ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 15 การกลับมาของเว่ยฉิงคัง
โดย zeech
เช้าวันนั้น เยี่ยกุ้ยอิง นอนลืมตาหันหลังให้กับ หมอวิปลาสที่โอบกอดร่างของนางไว้ พลางครุ่นคิด
ใคร่ครวญถึงเหตุการณ์ในคืนที่ผ่านมา นางไม่เข้าใจตนเองว่า เหตุใดจึงยินยอมให้ชายผู้นี้ ย่ำยีนาง
ตามอำเภอใจ ความรู้สึกของนางในตอนนั้นคล้ายกับความฝัน แต่หากกลับตื่นขึ้นมากลายเป็นความจริง
ยิ่งครุ่นคิด นางก็ยิ่งคับแค้นใจจึงยันกายลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้าของหมอวิปลาส
เต็มแรง
หมอวิปลาสกำลังหลับอย่างเป็นสุข ครั้นถูกนางตบหน้าตนเองเช่นนั้นก็สะดุ้งตื่นขึ้น ยกมือขึ้นลูบคลำใบหน้าตนเอง
ทำสีหน้าคล้ายดังสงสัยว่าเหตุใดจึงตบหน้ามัน
“เจ้า..เหตุใดจึงตบหน้าข้า”
“เจ้า คือผู้ใด เหตุใดจึงมาข่มเหง รังแกข้าเช่นนี้”
หมอวิปลาสทำสีหน้า หดหู่ลง แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้นางฟัง
เยี่ยกุ้งอิง ฟ้งเรื่องทั้งหมดก็มีสีหน้าดุดันขั้น ยกฝ่ามือฟาดไปที่ใบหน้าของหมอวิปลาสอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ มันกลับจับข้อมือนางไว้ได้ทัน เยี่ยกุ้ยอิงยกมืออีกข้างขึ้นตบซ้ำ มันก็คว้าจับไว้ทันอีก
ทั้งสองยื้อยุดกันอยู่ไปมา
“วิธีถอนพิษของเจ้าช่างเลวทราม ต่ำช้านัก”
“โปรดให้อภัยแก่ข้าด้วย มันเป็นเพียงหนทางเดียว ที่ข้าจะช่วยเจ้าได้ แต่ข้าก็ยอมรับว่า การถอนพิษครั้งนี้
ข้ากระทำอย่างเต็มใจ เพราะข้าชมชอบเจ้า”
“ปล่อยให้ข้าตายด้วยพิษเสียดีกว่า ที่จะพบกับความอัปยศเยี่ยงนี้”
นางพยายามดิ้นรนสะบัดมือให้หลุดพ้นจากการจับกุมของหมอวิปลาส
“จะอย่างไร เจ้าก็เป็นภรรยาของข้าแล้ว กุ้ยอิง ข้ารักเจ้า”
หมอวิปลาส โน้มตัวกดร่างของเยี่ยกุ้ยอิงให้นอนลง โดยมีร่างของมันเอนทาบทับลงไป
“อย่า…เจ้าจะทำอะไร ..อย่า..อุ๊บบ…”
หมอวิปลาสประกบปากของมันเข้ากับปากของนาง แล้วส่งปลายลิ้นของมันเข้าไปพัวพันอยู่ภายใน
เยี่ยกุ้ยอิง พยายามฝืนดิ้นรนให้พ้นจากการกดทับของมัน แต่กลับคล้ายสิ้นเรี่ยวแรง เมื่อ แก่นกาย
ที่แข็งเกร็งของมัน เข้ามาเสียดสีอยู่ที่ร่องสวาทของนาง ยิ่งนางพยายามดิ้นรน ขยับขาไปมาก็ยิ่งทำให้
ร่องสวาทของนางเปิดออก มันก็ยิ่งดันแก่นกายของมันล่วงล้ำเข้ามา
หมอวิปลาส เลื่อนใบหน้าของมันลงมาซุกไซ้ที่หว่างถันงามทั้งสอง ลิ้นของมันตวัดโลมเลียไปมา
บางครั้งก็วนเวียนขึ้นมาที่ยอดถัน จนนางวาบหวิวเผลอแอ่นทรวงอกส่ายไปมา นางส่งเสียงร้องห้าม
แผ่วเบาลง จนแทบขาดหายไป
“อย่า……อย่า….อย่า…อย่า..”
