ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 8 เผชิญหน้ากับเทวทูตหน้าทอง

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 8 เผชิญหน้ากับเทวทูตหน้าทอง

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 8 เผชิญหน้ากับเทวทูตหน้าทอง
โดย zeech

ย่างเข้าสู่วันที่สามแล้วที่ เว่ยฉิงคัง และ เม่ยเม่ย พักอยู่ที่ วังหุบผาภูต
เช้าวันรุ่งขึ้นก็จะครบกำหนดตามที่ องค์หญิง ลีลู่อิน ผ่อนผันให้
ตลอดสองวันที่ผ่านมา เว่ยฉิงคัง เฝ้าสังเกตดูความเคลื่อนไหว ของผู้คน
ภายในวังหุบผาภูติแห่งนี้ มันพบสิ่งผิดปกติอยู่สิ่งหนึ่งนั่นคือ จะมีเหล่าบริวารชาย
หอบหิ้วเสบียงออกจากห้องครัวของวัง มุ่งตรงออกไปภายนอกตลอดทั้งสองวันที่ผ่านมา
จนถึงเช้าวันที่สาม มันก็ตัดสินใจสะกดรอยตามคนเหล่านั้นไป

จนถึงหน้าถ้ำแห่งหนึ่ง บริวารชายเหล่านั้นก็หยุด หนึ่งในบริวารเหล่านั้นเดินออกมา
ที่ประตูถ้ำแล้วก้มลงจับก้อนหินเล็กๆหมุน ประตูหน้าถ้ำก็เลื่อนขึ้นทันที
แล้วบริวารเหล่านั้น ก็หอบหิ้วเสบียงเข้าประตูถ้ำนั้นไป

เว่ยฉิงคัง ลอบเดินตามเข้าไปทันที ภายในเป็นทางเดินที่คับแคบและคดเคี้ยว
มีคบเพลิง ติดอยู่ตามผนังตลอดระยะทาง จนในที่สุดมันก็ตามคนเหล่านั้น
มาถึงห้องโถงกว้างภายในถ้ำ เมื่อคนเหล่านั้นวางเสบียงที่หอบหิ้วเข้ามา
วางลง พวกมันก็พากันเดินกลับในเสันทางเดิม เว่ยฉิงคังตามออกมา
จนทราบตำแหน่งเปิดกลไกประตูแล้ว ก็กลับไปที่เดิมอีกครั้ง

คราวนี้มันเดินลึกเข้าไปมากกว่าเดิม จนพบกับห้องโถงส่วนใน
แสงไฟจากคบเพลิงช่วยให้มันเห็นเป็นชายผู้หนึ่ง อายุราวห้าสิบเศษ ใบหน้าขาวซีด
หนวดเครายาวรุงรัง แต่งกายด้วยเสื้อผ้าแสดงถึงผู้ที่มีฐานะสูง กำลังนั่งเดินลมปราณ
อยู่บนแท่นหินข้างกายคนผู้นั้น มีคัมภีร์วางอยู่หนึ่งเล่ม

เว่ยฉิงคังเดินใกล้เข้าไปอีกก็พบว่า บริเวณปากของชายผู้นี้มีคราบโลหิต
เกรอะกรัง ใบหน้ามีอาการสั่นกระตุกคล้ายมีอาการเจ็บปวดอยู่ภายใน
มันทราบได้ทันทีว่านีคือ อาการธาตุไฟเข้าแทรก อ๋องลีลู่ปัง คงเร่งฝึก
ลมปราณภูติคำราม จนเกิดธาตุไฟเข้าแทรกไม่สามารถขยับไปไหนได้
ได้แต่เดินลมปราณประทังความเจ็บปวดเอาไว้

เว่ยฉิงคัง ใช้ความคิดอย่างหนักว่า มันควรจะช่วยเหลือ หรือว่า
ทำตามที่ใจของมันปราถนาดี มันเพ่งมองไปที่คัมภีร์ที่อยู่ข้างกาย อ๋องลีลู่ปัง
ความแค้นที่สุมอยู่ภายในใจของมัน ภาพบิดาถูกเทวทูตหน้าทองสังหารต่อหน้ามัน
ทำให้มันตัดสินใจ พุ่งตัวฉวยเอาคัมภีร์ที่อยู่ข้างกายอ๋องลีลู่ปังไปทันที

อ๋องลีลู่ปัง กำลังถูกธาตุไฟเข้าแทรก ไม่สามารถขยับร่างได้ แต่ประสาทสัมผัส
ยังรับรู้อยู่ทุกประการ มันลืมตาขึ้นจนเห็นใบหน้าของผู้ที่มาขโมยคัมภีร์ไป
แล้วก็เกิดอาการเจ็บปวดไปทั้งร่าง จิตใจของมันว้าวุ่นทำให้ธาตุไฟกำเริบหนัก
จนมันไม่สามารถทนต่อการเจ็บปวดต่อไปได้ แล้วสิ้นสติไป

——–

เฟยอี้ตื่นขึ้นมาหลังจากเสพสมกับดรุณีน้อยทั้งสองแล้ว สติของมันก็กลับคืนมา
มันหารู้ตัวไม่ว่าบัดนี้ พลังวัตรของมันกลับพัฒนาก้าวกระโดดขึ้นไปอีกขั้นนึงแล้ว
มันระลึกขึ้นได้ว่า ได้ล่วงเกินนางทั้งสองลงไปอย่างไม่น่าให้อภัย มันเหลือบมองไป
เห็นนางทั้งสอง นั่งนิ่งเป็นหุ่น ดวงตาเหม่อลอยไม่มีจุดหมาย

มันตัดสินใจที่จะเผชิญหน้ากับความยากลำบากใจที่มันก่อขึ้น เฟยอี้ถอดร่างแปลงออก
กลับเป็นบุรุษ เดินตรงไปหานางทั้งสอง แล้วทรุดกายลงนั่งตรงหน้าของพวกนาง
ยังมิทันที่มันจะได้เอ่ยวาจาใดออกมา ฝ่ามือของเหม่ยหลิง ก็ฟาดมาที่ใบหน้าของมันอย่างแรง
มันหันหน้ากลับมา คิดจะเอ่ยวาจา แต่แล้วฝ่ามือน้อยๆของ เหม่ยลี่ก็ฟาดมาที่อีกข้างของใบหน้ามัน

เฟยอี้หันหน้ากลับมามองตรงไปที่ใบหน้าของดรุณีทั้งสองอีกครั้ง แล้วพูดว่า

“ถ้าทำให้พวกเจ้าคลายความเศร้าโศกไปได้ ก็จงตบข้าเถิด”

มันหลับตานิ่ง นั่งรอให้พวกนางตบอีก

เหม่ยผิงจ้องมองตรงไปยังบุรุษหนุ่ม ใบหน้างามที่นั่งอยู่ตรงหน้า
พลางคิดภายในใจว่า หากความสัมพันธ์ของนางกับบุรุษผู้นี้ ค่อยๆก่อเกิด
ขึ้นมา จนกลายเป็นความรักที่หวานชื่น นางคงพอใจมิใช่น้อย
แล้วนางก็พูดขึ้นว่า

“เจ้าเป็นใคร เจ้าแปลงโฉมหลอกพวกข้าเพื่อประโยชน์สิ่งใด เสียแรงที่พวกเรารักและ
นับถือเจ้าประดุจ สหายรัก แต่..เจ้า..เจ้ากลับกล้าทำกับพวกเราเช่นนี้..ฮือ…ฮือ.”

