ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 9 รอดพ้นจากความตาย

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 9 รอดพ้นจากความตาย

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 9 รอดพ้นจากความตาย
โดย zeech

เว่ยฉิงคัง เดินออกมาจากที่หลบซ่อนตรงไปยัง ภูตแพรขาว ดวงตาของมันแข็งกร้าว
แล้วพูดขึ้นว่า

“ภูตแพรขาว เจ้าดูหมิ่นข้า ทำร้ายข้า คราวนี้เป็นทีของข้าบ้างล่ะ
ข้าจะย่ำยีเจ้าให้รู้ถึงรสชาติของการถูกเหยียดหยามดูบ้างว่าเป็นเช่นไร”

“เจ้า…เจ้ากล้ารึ…อย่าเข้ามานะ…อย่า…ข้าจะฆ่าเจ้า……”

แล้วมันก็ตรงเข้าซุกไซ้ลำคองามระหงของภูตแพรขาว ริมฝีปากและลิ้นของมัน
โลมไล้ไปตามส่วนต่างๆของนาง จากลำคอสูงขึ้นไปที่พวงแก้ม และก็ริมฝีปากงามนั้น
มือของมันก็บดคลึงอยู่ที่ทรวงอกของนางอย่างรุนแรง

ภูตแพรเหลืองและภูตแพรเขียว ต่างส่งเสียงด่ามันไม่หยุดปาก เมื่อเห็นภูตแพรขาว
ถูกมันย่ำยีเช่นนั้น

“พวกเจ้าไม่ต้องเกรงว่าจะไม่ได้ลิ้มรสสวาทจากข้า ข้าจะปรนเปรอพวกเจ้าให้ถึงที่สุด”

เว่ยฉิงคังฉุกคิดได้ว่า หมอวิปลาสอาจจะกลับมาเห็นมัน มันจึงอุ้มร่างของภูตแพรขาว
แล้วออกค้นหาที่หลบซ่อน จนในที่สุดมันพบกับวัดร้างแห่งเดียวกับที่เฟยอี้เคยพัก
มันจึงวางร่างของภูติแพรขาวลงกับพื้น แล้วใช้เชือกผูกโยงที่แขนและขาของนางไว้
แล้วเร่งกลับไปอุ้มร่างของภูตแพรเขียวมาอีกผู้หนึ่ง แล้วพันธนาการนางไว้ในลักษณะเดียวกัน

ฝ่ายหมอวิปลาส เมื่อเร่งรีบกลับมาอีกครั้งก็พบว่า เหยื่อสวาทของมันทั้งสองนางกลับหายไป
มันโกรธจัด เร่งรีบออกตามหาไปทั่วบริเวณแต่ก็ไม่พบ มันจึงอุ้มร่างภูตแพรเหลืองใส่บ่า
แล้วทะยานร่างออกไปจาก ณ.ที่นั้น ด้วยความขุ่นเคือง

————–

เวลาล่วงผ่านไปหนึ่งคืน หลังจากที่เฟยอี้ถูกฟาดลอยลงมาจากหน้าผา ร่างของมันกลิ้งไถล
ไปเกี่ยวกับเถาวลัย์ แล้วเหนี่ยวรั้งร่างของมันไว้ไม่ให้ตกลงสู่พื้นเบื้องล่าง
เฟยอี้ฟื้นคืนสติขึ้นมาด้วยความบอบช้ำ แล้วถึงกับกระอักโลหิตออกมาอีกครั้ง
มันไม่สามารถขยับร่าง หรือแม้แต่เปล่งเสียงใดๆออกมา ความหิว ความกระหาย
ปะปนกับความเจ็บปวด ประดังขึ้นมาจนมันคิดว่า ครั้งนี้คงเป็นวาระสุดท้ายของมัน

ในขณะที่มันหลับตาลงรอคอยความตายมาเยือนอยู่นั้น พลันมีสัตว์ชนิดหนึ่ง
ไต่ขึ้นมาบนร่างของมัน จากส่วนขาขึ้นไปบนลำตัว แล้วหยุดอยู่ที่ระหว่างทรวงอก
เฟยอี้หายใจอย่างแผ่วเบา เกรงว่าสัตว์นั้นจะล่วงรู้ว่ามันยังมีชีวิต

