ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 16 เม่ยเม่ย ดรุณีน้อยผู้ใสซื่อ

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 16 เม่ยเม่ย ดรุณีน้อยผู้ใสซื่อ

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 16 เม่ยเม่ย ดรุณีน้อยผู้ใสซื่อ
โดย zeech

เวลาผ่านไปหลายวัน นับตั้งแต่เว่ยฉิงคังหวนกลับมาที่สำนักทวนผดุงคุณธรรม ก็สามารถรวบรวมคนของสำนัก
ที่หลบหนีการโจมตีของลัทธิเบญจธาตุได้เป็นจำนวนมาก อีกทั้งสถานที่ของสำนักก็ได้รับการปรับปรุงให้ดูสวยงาม
เป็นสง่าดังเดิม เว่ยฉิงคังตั้งตนเป็นประมุขแทนบิดาของตน พร้อมกับส่งเทียบเชิญ ไปยังสำนักยุทธต่างๆ
เพื่อเชื้อเชิญให้มาร่วมงานฉลองที่สำนักของตน

เวลาผ่านไปจนถึงกำหนดนัดหมาย เว่ยฉิงคังจัดเตรียมสถานที่อย่างโอ่อ่าเตรียมรับเหล่าชาวยุทธที่ส่งเทียบเชิญไป
จนเวลาล่วงผ่าน จากเช้าไปจนตะวันลับฟ้า ก็ไม่มีชาวยุทธจากสำนักใดเดินทางมาร่วมงานเลยแม้แต่สำนักเดียว
น้ำตาของมันไหลหลั่งออกมาอย่างคับแค้นใจ พลางส่งเสียงคำรามออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว

“เมื่อยื่นไมตรีให้กลับไม่สนอง จากนี้ไปก็ต้องใช้กำลังและอำนาจ”

เมื่อคิดได้ดังนั้นมันก็ตัดสินใจกระทำสิ่งหนึ่ง จึงเรียกพ่อบ้านตู้เข้ามาพบ

“พ่อบ้านตู้ ข้าจะเดินทางไปยังห้าสำนักใหญ่ ขอท่านช่วยเป็นธุระดูแลสำนักในช่วงที่ข้าไม่อยู่ด้วย”

พ่อบ้านตู้มีท่าทีลังเล คล้ายต้องการพูดสิ่งหนึ่ง เว่ยฉิงคังเห็นเช่นนั้น ก็พูดขึ้นว่า

“ท่านต้องพูดสิ่งใดรึ พ่อบ้านตู้”

พ่อบ้านตู้ได้ยินเช่นนั้น ก็ตัดสินใจพูดออกมาว่า

“นายน้อย ท่านบอกข้าได้หรือไม่ ว่าท่านกำลังจะทำสิ่งใด”

ดวงตาของเว่ยฉิงคัง แข็งกล้าขึ้น แล้วพูดขึ้นว่า

“ข้าจะไป ยังห้าสำนักใหญ่ ไถ่ถามพวกมันให้แจ้ง ว่าจะยอมสยบให้ข้าหรือไม่ หากพวกมันแข็งขืน
ข้าจะกำจัดพวกมันซะ ให้เหล่าชาวยุทธได้เห็นเป็นเยี่ยงอย่างว่า เว่ยฉิงคังผู้นี้ มิใช่ผู้ที่พวกมันจะมองข้ามผ่าน
และหยามศักดิ์ศรีได้ ข้าจะให้พวกมันยอมรับนับถือ สำนักของเราว่าเป็นหนึ่งในยุทธภพให้จงได้”

พ่อบ้านตู้ มีใบหน้าที่สลดลง แล้วพูดขึ้นว่า

“นายน้อยโปรดใช้ความรอบคอบด้วย ในความเห็นของข้า ท่านยังไม่ใช่คู่มือของ ผู้เยี่ยมยุทธเหล่านั้น
อีกทั้งสำนักต่างๆที่เหลืออยู่ในตอนนี้ ล้วนสวามิภักดิ์ต่อลัทธิเบญจธาตุ หากท่านกระทำการโดยไม่ไตร่ตรอง
เหล่าคนของลัทธิเบญจธาตุ ก็จะบุกมายังสำนักของเราอีกครั้ง สำนักของเราพึ่งฟื้นตัว ควรกระทำการซ่องสุม
กำลังโดยทางลับ ขอท่านจงใคร่ครวญอีกครั้ง ข้ามีความเห็นว่า ผูกมิตรดีกว่าสร้างศัตรู ที่ข้าพูดออกมาเช่นนี้
เพียงต้องการเตือนสติท่าน แม้ทำให้ท่านไม่พอใจ ข้าก็ขอน้อมรับโทษจากท่าน”

พ่อบ้านตู้พูดจบ ก็ก้มหน้านิ่งอยู่

เว่ยฉิงคังรู้สึกไม่พอใจเมื่อได้ยินในครั้งแรก แต่เมื่อระลึกขึ้นได้ว่า พ่อบ้านตู้ผู้นี้ดูแลมันมาแต่เยาว์วัย
เปรียบเหมือนญาติผู้ใหญ่ที่เหลืออยู่เพียงผู้เดียวในตอนนี้ และมันก็พูดด้วยความหวังดีอย่างจริงใจ
ก็คลายความโกรธลง เดินเข้ามาจับไหล่ทั้งสองข้างของพ่อบ้านตู้ แล้วพูดขึ้นว่า

“ข้าขอบใจที่ท่านมีความห่วงใยข้า ขอท่านจงวางใจ และช่วยดูแลสำนักตามที่ข้าขอด้วย”

แล้วมันก็เดินจากไป พร้อมกับสั่งคนสนิทในสำนักห้าคน ให้ออกเดินทางติดตามมันไปในวันนั้นทันที

เว่ยฉิงคังเดินทางอยู่หลายวัน ก็มาถึงสำนักมังกรเขียวเป็นเป้าหมายแรก สำนักมังกรเขียวมี เอี๊ยงตี้เก่ง
บุตรชายของ เอี๊ยงซิมตั๊ง เจ้ายุทธคนก่อน ขึ้นเป็นเจ้าสำนักแทนบิดาของตน เมื่อถึงหน้าประตูสำนักมังกรเขียว
มันก็แนะนำตนเองแจ้งขอเข้าพบ เอี๊ยงตี้เก่ง เจ้าสำนักคนปัจจุบันด้วยท่าทีที่สงบ เมื่อถูกเชื้อเชิญไปยังห้องรับรอง
มันก็นั่งคอยอยู่เป็นเวลานาน ก็ยังไม่เห็น เอี๊ยงตี้เก่งออกมาพบ เวลาผ่านไปอีกเนิ่นนาน จนบริวารทั้งห้าที่มาด้วย
มีท่าทีที่ไม่พอใจ มีผู้หนึ่งทนต่อไปไม่ได้ ก็พูดออกมาว่า

“นายน้อย โปรดอนุญาตให้ข้าเข้าไปลากตัวมันออกมาด้วยเถิด”

เว่ยฉิงคัง ยกมือขึ้นห้าม แล้วนั่งรอต่อไปด้วยท่าทีที่สงบ จนในที่สุด เอี๊ยงตี้เก่ง ก็ออกมาพบ พร้อมกับบริวารกลุ่มใหญ่
แล้วนั่งลงบนที่นั่งกึ่งกลางห้องนั้น แล้วเอ่ยขึ้นว่า

“ขออภัย ข้ามีภารกิจที่….”