เหม่ยผิงร่ำไห้ออกมา ทำให้ เหม่ยลี่มีน้ำตาไหลออกมาด้วย

“ข้าชื่อ เฟยอี้ เป็นกำพร้าตั้งแต่กำเนิด อาศัยซ่องโจรเป็นที่พักอาศัย วันหนึ่งข้าเห็น
พวกเจ้าสามคน เหม่ยเยี่ย เหม่ยผิง และ เหม่ยลี่ อยู่ในโรงเตี๊ยม
ในตอนนั้นข้าคิดปองร้ายต่อทรัพย์ของพวกเจ้า จึงแปลงโฉมเข้ามาเพื่อหาโอกาส
ฉกฉวยทรัพย์ของพวกเจ้า แต่พวกเจ้ามีน้ำใจงาม เอื้อเฟื้อต่อข้า
ทำให้ข้าเลิกล้มความคิดไป คงมีแต่ความต้องการที่จะอยู่ใกล้ชิดกับพวกเจ้าเท่านั้น
ยิ่งได้อยู่กับพวกเจ้านานขึ้น มันก็ทำให้ข้าเกิดความรักต่อพวกเจ้า”

เฟยอี้ หยุดมองไปที่ดวงตาของนางทั้งสอง

“ข้ายอมรับว่า ข้าหมายปองเจ้าทั้งสอง แต่ข้าก็ไม่เคยคิดที่จะหักหาญน้ำใจพวกเจ้า
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะในตัวข้ามีพิษร้ายแฝงอยู่ มันจะกำเริบขึ้นทุกเจ็ดวัน
มันทำให้ข้าเป็นสัตว์ป่าที่จ้องแต่จะสมสู่กับสตรี ข้าพยายามเตือนพวกเจ้าแล้ว
แต่ก็ไม่ทันการ ข้าเสียใจ และขออภัยต่อพวกเจ้าด้วย”

ถึงแม้ว่าคำพูดของเฟยอี้จะทำให้พวกนางเข้าใจมันมากขึ้น แต่ก็ไม่ทำให้
พวกนางคลายความเสียใจลงได้

เหม่ยผิงพูดขึ้นว่า

“ข้าไม่ต้องการฟังคำแก้ตัวของเจ้า เมื่อเจ้านำทางเราไปพบกับท่านเจ้าสำนักแล้ว
ความสัมพันธ์ของเราก็ถือว่าสิ้นสุดลง”

เฟยอี้อับจนปัญญา ได้แต่นั่งคอตกอยู่ ณ ที่นั้น

ทั้งสามออกเดินทางไปจากวัดร้าง เฟยอี้เดินนำออกมาข้างหน้าหลายก้าว
เหม่ยผิง และ เหม่ยลี่ เดินตามอยู่ห่างๆ ทั้งสามต่างเงียบงันไปตลอดการเดินทาง
แม้เฟยอี้พยายามชวนพูดคุย แต่ทั้งสองนางก็หาได้สนใจต่อคำพูดของมัน

การเดินทางมาหยุดลง ที่เนินผาแห่งหนึ่ง เมื่อมีเสียงหัวเราะที่เต็มเปี่ยมไปด้วย
พลังวัตรที่กล้าแข็งดังขึ้น

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า พวกเจ้าคิดว่าจะรอดพ้นจากการติดตามของลัทธิเบญจธาตุโดยง่ายกระนั้นหรือ”

ทูตดิน ทูตน้ำ ทูตลม ทูตไฟ เดินออกมาจากพงไม้ข้างทาง แล้วพลันปรากฎร่างของชาย
ผู้หนึ่งลอยตัวลงมาจากยอดไม้สูง ลงสู่พื้นดิน มันคือ เทวทูตหน้าทอง มันพูดขึ้นว่า

“พวกเจ้ากล้าต่อต้าน ลัทธิเบญจธาตุ พวกเจ้าก็ต้องไม่มีชีวิต”

เฟยอี้คิดถึงคำเตือนของหมอวิปลาส ว่าอย่าต่อสู้กับเทวทูตหน้าทองเป็นอันขาด
แต่เหตุคับขันเช่นนี้ มันก็ไม่มีทางเลือกอื่นใด เฟยอี้ห่วงแต่สองนางที่ติดตามมันมาด้วย
จึงคิดหาทางออกเฉพาะหน้า

เมื่อคิดได้ดังนั้น มันก็แสร้งแหงนหน้าหัวเราะออกมา คล้ายไม่มีความเกรงกลัวใดๆ

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า พวกเจ้ามากันห้าคน คิดจะมาทำร้ายผู้เยาว์อย่างข้า และดรุณีน้อย
อีกสองนาง ช่างน่าขันยิ่งนัก นี่พวกเจ้าเกรงกลัวข้าถึงเพียงนี้เชียวรึ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

เทวทูตหน้าทอง เห็นจริงตามคำพูดของมันก็มิอาจพูดคำใดออกมา
แต่ก่อนที่มันจะพูดสิ่งใด เฟยอี้ก็ชิงพูดออกมาเสียก่อนว่า

“ข้าผู้เยาว์ขอท้าประลองกับท่าน ท่านจะมีความกล้าพอหรือไม่”

เทวทูตหน้าทองได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมา

“เจ้าเด็กน้อย ถ้าเจ้าอยากตายข้าก็จะสงเคราะห์ให้”

เหม่ยผิง และ เหม่ยลี่ ร้องขึ้นอย่างตกใจแล้ววิ่งตรงเข้ามา

“เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ เจ้าอยากตายหรืออย่างไร”

เฟยอี้หันไปยิ้มกับนางทั้งสอง อย่างน้อยในโอกาสเช่นนี้ พวกนางก็พูดกับมันแล้ว

“นางอันเป็นที่รักทั้งสองของข้า หากข้าตายลง เจ้าทั้งสองจะให้อภัยข้าได้หรือไม่”

เหม่ยผิง และ เหม่ยลี่ ในตอนนี้ไม่มีจิตใจจะโกรธมันหลงเหลืออยู่
พวกนางมีแต่ความห่วงใยในชีวิตมัน

