ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 10 ความลับของเทวทูตหน้าทอง

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 10 ความลับของเทวทูตหน้าทอง

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 10 ความลับของเทวทูตหน้าทอง
โดย zeech

ภูตแพรขาว และภูตแพรเขียว เร่งรีบเดินทางไปจนถึงวังหุบผาภูต
แล้วตรงไปยังถ้ำที่อ๋องลีลู่ปังอยู่ด้วยเกรงว่าอาจเกิดอันตรายขึ้น
กับประมุขของตน เมื่อเข้าไปในถ้ำก็พบประมุขแห่งวังหุบผาภูติ
กำลังถ่ายทอดวิชาให้กับบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง จึงตรงเข้าไปแล้วกระทำ
คารวะ อ๋องลีลู่ปังหันไปพบกับบริวารหญิงทั้งสองในสภาพ
ผ่านความอิดโรยมาเช่นนั้น ก็ตกใจไถ่ถามถึงความเป็นไปที่เกิดขึ้น

ภูตแพรทั้งสองมองไปทางเฟยอี้ แล้วมีท่าทีนิ่งอยู่มิกล่าวสิ่งใดออกมา

อ๋องลีลู่ปังจึงแนะนำให้ทั้งสองนางรู้จักกับเฟยอี้ แล้วเล่าความที่เกิดขึ้น
ทั้งเรื่องเฟยอี้ช่วยเหลือตนให้พ้นจากสภาวะธาตุไฟเข้าแทรก
และตนได้รับเฟยอี้ไว้เป็นศิษย์ให้ทั้งสองนางทราบ

ภูตแพรทั้งสอง กล่าวขอบคุณต่อเฟยอี้ แล้วกล่าวยินดีต่อประมุขของตน
ที่ได้ศิษย์ใหม่

จากนั้นภูตแพรทั้งสองได้เล่าความตั้งแต่เว่ยฉิงคัง บุตรของเว่ยน่ำเทียน
มาเยือนวังหุบผาภูต แล้วลักลอบขโมยคัมภีร์ ลมปราณภูตคำราม
พร้อมกับฆ่าคนของวังหุบผาภูตตาย จึงได้พากันออกติดตามจนพบตัว
แต่กลับถูกเฒ่าลามกผู้หนึ่ง แต่งกายคล้ายดั่งเป็นหมอมาช่วยเอาไว้ได้
พร้อมทั้งจี้สกัดจุด ชิงตัวภูตแพรแดง และภูตแพรเหลืองไปกับมัน

อ๋องลีลู่ปัง เมื่อได้ฟังเรื่องที่ภูตแพรทั้งสองเล่ามา ก็สามารถเข้าใจเรื่อง
ที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด จึงพูดขึ้นว่า

“ข้าเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ตอนนี้เรามีเรื่องสำคัญสามเรื่องที่ต้อง
เร่งมือ เรื่องแรก ติดตามช่วยเหลือภูตแพรแดงและภูตแพรเหลือง”

เฟยอี้ ได้ฟังเรื่องราวจากภูตแพรทั้งสอง ก็เข้าใจทันทีว่า เฒ่าลามก
แต่งกายคล้ายหมอนั้นคือ อาจารย์ของตน ก็ขออาสาติดตามทันที

“ข้าพเจ้าขออาสาติดตามช่วยเหลือนางทั้งสอง กลับมา ข้า..
ข้าคิดว่า เฒ่าชราผู้นั้นต้องเป็น ท่านหมอเมี่ยว อาจารย์ของข้าเอง”

ภูตแพรขาว และ ภูตแพรเขียว ได้ยินเช่นนั้นก็ตาลุกวาว ยืนขึ้น
ชี้หน้าเฟยอี้ แล้วส่งเสียงอันดังขึ้น

“เจ้าคือศิษย์ของ เจ้าเฒ่าลามกผู้นั้น ประเสริฐ เช่นนั้นเจ้าต้องไป
รออาจารย์เจ้าที่เมืองผีแล้ว”

พูดจบ ภูตแพรขาว และภูตแพรเขียว ก็ตั้งท่าเตรียมจู่โจมใส่เฟยอี้
พลัน อ๋องลีลู่ปังก็ตวาดออกมาด้วยเสียงอันดัง

“หยุด พวกเจ้ายังมีความนับถือข้าอยู่หรือไม่”

ภูตแพรทั้งสองหยุดยืนอยู่กับที่ทันที พลันได้สติว่าตนกำลัง
อยู่ต่อหน้าประมุขที่พวกตนให้ความนับถือและกลัวเกรงยิ่ง

“เฟยอี้คือศิษย์ของข้า ทั้งยังเคยทำคุณแก่ข้า ข้าขอสั่งห้าม
พวกเจ้าทำร้ายมันเด็ดขาด
ภาระแรกที่ต้องทำ คือติดตามช่วยเหลือ ภูตแพรแดง
และภูตแพรเหลือง ข้าขอให้พวกเจ้าทั้งสามคนไปด้วยกัน
เมื่อเสร็จสิ้นภาระแรกแล้วพวกเราค่อยหาหนทาง
ติดตามเอาคัมภีร์ลมปราณภูตคำรามกลับมา เป็นภาระที่สอง”

ภูตแพรขาวได้ยินเช่นนั้นก็ถามขึ้นว่า

“แล้วภาระที่สามคือสิ่งใดท่านประมุข”

อ๋องลีลู่ปัง ผ่อนลมหายใจ ใบหน้าสงบนิ่งแล้วพูดขึ้นว่า

“ในอีกสิบวันข้างหน้า ประมุขแห่งลัทธิเบญจธาตุจะเข้ามาเยือน
ที่วังหุบผาภูตของเรา ข้าสังหรณ์ใจว่าต้องเป็นเรื่องราวไม่ดีแน่
ขอให้พวกเจ้าเร่งรีบทำภาระกิจให้เสร็จสิ้น แล้วมาพร้อมกันให้ทัน
กำหนดนัดหมายในสิบวันข้างหน้า”

จากนั้นทั้งหมดก็เดินทางกลับเข้ามายังวังหุบผาภูต
องค์หญิงลีลู่อินครั้นเห็นบิดากลับมาก็มีความยินดี
รีบเข้ามาพบแล้วกระทำคารวะต่อบิดา

อ๋องลีลู่ปังก็แนะนำเฟยอี้ให้รู้จัก ทั้งยังเล่าความที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ให้องค์หญิงลีลู่อินได้รับทราบ องค์หญิงมักมีความชาเย็นต่อคนแปลกหน้า
แม้บิดาจะแนะนำให้รู้จักแต่ก็ดูเหมือนหามีความใส่ใจไม่
กลับพูดคุยซักถามแต่บิดาของตนเพียงอย่างเดียว เฟยอี้จึงคิดแต่เพียงในใจ
ว่าเราก็หาอยากรู้จักนางไม่

ในคืนวันนั้น อ๋องลีลู่ปังก็เรียกเฟยอี้มาพบในห้องเพียงลำพัง

“เฟยอี้ เรื่องราวในโลกล้วนอนิจจัง ข้ามีบางสิ่งจะแจ้งแก่เจ้า
ก่อนที่จะไม่มีโอกาส”

“ท่านอาจารย์ เหตุใดท่านจึงพูดเช่นนั้น”

“เฟยอี้ เจ้าตั้งใจฟังเรื่องที่ข้าพูดต่อไปนี้ให้ดี
วังหุบผาภูติ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐอิสระขึ้นตรงต่อฮ่องเต้
เนื่องจากเรามีอาณาเขตใกล้ชิดกับแคว้นเปอร์เซีย ทางวังหลวง
จึงมีรับสั่ง ให้วังหุบผาภูติ คอยสอดแนมความเคลื่อนไหว ของ
แคว้นเปอร์เซีย แล้วแจ้งข่าวในทางลับให้กับวังหลวงทราบ