นางพยายามบีบขาเข้ามาจนแน่น เพื่อป้องกันมิให้แก่นกายของมันล่วงล้ำเข้ามา แต่มิคาด หมอวิปลาส
กลับใช้ปลายเท้าทั้งสองของมัน ผลักดันจนขาของนางอ้าออก และฉับพลันนั้นแก่นกายของมันเหมือนรอจังหวะนี้อยู่แล้ว
ก็มุดเข้าไปในโพรงสวาทของนางจนมิด เยื่ยกุ้ยอิงแอ่นร่างร่ำร้องออกมา
“โอ๊วววว…………….”
หมอวิปลาส เคลื่อนร่างของมัน เชยชมเรือนร่างของนางอย่างเชื่องช้า ใบหน้าของมันคลอเคลียอยู่ข้างใบหูของนาง
ปากก็เอ่ยวาจา พร่ำบอกรักนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เยี่ยกุ้ยอิงในยามนี้ หมดสิ้นเรี่ยวแรงขัดขืนแล้ว นางพ่ายแพ้ต่อความเสียวกระสันต์ที่หมอวิปลาสปรนเปรอให้นาง
จนอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงครวญครางออกมา
“โอ้ววววว…..ซี๊ดดดดด…….อูยยยยย……”
หมอวิปลาสเห็นนาง ไม่ขัดขืนแต่กลับส่งเสียงครวญครางออกมาเช่นนั้น ก็ลอบยิ้มออกมา แล้วเร่งจังหวะกระแทกกระทั้น
ให้เร็วและแรงขึ้น ครั้งนี้ เยี่ยกุ้ยอิงก็ถีงกับ ครวญครางออกมาอย่างกระชั้นถี่
“อู้ววว…อู้ววว…อู้ววว…อู้ววว…อู้ววว…”
“กุ้ยอิง เจ้าก็รักข้าเช่นกัน ใช่หรือไม่ ”
มันเอ่ยปากถาม แล้วหยุดจังหวะกระแทกกระทั้นลง พลางส่งสายตาหยาดเยิ้มไปที่ เยี่ยกุ้ยอิง
เยี่ยกุ้ยอิงถูกเพลิงราคะโหมกระหน่ำจนนางลุ่มหลงอยู่เมื่อครู่ แล้วกลับหยุดลงให้นางคั่งค้างเช่นนั้น
ก็ปิดตาลงอย่างละอาย แล้วพยักหน้าตอบรับเพื่อต้องการให้มันดำเนินเพลงสวาทต่อไป
หมอวิปลาส ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างสุขใจ แล้วดอมดมที่พวงแก้มของนาง พลางส่งเสียงแผ่วเบาที่ข้างหูของนาง
“ข้ารักเจ้ายิ่งนัก กุ้ยอิง”
แล้วบั้นเอวของมันขยับอย่างเร็วถี่อีกครั้ง จนร่างของเยี่ยกุ้ยอิงสั่นไหว ไปตามแรงกระแทกของมัน นางร่ำร้องครวญคราง
ออกมาอีกครั้ง
“โอ้ววววว…..ซี๊ดดด…โอ้ววววว…..ซี๊ดดด……..ซี๊ดดดดด..”