“ในเวลาเช่นนี้ เจ้าใยมาพูดล้อเล่น เจ้าต่อสู้กับมันก็มีแต่ความตายเท่านั้น”

เฟยอี้ยิ้มให้นางทั้งสอง แล้วปรับสีหน้าเป็นจริงจังขึ้นพลางพูดขึ้นว่า

“เหม่ยผิง เหม่ยลี่ พวกเจ้าคอยฟังข้าให้ดี หากข้าบอกให้พวกเจ้าหนีไป
พวกเจ้าจงเร่งหนีไปให้ไกลที่สุด อย่าได้รีรอพะวงห่วงข้า พวกเจ้าจะรับปากข้าได้หรือไม่”

นางทั้งสองมองใบหน้าเฟยอี้อยู่ครู่นึง แล้วก็พยักหน้ารับคำ แล้วเฟยอี้ก็บอกเส้นทางเดิน
ไปยังกระท่อมของหมอวิปลาสให้พวกนางทราบ

เทวทูตหน้าทอง ร้องเตือนขึ้น

“เข้ามาได้แล้วเจ้าเด็กน้อยปากกล้า”

“ช้าก่อนท่านหน้าทอง ข้าเกรงว่าพวกท่านจะไม่ซื่อใช้คนมากรังแก ดรุณีทั้งสองนี้
ในระหว่างที่ข้าประลองกับท่าน หากท่านมีความกล้าที่จะประลองกับข้าอย่างใสสะอาด
ท่านต้องปล่อยตัวพวกนางไป ก่อนที่เราจะประลองกัน”

“หึ เจ้าเด็กน้อย เล่ห์เหลี่ยมเจ้าช่างมากนัก ได้ข้าจะปล่อยพวกนางไป
ในวันข้างหน้า ข้าค่อยตามไปฆ่าพวกนางก็ยังไม่สาย แต่วันนี้เจ้าต้องตายก่อน”

พูดจบเทวทูตหน้าทองก็ตรงรี่เข้าหา เฟยอี้ทันที เฟยอี้เห็นดังนั้นก็ร้องตะโกนขึ้นสุดเสียง

“ไปซะ”

แล้วมันใช้วิชา เมฆาลอยล่อง หลบหลีกการจู่โจมอย่างอำมหิตของเทวทูตหน้าทอง
อย่างว่องไว

เหม่ยผิง และ เหม่ยลี่ ยังพะวงเฝ้าดูการต่อสู้อยู่จนเฟยอี้ต้องร้องเตือน
พวกนางจึงกระโดดหลบหนีไปจาก ณ ที่นั้น ทูตทั้งสี่ ก็ปฏิบัติตามคำพูดของเทวทูตหน้าทอง
มิได้ออกติดตามไป

เฟยอี้หมดกังวลแล้วในตอนนี้ มันหันหน้ากลับเข้าต่อสู้อย่างเต็มที่ โดยไม่เกรงกลัวต่อความตาย
มันพอใจแล้วที่ชีวิตของมัน สามารถปกป้องคนที่มันรักได้

เฟยอี้เดินลมปราณภายในร่าง เรียกพลังวัตรที่แฝงอยู่ของมันออกมา แล้วร่ายรำกระบวนท่า
วิชา ฝ่ามือมังกรล่องเมฆา ออกไปอย่างต่อเนื่องและไหลลื่น เข้าต่อสู้กับเทวทูตหน้าทอง

เทวทูตหน้าทอง ลอบตื่นตระหนกภายในใจ มันคิดไม่ถึงว่า เด็กน้อยผู้นี้จะมีพลังวัตรที่กล้าแข็ง
สามารถใช้ออกมาอย่างต่อเนื่อง และไหลลื่นในทุกกระบวนท่าได้อย่างพิศดารเช่นนี้
มันจึงมีความคิดว่าจะต้องเร่งเอาชนะการต่อสู้ครั้งนี้โดยเร็ว แล้วฆ่าเด็กน้อยผู้นี้ทิ้งซะ
หากปล่อยไว้ ฝีมือของมันต้องกล้าแข็งยิ่งขึ้น และจะเป็นภัยต่อไปในวันข้างหน้า

การต่อสู้ดำเนินไปได้ยี่สิบกระบวนท่า เทวทูตหน้าทองเริ่มมีอารมณ์โกรธที่ไม่สามารถ
พิชิตเด็กน้อยผู้นี้ลงไปได้ มันจึงลอยตัวถอยออกมา จ้องมองไปที่ เฟยอี้ด้วยแววตาอำมหิต
ยกมือทั้งสองข้างของมันขึ้นมาเสมออก เรียกพลังลมปราณในร่างมาไว้ที่ฝ่ามือ
มันเตรียมใช้ พลังฝ่ามือเบญจธาตุ จัดการกับเฟยอี้

เฟยอี้เคยเห็นกระบวนท่านี้ถูกใช้มาแล้วในงานประลองยุทธ มันสังหารเจ้าสำนักมังกรเขียว
ด้วยกระบวนท่าในวิชานี้ เฟยอี้หยุดนิ่งรวบรวมพลังลมปราณทั้งหมดในร่างของมันเช่นกัน
สายพลังลมปราณที่กักเก็บไว้จากจุดตันเถียน ไหลเวียนไปทั่วร่างของมัน แล้วแล่นเข้ามา
ที่ฝ่ามือทั้งสองอย่างรวดเร็ว เป็นขณะเดียวกับเทวทูตหน้าทอง พุงร่างของมันตรงเข้ามาหาเฟยอี้
แล้วฟาดฝ่ามือไปที่ร่างของมัน เฟยอี้ยกฝ่ามือทั้งสองของมันขึ้นรับ เสียงคลื่นอากาศรอบบริเวณ
นั้นกระทบกันดังสนั่น

ผลปรากฏออกมาว่า ร่างของเฟยอี้ลอยละล่อง กระเด็นออกไปไกลหลายวา
โลหิตสดสดไหลทะลักออกมาจากปากของมัน อวัยวะภายในถูกพลังลมปราณ
ของฝ่ามือเบญจธาตุ กระแทกจนบอบช้ำ หากเฟยอี้ไม่มีพลังลมปราณที่สะสมไว้
อวัยวะภายในของมันคงแหลกเหลวไปสิ้น มันพยายามยันกายลุกขึ้นยืน แล้วฝืนยิ้มออกมา
ทั้งที่มีก้อนโลหิตทะลักออกมาจากปากของมัน

ส่วนเทวทูตหน้าทองก็ถูกพลังลมปราณของเฟยอี้ ต้านเอาไว้จนต้อง
ลอยร่างสะท้อนหมุนตัวกลับ หย่อนเท้าลงพื้น แล้วเซถอยหลังกลับไปอีกสองสามก้าว
มันถึงกับตกใจสุดขีด

