ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 32 การต่อสู้ของเฟยอี้ และ เว่ยฉิงคัง

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 32 การต่อสู้ของเฟยอี้ และ เว่ยฉิงคัง

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 32 การต่อสู้ของเฟยอี้ และ เว่ยฉิงคัง
โดย zeech

หมอวิปลาสถูกบริวารของมารแมงมุมขาว ช่วยกันลากตัวมันนำไปผูกโยงแขนและขาไว้ในห้องที่มีลูกกรงเหล็กป้องกันไว้อีกชั้นหนึ่ง
อย่างแน่นหนา จนแม้ว่ามันจะพยายามใช้พลังวัตรของมันสลัดให้หลุดจากการผูกโยง ก็ไม่สามารถจะกระทำได้
มันจึงได้คิดว่า แม้ว่าใช้แรงถึงเพียงนี้ก็ยังมิอาจสลัดหลุดออกมาได้ จำจะต้องนิ่งสงบสงวนแรงเอาไว้รอคอยโอกาสที่เหมาะสม
และเมื่อถึงเวลานั้น มันจะสนองคืนนางให้สาสมกับที่ได้กระทำต่อมันไว้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นหมอวิปลาสก็หลับตาลง
แล้วโคจรลมปราณหล่อเลี้ยงร่างกายของมันไว้ในอาการสงบนิ่ง

จนเวลาล่วงเข้าสู่ยามเย็น มารแมงมุมขาวก็ยังไม่ออกจากห้องปรุงยา นางคิดปรุงพิษสะกดวิญญาณต่อหมอวิปลาส เพื่อให้มันกลับกลาย
เป็นมนุษย์หุ่นที่

รับคำสั่งต่อนางโดยซื่อสัตย์ ด้วยวิธีนี้นางจะได้ประโยชน์ถึงสองประการ ประการแรกนางจะใช้มันบุกไปยังวังเบญจธาตุ
เพื่อไปนำเอาคัมภีร์หมื่นพิษมามอบต่อนาง อีกประการหนึ่งนางคิดที่จะทำให้หยางเพ่ยจือเสียใจด้วยการออกคำสั่งให้หมอวิปลาส
กล่าวคำทำร้ายน้ำใจนาง เนื่องด้วยมารแมงมุมขาวมีจิตริษยาอย่างล้ำลึกต่อหยางเพ่ยจือมาแต่เยาว์วัย

ในระหว่างที่นางปรุงยา นางได้ออกคำสั่งให้บริวาร นำอาหารไปให้หมอวิปลาสเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตมันไว้ แล้วในวันรุ่งขึ้นนางก็จะประกอบพิธี
มอบพิษสะกดวิญญาณต่อมัน บริวารทั้งสองพากันนำอาหารมาถึงห้องคุมขังหมอวิปลาส ครั้นพอถึงห้องคุมขังกลับเห็นมันนิ่งสงบคอตกอยู่
ก็เข้าใจว่ามันหลับไหล จึงร้องเรียกให้มันตื่นฟื้นอยู่หลายครั้ง แต่หมอวิปลาสก็ทำแสร้งเป็นไม่ได้ยินยังคงมีอาการดุจดังหลับไหลอยู่เช่นนั้น

บริวารของมารแมงมุมขาวเห็นเช่นนั้น ก็ตัดสินใจเปิดประตูห้องคุมขัง แล้วเข้าไปดูอาการของมันในระยะใกล้ พร้อมกับใช้มือเขย่าที่ใบหน้า
ของมันอยู่ไปมา หมอวิปลาสก็ยังคงแสร้งทำนิ่งดุจดังเดิม บริวารนางหนึ่งจึงกล่าวขึ้นว่า

“พวกเราจะทำเช่นใดดี นำความไปแจ้งต่อท่านประมุขดีหรือไม่”

บริวารอีกนางหนึ่งส่ายหน้าแสดงอาการไม่เห็นด้วย แล้วกล่าวว่า

“ไม่ได้ ท่านประมุขกำลังปรุงพิษสะกดวิญญาณ มิชอบให้ไปรบกวน พวกเราหาหนทางให้มันตื่นฟื้นขึ้นเถอะ”

หมอวิปลาสได้ยินเสียงสนทนาของพวกนางกล่าวถึง การปรุงพิษสะกดวิญญาณ ก็สามารถคาดเดาเรื่องที่จะเกิดขึ้นกับตนได้อย่างกระจ่างแจ้ง
ครั้นเห็นบริวารทั้งสองพยายามเขย่าร่างของตนให้ตื่นฟื้นแล้วไม่เป็นผล จนมีนางหนึ่งใช้มือมาอังที่ปลายจมูกของมัน มันก็แสร้งสะกัดกลั้น
ลมหายใจเสีย

บริวารผู้นั้นครั้นเห็นว่า มันไม่มีลมหายใจก็มีสีหน้าตื่นตระหนก หันมากล่าวกับบริวารอีกผู้หนึ่งว่า

“ทำเช่นไรดี มันตายเสียแล้ว”

บริวารอีกผู้หนึ่งจึงกล่าวว่า

“หากเป็นเช่นนี้ ต้องนำเรื่องไปแจ้งต่อท่านประมุขเสียแล้ว พวกเราเร่งไปเถอะ”

แล้วบริวารทั้งสองก็พากันออกไปจากห้องคุมขังอย่างเร่งรีบ

เมื่อมารแมงมุมขาว ทราบเรื่องจากบริวารทั้งสองก็ร้อนใจนัก ที่แผนการของตนจะต้องล้มเหลวลง ทั้งยังไม่เชื่ออย่างสนิทใจว่า
หมอวิปลาสจะสิ้นชีวิตลงโดยง่าย จึงเร่งเดินทางมายังห้องคุมขังแล้วยืนพิจารณาอาการของหมอวิปลาสอยู่ห่างๆ นางยืนมองอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วตรงเข้าไปตรวจสอบชีพจรของมันดู แล้วส่งเสียงหัวเราะพร้อมกับกล่าวว่า

“ฮ่า….ฮ่า….ฮ่า….เจ้าคนลามก เจ้าสามารถหลอกได้ก็เพียงบริวารของข้า แต่มิสามารถหลอกข้าได้ หากเจ้าต้องการมีร่างที่ไร้วิญญาณ
ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ ข้าก็จะช่วยสงเคราะห์ให้”

แล้วนางก็หันไปสั่งบริวารผู้หนึ่ง ให้ไปนำพิษสะกดวิญญาณที่นางปรุงสำเร็จแล้วมาที่นี่

แล้วนางกกล่าวขึ้นกับมันอีกว่า

“ครั้งนี้ เจ้าจะต้องตกเป็นทาสของข้า เชื่อฟังคำสั่งของข้าไปจนตลอดชีวิต”

หมอวิปลาสได้ยินนางกล่าวเช่นนั้น ก็มั่นใจว่านางต้องใช้พิษสะกดวิญญาณกับตนเป็นแน่ ด้วยในกาลก่อนมันได้เคยทุ่มเทความคิด
ในการช่วยเหลือองค์รักษ์หุ่น จากวังเบญจธาตุมาถึงสามนาง ได้แก่ หยางเพ่ยจือ ฮุ่ยหนิง และ ลี่จิน มันจึงมีความรู้เกี่ยวกับพิษสะกด
วิญญาณเป็นอย่างดี มันรู้ว่านางจะต้องใช้เข็มสะกัดจุดสินฮุ่ยที่กลางกระหม่อมของตน เพื่อหยุดยั้งความนึกคิด ก่อนที่จะมอบพิษสะกด
วิญญาณต่อตน

หมอวิปลาสมีความชำนาญต่อจุดต่างๆในร่างกายมนุษย์ ทั้งยังสามารถเคลื่อนย้ายจุดต่างๆในร่างของตนได้ มันจึงลอบโคจรลมปราณ
สลับปรับเปลี่ยนจุดต่างๆในร่างอย่างรีบเร่ง

จนกระทั่งบริวารของมารแมงมุมขาว เดินกลับเข้ามาพร้อมกับชามใส่พิษสะกดวิญญาณ มารแมงมุมขาวจึงชักเข็มเล่มหนึ่งออกจาก
เข็มขัด แล้วปักเข้าที่จุดสินฮุ่ยบริเวญกลางกระหม่อมของหมอวิปลาสทันที โดยหารู้ไม่ว่า หมอวิปลาสมีความรู้ในพิษชนิดนี้เป็นอย่างดี

ครั้นนางปักเข็มลงไปที่กลางกระหม่อมของมันแล้ว ก็ใช้มือบีบปากของมัน แล้วกรอกพิษสะกดวิญญาณลงไปจนหมดชาม
แต่แล้วนางก็คิดขึ้นได้ว่า หมอวิปลาสมีความสามารถในการปิดกั้นจุดของตนเอง จึงใช้ฝ่ามือฟาดไปที่ที่หน้าอกและช่องท้องของมัน
ถึงสองครั้ง จนหมอวิปลาสสะดุ้งสุดตัวมิสามารถแสร้งหลับอีกต่อไปได้

“ฮ่า….ฮ่า….ฮ่า….ฮ่า….ที่แท้เล่ห์เหลี่ยมของเจ้าก็มีเพียงเท่านี้…รออีกเพียงครู่เจ้าก็จะตกเป็นทาสของข้าแล้ว..ฮ่า….ฮ่า….ฮ่า….”

เวลาล่วงผ่านไปครึ่งชั่วยาม หมอวิปลาสก็มีอาการร่างแข็งเกร็ง ดวงตาของมันจ้องมองนิ่งอยู่เพียงเบื้องหน้า ไม่ขยับร่างแม้เพียงน้อยนิด
มารแมงมุมขาวเห็นอาการของมันเป็นเช่นนั้น ก็เรียกหากระดิ่งจากบริวารแล้วยกสั่นขึ้นพร้อมกับเอ่ยออกมาว่า

“จงหันหน้าไปทางซ้าย”

สิ้นคำสั่ง หมอวิปลาสก็หันใบหน้าไปทางซ้าย แล้วหันไปทางขวา ตามคำสั่งที่ตามมาของนาง มารแมงมุมขาวเห็นอาการที่มันทำตามคำสั่งแล้ว
ก็บังเกิดความยินดีที่แผนการณ์ของนางสำเร็จลงไปขั้นหนึ่งแล้ว นางแย้มยิ้มแล้วสั่งการให้บริวารของนางปลดโซ่ตรวนที่ผูกโยงแขนและขาของมันออก
จนหมอวิปลาสเป็นอิสระต่อพันธนาการแล้ว นางก็สั่นกระดิ่งขึ้นอีกครั้งแล้วออกคำสั่งว่า

“จงมายืนคอยรับคำสั่ง เบื้องหน้าของข้า”

สิ้นคำสั่ง ร่างของหมอวิปลาสก็เคลื่อนร่างเดินตรงมาแล้วหยุดยืน ณ เบื้องหน้าของมารแมงมุมขาว ดวงตาของมันจ้องมองนิ่งมายังดวงตาของนาง
มารแมงมุมขาวครั้นได้สบตากับมันอย่างใกล้ชิด ก็หวลคิดถึงเมื่อครั้งที่ถูกมันลวนลาม ก็บังเกิดความแค้นใจยกฝ่ามือขึ้น หมายจะฟาดลงไปบนใบหน้าของมัน
ให้สมแค้น แต่ในขณะนั้นเอง นางก็พบว่าดวงตาของมันกลับกลอกกลิ้ง แล้วยื่นมือข้างหนึ่งฉุดรั้งฝ่ามือของนางไว้ มารแมงมุมขาวตื่นตระหนกอย่างที่สุด
เตรียมจะพริ้วร่างหลบห่างออกมา แต่ก็ช้าไปเสียแล้วเมื่อหมอวิปลาสใช้มืออีกข้างหนึ่ง พุ่งตรงเข้าจี้สะกัดจุดนางไว้จนไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างใดๆได้