ยังมิทันที่ เอี๊ยงตี้เก่ง จะพูดจบถ้อยคำ เว่ยฉิงคังก็กล่าวเสียงกร้าวสวนออกไปว่า

“เหตุใดเจ้ายังไม่กระทำคารวะที่แทบเท้าข้า”

เอี๊ยงตี้เก่ง ตาเบิกกว้างขึ้น อย่างตื่นตกใจคาดไม่ถึงว่าอาคันตุกะที่มาเยือนผู้นี้ จะกล่าวถ้อยคำเช่นนี้กับมัน

บริวารของ เอี๊ยงตี้เก่ง ผู้หนึ่งถลันออกมา แล้วพูดขึ้นว่า

“เจ้ากล้า……………………….โครม !!!!!…”

ยังมิทันที่มันจะได้กล่าวสิ่งใดจบ เว่ยฉิงคังก็ฟาดหลังมือออกไปในอากาศ พลัน ร่างของบริวารผู้นั้น
ก็ลอยกระเด็นไปฟาดกับฝาผนังห้องอย่างแรงจนสิ้นสติไป

เว่ยฉิงคังยืนขึ้น จ้องมองไปที่ เอี๊ยงตี้เก่ง

“จากนี้ไป เจ้าและสำนักมังกรเขียวคือบริวารของข้า เว่ยฉิงคัง เจ้าเห็นเป็นประการใด”

เอี๊ยงตี้เก่ง ลุกขึ้นยืน ดวงตาแฉวแววเจิดจ้าด้วยความโกรธ

“เช่นนั้น ต้องทดลองดูว่าเจ้ามีความสามารถเพียงพอหรือไม่”

พูดจบ เอี๊ยงตี้เก่ง ก็ถลันเข้าจู่โจมใส่เว่ยฉิงคังอย่างรวดรวดเร็ว ร่ายรำเพลงเท้าเข้าใส่ช่วงลำตัวและใบหน้า
ของเว่ยฉิงคัง

เว่ยฉิงคัง หันข้างหลบเพลงเท้า ยามถูกจู่โจมใส่ลำตัว และพลิกใบหน้าหันไปมา ยามถูกจู่โจมใส่ใบหน้า
ทุกการหลบหลีกของมัน กระทำคล้ายดั่งเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เอี๊ยงตี้เก่ง โหมจู่โจมด้วยเพลงเท้าผ่านไปสิบกระบวนท่า ทุกกระบวนท่า กระทำด้วยความรุนแรงโกรธเกรี้ยว
แต่กลับไร้ผลเช่นนั้น ก็ยิ่งทวีความโกรธขึ้น จึงหันมาร่ายรำ กระบวนท่ากรงเล็บมังกรเขียว จู่โจมใส่ช่องท้อง
ติดกันถึงสามกระบวนท่า มิคาดเว่ยฉิงคัง กลับย่างเท้าหลบหลีกอย่างคล่องแคล่ว แล้วหวดฝ่าเท้าของมัน
กระทบเข้าที่หน้าอกของ เอี๊ยงตี้เก่ง จนร่างซวนเซออกไปหลายก้าว

เอี๊ยงตี่เก่ง ทั้งเจ็บและแค้น จึงคิดใช้พลังลมปราณมังกรเขียว อันเป็นวิชาสูงสุดประจำสำนัก เข้าสยบเว่ยฉิงคัง

เอี๊ยงตี้เก่ง ยกสองมือของมันแนบลำตัว แล้วเลื่อนขึ้นสู่ทรวงอก เกร็งพลังลมปราณจากช่องท้อง
พลันใบหน้าและร่างของมันก็เริ่มพองโตขึ้น และแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียว พลางย่างเท้าด้วยท่วงท่าที่พิสดาร
เข้าหาเว่ยฉิงคังแล้วฟาดฝ่ามือทั้งสองข้างออกไป ด้วยพลังลมปราณที่รุนแรงและรวดเร็ว

เว่ยฉิงคัง เห็นท่วงท่าที่พิสดารของ เอี๊ยงตี้เก่ง ก็วาดฝ่ามือทั้งสองออกเป็นวงกลม พลันพลังลมปราณอันเย็นเยียบ
ก็แผ่ซ่านออกมารอบตัวของมัน แล้วเกร็งฝ่ามือทั้งสองของมันขึ้นต้านรับ การจู่โจม ของเอี๊ยงตี้เก่ง

ทันทีที่ฝ่ามือของคนทั้งสองปะทะกัน ร่างของเอี๊ยงตี้เก่ง ก็กระเด็นล่องลอยออกไปปะทะเข้ากับเสากลางห้อง เสียงดังสนั่น
เอี๊ยงตี้เก่ง กระอักโลหิตออกมาจากปากคำใหญ่ แล้วสิ้นสติไป ร่างของมันถูกพลังไอเย็นของลมปราณพรากวิญญาณ
แทรกซึมไปทุกอวัยวะจนขาวโพลนไปทั่ว

ทันใดก็บังเกิดเสียงร้องเรียกดังออกมาจากส่วนในสำนัก ปรากฎร่างสตรีนางหนึ่งวิ่งถลันออกมาประคองร่างของ เอี๊ยงตี้เก่ง
ไว้ในอ้อมแขน

“ท่านพี่..ท่านพี่..ฮือ.ฮือๆๆๆ ..ท่านเป็นเช่นไรบ้าง”

เว่ยฉิงคัง จ้องมองไปยังสตรีนางนั้น มองเห็นใบหน้าของนางดูงดงาม เรือนร่างก็ดูอ้อนแอ้น ต้องใจมัน จึงย่างเท้า
เดินเข้าไปใกล้

สตรีนางนั้น แหงนหน้ามองดูมันอย่างโกรธแค้น แล้วยืนขึ้นจ้องมองใบหน้าของมัน

“เจ้า..เจ้าฆ่าสามีข้า วันนี้ ข้า ชุ่ยเหลียน แม้ฝีมืออ่อนด้อยก็จะขอสู้ตายกับเจ้า”

แล้วนางก็ฟาดฝ่ามือออกไปอย่างทุ่มเท เข้าใสร่างของเว่ยฉิงคัง ด้วยอารมณ์ที่คลั่งแค้น เว่ยฉิงคังคว้าจับมือ
ทั้งสองของนาง แล้วรวบร่างอันอ้อนแอ้นนั้นไว้ในอ้อมกอดของมัน

“ข้าใช้พลังไปเพียงสี่ส่วน มันคงยังไม่ถึงที่ตาย เพียงแต่บอบช้ำที่อวัยวะภายในเท่านั้น พักฟื้นอีกหลายเดือน
สามีของเจ้าก็จะกลับมาเป็นปกติ ”

ชุ่ยเหลียน พยายามสะบัดร่างไปมาเพื่อให้หลุดพ้นจากอ้อมกอดของมัน

เว่ยฉิงคัง ก้มใบหน้าเข้าแนบชิดใบหูของนาง แล้วพูดขึ้นว่า

“ข้ามีเทียบเชิญให้เจ้าไปร่วมชุมนุมชาวยุทธที่สำนักของข้า หากข้าไม่พบเจ้าตามกำหนดนัดหมาย ข้าจะกลับมาเอาชีวิตมัน”

แล้วมันก็คลายอ้อมกอดออก ผลักร่างนางออกไปจนล้มลง ทิ้งเทียบเชิญไว้ให้ แล้วย่างเท้าเดินออกไป
พร้อมกับบริวารทั้งห้าของมันทันที

จากนั้นมันก็มุ่งหน้าไปยัง สำนักดาบแปดทิศ และ สำนักฝ่ามือทลายภูผา สำนักทั้งสองก็ถูกมันสยบลงอย่างราบคาบ
ประมุขแห่งสำนักทั้งสอง มีชะตากรรมเช่นเดียวกับ เอี๊ยงตี้เก่ง อีกทั้งบุตรและธิดา ของเจ้าสำนักเหล่านั้นก็ถูกมัน
จับไว้เป็นตัวประกัน ส่วนอารามชีบุปผาหยก และสำนักเงาจันทรา นั้นผู้ปกครองสำนัก คงเหลือแต่บริวารที่เป็นสตรี
มันจึงข่มขู่ตัวแทนสำนักที่เหลืออยู่ ให้ไปร่วมชุมนุมที่สำนักทวนผดุงคุณธรรม ตามกำหนดนัดหมาย

ข่าวการบุกจู่โจมห้าสำนักใหญ่ของเว่ยฉิงคัง เลื่องลือไปในหมู่ชาวยุทธอย่างรวดเร็ว ทุกผู้คนล้วนร่ำลือและกล่าวขวัญถึง
พลังฝีมือและการกระทำของเว่ยฉิงคังในครั้งนี้ ครั้นเหล่าชาวยุทธทั้งหลายได้รับเทียบเชิญอีกครั้ง ก็สร้างความเกรงกลัว
ให้เกิดขึ้นกับชาวยุทธทั้งหลายเป็นอันมาก ต่างครั่นคร้ามไม่กล้าไม่ไปตามเทียบเชิญนั้น

———————

หลังจาก ที่เฟยอี้มีชัยต่อ ลัทธิเบญจธาตุ เหตุการณ์ในวังหุบผาภูติก็สงบลง ทุกคนออกมาแสดงความยินดี และชื่นชมต่อ
ชัยชนะของเฟยอี้ อ๋องลีลู่ปังมีความภาคภูมิใจในศิษย์ของตนผู้นี้เป็นอย่างมาก ถึงกับหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างชื่นชม

