ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 30 จือจู มารแมงมุมขาว
ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 30 จือจู มารแมงมุมขาว
โดย zeech
หยางเพ่ยจือลืมตาขึ้นอย่างอ่อนล้า แล้วกวาดสายตามองออกไปทั่วบริเวณ แสงสว่างลำหนึ่งส่องลอดลงมา
จากเบื้องบนช่วยให้สถานที่ที่นางอยู่นั้นมีความสว่างจนพอมองออกว่ามันคือ ถ้ำแห่งหนึ่ง ความเยือกเย็น
และกลิ่นอับชื้นที่นางได้สูดดมเข้าไป ยิ่งช่วยให้นางแน่ใจยิ่งขึ้น สติของนางเริ่มฟื้นคืนกลับมาจนรู้สึกเจ็บไป
แปลบไปตามลำตัว ครั้นมองสำรวจดูเรือนร่างของตนเองก็รู้ว่า ตนได้ถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือกยาวเสันหนึ่ง
ยึดติดตรึงกับหลักไม้ที่พึ่งสร้างขึ้นมา
ถึงตอนนี้นางได้แต่ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้ นางรำลึกได้เพียงนางมองเห็นกลุ่มคนสี่ถึงห้าคน
กำลังเดินตรงมาหานางก่อนที่จะไม่รับรู้สิ่งใดอีกต่อไป ระหว่างที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่นั่นเองพลันมีเด็กหญิงคนหนึ่ง
วัยประมาณสิบสองสิบสาม ถือภาชนะใส่สิ่งของบางอย่างเดินตรงเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้านาง แล้วก้มลง
จัดการ
รินของเหลวสีขาวขุ่นใส่ลงในชาม แล้วเตรียมที่จะป้อนเข้าสู่ปากของนาง
หยางเพ่ยจือจ้องมองดูของเหลวในชามนั้น แล้วจ้องมองดูใบหน้าของเด็กหญิงพลางไถ่ถามขึ้นว่า
“เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงนำข้ามาพันธนาการไว้เช่นนี้”
เด็กน้อยผู้นั้นแย้มยิ้มให้แก่นาง แล้วกล่าวว่า
“ข้าหาได้ล่วงรู้อันใดเกี่ยวกับตัวท่านไม่ อาจารย์ของข้าเพียงสั่งให้ข้านำสิ่งนี้มาให้ท่านดื่มกิน
เพื่อบรรเทาความหิวกระหายของท่าน”
หยางเพ่ยจือเพ่งมองดูน้ำสีขาวขุ่นในชามที่เด็กน้อยผู้นั้นถือมาอย่างเคลือบแคลง แล้วเอ่ยถามออกไปว่า
“อาจารย์ของเจ้าเป็นใคร และสิ่งที่อยู่ในชามนี้คือสิ่งใดกัน หากเจ้าไม่บอกต่อข้าก็จงนำมันกลับไปเถิด”
ครั้นได้ยินหยางเพ่ยจือกล่าวออกมาเช่นนั้น เด็กน้อยผู้นั้น ก็มีสีหน้าเซื่องซึมลง แล้วกล่าวว่า
“อาจารย์บอกต่อข้าเพียงว่า เมื่อท่านได้ดื่มน้ำนมชามนี้แล้ว หากท่านถามชื่อของอาจารย์จึงค่อยบอกต่อท่าน”
หยางเพ่ยจือมองดูใบหน้าของเด็กน้อยผู้นั้น เห็นมีแต่ความใสซื่อ กล่าวคำใดก็ตามแต่ที่อาจารย์ของตนสั่งมา
แล้วเหลือบมองไปยังชามใส่น้ำนมด้วยความหิวกระหายที่สะสมมาหลายวัน ทั้งยังต้องการล่วงรู้ว่า
ผู้ใดกันที่จับนางมาพันธนาการเช่นนี้ หากต้องตายก็ขอล่วงรู้ว่าเป็นฝีมือของผู้ใดกัน คิดได้เช่นนั้น
ก็กล่าวออกมาว่า
“เด็กน้อย เจ้าจงป้อนน้ำนมนั้นแก่ข้า”
พอได้ยินเช่นนั้น เด็กหญิงผู้นั้นก็ยิ้มออกมาอย่างยินดี แล้วยื่นชามใส่น้ำนมจ่อเข้าที่ปากของหยางเพ่ยจือ
หยางเพ่ยจือดื่มกลิ่นน้ำนมชามนั้นด้วยความหิวและกระหายอย่างที่สุดจนหมดไปอย่างรวดเร็ว
“เด็กน้อย ตอนนี้เจ้าบอกต่อข้าได้แล้วหรือไม่ ว่าอาจารย์ของเจ้าคือผู้ใดกัน”
เด็กหญิงนั้นยืนถือชามแย้มยิ้มให้แก่นางแล้วกล่าวว่า
“อาจารย์ของข้ามีชื่อว่า จือจู ผู้อื่นเรียกอาจารย์ของข้าว่า มารแมงมุมขาว”
สิ้นคำของเด็กน้อยผู้นั้น หยางเพ่ยจือก็ถึงกับตะลึงเงียบงันไป โดยมิได้สนใจเด็กน้อยผู้นั้นที่กำลังเก็บภาชนะ
แล้วเดินจากไป ภาพแห่งความหลังครั้งเมื่อที่นางยังอาศัยอยู่กับแม่เฒ่าเซียนพิษในดินแดนเปอร์เซียปรากฎชัดขึ้นในความคิด
จือจูผู้นี้ คือศิษย์น้องของนาง ที่ร่วมฝึกปรือวิชาพิษร่วมกันมาแต่เยาว์วัย ครั้นเติบโตเข้าสู่วัยสาว จือจูก็ถูกแม่เฒ่าเซียนพิษ
ขับไล่ออกจากสำนักไป เนื่องด้วยว่านางคิดขโมยฝึกปรือวิชาในคัมภีร์หมื่นพิษ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หยางเพ่ยจือก็มิเคยได้พบกับจือจูอีก เพียงแต่ได้ยินเสียงเล่าลือว่า นางได้ก่อตั้งสำนักมารขึ้น
จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งยุทธภพ นางใช้พิษในการสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง สังหารผู้คนล้มตายลงไปเป็นอันมาก
จนยุทธภพให้ฉายาแก่นางว่า มารแมงมุมขาว
หยางเพ่ยจือตกอยู่ในภวังค์อย่างเงียบงันและยาวนาน จนบังเกิดเสียงหนึ่งดังขึ้น ทำให้นางตื่นฟื้นคืนจากภวังค์ขึ้นมา
“ศิษย์พี่เพ่ยจือ พวกเราไม่ได้พบกันมาเป็นเวลายาวนาน มิทราบว่าท่านได้รับความสุขสบายดีอยู่หรือไม่”
หยางเพ่ยจือหันไปเพ่งมองยังต้นเสียง ก็พบสตรีงดงามนางหนึ่ง เผยเรือนร่างอันอ้อนแอ้นภายใต้อาภรณ์ขาวคาดแดง
เข้ามายืนอยู่ ณ.เบื้องหน้าของนาง ใบหน้าของนางแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวาน จนไม่ว่าผู้ใดได้พบเห็นก็ไม่อาจเชื่อได้ว่า
สตรีผู้นี้ คือ มารอันโหดร้ายแห่งยุทธภพ
“จือจู…..เจ้า……เป็นเจ้าจริงๆ”