บริวารทั้งสองที่ติดตามมาเห็นว่า ประมุขของตนเสียทีก็ปราดเข้าจู่โจมใส่ร่างของหมอวิปลาส แต่ฝีมือของพวกนางต่ำทรามนัก เพียงพุ่งร่างเข้ามาก็ถูกหมอวิปลาส
สวนดรรชนีออกไปจี้สะกัดจุดนางทั้งสองไว้จนแน่นิ่งอยู่กับที่เช่นเดียวกันกับประมุขของตน

หมอวิปลาสหันกลับมาแล้วหยุดยืนอยู่ ณ เบื้องหน้ามารแมงมุมขาวอีกครั้ง แล้วกล่าวว่า

“เจ้าคิดทำร้ายข้า โดยมิได้ศึกษาให้ดีก่อนว่าข้าคือใคร ข้ามีความเชี่ยวชาญทั้งในเรื่อง พิษ และ ยารักษาโรค รวมทั้งจุดต่างๆในร่างของมนุษย์
อีกทั้งยังรู้จัก พิษสะกดวิญญาณของเจ้าเป็นอย่างดี ข้าจึงได้เคลื่อนย้ายจุดสินฮุ่ยรอไว้อยู่แล้ว ดังนั้นพิษสะกดวิญญาณของเจ้าจึงหาทำสิ่งใดต่อข้าได้ไม่”

แล้วหมอวิปลาส ก็ชูดรรชนีขึ้นข้างหนึ่ง แล้วเกร็งกำลังจี้ไปที่ช่องท้องของตน พลันพิษสะกดวิญญาณที่ถูกนางกรอกเข้าไปในปากเมื่อก่อนหน้านี้ ก็พุ่งออกมาจากปากของมัน
จนหมดสิ้น จากนั้นมันก็จ้องมองดูนางด้วยดวงตาอันหยาดเยิ้ม แล้วกล่าวว่า

“เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า ข้าหลงรักเจ้าตั้งแต่แรกเห็น และแม้ว่าเจ้าจะกระทำต่อข้าถึงเพียงนี้ ข้าก็หาได้โกรธเคืองอันใดเจ้าไม่”

แล้วมันก็ยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าอันผุดผ่องของมารแมงมุมขาวอยู่ไปมา มารแมงมุมขาวมีสีหน้าที่คลั่งแค้นต่อการกระทำของมันยิ่งนัก
นางกล่าวกับมันขึ้นว่า

“อย่าได้เจรจาอ้างตนว่าเก่งกล้าให้มากนัก ผู้กล้ากระทำการใดมักเปิดเผย จงปล่อยข้า แล้วมาประลองฝีมือกันให้รู้แพ้ชนะ”

หมอวิปลาสแย้มยิ้มแล้วกล่าวว่า

“เวลาที่เจ้าทำกับข้า ก็หาได้ใช้วิธีที่เปิดเผย ครั้นถูกข้ากระทำเข้าบ้างกลับเรียกร้องออกมา ข้าหาได้หลงกลเจ้าไม่ แต่ข้ายังมีวิธีที่แสดงให้เจ้าเห็นว่า
ข้านั้นมีความสามารถเช่นไร”

แล้วมันก็ชูดรรชนีของมันขึ้น แล้วจี้ไปบริเวณขมับซ้ายของนาง แล้วกล่าวว่า

“นี่คือจุดไท้หยาง ข้าใช้พลังสะกดจุดเจ้าเพียง 1 ใน 4 ไม่ขาดไม่เกิน อีกเพียงครู่ เจ้าจะมีอาการคันบริเวณใบหน้าจนสุดจะทานทน”

ยังมิทันสิ้นคำ มารแมงมุมขาวก็เริ่มรู้สึกคล้ายดั่งมีมดมาไต่ตอมใบหน้าของนางนับร้อย แล้วทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะจนนางรู้สึกคัน
จนแสนสุดจะทานทน นางส่งเสียงร่ำร้องบอกต่อหมอวิปลาสอย่างกร้าวร้าวขึ้นว่า

“ปล่อยข้า….ปล่อยข้า……..โอววว……ข้าคันเหลือเกิน…..ปล่อยข้า……”

หมอวิปลาส จ้องมองนางแล้วแย้มยิ้มอย่างเยือกเย็น เอ่ยออกมาว่า

“จะขอให้ผู้อื่นกรุณาต่อตน ก็จงใช้ถ้อยคำอันเหมาะสม”

มารแมงมุมขาวคลั่งแค้นใจนัก สู้อดทนกัดฟันทนต่ออาการคันที่รุมเร้านางโดยมิกล่าวคำใดออกมาอีก แต่อาการคันเช่นนี้
มันสุดจะทรมานยิ่งนัก หากแม้นว่าถูกมันฆ่าตายเสียยังดีกว่า จึงตวาดออกมาด้วยเสียงอันดังว่า

“จงฆ่าข้าซะ”

หมอวิปลาสส่ายศรีษะอยู่ไปมา แล้วกล่าวว่า

“ข้ามิสามารถหักใจฆ่านางอันเป็นที่รักของข้าได้”

เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่ ความอดกลั้นของมารแมงมุมขาวก็สิ้นสุดลง นางยินยอมลดความเย่อหยิ่งลงกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบาว่า

“ช่วยเกาให้ข้าด้วย”

หมอวิปลาส แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่นางเอ่ยออกมา แล้วกล่าวว่า

“เจ้าเอ่ยสิ่งใดนะ”

มารแมงมุมขาวกำลังทุกข์ทรมานจากอาการคัน ก็ตวาดด้วยเสียงอันดังว่า

“ช่วยเกาให้ข้าด้วย ! ”

หมอวิปลาสส่ายศรีษะ แล้วกล่าวว่า

“เจ้าต้องรู้จักเรียนรู้ การใช้ถ้อยคำที่อ่อนหวานร้องขอความช่วยเหลือต่อผู้อื่น”

มารแมงมุมขาวในตอนนี้ ยินดีกระทำตามที่มันขอ เพียงเพื่อให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานนี้

“ได้โปรดช่วยเกาให้ข้าด้วย”

หมอวิปลาสได้ยินเช่นนั้นก็แย้มยิ้มอย่างยินดี กล่าวกับนางว่า

“ข้ายินดีที่จะช่วยเหลือเจ้า แต่เจ้าต้องช่วยเหลือข้าเช่นกัน ใจของข้าร้อนรนไปด้วยความรักที่มีต่อเจ้า คล้ายดั่งมีไฟเผาผลาญ
อยู่ในร่าง ข้ายินดีจะเกาให้เจ้าทันที หากว่าเจ้ายินยอมให้ข้าดอมดมจุมพิตเจ้า”

มารแมงมุมขาวได้ยินเช่นนั้น ก็ตาเบิกกว้างจ้องมองมันด้วยความคลั่งแค้น จนมิรู้จะกล่าวคำใดออกมา

“เจ้า…..เจ้า…….”

หมอวิปลาสเห็นอาการนางเป็นเช่นนั้น ก็แสร้งมีท่าทีผิดหวังหันร่างกลับ คล้ายดังจะเดินออกไป

มารแมงมุมขาวเห็นเช่นนั้น ก็ส่งเสียงร่ำร้องออกมา ด้วยเกรงว่ามันจะทิ้งนางไว้ในสภาพเช่นนี้

“ข้า…ข้า….ข้ายินยอมแล้ว เร่งเกาให้ข้าด้วยเถิด…โอววว…ข้าทรมานเหลือเกินแล้ว”

หมอวิปลาสหันหน้ากลับมาด้วยความยินดี มันตรงเข้ามาแล้วใช้มือลูบไล้ใบหน้าของนางด้วยความอ่อนโยนแผ่วเบา
จนมารแมงมุมขาวต้องร้องเตือนขึ้นว่า

“แรงๆ กว่านี้ได้หรือไม่….อุ๊บบบ….”

ยังมิทันที่นางจะได้กล่าวถ้อยคำหมดสิ้น หมอวิปลาสก็จรดริมฝีปากของมันลงบนริมฝีปากของนางอย่างแนบสนิท
พลางเคลื่อนนิ้วมือของมันคลายจุดคันให้แก่นาง แล้วส่งลิ้นของมันล่วงล้ำลงไปพันพัวกับลิ้นของนางอย่างไม่จบสิ้น
มารแมงมุมขาว ตั้งแต่ถือกำเนิดมาก็พึ่งเคยได้รับรสจุมพิตจากบุรุษเป็นครั้งแรกของชีวิต ครั้นถูกลิ้นของมันล่วงล้ำ
พัวพันเข้ามาเช่นนี้ ก็บังเกิดความวาบหวิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ใจของนางสั่นไหว ตลอดร่างของนางอ่อนแรง
จนแทบทรงกายไว้ไม่อยู่ หมอวิปลาสรวบร่างของนางไว้ในอ้อมแขนแล้วพานางเดินออกไปยังห้องห้องหนึ่ง แล้ววาง
ร่างของนางลงแท่นหิน

ครั้นร่างของมารแมงมุมขาวนอนราบลงกับแท่นหิน นางก็พลันมีสติกลับคืนมา ส่งเสียงด่าทอ หมอวิปลาสขึ้นว่า 

เรื่องเสียว อ่านเรื่องเสียว เล่าเรื่องเสียว ประสบการณ์เสียว เรื่องเล่าเสียว เล่าเสียว อ่านเสียว เรื่องเสียวแม่ลูก doujin sak รวมเรื่องเสียว

“เจ้าคนชั่วช้าต่ำทราม เจ้าอย่าได้คิดล่วงเกินข้าเป็นอันขาด แม้เจ้าจะทำเช่นไรอย่างมากก็ได้เพียงร่างของข้า
แต่อย่าหวังว่าข้าจะมีใจต่อเจ้า”

หมอวิปลาส หยุดรอยยิ้มของมันลงทันที แล้วกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึมว่า

“ข้ายังมีอีกวิชาสกัดจุดอีกวิชาหนึ่งจะแสดงต่อเจ้า ที่จุดจว่อไท่หยาง และ อิ้วไท่หยาง เป็นจุดควมคุมความรู้สึกร้อน
และเย็นในร่างของมนุษย์ หากข้าจี้จุดทั้งสองนี้พร้อมกันด้วยกำลังเพียงแผ่วเบา เจ้าก็จะรู้สึกร้อนรุ่มจนมิอยากมีอาภรณ์
ใดๆปกปิดร่างของเจ้า ข้าจะทำให้เจ้าร้องบอกต่อข้าเองให้เปลื้องผ้าของเจ้า”

สิ้นคำมันก็ใช้ดรรชนีทั้งสอง จี้เข้าไปที่ขมับซ้ายและขวาของนางพร้อมกัน โดยมิฟังคำทัดทานใดๆของนาง

“ไม่…ไม่….อย่า….อย่าทำเช่นนั้น….”