เฟยอี้ค่อยๆสอดตาลงมองดูก็พบว่า มันคือตะขาบ ตะขาบที่มีขนาดใหญ่
เทียบเท่าลำแขนของคน ตัวของมันอวบอ้วนและมีสีแดงดังเพลิง มันยกส่วนหัวสอดส่ายไปมา
แล้วไต่ขึ้นมาหยุดอยู่ที่บริเวณปากของเฟยอี้ เฟยอี้ตาเหลือกกว้าง มันทั้งเกรงกลัวและขยะแขยง
มันทำได้เพียงทำตัวแข็งนิ่งประดุจซากศพ และติดตามการเคลื่อนไหวของมันด้วยความรู้สึกเท่านั้น
ตะขาบแดงใหญ่นั้นหยุดอยู่ที่คราบโลหิตที่มุมปาก แล้วดูดกินโลหิตของเฟยอี้

เฟยอี้ครุ่นคิดหาทางเอาตัวรอดจากสถานะการณ์คับขันเช่นนี้ ตะขาบตัวนี้หากถูกมันกัด
พิษของมันอาจทำให้ตายได้ในทันที ไม่มีทางเลือกอื่นสำหรับมันแล้ว หากถึงคราวตาย
ข้าจะขอตายพร้อมกับเจ้า

เฟยอี้คิดได้ดังนั้นก็ค่อยๆ เผยอปากขึ้น โลหิตที่คั่งอยู่ก็เอ่อล้นออกมา ตะขาบนั้น
ตรงเข้าดูดกินโลหิต แล้วค่อยๆรุกคืบเข้ามาเรื่อยๆ เฟยอี้เฝ้ารอจนส่วนหัวของมัน
ล่วงล้ำหายเข้าไปในปาก แล้วตัดสินใจเคี้ยวกินมันทันทีก่อนที่มันล่วงล้ำเข้าไปมากกว่านั้น
อาจเป็นด้วยความหิว เฟยอี้รู้สึกว่า มันมีรสชาติดียิ่งนัก เฟยอี้ขยับปากดูดเอาตะขาบทั้งตัว
เข้าไปในปากจนหมดแล้วเคี้ยวกลืนกินมันจนหมดทั้งตัวในเวลาไม่นาน
มันรู้สึกอิ่มสบาย แล้วหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

เวลาผ่านไปหลายชั่วยาม เฟยอี้ตื่นฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันกลับมีกำลังฟื้นคืนมา
อาการบาดเจ็บภายใน ก็ทุเลาลงจนคล้ายไม่เคยมีความบอบช้ำเกิดขึ้น แต่กลับมีอาการร้อน
ภายในร่างเหมือนมีกองไฟสุมอยู่ มันกำเริบขึ้นเป็นบางครั้งแล้วก็หายไป เฟยอี้ทดลอง
เดินลมปราณให้แล่นไปทั่วร่าง ก็พบว่าลมปราณของมันกลับมีกำลังที่กล้าแข็งยิ่งนัก
มันสามารถโคจรลมปราณให้แล่นไหลไปทั่วร่างได้อย่างคล่องแคล่วไม่ติดขัด

เฟยอี้ทดลองเบ่งพลังลมปราณทำลายเถาวัลย์ที่รัดร่างของมัน ปรากฎว่าเถาวัลย์ที่รัดร่างของมันอยู่นั้น
ขาดสะบั้นออกได้อย่างง่ายดาย ตัวมันเป็นอิสระจากการผูกมัด กลิ้งตกลงไปที่ทางลาดของเขานั้นทันที
เฟยอี้เดินลมปราณใช้เท้ายันพื้นให้ร่างลอยขึ้น ด้วยวิชา เมฆาลอยล่อง ร่างของมันก็ลอยตัวขึ้นสูง
จนเกินคาดหมาย เฟยอี้รู้สึกประหลาดใจในพลังวัตรของตนเองที่เพิ่มมากขึ้นอย่างประหลาด
มันลอยตัวด้วยวิชาตัวเบา ด้วยการใช้เท้ายันพื้นเพียงไม่กี่ครั้ง ร่างของมันก็เหิรขึ้นไปจนถึงยอดผา
ก่อนที่จะถูกเทวทูตหน้าทองฟาดตกลงมา

ขณะที่มันกำลังครุ่นคิดว่าจะไปที่แห่งใด พลันมันก็เกิดอาการร้อนดังเพลิงเผาภายในร่าง
อย่างรุนแรงขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้กลับกำเริบหนักจนมันทรงกายอยู่ไม่ได้ถึงกับนอนเกลือกกลิ้ง
ลงที่พื้น เสียงร้องครวญครางอย่างทรมานของมันดังก้องไปทั้งหุบเขา