แต่แล้วนางผู้นั้นก็กลับมีใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า
“ศิษย์พี่ ในวันที่อาจารย์สิ้นลมหายใจ ท่านได้มอบคัมภีร์หมื่นพิษให้แก่ท่านใช่หรือไม่”
หยางเพ่ยจือเบิกตากว้าง แล้วกล่าวขึ้นว่า
“จือจู นี่เจ้ารู้หรือว่า อาจารย์ได้สิ้นชีวิตไปแล้ว แล้วใยเจ้าจึงไม่มาเคารพศพอาจารย์”
“เฮอะ อาจารย์ช่างลำเอียงนัก สิ่งใดดีก็มอบให้เพียงแต่ท่าน แล้วใยข้าต้องไปใส่ใจท่านด้วย”
หยางเพ่ยจือได้ยินเช่นนั้น ก็โกรธ กล่าวออกมาด้วยเสียงอันดังว่า
“เพราะว่าต้องการคัมภีร์หมื่นพิษ เจ้าถึงกับลืมคุณอาจารย์ ลืมความเป็นพี่น้องระหว่างเรา
จึงได้นำตัวข้ามาพันธนาการไว้ที่นี่ เพื่อหวังจะให้ข้ามอบคัมภีร์ต่อเจ้าใช่หรือไม่ เฮอะ..อย่าหวังเลย”
มารแมงมุมขาวมีสีหน้าสลดลงวูบหนึ่ง แล้วแปรเปลี่ยนเป็นมีดวงตาแข็งกร้าว เดินเข้าไปประชิดร่างของหยางเพ่ยจือ
แล้วก้มลงกล่าวคำพูดที่ใบหูของนางว่า
“ศิษย์พี่ ท่านรู้หรือไม่ สิ่งที่ท่านกินลงไปเมื่อครู่คือสิ่งใด ……”
“มันคือ หญ้าเผยใจ”
มารแมงมุมขาว ยืดกายขึ้นจากใบหน้าของหยางเพ่ยจือ แล้วแย้มยิ้มพลางกล่าวว่า
“ต่อให้ท่านไม่มันมอบให้แก่ข้า ก็ต้องบอกต่อข้าแล้ว ว่าท่านเก็บมันไว้ที่ใด”
“จงบอกออกมา ท่านเก็บคัมภีร์หมื่นพิษไว้ที่ใด”
หยางเพ่ยจือมัวแต่ระวังพิษในน้ำนมที่นางดื่มกินลงไป ครั้นตรวจสอบกลิ่นและรสก็ไม่พบว่ามีพิษอันใด
นางจึงไม่ทันระวังตัวและไม่คาดคิดว่าจะมีหญ้าเผยใจผสมอยู่ในน้ำนมนั้น หญ้าเผยใจ ไร้รส ไร้กลิ่น
ผู้ใดที่กลืนกินมันลงไป จะไม่สามารถปกปิดความลับที่ซ่อนอยู่ภายในใจได้ หากมีผู้อื่นมาไถ่ถามสิ่งใด
ก็จะพูดตอบสิ่งนั้นออกมาตามความเป็นจริงทุกประการ จนกว่าฤทธิ์ของมันจะสิ้นสุดลง
และในตอนนี้ฤทธิ์ของหญ้าเผยใจก็กำลังกำเริบขึ้นต่อหยางเพ่ยจือ นางมิได้ต้องการจะบอกสถานที่เก็บคัมภีร์แต่อย่างใด
แต่ปากและความคิดของนางก็กระทำขึ้นเองโดยมิอาจควบคุม
“คัมภีร์หมื่นพิษ ถูกเก็บซ่อนไว้ในห้องยาของวังเบญจธาตุ”
มารแมงมุมขาวได้ยินเช่นนั้นก็มีความยินดี คิดที่จะสั่งการต่อศิษย์ของตนให้ลักลอบไปนำมา แต่กลับคิดสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้
จึงไถ่ถามต่อไปว่า
“ที่ซ่อนคัมภีร์หมื่นพิษ ท่านได้วางค่ายกล หรือกับดักอันใดไว้หรือไม่”
หยางเพ่ยจือมิสามารถขัดขืนต่อฤทธิ์ของหญ้าเผยใจ กล่าวตอบออกมาโดยทันทีว่า
“ข้าได้วางกับดักพิษไว้ แม้เคลื่อนย้ายคัมภีร์เพียงเล็กน้อย ควันพิษก็จะฟุ้งกระจายออกมา”
มารแมงมุมขาวได้ยินเช่นนั้น ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ถามขึ้นอีกว่า
“นอกจากกับดักพิษแล้ว จะมีอันใดที่เป็นอันตรายต่อผู้ที่บุกเข้าไปนำคัมภีร์ออกมาอีกหรือไม่”
สิ้นคำถามของมารแมงมุมขาว หยางเพ่ยจือก็กล่าวตอบออกมาทันทีว่า
“มี ตอนนี้ เว่ยฉิงคังได้ควบคุมวังเบญจธาตุไว้จนหมดสิ้นแล้ว มันมีทั้งฝีมืออันร้ายกาจ และโหดเหี้ยมยิ่งนัก”
มารแมงมุมขาวได้ยินเช่นนั้น ก็เห็นว่าสถานที่เก็บคัมภีร์มีอันตรายมากจนเกินกว่า ที่จะให้คนของตน
ลอบเข้าไปนำมา จึงคิดหาหนทางอยู่ครู่หนึ่ง พลันบังเกิดความคิดสว่างวาบขึ้น จึงไถ่ถามหยางเพ่ยจือต่อไปอีกว่า
“ศิษย์พี่ หลายปีมานี้ท่านมีคนรักบ้างหรือไม่”
หยางเพ่ยจือพยายามไม่ตอบคำนาง แต่ก็มิอาจฝืนทนได้ กล่าวตอบออกมาว่า
“มี”
มารแมงมุมขาวยิ้มน้อยๆ อย่างมีชัย แล้วถามต่อไปอีกว่า
“แล้วมันรักท่านหรือไม่”
“รัก”
มารแมงมุมขาวได้ยินเช่นนั้น ก็หัวเราะเสียงใสออกมา
“ฮ่า….ฮ่า….ฮ่า….ฮ่า….ประเสริฐ ข้าจะวานคนรักของท่านไปนำคัมภีร์หมื่นพิษมามอบต่อข้า
ท่านช่วยบอกข้าด้วยซิว่า มันมีนามว่าอะไร”
หยางเพ่ยจือฝืนความรู้สึกอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ไม่สำเร็จ ริมฝีปากของนางขยับแล้วส่งเสียงออกมาว่า
“เมี่ยวนึ้งตง”
———–
ร่องสวาทของภูตแพรแดงตอดรัดแก่นกายของเฟยอี้อย่างรุนแรง ในระหว่างที่นางเข้าถึงจุดสุขสม
เฟยอี้ยังไม่ต้องการ ปลดปล่อยน้ำรักของมันออกมาในตอนนี้ เนื่องด้วยยังมีภูตแพรเขียว และภูตแพรเหลือง
นอนรอให้มันปลดปล่อยจากอาการทุรนทุรายถึงสองนาง มันเร่งชักแก่นกายของมันออกจากจากร่องสวาท
ของภูตแพรแดง แล้วหันมาซุกไซ้ใบหน้าลงที่หว่างขาของภูตแพรเขียว ที่กางอ้าออกรอไว้อยู่แล้ว มันคิดใช้
เพลงลิ้นของมันเร่งเร้าให้นางผ่อนคลายความกำหนัดลงมาอย่างรวดเร็วที่สุด สองมือของมันยึดจับโคนขา
ของภูตแพรเขียวแล้วแบะออก จนกลีบสวาททั้งสองของนางเปิดอ้ารอรับปลายลิ้นของมันที่ลากผ่านครั้งแล้วครั้งเล่า
ภูตแพรเขียวบังเกิดความเสียวซ่านจนแข็งเกร็งไปทั้งร่าง สองมือของนางจิกลงบนพื้นโต๊ะแล้วปิดตาไว้อย่างแนบแน่น
พลางปลดปล่อยเสียงคร่ำครวญแห่งความเสียวซ่านออกมา
“โอ๊ววว…………..ซี๊ดดดดดดด…………โอ๊วววววว…………..ซี๊ดดดดด…………………โอ๊ววววววววว……..”