“ข้าเพียรพยายามมานับสิบปี เพื่อข้ามผ่านลมปราณภูตคำรามขั้นที่หก แต่เจ้ากลับใช้เวลาเพียงไม่นาน ก็สามารถ
บรรลุถึงขั้นที่แปด นับว่าสูงส่งกว่าอาจารย์เจ้าแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

เฟยอี้คุกเข่า โขกศรีษะลงที่พื้น

“บุญคุณที่อาจารย์สอนสั่ง ศิษย์จะไม่มัวันลืม”

อ๋องลีลู่ปังเดินเข้าไปประคองศิษย์รักขึ้นมา พลันสายตาก็เหลือบไปเห็น ภูตแพรทั้งสี่ต่างมองเฟยอี้ด้วยใบหน้าที่ชื่นชม

“เจ้าแพรขาว เจ้าแพรแดง เจ้าแพรเหลือง เจ้าแพรเขียว พวกเจ้าจะรังเกียจศิษย์ข้าคนนี้หรือไม่ หากข้าจะให้มัน
เป็นสามีของพวกเจ้า”

ภูตแพรทั้งสี่ ตาเบิกกว้าง ใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความอาย แล้วก้มหน้าลงไม่พูดสิ่งใดออกมา

“ฮ่าๆๆๆ ข้าจะหาวันมงคลทำพิธีแต่งงานให้กับพวกเจ้า ฮ่าๆๆๆ ข้ามีความสุขยิ่งนัก แพรขาว สั่งความออกไป
วันนี้วังหุบผาภูตของเรา จะจัดงานฉลองรื่นเริงกัน เพื่อฉลองชัยชนะให้กับ เฟยอี้ศิษย์ของข้า”

ในช่วงเย็นของวันนั้น อ๋องลีลู่ปังได้จัดให้มีงานฉลองขึ้นที่วังหุบผาภูติ เหล่าทหาร และ บริวารของวังหุบผาภูตก็พากันมาร่วม
งานเลี้ยงฉลองกันอย่างสนุกสนาน ในช่วงหนึ่งอ๋องลีลู่ปังก็มีคำสั่งให้เฟยอี้ เข้าไปพบเพียงลำพัง

เมื่อเฟยอี้เข้ามาพบในห้องส่วนตัว อ๋องลีลู่ปังก็กล่าวขึ้นว่า

“เฟยอี้ เจ้ามาแล้วรึ ข้ามีสิ่งหนึ่งจะบอกแก่เจ้า”

เฟยอี้กระทำคารวะ

“ท่านอาจารย์มีคำสั่งใด โปรดแจ้งแก่ศิษย์”

อ๋องลีลู่ปังมีสีหน้าจริงจังขึ้น แล้วกล่าวว่า

“วันนี้เจ้าปะทะฝีมือกับ เทวทูตหน้าทอง เจ้ามีความเห็นเช่นไร”

“ข้าคิดว่า หากมันคือ หลงจินหู่ จริง คนผู้นี้ก็นับว่าน่ากลัวมาก ที่สามารถงำประกายไว้ ไม่แสดงฝีมือกระบี่ของมันออกมา”

อ๋องลีลู่ปังพยักหน้า

“ใช่….เจ้ากล่าวได้ถูกแล้ว คนผู้นี้เพื่อบรรลุเป้าหมายช่วงชิงคัมภีร์กระบี่อัสนีบาต มาเป็นของมัน มันถึงกับยินยอม
พ่ายแพ้แก่เจ้า หากว่ามันใช้ วิชา เจ็ดกระบี่ปลิดชีพของมัน เข้าต่อสู้กับเจ้าแล้ว ก็ไม่แน่ว่าเจ้าจะมีชัยต่อมันได้”

อ๋องลีลู่ปัง ย่างเท้าเดินอย่างใช้ความคิด แล้วก็กล่าวออกมาว่า

“ข้าคิดว่า ในครั้งนี้หลังจากที่ข้าได้แฉพฤติกรรมของมันออกไป เจ้าลัทธิต้องเกิดความระแวงสงสัยในตัวมัน ไม่มากก็น้อย
แล้วมันก็คงต้องใช้วิธีรวบรัด เพื่อช่วงชิงคัมภีร์ให้จงได้ และเมื่อถึงเวลานั้น ตัวเจ้าและวังหุบผาภูตก็จะตกเป็นเป้าหมายของมัน
คนผู้นี้ ร้ายกาจนัก หากมันผูกใจอาฆาตผู้ใดมันจะกระทำทุกวิถีทางเพื่อแก้แค้น ข้ามีความเห็นว่า เจ้าจะต้องเตรียมพร้อมรับมือไว้ ”

“ท่านอาจารย์ แล้วข้าควรเตรียมความพร้อมเช่นไร”

“ในตอนนี้ ข้าเห็นเพียงผู้เดียว ที่มีวิชากระบี่ที่ล้ำลึกสามารถสยบ วิชา เจ็ดกระบี่ปลิดชีพ ของมันได้ ข้าต้องการให้เจ้าเดินทาง
ไปพบคนผู้นี้ และฝากตัวเป็นศิษย์ร่ำเรียน วิชากระบี่เทพวายุของท่าน ”

“ท่านอาจารย์ ท่านหมายถึง ท่านหานไป๋เจี้ยน หนึ่งในห้าเซียนเทพยุทธ ใช่หรือไม่”

อ๋องลีลู่ปังพยักหน้า แล้วล้วงมือไปในแขนเสื้อ หยิบซองหนังสือออกมาซองหนึ่ง

“ที่อยู่ของหานไป๋เจี้ยน และหนังสือแนะนำตัวเจ้า อยู่ในซองนี้แล้ว หากไม่มีภาระใดในช่วงนี้ ข้าคิดว่าเจ้าควรเร่งออกเดินทาง
โดยทันที”

เฟยอี้รับซองหนังสือจากอ๋องลีลู่ปัง แล้วก้มลงคารวะ กล่าวขอบคุณต่ออาจารย์ที่เมตตามัน

ทันใดนั้น ก็มีคนรับใช้นางหนึ่งมาขอเข้าพบอ๋องลีลู่ปังอยู่ที่หน้าห้อง เมื่ออ๋องลีลู่ปังเรียกให้เข้ามา นางผู้นั้นก็กล่าวออกมา
ด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น

“ทะ…ทะ..ท่านอ๋อง องค์หญิงหายตัวไป ข้าน้อยค้นหาตัวอยู่เป็นเวลานานก็ไม่พบ จึงขอให้เหล่าทหารช่วยออกค้นหาจนทั่ว
แต่ก็หาได้พบไม่ ข้าน้อยเห็นผิดปกติจึงเข้ามารายงานให้ท่านอ๋องทราบ”

อ๋องลีลู่ปัง และเฟยอี้ ยืนขึ้นพร้อมกัน อ๋องลีลู่ปัง เร่งตรงไปยังห้องของบุตรสาว พบว่าประตูห้องถูกเปิดออกค้างไว้
เมื่อใช้สายตาสำรวจสิ่งของในห้อง ก็ไม่พบร่องรอยใดๆผิดปกติ

พลันสายตาของอ๋องลีลู่ปังก็กระทบเข้ากับสิ่งหนึ่งที่ตรึงอยู่กับเสาในห้อง มันคืออาวุธลับชนิดหนึ่ง
อ๋องลีลู่ปัง เดินเข้าไปปลดอาวุธลับนั้นออกมาจากเสา พบว่ามีกระดาษบันทึกข้อความถูกสอดแนบติดไว้กับอาวุธลับนั้น
เมื่อคลี่กระดาษออกเปิดอ่าน ก็พบข้อความว่า

“นำตัวหานไป๋เจี้ยน มาแลกกับบุตรีเจ้า ลัทธิเบญจธาตุ”

เฟยอี้มองเห็น สีหน้าของอ๋องลีลู่ปังซีดเผือดลง ก็เอ่ยปากถาม

“ท่านอาจารย์ มันเป็นข้อความอันใด”

อ๋องลีลู่ปังยื่นข้อความนั้นส่งให้เฟยอี้ เมื่อเฟยอี้ทราบความก็พูดขึ้นว่า

“ท่านอาจารย์ ท่านวางใจเถอะ ข้าจะออกติดตามพวกมัน นำตัวองค์หญิงกลับมาให้จงได้”