ยามมันบ้าคลั่งกลับดีดร่างของมันจนลอยสูงขึ้นจากพื้นหลายสิบ เชี๊ยะ
จนร่างของมันกลิ้งตกลงมาจากยอดผาอีกครั้ง ในขณะภาวะคับขันนั้น อาการทรมาน
นั้นกลับหายไปอีกครั้งร่างของมันหมุนกลิ้งลงมาอย่างรวดเร็ว เฟยอี้ใช้มือตบไปที่พื้น
จนร่างลอยตั้งตรงแล้วใช้มือข้างนึงเกี่ยวรากไม้ไว้ได้ มันใช้เท้ายันพื้นดีดตัว
แล้วทะยานร่างของมันลงมาจากเขา เพียงชั่วเวลาไม่นาน ก็ลงมาถึงตีนเขาลูกนั้น

เฟยอี้ไม่ทราบว่า เกิดสิ่งใดขึ้นกับตน มันคิดถึงหมอวิปลาส อาจารย์ของมัน
ในสถานะการณ์เช่นนี้ มีอาจารย์ของมันผู้เดียวเท่านั้นที่จะช่วยมันได้ แต่ในตอนนี้
แม้แต่ตัวมันเองอยู่ที่ใด และจะไปที่ใดต่อ มันยังมิอาจทราบ

“อ้าาาา…….ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน……..อ้า……..”

เฟยอี้หันกลับไปในทิศต้นเสียงนั้น มองเห็นแต่เพียงทิวไม้สน ที่ขึ้นสูงซ้อนกันจนแน่นทึบ มันตัดสินใจ
ใช้เท้ายันที่พื้นแล้วส่งร่างของตนเองให้ลอยสูงขึ้นไป ร่างของเฟยอี้ลอยขึ้นไปอยู่บนยอดไม้สนที่สูงที่สุด
ได้โดยการยันเท้าเพียงครั้งเดียว ในตอนนี้วิชาตัวเบาของมันนับว่าอยู่ในแนวหน้าของบู๊ลิ้มแล้ว

เฟยอี้มองหาต้นเสียงที่ดังขึ้น แล้วร่อนร่างของมันลงมายังอีกฟากของทิวไม้นั้น

“อ้าาาา………ข้า..ข้า…..ทรมานเหลือเกินแล้ว……”

เฟยอี้เหลียวมองหาต้นเสียง พบว่าเป็นถ้ำที่ซ่อนตัวไว้หลังดงไม้ทึบนั้น มันเดินเข้าไปที่ปากถ้ำ
ก็ได้ยินเสียงร้องนั้นอย่างชัดเจน เฟยอี้ตัดสินใจเดินเข้าไปภายในถ้ำนั้น ทางเดินภายในถ้ำ
แคบเล็ก แต่มีแสงสว่างจากคบไฟตามผนังติดอยู่ตลอดทางเดินนั้น มันเดินลึกเข้าไปจนถึง
ห้องโถงห้องหนึ่ง ภายในจัดวางอาหารชั้นดีไว้เป็นจำนวนมาก เฟยอี้เห็นเช่นนั้นก็ตรงเข้าไป
กินอาหารนั้นอย่างหิวโหย ตั้งแต่มันถูกเทวทูตหน้าทองฟาดตกจากผามา ก็อาศัยตะขาบตัวใหญ่
ประทังความหิวเพียงอย่างเดียว มันยังไม่ได้กินสิ่งใดลงกระเพาะของมันเลย ขณะที่มันกำลังกิน
อาหารอันโอชะอย่างเป็นสุข เสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดก็ดังขึ้นอีก คราวนี้เสียงนั้น
อยู่ข้างหน้ามันนี่เอง

เฟยอี้ตัดสินใจละจากอาหาร เดินออกไปดูให้เห็นกับตา มันพาร่างเข้ามายังห้องโถงอีกห้อง
ถัดเข้าไปภายใน ก็พบร่างของชายวัยห้าสิบเศษผู้หนึ่ง นอนเกลือกกลิ้งร้องครวญครางอยู่ที่พื้น
มันคือ อ๋องลีลู่ปัง

“อาวุโส อาวุโส ท่านเป็นอะไร ”

เฟยอี้ส่งเสียงร้องถามออกไป แต่อ๋องลีลู่ปังทำได้เพียงเหลือบตามองมายังมัน
ดวงตาของมัน แดงกล่ำ ใบหน้าของมันก็แดงดั่งมีโลหิตมารวมตัวอยู่ที่เดียว ที่ปากของมัน
มีโลหิตกระอักออกมาก้อนใหญ่ มันดีดร่างของมันลอยขึ้นชนเข้ากับผนังถ้ำ หมายจะตาย
ให้พ้นจากความเจ็บปวดทรมานนั้น

เฟยอี้เห็นเช่นนั้นก็เข้าใจทันทีว่า เป็นอาการลมปราณแตกซ่าน เนื่องด้วยธาตุไฟเข้าแทรก
มันตรงเข้าไปจี้สกัดจุด ให้อ๋องลีลู่ปัง หยุดนิ่งอยู่กับที่ แล้วพูดขึ้นว่า