เมื่อหลายสิบปีก่อน ได้ก่อเกิดลัทธิเบญจธาตุขึ้นในแคว้นเปอร์เซีย
แล้วแผ่อิทธิพลขยายสาขามาถึงชายแดนแห่งจงหยวนเรา ข้าจึง
ให้คนของวังหุบผาภูติ แทรกซึมเข้าไปเป็นคนของลัทธิเบญจธาตุ
เพื่อสอดแนมข่าวในเชิงลึก มิคาดคิดว่ากลับได้เรื่องลึกลับกลับมาเรื่องหนึ่ง

คนของข้าแจ้งว่า มีชาวยุทธจงหยวนผู้หนึ่ง ลักลอบปะปนไปเป็นคน
ของลัทธิเบญจธาตุเช่นเดียวกัน คนผู้นั้นถูกสืบทราบในภายหลัง
ว่ามันเป็นถึง หนึ่งในห้า ของห้าเซียนเทพยุทธ แห่งบู๊ลิ้มเรา

มันคือ หลงจินหู่”

เฟยอี้เคยได้ยินชื่อนี้เป็นที่กล่าวถึงกันในงานประลองยุทธ จึงถามขึ้น

“คือ หลงจินหู่ ฉายา บัญฑิตไร้ใจ เจ้าของวิชา เจ็ดกระบี่ปลิดชีพ
ที่ไร้เทียมทานของบู๊ลิ้มใช่หรือไม่”

อ๋องลีลู่ปังพยักหน้าเอามือลูบเคราแล้วกล่าวต่อว่า

“ห้าเซียนเทพยุทธ ที่มีชื่อเสียงในหลายสิบปีก่อน

ท่านแรก คือ ทิกุ้ยชิ้ว ฉายา หัตถ์เทพอสูร เจ้าของวิชา ฝ่ามือสุญญตา
ท่านมีความสามารถโดดเด่นทางพลังฝ่ามือ ถือได้ว่ามีพลังฝ่ามือที่กล้าแข็งที่สุด
ในบู๊ลิ้ม

ท่านที่สอง คือ จางหย่งจง ฉายา ผู้เฒ่าเงาภูติ เจ้าของวิชา หมื่นแปรเปลี่ยน
ท่านผู้นี้มีความเป็นเลิศทางด้านกระบวนท่า กล่าวกันว่า กระบวนท่าของท่าน
นั้น พิสดารล้ำลึกจนเกินคาดเคา

ท่านที่สาม คือ หลงจินหู่ ฉายา บัญฑิตไร้ใจ เจ้าของวิชา เจ็ดกระบี่ปลิดชีพ
ท่านผู้นี้มีความเป็นเลิศด้านความรวดเร็วของกระบี่ ทั้งเจ็ดกระบวนท่านั้นล้วนแผ่
รังสีอำมหิตคุกคามคู่ต่อสู้จนคร้ามเกรงมิอาจต้านทาน

ท่านที่สี่ คือ หลวงจีนหลี่เต๋อ ฉายา หลวงจีนเทวดา เจ้าของวิชา ยูไลพันกร
ท่านผู้นี้เป็นเลิศทางด้านวิชาฝ่ามือที่พลิกแพลง ล้ำลึก วิชาฝ่ามือของท่านยาม
ร่ายรำออกไปจะดูประหนึ่งท่านนั้นมีมือมากมายเข้ามาพ้วพัน

ท่านที่ห้า คือ หานไป๋เจี้ยน ฉายา เทพกระบี่ขาว เจ้าของวิชา กระบี่เทพวายุ
ท่านผู้นี้มีความเป็นเลิศทางพิสดารล้ำลึกของกระบวนท่ากระบี่
ท่านใช้กระบี่ศิลาขาว ร่ายรำสิบหกกระบวนท่ากระบี่เทพวายุ สยบยอดฝีมือ
มาทั่วหล้า

ข้าได้ติดตามความเคลื่อนไหวของ หลงจินหู่ อยู่ตลอดเวลา จึงพอทราบ
เหตุจูงใจในการแทรกซึมเข้าลัทธิเบญจธาตุของมัน

ก่อนหน้านั้นมันได้ขอท้าประลองกระบี่ กับ หานไป๋เจี้ยน
เพื่อชิงความเป็นหนึ่งทางด้านกระบี่ ผลการประลองปรากฎว่า
หลงจินหู่ เป็นผู้พ่ายแพ้ ความรวดเร็วของกระบี่มัน มิอาจทำสิ่งใด
ต่อความพิสดารล้ำลึก ของวิชากระบี่เทพวายุได้เลย มันถึงกับพ่ายแพ้ลง
อย่างง่ายดาย แม้ผลการประลองจะไม่เป็นที่เปิดเผยต่อชาวยุทธ แต่ข้าคิดว่า
คนเช่นหลงจินหู่ คงอับอายและเจ็บแค้น มันจึงลักลอบปะปนเข้าไปในลัทธิเบญจธาตุ”

อ๋องลีลู่ปังเล่ามาถึงตอนนี้ เฟยอี้ก็เกิดความสงสัยขึ้นทันที

“มันลักลอบเข้าลัทธิเบญจธาตุ แล้วได้ประโยชน์อันใด”

“ข้อสงสัยนี้ ในคราวแรกข้าก็ขบคิดเช่นเดียวกับเจ้า
แต่ต่อมา ลัทธิเบญจธาตุเกิดเรื่องใหญ่ กระบี่ศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิ
ของพวกมันได้หายสาบสูญไป ทั้งยังกล่าวหาว่า ท่าน หานไป๋เจี้ยน
เป็นผู้ขโมย อันเป็นเหตุให้ลัทธิเบญจธาตุบุกจงหยวน เพื่อหาตัว
หานไป๋เจี้ยนอยู่ในขณะนี้ ข้าจึงบรรลุถึงความจริง”

อ๋องลีลู่ปังลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปที่หน้าต่าง พลางไขว้มือทั้งสองไว้ที่หลัง

“ข้ามั่นใจว่า หลงจินหู่ เป็นผู้ขโมยกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิเบญจธาตุไป
มันใช้แผนกระสุนเพียงนัดเดียวได้นกถึงสองตัว

ประการแรก มันได้กระบี่ที่นับเป็นศาสตราวุธที่ทรงอานุภาพยิ่ง
กระบี่นี้มีชื่อว่า กระบี่เก้าศัสตรา สร้างโดยเทพกระบี่แห่งยุคโอวเย่จื่อ
นำเอาแร่ธาตุพิเศษเก้าชนิดมาหลอมรวมกัน แล้วนำมาตีเป็นกระบี่
กระบี่นี้มีความคมกล้าเป็นอย่างยิ่ง แม้เพียงใบไม้ตกลงไปต้อง
ก็ขาดเป็นสองส่วนทันที กาลเวลาล่วงเลยมาเกือบร้อยปี กระบี่นี้
กลับกลายเป็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ตกไปอยู่กับลัทธิเบญจธาตุ

ประการที่สอง มันใส่ความว่า หานไป๋เจี้ยน เป็นผู้ขโมยกระบี่ไป
นับว่าเป็นวิธียืมมือฆ่าคนที่อำมหิต ถึงหากว่าหานไป๋เจี้ยน
ไม่ตาย ก็นับว่าเสื่อมเสียชื่อเสียง เพราะเป็นต้นเหตุทำให้เกิดเภทภัย
ต่อชาวยุทธ เป็นวิธีการบีบบังคับให้หานไป๋เจี้ยนปรากฎตัวที่นับ
ว่าประเสริฐนัก”