ทันทีที่มันเคลื่อนพลังจากปลายนิ้วเข้าสู่จุด จว่อไท่หยาง และ อิ้วไท่หยาง ของนาง มารแมงมุมขาวก็รู้สึกว่า สภาพอากาศ
ในห้องแปรเปลี่ยนเป็นอุ่นร้อน แล้วทวีเป็นความอบอ้าวอย่างเหลือเกิน ยิ่งเวลาผ่านไปนางก็ยิ่งรู้สึกว่าอากาศร้อนอบอ้าวขึ้นเรื่อยๆ
จนมีเม็ดเหงื่อผุดออกมาตามผิวหนังโดยทั่ว นางทอดถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวว่า

“ต่อให้ข้าทุกข์ทรมานจนตาย ข้าก็จะไม่เอ่ยปากต่อเจ้า”

แล้วนางก็สู้กัดฟันทนต่อความทุกข์ทรมานนั้น แต่ยิ่งนาน ความร้อนรุ่มนั้นก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นทุกขณะ จนภายในใจของนาง
หวนคิดถึงคำพูดของมันเมื่อก่อนหน้านี้ แล้วบังเกิดความต้องการเปลื้องผ้าออกจากร่างตามคำของมัน

แต่ทิฐิมานะ และความอับอายประจำนิสัยอิสตรี ย่อมไม่ยินยอมโดยง่ายที่จะเปลื้องผ้าต่อหน้าบุรุษเพศ จึงหลับตาลง
คิดยอมตายในสถานะนี้

หมอวิปลาสเห็นเช่นนั้นก็หยั่งทราบในอาการของนาง มันครุ่นคิดพยายามหาหนทางให้นางให้นางต้องยอมเอ่ยปากออกมา จนในที่สุดก็บังเกิด
ความคิดสว่างวาบขึ้นในสมอง แล้วตรงเข้าไปลูบคลำบริเวณสายรัดเอวของนาง ท่ามกลางความตื่นตระหนกร่ำร้องด่าทอของนาง

“เจ้าคนชั่วช้า ไร้วาจาสัตย์ ข้ายังมิได้เอ่ยวาจาใดๆ เจ้าก็เข้ามาล่วงเกินข้าแล้ว เจ้าหาใช่ชายชาตรีไม่”

หมอวิปลาสหยิบขวดยาสีขาวออกมาจากสายคาดเอวของนาง แล้วแย้มยิ้มอย่างพึงพอใจ ก่อนที่จะหันไปสบตากับมารแมงมุมขาว
แล้วกล่าวว่า

“ข้าจะให้เจ้าได้ทดลอง หญ้าเผยใจ ของเจ้าเองบ้างว่ามันมีรสชาติเช่นใด”

แล้วมันก็เทยาออกจากมาจากขวดหนึ่งเม็ดใส่เข้าไปในปากของนางในทันที แล้วยืนยิ้มให้แก่นางอย่างอ่อนหวานอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนจะเอ่ยปากถามนางขึ้นว่า

“เจ้ารู้สึกรุ่มร้อนบ้างแล้วหรือไม่”

มารแมงมุมขาวแม้มิเต็มใจจะเอ่ยปากตอบคำของมัน แต่ปากของนางกลับเอื้อนเอ่ยออกมาตามที่ใจนางคิดว่า

“ข้าร้อนเหลือเกิน รุ่มร้อนยิ่งนัก”

หมอวิปลาสจึงถามขึ้นอีกว่า

“เช่นนั้นเจ้าต้องการเปลื้องผ้าออกหรือไม่”

มารแมงมุมขาวมิสามารถต้านทานต่อฤทธิ์ของหญ้าเผยใจได้ กล่าวคำออกมาตามที่ใจนางคิดว่า

“ข้าต้องการเปลื้องผ้าออกยิ่งนัก แต่ข้ามิสามารถกระทำเองได้”

“เจ้าต้องการให้ช่วยเปลื้องผ้าของเจ้าหรือไม่”

มารแมงมุมขาว ร้อนรนตอบคำออกมาตามที่ใจคิดทันที

“ไม่…ไม่นะ….ข้าไม่ต้องการ”

หมอวิปลาสไถ่ถามรุกเร้านางเช่นนี้อีกถึงสามครั้ง ก็ได้รับคำปฏิเสธจากนางดุจเดียวกัน จนมันถามขึ้นในครั้งสี่
ความรุ่มร้อนในร่างของนางก็บีบคั้น ทำให้ใจของนางกล่าวตอบคำของมันออกมาว่า

“ช่วยเปลื้องผ้าให้ข้าด้วย ข้ารุ่มร้อนเหลือเกินแล้ว”

ปากของนางพูดออกมา แต่สีหน้าของกลับตื่นตระหนก คล้ายยังไม่ต้องการให้มันกระทำตามที่ปากของนางพูดออกมา

หมอวิปลาสได้ยินเช่นนั้น ก็หัวเราะเสียงดังออกมาอย่างพึงพอใจ กล่าวต่อนางขึ้นว่า

“ฮ่าๆๆๆๆ….ในที่สุด เจ้าก็เอ่ยปากยินยอมออกมาแล้ว……ฮ่าๆๆๆๆๆ ……”

สิ้นคำหมอวิปลาสก็ตรงเข้าปลดสายคาดเอวของนางออก อย่างรวดเร็ว แต่แล้วกลับได้ยินเสียงของนางกล่าวขึ้นว่า

“ไม่….ไม่…ข้าไม่ยินยอม…..”

หมอวิปลาสหันไปสบตากับนางแล้วกล่าวขึ้นว่า

“ใยวาจาของเจ้าจึงกลับกลอกไปมา เช่นนี้ ข้าจะลงมือกระทำตามคำของเจ้าแล้ว”

แล้วหมอวิปลาสก็เปลื้องเสื้อผ้าท่อนบนของนางออกจนหมด เผยให้เห็นทรวงอกงามเต่งตึงทั้งสองของนางอย่างชัดถนัดตา
จนนางบังเกิดความละอายอย่างที่สุด แต่ก็มิสามารถกระทำสิ่งใดได้ นางจึงได้แต่ปิดตาลงมิกล้าสบตากับหมอวิปลาส

แม้มารแมงมุมขาวจะมีวัยล่วงเข้าสู่สามสิบปีแล้ว แต่ทรวงอกของนางกลับชูชันดุจดังดรุณีวัยสิบแปดสิบเก้า
หมอวิปลาสในยามนี้เอง ก็ยืนนิ่งจ้องมองทรวงอกของนางอย่างเงียบงัน มันเองก็มิคาดคิดว่าเรือนร่างของนางจะมีความงดงามเช่นนี้
ไฟแห่งกำหนัดของมันลุกโชนขึ้นจนมิอาจหยุดยั้งเสียแล้ว มันเอื้อมสองมือของมันไปปลดอาภรณ์ที่ปกปิดท่อนล่างของนางออกจนเปลือยเปล่า
อย่างเร่งร้อน ด้วยมันต้องการเห็นเรือนร่างของนางทั้งหมดว่าจะมีความสวยงามประการใด

“อย่า……อย่า……อย่าทำเช่นนั้น…….”

แม้นางจะส่งเสียงร้องห้ามเช่นไร หมอวิปลาสก็หาได้สนใจ มันมีความตั้งใจอยู่แล้วว่าหากเมื่อใดที่มันหลุดรอดออกมาได้
มันจะทำให้นางสยบต่อมัน และตกเป็นทาสสวาทของมันไปจนตลอดชีวิต

อาภรณ์ชิ้นสุดท้ายหลุดพ้นไปจากร่างของนาง เผยให้เห็นเรียวขางามกลมกลึงทั้งสอง ที่อ้าออกอยู่เพียงเล็กน้อย
กึ่งกลางแห่งเรียวขานั้นคือเนินเนื้อขาวผุดผ่องอันนูนเด่นออกมาอย่างชัดเจน หมอวิปลาสยืนจ้องมองดูอยู่ ณ ตำแหน่งที่ปลายเท้าของนาง
ภาพที่มันเห็นจึงยิ่งชัดต่อสายตาของมันยิ่งนัก มันจ้องมองดูร่องสวาทของนางที่ปิดสนิทอยู่ ณ เบื้องหน้ามันด้วยดวงตาที่พองโต แล้วเอื้อมมือ
จับเรียวขาของนางแยกออกจนจนเผยให้เห็นติ่งเนื้อน้อยของนางอย่างชัดเจน มันคิดที่จะตรงเข้าไปกลืนกินที่ส่วนนั้นของนาง ตามแรงเร้า
แห่งกำหนัดของมัน

“หยุดนะ…ข้ามิได้เอ่ยปากว่ายินยอมใหเจ้าล่วงเกินข้า เช่นนั้นเจ้าจะกระทำเช่นนี้มิได้”

มารแมงุมขาว ใช้ความพยายามครั้งสุดท้ายหยุดยั้งมันไว้

หมอวิปลาสหยุดชะงักนิ่ง แล้วจ้องมองนางพลางคิดอยู่ภายในใจว่า

“เราจำต้องให้นางผู้นี้ สยบต่อเราด้วยถ้อยคำของนางเองให้จงได้”

แล้วมันก็กล่าวกับนางขึ้นว่า

“เราทั้งสองอยู่ในสภาวะเช่นนี้แล้ว เจ้ายังคิดว่าจะสามารถหลุดรอดจากน้ำมือของข้าไปได้ เช่นนั้นรึ”

มารแมงมุมขาวมองออกว่า หมอวิปลาสผู้นี้มีความทะนงในความรู้ของตนเองยิ่งนัก จึงกล่าวคำเพื่อหาช่องทาง
หลุดรอดไปจากสภาวะคับขันนี้ขึ้นว่า

“หากเจ้าไม่มีความสามารถทำให้ข้าต้องเอ่ยปากออกมาเอง เจ้าก็มิสมควรลวนลามข้า”

หมอวิปลาสจ้องมองเรือนร่างเปลือยเปล่าของนางอย่างนึกเสียดาย แล้วหันไปสบตากับนางพลางกล่าวขึ้นว่า

“ก็ได้ …ข้าจะทำให้เจ้าต้องเอ่ยปากออกมาเองให้จงได้ ความจริงข้ามียาอยู่ชนิดหนึ่ง มีชื่อว่า เหมยฟ้ารัญจวน
หากข้าใช้ยานี้กับเจ้า เจ้าก็จะตกเป็นของข้าอย่างง่ายดาย แต่ครั้งนี้ข้าจะไม่ใช้ยานี้กับเจ้า ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นว่า
ข้านี้แม้มีเพียงสองมือเปล่าๆ ก็สามารถทำให้เจ้าเอ่ยปากยินยอมต่อข้าได้อย่างง่ายดายเช่นกัน”

สิ้นคำหมอวิปลาสก็หลับตาลง มันวาดฝ่ามือทั้งสองขึ้นมาในระดับอก แล้วถ่ายเทพลังลมปราณไปที่มือทั้งสองครู่หนึ่ง
แล้วลืมตาขึ้น พร้อมกับจี้ดรรชนีของมันไปที่ร่างของนางอย่างรวดเร็วถึงห้าจุด อันได้แก่ หน้าผาก เหนือยอดถันทั้งสอง
กึ่งกลางท้อง และเหนือเนินสวาท แล้วยืนยิ้มคล้ายกับรอคอยผลอันน่าพึงพอใจที่จะมาถึงในไม่ช้า

มารแมุมขาวเห็นมันใช้วิชาสกัดจุดบนร่างของตน ก็อดความสงสัยไว้มิได้ เอ่ยถามออกมาว่า

“เจ้าทำอะไรกับข้า”

หมอวิปลาสหัวเราะอยู่ในลำคอ แล้วกล่าวว่า

“ฮ่าๆๆ ในเรือนร่างของมนุษย์ มี 36 จุดหลัก ในแต่ละจุดหลักจำแนกออกเป็นอีก 108 จุดย่อย ข้าสามารถจดจำมันไว้ได้ทั้งหมด
อีกทั้งยังล่วงรู้ด้วยว่าในแต่ละจุดมีความสัมพันธ์ต่อกันเช่นไร เมื่อครู่ข้าได้สกัดจุดบนร่างของเจ้าถึงห้าจุดพร้อมกัน คือ อิ้นถาง จว่อหยู่เสี้ย
อิ้วหยู่เสี้ย จงจี๋ และ หยินเหมิน จุดทั้งห้านี้ควบคุมประสาทสัมผัสในร่างของมนุษย์ หากใช้พลังปราณกระตุ้นในระดับที่เสมอกันพร้อมกันทั้งห้าจุด
คนผู้นั้นจะบังเกิดอาการขนลุกชันไปทั้งร่าง และติดตามมาด้วยอาการซ่านเสียวไปทุกรูขุมขนจนมิอาจจะทานทน เจ้าจะมีอาการดุจดัง
หญิงร่านสวาท ร่ำร้องอ้อนวอนให้ข้าสัมผัสกายของเจ้า ฮ่าๆๆๆๆๆ”