“อาวุโส ผู้น้อยมีความรู้น้อยนิดจากอาจารย์ จะขอสกัดจุด สิ้นฮุ่ย ที่กลางศรีษะของท่าน
เพื่อระงับอาการลมปราณแตกซ่าน ขอท่านจงระงับจิตใจมิให้ฟุ้งซ่านด้วย”

เฟยอี้ยกฝ่ามือทั้งสองขึ้นมาที่อก เพื่อรวบรวมพลังลมปราณ แล้วเคลื่อนย้ายฝ่ามือทั้งสอง
ไปทางซ้าย และขวา เพื่อให้ลมปราณไหลเวียน พลางโครจรพลังวัตรมารวมไว้ที่ฝ่ามือ

พลันมันก็กระโจนร่างสูงขึ้นจนใกล้เพดานถ้ำ แล้วทิ้งร่างดิ่งลงมา มือซ้ายของมันจับที่ข้อมือขวา
ชูนิ้วออกมา นิ้วมือของมันจี้เข้าที่จุด สิ้นฮุ่ยที่กลางศรีษะของอ๋องลีลู่ปัง ปลายเท้าของมันชี้ตรง
ไปยังเพดานถ้ำ แล้วนิ่งสงบโคจรพลังวัตร ให้ไหลเข้าไปต้านลมปราณที่แตกซ่านของอ๋องลีลู่ปัง

อ๋องลีลู่ปัง รู้สึกถึงขุมพลังอันร้อนแรง และเข้มแข็ง ไหลเข้ามาต่อต้านลมปราณ
ที่ไร้ทิศทางของมัน พลังนั้นแผ่ซ่านมาอย่างแรงกล้า และต่อเนื่อง จนควบคุมลมปราณ
ที่แตกซ่านของมันเข้ามารวมกันเป็นสายเดียว

อ๋องลีลู่ปัง รู้สึกเบาสบายไปทั้งร่าง เร่งยกฝ่ามือทั้งสองขึ้นพร้อมกับหายใจเข้า
แล้วผ่อนฝ่ามือทั้งสองลง พร้อมผ่อนลมหายใจออก โคจรลมปราณทั้งร่าง
ให้ไหลกลับเข้าไปในช่องท้องน้อย มันลอบคิดอยู่ภายในใจว่า
เด็กน้อยผู้นี้ไฉนจึงมีพลังวัตรที่กล้าแข็งเช่นนี้ แม้นเราผู้เฒ่าเฝ้าฝึกฝน
มาเป็นเวลาสามสิบปี ก็หามีพลังวัตรเทียบเคียงมันได้

เมื่อเห็นว่าลมปราณของ อ๋องลีลู่ปัง สงบเป็นปกติแล้ว เฟยอี้ก็ทิ้งร่างลง
มาหยุดยืนที่พื้น พลางส่งเสียงไถ่ถามอาการ

“อาวุโส ท่านเป็นเช่นไรบ้าง”

อ๋องลีลู่ปัง สบตามองดูบุรุษหนุ่มน้อยที่อยู่ตรงหน้า แล้วยิ้มออกมาอย่างพอใจ

“หากไม่ได้เจ้า วันนี้ ชีวิตอ๋องชราเช่นข้า คงจบสิ้นไปแล้ว
เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงมาพบข้า ณ ที่นี้ได้”

เฟยอี้ บอกชื่อแซ่ของตนแล้วเล่าเหตุการณ์ ที่ปะทะกับ เทวทูตหน้าทองจนถูกฝ่ามือฟาด
ตกเขาลงมา และได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวด จึงติดตามมาที่ถ้ำแห่งนี้

อ๋องลีลู่ปัง เดินไปยืนอยู่ตรงหน้าของเฟยอี้ แล้วพูดขึ้นว่า

“เจ้าหนุ่มน้อย เจ้าเป็นศิษย์ผู้ใด”

“ข้าน้อยเฟยอี้ อาจารย์ข้าคือ เมี่ยวนึ๊งตง”

อ๋องลีลู่ปัง ทำหน้าครุ่นคิด

“เมี่ยวนึ๊งตง ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้”

“หมอวิปลาส คือฉายาของท่าน”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าหมอลามกผู้นั้นเองหรอกรึ เช่นนั้นขอดูฝีมือเจ้าหน่อย”