การต่อสู้ของมัน ในครั้งที่ผ่านมา มันเพียงพ่ายแพ้ต่อ ฝ่ามือสุญญตา
ของทิกุ้ยชิ้ว และ ยูไลพันกร ของหลวงจีนหลี่เต๋อ เท่านั้น แต่นั่นคือยอดคนในอดีต
ส่วนในครั้งนี้ เด็กน้อยผู้นี้กลับต่อสู้กับมันได้อย่างก้ำกึ่ง มันไม่คิดที่จะปล่อยให้เด็กน้อย
ผู้นี้อยู่รอดเป็นเสี้ยนหนามกับมันสืบไป

เทวทูตหน้าทอง กระโดดลอยตัวเข้าหาเฟยอี้อีกครั้ง ด้วยกระบวนท่าที่โหดเหี้ยม
แต่ครั้งนี้ เฟยอี้ไร้เรี่ยวแรงที่จะต่อต้าน
ฝ่ามือของ เทวทูตหน้าทองฟาดใส่ทรวงอกของมันถึงสองครั้งซ้อน
ร่างของเฟยอี้ลอยละล่องตกลงไปจากผานั้นทันที

————–

ที่ถ้ำวังหุบผาภูติ เว่ยฉิงคัง รีบวิ่งออกจากหน้าถ้ำไปอย่างร้อนรน แล้วตรงไปยัง
ห้องรับรองที่ เม่ยเม่ยพักอยู่ทันที

“เม่ยเม่ย เจ้ารีบเก็บสัมภาระแล้วไปกับข้าในตอนนี้เลย เรารอช้าไม่ได้แล้ว”

“ท่านพี่ใยต้องเร่งรีบขนาดนั้น เราจะไปที่ใด”

“เจ้าอย่ามัวแต่ซักถาม รีบทำตามที่ข้าบอก”

เม่ยเม่ย มองเห็นสีหน้าของ เว่ยฉิงคัง จริงจังเช่นนั้น ก็ปฏิบัติตามโดยดี
ออกวิ่งตามพี่ชาย ลักลอบออกไปทางประตูทิศใต้ แต่ไม่พ้นจากสายตา
ของทหารยามที่เฝ้าอยู่ในที่นั้น มันตรงเข้าขัดขวางไว้ทันที

“ไม่มีคำสั่งจากองค์หญิง พวกท่านออกไปไม่ได้”

เว่ยฉิงคังก็พูดขึ้นว่า องค์หญิงมีคำสั่งให้ข้าออกไป จงเปิดทางให้ข้าซะ

“หากเป็นเช่นนั้น พวกท่านโปรดรอให้ข้าไปสอบถาม ภายในวังเสียก่อน”

สิ้นคำ ทหารยามผู้นั้นก็หันหลังสั่งการให้ทหารอีกผู้หนึ่ง เร่งเข้าไปสอบถาม
ภายในวัง

เว่ยฉิงคังเห็นดังนั้นก็คิดว่า คงปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้ จึงตัดสินใจลงมือ
แทงทวนสั้นไปที่ทหารผู้นั้นจนล้มลง แล้วจูงมือ เม่ยเม่ย ออกวิ่งหนีทันที
เหล่าทหารที่อยู่บนป้อมเห็นดังนั้นก็ร้องเสียงดังขึ้น แล้วพากันออกติดตาม
ทหารอีกผู้หนึ่งก็เร่งนำความเข้าไปแจ้งแก่ ภูตแพรทั้งสี่ให้รับทราบ
ภูตแพรขาวซึ่งเป็นใหญ่ที่สุด ก็ชักชวนกันออกติดตาม เว่ยฉิงคังทันที

ภูตแพรทั้งสี่ มีวิชาตัวเบาที่ล้ำเลิศ ชั่วเวลาไม่นานก็ติดตามมาทัน
ขณะเว่ยฉิงคังและเม่ยเม่ย กำลังออกวิ่งอยู่นั้น ภูตแพรขาว สะบัดแพรยาว
สีขาวบริสุทธิ์ตรงไปที่ร่างของเว่ยฉิงคังที่กำลังหลบหนี แพรยาวสีขาวที่ดูอ่อนนุ่มนั้น
กลับแปรเปลี่ยนประดุจท่อนไม้แข็ง ฟาดไปที่กลางหลัง ของเว่ยฉิงคัง
จนมันล้มกลิ้งลงกับพื้น พร้อมกับเม่ยเม่ย ภูติแพรเหลือง ภูติแพรแดง และภูติแพรเขียว
ต่างยืนล้อมคนทั้งสองไว้ณ ที่นั้น แล้วภูตแพรขาวก็พูดขึ้นว่า

“เหตุใดพวกเจ้าจึงต้องเร่งรีบออกมา โดยไม่แจ้งต่อองค์หญิงก่อน ทั้งยังฆ่าคนของเราด้วย”

เว่ยฉิงคังนิ่งไม่พูดสิ่งใดออกมา ภูตแพรขาวจึงสั่งให้ภูติแพรทั้งสามค้นตัว จึงพบ
คัมภีร์ ลมปราณภูตคำราม ซุกอยู่ในเสื้อของ เว่ยฉิงคัง ภูตแพรขาวมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
นางโกรธจัดพลันตวาดออกมา

“นี่เจ้ากล้าบังอาจขโมยคัมภีร์วิชา ลมปราณภูตคำราม ของท่านอ๋องเชียวหรือ ”

ภูตแพรขาวตบเข้าไปที่ใบหน้า ของเว่ยฉิงคังเต็มแรง

“เสียแรงที่เจ้าเป็นบุตรของ เว่ยน่ำเทียน ผู้ทรงคุณธรรม บิดาของเจ้าคงตายไม่เป็นสุข
ที่มีบุตรเช่นเจ้า”

เว่ยฉิงคังนิ่ง สบตามองภูตแพรขาว ดวงตาของมันแดงกล่ำด้วยความโกรธ
มันชักทวนสั้นออกมา แล้วจู่โจมใส่ภูตแพรขาวอย่างบ้าคลั่ง ภูตแพรขาว เบี่ยงร่างหลบ
ให้มันถลันไปข้างหน้า แล้วใช้เท้ายันจนใบหน้าของมันไถลลื่นไปกับพื้น
ภูติแพรเหลือง ภูติแพรแดง และภูติแพรเขียว ต่างเตะซ้ำจนร่างของมันบอบช้ำ
แล้วพันธนาการมัน พร้อมกับ เม่ยเม่ยเพื่อนำไปเฝ้าองค์หญิงลีลู่อิน