เฟยอี้ทำท่าจะถลันร่างออกไป อ๋องลีลู่ปังก็ร้องห้ามขึ้น

“ช้าก่อน เฟยอี้ ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่สามารถตามพวกมันได้ทันแล้ว รอจนถึงวันรุ่งขึ้น เจ้าค่อยออกเดินทาง
ตอนนี้ลู่อิน อยู่ในอุ้งมือมัน เจ้าต้องหลีกเลี่ยงการเข้าปะทะกับพวกมันโดยตรง สืบข่าวหาที่ซ่อนของลู่อินในทางลับ
แล้วลักลอบนำนางออกมาให้จงได้”

“วางใจข้าเถอะ ท่านอาจารย์ ข้าจะนำนางกลับมาอย่างปลอดภัยให้จงได้ แม้แลกด้วยชีวิตข้าก็ยินยอม”

เช้าวันรุ่งขึ้น เฟยอี้ออกเดินทางจากวังหุบผาภูต โดยใช้เสันทางเดียวกันกับ ขบวนของลัทธิเบญจธาตุที่ทิ้งร่องรอยเอาไว้
เส้นทางนั้นผ่านเทือกเขาและป่าอันรกครึ้ม จนบรรลุออกจากป่ามายังผืนดินที่กว้างใหญ่ไพศาล เบื้องหน้าอันไกลโพ้น
เป็นเวิ้งทะเลทรายอันร้อนระอุ เฟยอี้เดินทางมาเป็นเวลาครึ่งวัน ก็ทรุดตัวลงนั่งพักยังโขดหินริมทางลูกหนึ่ง
ขณะที่มันกำลังพริ้มตาหลับลงก็มีเสียงหนึ่ง ฟังดูคล้ายเสียงสะอื้นร่ำไห้ของสตรี ดังเข้าหูมันอย่างแผ่วเบา

เฟยอี้ยืนขึ้น มองไปโดยรอบ เงี่ยหูตั้งใจฟังทิศทางที่มาของเสียงนั้น แล้วเดินฝ่าย้อนเข้าไปในดงไม้ที่อยู่เบื้องหลัง
พลันก็พบต้นเสียง มองดูคล้ายดรุณีนางหนึ่งนั่งชันเข่าซบใบหน้าร้องไห้อยู่ ณ ที่นั้น

“แม่นาง…แม่นางน้อย…เจ้า..เจ้าบาดเจ็บ หรือเป็นอันใดหรือไม่”

ดรุณีน้อยผู้นั้น ครั้นได้ยินเสียงผู้อื่นกล่าวกับตน ก็ยิ่งส่งเสียงร้องไห้ดังขึ้นอีก เฟยอี้จึงสาวเท้าเข้าไปหา
แล้วทรุดตัวนั่งลงใกล้กับดรุณีนางนั้น

“เจ้าหิวหรือไม่ ข้ามีหมั่นโถวอยู่ไม่น้อย เจ้าต้องการลิ้มรสบ้างหรือไม่”

ดรุณีผู้นั้น เงยหน้าขึ้น จ้องมองที่ใบหน้าของเฟยอี้ ทันใดดวงตาของนางก็เบิกกว้างออก
โผเข้าสวมกอดเฟยอี้ แล้วร้องเรียกอย่างดีใจ

“ท่าน..ท่าน…พี่เฟยอี้….เป็นท่านจริงๆ…..ฮือๆๆๆๆๆๆ…….”

เฟยอี้พอทราบว่านางคือใคร ก็โอบกอดนางไว้อย่างเวทนา

“เม่ยเม่ย เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ ณ ที่นี้ แล้วเจ้าบาดเจ็บที่ไหนหรือไม่”

เม่ยเม่ย ร้องไห้ไม่หยุดอยู่เป็นเวลาครู่ใหญ่ ก็กลับมาได้สติ จึงเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาให้เฟยอี้ทราบ

“ข้าไม่ต้องการให้ผู้ใด มาว่ากล่าว ว่าข้าเป็นคนเนรคุณ ข้ามิได้รู้เห็นกับการกระทำของพีใหญ่ แต่ข้าก็ยังถูกประนาม
ด้วยเหตุนี้ข้าจึงมิกล้าร่วมเดินทางไปยัง วังหุบผาภูตกับท่านหมอเมี่ยว หลายวันมานี้ยามค่ำคืน ข้าต้องอยู่ผู้เดียว
มันทั้งหนาวเหน็บและน่ากลัว ในโลกนี้ ข้าไม่เหลือใครอีกแล้ว พี่เฟยอี้ ท่านอย่าทิ้งข้าไปนะ”

เฟยอี้ยกมือขึ้นลูบศรีษะของนาง แล้วล้วงมือไปในห่อผ้า หยิบหมั่นโถออกมาสองใบ แล้วยื่นส่งให้เม่ยเม่ย
เม่ยเม่ยรับหมั่นโถสองใบนั้นไปกัดกินอย่างหิวกระหาย

หลังจากนั้น เฟยอี้ ก็พา เม่ยเม่ยเดินทางไปกับมัน ในเวลาหลายวัน ทั้งคู่เดินทางฝ่าเวิ้งทะเลทรายที่กว้างใหญ่
แม้ว่าตลอดเส้นทางจะร้อนระอุ เม่ยเม่ยก็สู้อดทนเดินทางเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับเฟยอี้ อย่างไม่ย่อท้อ
หรือออกปากบ่นคำใดๆออกมา ทั้งนี้ก็เพราะ นางเกรงกลัวที่จะอยู่ผู้เดียว และนางมีความสุขใจที่มีเฟยอี้อยู่เคียงข้าง
เฟยอี้ลอบสังเกตเห็นความอดทนของนางก็ยิ่งนึกเอ็นดู

“เม่ยเม่ย ท่ามกลางทะเลทรายที่ร้อนระอุเช่นนี้ เหตุใดจึงดูเหมือนเจ้ามีความสุขยิ่งนัก”

“ข้ามีความสุข เพราะมีท่านอยู่ข้างกาย พี่เฟยอี้ แม้ร้อนระอุกว่านี้ ข้าก็ไม่กลัว”

เม่ยเม่ย พูดขึ้นพลางเชิดริมฝีปาก เอียงคอ อย่างน่ารัก เฟยอี้จ้องมองใบหน้านั้นก็คิดวาบหวามอยู่ครู่หนึ่ง

พลัน เม่ยเม่ย ก็โผเข้ากอดแขนของเฟยอี้ไว้ แล้วเดินหัวเราะเสียงใสเคลียคลอไปกับมัน

“หากแม้นว่า ท่านกับข้า ได้เดินทางร่วมกันไปตลอดชีวิตเช่นนี้ ก็คงจะมีความสุขมาก ท่านคิดเหมือนข้าไหม พี่เฟยอี้”

ความหยุ่นนิ่มจากทรวงอกของนาง เสียดสีอยู่กับท่อนแขนของเฟยอี้ ทำให้มันบังเกิดอารมณ์วาบหวามขึ้น
กล่าวคำติดขัดออกมา

“ใช่….ใช่…ข้าก็คิดเช่นเดียวกับเจ้า”

เม่ยเม่ย เดินเข้ามาดักหน้าเฟยอี้ แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนเกือบชิดใบหน้าของมัน

“พี่เฟยอี้ ท่านว่าข้างดงามหรือไม่”

เฟยอี้จ้องมองใบหน้างามน่ารัก ดวงตากลมโตสดใส แล้วมองเลื่อนลงไปที่ริมฝีปากอันอวบอิ่ม ก็พลันคิดฟุ้งซ่านไปไกล
มันเร่งสลัดความรู้สึกนั้นทิ้งไป

“เฮอะ !!… มีอันใดงดงาม ใบหน้าของเจ้าเลอะเทอะมอมแมม คล้ายดังลูกสุนัข”

เม่ยเม่ย ถลึงตาพองโตขึ้น ร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง

“ท่าน..ท่านว่าข้าเป็นลูกสุนัขรึ …ท่าน อย่าหนีนะพี่เฟยอี้ มาให้ข้าทุบตีท่านเสียโดยดี อย่าหนีนะ”