มารแมงมุมขาวได้ยินเช่นนั้นก็ตาเบิกกว้างตื่นตกใจกับคำตอบของมัน นางมิคาดคิดว่าจะมีวิชาสกัดจุดเช่นนี้บังเกิดขึ้น

จึงร้องกล่าวตอบมันไปว่า

“ข้าไม่เชื่อ…ข้าไม่เชื่อว่า จะมีผู้ใดคิดค้นวิชาลามกสัปดนเช่นนี้ขึ้น…เจ้าโป้ปดข้าใช่หรือไม่”

หมอวิปลาสหยุดหัวเราะแล้วหันมากล่าวกับนางว่า

“ข้าเป็นผู้ค้นคิดวิชานี้ขึ้น เพราะข้าเป็นบุคคลเช่นนี้ชาวยุทธจึงให้สมญานามต่อข้าว่า หมอวิปลาส ยังไงเล่า”

มารแมงมุมขาวเงียบงันไม่ตอบคำของมัน เพราะในตอนนี้ทั้งร่างของนางเริ่มบังเกิดอาการขนลุกชันไปทั่วร่าง แล้วตามติดมาด้วย
อาการหนาวสะท้าน มันมิได้เกิดจากความหนาวเย็น แต่เกิดจากความต้องการที่จะได้รับสัมผัสจากบุรุษเพศ ซึ่งนางเองก็มิเคยเป็นมาก่อน
ที่ปลายยอดทรวงอกทั้งสองของนางเริ่มมีอาการแข็งและชี้ชันขึ้นมาจนเห็นได้ชัด และที่ยิ่งไปกว่านั้นนางรู้สึกว่าร่องสวาทของนาง
เริ่มบังเกิดความชื้นแฉะขึ้นแล้ว

หมอวิปลาสเห็นอาการของนางเป็นเช่นนั้น ก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข มันเร่งเปลื้องผ้าของมันออกจนเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่า
แล้วยืนจ้องมองนางอย่างจดจ่อรอคอยคำเชื้อเชิญจากนาง

มารแมงมุมขาวจ้องมองร่างเปลือยเปล่าของหมอวิปลาส ที่ห่างออกไปเพียงช่วงแขน ภาพแก่นกายอันแข็งเกร็งออกมันที่ชี้ยาวออกมาพร้อมกับ
ผงกส่วนหัวขึ้นลง ทำให้ความรู้สึกของนางยิ่งวาบหวามจนเสียวซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย นางพยายามฝืนต่อความรู้สึกที่กำลังรุมเร้าอยู่ขณะนี้
อย่างสุดความสามารถ จนในที่สุดนางก็ใช้วิธีปิดตาลง เพื่อยับยั้งความรู้สึกนั้น

หมอวิปลาสเห็นเช่นนั้นก็ขัดใจนัก แต่พลันมันก็คิดขึ้นได้ว่านางได้กินหญ้าเผยใจเข้าไปแล้ว มันจึงกล่าวต่อนางว่า

“เจ้ารู้สึกเช่นไรบ้าง”

มารแมงมุมขาวกล่าวตอบออกมาทั้งที่ตาของนางยังปิดอยู่ว่า

“ข้า…อืมมมม…..ข้าต้องการเจ้า”

มารแมงมุมขาวกล่าวออกไปแล้วก็ต้องรู้สึกตื่นตระหนกกับถ้อยคำของตนเอง เร่งรีบกล่าวแก้ออกมาในทันทีว่า

“ไม่…ข้าไม่ต้องการ…อย่าได้เข้ามาเป็นอันขาด”

หมอวิปลาสแย้มยิ้ม แล้วจ้องมองทรวงอกคู่งามของนางพลางกล่าวว่า

“ทรวงอกของเจ้าชี้ชันเช่นนี้ เจ้าต้องการให้ข้าสัมผัส และดูดกินบ้างหรือไม่”

มารแมงมุมขาวตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ แต่ปากของนางกลับพูดในสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในใจออกมา

“ข้า..ข้าต้องการให้เจ้าลูบไล้สัมผัสข้า….ข้าต้องการเจ้าเหลือเกินแล้ว…”

เมื่อหมอวิปลาสได้ยินเช่นนั้นก็ไม่รอช้า มันเร่งรีบทรุดกายลงแล้วใช้สองมือของมันลูบไล้เค้นคลึงทรวงอกของนางในทันที
ปลายยอดถันของนางถูกสองนิ้วของมันบี้บด แล้วใช้ปากดูดกินสลับไปมาทั้งสองข้างอย่างหื่นกระหาย มารแมงมุมขาวถูก
มันตอบสนองความต้องการที่แฝงอยู่ภายใน ก็มิอาจปิดบังซ่อนเร้นความรู้สึกไว้ได้อีกต่อไป นางนิ่วหน้าเผยอริมปากออก
แล้วส่งเสียงครางออกมาด้วยความซ่านเสียวอย่างที่สุด

“โอวววว……ซี๊ดดดดดด…………โอววววววววววววว……..อืมมมมมมม……..ซี๊ดดดดดดดด…….”

หมอวิปลาสรอคอยโอกาสที่จะเชยชมเรือนร่างของนางอยู่นานแล้ว ยิ่งเห็นนางบังเกิดอาการตอบสนอง มันก็ยิ่งคิดที่จะเพิ่มพูน
ความกำหนัดให้แก่นางมากขึ้น มือของมันลูบไล้ไปตามเรียวขานวลเนียนของนาง ขณะที่ใบหน้าของมันยังคงจ่อมจม
โลมเลียทรวงอกของนางอยู่ไม่ห่าง แล้วมือของมันก็วกกลับเข้ามาเกาะกุมเนินสวาทของนางไว้จนเต็มฝ่ามือจนมันรับรู้ถึง
ความอวบอูมของเนินเนื้อที่มันเกาะกุมอยู่ แล้วพลันบังอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้น จึงแปรเปลี่ยนเป็นบดบี้และเค้นคลึงจนรู้สึกได้
ถึงความฉ่ำเยิ้มของนาง

หมอวิปลาสผลักดันขาของนางให้กว้างออกไปอีก แล้วใช้ปลายนิ้วของมันบดบี้ติ่งสวาทของจนระรัวถี่ ครั้งนี้ถึงกับสร้างความซ่านเสียว
ให้แก่นางจนต้องถึงกับร่ำร้องออกมา

“อ๊ายยย….ซี๊ดดดดด…………….อ๊ายยย….ซี๊ดดดดด…………….อ๊ายยย….ซี๊ดดดดด…………….”

ความฉ่ำเยิ้มของนางเพิ่มพูนขึ้น จนชุ่มฉ่ำไปทั้งมือของมัน แต่หมอวิปลาสชมชอบเห็นสตรีทรมานกับความซ่านเสียวยิ่งนัก
มันคิดที่จะกลั่นแกล้งให้นางต้องถึงกับร้องขอต่อมัน มันจึงคลายจุดที่สกัดให้นางหยุดนิ่งออก แล้วเคลื่อนใบหน้าของมันไปที่กลาง
หว่างขาของนาง มันส่งปลายลิ้นของมันหมุนวนอยู่ไปมาที่บริเวณร่องสวาท และติ่งเสียวพร้อมกับเหลือบดูอาการของนาง

มารแมงมุมขาวแม้คลายจุดที่สกัดออกแล้ว แต่นางก็หาได้เคลื่อนย้านร่างหลบหนีไปไม่ ยิ่งถูกลิ้นของมันจู่โจมเข้ามาที่เนินสวาท
ของนางอย่างระรัวถี่ เสียงร้องของนางก็ยิ่งดังขึ้น นางรู้สึกเคลิบเคลิ้มดื่มด่ำกับสัมผัสที่หมอวิปลาสกระทำต่อนาง บางคราความเสียวซ่าน
นั้นก็พุ่งพวยขึ้นใกล้จะถึงขีดสุขแห่งความสุขสม แต่หมอวิปลาสก็แกล้งหยุดเสียให้นางคั่งค้างอยู่เพียงนั้น แล้วกลับมากระทำเล้าโลมซ้ำ
ให้นางก่อเกิดความซ่านเสียวขึ้นอีก มันกระทำเช่นนี้อยู่หลายครั้งจนนางทรมานอย่างที่สุด

“ซี๊ดดดด……อ้าาาาา……ซี๊ดดดด……อ้าาาาา……ข้าเสียวเหลือเกิน….ซี๊ดดดดด……..อ้าาาาาา……”

หมอวิปลาสยังกลั่นแกล้งนางไม่สาสมต่อใจของมัน มันต้องการเห็นนางร่ำร้องขอมันเป็นสามี มันจึงแปรเปลี่ยนจากใช้ลิ้นโลมเลีย
มาเป็นอมติ่งสวาทของนางเอาไว้ในปากแล้วดูดกินอย่างรุนแรง ครั้งนี้มารแมงมุมขาวถึงกับแอ่นเนินสวาทของนางขึ้นจากพื้น
แล้วร่ำร้องออกมาอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย

“อ๊ายยยย…..อ๊ายยยยย…อ๊ายยยยยย……อ๊ายยยย…..อ๊ายยยยย…อ๊ายยยยยย……อ๊ายยยย…..อ๊ายยยยย…อ๊ายยยยยย……”

แล้วมันก็หยุดนิ่งมองดูนางหายใจอย่างหอบถี่ แล้วกระทำต่อนางซ้ำอีก

“อ๊ายยยยย……….อ๊ายยยยยยยยย…..อ๊ายยยยยย…..อ๊ายยยยย…….อ๊ายยยยยยยยย………อ๊ายยยยยย…..”

มันกระทำเช่นนี้ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า โดยมิยินยอมให้นางถึงจุดสุขสม จนนางบังเกิดความกระสันต์รัญจวนใจอย่างที่สุด
แล้วลืมในความอับอายไปสิ้น นางส่งสายตาอย่างโหยหาไปยังหมอวิปลาส แล้วเอ่ยออกมาว่า

“ข้า…ข้าต้องการเจ้า….ต้องการแก่นกายของเจ้า……ช่วยข้าด้วย…ข้าทนไม่ไหวแล้ว….”

หมอวิปลาสได้ฟังเช่นนั้นก็มีความสุขยิ่งนัก กล่าวกับนางขึ้นว่า

“เจ้าต้องการให้ข้าเป็นสามีของเจ้าแล้ว ใช่หรือไม่”

“ใช่…ข้าต้องการให้เจ้าเป็นสามีของข้า”

“เจ้าต้องการแก่นกายของข้าหรือไม่”

“ข้า..ข้าตองการแก่นกายของเจ้า”

หมอวิปลาสแย้มยิ้มออกมาอย่างมีชัยแล้วกล่าวกับนางว่า

“เช่นนั้นเจ้าต้องลิ้มรสของมันด้วยปากของเจ้าเสียก่อน ข้าจึงยินยอมเป็นสามีของเจ้า เจ้าจะกระทำหรือไม่”

มารแมงมุมขาวตอบคำมันในทันทีว่า

“ข้ายินยอมกระทำ”

หมอวิปลาสได้ยินเช่นนั้น ก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความยินดี แล้วก้าวเท้าเข้าไปจนแก่นกายของมันจ่ออยู่ที่ริมฝีปากของนาง
มารแมงมุมขาวมองเห็นแก่นกายของมันอย่างใกล้ชิด ก็ยิ่งบังเกิดความวาบหวิวขึ้นในอารมณ์มากยิ่งขึ้น นางเผยอริมฝีปากงามออก
แล้วรับเอาแก่นกายอันแข็งเกร็งของมันเข้าไว้ในปากของนางเกือบครึ่งลำ

หมอวิปลาสได้รับสัมผัสความหยุ่นนิ่มและอบอุ่นจากช่องปากของนาง แล้วบังเกิดความเสียวซ่านอย่างที่สุด มันมองดูใบหน้างามของนาง
ที่กำลังอมแก่นกายของมันไว้จนเต็มปาก สองมือของมันเกาะกุมศรีษะของนางไว้ แล้วขยับบั้นเอวของมันเข้าและออกจากปากของนางอย่างเชื่องช้า

“โอ้ววววว…..ปากของเจ้าช่างนุ่มนิ่มยิ่งนัก……โอ้วววว…….”