พูดจบ อ๋องลีลู่ปัง ก็จู่โจมฝ่ามือใส่ร่างของเฟยอี้ ในยามกระทันหันเช่นนั้น
เฟยอี้ยกมือปัดป้องฝ่ามือที่จู่โจมเข้ามา แล้วพลางเคลื่อนเท้าถดถอยไปสองสามก้าว
อ๋องลีลู่ปังตามติดรุกไล่ ด้วยกระบวนท่าสายลมพรายพริ้ว ฝ่ามือทั้งสองของอ๋องลีลู่ปัง
ร่ายรำรุกล้ำเข้ามาจนจะถึงทรวงอก เฟยอี้แก้ไขด้วยการพลิกร่างหลบออกข้าง
พลางฟาดฝ่ามือปัดฝ่ามือของอ๋องลีลู่ปังให้เปลี่ยนทิศทางไป แต่มิคาดคิด ฝ่ามืออ๋องลีลู่ปัง
กลับม้วนพันฝ่ามือของมัน พลางเคลื่อนท่าร่างเข้าประชิดตัว ด้วยกระบวนท่านี้ เฟยอี้รู้สึก
จวนตัวยิ่งนัก มันชักฝ่ามือกลับ เดินพลังวัตรแล้วฟาดฝ่ามือทั้งสองออกไป ปะทะเข้ากับ
ฝ่ามือของ อ๋องลีลู่ปัง

อ๋องลีลู่ปัง กระโดดม้วนตัวกลับเพื่อลดแรงปะทะ หย่อนเท้าลงพื้นแล้ว เดินพลังวัตร
หกในสิบส่วน เคลื่อนไหวฝ่ามือเตรียมใช้กระบวนท่า ภูตพิโรธคำราม แล้วฟาดฝ่ามือ
ผ่านอากาศออกไป สามสี่ครั้ง พลังปราณถูกปล่อยผ่านฝ่ามือออกมา แหวกอากาศ
จนเกิดเสียงหวีดหวิวดุจดังเสียงภูตผี ตรงมายังร่าง เฟยอี้

เฟยอี้ยืนอยู่ ณ ที่นั้นพลันรู้สึกถึงสายพลัง สามสี่สายกำลังพุ่งตรงมายังร่างของตน
ก็ทะยานร่างหลบด้วยวิชา เมฆาลอยล่อง สายพลังสองสายพลาดเป้าเข้าปะทะกับผนังถ้ำ
จนบังเกิดรอยฝ่ามือสองรอย ยังคงเหลืออีกสองสายพลัง เฟยอี้จึงฟาดฝ่ามือออกต้านรับ
เพื่อสลายพลังนั้น จนเกิดเสียงปะทะฉาดกลางอากาศ แล้วเคลื่อนร่างลงสู่พื้น

อ๋องลีลู่ปัง เห็นเช่นนั้นก้หัวเราะเสียงดัง อย่างพึงพอใจ

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เยี่ยม ..เยี่ยม หาได้ยากนัก ที่เด็กน้อยเช่นเจ้าจะมี
กำลังภายในที่กล้าแข็งเช่นนี้ ต่อไปภายภาคหน้าเจ้าต้องเป็นผู้เยี่ยมยุทธ
ผู้หนึ่งอย่างแน่นอน”

อ๋องลีลู่ปัง พูดออกมายังไม่สิ้นคำ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็น เฟยอี้ทรุดกายลง
แล้วเกลือกกลิ้งลงกับพื้นอย่างทุรนทุราย

“โอ้ยย…ข้าร้อนเหลือเกิน ..ร้อน..ร้อน”

อ๋องลีลู่ปัง รีบตรงเข้าไปดูตรวจอาการ ก็พบว่าร่างของเฟยอี้
ร้อนยิ่งนัก ร้อนดั่งถูกไฟเผา มันคืออาการ หยางในร่างมากเกินไปจนขาดสมดุลย์
อ๋องลีลู่ปัง จึงจี้สกัดจุดไปที่ร่างของเฟยอี้ เมื่อสงบแล้วจึงประคองให้นั่ง แล้วเดินพลังไปที่ฝ่ามือ
ถ่ายเทพลังวัตรที่เป็นหยินของตนเข้าไปในร่างของเฟยอี้

เวลาผ่านไปอยู่เพียงครู่ อาการของเฟยอี้จึงค่อยสงบลง อ๋องลีลู่ปังคลายจุดสกัดให้
แล้วพูดขึ้นว่า

“เหตุใดธาตุหยางในร่างของเจ้าจึงมีอย่างล้นเหลือเช่นนี้
หากมิใช่ วิชาลมปราณภูติคำรามเป็นแนววิชาหยินแล้ว ข้าคงไม่สามารถ
ช่วยเจ้าได้”