เพลงสวาทบรรเลงต่อไปได้อีกครู่หนึ่ง พลันเยี่ยกุ้ยอิงก็ส่งเสียง ครวญครางดังถี่ขึ้น
ช่วงเอวของนาง มีการขยับขึ้นลง ต่อสู้กับ จังหวะกระแทกกระทั้นของหมอวิปลาส มันรับรู้ถึงการตอดรัด
จากโพรงสวาทของนาง จนมันเองก็เสียวซ่านจนสุดจะทานทน และแล้วในจังหวะหนึ่ง เยี่ยกุ้ยอิงก็
แอ่นเนินสวาทของนางค้างนิ่ง ใบหน้าของนางบิดเบี้ยว ส่งเสียงร้องดังยาวออกมา นางเสียวกระสันต์
จนถึงจุดสุขสมไปแล้ว
โพรงสวาทของนางตอดรัดแก่นกายของมันอย่างรุนแรงเป็นจังหวะ จนมันหมดความอดทนแอ่นร่างบดบี้
กับเนินสวาทของนางจนแนบแน่นแล้วปล่อยน้ำรักของมันพรั่งพรูออกมา
“โอ้ววววววววววววววว….ข้า..ไม่ไหวแล้ว………”
แล้วมันฟุบร่างลงทาบทับร่างของเยี่ยกุ้ยอิง ผ่อนลมหายใจยาวออกมาอย่างสุขสม ก่อนที่จะหย่อนร่างลงนอน
เคียงข้างกับนาง มันโอบกอดร่างของนางไว้แล้วกระซิบที่ข้างหู
“หากเจ้าไม่เชื่อว่าข้ารักเจ้า ข้าจะแสดงให้เจ้าดูอีกหลายครั้งดีหรือไม่”
เยี่ยกุ้ยอิงใช้นิ้วหยิกเนื้อที่แขนของมัน จนมันร้องลั่นออกมา แล้วตามด้วยเสียงหัวเราะอย่างเป็นสุข
ในช่วงสายของวันนั้น เยี่ยกุ้ยอิงปรากฎร่างต่อหน้าของ ลิ่มบ้อฮวย และศิษย์ของนางทั้งสาม
แล้วกระทำคารวะต่อเจ้าสำนักของตน ลิ่มบ้อฮวย แย้มยิ้มแล้วลูบศรีษะของนาง
น้ำตาของคนทั้งสองไหลซึมออกมา เหม่ยเยี่ย เหม่ยผิง และเหม่ยลี่ ต่างก็ร้องเรียก
อาจารย์หญิงแล้วตรงเข้าโอบกอดด้วยความรักใคร่ นางทั้งห้าพูดคุยกันถึงเรื่องต่างๆที่ผ่านมา
จนลืมไปว่า เวลาได้ล่วงเลยไปมากแล้ว หมอวิปลาสจึงพูดขึ้นว่า
“บ้อฮวย พวกเราเร่งออกเดินทางกันเถอะ”
ลิ่มบ้อฮวยได้ยินเช่นนั้น ก็รู้ตัวเดินตรงเข้าหาหมอวิปลาสแล้วจับมืออย่างสนิทสนม
“ท่านหมอเมี่ยว ในที่สุดท่านก็ได้ช่วยข้าอย่างใหญ่หลวงอีกครั้งหนึ่งแล้ว”
เยี่ยกุ้ยอิง เห็นท่าทีอันสนิทสนมที่เจ้าสำนักของตนมีให้แก่หมอวิปลาส ก็หยั่งทราบถึง
ความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง ก็นึกหดหู่ใจ
พลัน ลิ่มบ้อฮวยก็คิดเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงไถ่ถาม หมอวิปลาสขึ้น
“แล้ว ศิษย์แห่งสำนักอารามชีบุปผาหยกทั้งสองเล่า เหตุใดท่านจึงไม่ช่วยพวกนาง”
หมอวิปลาส อ้ำอึ้ง เหลือบมองไปเห็นแววตาอันดุดันของเยี่ยกุ้ยอิง ก็หลบสายตาไปทางอื่น
แล้วพูดขึ้นว่า
“รอให้ถึงวังหุบผาภูต ข้าจะหาวิธีช่วยเหลือพวกนางเอง”
เยี่ยกุ้ยอิงได้ยินเช่นนั้นก็พูดขึ้นว่า
“ท่านเจ้าสำนัก หากท่านหมอลงมือถอนพิษให้พวกนางเมื่อไร พวกเราสมควรนั่งชมดู
วิธีถอนพิษอันประเสริฐของท่านหมอ จะดีหรือไม่”
ลิ่มบ้อฮวย แย้มยิ้มพลางพยักหน้า
“ใช่แล้ว พวกเราสมควรเปิดหู เปิดตา นั่งชมท่านหมอเมี่ยวใช้วิชาแพทย์อันเลิศล้ำถอนพิษให้พวกนาง”
หมอวิปลาส มีสีหน้ากระอักกระอ่วน เลี่ยงเดินหนีไป