เฟยอี้ พยักหน้าอย่างเข้าใจเรื่องทั้งหมด ครั้นก็ฉุกคิดถึงเรื่องนึงขึ้นมา

“หลงจินหู่ มันใช้วิธีใด จึงสามารถตบตาเหล่าลัทธิเบญจธาตุ และทำให้
คนเหล่านั้น เชื่อฟังคำพูดของมันเล่า”

อ๋องลีลู่ปัง หันมาสบตากับเฟยอี้ แล้วกล่าวตอบว่า

“ถามได้ดี หลงจินหู่ผู้นี้นับว่ามีความพยายามและอดทนอย่างมาก
ในช่วงแรกมันแฝงตัวลักลอบเข้าไปในลัทธิเบญจธาตุ แล้วแอบคัดลอก
คัมภีร์ฝ่ามือเบญจธาตุ มาฝึกฝน ด้วยความที่ตัวมันเป็นผู้ทักษะยุทธ
และมีกำลังภายในที่สูงล้ำเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ทำให้มันฝึกวิชา ฝ่ามือ
เบญจธาตุสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้น มันก็ลงมือฆ่าคนของลัทธิเบญจธาตุผู้หนึ่งตาย แล้ว
สวมรอยเป็นบุคคลผู้นั้นแทน คอยยุยงให้ประมุขแห่งลัทธิเบญจธาตุ
เชื่อคำพูดของมัน เจ้าลองทายดูว่า มันสวมรอยเป็นผู้ใด”

เฟยอี้ใคร่ครวญ เหตุการณ์ทั้งหมด บุคคลแห่งลัทธิเบญจธาตุ
ที่มันเคยประมือด้วย ก็มีแต่ ทูตทั้งสี่ และ เทวทูตหน้าทอง
หากบุคคลเหล่านั้น มีวิชาแปลงโฉมเช่นเดียวกับมัน
มันต้องดูออก แต่แล้วเฟยอี้ก็ฉุกใจคิดขึ้นมาได้
หรือว่า มันผู้นั้นคือ

“มันใส่หน้ากากอยู่ตลอดเวลา มันคือ เทวทูตหน้าทอง”

อ๋องลีลู่ปัง หัวเราะเสียงดังออกมา อย่างพึงพอใจ

“ฮ่าๆๆๆ ศิษย์ของข้า เจ้ายอดเยี่ยมยิ่งนัก

คราวนี้เจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่ ว่าที่ผ่านมาเจ้านับว่ามีโชคอย่างยิ่ง
ที่รอดชีวิตมาได้ เจ้าได้ประมือกับยอดคนแห่งยุค หลงจินหู่ ดีที่ว่า
มันใช้พลังฝ่ามือต่อสู้กับเจ้า หากว่ามันใช้เพลงกระบี่ เจ็ดกระบี่ปลิดชีพ
ที่มันมีความช่ำชอง ข้าเกรงว่าวันนี้คงไม่มีเจ้าแล้ว”

เฟยอี้ทั้งรู้สึกตกใจ และหวั่นใจยิ่งนัก มันพึ่งจะหยั่งทราบว่า
จิตใจของชาวยุทธ ในยุทธภพช่างมีเล่ห์เพทุบาย ที่เกินกว่าจะ
คาดคิดยิ่งนัก

“ท่านอาจารย์ หรือว่าแม้แต่ประมุขแห่งลัทธิเบญจธาตุ ก็ยังมิล่วงรู้ความนี้”

“ข้าเกรงว่า มันคงยังไม่ล่วงรู้ และที่พวกมันจะมาเยือนเราในอีกสิบวันนี้
ข้าคิดว่าเป็นเพราะ หลงจินหู่ คงยุยงมาเป็นแน่ ด้วยว่าคนของข้ามิได้ส่งข่าว
มาเป็นเวลานานแล้ว หลงจินหู่คงไหวตัวและหาทางกำจัดข้า เพื่อมิให้ความลับ
ของมันรั่วไหล”

“เหตุใดเมื่อมันได้กระบี่เก้าศัตราไปแล้ว มันจึงยังแฝงตัวอยู่ในลัทธิเบญจธาตุต่อไป”

“หลงจินหู่ผู้นี้มีความมักใหญ่ใฝ่สูง คิดจะเป็นเจ้ายุทธภพแต่เพียงผู้เดียว
มันจึงใช้ลัทธิเบญจธาตุกำจัดคนที่ขวางทางมัน และอีกเหตุผลหนึ่ง
ข้าคิดว่ามันกำลังเสาะหา คัมภีร์กระบี่ ที่ใช้คู่กันกับ กระบี่เก้าศัตรา

ในครั้งนั้น เทพกระบี่โอวเย่จื่อ นอกจากสร้างกระบี่เก้าศัตราขึ้นมาแล้ว
ยังบัญญัติเพลงกระบี่ที่ร้ายกาจขึ้นมาเพื่อใช้ร่วมกัน มันคือ
คัมภีร์กระบี่อัสนีบาต”

“ท่านอาจารย์ ครั้งนี้เราจะรับมือพวกมันเช่นไร”

“ข้ากำลังคิดหาหนทางให้ เทวทูตหน้าทองถึงจุดอับจน
แสดงเพลงกระบี่ออกมา ต่อหน้าชาวลัทธิเบญจธาตุ เมื่อลัทธิเบญจธาตุ
ล่วงรู้ความจริง ก็เท่ากับตัดกำลังมันออกไป ข้าคิดว่าหากเจ้ากับข้า
ลงมือพร้อมกัน อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้”

“เช่นนั้น ศิษย์จะอยู่ช่วยเหลืออาจารย์ที่นี่ ให้ภูตแพรขาวและ
ภูตแพรเขียวติดตาม ภูตอีกสองนางแต่เพียงลำพัง น่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่า”

“ไม่ได้ หากมีแต่นางทั้งสองไป แล้วพบกับเจ้าหมอลามกนั่น
จะมิมีแต่การต่อยตีหรือ”

แล้วอ๋องลีลู่ปังก็ยื่นป้ายทองชิ้นหนึ่งส่งให้เฟยอี้

“เฟยอี้เจ้าจงรับป้ายตัวแทนประมุขนี้ไว้ เห็นป้ายประหนึ่งเห็นตัวข้า
หากว่าพวกนางดื้อรั้น เจ้าจงใช้ป้ายนี้ออกคำสั่งแก่พวกนาง”

เฟยอี้จนต่อเหตุผลก็รับคำและป้ายตัวแทนประมุข มาเก็บไว้
ครั้นเมื่อเฟยอี้ ออกไปจากห้องแล้ว อ๋องลีลู่ปํง ก็ให้คนไปตาม
ภูติแพรขาวและภูตแพรเขียวให้มาพบ เมื่อนางทั้งสองเข้ามา
ตามคำสั่งแล้ว ก็พูดขึ้นว่า

“เจ้าแพรขาว เจ้าแพรเขียว ข้านำพวกเจ้ามาเลี้ยงดูตั้งแต่เด็ก
พวกเจ้าจะว่าไปแล้วก็เป็นดั่งบุตรสาวของข้า มีครั้งใดที่ข้าขอ
ให้พวกเจ้าทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือไม่”

“ท่านประมุขมีบุญคุญยิ่งใหญ่ พวกข้าน้อยรักและนับถือท่านประหนึ่งบิดา
หากท่านต้องการให้พวกข้าน้อยกระทำสิ่งใด แม้สละชีวิตพวกข้าน้อยล้วนยินยอม”

“ดี หากข้าต้องการให้คนผู้หนึ่งเป็นสามีของพวกเจ้า พวกเจ้าจะยินยอมหรือไม่”

ภูตแพรขาว และ ภูตแพรเขียว ต่างตกใจ แล้วหันมาสบตากัน
แล้วภูตแพรขาวก็พูดขึ้นว่า

“เหตุใดๆจู่จู่ ท่านประมุขจึงมีความคิดเช่นนี้”