เฟยอี้หันหน้าไปมอง อ๋องลีลู่ปัง แล้วกล่าวตอบว่า

“ในตอนที่ข้าถูกฝ่ามือของ เทวทูตหน้าทองฟาดจนตกจากเขา
ร่างของข้าไปติดอยู่กับเถาวัลย์ พลันมีตะขาบใหญ่ตัวหนึ่งมาก่อกวน
มันไต่ไปตามร่างของข้า แล้วคลานเข้ามาในปาก ข้าจึงตัดสินใจกินมันเข้าไป
ตั้งแต่นั้นมา ข้าก็มีอาการแปลกๆเช่นนี้”

อ๋องลีลู่ปัง ตาเบิกกว้างขึ้น

“ตะขาบหรือ ตัวของมันเป็นเช่นไร”

“มันตัวใหญ่มาก ลำตัวมีสีแดงดั่งเพลิง”

อ๋องลีลู่ปัง ได้ยินเช่นนั้นก็ปิดตาลง แล้วถอนหายใจออกมา

“ฮ้าา..ข้าเฝ้าค้นหาตัวมันมาชั่วชีวิต แต่เจ้าไม่ได้ทำสิ่งใด
กลับได้มันไป เป็นเพราะฟ้าลิขิตแล้ว”

“สิ่งใด หรือ อาวุโส ตะขาบนั่นคือสิ่งใด”

“มันคือตะขาบแดงอัคคี ชาวยุทธทั้งหลายล้วนค้นหาตัวมัน
มันมีสรรพคุณช่วยให้ผู้ที่กินมันเข้าไปมีพลังวัตรเพิ่มพูน
จนยากจะคำนวณ แต่พิษของมันนั้นร้อนแรงนัก ผู้ที่ได้กินมัน
จึงต้องหาธาตุหยินเพิ่มพูนเข้าไปในร่างเพื่อควบคุมสมดุลย์”

อ๋องลีลู่ปัง ส่ายหน้าอย่างเสียดาย แล้วพูดขึ้นอีกว่า

“ตัวข้าฝึกวิชาลมปราณภูติคำราม อยู่ขั้นที่หกมาสิบปีแล้ว
หาได้มีความก้าวหน้าแต่อย่างใด เป็นเพราะวิชาลมปราณภูติคำราม
เป็นแนวทางหยิน ข้าจึงเสาะหาตะขาบแดงอัคคีนี้ เพื่อเพิ่มพูนหยางในร่างของข้า
คิดไม่ถึง เด็กน้อยเช่นเจ้ากลับได้มันไป”

“แล้วข้าควรทำเช่นไรต่อไป ท่านผู้อาวุโส”

“เช่นนั้นเจ้าจงฟังข้า หยิน-หยาง คือ กฏแห่งความสมดุลย์ของสรรพสิ่งบนโลกนี้

หยิน เป็นตัวแทนของ ความมืดมิด การหยุดนิ่ง ตวามตาย ความหนาวเย็น และสตรี
หยาง เป็นตัวแทนของ แสงสว่าง การเคลื่อนไหว การเกิด ความร้อน และ บุรุษ
ในตัวเจ้า มีพลังหยางจากตะขาบแดงอัคคีอยู่มากเกินไป เจ้าต้องเพิ่มพูนพลังแห่ง
หยิน เพื่อสร้างสมดุลย์ในตัวเจ้า จากนี้ไปเจ้าต้องใช้พลังหยางเพื่อรักษาอาการของเจ้า
จนกว่าจะเกิดความสมดุลย์ เอาล่ะ เมื่อมันเป็นเช่นนี้แล้วข้าจะถ่ายทอด ลมปราณภูติคำราม
ให้กับเจ้า ตั้งแต่นี้ไปเจ้าเป็นศิษย์ของข้าแล้ว”

เฟยอี้ ตะลึงค้าง คิดไม่ถึงว่า อาวุโสที่อยู่ข้างหน้าจะเมตตามันถึงเพียงนี้ ทั้งที่พึ่งพบหน้ากัน

“ท่านอาวุโส ท่านกรุณาข้ายิ่งนัก”

“ยังเรียกข้าว่า อาวุโส อีกหรือ”

เฟยอี้โขกศรีษะลงพื้น

“คารวะอาจารย์”

จากนั้น อ๋องลีลู่ปัง ก็ถ่ายทอดเคล็ดวิชาลมปราณภูตคำรามทั้งหมด ให้เฟยอี้จดจำ
และทดลองโคจรพลังตามแนวทางแห่งเคล็ดวิชา ณ.ถ้ำแห่งนั้น

———-

เว่ยฉิงคัง มีความกำหนัดอย่างท่วมท้น เมื่อพันธนาการ ภูตแพรทั้งสองเสร็จสิ้น
มันก็พูดขึ้นว่า