เฟยอี้ไม่ปล่อยช่องว่างให้นางพักจากความเสียวซ่านที่ได้รับ มันเกร็งปลายลิ้นแล้วทิ่มแทงลงไปร่องสวาท
ของนางครั้งแล้วครั้งเล่า สลับกับดูดกินติ่งสวาทของนาง จนเนินสวาทอันเบ่งบานของนางปลดปล่อยความชื้นแฉะ
ออกมาจนเจิ่งนอง พร้อมกับเสียงร้องคร่ำครวญคล้ายเกิดความเจ็บปวดขึ้นกับนาง
“อ๊ายยยยยยยยยยยย………..อ๊ายยยยยยยยย………เฟยอี้…..โอ้วววว….โอ้ววววว…ข้าเสียวเหลือเกิน……….
…..อ๊ายยยยยยยย ….ไม่ไหวแล้ว……อ๊ายยยยยยยยยยยยยย……………..โอ้วววว…..เฟยอี้…เฟยอี้….เฟยอี้…….”
นางบิดกายท่อนล่างโยกส่ายไปมาไม่หยุดนิ่ง สะโพกของนางบางคราก็แอ่นขึ้นมาจนเนินสวาทโคกนูน แล้วลดกลับลงไป
บิดหนีจากเพลงลิ้นของมัน แล้วก็กลับแอ่นค้างขึ้นมาอีกครั้งด้วยความซ่านเสียวที่โหมกระหน่ำเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง
เฟยอี้เห็นอาการของนางเป็นเช่นนั้น ก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะส่งนางไปให้ถึงจุดสุขสม จึงจับแก่นกายของมันดันเข้าไป
ในโพรงสวาทของนางจนมิดลำ แล้วกระแทกกระทั้นอย่างรุนแรงในทันที
“โอ้วววววว………ซี๊ดดดดดด…………..”
“ตั้บ….ตั้บ….ตั้บ….ตั้บ….ตั้บ….ตั้บ….ตั้บ….ตั้บ….ตั้บ….ตั้บ….ตั้บ….ตั้บ…..”
“โอ้ววว….โอ้ววว….โอ้ววว….โอ้ววว….โอ้ววว….โอ้ววว….โอ้ววว….โอ้ววว….โอ้ววว….โอ้ววว…
เฟยอี้….เฟยอี้….เฟยอี้……..โอ้ววววววววววววววววววววววววว……..”
ภูตแพรเขียวบรรลุถึงจุดสุขสม จนร่างของนางสั่นกระตุกแข็งเกร็งไปทั้งร่าง ดวงตาของนางล่องลอยไร้จุดหมาย
ก่อนที่จะปรือแล้วปิดตาลงอย่างอ่อนเพลีย
เฟยอี้บบรรลุความสำเร็จในการปลดปล่อยภูตแพรเขียวออกจากความกำหนัดแล้ว ก็หันไปจัดการกับภูตแพรเหลือง
ด้วยการแทรกกายเข้าไปยังกึ่งกลางลำตัวของนาง แล้วจับแก่นกายอันแข็งเกร็งของมันวางพาดลงบนเนินเนื้อที่ประดับ
ไปด้วยไหมสีดำขลับ แล้วทอดร่างลงบดบี้กับร่างของนางจนแนบสนิท มันจ้องมองลึกเข้าไปยังใบหน้าของภูตแพรเหลือง
ซึ่งส่งสายตาตอบมันมาด้วยแววตาที่อ้อนวอนและโหยหา
“เฟยอี้…..ช่วยข้าด้วย….ข้าต้องการเจ้า………”
เฟยอี้ แย้มยิ้มด้วยความเอ็นดูนาง แล้วก้มลงจุมพิตไปทั่วใบหน้า สองมือของมันเค้นคลึงบดบี้ปทุมถันทั้งสอง
ของนางอย่างหนักมือ ภูตแพรเหลืองมิได้มีสีหน้าบอกอาการว่ามีความเจ็บปวด กลับแอ่นทรวงอกขึ้นให้มันบดคลึง
ได้ถนัดยิ่งขึ้น สองนิ้วของเฟยอี้เลื่อนขึ้นมาบดบี้ที่ปลายยอดถันทั้งสองของนาง ก่อนที่จะก้มลงงับยอดถันข้างหนึ่งไว้ในปากของมัน
แล้วดูดกินดุจดั่งทารก
ท่อนล่างของเฟยอี้ที่ทาบทับลงบนเนินสวาทของนางก็มิได้นิ่งเฉย มันบดบี้เคล้าคลึงจนกลีบสวาททั้งสองบิดเบี้ยวไปตาม
การเค้นคลึงของมัน
“ซี๊ดดดดดดดดด……………………ฮ้าาาาาาาาาาาา………….ซี๊ดดดดดดดดดด…………ฮ้าาาาาาา……….”
แล้วเฟยอี้ก็ผุดลุกขึ้นมาจากการทาบทับอยู่บนทรวงอกของนาง มันเลื่อนแก่นกายอันแข็งเกร็งของมันวางพาดลงบน
รอยผ่ากลางเนินสวาทของภูตแพรเหลือง แล้วแนบท่อนล่างของมันบดบี้ จนติ่งเสียวของนางบิดเบี้ยวไปตามการเคลื่อน
ของแก่นกายมัน สร้างความซ่านเสียวจนนางต้องกับเกร็งหน้าท้อง ใบหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความซ่านเสียวอย่างที่สุด
“อ้าาาาาา……………ซี๊ดดดดดดดด……………ฮ๊าาาาาา…………ซี๊ดดดดดดดด…………โอ๊วววววว……….”
เฟยอี้เองก็รู้สึกเสียวซ่านกับสัมผัสเช่นนี้ดุจเดียวกันกับนาง มันโยกย้ายเรือนร่างให้แก่นกายมันเคลื่อนไปมาบนเนินสวาท
แล้วจับมันสอดใส่เข้าไปภายในตัวนางจนมิดลำ ภูตแพรเหลืองอ้าปากร้องอุทานออกมาคำหนึ่ง แล้วตามติดด้วยเสียงคร่ำครวญ
ออกมาไม่ขาดปาก เมื่อเฟยอี้โยกร่างเข้าและออกจากเนินสวาทของนางอย่างต่อเนื่อง
“โอ้วว….ซี๊ดดดดดดดดดดดด…………………ฮ๊ายยยยย……..ฮ๊ายยยยยยยย……ฮ๊ายยยยยย…….”
เฟยอี้คิดจะผลักดันแก่นของมันให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันจึงรวบเรียวขาทั้งสองของภูตแพรเหลืองวางไว้บนบ่าทั้งสองของมัน
แล้วยึดจับช่วงเอวอันคอดกิ่วของนางเอาไว้ก่อนที่จะกระแทกกระทั้นอย่างระรัวถี่ ด้วยอารมณ์ที่อัดอั้นมาจากอีกสองนาง
ก่อนหน้านี้ ภูตแพรเหลืองได้รับการบำบัดกำหนัดที่ก่อเกิดขึ้นมาอย่างสาสมอารมณ์ตนเองเช่นนั้น ก็ถึงกับคร่ำครวญแต่เพียงชื่อ
ของเฟยอี้ พลางส่ายใบหน้าคล้ายกับเจ็บปวดอยู่ไปมา
“ซี๊ดดด……ฮ้ายยย….ดียิ่งนัก…เฟยอี้….เจ้าช่างดียิ่งนัก…..ซี๊ดดดดดดดด……อูยยยย………”
“โอ้ววว..เฟยอี้…..โอ้ววว..เฟยอี้…..โอ้ววว..เฟยอี้…..โอ้ววว..เฟยอี้…..ข้า..ข้า…ข้า…โอ้ววววววววววววววว…..”