“หึ เมื่อสักครู่ พวกเจ้ากล่าวว่ายอมกระทำตามที่ข้าขอทุกอย่าง
ล้วนผายลมใช่หรือไม่”

“ข้าน้อย มิได้หมายความเช่นนั้น..ข้า..ข้าน้อยยินยอม”

ภูติแพรขาวพูดจบก็ก้มหน้านิ่งอยู่

“เจ้าแพรขาว เจ้าแพรเขียว พวกเจ้าก็เปรียบดั่งบุตรของข้า
มีรึที่ข้าจะส่งเสริมคนไม่ดีให้มาเป็นสามีของพวกเจ้า

คนผู้นั้นคือเฟยอี้ ข้าต้องการให้มันมีชีวิตกลับมาช่วยป้องกัน
วังหุบผาภูติจาก ภาวะคับขันที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่นานนี้
แต่ตัวมันได้รับพิษ ต้องใช้พลังหยินจากเรือนร่างของพวกเจ้า
ช่วยแก้ไข

ในระหว่างการเดินทางนี้ หากพิษของมันกำเริบ
ข้าขอให้พวกเจ้าเข้าแก้ไขช่วยเหลือมันด้วย พวกเจ้าทำได้หรือไม่”

ภูตแพรทั้งสองก้มหน้าลงแล้วรับคำ

“เมื่อวังหุบผาภูตของเรา รอดพ้นภาวะคับขันในครั้งนี้
ข้าจะจัดพิธีวิวาห์ให้พวกเจ้า”

ภูติแพรขาว และ ภูติแพรเขียวได้ยินท่านอ๋องพูดเช่นนั้น
ก็คิดแค้นเฟยอี้เพิ่มขึ้น แต่ก็มิกล้าพูดสิ่งใดออกมาอีก ได้แต่รับคำ
และขอลากลับมายังห้องของตน

ครั้นพอถึงเวลารุ่งเช้า เฟยอี้ ภูตแพรขาว และ ภูตแพรเขียว
ก็ออกเดินทางไปยังกระท่อมของหมอวิปลาสโดยทันที

———

เว่ยฉิงคังรู้สึกปวดร้าวไปทั้งแผ่นหลัง มันมึนงงดวงตาพร่าพราย
มองดูทิวทัศน์ที่ลอยเลื่อนผ่านไป ความรู้สึกเริ่มกลับมาชัดเจนขึ้น
ก็พบว่าที่ช่วงเอวของมันถูกวงแขนของคนผู้หนึ่ง บีบรัดเอาไว้
มันเจ็บปวดปานประหนึ่งถูกงูใหญ่รัด ร่างของมันไม่สามารถขยับดิ้นรน
ไปทางใดได้ คงคอยแต่ชะตากรรมจะพัดพาให้คนผู้นี้พามันไป

เฒ่าชราผู้นั้นหย่อนร่างลงยังพื้นที่โล่งกว้างแห่งหนึ่ง แล้วปล่อยวงแขน
ที่รัดร่างของเว่ยฉิงคังออก ร่างของมันร่วงลงสู่พื้นแล้วร้องครางออกมา
ด้วยความเจ็บปวด เฒ่าชราผู้นั้นยืนมองดูมันพลางพูดขึ้นว่า

“เจ้าเด็กลามก เข้าไปในบ้านแล้วหาเสื้อผ้าใส่ซะ เจ้าช่างดูน่าชังยิ่งนัก”

“ท่านผู้อาวุโส ข้ามิได้ล่วงเกินสิ่งใดต่อท่าน เหตุใดท่านจึงทำร้ายข้าเช่นนี้”

“เจ้าอย่ามาเสแสร้งเป็นผู้ดีจอมปลอมกับข้า ข้าชังคนเช่นเจ้ายิ่งนัก
เจ้าเร่งไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วกินอาหารซะ อีกสองชั่วยาม เจ้าต้องมาเป็น
คู่ซ้อมฝีมือให้ข้า”

แล้วเฒ่าชราผู้นั้นก็เดินจากไป เว่ยฉิงคังรอจนร่างนั้นหายเข้าในป่าทึบ
มันจึงเดินเข้าไปในบ้านที่ตั้งอยู่ไม่ห่างนัก มันเป็นบ้านหลังใหญ่ที่สร้างขึ้น
ด้วยความเรียบง่ายแต่ทิศทางของประตูและหน้าต่างล้วนถูกต้องตามหลัก
ฮวงจุ้ยทุกประการ เว่ยฉิงคังเดินเข้าไปภายในก็พบว่า มีเพียงโต๊ะใหญ่วาง
อยู่กลางห้อง บนโต๊ะนั้นมีหินฝนหมึกและพู่กัน วางอยู่คู่กัน ผนังห้องประดับ
ไปด้วยภาพวาด และภาพเขียนอักษรที่เลื่องชื่อมากมาย

เว่ยฉิงคังเห็นเช่นนั้นก็เข้าใจได้ทันทีว่า บ้านหลังนี้ผู้อาศัยต้องเป็นนักปราชญ์
หรือบัญฑิตผู้ทรงภูมิอาศัยอยู่เป็นแน่ มันก้าวเดินลึกเข้าไปในตัวบ้าน
ภายในเป็นห้องนอนเล็กๆ มีเสื้อผ้าพับวางไว้อย่างเป็นระเบียบบนชั้นวาง
มันหยิบเสื้อผ้าชิ้นนึง มาสวมใส่ปกปิดร่างอันเปลือยเปล่าของมัน พลางมองหา
หนทางหลบหนีไปจากเฒ่าประหลาดผู้นั้น

เว่ยฉิงคัง เดินไปยังด้านหน้าของตัวบ้านแล้ว ลอบมองหาเฒ่าชราผู้นั้น
ภายนอกกลับเงียบสนิท ไม่มีแม้เงาของสิ่งมีชีวิตใดๆ มันจึงเร่งฝีเท้าออกมา
จากบ้านหลังนั้น แล้วโผทะยานร่างออกไปด้วยวิชาตัวเบา

พลันกลับมีสายพลังอันเข้มแข็งสายหนึ่งพุ่งตรงมาที่ท้ายทอยของมัน
ร่างของมันร่วงลงสู่พื้นดิน แล้วร้องครางออกมาด้วยความเจ็บปวด
เมื่อมันเหลือบตามองดู กลับเห็นเฒ่าชราผู้นั้นปรากฎกายขึ้นคล้ายดั่งปีศาจ
อยู่ข้างหน้าของมัน

“เจ้าคิดหลบหนีรึ เช่นนั้นก็หมายความว่าเจ้าพร้อมแล้วที่จะเป็นคู่ซ้อมให้ข้า”

พูดจบ เฒ่าชราผู้นั้นก็ดึงร่างของมันเหวี่ยงขึ้นไปในอากาศ พลางส่งเสียงว่า

“ระวังตัว ข้าจะลงมือแล้ว”

เฒ่าชราผู้นั้น ปราดเข้าประชิดตัวเว่ยฉิงคังทั้งที่ร่างของมันยังคง
ลอยคว้างอยู่ แล้วร่ายรำวิชาฝ่ามือชุดหนึ่งไปที่ร่างของเว่ยฉิงคัง
เว่ยฉิงคัง พยายามปัดป้องได้เพียงครึ่งกระบวนท่า ก็ถูกเฒ่าชราผู้นั้น
เตะใส่ไปหนึ่งครั้ง ร่างของมันล่วงลงมากระทบกับพื้นเบื้องล่างอีกครั้ง