ทั้งสองวิ่งหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน จนบรรลุเข้าเวิ้งแหล่งน้ำกลางทะเลทรายแห่งหนึ่ง เฟยอี้หยุดมอง
อย่างตะลึงในความงดงามของทิวทัศน์ที่ได้ปรากฎอยู่เบื้องหน้าของมัน เม่ยเม่ยวิ่งไล่ตามมาเห็นเฟยอี้
หยุดยืนมอง ก็กระทำตามบ้าง ทิวทัศน์เบื้องหน้า คือสระน้ำใสกลางทะเลทรายอันกว้างใหญ่ มีพืชพันธุ์น้อยใหญ่
ขึ้นอยู่โดยรอบสระนั้น พืชพันธุ์เหล่านั้นต่างชูช่อ อวดดอกสีสันงามจับตา

“เม่ยเม่ย เจ้าช่างมอมแมมนัก ลงไปเล่นน้ำในสระนั้นดีหรือไม่”

สิ้นคำเฟยอี้ก็ดึงร่างของ เม่ยเม่ย เหวี่ยงลงไปในสระน้ำนั้น ร่างของเม่ยเม่ยลอยละลิ่วส่งเสียงหวีดร้อง
แล้วหล่นตูมลงไปในสระน้ำนั้นทันที

เม่ยเม่ย แหวกว่ายขึ้นมาสู่ผิวน้ำด้วยใบหน้าที่เบิกบาน สดชื่น

“พี่เฟยอี้ น้ำในสระนี้เย็นสบายตัวดีจริงๆ ท่านก็ลงมาในสระนี้ด้วยเถิด”

ตลอดเวลาหลายวันที่เดินทาง เฟยอี้พบแต่ความร้อนระอุท่ามกลางทะเลทราย จนรู้สึกรำคาญกาย
จึงไม่ต้องรอให้ เม่ยเม่ย รบเร้า มันกระโดดลงไปในสระตามเม่ยเม่ยไปในทันที

ทั้งสองแหวกว่ายเล่นน้ำในสระ หยอกล้อกันเป็นที่สนุกสนาน น้ำที่เย็นสดชื่นในสระชำระร่างกายและใบหน้าของ
เม่ยเม่ยจนสะอาดหมดจด ยามนางเข้ามาพัวพันหยอกล้อใกล้ชิดกับเฟยอี้ ทำให้เฟยอี้เผลอจ้องมองใบหน้างามน่ารักนั้น
อย่างลืมตัว บางครั้งร่างของนางก็เข้ามาแนบชิดติดพันกับร่างของมัน สร้างความวาบหวามให้บังเกิดขึ้นกับมันอีก

ทั้งสองแหวกว่ายในสระน้ำจนสบายร่างกายแล้ว เม่ยเม่ยก็ขึ้นจากสระหันมาร้องเรียก ให้เฟยอี้ขึ้นตามมา

เฟยอี้มองไปที่ร่างของนาง เห็นเสื้อผ้าสีขาวของนางเปียกน้ำจนชุ่มโชก รัดรึงส่วนต่างๆในร่างจนเห็นส่วนโค้งนูน
ได้อย่างแจ่มชัด ประกอบกับ เบื้องหลังของนาง มีแสงของดวงตะวันในยามบ่ายสาดทอผ่านร่างของนางจนใสกระจ่าง
เห็นไปทุกสัดส่วน เฟยอี้จ้องมองอ้าปากค้าง แก่นกายของมันเกิดอาการตื่นตัวจนแข็งตึง มันพยายามระงับกำหนัด
ไม่ให้บังเกิดขึ้น

“เจ้าหันไป เม่ยเม่ย ข้าจะขึ้นจากสระแล้ว”

“ใยข้าต้องหันไปด้วย ”

“หากเจ้าไม่หันไป ข้าก็จะไม่ขึ้นจากสระ”

เม่ยเม่ย นึกสนุกจึงหันกลับไปตามคำขอของเฟยอี้ ครั้นประมาณเวลาว่าเฟยอี้พ้นจากขอบสระแล้ว ก็หันหน้ากลับมาทันที

นางมองไปยังร่างของเฟยอี้ เห็นแก่นกายขยายตัวเป็นลำใหญ่อยู่ภายใต้กางเกงของเฟยอี้ ก็จ้องมองดูด้วยความอยากรู้
ครั้นจ้องมองนานเข้า ก็รู้สึกว่าร่างของนางร้อนวูบวาบอย่างบอกไม่ถูก

เฟยอี้เห็นนางจ้องมองนิ่งเช่นนั้น ก็เอามือปิดป้องไว้

“ข้าให้เจ้าหันไป ใยจึงไม่ทำตาม”

เม่ยเม่ย หัวเราะเสียงใสออกมา แล้วตาของนางก็สังเกตุเห็นสิ่งผิดปกติสิ่งหนึ่ง เกาะอยู่บนร่างของเฟยอี้จึงร้องขึ้นว่า

“พี่เฟยอี้ สิ่งใดเกาะตามเรือนร่างของท่าน”

เฟยอี้ก้มลงสำรวจเรือนร่างตัวเองก็พบว่า เป็นปลิงสีดำ ขนาดใหญ่กำลังเกาะกินเลือดของมันอยู่ตลอดทั้งลำแขน
จึงแกะปลิงเหล่านั้นออก แล้วโยนทิ้งไป แต่ก็พบว่า รอยแผลที่เกิดจากปลิงเหล่านั้นกัดกิน เกิดเป็นรอยจ้ำสีดำคล้ำ
มันก็เข้าใจได้ทันทีว่าเป็นปลิงพิษ

เรื่องเสียว อ่านเรื่องเสียว เล่าเรื่องเสียว ประสบการณ์เสียว เรื่องเล่าเสียว เล่าเสียว อ่านเสียว เรื่องเสียวแม่ลูก doujin sak รวมเรื่องเสียว

จึงใช้ปากดูดเอาเลือดเสียทิ้งไป รอยจ้ำสีดำเหล่านั้นก็หมดไป

เม่ยเม่ยจ้องมองดูการกระทำของเฟยอี้อยู่ ก็ร้องบอกไปว่า

“มันเกาะอยู่ภายในเสื้อของท่านด้วย ข้ามองเห็นเป็นกลุ่มดำๆเต็มไปหมด”

เฟยอี้ตัดสินใจถอดเสื้อของตนออก ก็พบว่ามีปลิงขนาดใหญ่เกาะอยู่เต็มไปหมด มันใช้มือแกะปลิงเหล่านั้นออกทีละตัว
จนหมด มองเห็นรอยสีดำคล้ำอยู่ทั่วร่างของมัน แต่มันก็ไม่สามารถใช้ปากดูดพิษทิ้งไปได้

เม่ยเม่ย เห็นเช่นนั้นก็ทราบว่า เฟยอี้ไม่สามารถช่วยตนเองได้ จึงเดินเข้าไป ก้มใบหน้าลงดูดพิษที่กลางลำตัวของเฟยอี้
ในขณะที่มันไม่ทันรู้ตัว

“เจ้า…เจ้าทำอะไร เม่ยเม่ย..อูยยย….”

เฟยอี้รับรู้สัมผัสจากริมฝีปากอันอ่อนนุ่มของเม่ยเม่ย ที่ก้มลงดูดพิษให้กับมัน ทีละจุด ทีละจุด ในแต่ละจุดสร้างความเสียวสยิว
และก่อเกิดเพลิงกำหนัดของมันให้ลุกโชนขึ้นมา

เม่ยเม่ย ดูดพิษทีละจุด จนถึงจุดสุดท้ายบริเวณใต้สะดือของมัน นางจึงคุกเข่าลงแล้วประกบริมฝีปากงามลงบนจุดนั้น
เฟยอี้เสียวสยิว จนถึงกับวางมือทั้งสองลงบนศรีษะของนาง แล้วบีบเกร็ง เงยหน้าขึ้นแล้วร้องครางออกมา
จนเม่ยเม่ย เกิดความสงสัย

“ซี๊ดดดด……อูยยยยยยย………”

“พี่เฟยอี้ ท่านเจ็บปวดหรือไม่”

ยังมิทันที่เฟยอี้จะตอบโต้ พลันสายตาของนาง ก็เหลือบไปมอง แก่นกายอันแข็งเกร็งของมัน

“พี่เฟยอี้ มีอีกหนึ่งตัวในกางเกงท่าน ข้ามองผ่านกางเกง.เอ่อ..เห็นเงาดำของมันเกาะอยู่ตรง..เอ่อ..ตรง..นั้นของท่าน”

เม่ยเม่ย หน้าแดงกล่ำด้วยความอาย นางไม่เคยต้องเอ่ยเรียกเจ้าสิ่งนั้นของบุรุษเพศ ทำให้นางรู้สึกลำบากใจนัก

เฟยอี้ลืมตัว เฉกเช่นธรรมชาติของบุรุษเพศโดยทั่วไป ที่มีความหวงแหนเจ้าสื่งนั้นเกินกว่าสิ่งใดทั้งหมด
มันกระชากกางเกงตนเองลงมาจนเปลือยเปล่า มองเห็นปลิงสีดำมะเมื่อมเกาะอยู่ที่ส่วนหัวของแก่นกายมัน

เฟยอี้แกะปลิงใหญ่สีดำตัวนั้นออกจากแก่นกายของมันอย่างรีบเร่ง แล้วโยนทิ้งไปอย่างโล่งอก แก่นกายของเฟยอี้
ในตอนนี้ มีสีดำคล้ำอย่างน่ากลัว เฟยอี้หน้าซีดเผือดไม่รู้จะทำประการใดต่อไป

แต่ทันใดนั้น สิ่งที่มันไม่คาดคิดก็บังเกิดขึ้น เม่ยเม่ยใช้มือจับแก่นกายของมัน ยัดเข้าไปในปากแล้วดูดพิษออกอย่างรุนแรง

“โอ้วววว……..ซี๊ดดดดด……เม่ยเม่ย……ข้า…….อูยยยยยย….”