“พวกเจ้าทั้งสอง ถือดี ดูถูกผู้อื่น วันนี้พวกเจ้าจะต้องได้รับความอัปยศบ้าง”

ดวงตาของมันเบิกกว้างด้วยความหื่นกระหาย ตรงเข้าเปลื้องอาภรณ์ของภูตแพรขาวออก
จนทรวงอกตูมงามทั้งข้างสองของนางปรากฎแก่สายตาของมัน มันยื่นใบหน้าอันหื่นกระหาย
ของมันเข้าไปใกล้ เต้างามคู่นั้น

“อย่า..อย่านะ..ไอ้คนสารเลว..ฆ่าข้าซะเลยซิ..โอ๊ะ”

เรื่องเสียว อ่านเรื่องเสียว เล่าเรื่องเสียว ประสบการณ์เสียว เรื่องเล่าเสียว เล่าเสียว อ่านเสียว เรื่องเสียวแม่ลูก doujin sak รวมเรื่องเสียว

มันอ้าปากงับยอดถันงามของนาง สลับไปมาทั้งสองข้างอย่างหิวกระหาย
มือของมันก็คลึงเค้นเต้างามนั้นอย่างสาแก่ใจของมัน

ภูตแพรขาว ทั้งหวั่นหวาด และขยะแขยง นางไม่เคยถูกหยามเกียรติ เช่นนี้มาก่อน
หากเป็นไปได้ นางเลือกที่จะตายให้พ้นจากสภาวะนี้เสียจะดีกว่า แล้วน้ำตาของนาง
ก็หลั่งไหลออกมา

“อ้าา เจ้าช่างงามจริงๆ ภูตแพรขาว ข้าอยากเห็นเรือนร่างของเจ้ามากกว่านี้แล้ว”

เว่ยฉิงคัง ตรงเข้าไปนั่งอยู่กลางหว่างขาของ ภูตแพรขาว แล้วปลดเปลื้องผ้าที่ปกปิด
กายท่อนร่างของนางออก

“อย่าาาา…ฆ่า.ข้าซะเพื่อคลายความแค้นของเจ้า..อย่าทำกับข้าเช่นนี้..อย่าาา”

กางเกงสีขาวของนางถูกรูดออกไปกองอยู่ต่ำกว่าหัวเข่า เว่ยฉิงคังจ้องมองตะลึงค้าง
ไปที่เนินสวาทของนาง พลางลูบไล้ไปมาที่เรียวขางามผุดผ่องทั้งสองนั้น แก่นกาย
ของมันตึงแข็งจนเจ็บปวดไปหมด

ภูตแพรเขียว ทนเห็นศิษย์ผู้พี่ของตนถูกกระทำเช่นนั้นไม่ได้อีกต่อไป นางเกิดความโกรธ
ก่นด่า เว่ยฉิงคังไม่หยุดปาก

“เจ้าชาติสุนัข ไอ้ลูกอกตัญญูกลัวตาย ทนดูบิดาถูกฆ่าไม่ช่วยเหลือ ไอ้สารเลว ”

เรื่องเสียว อ่านเรื่องเสียว เล่าเรื่องเสียว ประสบการณ์เสียว เรื่องเล่าเสียว เล่าเสียว อ่านเสียว เรื่องเสียวแม่ลูก doujin sak รวมเรื่องเสียว

เว่ยฉิงคังได้ยินเช่นนั้นก็โกรธจนเกินระงับ ตรงเข้าหาภูตแพรเขียวแล้วฟาดฝ่ามือไปที่ใบหน้า
ของนางสามสี่ครั้ง จนนางสลบไป ริมฝีปากของนางปรากฎโลหิตหลั่งไหลออกมา
แล้วมันก็กระชากอาภรณ์ของนางออกจนหมดทั้งร่าง จนเห็นร่างเปลือยเปล่างามระหง
ทอดกายอยู่เบื้องหน้าของมัน

มันปลดกางเกงของมันออก จนเห็นแก่นกายอันแข็งเด่ ชี้เป็นลำยื่นไปเบื้องหน้า

ภูตแพรขาวที่กำลังหันหน้าไปมองดูภูตแพรเขียวด้วยความเป็นห่วง กลับต้องเบือนหน้าหนี
มันทรุดกายลงที่หว่างขาของภูติแพรเขียว ตาของมันจ้องมองที่เนินสวาทอันอวบอิ่มของนาง
อย่างหื่นกระหาย มันจับแก่นกายของมันจ่อเข้าที่เนินสวาทของนาง แล้วก็หยุดค้างไว้
เหมือนมันคิดสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้