มันรู้สึกเจ็บระบมไปทั้งร่าง แต่ก็ต้องฝืนใจร่ายวิชาปัดป้องออกไป
เฒ่าชราผู้นั้นหาได้รั้งรอเวลาให้มันได้พัก มันตรงเข้าร่ายรำฝ่ามือใส่มัน
อีกหนึ่งชุด เว่ยฉิงคังร่ำเรียนแต่วิชาทวนจากบิดา มันไม่มีความช่ำชอง
วิชาฝ่ามือเลยแม้แต่น้อย จึงถูกเฒ่าชราผู้นั้นฟาดฝ่ามือเข้าที่หน้าอกอีก
หนึ่งฝ่ามือ จนร่างของมันลอยออกไปสามสี่เชี๊ยะ มันรู้สึกจุกจนหายใจติดขัด
มันหารู้ไม่ว่า เฒ่าชราผู้นี้ใช้กำลังภายในออกไปเพียงสามส่วนเท่านั้น

“เฮ้อ..ไม่สนุกเลย เหตุใดฝีมือของเจ้าจึงต่ำทรามเยี่ยงนี้
เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าร่ำเรียนวิชาทวนมา ข้าก็จะใช้วิชาทวนกับเจ้า”

เว่ยฉิงคัง ตะลึงค้าง

“อาวุโส เหตุใดท่านจึงทราบว่าข้ามีวิชาทวน”

“หึ.. มีเรื่องใดบ้างที่ข้าไม่ล่วงรู้ ข้ายังรู้อีกว่า เจ้าคือ
เว่ยฉิงคัง บุตชายของ เว่ยน่ำเทียน เจ้าสำนัก ทวนผดุงคุณธรรม
บิดาของเจ้ามีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วยุทธภพ แต่ตัวเจ้ามันไม่ได้ความ
ในยามคับขัน ยังไม่มีปัญญาแม้ทำศพบิดา ทั้งยังประพฤติตน
เป็นโจรล่าสวาท ให้เสื่อมเสียชื่อเสียงถึงบิดาของเจ้า”

เว่ยฉิงคังได้ยินเช่นนั้น ก็บังเกิดความโกรธแค้น
ตรงเข้าจู่โจมใส่เฒ่าชราผู้นั้นทันที

“ฮ่าๆๆ ประเสริฐ ข้าชมชอบความโกรธของเจ้านัก”

เฒ่าชราผู้นั้นหัวเราะเสียงดังอย่างพึงพอใจ พลางเคลื่อนเท้า
หลบหลีกการจู่โจมของ เว่ยฉิงคัง ส่วนมือนั้นยังคงไขว้ไว้
กลางหลังทั้งสองข้าง เพลงหมัดและเท้าของเว่ยฉิงคังถูกใช้ออกไป
จนหมดสิ้นแต่ไม่มีกระบวนท่าใดสามารถทำอันตราย แม้เพียงสัมผัส
ร่างของเฒ่าชราผู้นั้นได้

มันพุ่งตรงเข้าไป หยิบท่อนไม้ไผ่ที่ตัดเรียงกองไว้ขึ้นมาหนึ่งลำ
แล้วจู่โจมด้วยวิชา ทวนแหวกนภาสิบหกท่า เข้าใส่ร่างของเฒ่าชราผู้นั้น
อย่างหักโหม และเกรี้ยวกราด

“ฮ่าๆๆ ประเสริฐ อย่างน้อยเจ้าก็ยังรักษาสมบัติของบิดา
ทวนแหวกนภาสิบหกท่าไว้ได้บ้าง”

เฒ่าชราผู้นั้น เคลื่อนเท้าหลบหลีกเพลงทวนของ เว่ยฉิงคังได้อย่างว่องไว
แล้วใช้เท้าเตะไปที่ลำไม้ไผ่ลำหนึ่ง ให้ลอยขึ้นมาตกอยู่ที่มือของมัน
แล้วร่ายรำตั้งรับด้วยกระบวนท่า ทวนค้ำปัฐพี อันเป็นหนึ่งในสิบหก
กระบวนท่าของทวนแหวกนภา พลันทวนนั้นกลับพลิกพริ้วเป็นกระบวนท่า
สยบอินทรีกลางฟ้า รุกไล่ตี้โต้กลับไปยังร่างของเว่ยฉิงคังอย่างรวดเร็ว

เว่ยฉิงคังกลับเป็นฝ่ายตั้งรับ พลางเคลื่อนเท้าถอยกระบวนท่าที่จู่โจมเข้ามา
อย่างคับขันและตื่นตะลึง มันไม่คาดคิดว่า วิชาทวนแห่งตระกูลมันจะถูกใช้
โดยบุคคลอื่นได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นนี้ เว่ยฉิงคังพลางเกิดทิฐิขึ้น ร่ายรำ
กระบวนท่าไม้ตาย ทวนสยบเมฆา ออกไปหมายพิชิตเอาชัย เฒ่าชราผู้นั้น
อย่างรวบลัด เฒ่าชราเห็นกระทวนท่าของเว่ยฉิงคังเปลี่ยนแปรไปเช่นนั้น
ก็ควงลำไม้ไผ่ ออกเป็นวงกลมสลายพลังจู่โจมที่เว่ยฉิงคังโถมเข้ามา
พลางพูดว่า

“กระบวนท่า ทวนสยบเมฆา ยังมีช่องโหว่ ข้าได้คิดค้นเพลงทวน
แหวกนภาขึ้นมาอีกสองกระบวนท่า เจ้าจงชมดู”

พูดจบ เฒ่าชราผู้นั้นก็ร่ายรำลำไม้ไผ่ออกมาเป็นเพลงทวนอย่างพิสดาร
ร่างของมันหมุนบิดไปทางซ้ายส่งลำไม้ไผ่ฟาดเข้าที่ร่างของเว่ยฉิงคัง
ชนเซถลาไปตามแรงฟาด ยังมิทันที่มันจะได้ตั้งตัว ร่างของเฒ่าชราผู้นั้น
ก็บิดไปทางขวา ส่งลำไม้ไผ่ฟาดเข้าที่ช่วงเอวอีกข้างมัน กระบวนท่านี้
หากเป็นคมทวนจริง ร่างของมันคงถูกคมทวนเฉือนจนเครื่องในของมัน
ทะลักออกมา

“กระบวนท่านี้ ข้าตั้งชื่อว่า ทวนชำแหละสุกร”

แล้วเฒ่าชราผู้นั้น ก็ยกลำไม้ไผ่ฟาดไปที่พื้น ร่างของมันลอยสูง
ขึ้นไปบนอากาศ ยามตกลงมากลับร่ายรำเพลงทวนอย่างพิสดาร
ออกมาอีกกระบวนท่า ลำไม่ไผ่ในมือของมันดูดั่งมีสิบลำ
พุ่งตรงมาที่ร่างของเว่ยฉิงคัง รังสีจู่โจมครอบคุมจนมันมิอาจ
หาทางออกหรือหลบเลี่ยงใดๆได้ ลำไม้ไผ่นั้น กระแทกเข้าที่
ร่างของมันนับสิบครั้ง เว่ยฉิงคังรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด ทรุดกายลง
คุกเข่า ทิ้งลำไม้ไผ่ลง

“ข้ายอมแล้ว อาวุโส อย่าทำร้ายข้าอีกเลย ข้าเจ็บปวดไปหมดแล้ว”

“กระบวนท่าสุดท้ายนี้ข้าให้ชื่อว่า เสียบสุกรย่างเตา เจ้าคิดว่า
เพลงทวนที่ข้าต่อเติมให้ เป็นเช่นไร”

“เหตุใดอาวุโสจึงล่วงรู้วิชา ทวนแหวกนภาของตระกูลข้า”

ทันใดเว่ยฉิงคังกลับคิดสิ่งหนี่งขึ้นมาได้

“หรือว่า..ท่านคือ บ้อเมี้ยวเล่านั๊ง ปราชญ์พิสดาร”