————

เหม่ยผิง และเหม่ยลี่ เร่งรีบเดินทางตามที่เฟยอี้แนะนำ จนมาถึง
กระท่อมหลังหนึ่ง ใต้โคนไม้ใหญ่ มีชายหญิงคู่หนึ่งนั่งอยู่ภายหน้ากระท่อมนั้น
เมื่อเร่งรีบเดินเข้าไปใกล้ ก็เห็นได้อย่างชัดเจน ว่าเป็นลิ่มบ้อฮวย เจ้าสำนักของพวกนาง
กำลังนั่งสนทนาอยู่กับชายที่แต่งกายคล้ายหมอ

เหม่ยลี่จึงร้องเรียกขึ้น
“ท่านเจ้าสำนัก”

ลิ่มบ้อฮวยได้ยินเสียงเรียกก็หันไปดู เห็นเป็น เหม่ยผิง และ เหม่ยลี่
ก็ยินดีนัก ยืนขึ้นต้อนรับการมาถึงของ นางทั้งสองทันที
เมื่อมาถึง เหม่ยผิง และ เหม่ยลี่ ก็ทำคารวะต่อเจ้าสำนักของนาง
ลิ่มบ้อฮวย แนะนำให้ศิษย์ทั้งสองทำคารวะต่อ หมอวิปลาส แล้ว
ต่างฝ่ายเล่าความที่ตนเองประสบมา ทั้ง เรื่อง เหม่ยเยี่ย และ
เยี่ยกุ้ยอิง ถูกลัทธิเบญจธาตุจับตัวไป รวมทั้ง เฟยอี้ประลองกับ
เทวทูตหน้าทอง เพื่อให้พวกนางหนีรอดออกมา

ทั้งลิ่มบ้อฮวย และ หมอวิปลาสได้ยินเช่นนั้นก็เกิดความร้อนใจ
ใคร่จะเร่งรีบออกเดินทางไปเพื่อไปช่วยเหลือศิษย์ของตน
จึงตกลงกันออกเดินทางทันทีในวันรุ่งขึ้น

ครั้นถึงวันรุ่งขึ้น ทั้งหมดก็ออกเดินทางโดยทันที ลิ่มบ้อฮวยให้ศิษย์ของตน
นำทางไปยังที่ ที่เฟยอี้ประลองยุทธกับเทวทูตหน้าทอง
ทั้งหมดเดินทางมาเป็นเวลาหนึ่งวัน เหม่ยผิง และเหม่ยลี่ ก็นำทางมาถึง
เนินผาที่ เฟยอี้ประลองยุทธกับ เทวทูตหน้าทอง แต่ก็ไม่พบสิ่งใดๆ
ที่เป็นเบาะแสได้เลย

ขณะนั้นเองก็ได้ยินเสียงของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินมาที่เนินผา
แห่งที่พวกตนกำลังยืนอยู่ ทั้งหมดจึงพากันหลบที่พงไม้ข้างทาง
คอยซุ่มดูทีอยู่ ภาพที่เห็นคือสตรีสี่นางวัยประมาณยี่สิบเศษ
สวมใส่อาภรณ์ต่างสีกัน กำลังควบคุมตัวชายผู้หนึ่งในวัยใกล้เคียงกัน
พร้อมทั้งดรุณน้อยนางหนึ่ง ทั้งสองถูกพันธนาการไว้ประดุจนักโทษ

เหม่ยลี่ และเหม่ยผิงเห็นดังนั้นก็จำได้ว่าเป็น เว่ยฉิงคังกับน้องสาวของมัน

“ท่านเจ้าสำนัก นั่นคือ เว่ยฉิงคังและน้องสาวของมัน เหตุใดจึงถูกคนเหล่านั้น
ควบคุมตัว”

ลิ่มบ้อฮวยเห็นดังนั้น ก็มีสีหน้าสลดลงพลางพูดขึ้นว่า

“ใช่แล้ว เป็นมันจริงๆ นึกไม่ถึงว่าบิดาของมันต้องมาตายอย่างน่าเวทนา
ซ้ำตัวมันและน้องสาวก็อาจไม่พ้นเคราะห์กรรมนี้”

นางพูดจบก็ทำท่าจะผลุนผัน ลุกออกไป แต่หมอวิปลาสกลับยกมือของมันปืดกั้นไว้

“บ้อฮวย ตัวเจ้ายังไม่เป็นปกตินัก ขอให้เป็นธุระของข้าเถิด”

หมอวิปลาสพูดจบ ก็เดินออกมาจากพงไม้ที่หลบซ่อน หันมาเผชิญหน้า
กับกลุ่มคนที่กำลังเดินมา แล้วพูดขึ้นว่า

“แม่นางทั้งสี่ เจ้ากำลังควบคุมเด็กน้อยของข้าทั้งสองไปยังที่แห่งใด
มิทราบว่า ผู้เฒ่าคนนี้จะขอเด็กสองคนนี้คืนได้หรือไม่”

ภูตแพรทั้งสี่หยุดมองดูชายชราที่ยืนขวางหน้าพวกตน แล้วภูตแพรแดง
ก็พูดขึ้นว่า

“ตาเฒ่า เจ้าอย่าแส่หาเรื่องมาใส่ตัว หลบไปให้พ้นทางซะ”

“ก็ข้ามาตามเด็กของข้าคืน จะให้ข้าหลบไปที่ใดเล่า”

พูดจบมันก็ตรงเข้าไปจะคว้าร่างของ เว่ยฉิงคังและเม่ยเม่ย

ภูตแพรเหลือง และภูตแพรเขียว ที่คุมเชิงอยู่แล้ว ก็ยกขาขึ้นเตะ
สกัดการบุกจู่โจมของหมอวิปลาสทันที หมอวิปลาสเบี่ยงกายหลบออกด้านข้าง
พร้อมกับใช้ฝ่ามือฟาดสกัดเท้าของ ภูตแพรเขียว แล้วหมุนตัวเข้าไปจี้สกัดจุด
ที่ร่างของภูตแพรเขียวอย่างว่องไว พลางคว้าตัว เว่ยฉิงคังและเม่ยเม่ยออกมา
โยนไปใกล้พุ่มไม้

ภูติแพรขาวเห็นเช่นนั้น ก็ฟาดแพรขาวของนาง ตรงไปที่ร่างหมอวิปลาสทันที
หมอวิปลาสกระโดดหลบแพรขาวขึ้นไปบนอากาศอย่างรวดเร็ว แพรขาวพลาด
เป้าไปโดนกิ่งไม้ที่อยู่เบื้องหลังหมอวิปลาสหักสะบั้นลง

ภูตแพรแดง และภูตแพรเหลือง ก็ฟาดแพรของพวกนางออกมาเช่นกัน
หมอวิปลาสจรดปลายเท้าลงสู่พื้น แล้วเหิรหลบหลีก แพรเหล่านั้นด้วยวิชาตัวเบาอันล้ำลึก