ภูตแพรเหลืองบรรจุถึงจุดสุขสม ด้วยความเสียวซาบซ่านสมอารมณ์กำหนัดที่เกิดขึ้นเป็นอย่างยิ่ง นางพริ้มตาหายใจหอบถี่ด้วยคิดจะพัก
หลังจากที่ได้รับความสุขอย่างที่สุดแล้ว แต่เฟยอี้ยังคงไม่เสร็จสิ้น ร่องสวาทของภูตแพรเหลืองยังคงตอดรัดมันอยู่เป็นจังหวะจนมันเสียวสะท้าน
ไปทั้งลำแก่นกาย มันยังกระแทกกระทั้นด้วยความเมามันในอารมณ์ยิ่ง จนภูตแพรเหลืองหวนกลับมาส่งเสียงครวญครางขึ้นอีกครั้ง
“โอ้ววววว…เฟยอี้…ข้าเสียว…..ซี๊ดดดด….ฮ้าาาาา……..โอ้ววว..โอ้วว….โอ้ววว…..โอ้วววว……
โอ้วววว….เฟยอี้….โอ้วววว….เฟยอี้…โอ้วววว….เฟยอี้…โอ้วววว….เฟยอี้…ข้า…ข้า….ซี๊ดดด…อ้าาาาาาาาาาา…..”
จนในที่สุดภูตแพรเหลืองก็ล่องลอยดื่มด่ำจากการเสพสมเป็นครั้งที่สอง พร้อมกันนั้นเฟยอี้ก็ปลดปล่อยธาราแห่งรักพรั่งพรูออกมา
จนเอ่อนองเต็มโพรงสวาทของนาง แล้วฟุบร่างลงนอนแน่นิ่งเคียงข้างกับนางอย่างอิ่มเอมไปด้วยความสุข
แต่ในขณะที่มันนอนพักอย่างเหนื่อยอ่อนอยู่นั้น สายตาของมันก็เหลือบไปเห็น ฮุ่ยหนิงและลี่จิน นอนครวญครางอยู่ที่พื้นอย่างทุกข์ทรมาน
จนมันมิสามารถที่จะพักได้อย่างปลอดโปร่งใจ พลันบังเกิดความสงสารทั้งสองนางอย่างที่สุด เนื่องด้วยมันทราบดีว่าทั้งสองนางต่างเป็นนักบวช
จึงสามารถระงับจิตใจตนเองได้มากกว่าผู้อื่น แต่ก็ยิ่งทำให้ทั้งสองนางบังเกิดความอัดอั้นในอารมณ์มากกว่าผู้ใดเช่นเดียวกัน
เฟยอี้คิดหาหนทางช่วยเหลือนางทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตัดใจทดลองเร่งเร้าพลังหยางในร่างดูอีกครั้ง หากว่ามันกำเริบขึ้นมาอีก มันก็จะมีพละกำลัง
ที่จะเข้าไปปลดเปลื้องความทุกข์ทรมานให้กับนางทั้งสองได้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นมันก็ยันกายลุกขึ้นนั่งแล้วทดลองเดินพลังลมปราณตามแนวทางวิชา
ปราณฟ้าดิน-หยินหยางทันที
พลันพลังหยางอันเปี่ยมล้นจากจุดตังชั้งของเฟยอี้ ก็พรั่งพรูแผ่ซ่านออกมาทั่วสรรพางค์กาย แล้วประสานกับพลังหยินในร่างที่ถูกเพิ่มเติมเข้ามาใหม่
กลับกลายเป็นสายพลังปรานอันสมดุลย์แห่ง หยิน-หยาง โคจรอยู่ทั่วร่างของมัน สร้างความแช่มชื่นและก่อเกิดพละกำลังให้แก่มันเป็นอันมาก
แต่เมื่อเวลาล่วงผ่านไปได้เพียงครู่ ก็เริ่มมีอาการของความไม่สมดุลย์ก่อเกิดขึ้น อาการหยางเป็นพิษของมันได้ก่อกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง จนดวงตาทั้งสองของมัน
แดงกล่ำประดุจมีกองเพลิงสุมอยู่ภายใน ภายในร่างของมันบังเกิดความรุ่มร้อนจนทนนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้อีกต่อไป มันพุ่งร่างเข้ามาหาฮุ่ยหนิงที่กำลังนอนส่ายเรือนร่าง
อย่างทุกข์ทรมานอยู่ แล้วซุกไซ้ใบหน้าของมันแนบชิดกับใบหน้าของนาง พลางใช้มือปลดเปลื้องชุดนักบวชของนางออกจากร่าง
เพียงครู่เดียวร่างของฮุ่ยหนิงก็อยู่ในสภาพเปลือยเปล่าแล้วถูกเฟยอี้ทาบทับร่างของนางไว้ ส่วนฮุ่ยหนิงครั้นเรือนร่างของนางสัมผัสกับเรือนร่างของเฟยอี้
ความพยายามอดทนและระงับอารมณ์ของนางก็พังทลายลง กระแสแห่งอารมณ์กำหนัดที่อัดอั้นอยู่ภายในก็พรั่งพรูออกมาประดุจสายน้ำที่ถูกนำสิ่งปิดกั้นออก
นางมีอาการตอบสนองด้วยการแอ่นเรือนร่างของนางขึ้นมา รับการบดคลึงจากเรือนร่างของเฟยอี้ด้วยความเร่าร้อน และต้องการที่จะระบายกำหนัดที่เอ่อล้นอยู่ภายใน
เฟยอี้รับรู้ถึงอาการเช่นนี้ของนางดี จึงใช้ขาทั้งสองของมันผลักดันให้เรียวขาทั้งสองของนางฉีกอ้าออก เพื่อเปิดทางให้กับแก่นกายของมันที่กำลังจะถูกผลักดัน
เข้าไปภายในร่างของนาง
“อ้าาาา……..ซี๊ดดดดด………….”
ฮุ่ยหนิงร่ำร้องออกมาเมื่อรู้สึกถึงความคับแน่นที่เบียดตัวแทรกเข้ามาในร่างของนาง กำหนัดของนางได้รับการตอบสนองในเบื้องต้น ขณะที่นางกำลังโหยหาอย่างที่สุด
นางจึงแอ่นเนินสวาทขึ้นมาอีกครั้ง คล้ายเป็นการเร่งเร้าให้เฟยอี้ตอบสนองกำหนัดให้นางอีก เฟยอี้จึงขยับท่อนล่างของมันถอยออกจนเกือบสุดลำแก่นกาย แล้วขยับ
กระแทกซ้ำเข้าไปใหม่อีกครั้งอย่างหนักหน่วง
“อู้ววววว………….ซี๊ดดดดดด…….”
ฮุ่ยหนิงปลดปล่อยเสียงครางดังออกมาอย่างสมใจ แล้วเฟยอี้ก็กระทำซ้ำเช่นนี้ต่อไปอีกหลายครั้ง จากจังหวะอันเชื่องช้าและหนักแน่น ก็เริ่มแปรเปลี่ยน
เป็นเร่งเร้า จนระรัวถี่
“อ้าาา……..ซี๊ดดด…………….อ้าาาา…..ซี๊ดดดด…………….อ้าาาา…….ซี๊ดดด……อ้าาา……อ้าาาา…..อ้าาาาา….อ้าาาา….”