———-

ครั้นเฟยอี้ ภูตแพรขาว และภูตแพรเขียวเดินทางกันมา
ได้ระยะหนึ่งโดยไม่มีผู้ใดเอ่ยปากต่อกัน ภูตแพรขาวคิดกลั่นแกล้ง
เฟยอี้ ทั้งยังทรนงในวิชาตัวเบาของตน จึงร้องขึ้นว่า

“แพรเขียว เราควรเร่งรีบเดินทางให้เร็วกว่านี้ หากใครชักช้า
ถือว่าเป็นตัวถ่วงในการเดินทาง ต้องได้รับโทษเจ้าเห็นว่าสมควร
หรือไม่”

ภูตแพรเขียว ได้ยินศิษย์ผู้พี่ของตนพูดขึ้นเช่นนั้น ก็เข้าใจได้ทันที
จึงพูดตอบออกไป

“ข้าเห็นสมควร เช่นนั้นพวกเราใช้วิชาตัวเบาดีกว่า”

พูดจบทั้งสองก็ทะยานร่างขึ้นสู่อากาศ จากกิ่งไม้หนึ่ง
สู่อีกคบไม้หนึ่ง แล้วหายลับไปกับสายตาของเฟยอี้ทันที

ในช่วงเย็นของวันนั้น ภูตแพรขาว และภูตแพรเขียว
ก็หยุดการเดินทางของตนลงที่หน้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง

ภูตแพรเขียวพูดขึ้นว่า

“หึ..ป่านนี้เจ้างั่งนั่นคงหาที่หลับนอนในป่าแห่งนั้น
พวกเราจะทำเช่นไรกันต่อไปดีท่านพี่แพรขาว”

“ข้าชังน้ำหน้ามันยิ่งนัก พวกเราจะรอมันที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้
หากมันเดินทางมาถึง พวกเราจะกล่าวหามันว่าเป็นต้นเหตุ
ให้การเดินทางล่าช้า แล้วพวกเราก็ลงมือตบตีสั่งสอนมัน
เพื่อระบายความแค้น เจ้าเห็นเป็นเช่นไร”

“ฮิๆๆ ข้าเห็นด้วยอย่างยิ่งท่านพี่”

แล้วภูตแพรทั้งสองก็เดินเข้ามายังโรงเตี๊ยม
พลันสายตาของพวกนางก็เหลือบไปเห็น
เฟยอี้นั่งหลับอยู่บนเก้าอี้ของโรงเตี๊ยม
บนโต๊ะนั้น มีอาหารหลายชนิดวางอยู่พร้อมกับสุรา

ภูตแพรขาวถึงกับหน้าถอดสี หันมามองใบหน้าศิษย์ผู้น้อง
ของตน

“เป็นไปไม่ได้ มันมาถึงก่อนเราได้อย่างไร”

นางรำพึงออกมา พร้อมกับเดินเข้าไปหาเฟยอี้ พลางเตะเก้าอี้
ที่เฟยอี้นั่งหลับอยู่อย่างขุ่นเคือง

“เจ้างั่ง เจ้ารู้เส้นทางลัดแล้วปกปิดพวกเราใช่หรือไม่”

เฟยอี้แสร้งทำทีเหมือนพึ่งตื่นขึ้นมา แล้วพูดขึ้นว่า

“ข้าก็ใช้เส้นทางเดียวกับพวกเจ้า หามีเส้นทางลัดอันใดไม่
ข้าต่างหากที่ต้องไถ่ถามพวกเจ้าว่า แอบหนีไปเที่ยวเล่นในที่แห่งใดมา
จึงได้ล่าช้านัก ปล่อยให้ข้าต้องนั่งหลับคอยพวกเจ้าอยู่หลายชั่วยาม”

ภูตแพรเขียว ทำตาเกรี้ยวกราดใส่เฟยอี้ แล้วพูดขึ้นว่า

“เจ้ากะล่อน หากข้าจับได้ว่าเจ้าใช้เล่ห์เหลี่ยม ข้าจะตบตีเจ้า”

เฟยอี้ยกมือตบโต๊ะ ชี้หน้าทั้งสองนางพลางตวาดขึ้น

“บังอาจ พวกเจ้าทั้งสองเป็นตัวถ่วงเวลาในการเดินทางครั้งนี้
ต้องได้รับโทษใช่หรือไม่ กลับมากล่าวหาผู้อื่นโดยมิรู้สึกละอาย”

“เจ้า..เจ้า…”

ทั้งสองนางล้วนจำนนต่อถ้อยคำ เนื่องว่ามันเป็นคำพูดที่ภูตแพรขาว
เป็นผู้พูดออกมาเอง

“ในครั้งนี้ข้าจะละเว้นโทษให้ เชิญพวกเจ้าทานอาหารแล้ว
กลับไปพักผ่อน พรุ่งนี้เราจะได้เร่งออกเดินทางกัน”

เฟยอี้ทานอาหารเสร็จสิ้น ก็เดินกลับไปยังห้องของตน
โดยมิสนใจภูตแพรทั้งสองนาง

“หยิ่งยโส ยิ่งนัก ข้าชังน้ำหน้ามันเหลือเกิน”
ภูตแพรขาวรำพึงขึ้น

“ท่านพี่ ข้ามีแผนประการนึง มิทราบว่าท่านจะมีความ
เห็นประการใด”

“เจ้าลองขยายความออกมา”

“คืนนี้ พวกเราจะทำทีเป็นขออภัยต่อมัน แล้วมอมสุรามัน
หลังจากที่มันไม่ได้สติ เราก็ลงโทษมันตามความพอใจของเรา
แผนนี้ท่านเห็นเป็นประการใด”

“ฮ่าๆๆ เป็นแผนที่เยี่ยมมาก แพรเขียว คืนนี้พวกเรากระทำ
ตามแผนของเจ้า”

ตกค่ำ ภูตแพรขาวและภูตแพรเขึยว หิ้วไหสุรามาที่ห้องของเฟยอี้
แล้วขอเข้าไปในห้อง เฟยอี้รู้สึกงงงันกับพฤติกรรมของทั้งสองนาง
แต่ก็ปล่อยให้เข้ามาภายในห้องของตน แล้วภูตแพรขาวก็พูดขึ้นว่า

“ข้ามาใคร่ครวญดูแล้ว เรื่องที่ผ่านมาข้าไม่ควรโกรธเคืองเจ้า
เพราะเจ้าไม่ได้เป็นผู้กระทำการล่วงเกินเรา แต่เป็นอาจารย์ของเจ้า
ข้าจึงคิดที่จะมาปรับความเข้าใจกับเจ้า หวังว่าเจ้าคงมิถือสาในเรื่อง
ที่ผ่านมา”

เฟยอี้ได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจ กล่าวตอบไปว่า

“ไม่เลยแม่นาง ข้าต่างหากที่ต้องขออภัยแทนอาจารย์ของข้าด้วย
ท่านคงมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน พลั้งมือทำร้ายพวกเจ้า
หากพบเจออาจารย์ ข้าจะแจ้งความให้อาจารย์เข้าใจ”

ภูตแพรขาว และภูตแพรเขียว ก็แสร้งยินดีกับถ้อยคำของเฟยอี้

“เช่นนั้น คืนนี้เรามาดื่มกัน เพื่อมิตรภาพของเรา”

ภูตแพรเขียวทำหน้าที่รินสุราใส่ถ้วยที่เตรียมมาสามใบ
แล้วแจกจ่ายให้ เฟยอี้ ภูตแพรขาว และ ตนเอง

“มา..พวกเราดื่ม”