มันส่งแก่นกายของมันเข้าและออกจากปากของนางได้ครู่หนึ่ง ก็ต้องหยุดการกระทำลงด้วยเกรงว่าจะถึงจุดสุขสมไปเสียก่อน
แต่มารแมงมุมขาวกลับมิได้อยู่เฉย นางตวัดลิ้นของนางอยู่ไปมา แล้วดูดกินแก่นกายของมันอย่างรุนแรงจนหมอวิปลาสก็ถึงกับจิกปลายเท้าลงกับพื้น
ด้วยความซ่านเสียวอย่างที่สุด แล้วร่ำร้องต่อนางว่า

“โอ้ววววว….ซี๊ดดดดด………พอก่อน…จงหยุดก่อน…..”

แต่มารแมงมุมขาวยังคดูดกินแก่นกายมันอย่างต่อเนื่อง จนมันเข้าสู่สภาวะใกล้ถึงจุดสุขสม มันจึงเร่งสะกัดจุดตัวเองไว้มิให้หลั่งใหล
ธารารักของมันออกมาแล้วชักแก่นกายออกจากปากของนางได้ทันท่วงที

“ปากของเจ้า ช่างร้ายกาจยิ่งนัก ข้าจะทดลองดูว่า เนินสวาทของเจ้าจะเป็นเช่นปากของเจ้าหรือไม่”

สิ้นคำ หมอวิปลาสก็เคลื่อนร่างไปที่กลางหว่างขาของนางอีกครั้ง มันจับเรียวขาทั้งสองของนางขึ้นพาดบนบ่าของมัน
แล้วจับแก่นกายของมันถูไถอยู่ไปมาที่ร่องสวาทของนาง

มารแมงมุมขาวแอ่นสะโพกขึ้นด้วยอาการที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ต้องการให้มันทิ่มแทงแก่นกายของมันเข้ามา
หมอวิปลาสจึงผลักดันส่วนหัวของแก่นกายมันผลุบหายเข้าไปในร่องสวาท แล้วขยับบั้นเอวมันอีกครั้ง จนแก่นกายของมัน
ฝ่าด่านพรหมจรรย์จมมิดหายเข้าไปในคูหาสวรรค์ของนาง

ทันทีที่แก่นกายของมันผลุบหายเข้าไปในร่องสวาทของนางจนมิด มันก็รับรู้ได้ถึงความคับแน่นและฉ่ำเยิ้ม ทั้งยังมีอาการตอดรัด
อย่างรุนแรงจากนาง มันรู้ตัวโดยทันทีว่า ในสภาวะเช่นนี้หากปล่อยเนิ่นช้าไป มันจะกลับกลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ มันจึงมิรีรออีกต่อไป
สองมือของมันยึดจับบั้นเอวของนางไว้แล้วกระแทกกระทั้นลงไปอย่างระรัวถี่ในทันที

“ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…”

มารแมงมุมขาวถูกมันทิ่มแทงอย่างกระแทกกระทั้นเช่นนั้น ก็สาสมแก่อารมณ์กำหนัดที่มากล้นของนางยิ่งนัก
สองมือของนางจิกลงบนท่อนแท่นแขนอันกำยำของมัน พลางส่งเสียงร่ำร้องออกมา ด้วยความซ่านเสียวอย่างที่สุด

“โอ้วววว…ซี๊ดดดด…..โอ้วววว…ซี๊ดดดด…..โอ้วววว…ซี๊ดดดด…..โอ้วววว…ซี๊ดดดด…..โอ้วววว…ซี๊ดดดด…..”

ครั้งนี้หมอวิปลาสมิได้กลั่นแกล้งนางอีกต่อไป มันเองก็อยู่ในสภาวะที่ต้องการไปถึงจุดสุขสมโดยเร็วเช่นกัน
มันจึงกระแทกกระทั้นลงไปที่ร่างของนางอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งเสียงเนื้อกระทบกันของคนทั้งสอง ทั้งเสียงร่ำร้อง
ที่ต่างปลดปล่อยออกมาอย่างกระชั้นถี่ ดังออกมาระคนกันอย่างต่อเนื่อง

“ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ….”ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…”ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ”

“ซี๊ดดดดด……อืมมมมม……….ซี๊ดดดดดด……อ้าาาาา………ซี๊ดดดดด…….อืมมมมมม………ซี๊ดดดดดดด…..”

จนในที่สุด

“โอ้ววววววววว………………ข้าาาาา…..โอ้ววววววววววววว………….”

มารแมงมุมขาว แอ่นร่างขึ้นจากพื้นแล้วค้างนิ่งพร้อมกับจิกนิ้วลงบนแขนของมันอย่างรุนแรง นางไปถึงจุดสุขสมอย่างเสียวซ่านที่สุดในชีวิต
จนปลดปล่อยเสียงร่ำร้องดังยาวออกมา พร้อมกันนั้นหมอวิปลาสเองก็ปลดปล่อยน้ำรักของมันจนไหลทะลักล้นออกมาสู่ภายนอก
แล้วทอดร่างลงตระกองกอดนางไว้ในอ้อมแขนของมันอย่างอ่อนเพลีย

——–

เว่ยฉิงคัง เดินทางกลับมายังวังเบญจธาตุ ก็สั่งให้บริวารพากันไปตกแต่งสถานที่เพื่อจัดงานสถาปนาตนเองเป็นประมุขแห่งยุทธภพ
โดยจะมีเหล่าชาวยุทธที่ถูกมันบีบบังคับให้ยุบสำนักทั้งหลายมาร่วมเป็นสักขีพยานในวันพรุ่งนี้ เว่ยฉิงคังยืนนิ่งอยู่บนเชิงเทินของวัง
แล้วส่งสายตามองไปยังท้องฟ้าที่เวิ้งว้าง จิตใจของมันในยามนี้พองโตและเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจว่า ในที่สุดมันก็ก้าวมาถึงจุดสูงสุด
แห่งยุทธภพนี้แล้ว มันส่งเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกับกู่ร้องด้วยเสียงอันดังว่า

“ท่านพ่อ…….ในที่สุดข้าก็ทำสำเร็จแล้ว……ข้าคือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุทธภพแห่งนี้…….”

“ข้าคือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุทธภพแห่งนี้…….”

“ข้าคือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุทธภพแห่งนี้…….”

มันกู่ร้องเช่นนี้อยู่หลายครั้ง ด้วยความฮึกเหิมความลำพองใจ ขณะนั้นเองสายตาของมันก็เหลือบไปเห็นกลุ่มคนราวยี่สิบคน
กำลังเดินทางใกล้เข้ามายังวังเบญจธาตุ มันจึงคิดสงสัยนักว่าคนกลุ่มนี้คือใครกัน เพราะหากว่าเป็นชาวยุทธที่จะมาร่วมงาน
คงจะต้องเดินทางมาในวันพรุ่งนี้ มันจึงร้องสั่งต่อบริวาร ให้ไปเร่งไปสังเกตการณ์ว่าคนกลุ่มนี้คือใครกัน

พอมันทราบว่ากลุ่มคนเหล่านั้นคือใคร ก็เร่งลงมาจากเชิงเทินแล้วนั่งเป็นสง่าอยู่ในห้องโถงใหญ่ของวังเบญจธาตุ
กลุ่มคนที่เดินทางเข้ามานี้ก็คือ บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ทิกุ้ยชิ้ว หลวงจีนหลี่เต๋อ ลิ่มบ้อฮวย เฟยอี้และเหล่าภรรยาของมัน คณะเดินทางถูกบริวาร
ของเว่ยฉิงคังเชื้อเชิญให้เข้าไปในห้องโถงใหญ่ โดยมีเว่ยฉิงคังนั่งรออยู่แล้ว

ครั้นบ้อเมี่ยวเล่านั้ง เห็นเว่ยฉิงคังก็อดใจไว้ไม่ได้ยกมือขึ้นชี้หน้ามันแล้วกล่าวขึ้นว่า

“เว่ยฉิงคัง เจ้ายังจดจำข้าได้อยู่หรือไม่ จงคืนคัมภีร์ลมปราณพรากวิญญาณให้แก่ข้า แล้วทำลายวรยุทธเจ้าเสีย”

เว่ยฉิงมีท่าทีไม่แยแสต่อคำพูดของบ้อเมี่ยวเล่านั้ง กล่าวขึ้นว่า

“ท่านแก่ชราจนพูดจาเหลวไหลสิ่งใดออกมา จงอย่าได้ปรักปรำผู้อื่นหากไม่มีหลักฐานอันใดแน่ชัด”

บ้อเมี่ยวเล่านั้งได้ยินเช่นนั้นก็โกรธตวาดออกมาว่า

“เจ้าคนถ่อย ลักขโมยสิ่งของของผู้อื่นแล้วไม่ยอมรับ วันนี้ข้าคงต้องสั่งสอนเจ้าแทนบิดาของเจ้าแล้ว”

แล้วบ้อเมี่ยวเล่านั้งก็ทำท่าทีว่าจะเดินเข้าไปหามัน แต่ถูกเฟยอี้รั้งแขนเอาไว้แล้วกล่าวขึ้นว่า

“อาจารย์ โปรดสงบสติอารมณ์ลงก่อนเถิด ขอให้ข้าได้เป็นผู้เจรจาเอง”

บ้อเมี่ยวเล่านั้งครั้นถูกเฟยอี้ทัดทานไว้ ก็พลันได้สติหยุดฝีเท้าลง แล้วเฟยอี้ก็กล่าวออกมากล่าวกับเว่ยฉิงคังว่า

“ข้ามีนามว่า เจ้าเฟยอี้ มีเรื่องหนึ่งคิดร้องขอต่อท่าน”

เว่ยฉิงคังพอได้ยินว่าผู้ที่กล่าวกับมันมีชื่อว่า เฟยอี้ ก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึม กล่าวตอบว่า

“ท่านนี่เองรึ คือจอมยุทธเฟยอี้ผู้เลื่องชื่อ ที่บุกเดี่ยวมายังเบญจธาตุก่อนหน้าข้า แต่ข้าได้ยินว่าท่านตกหน้าผาตายไปแล้ว
มิใช่รึ”

เฟยอี้ได้ยินเช่นนั้น ก็พูดถ่อมตนว่า

“เป็นข้าเองที่มิเจียมตน เหตุเพราะมุ่งหวังช่วยผู้อื่นอย่างร้อนรนเกินไป แต่ยังมิถึงที่ตายจึงรอดชีวิตออกมาได้”

เว่ยฉิงคังหัวเราะแล้วกล่าวว่า

“ท่านรู้ตนก็ดีแล้ว แต่ผู้ที่ทำให้ท่านเกือบตายข้าได้จับมันไว้เป็นเชลยแล้ว หากท่านไม่เร่งร้อนจนเกินไป ท่านก็มิต้องเจ็บคัวแล้ว”

ธิดาเทพซึ่งยืนนิ่งสงบอยู่ ณ เบื้องหลังทนฟังมันมาถึงตอนนี้ก็อดมิได้ ตวาดก้องออกมาว่า

“เจ้าคนชั่ว ปล่อยบิดาของข้าออกมานะ”