เม่ยเม่ยดูดพิษออกจากแก่นกายเฟยอี้อย่างตั้งใจ สลับกับบ้วนพิษทิ้งออกจากปาก ทุกครั้งที่นางเอาแก่นกายของมันยัดใส่ปากของนาง
แล้วเริ่มดูดใหม่ ร่างของมันต้องสะดุ้งสุดตัว ด้วยความเสียวซ่านอย่างที่สุด จนมันต้องเขย่งปลายเท้า เผลอใช้สองมือขยำเส้นผมของนาง
อย่างลืมตัว

“โอ้ววววววววว………………….อูยยยยยยยยย………….”

จนในที่สุด รอยคล้ำสีดำก็เริ่มเจือจางไป เม่ยเม่ยทำท่าจะลุกขึ้น แต่เฟยอี้กดศรีษะของนางไว้

“ข้ายังรู้สึกว่ามีพิษหลงเหลืออยู่ ขอเจ้าช่วยดูดพิษให้ข้าอีกครั้ง สองครั้งเถิด”

เม่ยเม่ย แย้มยิ้มอย่างน่ารัก แล้วกระทำตามอย่างว่าง่าย จับแก่นกายของมันจะยัดใส่ปากอีกครั้ง เฟยอี้ก็พูดขัดขึ้นว่า

“ครั้งนี้ เจ้าช่วยใช้ลิ้น โลมเลียขจัดพิษด้วยได้หรือไม่”

เม่ยเม่ย แย้มยิ้มพยักหน้าตอบรับ พร้อมกับจับแก่นกายของมันยัดใส่ปากแล้ว ดูดอย่างรุนแรง
สลับกับใช้ลิ้นโลมเลียไปทั่วแก่นกายของมัน ครั้งนี้เฟยอี้ถึงกับหลับตาพริ้มอย่างเคลิบเคลิ้ม ห่อปากสูดลมเข้าไปในปาก
อย่างสุดสยิว มันถึงกับลืมตัว ใช้สองมือยึดศรีษะของ เม่ยเม่ยไว้อย่างแนบแน่น แล้วโยกบั้นเอวเข้าออกอย่างเร่งร้อน

“ซี๊ดดดดดดดดด…………..อ้าาาาาาาาาาา………”

เม่ยเม่ยอ้าปากกว้างออก คิดจะถอยใบหน้าของนางออกมา แต่ถูกสองมือของเฟยอี้รั้งศรีษะของนางไว้
นางจึงยังนิ่งปล่อยให้เฟยอี้ ส่งแก่นกายของมันเข้าออกจากปากของนางอย่างอดทน เฟยอี้โยกบั้นเอวเข้าออกอยู่ครู่หนึ่ง
ก็รู้สึกตัวว่าทำนบรักของตนกำลังจะแตกออกมา จึงกดบั้นเอวนิ่งค้างอยู่ เพื่อระงับกำหนัดมิให้พลุ่งพล่านไปมากกว่านี้
ปล่อยให้แก่นกายของมัน ค้างอยู่ในปากของเม่ยเม่ย แล้วส่งเสียง ผ่อนอารมณ์ดังยาวออกมา

“อ้าาาาาาาาาาาาาาาาา………..”

เม่ยเม่ย เห็นเช่นนั้น ก็คิดว่าเฟยอี้มีความเจ็บปวดจากพิษ จึงคิดช่วยเหลือ ใช้ปากดูดที่แก่นกายของมันอย่างรุนแรง
และรีบเร่ง นางดูดคล้ายดั่ง ทารกดูดนมจากมารดา เฟยอี้ถูกดูดอย่างรุนแรงเช่นนั้น ความเสียวซ่านก็แล่นขึ้นถึงจุดสูงสุด
จนสุดที่สะกัดกั้นมิให้ ทำนบธารารักหลั่งไหลออกมาได้ มันครางเสียงดังยาวออกมาอย่างสุขสม แล้วปลดปล่อยน้ำรักของมัน
พุ่งกระจายเข้าไปในปากของเม่ยเม่ยจนหมดสิ้น น้ำรักเหล่านั้นล่วงลงสู่ลำคอของเม่ยเม่ยจากการดูดที่รุนแรงของนางจนหมด

และแล้ว เฟยอี้ก็เข่าอ่อนทรุดลงนั่ง เม่ยเม่ยจึงปล่อยแก่นกายของมันออกจากปากของนาง แล้วถามขึ้นทั้งที่มีน้ำรักของเฟยอี้
ไหลย้อยออกมาจากปากของนาง

“ท่านเป็นเช่นไรบ้าง ยังเจ็บปวดอยู่หรือไม่”

เฟยอี้ใช้เสื้อของมันเช็ดน้ำรักออกจากปากของนาง แล้วจ้องมองใบหน้าของนางด้วยความรู้สึกวาบหวาม

“ข้าสบายตัวดีแล้ว ขอบใจเจ้ามาก เม่ยเม่ย”

มันไล่สายตาสำรวจใบหน้างามน่ารักของ เม่ยเม่ย อย่างใกล้ชิด พลางคิดอยู่ภายในใจว่า ก่อนหน้านี้
มันไม่เคยสนใจ เม่ยเม่ย มาก่อน พึ่งจะตระหนักในวันนี้เองว่านางช่างงามนัก มันมองไล่ต่ำลงมาที่ลำคองามระหง
จนถึงเนินอกที่ขาวผุดผ่อง และแล้ว สายตาของมันก็มาสะดุดอยู่ที่ร่องอกของนาง ปลิงตัวหนึ่งเร้นกายอยู่ภายในนั้น
มันเงยหน้าขึ้นร้องบอกต่อนาง

“เม่ยเม่ย มีปลิงอยู่ที่ทรวงอกของเจ้า”

สิ้นคำของเฟยอี้ เม่ยเม่ยก็ส่งเสียงกรีดร้องลั่นอย่างตกใจ พลางซอยเท้าอยู่กับที่อย่างขยะแขยง

“ที่ใด..ที่ใด ..พี่เฟยอี้..เอามันออกไป…ว๊ายยย…..”

“ใน..ใน.เสื้อของเจ้า…..”