ภูตแพรเขียวเทสุราจ่ายแจกกันอีกรอบ แล้วชวนสนทนา
กับเฟยอี้ ส่วนภูตแพรขาวก็ชักชวนให้ดื่ม โดยที่ตนเองก็หาได้ดื่ม
ตามนั้นไม่ เฟยอี้แม้มีร่างกายสมเป็นชายชาตรี แต่ก็ยังเยาว์นัก
หาได้ทันเล่ห์เหลี่ยมสตรีไม่ นางทั้งสองออดอ้อนให้ดื่มสุรา
มันก็ดื่มตามคำเชื้อเชิญของภูตแพรทั้งสอง จอกแล้วจอกเล่า
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนครึ่งคืน ในที่สุดเฟยอี้ก็เมาหลับไป
คาโต๊ะสุรานั้น

ภูตแพรขาวเห็นเช่นนั้น ก็ยิ้มออกมาอย่างได้ที

“เจ้างั่ง ข้าจะสั่งสอนเจ้าให้หายแค้น แล้วค่อยไปจัดการ
กับอาจารย์ของเจ้าภายหลัง”

พูดจบนางผลักร่างเฟยอี้ลงไปที่พื้น แล้วเตะไปที่ร่างของเฟยอี้
ภูตแพรเขียวก็ตรงเข้ากระทำดุจเดียวกันอย่างคลั่งแค้น

“ใครให้เจ้าเป็นศิษย์ของเฒ่าสารเลวผู้นั้น เจ้าต้องทดแทน
ความเลวของอาจารย์เจ้า”

เฟยอี้รู้สึกปวดเจ็บไปทั้งร่าง แต่ก็มิอาจป้องกันตนเองได้
จนในที่สุดสติของมันก็ดับวูบลง

ขณะนั้นธาตุหยางในร่างของมัน ถูกฤทธิ์ของสุรากระตุ้น
จนรุ่มร้อน บวกกับ ฤทธิ์ของยาเหมยฟ้ารัญจวนยามได้
สุรามากระตุ้นทำให้สติควบคุมความดีชั่วหมดสิ้นไป
คงเหลือแต่ฤทธิ์ของราคะที่โหมกระพือขึ้น

เฟยอี้พลันลืมตาขึ้น ดวงตาของมันลุกแดงดั่งมีกองเพลิง
อยู่ภายใน ในขณะที่นางทั้งสองกำลังระบายความแค้น
มาที่ร่างของมันโดยขาดความระวังตัว มันคว้าจับข้อเท้าของ
นางทั้งสองเอาไว้ แล้วกระชากให้ล้มลง

ร่างของภูตแพรขาว และภูตแพรเขียวล้มฟาดลงกับพื้น
ก่อนที่ทั้งสองนางจะขยับกายเพื่อทำสิ่งใด เฟยอี้ก็ยันกายลุกขึ้น
จี้สกัดจุดทั้งสองนางไว้อย่างรวดเร็ว

เฟยอี้หันใบหน้าไปยังภูตแพรขาว ดวงตาที่แดงโรจน์ของมัน
แสดงออกถึงความหื่นกระหาย ดูดุจดั่งเป็นคนละคนกับเฟยอี้
เมื่อคราก่อน ภูตแพรขาวเห็นเช่นนั้นก็ถึงกับหวาดผวาในดวงตาคู่นั้น

“เจ้างั่ง คลายจุดพวกเราเสีย ข้าไม่เคืองแค้นเจ้าอีกต่อไปแล้ว”

เรื่องเสียว อ่านเรื่องเสียว เล่าเรื่องเสียว ประสบการณ์เสียว เรื่องเล่าเสียว เล่าเสียว อ่านเสียว เรื่องเสียวแม่ลูก doujin sak รวมเรื่องเสียว

เฟยอี้แสยะยิ้ม แล้วตรงเข้ามาคร่อมร่างของภูตแพรขาว
แล้วซุกไซ้ใบหน้าของมันเข้าดอมดม ไปทุกอณูของใบหน้านาง
มันลากลิ้นโลมเลียผ่านพวงแก้มไปที่ใบหูแล้วใช้ริมฝีปากขบเลีย
จนนางขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง

“อย่า..เจ้า..เจ้าจะทำอะไร..อย่า…ออกไป..อย่า”

ภูตแพรเขียวเห็นดังนั้น ก็ด่าทอ เฟยอี้ แล้วพยายามคลายจุดให้ตนเอง
เพื่อเข้าช่วยเหลือแต่ก็ไม่สำเร็จ จนในที่สุดนางก็ต้องเบือนหน้าหนี
เมื่อมองเห็นเฟยอี้ระรัวลิ้นไปที่ริมฝีปากงามของภูตแพรขาว
ก่อนประกบปากลงไปแล้วจูบอย่างดูดดื่ม ลิ้นของมันไขว่คว้า
พัวพันอยู่กับลิ้นของนาง

ภูตแพรขาวหมดสิ้นหนทางจะทำสิ่งใดได้ ปากของนางถูกเพลง
ลิ้นของเฟยอี้เข้าพัวพัน อย่างดูดดื่ม จนนางเองก็เคลิบเคลิ้มหวาบหวิว
ไปกับเพลงลิ้นนั้น ครั้นเมื่อเฟยอี้ถอนลิ้นออก แล้วลงมือเปลื้องผ้าของนาง
ออก สติของนางก็กลับคืนมา

“อย่า..อย่านะ …อย่า..พรึบ”

ผ้าที่ปกปิดทรวงอกของนางถูกดึงออก เผยให้เห็นสองเต้าอวบอิ่ม
ขาวผุดผ่อง ปรากฎอยู่ตรงหน้ามัน ใบหน้าของเฟยอี้อยู่ห่างจาก
ปลายยอดถันของนางไม่ถึงนิ้ว ลมหายใจเข้าออกของมันต้องเข้ากับ
ยอดถันของนาง จนนางเองก็อดที่จะวาบหวิวไม่ได้ ยอดถันของนาง
บัดนี้กลับชี้ชูชันขึ้นจนเห็นได้ชัด

เฟยอี้อ้าปาก อมยอดถันนั้นไว้ แล้วขบอย่างแผ่วเบา ถันอีกข้าง
ของนางก็ถูกนิ้วมือของเฟยอี้ บดบี้ด้วยสองนิ้วของมัน จนภูตแพร
ขาวเริ่มส่งเสียงออกมาอย่างลืมตัว

“โอ๊ะ…โอ้ววววว………ซี๊ดดดดดด”

เฟยอี้สลับไปชมเชยถันอีกข้างของนาง คราวนี้มันกลับ
ดูดกินอย่างรุนแรง ถันอีกข้างของนางก็ถูกมือของเฟยอี้
คลึงเค้นจนเต็มฝ่ามือ

ภูตแพรขาวหลับตาพริ้ม หายใจถี่ เสียงครางของนาง
เริ่มดังขึ้นอีก ใจของนางวาบหวามจนคล้ายจะหลุดลอยไปจากร่าง
ยามเมื่อปากของเฟยอี้ต้องกับยอดถันของนาง ส่วนท่อนล่างนั้นเล่า
ก็ถูกสิ่งหนึ่งที่แข็งเป็นลำ เข้าคลุกคลีบดคลึงอยู่กับส่วนสงวนของนาง
นางมิเต็มใจที่จะอยู่ในสภาพนี้ แต่ร่างกายของนางกลับพ่ายแพ้ต่อราคะ
ที่โหมกระพือขึ้น

แล้วนางก็สะดุ้งสุดตัว ร้องเสียงดังออกมา นางเคลิบเคลิ้มจนไม่รู้ตัวเลยว่า
ท่อนล่างของนางเปลือยเปล่าไปตั้งแต่เมื่อไหร่ มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อใบหน้า
ของเฟยอี้ไหลลงไปซุกไซ้ที่เนินสวาทของนาง มันดันใบหน้าเข้ามาสัมผัส
กับเนินสวาทของนางอย่างแนบแน่น ลิ้นของมันเกี่ยวกระหวัดไปมาไม่หยุด
สร้างความเสียวสยิวให้นาง จนเกินจะทานทน จนต้องระบายความเสียวซ่าน
นั้นออกมา