“โอ้วววววว……ซี๊ดดดดดดด…………..โอ้วววววววววว………..ซี๊ดดดดดดด………”
ขณะที่เฟยอี้กำลังขยับแก่นกายเข้าออกอย่างเร่งเร้าบนเรือนร่างของฮุ่ยหนิงอยู่นั้น มันก็จ้องมองลี่จินซึ่งนอนส่ายเรือนร่างอยู่ไปมาเคียงข้างกับฮุ่ยหนิง
ด้วยความสงสาร แต่ในขณะนี้มันก็ทำได้เพียงเคลื่อนมือของมันไปบดคลึงเนินสวาทของนางเพื่อเป็นการบรรเทาอาการให้แก่นาง
ลี่จินยิ่งได้รับสัมผัสจากเฟยอี้ก็เหมือนยิ่งเป็นการยั่วยุให้ก่อเกิดความกำหนัดเพิ่มมากขึ้น จนนางถึงกับหมดความอดทนเปลื้องชุดนักบวชออกจากร่าง
จนเปลือยเปล่าเพื่อรับสัมผัสจากเฟยอี้อย่างเต็มที่
เฟยอี้พยายามปลดเปลื้องกำหนัดให้กับทั้งสองนางในคราวเดียวกันได้ไม่ถนัดนัก มันจึงรวบร่างของฮุ่ยหนิงพลิกกลับมาคร่อมทับร่างของมัน
แล้วขยับแก่นกายกระแทกขึ้นไปยังโพรงสวาทของฮุ่ยหนิง จนนางถึงกับอ้าปากร่ำร้องออกมาอย่างสาแก่อารมณ์ แล้วทิ้งร่างของนางลงบดคลึงกับแก่นกาย
ของเฟยอี้ด้วยตนเอง
แล้วเฟยอี้ก็หันไปดูลี่จินพลางกล่าวว่า
“ลี่จิน เจ้าจงขึ้นมานั่งนั่งบนทรวงอกของข้า”
ลี่จินกระทำตามคำขอของเฟยอี้อย่างว่าง่าย เรียวขาทั้งสองของนางถูกเเฟยอี้ผลักดันให้กว้างออก จนเผยให้เห็นกลีบสวาทขาวผุดผ่องเบ่งบานออก
จนมองเห็นติ่งสวาทสีชมพูระเรื่อที่กำลังชี้ชันอยู่ภายใน เฟยอี้ยึดจับเรือนร่างของนางให้อยู่ในระยะพอเหมาะดีแล้ว มันก็ผงกศรีษะขึ้นโลมเลียติ่งเสียวให้กับลี่จินทันที
ลี่จินถูกกระทำเข้าเช่นนี้ก็ร่ำร้องออกมาด้วยเสียวซ่านปานประหนึ่งว่าจะขาดใจ
“ฮ๊ายยยยย…….ฮ๊ายยยยยยยย……ฮ๊ายยยยยยยยย……..ฮ๊ายยยยยยยยยยย….”
ทั้งสองนางนั่งคร่อมอยู่บนเรือนร่างของเฟยอี้ นางหนึ่งถูกเฟยอี้กระทำด้วยเพลงลิ้น นางหนึ่งกำลังโยกคลึงอยู่กับแก่นกายของเฟยอี้ด้วยความซ่านเสียว
เสียงร้องของนางทั้งสองดังสอดประสานจนดังระงมไปทั้งถ้ำ จนในที่สุดเฟยอี้ก็รู้สึกว่า ฮุ่ยหนิงเริ่มเร่งจังหวะเร็วขึ้นพร้อมกับโพรงสวาทของนางก็เพิ่มแรงตอดรัด
แก่นกายของมันมากขึ้นเป็นลำดับ มันล่วงรู้ถึงอาการเหล่านี้ดีจึงช่วยให้นางได้ถึงจุดสุขสมเร็วขึ้นด้วยการแอ่นกายกายของมันขึ้นมาจนแนบแน่นกับเนินสวาทของนาง
ในขณะที่นางก็กำลังบดคลึงอย่างสุขสมอยู่เช่นกัน ร่างของนางสั่นกระตุกแล้วร่ำร้องออกมาก่อนที่จะล้มตัวลงนอนหอบหายใจในที่เคียงข้าง
“โอ๊วววววววววววววววว……………….อ้าาาาาาาาาาาาา………….อ้าาาาาาา……………”
เฟยอี้เห็นฮุ่ยหนิงผ่อนคลายลงจากการถึงจุดสุขสมไปแล้วก็ยินดียิ่งนัก จึงหันกลับมารวบร่างของลี่จินลงนอนหงายแล้วสอดแก่นกายของมันเข้าไปใน
ร่องสวาทของนาง พร้อมกับกระแทกกระทั้นบั้นเอวของมันอย่างหนักหน่วง
“ตั้บ….ตั้บ….ตั้บ….ตั้บ….ตั้บ….ตั้บ….ตั้บ….ตั้บ….ตั้บ…..”
“โอ้ววว……ซี๊ดดดดด……โอ้ววววว……ซี๊ดดดด…….โอ้ววววว……..ซี๊ดดดดด……”
ลี่จินถูกเพลงลิ้นของมันจนนางเสียวซ่านจนฉ่ำเยิ้มไปก่อนหน้านี้แล้ว ครั้นถูกแก่นกายอันแข็งเกร็งของมันกระแทกกระทั้นอย่างหนักหน่วงเช่นนั้น
ก็ยิ่งรู้สึกซ่านเสียวเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เสียงร่ำร้องครวญครางของนางทั้งดัง และ กระชั้นถี่เพิ่มขึ้นตามจังหวะการเร่งเร้าของมัน ลี่จินทั้งบังเกิดความสุขและความเสียวซ่าน
จนมิอาจควบคุมตนเองได้ นางเกี่ยวกระหวัดเรียวขาทั้งสองของนางโอบรัดร่างของเฟยอี้ไว้อย่างแนบแน่น แล้วแอ่นกายเข้าแนบชิดกับแก่นกายของมัน
เฟยอี้เห็นนางมีอาการเช่นนั้นก็ทราบว่านางกำลังจะเข้าสู่จุดสุขสม จึงผลักดันแก่นกายของมันเข้าไปจนแนบชิดกับเนินสวาทของลี่จิน แล้วยันค้างนิ่งไว้
ให้ลำแก่นกายของมันล่วงล้ำเข้าสู่กายของนางอย่างลึกที่สุด แล้วบดคลึง จนลี่จินบรรลุถึงจุดสุขสมอย่างเป็นสุข ปลดปล่อยเสียงร่ำร้องดังยาวออกมา
“โอ้วววววววววว……….เฟยอี้…….ข้าาาา……….โอ้วววววววววววววววว……….”