ในระหว่างนั้น เหม่ยผิง และเหม่ยลี่ก็ออกมาจากพุ่มไม้ช่วยแก้พันธนาการให้
เว่ยฉิงคัง และเม่ยเม่ย

ภูตแพรขาวเหลือบมองไปเห็นเชลยของตนกำลังได้รับการช่วยเหลือเช่นนั้น
ก็ซัดเข็มพิษเข้าใส่ทันที เว่ยฉิงคัง เหม่ยผิง และเหม่ยลี่ ได้รับการฝึกยุทธ
ก็กระโดดหลบไปได้ทัน คงเหลือแต่เม่ยเม่ย ที่ยังไม่สามารถหลบออกไปได้
ร่างของนางถูกเข็มพิษฝังอยู่ตามร่างกายหลายแห่ง นอนร้องเจ็บปวดอยู่ ณ ที่นั้น

หมอวิปลาสเคลื่อนท่าร่างด้วยวิชาตัวเบา เมฆาลอยล่อง ร่างของมันประดุจ
มีปีกเหิรบิน หลบหลีก แพรทั้งสามสี ที่พ่งตรงมาที่ร่างของมันประดุจลูกธนู
ในที่สุด หมอวิปลาสตัดสินใจใช้วิชาคว้าจับ รวบเอาแพรทั้งสามสี
ไว้ในมือแล้วดึงด้วยกำลังภายในที่กล้าแข็ง ร่างของภูตแพรแดง และภูตแพรเหลือง
ลอยคว้างอยู่ในอากาศ แล้วหล่นล่วงลงมาที่พื้นด้านล่าง หมอวิปลาสตรงเข้าไปจี้สกัดจุด
ที่ร่างของภูตแพรทั้งสองไว้ คงเหลือแต่ภูตแพรขาวที่ล้มกลิ้งลงสู่พื้น แล้วตั้งหลักหลักได้ทัน
หลบหลีกการจี้สกัดจุดของหมอวิปลาสไปได้

ขณะที่ภูตแพรขาวล้มลงนั้น คัมภีร์ลมปราณภูติคำราม ได้ล่วงหล่นจากเสื้อของนาง
ออกมา เว่ยฉิงคังซึ่งเพ่งเล็งอยู่แล้ว ก็ทะยานร่างเข้าฉวยเอาคัมภีร์แล้วหลบหนีเข้าป่าลึกไป
ภูตแพรขาวเห็นเช่นนั้น ก็โกรธคิดจะติดตามไปจนขาดความระวัง หมอวิปลาสปราดเข้าขวางหน้า
แล้วจี้สกัดจุดได้ทันท่วงที

ร่างของภูตแพรทั้งสี่ ถูกหมอวิปลาสพันธนาการไว้กับต้นไม้ มันจ้องมองเรือนร่าง
ของนางภูตแพรทั้งสี่ ขณะที่พันธนาการ พลางคิดเสียดายอยู่ภายในใจว่า
หากมันไม่ได้เดินทางมากับ ลิ่มบ้อฮวย มันก็อยากจะทดลองร่วมรัก
กับภูติทั้งสี่ดู มันอยากจะทราบว่า แก่นกายของมันจะสามารถใช้งานกับผู้อื่น
นอกเหนือไปจากลิ่มบ้อฮวยได้หรือไม่

ขณะนั้นเอง ลิ่มบ้อฮวยก็ร้องเรียกมันให้มาดูอาการของ เม่ยเม่ย ที่ร้องเจ็บปวดอยู่
หมอวิปลาสตรงเข้าไปตรวจวัดชีพจร และตรวจดูร่องรอยบาดแผลที่ถูกเข็มพิษ
เห็นเป็นสีม่วงเข้มขยายออกออกเป็นวงใหญ่ แต่โลหิตที่ซึมออกมายังมีสีแดง
มันก็เข้าใจทันทีว่าเป็นพิษที่ไม่ร้ายแรงนัก ใช้กำลังวัตรไล่พิษประกอบกับยา
ก็จะทุเลาลงในไม่กี่ชั่วยาม แต่มันก็แสร้งทำเป็นถอนหายใจออกมา

“หากนางไม่ได้รับการถอนพิษอย่างเร่งด่วน นางอาจถึงตายได้”

ลิ่มบ้อฮวยก็กระตุ้นขึ้น

“ท่านก็เร่งรีบรักษานางเสียซิ”

“ข้าทำไม่ได้ ตัวยาอยู่ที่กระท่อมของข้า เฮ่อ ข้าจะทำเช่นไรดี”

ลิ่มบ้อฮวยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดขึ้นว่า

“ถ้าเช่นนั้น ข้าคิดว่า ท่านนำนางกลับไปรักษาที่กระท่อมของท่านก่อน
ส่วนข้า เหม่ยผิง และเหม่ยลี่ จะล่วงหน้าไปก่อน ข้าคิดว่าด้วยวิชาตัวเบา
ของท่าน คงติดตามข้าได้ทันในไม่ช้า”

หมอวิปลาสเหลือบตาไปมอง ภูตแพรทั้งสี่ที่ถูกพันธนาการไว้ก็ลอบยิ้ม
แล้วพูดขึ้นว่า

“เอาตามที่เจ้าว่าก็ได้ บ้อฮวย เจ้าล่วงหน้าไปก่อน เมื่อข้ารักษาแม่นางน้อย
ผู้นี้แล้ว ข้าจะเร่งติดตามเจ้าไป”

หมอวิปลาสคิดสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้ จึงดึงแขนของลิ่มบ้อฮวยไว้ แล้วพูดขึ้นว่า

“ข้าขอสั่งความเจ้าสักข้อหนึ่ง หากเจ้าไปถึงอาณาเขตของลัทธิเบญจธาตุ
เจ้าอย่าได้บุ่มบ่ามบุกเข้าไปโดยไม่มีข้าเป็นอันขาด เจ้าจะทำได้หรือไม่”

ลิ่มบ้อฮวยพยักหน้ารับ แล้วเตรียมจะออกเดินทางต่อ ก็คิดสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้
จึงเข้าไปพูดแก่หมอวิปลาสเพียงแผ่วเบาว่า

“ท่านอย่าได้ทำการรักษา ดรุณีน้อยผู้นั้น เช่นเดียวกับที่ทำกับข้าเป็นอันขาด
ท่านเข้าใจหรือไม่”

หมอวิปลาสทำหน้าตกใจ แล้วตัดพ้อว่า

“ข้าจะไปทำเช่นนั้นได้อย่างไร นางยังเด็กนัก”

“ท่านหมายความว่า หากนางเติบโตกว่านี้ ท่านก็สามารถทำใช่หรือไม่”