“อ๊ายยยยยย…..ซี๊ดดดดดดดด ……….อ๊ายยยยย”

นางเสียวซ่านจนหน้าท้องแข็งเกร็ง ใบหน้าของนางบิดเบี้ยว ส่งเสียง
ร้องออกมาไม่หยุดปาก เฟยอี้ยามคลั่งสวาทกลับชื่นชอบฟังเสียงครวญ
ครางของนาง ยิ่งเร่งปลายลิ้นของมันให้สัมผัสกับติ่งสวาทของนาง
ให้รวดเร็วยิ่งขึ้นอีก

“โอ้วว..โอ้วว..ข้าเสียว…พอแล้ว..โอ้ววว…”

เฟยอี้ห่อริมฝีปากงับติ่งสวาทนั้น แล้วดูดอย่างรุนแรง

“อ๊ายยย..อ๊ายยย..อ๊ายยย..ข้า..ข้า..ข้าไม่ไหวแล้ว…”

ภูตแพรขาวเงยหน้าค้างนิ่ง ดวงตาหลับพริ้มลง ผ่อนลมหายใจออกมา
อย่างเป็นสุข นางมีความรู้สึกดุจล่องลอยไปบนที่เวิ้งว้าง
เป็นความสุขครั้งแรกที่นางพึ่งพานพบ

แต่แล้วนางก็ต้องสะดุ้งอีกครั้งด้วยความเจ็บ เมื่อเฟยอี้จับแก่นกาย
ของมันถูไถไปที่เนินสวาท แล้วสอดส่วนหัวของมันมุดหายเข้าไป
ในร่องสวาทนั้น พร้อมกับขยับบั้นเอวของมันกระแทกเข้าไป
ทำลายด่านพรหมจรรย์ของนางจนขาดสะบั้นลง

เฟยอี้ยกบั้นเอวของมันเข้าออกอย่างรวดเร็วและรุนแรง
จนร่างของภูตแพรขาวสั่นไหวตามแรงกระแทกนั้น

“ฮ้า..ฮ้า..ฮ้า..ฮ้า..ฮ้า”

ความเสียวซ่านก่อเกิดขึ้นกับนางอีกครั้ง แต่ครั้งนี้
นางรู้สึกถึงรสสัมผัสของเพศชายที่ล่วงล้ำเข้ามาในร่าง
ของนาง มันบดกระแทกเสียดสี แต่ให้ความสุขอย่างดื่มด่ำ
จนนางมิอาจกล้าปฏิเสธความสุขนั้น กลับปล่อยใจดื่มด่ำ
ลิ้มรสกามนั้นอย่างเต็มใจ

เฟยอี้เองก็เช่นกัน ยามที่แก่นกายของมันชำแรกลงไปใน
โพรงสวาท กลับถูกการบีบรัดเป็นจังหวะโต้กลับ จนมัน
ก็ซ่านเสียวจนสุดจะทานทน

เฟยอี้พลิกร่างของภูตแพรขาวให้คว่ำหน้าลง
แล้วจับสะโพกของนางให้เชิดขึ้น จนมองเห็น
กลีบสวาทห้อยย้อยลงมา มันสอดใส่แก่นกายของมันเข้า
ไปอีกครั้ง แล้วกระแทกกระทั้นไปที่สะโพกงอนงามนั้น
หมายจะเอาชัยในศึกครั้งนี้

“ตั้บ..ตั้บ..ตั้บ..ตั้บ..ตั้บ..ตั้บ..ตั้บ”

“อู้วว..อู้วว..ซี๊ดด..ซี๊ดด..ซี๊ดด..”

ท่านี้สร้างความเสียวซ่านให้บังเกิดขึ้นแก่ภูตแพรขาว
เป็นอย่างยิ่ง นางถึงกับร่ำร้องเสียงดังออกมา จนภูตแพรเขียว
ต้องเหลียวมอง แล้วปิดตาลงด้วยใจที่เต้นระทึก นางเองแม้เพียงเห็น
ก็บังเกิดความรู้สึกซ่านเสียวขึ้นมาเช่นกัน

เฟยอี้กระแทกกระทั้นจนใกล้รู้สึกว่า ทำนบธารารักใกล้พังทลายลงแล้ว
มันจึงบดคลึงแก่นกายเข้าแนบแน่นกับสะโพกอันกลมกลึงของนาง
มันส่ายร่อนให้แก่นกายของมันรับสัมผัสอย่างสุดเสียว
แล้วปลดปล่อยธารารักของมันจนเอ่อท่วมท้นโพรงสวาทของนาง

ภูตแพรขาวเองครั้นถูกกระแทกกระทั้นอย่างรุนแรง จนความเสียวซ่าน
แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย จากนั้นกลับถูกการบดคลึงอย่างแนบแน่นเช่นนั้น
เท่ากับยิ่งเร่งให้นางถึงจุดแห่งความสุขทันที

“โอ๊ะ..โอ๊ะ.โอ๊ะ.โอ๊ะ.โอ๊ะ….โอ้วววววววว”

นางถึงกับทิ้งร่างลงอย่างอ่อนระทวย และกระตุกน้อย
ดวงตาปรือพริ้มหลับลง นางรับรู้ถึงสายธารารักที่อุ่นร้อน
พุ่งเข้ายังร่างของนางจนท่วมท้น

Share the Post:

Related Posts

แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู

เรื่องเสียว แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู เอิร์นนะคร้า เป็นสาวมหาลัยในเชียงใหม่นี้เองค่า เอิร์นเป็นสาวมหาลัยปีสองแล้วค่ะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องผู้ชายเลย ยุคนี้แล้วเนอะ ไม่ใช่แค่ผู้ชายนะคะที่ล่าแต้ม เอิร์นเองก็กินมาเยอะเหมือนกันค่ะ สูงยาว ลำอวบ ใหญ่ยาว กินมาหมดแล้วค่า ชีวิตครั้งนึงเนอะ เรื่องพวกนี้ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ต้องมีบ้างอยู่แล้วใช่ไหมค่ะ และแน่นอนว่าเอิร์นเลยกินแต่วัยเดียวกัน รู้ตัวอีกทีได้แอบกินรุ่นใหญ่พี่แท็กซี่ซะอย่างนั้นเลยค่ะ ที่สำคัญไม่เคยเจอมังกรที่ใหญ่ยักษ์ขนาดนี้มาก่อน มาเริ่มเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ ด้วยความที่อยู่เชียงใหม่ที่เที่ยวเยอะ

Read More

จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว

เรื่องเสียว จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว “ตั้งกล้องเรียบร้อยแล้ว มึงพร้อมยังจะได้กดเริ่ม” วันนี้เรามีถ่ายคลิปวิดีโอทำอาหารที่คอนโดของพวกเราสองคนที่เป็นเพื่อนกัน เรามองเม็กที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมสองเม็ดจนเห็นแผงอกที่เป็นมัดกล้าม กางเกงขาขั้นสั้นสบาย ๆ แต่พอมาอยู่บนร่างกายของเม็กแล้วมันดูดีไม่น้อยเลย ถึงแม้เราทั้งสองจะเป็นเพื่อนกัน แต่พอมาเจอมันในลุคนี้ก็ทำให้เราใจสั่นไม่น้อย “มึงกูสวยยัง” “สวยแล้ว” พอได้รับคำตอบที่สร้างความมั่นใจให้กับตัวเองแล้ว เราก็พยักหน้าให้มันเริ่มกดบันทึกภาพวิดีโอทันที การถ่ายทำดำเนินไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นตอนการชิมอาหาร “อะ

Read More