เว่ยฉิงคัง จ้องมองไปยังธิดาเทพอย่างสงสัย จนเมื่อบริวารผู้หนึ่งของมันก้มลงกระซิบที่ข้างใบหู มันจึงแย้มยิ้มออกมา
แล้วกล่าวว่า

“คาดไม่ถึงว่า ธิดาของเจ้าลัทธิจะมีความงดงามเช่นนี้ แต่เมื่อมาถึงที่นี่ก็ดีแล้วข้าจะได้ให้เจ้าสองพ่อลูกได้พบกัน”

สิ้นคำ เว่ยฉิงคังก็สั่งการให้บริวารไปคุมตัวธิดาเทพมามอบแก่มัน แต่ขณะนั้นเอง เม่ยเม่ย ก็ส่งเสียงออกมาว่า

“พี่ใหญ่…โปรดหยุดการกระทำของท่านเสียเถิด”

เว่ยฉิงคัง เหลือบมองไปยังต้นเสียงเห็นเป็น เม่ยเม่ย ก็ดีใจยิ่งนัก เอ่ยออกมาว่า

“เม่ยเม่ย….นี่เจ้าเองรึนี่ ที่ผ่านมาเจ้าไปอยู่ ณ ที่ใด ข้าให้บริวารออกติดตามเจ้าไปทั่วก็มิพบ แล้วเหตุใด
เจ้าถึงได้มากับคนพวกนี้”

เม่ยเม่ย มิได้ตอบคำของมัน แต่กลับกล่าวคำขึ้นว่า

“ถึงตอนนี้ ท่านก็มีชัยต่อลัทธิเบญจธาตุแล้ว เหตุการณ์ในยุทธภพก็เป็นปกติดีแล้ว ขอท่านอย่าได้ตามล้างผลาญ
ชาวลัทธิเบญจธาตุอีกต่อไปอีกเลย มิเช่นนั้นพวกเราก็มิได้แตกต่างอะไรกับพวกเขา”

เม่ยเม่ย เดินก้าวออกมาจากกลุ่ม แล้วกล่าวขึ้นอีกว่า

“ธิดาเทพผู้นี้ คือสหายของข้า ส่วนเจ้าเฟยอี้ ก็คือสามีของข้า พวกเราเดินทางมาหาท่าน เพื่อขอร้องให้ท่าน
ปล่อยตัวเจ้าลัทธิ ซึ่งเป็นบิดาของนางออกมาเถิด ข้าทราบมาว่า ท่านได้ทำให้เจ้าลัทธิเป็นผู้พิการทั้งยังล้างผลาญเหล่าชาวเบญจธาตุ
ไปจนสิ้นแล้ว คงมิมีทางใดที่ลัทธิเบญจธาตุจะหวนกลับมาสรางความเดือดร้อนอีกต่อไป ”

เว่ยฉิงคังได้ยินนางเอ่ยออกมาเช่นนั้น ก็โกรธยิ่งนัก ตวาดออกมาด้วยเสียงอันดังว่า

“นี่เจ้าหลบหนีออกจากบ้าน เพื่อไปหาสามีหรอกรึ ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก ข้าจะไม่มีวันละเว้นให้ชาวเบญจธาตุ รอดชีวิตแม้เพียงสักคน”

แล้วเว่ยฉิงคังก็สั่งบริวารเร่งไปนำตัวธิดาเทพมามอบแก่มัน เฟยอี้เห็นเช่นนั้นก็ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า

“หยุดก่อน !…… ประมุขเว่ย พวกเรามาเพื่อขอร้องให้ท่านเมตตาแต่โดยดี มิได้คิดดูหมิ่นล่วงเกินท่าน ขอท่านจงเห็น
แก่มิตรภาพที่จะมีต่อกันสืบไปด้วยเถิด”

ดวงตาของเว่ยฉิงคัง แดงกล่ำ กล่าวออกมาว่า

“เจ้าบังอาจล่อลวงน้องสาวของข้า แล้วยังกล้าพูดถึงความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอีกรึ ที่ข้ายังไม่ลงมือต่อเจ้าในเวลานี้ก็ถือว่า
กรุณาต่อเจ้ามากแล้ว”

เฟยอี้ทอดถอนใจ แล้วเอ่ยออกมาว่า
“นี่พวกเราจะมิมีหนทางอื่นใด นอกจากต้องใช้กำลังใช่หรือไม่”

เว่ยฉิงคังได้ยินเช่นนั้นก็ผุดยืนขึ้นด้วยความโกรธ ชี้มือไปยังเฟยอี้แล้วกล่าวว่า

“เจ้าเฟยอี้ พรุ่งนี้เจ้ากับข้ามาประลองฝีมือกันให้ประจักษ์แก่สายตาของชาวยุทธทั้งหลายจนกว่าจะรู้แพ้ชนะ หากเจ้ามีชัยต่อข้าได้
ก็จงรับเอาตัวเจ้าลัทธิไป แต่หากว่าเจ้าพ่ายแพ้ต่อข้า ก็จงส่งบุตรสาวของมันมาให้เป็นทาสของข้า เจ้าจะกล้ารับคำท้าหรือไม่”

เฟยอี้ได้ยินเข่นนั้น ก็ยืนนิ่งมิกล่าวคำใดออกมา มันมิกล้าที่จะใช้ธิดาเทพเป็นสิ่งเดิมพันในครั้งนี้

แต่แล้วมันก็ต้องตื่นตะลึง เมื่อเห็นธิดาเทพก้าวออกมาแล้วส่งเสียงตอบโต้มันไปว่า

“ข้าตกลง หากเจ้าสามารถมีชัยต่อเฟยอี้ได้ ข้าก็ยินยอมตกเป็นทาสของเจ้า เกรงแต่ว่าเจ้าจะไม่สามารถ”

เว่ยฉิงคัง บังเกิดโทสะจนดวงตาเหลือกถลน แล้วตวาดออกมาด้วยเสียงอันดังว่า

“ตกลง เช่นนั้น พวกเจ้าก็จงออกไปจากวังของข้าได้แล้ว ข้าไม่ยินดีต้อนรับพวกเจ้า รอให้ถึงวันพรุ่งนี้ข้าจะทำให้ เจ้าเฟยอี้ผู้นี้
เหลือเพียงชื่อของมัน…เฮอะ”

สิ้นคำมันก็หันหลังเดินกลับเข้าสู่ภายในทันที

คณะเดินทางพากันออกจากวังเบญจธาตุ ด้วยความเงียบงัน ทุกคนล้วนครุ่นคิดคาดการณ์ไปถึงผลของการต่อสู้ ที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้
จนมาถึงลานหินใต้ต้นไม้ใหญ่ ก็พากันพักอยู่ ณ ที่แห่งนั้น เฟยอี้เข้าไปหาธิดาเทพซึ่งปลีกตัวออกมานั่งอยู่เพียงลำพัง นางคิดเป็นห่วงบิดา
ของตนมากกว่าสิ่งใดทั้งหมดในเวลานี้ เฟยอี้กล่าวกับนางขึ้นว่า

“เจ้าอย่ากังวลไปเลย พรุ่งนี้ข้าจะพยายามให้ถึงที่สุดเพื่อช่วยเจ้าลัทธิออกมาให้จงได้”

ธิดาเทพเงยหน้าขึ้นมองดูมัน ด้วยน้ำตาที่คลอจนเอ่อล้น เฟยอี้มองดูแล้วก็คิดเวทนานางยิ่งนัก มันทรุดร่างนั่งลงแล้วโอบกอดนางไว้แนบกับทรวงอก
ของมันอยู่เนิ่นนาน

แต่แล้วเสียงของบ้อเมี่ยวเล่านั้งร้องเรียกหามันก็ดังขึ้นในทิศทางที่ใกล้เข้ามา เฟยอี้จึงขานรับออกไป เพียงครู่ก็ปรากฎร่างของ บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ทิกุ้ยชุิ้ว และ
หลวงจีนหลี่เต๋อ เดินตรงมายังมัน

“เฟยอี้ พวกเราเดินหาเจ้าไปจนทั่ว”

“อาจารย์ทั้งสาม เรียกหาข้ามีสิ่งใดรึ”

บ้อเมี่ยวเล่านั้งจึงกล่าวขึ้นว่า

“พวกเราคิดเป็นห่วงเจ้า ถึงเรื่องการต่อสู้กับเว่ยฉิงคังในวันพรุ่งนี้ อาการหยางกำเริบของเจ้าในเวลานี้เป็นเช่นไรบ้าง
หากว่ามันเกิดกำเริบขึ้นอีกในวันพรุ่งนี้ เกรงว่าเว่ยฉิงคังคงไม่ละเว้นเจ้าแน่”

เฟยอี้จึงกล่าวตอบต่ออาจารย์ทั้งสามของมันไปว่า

“พวกท่านไม่ต้องเป็นกังวล อาการของข้าเป็นปกติดีแล้ว ข้าเชื่อว่าด้วยวิชาสุญญตาพันกร ที่พวกท่านถ่ายทอดให้แก่ข้า จะสามารถมีชัยต่อมันได้”

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ยังมีสีหน้าที่เป็นกังวล แล้วเอ่ยกับเฟยอี้ขึ้นว่า

“จากการประเมินของข้า ในส่วนของกระบวนท่า ฝ่ามือพรากวิญญาณของเว่ยฉิงคัง กับ ฝ่ามือสุญญตาพันกรของเจ้า ล้วนคู่คี่ก้ำกึ่งกันยิ่งนัก
หากพวกเจ้าต่อสู้หักล้างกันด้วยกระบวนท่าถึงร้อยกระบวนท่าขึ้นไป เจ้าเริ่มจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ที่ข้าเป็นกังวลก็คือ
หากเว่ยฉิงคังคิดใช้พลังลมปราณต่อสู้กับเจ้า ปราณพรากวิญญาณของมันเป็นพลังเย็นเยียบข้างฝ่ายหยิน ทั้งยังมีพลังที่รุนแรงสุดหยั่งคาด
จนข้าเกรงว่าพลังหยางในกายของเจ้าจะถูกมันกระตุ้นจนกำเริบขึ้นแล้วเสียทีแก่มัน ข้าจึงขอเตือนเจ้าว่า อย่าได้คิดใช้วิธีปะทะพลังลมปราณกับมัน
โดยตรงเป็นขาด”

เฟยอี้ยืนนิ่งจ้องมองดูใบหน้าอาจารย์ทั้งสามของมันด้วยความตื้นตัน แม้มันกำเนิดมาโดยไม่มีทั้งพ่อและแม่ แต่ในยามนี้กลับมีผู้คอยให้ความเมตตาต่อมัน
มากมายนัก แล้วมันก็คุกเข่าโขกศรีษะลงกระทำคารวะ

“เฟยอี้ขอบคุณอาจารย์ทั้งสามที่สอนสั่ง”

—————-

รุ่งอรุณแห่งวันใหม่ที่วังเบญจธาตุ ธงทิวหลากสีถูกจัดแต่งรายรอบกำแพงวังไว้อย่างสวยงาม พร้อมกับเหล่าทหารในเสื้อเกราะสีเงินยืนรายล้อม
บนกำแพงวังด้วยท่วงทีที่เข้มแข็ง เหล่าชาวยุทธเริ่มทะยอยเดินทางเข้ามาถึงวังเบญจธาตุกันอย่างต่อเนื่อง แล้วถูกเชื้อเชิญเข้าไปยังบริเวณภายใน
จนในที่สุดภายในวังเบญจธาตุก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คนจากทุกสารทิศ ทุกคนที่เดินทางมาถึงต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจ ที่เห็นบริเวณภายในวังถูกกัน
ออกเป็นลานกว้าง และเชื้อเชิญให้ผู้คนที่เดินทางมาถึงนั่งลงในบริเวณที่จัดไว้ให้ รายล้อมอาณาบริเวณนั้น แต่ก็มิมีผู้ใดกล้าเอ่ยปากซักถามออกมา