เฟยอี้ปลดปล่อย ฮุ่ยหนิงและลี่จิน จนหลุดพ้นจากความทรมานแห่งกำหนัดแล้ว แต่มันเองยังคงคั่งค้างด้วยอาการฤทธิ์ของหยางกำเริบ จึงหันไปมอง
ดูรอบตัวเพื่อคิดที่จะปลดเปลื้องราคะของตนกับนางที่ยังเหลืออยู่ เห็นมีอยู่ถึงสี่นาง คือ กิมเฮียกจื้อ เม่ยเม่ย ธิดาเทพหว่านเอ๋อ และองค์หญิงลีลู่อิน
ที่ยังคงนอนบิดกายอยู่ไปมาด้วยความเร่าร้อนแห่งราคะ ทันใดนั้น เม่ยเม่ยก็หันมาสบตากับมันแล้วร่ำร้องขึ้นอย่างน่าสงสารว่า
“พี่เฟยอี้…ข้าทรมานเหลือเกิน โปรดช่วยข้าด้วย”
เฟยอี้เห็นอาการของนางเป็นเช่นนั้น ก็พลันบังเกิดทั้งความรักและความสงสารเข้าจับหัวใจของมัน จึงเคลื่อนกายของมันเข้าไปใกล้
แล้วโอบกอด เม่ยเม่ยไว้แนบชิดกับทรวงอกของมัน เม่ยเม่ยสบตากับเฟยอี้ด้วยแววตาที่หยาดเยิ้ม นางเบียดร่างของเข้ามาจนแนบชิด
แล้วพูดออกมาอย่างแผ่วเบาที่ข้างหูของเฟยอี้
“พี่เฟยอี้…ข้าต้องการท่าน…..”
เฟยอี้รับรู้ความนัยของคำพูดนั้นดี มันจึงสอดมือเข้าไปในกางเกงของเม่ยเม่ย แล้วเกาะกุมเนินสวาทของนางไว้ พร้อมกับจุมพิตลง
บนริมฝีปากของนาง นิ้วมือของเฟยอี้ชอนไชลึกลงจนพบกับติ่งสวาทที่กำลังชี้ชันท่ามกลางความฉ่ำเยิ้ม มึงจึงสัมผัสบดคลึงลงไปอย่างแผ่วเบา
เม่ยเม่ย สะดุ้งกายขึ้นเฮือกหนึ่ง ก่อนปลดปล่อยเสียงระบายความอัดอั้นของนางออกมา พร้อมกับหลับตาพริ้มลง
“ฮ้าาาาาาา……….ซี๊ดดดดดดดด………….”
เม่ยเม่ย มีความรู้สึกว่ายิ่งได้รับสัมผัสจากเฟยอี้ นางก็ยิ่งรู้สึกทุกข์ทรมานจากเพลิงกำหนัดที่กำลังแผดเผาเรือนร่างของนางอยู่
สะโพกของนางส่ายร่อนอยู่ไปมา พลางส่งเสียงร้องครวญครางอย่างไม่จบสิ้น พลันภาพในจิตใต้สำนึกของเม่ยเม่ยก็ปรากฏขึ้น
เป็นภาพที่นางจดจำจนฝังลึกอยู่ในจิตใจมิลืมเลือน นางหวนคิดถึงวันที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับเฟยอี้ท่ามกลางทะเลทรายและมีความสุขร่วมกัน
อยู่เพียงลำพัง
ทันใดนั้น เม่ยเม่ย ก็พลิกร่างผลักร่างของเฟยอี้ให้หงายลง แล้วกล่าวว่า
“พี่เฟยอี้….ข้าจะช่วยดูดพิษปลิงออกจากกายของท่าน”
แล้วนางก็อ้าปากอมแก่นกายของเฟยอี้ พร้อมกับดูดกินอย่างรุนแรง
เฟยอี้ยังคงมีอาการคั่งค้างอยู่ ครั้นแก่นกายของมันถูกเม่ยเม่ยอมไว้ แล้วดูดกินอย่างรุนแรงเช่นนั้น ก็ถึงกับร่ำร้องด้วยเสียวซ่านอย่างที่สุดออกมา
มันสุดจะทนทานต่อการดูดกินของ เม่ยเม่ย จนถึงกับแอ่นร่างค้างเกร็งไว้ แล้วร้องห้าม เม่ยเม่ย ให้ยุดก่อน เนื่องด้วยว่าธารารักของมันกำลังจะพังทลายออกมา
แต่นางก็หาได้หยุดไม่ กลับดูดกินอย่างรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก
“โอ้วววววววววววววว……..เม่ยเม่ย…….โอ้ววววววว………………..โอ้วววววววว……..เม่ยเม่ย….ข้า…ข้า…..
โอ้ววววววววววววววว…………….หยุดก่อน…เม่ยเม่ย…….ข้าาา………อ้าาาาาาาาส์…………..”
และแล้วเฟยอี้ก็ถูก เม่ยเม่ย บีบคั้นให้ปลดปล่อยน้ำรักของมันออกมาจนท่วมท้นไหลเอ่อท่วมท้นออกมาจากปากของนาง
แต่ เม่ยเม่ย ก็หาได้หยุดไม่ ยังคงดูดกินอย่างต่อเนื่อง จนเฟยอี้สุดจะทนทานต้องรีบยันกายลุกขึ้นจับศรีษะของนางไว้
แล้วกล่าวว่า
“เม่ยเม่ย…เจ้ากลั่นแกล้งข้าใช่หรือไม่….เช่นนั้นขอให้ข้าได้ดูดพิษปลิงจากร่างของเจ้าบ้าง”
เฟยอี้ก้มหน้าลงแล้วใช้สองมือผลักดันเรียวขาทั้งสองของ เม่ยเม่ย ให้กางอ้าออก แล้วซุกใบหน้าลงที่เนินสวาทของนาง
พร้อมกับลากลิ้นไปตามร่องสวาทของนางจากเบื้องล่างขึ้นสู่เบื้องบน แล้วกระทำซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งที่ลิ้นของมันลากผ่านติ่งสวาทของเม่ยเม่ย
มันก็แกล้งใช้ปลายลิ้นหมุนวนครั้งหนึ่ง จนเม่ยเม่ยสะดุ้งร่างแอ่นสะโพกค้างนิ่ง แล้วมันก็ลากลิ้นไป มันกลั่นแกล้งเม่ยเม่ยจนนาง
ถึงกับส่ายใบหน้าไปมาด้วยความซ่านเสียวอย่างที่สุด แล้วร่ำร้องขึ้นว่า
“ซี๊ดดดดด………อูยยยยยยย……..พี่เฟยอี้……ข้าเสียวเหลือเกิน…..ช่วยข้าด้วยเถิด……..ซี๊ดดดดดดดดดดดด…….ข้าทนไม่ไหวแล้ว..”
เฟยอี้เห็นอาการของนางเป็นเช่นนั้น ก็กล่าวว่า
“เช่นนั้นข้าจะดูดพิษให้เจ้าแล้ว”
แล้วมันก็อ้าปากอมติ่งสวาทของนางไว้ พร้อมกับดูดกินอย่างรุนแรง สลับกับใช้ปลายลิ้นหมุนวน จนเม่ยเม่ย ถึงกับส่งเสียงร่ำร้องดังไปทั้งถ้ำ
นิ้วเท้าของนางจิกเกร็งลงที่พื้นแล้วเขย่งร่างยกขึ้น เฟยอี้ก็ตามติดใบหน้าของมันติดตามไปดูดกินอย่างไม่สิ้นสุด
“อ๊ายยยยยยย……อ๊ายยยยยยยย……..อ๊ายยยยยยยย……..อ๊ายยยยยยยย………อ๊ายยยยยยยย………”
เม่ยเม่ยรู้สึกซ่านเสียวจนทะลักล้น สองมือของนางผลักดันศรีษะเฟยอี้ไว้ ปากก็ส่งร่ำร้องครางกระเส่าออกมา
“อ๊ายยยยย…อ๊ายยยยยยยย………ซี๊ดดดดด…….พี่เฟยอี้….ท่านโปรดออกไปก่อน….อ๊ายยยยยย………ข้า..ข้า……….