หมอวิปลาส ถอนหายใจ แล้วแสร้งหันหลังเดินหนีหน้าไป

จากนั้น ลิ่มบ้อฮวย เหม่ยลี่ และ เหม่ยผิงก็ออกเดินทางจากไปอย่างเร่งรีบ

หมอวิปลาสเดินกลับไปให้ยาแก้พิษแก่เม่ยเม่ย และจี้สกัดจุดให้หลับไป
แล้วเดินยิ้มกระหยิ่ม ตรงไปยังภูติแพรทั้งสี่ที่ถูกพันธนาการอยู่
พลางใช้สายตาล่วงเกินนางสี่อย่างหื่นกระหาย

ภูตแพรแดงเห็นมันมองเช่นนั้นก็คิดหวาดกลัวต่อเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า
จึงพูดออกมาว่า

“เจ้าเฒ่าลามก เจ้าหารู้ไม่ว่าพวกเราทั้งสี่เป็นใคร หากทำร้ายเรา เจ้าจะต้องเป็น
ศัตรูกับวังหุบผาภูต จงปล่อยพวกเราซะ”

“ข้าไม่รู้จักวังหุบผาภูต และข้าก็ไม่รู้จักพวกเจ้า ข้ารู้เพียงว่าพวกเจ้าช่างงามนัก”

พูดจบมันก็ยื่นใบหน้าของมันเข้าไปจุมพิตที่พวงแก้มของภูตแพรแดงทันที

“เจ้าเฒ่าลามก หยุดกระทำลามกกับข้านะ หากข้าหลุดออกไปได้ ข้าจะสับ
เจ้าเป็นหมื่นชิ้น”

ภูตแพรขาว ภูตแพรเหลือง และภูตแพรเขียว เมื่อเห็นหมอวิปลาสกระทำลวนลาม
ต่อภูตแพรแดงเช่นนั้น ก็เกิดความโกรธ แต่ร่างของพวกนางก็มิอาจขยับไปที่ใดได้
ทำได้เพียงส่งเสียงก่นด่า หมอวิปลาสอยู่เซ็งแซ่

หมอวิปลาสกระทำดุจหูหนวก มันใช้มือโลมไล้ไปทั่วร่างของภูตแพรแดง

“อย่า….อย่านะ….เจ้าเฒ่าสารเลว ……..อย่า…….”

แล้วมันก็ ล้วงมือลงไปในอกเสื้อของนางพลางขยุ้มมือบีบเค้นสองเต้าของนางจนเต็มกำมือ

ภูติแพรแดง ทั้งแค้นและอับอาย แต่ก็อับจนหนทางที่จะช่วยเหลือตนเอง
ดวงตาของนางวาวโรจน์ขึ้น

“เจ้าเฒ่าสารเลว …ข้าขอสาบานว่าต้องฆ่าเจ้าให้ได้

หมอวิปลาสหาได้สนใจต่อคำพูดใดๆ มันแบะเสื้อของนางออกจนเห็นเต้างามขาวผุดผ่อง
ปรากฎอยู่ตรงหน้ามัน หมอวิปลาสห่อปากเข้าไปสัมผัสที่ปลายถันนั้นอย่างแผ่วเบา

“อย่า…..อย่านะ..เจ้าเฒ่าสารเลว……อุ๊บบ….”

เรื่องเสียว อ่านเรื่องเสียว เล่าเรื่องเสียว ประสบการณ์เสียว เรื่องเล่าเสียว เล่าเสียว อ่านเสียว เรื่องเสียวแม่ลูก doujin sak รวมเรื่องเสียว

ภูตแพรแดงขนลุกชันไปทั้งร่าง นางไม่เคยคาดคิดว่า ความบริสุทธิ์ของนาง
จะมาจบสิ้นกับ เฒ่าลามกเช่นนี้

หมอวิปลาสขบกัดยอดถันของนางอย่างแผ่วเบา แล้วดูดกินอย่างหื่นกระหาย

มันรอดูว่า แก่นกายของมันจะมีปฏิกริยาเช่นไร แต่มันก็ต้องผิดหวัง ที่แก่นกายของมัน
กลับนิ่งสงบ มันจึงทดลองสอดมือล้วงลงไปสัมผัสกับเนินสวาทจนเต็มกำมือ แล้วแหย่นิ้ว
ลงไปในร่องสวาทของนาง

“อย่า..ไอ้เฒ่าชั่ว …อย่าแตะต้องข้า..เอามือของเจ้าออกไป…อย่า..โอ๊ย…”

หมอวิปลาสอยังไม่สาแก่ใจมัน มันดึงกางเกงของนางลงมากองที่เท้า แล้วจ้องมองเนินสวาท
ที่ขาวนวลเนียน พลางซุกไซ้จมูกของมันเข้าดอมดม

ภูตแพรแดงถึงกับสั่นหวิว นางเองพึ่งเคยได้รสสัมผัสเช่นนี้ นางไม่เข้าใจว่าเหตุใด
นางจึงรู้สึกวูบวาบเช่นนี้ ความฉ่ำเยิ้มเริ่มปรากฎขึ้นที่เนินสวาทของนาง

“ฮ่าๆๆๆ ในที่สุดเจ้าก็ฉ่ำเยิ้มแล้ว เอาเถอะข้าจะช่วยเจ้าเอง”

แล้วมันก็ยื่นหน้าเข้าไป แล้วลากโคนลิ้นไปสัมผัสที่ร่องสวาทของนางไปจนถึงปลายลิ้นแล้ว
แหย่ลงไปในร่องหลืบพร้อมกับระรัวลิ้น

“อ๊ายยยยยยยยย……………….”

[post]ภูติแพรแดงถึงกับร้องลั่น นางเสียวเหมือนหัวใจจะหยุดเต้น แต่มันก็ยังไม่หยุด
ยิ่งนางร้อง มันยิ่งแทงลึกเข้า แล้วระรัวลิ้นเร็วขึ้น

“อ๊ายยย….พอแล้ว…..อ๊ายย………พอ..พอแล้ว”

หมอวิปลาส เชี่ยวชาญเรื่อง ทรมานสตรียิ่งนัก มันใช้ปากที่เต็มไปด้วยหนวดเคราของมัน
ลากขึ้นลงไปตามร่องสวาทของนางสลับกับการดูดติ่งสวาทของนาง

“จ๊วบ…จ๊วบ…ซู๊ดดดดด………”

“อ๊ายยย..อ๊ายยย..อ๊ายยย..อ๊ายยย..พอ..พอแล้ว..โอ๊ะ..โอ้วววว…”

ภูตแพรแดงหลับตา ใบหน้าบิดเบี้ยว ร้องครางลั่นไปทั้งป่า แล้วสั่นกระตุกไม่หยุด
นางเคลิบเคลิ้มไปสวรรค์คาปากของหมอวิปลาส