และแล้วก็บังเกิดเสียงกลองดังขึ้นอย่างอึกทึก เว่ยฉิงคังเดินออกมาจากประตูวังด้วยท่าทีที่ผึ่งผาย แล้วยืนอยู่ ณ กึ่งกลางของบริเวณลานกว้างนั้น
มันสวมเสื้อคลุมที่ถักทอด้วยเส้นใยสีทองส่งประกายสะท้อนออกมา ยามต้องกับแสงดวงตะวันในยามสาย จนรอบกายของมันคล้ายกับมีรัศมีเรืองรองเปล่งออกมา
ดูทรงพลังอำนาจและงามสง่ายิ่งนัก มันยกสองมือคารวะ แล้วเปล่งเสียงดังก้องกังวานออกมาว่า

“คารวะเหล่าชาวยุทธทั้งหลาย ข้าเว่ยฉิงคังขอขอบคุณที่พวกท่านให้เกียรติเดินทางมาร่วมพิธีสถาปนาตัวข้าเป็นประมุขยุทธจักรในวันนี้
แต่หากว่า ยังมีแม้เพียงสักคนที่คิดสงสัยถึงความเหมาะสมของข้า ข้าก็ยินดีที่จะทดสอบพลังฝีมือกับคนผู้นั้น ดังนั้นก่อนที่ข้าจะเริ่มพิธี ข้าจึงใคร่ขอเชิญท่านทั้งหลาย
ร่วมเป็นสักขีพยานในการประลองยุทธของข้า กับ คนผู้นั้น”

สิ้นเสียงของเว่ยฉิงคัง ก็บังเกิดเสียงงพูดคุยของเหล่าชาวยุทธที่มาร่วมพิธี ต่างพากันสงสัยบุคคลผู้นั้นว่า มันเป็นใครจึงได้หาญกล้าปะทะฝีมือกับเว่ยฉิงคัง

เว่ยฉิงคังกวาดสายตาไปยังกลุ่มคนที่มาร่วมงาน ก็มิเห็นมีเฟยอี้ยืนอยู่ทั้งที่ล่วงเลยเวลาแล้ว มันจึงส่งเสียงหัวเราะ แล้วเอ่ยว่า

“ฮ่าๆๆๆ….แต่เห็นทีว่า คนผู้นั้นบังเกิดความขลาดกลัวมิกล้ามาตามนัดในวันนี้แล้ว…ฮ่าๆๆๆๆ….”

“ข้ามาแล้ว”

เฟยอี้เปล่งเสียงออกมาด้วยกำลังภายในอันลึกล้ำ แล้วทะยานร่างลงสู่ลานกว้างที่จัดเตรียมไว้ พร้อมกับกวาดสายตาไปโดยรอบ
แล้วยกสองมือขึ้นกระทำคารวะต่อเหล่าชาวยุทธ พลางพูดขึ้นว่า

“ข้า เจ้าเฟยอี้ ขอคารวะต่อเหล่าชาวยุทธทุกท่าน”

สิ้นคำของมัน เหล่าชาวยุทธต่างก็ส่งเสียงพูดคุยกันอย่างอื้ออึง เนื่องด้วยว่าในคราวที่เฟยอี้บุกเดี่ยวไปยังวังเบญจธาตุ
ชื่อเสียงของมันได้เป็นที่รู้จักต่อเหล่าชาวยุทธทั้งหลายเป็นอย่างดี ครั้นเห็นว่ามันยังมิได้ตายไปตามคำเล่าลือ จึงได้ส่งเสียงไถ่ถามกันขึ้น

เว่ยฉิงคังจ้องมองมายังมันด้วยแววตาแฉวแววอำมหิต แล้วกล่าวว่า

“ในที่สุดเจ้าก็มา เพื่อมิให้เป็นการเสียเวลาพวกเรามาเริ่มการประลองเลย ดีหรือไม่”

เฟยอี้มิกล่าวคำตอบมัน ได้แต่ผายมือออกเป็นเครื่องหมายแสดงการเชื้อเชิญออกไป

ทั้งสองยืนประจัญหน้ากันห่างออกไปราวสิบก้าวโดยอาการนิ่งสงบ ภายใต้อาการนิ่งสงบนั้นบังเกิดสภาวะแห่งพลังลมปราณแผ่ออกมา
จากร่างของคนทั้งสองแล้วกระจายออกโดยรอบ จนผู้คนที่ล้อมดูการประลองนั้นสัมผัสได้ และมิกล้าเอ่ยปากสิ่งใดต่อกัน ได้แต่เฝ้ารอดูอาการของ
คนทั้งสองด้วยใจที่เต้นระทึก

เฟยอี้นิ่งสงบกำหนดจิตจนรวมเป็นหนึ่ง แล้วโคจรพลังลมปราณออกมาจากจุดตังชั้ง บังเกิดเป็นสายพลังแห่งหยินสายหนึ่ง หยางสายหนึ่ง
พลังปราณทั้งสองสายเคลื่อนคล้อยสอดประสานกัน เป็นวงล้อแห่งพลังหยิน-หยาง โคจรไปจนทั่วสรรพางค์กาย จนบังเกิดเป็นคลื่นพลัง
อันยิ่งใหญ่แผ่ซ่านเป็นวงรัศมีออกมาจากร่างของมัน

เว่ยฉิงคังก็กระทำเช่นเดียวกัน พลังลมปราณจากจุดตังชั้งของมันไหลเวียนพุ่งพวยขึ้น จนเกิดบังเกิดรัศมีแห่งพลังวัตรอันไร้ขอบเขต
แฝงไปด้วยความเย็นเยียบแผ่ซ่านออกจากร่างของมันและกระจายออกไปรอบอาณาบริเวณ จนผู้คนที่รายล้อมบังเกิดอาการขนลุกชันขึ้น

คนทั้งสองแม้ยังมิได้ปะฝีมือกัน แต่กลับใช้รัศมีพลังลมปราณของแต่ละฝ่ายเข้าหักล้างกัน เว่ยฉิงคังในยามนี้ขาดความสามารถในการระงับ
ยับยั้งอารมณ์ของมัน ยิ่งมันรับรู้ได้ถึงรัศมีแห่งพลังลมปราณที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของเฟยอี้ ว่ามีความทัดเทียมกับพลังลมปราณของมัน
มันก็ยิ่งเกิดอารมณ์ขุ่นมัว คิดจะเร่งสยบให้เฟยอี้พ่ายแพ้ต่อมันโดยไว

เพียงพริบตาร่างของเว่ยฉิงคังก็ปราดเข้าจู่โจมใส่เฟยอี้ ร่ายรำกระบวนท่าฝ่ามือพรากวิญญาณออกมาอย่างหักโหม กระบวนท่าของมันทั้งรวดเร็ว
และรุนแรง เฟยอี้มิคาดคิดว่าจะถูกจู่โจมในลักษณะเช่นนี้ ก็ลนลานทำได้เพียงลอยร่างถดถอยออกไปเพื่อลดแรงปะทะ แล้วร่ายรำฝ่ามือสุญญตาพันกร
เข้ารับมือกับฝ่ามือพรากวิญญาณของมัน

เว่ยฉิงคังเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งหักโหมโดยคิดเร่งมีชัยต่อเฟยอี้ มันยิ่งจู่โจม ยิ่งรวดเร็ว จนผู้คนที่เฝ้ามองดูการต่อสู้ของบุคคลทั้งสองมิอาจเห็นท่วงท่าของมันได้กระจ่างชัด
แต่เฟยอี้สำเร็จปราณฟ้าดิน-หยินหยางแล้ว ประสาทสัมผัสของมันจึงว่องไวเหนือสามัญชน ครั้นเมื่อมันสามารถคืนสติกลับมาได้ สายตาของมันก็มองเห็นทุกท่วงท่า
ของฝ่ามือพรากวิญญาณได้อย่างกระจ่างชัดและสามารถหลบหลีกฝ่ามือที่เว่ยฉิงคังที่จู่โจมมาได้ทันท่วงทีทุกครั้ง

ยิ่งผ่านไปหลายกระบวนท่า เฟยอี้ก็ยิ่งคุ้นเคยจนการต่อสู้ผ่านไปหนึ่งร้อยกระบวนท่า เฟยอี้ก็บังเกิดความมั่นใจเพิ่มขึ้น มันสามารถใช้ฝ่ามือสุญญตาพันกรกลับมา
เป็นฝ่ายรุกไล่ใส่เว่ยฉิงคังบ้าง

ฝ่ามือสุญญตาพันกร ประกอบด้วยพลังอันรุนแรงของฝ่ามือสุญญตา ทั้งยังมีกระบวนท่าที่พลิกแพลงและรวดเร็วของยูไลพันกร สอดประสานกัน
เมื่อคู่ต่อสู้ถูกจู่โจมก็ยากนักที่จะรับมือกระบวนท่าที่มีทั้งอ่อนและแข็งในคราวเดียวกันได้ เว่ยฉิงคังยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งถูกกระทวนท่าของเฟยอี้คุกคาม
จนต้องถอยร่นวาดฝ่ามือขึ้นต้านรับอย่างร้อนรน จนในที่สุดมันก็จำต้องดีดร่างถอยห่างออกมาจากเฟยอี้

เว่ยฉิงคังเขม้นจ้องมองเฟยอี้ด้วยดวงตาอันแดงฉานประดุจมีกองเพลิงประทุอยู่ในแววตาของมัน มันมิคาดคิดว่าการต่อสู้ในวันนี้จะทำให้มันต้องถึงกับ
ใช้ฝ่ามือพรากวิญญาณขั้นสูงสุดออกมา เว่ยฉิงคังเกร็งพลังลมปราณ แล้วยื่นสองมือของมันออกมาพร้อมกับแผดเสียงจนดังก้องไปทั้งอาณาบริเวณ
พลันโดยรอบร่างของมันก็บังเกิดไอเย็นเยียบแผ่ซ่านออกมาจนมีรัศมีเป็นวงกว้าง แล้วร่างของมันก็พุ่งปราดจู่โจมใส่เฟยอี้อย่างรวดเร็วอีกครั้ง

เฟยอี้เห็นเช่นนั้นก็ฟาดฝ่ามือทั้งสองออกไป หมายที่จะต้านทานการจู่โจมของมันไว้ แต่เมื่อใกล้ที่จะปะทะกัน ร่างของมันกลับหายวูบไปเหลือเพียงอากาศธาตุ
แล้วมาปรากฏขึ้นอีกครั้งที่เบื้องหลังของมัน พร้อมกับฟาดฝ่ามือใส่ร่างของเฟยอี้อย่างเต็มแรง

เฟยอี้สัมผัสได้ถึงกระแสพลังปราณที่จู่โจมมาจากเบื้องหลังของมัน จึงดีดร่างคิดจะหลบหลีกแต่มิทันการณ์ ฝ่ามือของเว่ยฉิงคังฟาดถูกเข้าที่ไหล่ขวาของเฟยอี้
จนร่างของมันหมุนคว้างเซถลาล้มกลิ้งลงกับพื้น พลังปราณไอเย็นเยียบของเว่ยฉิงคังแพร่เข้าสู่ร่างของเฟยอี้จนมันรู้สึกเย็นวาบไปถึงกระดูก มันจึงเร่งรีบ
โคจรพลังหยางในร่างเข้าต้านรับ แต่ยังมิทันเป็นปกติดี ร่างของเว่ยฉิงคังก็พุ่งปราดเข้าจู่โจมมันอีกครั้งโดยที่มันยังมิทันตั้งตัว ขณะที่เฟยอี้กำลังยันกายลุกขึ้น
เว่ยฉิงคังก็ใช้ฝ่าเท้าเตะเข้าที่ร่างของเฟยอี้อย่างเต็มแรงจนลอยคว้างออกไปอีกครั้ง

ใบหน้าของเว่ยฉิงคังปรากฎแววอำมหิตออกมาอย่างเห็นได้ชัด แล้วเกร็งพลังลมปราณพร้อมกับวาดฝ่ามือทั้งสองออกเป็นวงกลม พลันไอเย็นเยียบ
ก็แผ่ซ่านออกมาจากร่างของมัน แล้วแพร่กระจายจนจนครอบคลุมไปทั่วร่างจนบังเกิดเป็นกระแสพลังสองสาย เคลื่อนที่ติดตามทิศทางฝ่ามือทั้งสองของมัน
เป็นวงกลม แล้วรวมตัวบังเกิดเป็นงวงพายุล้อมรอบร่างของเว่ยฉิงคังเอาไว้ มันคิดใช้กระบวนท่าอันร้ายกาจนี้สยบเฟยอี้ให้สิ้นชีพไปในฝ่ามือเดียว

เว่ยฉิงคังแผดเสียงดังออกมาพร้อมกับกระแทกพลังฝ่ามือทั้งสองออกไปในทันที

“จงตายไปซะ………………..”

