเต็มปาก
มันเร่งสั่งให้นางหยุด แล้วถอนแก่นกายออกมา นั่งลงที่เตียงอย่างหมดแรง
“เจ้ามานั่งกับข้า”
เยี่ยกุ้ยอิง เดินเข้ามาแล้วทรุดกายลงนั่งเคียงข้างกับมัน หมอวิปลาสมองเห็นน้ำรักของมันไหล
ออกมาเปรอะเปื้อนปากของนาง จึงใช้ผ้าเช็ดให้อย่างอ่อนโยน
มันเอนกายลงนอนบนเตียง โดยมีเยี่ยกุ้ยอิงนอนอยู่เคียงข้าง ฝ่ามือของมันเกาะกุมปทุมถันของนาง
ข้างหนึ่ง แล้วคลึงเค้น นิ้วของมันบี้บดอยู่กับยอดถันสีชมพูระเรื่อ จนยอดถันนั้นชี้ชันขึ้นตามธรรมชาติ
มันตั้งใจเร่งเร้าให้นางก่อเกิดกำหนัด เพื่อกระตุ้นให้ฟื้นคืนสติขึ้น เมื่อมันเห็นว่ายอดถันของนาง ชี้ชัน
ขึ้นเช่นนั้น มันก็ทำเช่นเดียวกันกับทรวงอกของนางอีกข้างหนึ่ง
หมอวิปลาสล้วงมือลงไปสัมผัสกับ เนินสวาทของนางจนเต็มฝ่ามือ แม้นางจะเป็นสตรีร่างเล็ก แต่เนินสวาท
ของนางกลับกว้างขวาง ท่วมท้น จนมันมิสามารถเกาะกุมได้มิด มันลากนิ้วกลางของมันทาบทับรอยผ่าของนาง
แล้วกดน้ำหนักให้จมลึกหายลงไปในโพรงสวาท นิ้วของมันสอดส่ายไปมาสัมผัสกับความหยุ่นชื้นภายใน จนพบ
กับติ่งสวาทที่นอนสงบนิ่งอยู่ นิ้วกลางของมันตรงเข้าก่อกวนหยอกล้อ จนบังเกิดความชื้นแฉะขึ้นอย่างท่วมท้น
ในยามนี้ เยี่ยกุ้ยอิง ถูกก่อกวนจนเกิดกำหนัดขึ้นตามธรรมชาติ จุดก่อเกิดพลังชีวิตของนางเริ่มฟื้นตื่นจาก
หลับไหล นางคล้ายอยู่ในความฝัน ที่เลือนลาง แต่ก็เต็มไปความสุขที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน นางเริ่มส่าย
สะโพกไปมา พร้อมกับส่งเสียงคร่ำครวญ ระบายความเสียวซ่านที่บังเกิดขึ้น
หมอวิปลาสเห็นอาการของนางตอบสนองเช่นนั้น ก็เกิดความยินดี มันเร่งเร้านางมากขึ้นอีก โดยซุกไซ้ทรวงอก
ของนาง แล้วใช้ลิ้นตวัดโลมเลียที่ยอดถันไปมา สลับกับใช้ปากดูดกินอย่างรุนแรง มือของมันก็ยังคง
ก่อกวนติ่งสวาทของนางไม่เลิกลา เยี่ยกุ้ยอิงถึงกับร่ำร้องออกมาคล้ายดังนางตื่นฟื้นสติ
“โอ๊วว…ซี๊ดดดด……..โอ๊วว…ซี๊ดดด….โอ๊วว…ซี๊ดดด…”
มันเห็นว่าเนินสวาทของนางชื้นแฉะจนมือของมันชุ่มโชกแล้ว มันจึงคิดว่าถึงเวลาที่นางจะต้องได้รับ
การกระตุ้นอย่างรุนแรง มันถอยร่างลงไปที่กลางหว่างขาของนาง แล้วใช้นิ้วมือแบะกลีบสวาทของนางออก
จนเห็นติ่งสวาทอย่างเด่นชัด มันก้มลงใช้ลิ้นโลมเลียติ่งสวาทนั้นทันที
ร่างของเยี่ยกุ้ยอิงสะดุ้งเฮือก จุดก่อเกิดพลังชีวิตพลันฟื้นตื่นขึ้น ดวงตาของนางพลันมีแววแจ่มใส
แต่ทันทีที่ความรู้สึกกลับมา นางก็ต้องนิ่วหน้าครวญครางออกมาด้วยความเสียวซ่าน