เม่ยเม่ย ขยะแขยงจนลืมตัวว่านางอยู่ต่อหน้าบุรุษเพศ นางถอดเสื้อออกมาจนหมด แล้วสำรวจดูทรวงอก
ของตนเอง ก็เห็นปลิงตัวหนึ่งเกาะอยู่ที่ระหว่างถันทั้งสองของนาง ก็ยิ่งส่งเสียงร้องดังขึ้นอีก
แล้วย่ำเท้าไปมาอย่างขยะแขยง

“พี่เฟยอี้….ช่วยข้าด้วย…เอามันออกไป……”

เฟยอี้จ้องมองตะลึงค้างตาไม่กระพริบ ถันกลมกลึงขนาดซาลาเปาทั้งสองข้างอวดโฉมต่อสายตามันอย่างเต็มตา
มันขาวนวลผุดผ่อง รับกับยอดถันสีชมพูที่สั่นไหว ตามการขยับร่างไปมาของเม่ยเม่ย

เฟยอี้ปฏิบัติตัวไม่ถุก ใจหนึ่งก็อยากใช้มือสัมผัสทรวงอกของนาง เอาปลิงนั้นออกไป อีกใจหนึ่งก็ละอาย
ไม่กล้ากระทำตามใจตัวเอง

“ว๊ายยย….ฮือๆๆๆ ….พี่เฟยอี้..เอามันออกไปที..ใยท่านจึงไม่ช่วยข้า”

เมื่อได้ยิน เม่ยเม่ย ตัดพ้อเช่นนั้น มันก็ตัดสินใจยื่นมือไปสัมผัส ถันอันกลมกลึงข้างหนึ่ง
แล้วกำจนเต็มกำมือ อีกข้างหนึ่งก็หยิบปลิงพิษนั้นออกไป

สัมผัสอันนุ่มนิ่มในกำมือของมัน กระพือพัดไฟราคะของมันให้ลุกโชนอีกครั้ง ยิ่งเห็นถันของนาง
มีรอยดำคล้ำจากพิษของปลิง มันก็ไม่รอช้าใช้ปากของมันดูดที่รอยดำคล้ำนั้นทันที

เม่ยเม่ยสะดุ้งสุดตัว นางวาบหวิวขนลุกชันไปทั้งร่าง เมื่อถันของนางสัมผัสกับริมฝีปากของเฟยอี้
และเมื่อเฟยอี้ออกแรงดูด นางก็ถึงกับหายใจติดขัด มือของนางทิ้งลงแนบลำตัวแล้วชี้เกร็งจากความเสียว
ซ่านที่ได้รับ เฟยอี้ไม่เพียงดูดเท่านั้น มันกลับใช้ปลายลิ้นลากเลียไปมา จนมาถึงฐานของยอดถันสีชมพูระเรื่อ
มันก็ระรัวลิ้น หยอกล้อกับยอดถันของเม่ยเม่ย แล้วกลืนยอดถันนั้นเข้าไปในปากแล้วดูดกินทันที

“ซี๊ดดดดดด…..พี่เฟยอี้ ..พิษหมดแล้วหรือไม่..ข้า..ซี๊ดดดด….”

เสียงของนางแหบพร่า และสั่นเครือ เสียงนั้นเหมือนยิ่งเร่งเร้าให้เฟยอี้ ลงมือหนักขึ้นอีก

“พิษมันกระจายไปทั่วทรวงอกเจ้าแล้ว ข้าต้องดูดออกให้หมด”

สิ้นคำ เฟยอี้ก็ใช้สองมือของมัน เกาะกุมถันของ เม่ยเม่ย ทั้งสองข้างแล้วบดบี้อย่างสนุกมือ
ปากของมันก็ซุกไซ้ ลากเลียลิ้นไปมาทั่วทั้งทรวงอกของนาง

เม่ยเม่ย ถูกมันจู่โจมเช่นนั้นก็เสียวซ่านจนรั้งกายไว้ไม่อยู่ เขาอ่อนทรุดกายลงมา เฟยอี้เห็นเป็น
โอกาสอันดีก็ทรุดกายลงตามติด แล้วกดไหล่ทั้งสองของ เม่ยเม่ยให้นอนราบลงไปกับพื้น

“เจ้ายังต้องพิษที่จุดอืนๆอีก จงนอนลงเถิด ข้าจะดูดพิษออกจากร่างเจ้าเอง”

เม่ยเม่ย ในตอนนี้กำลังอยู่ในความเคลิบเคลิ้มของกำหนัด โดยนางเองก็ไม่รู้ตัว นางรู้แต่เพียงว่า
เมื่อริมฝีปาก และลิ้นของเฟยอี้ ลากเลียมาที่จุดใด นางก็เกิดความเคลิบเคลิ้มสั่นไหวไปตามจุดนั้นๆ

จนในที่สุดริมฝีปากของเฟยอี้ก็ลากเลียลงมาที่ เนินหน้าท้องที่แบนราบ ลิ้นของมันหมุนวนไปมา
อยู่รอบสะดือของนาง

เม่ยเม่ย แอ่นร่างส่ายไปมาอย่างสุดเสียว นางหลับตาพริ้ม แต่นิ่วหน้าคล้ายกับเจ็บปวด
ขณะที่นางกำลังเสียวซ่านอย่างเพลิดเพลินอยู่นั้น ก็รู้สึกว่าฝ่ามือของเฟยอี้เริ่มลดต่ำลง
จนกลายมาเป็นลูบไล้อยู่ที่โคนขาของนาง ฝ่ามือของมันลูบวนอยู่ไปมาจนใกล้จะถึง
เนินสวาทของนาง

เม่ยเม่ย ตกใจลืมตาขึ้นมองเฟยอี้

“ท่านทำสิ่งใดพี่เฟยอี้ ”

เฟยอี้หันหน้าขึ้นสบตากับนาง

“ข้าคลำหาปลิงที่มาก่อกวนเจ้า”

สิ้นคำมือของมันก็เลื่อนมาเกาะกุมที่เนินสวาทของนาง ทันทีที่มือของมันเกาะกุม นิ้วมือของมันก็แบะกลีบสวาท
ของนางออก แล้วทาบนิ้วกลางกดลงไปในร่องสวาทนั้น

แม้จะเป็นสัมผัสภายนอกร่มผ้า เม่ยเม่ยก็ถึงกับสะดุ้งสุดตัวอีกครั้ง นางถูกปลายนิ้วของมันก่อกวนจนเคลิบเคลิ้ม
นางพยายามถดถอยไม่ให้เฟยอี้สัมผัสนางได้ถนัด แต่ก็สายไป ฝ่ามือของเฟยอี้ได้เกาะกุมเนินสวาทอันโหนกนูน
ของนางจนเต็มฝ่ามือเสียแล้ว ทั้งนิ้วกลางของมันก็หมุนวนไปมาอย่างไม่สิ้นสุด เม่ยเม่ยทำได้เพียงนิ่วหน้า
ครวญครางด้วยเสียงแผ่วเบาเท่านั้น

“ซี๊ดดด…พี่เฟยอี้ ..ข้า.อูยยยย……ซี๊ดดดดด……”

เฟยอี้เห็นนางเงยหน้าหลับตาครวญครางอยู่เช่นนั้น ก็ค่อยๆ รูดกางเกงของนางลงทีละน้อย ทีละน้อย
จนขอบกางเกงหลุดล่วงไปที่เข่า มองเห็นเนินสวาทขาวผุดผ่อง ประดับด้วยไหมอ่อนบางตาที่กลีบสวาททั้งสอง
เฟยอี้จ้องมองดูอย่างหลงไหล แล้วซุกใบหน้าเข้าโลมเลียทันที

“โอ้ววววว……พี่เฟยอี้..อย่า.อูยยยย..เลียตรงนั้น…..อูยยยยยยย..”

เฟยอี้ชอนไชปลายลิ้นของมันเข้าไปในร่องหลืบของ เม่ยเม่ย แล้วตวัดเข้าที่ติ่งสวาทที่หลบซ่อนอยู่ภายใน
จนมันชี้ชันขึ้นมา จากนั้นมันก็งับเข้าไว้ในปากแล้วดูดกินอย่างหื่นกระหาย

ครั้งนี้เม่ยเม่ย ถึงกับแอ่นร่างร้องครวญครางเสียงดังออกมาอย่างไร้การควบคุม นางไม่เคยได้รับสัมผัส
อันสุดเสียวเช่นนี้มาก่อนในชีวิต นางมีความรู้สึกคล้ายว่าจะขาดใจ ปะปนกับรู้สึกรุ่มร้อนไปทั้งร่าง
ความต้องการส่วนลึกบางอย่างเรียกร้องให้นางต้องร่อนสะโพกเข้าหาปากของเฟยอี้ คล้ายต้องการให้มัน
ทำหนักหน่วงกว่านี้

ในตอนนี้ใบหน้าของเฟยอี้ เปียกแฉะไปด้วยน้ำรักของเม่ยเม่ย แต่มันยังคงดูดกินติ่งสวาท สลับกับโลมเลีย
กลีบสวาททั้งสองข้างของนางไม่ลดละ คล้ายดังว่ามันมีรสโอชานัก

ในที่สุด เสียงครวญครางของ เม่ยเม่ย ก็ดังกระชั้นถี่ขึ้น นางหอบหายใจเสียงดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วแอ่นร่าง
คางนิ่งอยู่กลางอากาศ ส่งเสียงร้องดังยาวออกมา

“อู้วว..อู้วว..อู้วว..อู้วว.อู้วว ..ข้าจะปัสสาวะออกมาแล้ว….โอ้ววววว……”