“ปากของเจ้ามันร้ายนัก วันนี้ข้าจะเสพสมกับปากของเจ้า”

มันพูดออกมาด้วยความแค้น แล้วตรงไปที่ใบหน้าของ ภูติแพรเขียว
พลางทรุดกายลง มันใช้มือบีบปากของภูติแพรเขียว ให้อ้าออกแล้วตั้งท่าจะ
หย่อนแก่นกายอันแข็งตึงลงไปในในปากของนาง

“อ้าาาก”

เว่ยฉิงคังร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แล้วล้มลงสิ้นสติไป ณ.ที่นั้น

พลันปรากฏเฒ่าชราผู้หนึ่ง รูปร่างผอมเล็ก แต่ปราดเปรียว ใบหน้าเสี้ยมยาว
มีผมและเครายาวเป็นสีขาวล้วน แต่งกายดั่งผู้คงแก่เรียน เฒ่าชราผู้นั้นสบัดปลายนิ้ว
ไปที่ร่างของภูติแพรขาวสี่ห้าครั้ง พลังแห่งดรรชนีนั้น ตรงเข้าคลายจุดที่ถูกจี้สกัด
ได้อย่างแม่นยำ และเชือกที่พันธนาการภูตแพรขาว ก็ถูกพลังแห่งดรรชนีนั้น
ตัดขาดสะบั้นลง

เฒ่าชราผู้นั้นเดินไปที่ร่างของเว่ยฉิงคัง

“เจ้าคนเลว เจ้าต้องไปเป็นที่ซ้อมมือของข้า”

เฒ่าชราผู้นั้น ใช้แขนเพียงข้างเดียวอุ้มร่างของ เว่ยฉิงคัง แล้วทะยานร่างจากไป
อย่างรวดเร็ว

ภูติแพรขาวรู้สึกสำนึกบุญคุณต่อ เฒ่าชราผู้นั้น แต่ก็มิอาจเอ่ยวาจาใดได้ทัน
นางตรงเข้าแก้พันธนาการให้ภูตแพรเขียว แล้วแก้ไขให้ฟื้นคืนสติขึ้น จากนั้นทั้งคู่
ก็ออกเดินทางกลับไปยังวังหุบผาภูติ เพื่อแจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วตระเตรียมกำลัง
ค้นหาภูตแพรอีกสองนางต่อไป

Share the Post:

Related Posts

แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู

เรื่องเสียว แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู เอิร์นนะคร้า เป็นสาวมหาลัยในเชียงใหม่นี้เองค่า เอิร์นเป็นสาวมหาลัยปีสองแล้วค่ะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องผู้ชายเลย ยุคนี้แล้วเนอะ ไม่ใช่แค่ผู้ชายนะคะที่ล่าแต้ม เอิร์นเองก็กินมาเยอะเหมือนกันค่ะ สูงยาว ลำอวบ ใหญ่ยาว กินมาหมดแล้วค่า ชีวิตครั้งนึงเนอะ เรื่องพวกนี้ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ต้องมีบ้างอยู่แล้วใช่ไหมค่ะ และแน่นอนว่าเอิร์นเลยกินแต่วัยเดียวกัน รู้ตัวอีกทีได้แอบกินรุ่นใหญ่พี่แท็กซี่ซะอย่างนั้นเลยค่ะ ที่สำคัญไม่เคยเจอมังกรที่ใหญ่ยักษ์ขนาดนี้มาก่อน มาเริ่มเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ ด้วยความที่อยู่เชียงใหม่ที่เที่ยวเยอะ

Read More

จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว

เรื่องเสียว จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว “ตั้งกล้องเรียบร้อยแล้ว มึงพร้อมยังจะได้กดเริ่ม” วันนี้เรามีถ่ายคลิปวิดีโอทำอาหารที่คอนโดของพวกเราสองคนที่เป็นเพื่อนกัน เรามองเม็กที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมสองเม็ดจนเห็นแผงอกที่เป็นมัดกล้าม กางเกงขาขั้นสั้นสบาย ๆ แต่พอมาอยู่บนร่างกายของเม็กแล้วมันดูดีไม่น้อยเลย ถึงแม้เราทั้งสองจะเป็นเพื่อนกัน แต่พอมาเจอมันในลุคนี้ก็ทำให้เราใจสั่นไม่น้อย “มึงกูสวยยัง” “สวยแล้ว” พอได้รับคำตอบที่สร้างความมั่นใจให้กับตัวเองแล้ว เราก็พยักหน้าให้มันเริ่มกดบันทึกภาพวิดีโอทันที การถ่ายทำดำเนินไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นตอนการชิมอาหาร “อะ

Read More