จะปัสสาวะออกมาแล้ว……..ฮ๊ายยยยยยย…….ไม่ไหวแล้ว………….โอ้ววววววววววววววว…………”
ร่างของนางสั่นกระตุกอย่างไร้การควบคุม พร้อมกับปลดปล่อยปัสสาวะออกมาอย่างพรั่งพรู ราดรดใบหน้าของเฟยอี้จนชุ่มโชก
ดวงตาของนางเลื่อนลอย แล้วยิ้มออกมาอย่างมีความสุขพร้อมกับปิดเปลือกตาลงนอนนิ่งอย่างอ่อนเพลีย
เฟยอี้เห็นเช่นนั้นก็ทราบว่า นางได้บรรลุจึงจุดสุขสมคลายจากความทุกข์ทรมานแล้ว ก็ล้มตัวลงนอนเคียงข้างอยู่กับนางอย่างอ่อนเพลีย
———
เว่ยฉิงคังนำพากองกำลังที่มีชัยต่อวังเบญจธาตุ เดินทางไปยังสำนักยุทธต่างๆในดินแดนจงหยวน เพื่อคิดจะรวบรวมทุกสำนักยุทธ
ให้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว สำนักยุทธใดที่ต่อต้านและกระด้างกระเดื่องต่อมัน เว่ยฉิงคังก็กำจัดประมุข และเจ้าสำนักเหล่านั้นจนตายไปหมดสิ้น
แล้วรวบรวมบริวารของสำนักเหล่านั้นมาเป็นกองกำลังของตน จนในที่สุดก็หามีสำนักยุทธใดกล้าต่อต้านมัน พากันสิโรราบกลัวเกรง
ต่ออำนาจของมันโดยหมดสิ้น
บัดนี้เว่ยฉิงคังก้าวมาถึงจุดที่มิเคยมีชาวยุทธใดได้เคยมาถึง นั่นก็คือ ประมุขแห่งสำนักยุทธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจงหยวนเพียงสำนักเดียว
มันเดินทางกลับมายัง สำนักทวนผดุงคุณธรรมของมันอย่างยิ่งใหญ่ แล้วตรงไปหาชุ่ยเหลียนโดยทันที
ก่อนหน้านี้ชุ่ยเหลียนเองก็ได้คิดวางแผนการเอาไว้ นางต้องการให้เว่ยฉิงคังได้พบกับ ความเสียใจ และชอกช้ำใจจนตาย ดุจเดียวกับ
เอี๊ยงตี้เก่งอดีตสามีของนาง นางจึงยินยอมบำรุงบำเรอความสุขให้แก่มัน เพื่อให้มันหลงรักนางอย่างลุ่มหลง แล้วจึงคิดหาโอกาสอันเหมาะสม
ทำให้มันได้รับความช้ำใจอย่างแสนสาหัส ครั้นทราบว่า มันจะเดินทางไปทำศึกกับเจ้าลัทธิแห่งวังเบญจธาตุ นางก็บังเกิดความยินดียิ่งนัก
ด้วยนางมีความคิดว่าศึกครั้งนี้ไม่ว่าเว่ยฉิงคังจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ หรือมีชัยกลับมา ก็คงต้องได้รับความบอบช้ำกลับมาบ้างเป็นแน่
และเมื่อใดที่มันโคจรลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บ ซึ่งเป็นสภาวะที่บอบบางยิ่งนักสำหรับชาวยุทธ หากมีจิตไม่สงบฟุ้งซ่าน
ก็จะถูกธาตุไฟเข้าแทรกจนถึงขั้นพิการ หรือเสียชีวิตได้ นางจะใช้โอกาสนี้ก่อกวนมันด้วยการพลอดรักกับอาชิวต่อหน้ามัน เช่นเดียวกับที่มัน
ได้กระทำต่อ เอี๊ยงตี้เก่ง สามีของนาง
แต่ครั้นเห็นเว่ยฉิงคังกลับมาโดยปลอดภัย ทั้งยังไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆแม้เพียงน้อยนิด นางก็บังเกิดความผิดหวังอย่างรุนแรง
นางทั้งสิ้นหวัง โกรธแค้น และเสียใจระคนกัน จนสุดที่จะกลั้นมิให้มีน้ำตาหลั่งไหลออกมา
เว่ยฉิงคังเห็นเช่นนั้นก็คิดว่านางมีความปลาบปลื้มยินดีที่ได้พบตน ก็ยิ่งเพิ่มพูนความรักต่อนาง กล่าวขึ้นว่า
“ชุ่ยเหลียน ข้าคิดถึงเจ้ายิ่งนัก เจ้าคือนางผู้เดียวในใจของข้า…..ข้าได้กลับมาหาเจ้าแล้ว”
แล้วมันก็โอบกอดร่างของชุ่ยเหลียนไว้ในอ้อมแขนของมันด้วยความรักใคร่ ชุ่ยเหลียนสุดที่ระงับความอดกลั้นเอาไว้ได้ ก็สะบัดร่างออกจากอ้อมแขนของมัน
แล้วผลักร่างของเว่ยฉิงคังจนเซถลาไป
เว่ยฉิงคังมีใบหน้าที่งุนงง จ้องมองใบหน้าของชุ่ยเหลียนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็แย้มยิ้มพลางกล่าวว่า
“ชุ่ยเหลียน…..เจ้าอย่าได้แง่งอน โกรธเคืองข้าเลย แม้ข้าจะไม่ได้อยู่กับเจ้าเป็นเวลานาน แต่ในใจของข้าคงคิดถึงเจ้าอยู่ตลอดเวลา”
แล้วมันก็ตรงเข้าไปโอบกอดชุ่ยเหลียนไว้ในอ้อมแขนของมันอีกครั้ง ชุ่ยเหลียนทั้งขุ่นเคือง ทั้งโกรธแค้นมัน จึงพยายามสะบัดร่าง
ออกจากอ้อมกอดของมันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ เว่ยฉิงคัง กลับรัดร่างของนางไว้อย่างแน่นหนาจนมิอาจดิ้นหลุด
“ปล่อยข้า…..ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้…..ข้าชังเจ้ายิ่งนัก….ปล่อย…..”