“อ๊ายยยยยย……ซี๊ดด…….อูยยยยยยยยยยยยยยย……”
เยี่ยกุ้ยอิงพลันมีสติขึ้น สอดส่ายสายตามองผู้ที่อยู่หว่างขาของนาง แล้วพูดขึ้นอย่างแหบพร่า
“เจ้าเป็นใคร อย่า…อย่าทำเช่นนั้น…อ๊ายยยยยยย………”
หมอวิปลาสงับริมฝีปากดูดกินติ่งสวาทของนางอย่างรุนแรง แล้วตวัดลิ้นโลมเลียไปทั่ว
กลีบสวาทอันอวบอิ่มทั้งสองข้าง
เยี่ยกุ้ยอิง แขม่วหน้าท้อง เหยียดเท้าแข็งเกร็งอย่างสุดเสียว ความรู้สึกรักนวลสงวนตัว
พ่ายแพ้ต่อเพลิงราคะที่เกิดขึ้นอย่างล้นปรี่ นางยินยอมแล้วที่จะให้มันทำทุกอย่าง
เพื่อถึงจุดสุขสมที่นางรอคอยอย่างวาบหวาม
หมอวิปลาสเงยหน้าขึ้นจากเนินสวาทของนาง แล้วเลื่อนใบหน้าไปแนบชิดกับใบหน้านาง
“ข้ากำลังถอนพิษให้เจ้า ให้ข้าเป็นสามีเจ้าเถอะนะ”
เยี่ยกุ้ยอิง กำลังวาบหวามในกำหนัด นางต้องการให้ภาวะตึงเครียดที่นางเผชิญอยู่คลี่คลายไป
“ตามแต่ใจท่านเถอะ”
หมอวิปลาสได้ยินเช่นนั้น ก็ดันแก่นกายที่จ่ออยู่ที่ปากทางเข้ามุดหายเข้าไปในโพรงสวาทของนางทันที
เยี่ยกุ้ยอิงอ้าปาก ส่งเสียงร้องออกมา หมอวิปลาสใช้ปากของมันประกบกับปากของนาง แล้วดันร่างเข้าแนบชิด
กับร่างของนาง จนแก่นกายของมันมุดเข้าไปในโพรงสวาทของนางจนมิด
มันขยับบั้นเอวเข้าออก อย่างเนิบนาบ พลางซุกไซ้ไปทั่วใบหน้างามของนาง
ร่างของคนทั้งสองเกี่ยวกวัดแนบชิดกัน จนคล้ายจะหลอมรวมเป็นร่างเดียวกัน
จังหวะแห่งรักของคนทั้งสอง ดำเนินไปตามครรลองของมัน ต่างส่งเสียงคร่ำครวญ ประสานกัน
ตามจังหวะที่เร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ
หมอวิปลาส ยันกายลุกขึ้น จับขาข้างนึงของนางขึ้นพาดไหล่ของมัน จนกลีบสวาทของนางแย้มเปิดออก
แล้วดันแก่นกายของมันเข้าไปลึกขึ้นอีกจนแนบแน่น แล้วควงบั้นเอวของมันหลายรอบ
เยี่ยกุ้ยอิงถึงกับอ้าปาก ร้องเสียงร้องยาวออกมาอย่างสุดเสียว แล้วหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย หมอวิปลาส
ส่งนางไปถึงสวรรค์อย่างสุขสม
“โอ้วววววววววววววว……………..”
เมื่อมันเห็นนางถึงจุดสุขสมไปแล้ว มันก็หันกลับมาปรนเปรอตนเองบ้าง ด้วยการการขยับบั้นเอวอย่างกระชั้นถี่
เสียงเนื้อของคนทั้งสองกระทบกัน ดังตามจังหวะที่เร่งเร้าขึ้นเรื่อย จนในที่สุดมันก็ดันร่างแนบแน่น กับเนินสวาท
ของนางอีกครั้ง แล้วปลดปล่อยน้ำรักของมันให้พรั่งพรูออกมาในโพรงสวาทของนางจนหมดสิ้น
แล้วซบร่างลงนอนเคียงข้างกับนาง โอบกอดนางไว้ในอ้อมแขนของมัน คล้ายดังว่านางคือสมบัติล้ำค่าของมัน