หมอวิปลาสเพียงรู้สึกวาบหวามเท่านั้น แก่นกายของมันยังนิ่งสงบอยู่เช่นเดิม

มันจึงคิดอยู่ภายในใจว่า จะอุ้มนางทั้งสี่กลับไปยังกระท่อมของมัน แล้วทดลองดูอีกครั้ง
พร้อมกับรักษาอาการของแม่นางน้อยด้วย

เมื่อคิดได้ดังนั้นมันก็ตรงไปเข้าไปอุ้มร่างของเม่ยเม่ย แบกไว้ที่บ่าข้างหนึ่ง
แล้วตรงเข้าไปแบกร่างภูตแพรแดงไว้ที่บ่าอีกข้างหนึ่ง แล้วกระโดดเหิรไป
ด้วยวิชาตัวเบาของมัน[/post]

ในระหว่างที่หมอวิปลาสกำลังลวนลาม ภูตแพรแดงอยู่นั้น มีดวงตาคู่หนึ่ง แอบซุ่มดูอยู่
มันเองโดยปกติแล้ว ก็เป็นชายที่ชื่นชอบอิสตรี แต่เมื่อบิดามันตายลง มันจึงอยู่ในแต่ในความเศร้า
และสงบลง แต่เมื่อมาเห็นหมอวิปลาส ลวนลามเรือนร่างของสตรีเช่นนั้น มันก็เกิดมีไฟราคะ
ประทุขึ้น ไฟราคะนั้นเจือไปด้วยความแค้นที่ถูกดูหมิ่น และถูกทำร้ายเมื่อไม่กี่ชั่วยามที่ผ่านมา
ดวงตาของมันจ้องเขม็งไปที่ ภูตแพรขาว มันคือ เว่ยฉิงคัง

เว่ยฉิงคัง เดินออกมาจากที่หลบซ่อนตรงไปยัง ภูตแพรขาว ดวงตาของมันแข็งกร้าว
แล้วพูดขึ้นว่า

“ภูตแพรขาว เจ้าดูหมิ่นข้า ทำร้ายข้า คราวนี้เป็นทีของข้าบ้างล่ะ
ข้าจะย่ำยีเจ้าให้รู้ถึงรสชาติของการถูกเหยียดหยามดูบ้างว่าเป็นเช่นไร”

“เจ้า…เจ้ากล้ารึ…อย่าเข้ามานะ…อย่า…ข้าจะฆ่าเจ้า……”

แล้วมันก็ตรงเข้าซุกไซ้ลำคองามระหงของภูตแพรขาว ริมฝีปากและลิ้นของมัน
โลมไล้ไปตามส่วนต่างๆของนาง จากลำคอสูงขึ้นไปที่พวงแก้ม และก็ริมฝีปากงามนั้น
มือของมันก็บดคลึงอยู่ที่ทรวงอกของนางอย่างรุนแรง

ภูตแพรเหลืองและภูตแพรเขียว ต่างส่งเสียงด่ามันไม่หยุดปาก เมื่อเห็นภูตแพรขาว
ถูกมันย่ำยีเช่นนั้น

“พวกเจ้าไม่ต้องเกรงว่าจะไม่ได้ลิ้มรสสวาทจากข้า ข้าจะปรนเปรอพวกเจ้าให้ถึงที่สุด”

เว่ยฉิงคังฉุกคิดได้ว่า หมอวิปลาสอาจจะกลับมาเห็นมัน มันจึงอุ้มร่างของภูตแพรขาว
แล้วออกค้นหาที่หลบซ่อน จนในที่สุดมันพบกับวัดร้างแห่งเดียวกับที่เฟยอี้เคยพัก
มันจึงวางร่างของภูติแพรขาวลงกับพื้น แล้วใช้เชือกผูกโยงที่แขนและขาของนางไว้
แล้วเร่งกลับไปอุ้มร่างของภูตแพรเขียวมาอีกผู้หนึ่ง แล้วพันธนาการนางไว้ในลักษณะเดียวกัน

ฝ่ายหมอวิปลาส เมื่อเร่งรีบกลับมาอีกครั้งก็พบว่า เหยื่อสวาทของมันทั้งสองนางกลับหายไป
มันโกรธจัด เร่งรีบออกตามหาไปทั่วบริเวณแต่ก็ไม่พบ มันจึงอุ้มร่างภูตแพรเหลืองใส่บ่า
แล้วทะยานร่างออกไปจาก ณ.ที่นั้น ด้วยความขุ่นเคือง

Share the Post:

Related Posts

แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู

เรื่องเสียว แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู เอิร์นนะคร้า เป็นสาวมหาลัยในเชียงใหม่นี้เองค่า เอิร์นเป็นสาวมหาลัยปีสองแล้วค่ะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องผู้ชายเลย ยุคนี้แล้วเนอะ ไม่ใช่แค่ผู้ชายนะคะที่ล่าแต้ม เอิร์นเองก็กินมาเยอะเหมือนกันค่ะ สูงยาว ลำอวบ ใหญ่ยาว กินมาหมดแล้วค่า ชีวิตครั้งนึงเนอะ เรื่องพวกนี้ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ต้องมีบ้างอยู่แล้วใช่ไหมค่ะ และแน่นอนว่าเอิร์นเลยกินแต่วัยเดียวกัน รู้ตัวอีกทีได้แอบกินรุ่นใหญ่พี่แท็กซี่ซะอย่างนั้นเลยค่ะ ที่สำคัญไม่เคยเจอมังกรที่ใหญ่ยักษ์ขนาดนี้มาก่อน มาเริ่มเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ ด้วยความที่อยู่เชียงใหม่ที่เที่ยวเยอะ

Read More

จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว

เรื่องเสียว จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว “ตั้งกล้องเรียบร้อยแล้ว มึงพร้อมยังจะได้กดเริ่ม” วันนี้เรามีถ่ายคลิปวิดีโอทำอาหารที่คอนโดของพวกเราสองคนที่เป็นเพื่อนกัน เรามองเม็กที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมสองเม็ดจนเห็นแผงอกที่เป็นมัดกล้าม กางเกงขาขั้นสั้นสบาย ๆ แต่พอมาอยู่บนร่างกายของเม็กแล้วมันดูดีไม่น้อยเลย ถึงแม้เราทั้งสองจะเป็นเพื่อนกัน แต่พอมาเจอมันในลุคนี้ก็ทำให้เราใจสั่นไม่น้อย “มึงกูสวยยัง” “สวยแล้ว” พอได้รับคำตอบที่สร้างความมั่นใจให้กับตัวเองแล้ว เราก็พยักหน้าให้มันเริ่มกดบันทึกภาพวิดีโอทันที การถ่ายทำดำเนินไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นตอนการชิมอาหาร “อะ

Read More