เม่ยเม่ย สั่นกระตุกไปทั้งร่างอยู่สองสามครั้ง แล้วหลับตาหอบหายใจนอนนิ่งเงียบไม่ไหวติง

เฟยอี้เห็นนางถึงจุดสุขสมไปแล้ว ก็หยุดนิ่ง มองเรือนร่างของนางอย่างชื่นชม แม้นางมีวัยเยาว์
แต่เรือนร่างของนาง ก็งดงามเพรียบพร้อมไปทุกสัดส่วน ยิ่งมองมันก็ยิ่งเกิดราคะท่วมท้นขึ้น

เฟยอี้ไม่ปล่อยให้นางได้ตั้งตัว เลื่อนกายเข้าประชิดเรือนร่างของนาง มันวางแก่นกายของมัน
ทาบทับบนเนินสวาทขาวผุดผ่องของเม่ยเม่ย แล้วทอดกายลงทาบทับร่างของนาง
ใบหน้าของเฟยอี้ ประชิดกับใบหน้าของ เม่ยเม่ย ทั้งสองต่างมองดูตากัน

“ท่านดูดพิษให้ข้าเสร็จแล้ว ใยไม่ออกไป”

“หากเป็นไปได้ ข้าจะอยู่บนตัวเจ้าเช่นนี้ ทุกวัน ทุกคืน เจ้าว่าดีหรือไม่”

เม่ยเม่ย แย้มยิ้ม เหนียมอายใช้สองมือทุบตีที่ทรวงอกเฟยอี้ เฟยอี้จับมือทั้งสองของนางไว้
แล้วซุกหน้าลงที่ทรวงอกของนาง มันขยับส่วนล่างของมัน เสียดสีกับส่วนล่างของ เม่ยเม่ย
อย่างเนิ่นช้า ลำแก่นกายอันแข็งเกร็งของมัน ก็ถูไถไปมาที่ร่องสวาทของนาง มันทำเช่นนั้นอยู่ครู่หนึ่ง
ก็เริ่มรู้สึกว่า ร่องสวาทของนางมีความชื้นแฉะเพิ่มขึ้นแล้ว

มันจึงยันร่างขึ้นนั่ง คว้าเรียวขาของนางข้างหนึ่งขึ้นพาดไหล่ จนมองเห็นกลีบสวาทของนางเผยอกว้างออก
แล้วจึงจับแก่นกายของมันมุดเข้าไปในร่องสวาทของ เม่ยเม่ย

เม่ยเม่ย ปิดเปลือกตาเผยอริมฝีปากร้องออกมา นางรับรู้ถึงความคับแน่นและเจ็บแสบในครั้งแรก
ที่เฟยอี้สอดใส่เข้ามา และเมื่อมันเริ่มขยับแก่นกายของมันเข้าออก ความเจ็บก็เริ่มลดน้อยลง
แล้วแปรเปลี่ยนเป็นความเสียวซ่าน จนเม่ยเม่ยต้องร้องครางออกมา ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่แก่นกายของมัน
สอดใส่เข้ามา จากจังหวะเนิ่นช้ากลับแปรเปลี่ยนเป็นเร็วขึ้น ความรู้สึกเสียวซ่านก็ยิ่งทวีมากขึ้นตามจังหวะ
ที่มันกระแทกกระทั้นเข้ามา

บางครั้งมันสอดใส่แล้วค้างนิ่งอยู่ แล้วจึงกลับแปรเปลี่ยนเป็นหมุนควงแก่นกายของมัน บดบี้กับเนินสวาทของนาง
นางก็ถึงกับส่ายเอวหมุนควงตามมัน แล้วส่งเสียงครวญครางประสานกับมัน

เฟยอี้รู้สึกได้ว่า ร่องสวาทของนางนั้นคับแน่นยิ่งนัก มันต้องใช้ความอดกลั้นอย่างมาก ยามเมื่อถูกร่องสวาทของนาง
ตอดรัดอยู่เป็นจังหวะ มันจึงคิดหาวิธีคลี่คลายด้วยการยกเรียวขาทั้งสองของนางขึ้น แล้วจับแยกออก แล้วเลื่อนร่าง
ของมันเข้าไปจนชิด จากนั้นก็โยกบั้นเอวอย่างหนักหน่วง แต่เหตุการณ์กลับเลวร้ายยิ่งขึ้น เม่ยเม่ยเกิดความเสียวซ่าน
มากขึ้นจนร้องครวญครางออกมาดังกว่าเดิม ทั้งร่องสวาทของนางก็ยิ่งตอดรัดอย่างหนักหน่วงยิ่งขึ้น

เฟยอี้หมดสิ้นหนทางแก้ไข มันรู้ดีว่าน้ำรักของมันคงต้องพรั่งพรูออกมาในเวลาไม่ช้า มันจึงเร่งจังหวะบั้นเอวของมัน
อย่างรุนแรง และรวดเร็วยิ่งขึ้น ร่องสวาทของ เม่ยเม่ย ก็ตอดรัดถี่ขึ้น ความเสียวซ่านของทั้งคู่ก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
ประสานเสียงร้องดังออกมาไปจนทั่วบริเวณ และในที่สุด ทั้งคู่ก็ถึงจุดสุขสมแห่งรักพร้อมกัน

“โอ้วว..อู้วว…โอ้วว..อู้วว..โอ้วว..อู้วว…โอ้ววววววววววววววววววววววว”

เฟยอี้กดแก่นกายของมันบดบี้กับเนินสวาทของนางจนแนบแน่น แล้วปลดปล่อยน้ำรักของมันให้พรั่งพรูออกมา
เม่ยเม่ยก็รู้สึกดังว่าร่างของนางล่องลอยไปในที่เวิ้งว้าง อย่างมีความสุข นางรับรู้ถึงความร้อนอุ่นของน้ำรัก
ที่ทะลักพรั่งพรูเข้าสู่ร่างของนาง

ทั้งคู่หายใจอย่างหอบเหนื่อย และนอนกอดก่ายกัน อยู่ ณ ที่นั้น ที่ซึ่งมีความสุขและสวยงาม ดุจดังสวรรค์ของคนทั้งสอง

Share the Post:

Related Posts

แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู

เรื่องเสียว แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู เอิร์นนะคร้า เป็นสาวมหาลัยในเชียงใหม่นี้เองค่า เอิร์นเป็นสาวมหาลัยปีสองแล้วค่ะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องผู้ชายเลย ยุคนี้แล้วเนอะ ไม่ใช่แค่ผู้ชายนะคะที่ล่าแต้ม เอิร์นเองก็กินมาเยอะเหมือนกันค่ะ สูงยาว ลำอวบ ใหญ่ยาว กินมาหมดแล้วค่า ชีวิตครั้งนึงเนอะ เรื่องพวกนี้ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ต้องมีบ้างอยู่แล้วใช่ไหมค่ะ และแน่นอนว่าเอิร์นเลยกินแต่วัยเดียวกัน รู้ตัวอีกทีได้แอบกินรุ่นใหญ่พี่แท็กซี่ซะอย่างนั้นเลยค่ะ ที่สำคัญไม่เคยเจอมังกรที่ใหญ่ยักษ์ขนาดนี้มาก่อน มาเริ่มเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ ด้วยความที่อยู่เชียงใหม่ที่เที่ยวเยอะ

Read More

จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว

เรื่องเสียว จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว “ตั้งกล้องเรียบร้อยแล้ว มึงพร้อมยังจะได้กดเริ่ม” วันนี้เรามีถ่ายคลิปวิดีโอทำอาหารที่คอนโดของพวกเราสองคนที่เป็นเพื่อนกัน เรามองเม็กที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมสองเม็ดจนเห็นแผงอกที่เป็นมัดกล้าม กางเกงขาขั้นสั้นสบาย ๆ แต่พอมาอยู่บนร่างกายของเม็กแล้วมันดูดีไม่น้อยเลย ถึงแม้เราทั้งสองจะเป็นเพื่อนกัน แต่พอมาเจอมันในลุคนี้ก็ทำให้เราใจสั่นไม่น้อย “มึงกูสวยยัง” “สวยแล้ว” พอได้รับคำตอบที่สร้างความมั่นใจให้กับตัวเองแล้ว เราก็พยักหน้าให้มันเริ่มกดบันทึกภาพวิดีโอทันที การถ่ายทำดำเนินไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นตอนการชิมอาหาร “อะ

Read More