“พวกเราออกเดินทางกันเถอะ”
แล้วทั้งหมดก็มุ่งหน้าเดินทางไปยังวังหุบผาภูตในทันที
———-
ณ. หน้าสำนักทวนผดุงคุณธรรม ปรากฏร่างบุรุษผู้หนึ่ง วัยใกล้สี่สิบ มีผมและเครายาวรุงรัง
ร่างกายคล้ายกับไม่ได้ชำระล้างมาเป็นแรมเดือน ยืนเหม่อมองป้ายชื่อสำนักที่ตกหล่นอยู่ที่พื้นอย่างเลื่อนลอย
แล้วเหลือบตามองไปยังประตูสำนักที่เปิดทิ้งร้างเอาไว้ พลันดวงตาของมันก็เปลี่ยนเป็น เกรี้ยวกราด
แล้วเดินตรางเข้าไปยังสำนัก แต่แล้วก็มีเสียงท้วงติงดังขึ้นที่เบื้องหลัง
“เจ้าขอทาน อย่าแม้เพียงคิดที่จะเข้าไปยังสำนักของนายเรา จงออกไปเสีย”
บุรุษผู้นั้น หยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ แล้วหันร่างกลับมามองดูผู้ที่ท้วงติงมัน
“เหตุใดจึงยังไม่รีบไสหัวไป หรือเจ้าต้องการลิ้มรส ทวนของข้า”
“พ่อบ้านตู้ ข้าเอง”
พ่อบ้านแห่งสำนักทวนผดุงคุณธรรม ได้ยินเสียงที่คุ้นหูเช่นนั้นก็หยุดเพ่งมองไปที่ใบหน้าของบุรุษผู้นั้น
อย่างใกล้ชิด
“คล้ายนัก เจ้า..หรือว่า..ท่านคือ..นายน้อย….”
บุรุษผู้นั้นพยักหน้า น้ำตาของมันไหลซึมออกมา
“พ่อบ้านตู้ ข้าเอง ..ข้า.. เว่ยฉิงคัง”
พ่อบ้านตู้ ครั้นพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้ว ว่าบุรุษที่ยืนอยู่ที่เบื้องหน้าของมัน
คือ เว่ยฉิงคัง นายน้อยของมัน ก็ตรงเข้าไปโอบกอดร้องไห้เสียงดังออกมา
“ข้าคาดหวังมาโดยตลอดว่า จะต้องมีนายของข้า คนใดคนหนึ่งกลับมาที่สำนัก ทุกวันข้าจึงได้แต่
เฝ้ารอที่หน้าสำนัก มิคาดวันนี้กลับได้พบ นายน้อย สมดังที่ข้าคาดหวังแล้ว”
“พ่อบ้านตู้ แล้วผู้อื่นนอกจากท่าน ไปอยู่ที่ไหนแล้ว”
พ่อบ้านตู้ แววตาเปลี่ยนเป็นรัดทดหดหู่ แล้วพูดขึ้นว่า
“หลังจากท่านประมุขล่วงลับไปแล้ว คนของลัทธิเบญจธาตุก็เข้ามาบุกรุกเข่นฆ่าคนของสำนักเรา
บางส่วนที่หลบหนีไปได้ ก็หลบอยู่แต่ในป่ามิกล้าเข้ามาแสดงตนว่าเป็นคนของสำนักอีก มิเช่นนั้น
ก็จะถูกคนของลัทธิเบญจธาตุตามล้างผลาญจนสิ้น”
เว่ยฉิงคังมีดวงตาแดงโรจน์ เจิดจ้าไปด้วยเพลิงแค้น
“ข้าจะชำระแค้นนี้ให้จงได้ พ่อบ้านตู้ ท่านจงไปแจ้งแก่คนของสำนักเราว่า ข้ากลับมาแล้ว
ข้าจะกอบกู้สำนักของเราให้ฟื้นคืนมาดังเดิม”
พ่อบ้านตู้ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ กล่าวท้วงติงขึ้นทันที
“นายน้อย โปรดอย่าวู่วาม ทั้งกำลังคนและฝีมือของพวกเรา ล้วนเสียเปรียบ ยังไม่ถึงเวลาที่ท่านจะทำเช่นนี้”
พลันเว่ยฉิงคังก็มีสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นกราดเกรี้ยว
“หรือว่า มาบัดนี้ เจ้าไม่เชื่อฟังเราแล้ว”
พ่อบ้านตู้ ตื่นตกใจกับสีหน้าของเว่ยฉิงคัง หลบตาวูบลงต่ำ
“มิใช่…ข้า..ข้าจะเร่งไปแจ้งให้คนของสำนักเรามาพบนายน้อย ณ.บัดนี้”
พูดจบพ่อบ้านแห่งสำนักทวนผดุงคุณธรรม ก็เดินจากไปในทันที