ยิ่งชุ่ยเหลียนดิ้นรนเพื่อจะให้หลุดพ้นจากอ้อมกอดของมัน เว่ยฉิงคังก็ยิ่งเพิ่มแรงกอดรัดให้แน่นยิ่งขึ้น พลางส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
ด้วยคิดว่านางแง่งอนต่อมัน
“ฮ่า…ฮ่า…..ฮ่า……ชุ่ยเหลียน…เจ้าช่างน่ารักยิ่งนัก ยิ่งเห็นเจ้าแง่งอนเช่นนี้ ข้าก็ยิ่งรักเจ้าเป็นทวีคูณ มาเถอะนะ..ชุ่ยเหลียน
ไปที่ห้องของเรากันเถิด คืนนี้ข้าจะกลืนกินเจ้าให้สมกับที่ข้าคิดถึงเจ้ายิ่งนัก”
แล้วเว่ยฉิงคังก็ช้อนร่างของนางขึ้นไว้ในวงแขนทั้งสอง นำนางไปยังห้องนอนของมันโดยทันที
อีกด้านหนึ่งที่เบื้องหลังของเว่ยฉิงคัง อาชิวซึ่งหมอบนิ่งลอบมองดูอาการคนทั้งสองอยู่นานแล้ว ดวงตาของมันฉายแววขุ่นเคืองออกมาอย่างเห็นได้ชัด
มันรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก ที่เห็นชุ่ยเหลียนอยู่ในอ้อมกอดของเว่ยฉิงคัง และกำลังถูกมันอุ้มเข้าไปในห้องอย่างสิ้นหวัง
ยิ่งนานวัน มันก็ยิ่งก่อเกิดความรักที่มีต่อชุ่ยเหลียนเพิ่มพูนขึ้น มันได้แต่ติดตามไปยืนที่หน้าประตูห้องนั้นอย่างเลื่อนลอย และสงบนิ่ง
เว่ยฉิงคังวางร่างของชุ่ยเหลียนลงบนเตียงนอน แล้วก้มหน้าลงหมายจะจุมพิตที่ปากของชุ่ยเหลียน แต่ในยามนี้ชุ่ยเหลียนไร้เป้าหมาย
ที่จะกระทำอีกต่อไป นางมิยินยอมให้เว่ยฉิงคังได้แตะต้องสัมผัสนางอีกจึงใช้มือยันใบหน้าของมันไว้ แล้วเบือนหน้าหนีออกจากมันอย่างรังเกียจ
เว่ยฉิงคังเห็นอาการของนางเป็นเช่นนั้น ก็หวนคิดถึงวันแรกที่มันได้เสพสุขกับนาง ชุ่ยเหลียนก็มีอาการเช่นนี้ มันก็ยิ่งบังเกิดอารมณ์ใคร่เพิ่มขึ้น
สองมือของมันยึดจับข้อมือทั้งสองของชุ่ยเหลียนไว้แล้วง้างออก พร้อมกับก้มหน้าลงซุกไซ้สูดดมไปตามลำคอของนางอย่างหื่นกระหาย
ชุ่ยเหลียน ถูกมันใช้กำลังกดรั้งร่างของนางไว้เช่นนี้ก็ยิ่งบังเกิดความขุ่นเคือง นางรวบรวมแรงทั้งหมดสะบัดมือจนหลุดจากการเหนี่ยวรั้งของมัน
แล้วตบไปที่ใบหน้าของมันอย่างรุนแรง
“เผี่ยะ…….เว่ยฉิงคัง…ข้ามิได้มีใจรักเจ้าแม้เพียงน้อยนิด….ปล่อยข้า…เจ้าคนชั่วช้า”
ตั้งแต่เว่ยฉิงคังได้กินยาเทพโอสถทะลวงชีพจรเข้าไปเป็นจำนวนมาก ทำให้มันมิสามารถระงับยับยั้งความต้องการภายใต้จิตสำนึกของมันได้
ยิ่งยามนี้มันได้ก่อเกิดอารมณ์กำหนัดขึ้น แล้วถูกชุ่ยเหลียนขัดขืนมิยินยอมมันแต่โดยดีเช่นนี้ ความต้องการของมันก็ยิ่งลุกโพลงขึ้น ดวงตาของมัน
เบิกโพลงอย่างหื่นกระหาย มันมิได้ยินถ้อยคำใดๆที่ชุ่ยเหลียนเอ่ยออกมาแม้เพียงน้อย มันเพียงต้องการที่จะเสพสุขกับเรือนร่างของนางแต่เพียงเท่านั้น
มันเอื้อมมือไปที่คอเสื้อของชุ่ยเหลียน แล้วกระชากออกมาอย่างรุนแรง จนเสื้อของนางขาดติดมือมันออกมา
“แขวกกกก……..ว๊ายยยยย……….”
ทรวงอกขาวผุดผ่องทั้งสองของชุ่ยเหลียน สั่นกระเพื่อมปรากฏต่อสายตาของมัน เว่ยฉิงคังใช้สองมือของมันบีบเค้น และดูดกินอย่างตระกละตระกรามโดยทันที
เว่ยฉิงคังกระทำต่อชุ่ยเหลียนด้วยความรุนแรง จนนางถึงกับส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
อาชิวที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องด้วยอาการที่เซื่องซึม ครั้นได้ยินชุ่ยเหลียนส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเช่นนั้น ก็มิอาจทนนิ่งอยู่ต่อไปได้
มันใช้กำลังทั้งหมดที่มีโถมใส่บานประตูจนเซถลาเข้าไปภายในห้อง ภาพที่ปรากฏต่อสายตาของมันก็คือ
ร่างอันเปลือยเปล่าของชุ่ยเหลียน กำลังถูกเว่ยฉิงคังจับเรียวขาทั้งสองของนางอ้าออกจนมองเห็น เนินสวาทของชุ่ยเหลียนที่กำลังเบ่งบานาออกมาอย่างชัดเจน
ใบหน้าของนางมีน้ำตาหลั่งไหลออกมามิได้ขาด อาชิวเห็นเช่นนั้นก็ตรงเข้าไปผลักไสร่างของเว่ยฉิงคังให้ออกไปจากร่างของชุ่ยเหลียนอย่างขาดสติ
เว่ยฉิงคัง รู้สึกตัวว่าที่ด้านข้างมีคนกำลังจู่โจมใส่มัน มันก็หาได้สนใจไม่ ใช้เพียงหลังมือสะบัดออกไป คล้ายกับขับไล่แมลงวันที่มารบกวนมัน หลังมือของมัน
สัมผัสเข้าที่ใบหน้าของอาชิวอย่างเต็มแรง จนร่างของมันสะท้อนกลับไปแล้วล้มลงนอนนิ่งอยู่กับพื้น แล้วหันกลับมาดึงกางเกงของมันลงจนเผยให้เห็นแก่นกาย
อันใหญ่ยาวและแข็งเกร็งของมัน สองมือของมันยึดจับช่วงเอวของชุ่ยเหลียนไว่้อย่างแน่นหนาคล้ายดังคีมเหล็ก แล้วพยายามผลักดันแก่นกายของมันให้ล่วงล้ำ
เข้าไปในโพรงสวาทของชุ่ยเหลียน
แม้ว่าชุ่ยเหลียนจะพยายามดิ้นรนอย่างไรแต่ก็มิสามารถหลุดพ้น โพรงสวาทของนางถูกแก่นกายอันพองโตของมันเบียดแทรกเข้ามาจนนางรับรู้ถึงความคับแน่น
และเจ็บปวด นางพยายามผลักดันทรวงอกของมันไว้ แต่มันกลับใช้มือทั้งสองที่ยึดช่วงเอวของนางไว้ รั้งร่างของนางเข้าหามา จนแก่นกายของมันมุดเข้าไป
ในร่องสวาทของนางจนมิด จากนั้นมันก็กระแทกกระทั้นแก่นกายของมันเข้าใส่เนินสวาทของนางอย่างรุนแรง และเร็วถี่
“ตั๊บ…….ตั๊บ……ตั๊บ……ตั๊บ……ตั๊บ……ตั๊บ……ตั๊บ……ตั๊บ……ตั๊บ……ตั๊บ……”
ชุ่ยเหลียนทิ้งมือทั้งสองลงข้างตัว มิขัดขืนอีกต่อไป ดวงตาของนางเลื่้อนลอยและมีน้ำตาหลั่งไหลออกมามิได้ขาด ร่างของนางสั่นไหวไปตาม
แรงกระแทกกระทั้น ที่เว่ยฉิงคังโหมกระหน่ำใส่เรือนร่างของนางอย่างระรัวถี่
อาชิวนอนนิ่งด้วยเจ็บปวดมึนงงอยู่ที่พื้นห้อง มันจ้องมองเว่ยฉิงคังหาความสุขจากเรือนร่างของชุ่ยเหลียนด้วยความโกรธแค้นอย่างที่สุด
ความเจ็บปวดที่เรือนร่างของมันในขณะนี้ หาเทียบได้กับความเจ็บปวดที่ใจของมันไม่ มันคิดผูกอาฆาตต่อเว่ยฉิงคังไว้แล้วว่า
วันหนึ่งมันจะต้องชำระแค้นนี้ให้จงได้