วงกลมที่ล้อมรอบฝ่ามือของมัน แปรเปลี่ยนลูกพลังอันยิ่งใหญ่พุ่งออกมาจากฝ่ามือทั้งสองของเว่ยฉิงคัง ตรงมายังร่างของเฟยอี้ในทันที

เฟยอี้ยันร่างลุกขึ้น แล้วรู้สึกได้ถึงพลังอันเปี่ยมล้นรอบกายของเว่ยฉิงคังที่กำลังจะปลดปล่อยมายังตน สติของมันยังคงแจ่มใสแม้ร่างกายจะบาดเจ็บ
ความคิดของมันผุดแล่นขึ้นถึงหนทางรอดพ้นจากสภาวะคับขันเช่นนี้ นั่นก็คือ กระบวนท่าสุดท้ายของ ฝ่ามือสุญญตาพันกร

เฟยอี้เกรงพลังลมปราณ เคลื่อนย้ายพลังหยินไปที่ฝ่ามือข้างหนึ่ง และพลังหยางไปที่ฝ่ามืออีกข้างหนึ่ง แล้วร่ายกระบวนท่า ยูไลปราบมาร แต่แฝงพลังทำลาย
ล้างของ ของกระบวนท่าสุญญตาผลาญฟ้าออกมา

พลันร่างของเฟยอี้ก็แปรเปลี่ยนคล้ายดังมีมือข้างละหลายสิบมือ กำลังร่ายรำกระบวนท่าอยู่ไปมา จนก่อเกิดเป็นสายพลังอันมหาศาลอยู่ล้อมรอบกายของมัน
เฟยอี้ส่งสายตาจ้องเขม็งไปที่เว่ยฉิงคัง แล้วกระแทกฝ่ามือทั้งสองออกไปทันที

บังเกิดเป็นสายพลังสองสายจากมือทั้งสองพุ่งสอดประสานจนรวมเป็นหนึ่งเดียวแล้ววิ่งฝ่าอากาศตรงไปยังร่างของเว่ยฉิงคังอย่างรวดเร็ว

พลังลมปราณอันมหาศาลของคนทั้งสองพุ่งเข้าปะทะกันกลางอากาศ จนบังเกิดเป็นเสียงดังกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณ แล้วแผ่คลื่นพลังกระจายออกไปโดยรอบ
จนฝุ่นผงล่องลอยฟุ้งตลบไปทั่ว ผู้คนที่ล้อมเฝ้าดูการต่อสู้ของคนทั้งสองล้วนได้รับแรงกระทบจากคลื่นพลังที่กระจายออกมา จนบางคนที่ด้อยวรยุทธ์ก็ถึงกับ
ล่องลอยกระเด็นออกไป ครั้นฝุ่นผงที่ฟุ้งกระจายสงบลง จนสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้เป็นปกติ เว่ยฉิงคังก็ถึงกับมีความคลั่งแค้นเพิ่มพูนขึ้น เมื่อเห็นเฟยอี้ยืนอยู่
ณ ที่ห่างออกไปอย่างเป็นปกติโดยมิเป็นอันตรายใดๆ

ตั้งแต่มันฝึกฝนลมปราณพรากวิญญาณสำเร็จ และใช้ฝ่ามือพรากวิญญาณเข้าต่อสู้กับผู้อื่น ก็มิเคยมีสักครั้งที่มันจะไม่สามารถสยบคู่ต่อสู้ลงได้
แต่ในครั้งนี้มันได้กระทำทุกวิถีทางแล้ว แต่เจ้าคนผู้นั้น บุคลที่มันมีความชิงชังตั้งแต่ได้ยินชื่อของมันในคราแรก กลับสามารถต้านทานพลังฝีมือของมันได้ทั้งหมด
โดยมิเป็นอันตรายใดๆ มันทั้งโกรธและคับแค้นใจถึงขีดสุด จึงคิดที่จะทุ่มเทพลังในกายมันทั้งหมดออกมาเพื่อเอาชัยต่อมันผู้นั้นให้จงได้

คิดได้เช่นนั้น เว่ยฉิงคังก็เร่งเร้าพลังลมปราณในร่างขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้มันถึงกับเคลื่อนพลังทั้งหมดออกมาจากจุดตั้งชั้ง แล้วถ่ายเทมายังฝ่ามือทั้งสอง
จนปรากฏไอเย็นพวยพุ่งออกมาทั้งจากฝ่ามือทั้งสองและกลางกระหม่อมของมัน แล้วฉับพลันนั้นเองร่างของมันก็วูบหายไปในพริบตา แล้วมาปรากฏ
อยู่ต่อหน้าของเฟยอี้พร้อมกับฟาดฝ่ามือทั้งสองออกไปในทันที

เฟยอี้มีปฏิกิริยาว่องไวนัก มันยกฝ่ามือทั้งสองขึ้นตั้งรับไว้ได้ทันท่วงที พลันสายพลังแห่งหยินและหยางในร่างก็เคลื่อนมารั้งรอที่ฝ่ามือสอง เพื่อตั้งรับพลังปราณเย็นเยียบ
และเข้มแข็งของเว่ยฉิงคังเอาไว้ ในยามนี้คนทั้งสองยืนประจัญหน้ากันแล้วทุ่มเทพลังลมปราณในร่างของแต่ละฝ่ายเข้าหักล้างผ่านฝ่ามือทั้งสอง

ด้วยการต่อสู้ในลักษณะนี้ จึงไร้หนทางที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะถดถอยออกมาโดยไม่บาดเจ็บ มีเพียงหนทางเดียวคือต้องทุ่มเทพลังปราณของตนทำลายล้าง
พลังปราณของอีกฝ่ายให้สลายไปจึงจะสามารถหลุดพ้นจากสภาวะนี้

คนทั้งสองต่างก็มีพลังวัตรที่เข็มแข็งก้ำกึ่งกัน จึงมิสามารถทำลายล้างพลังวัตรของอีกฝ่ายให้สูญสิ้น ได้แต่ทุ่มเทพลังวัตรของตนให้มากขึ้นอีก เพื่อหักล้างพลังวัตร
ของอีกฝ่าย พลังวัตรอันมหาศาลเคลื่อนมาผลักดันกันและกันจนบังเกิดคลื่นพลังแผ่ซ่านออกมาจากฝ่ามือของคนทั้งสองกระจายหมุนวนออกมาเป็นวงใหญ่
แล้วร่างของคนทั้งสองก็เคลื่อนขึ้นสู่อากาศเบื้องบนด้วยแรงผลักดันอันมหาศาลนั้น

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง เห็นคนทั้งสองต่อสู้ด้วยการหักล้างกันด้วยพลังวัตรเช่นนั้นก็หวั่นใจ มันเคยเตือนเฟยอี้ไว้เมื่อก่อนหน้านี้แล้วว่าให้หลีกเลี่ยงการปะทะกับเว่ยฉิงคัง
ในลักษณะนี้ ด้วยเกรงว่าหยางในร่างของมันจะถูกกระตุ้นจนกำเริบขึ้นมาอีก แต่ก็สายไปเสียแล้วสภาวะของคนทั้งสองในตอนนี้มีแต่ต้องรู้ผลแพ้ชนะเท่านั้น
จึงจะแยกออกมาจากกันได้

ยิ่งเวลาผ่านไป เฟยอี้ก็ยิ่งทุมเทพลังในกายออกมาอย่างหนักหน่วง จนเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติภายในร่างจนทำมันให้เกิดความวิตกกังวลยิ่ง
กระแสพลังหยางอันมหาศาลที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในร่างของมันกลับพุ่งพวยออกมาอย่างเหลือล้นอีกครั้ง แต่ในสภาวะเช่นนี้มันมิสามารถหยุดการทุ่มเท
พลังลมปราณเข้าต้านรับพลังปราณจากเว่ยฉิงคัง เพราะมิเช่นนั้นตัวมันเองก็อาจบาดเจ็บจนเสียชีวิตได้ มันจึงตัดสินใจเคลื่อนพลังลมปราณ
ที่ขาดความสมดุลย์นั้นเข้าตั้งรับพลังลมปราณจากเว่ยฉิงคัง

แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ คล้ายดั่งฟ้าบันดาล พลังเย็นเยียบของเว่ยฉิงคังนั้นจัดเป็นพลังฝ่ายหยิน ทำให้การตัดสินใจของเฟยอี้ในครั้งนี้กลับบังเกิดเป็นผลดี
อย่างคาดไม่ถึง กระแสพลังหยางของเฟยอี้กลับดึงดูดพลังฝ่ายหยินของเว่ยฉิงคังเข้ามาในร่างของตนแปรเปลี่ยนเป็นพลังวัตรอันสมดุลย์ สะสมเข้ามาทดแทนพลังหยาง
อันมากล้นนั้น

เว่ยฉิงคังเห็นอาการของเฟยอี้ในเบื้องแรก ก็คิดกระหยิ่มใจว่าตนใกล้จะได้รับความมีชัย จึงยิ่งทุ่มเทพลังลงไป แต่นานไปกลับเห็นว่าเฟยอี้เริ่มมีอาการดีขึ้น
ทั้งยังสามารถเร่งเร้าพลังวัตรมาต้านรับพลังของตนได้มากขึ้นเป็นลำดับ มันทั้งตื่นตระหนกและคับแค้นใจขึ้นไปอีก ทุกครั้งที่มันเคยต่อสู้มา มิเคยมีผู้ใดสามารถ
ทนทานต่อพลังเย็นเยียบของมันได้ แต่ครั้งนี้มันผู้นี้มิเพียงไม่เป็นอันตราย แต่กลับทุ่มเทพลังวัตรผลักดันกลับมามากยิ่งขึ้น คล้ายกับมันมีพลังวัตรอันไม่จบสิ้น
มันมิสามารถทำใจยินยอมรับความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ได้ จึงทุ่มเทพลังในกายทั้งหมดที่มีเพื่อเอาชัยต่อเฟยอี้ให้ได้

แต่ยิ่งทำเช่นนั้น เฟยอี้ก็ยิ่งได้รับพลังหยินมากขึ้นทุกขณะ ยิ่งเท่ากับเป็นการกระตุ้นพลังหยางที่ซ่อนเร้นอยู่ให้ออกมาจนหมดสิ้น พลังหยางเหล่านั้น พุ่งเข้าสอดประสาน
กับพลังฝ่ายหยินที่เว่ยฉิงคังทุ่มเทเข้ามา กลับกลายเป็นวงล้อพลังแห่งหยินหยางที่เพิ่มพูนขึ้น แล้วแปรเปลี่ยนเป็นพลังวัตรให้แก่เฟยอี้มากขึ้นตามลำดับ

จนในที่สุด จุดและชีพจรสำคัญภายในร่างของเฟยอี้ก็ถูกวงล้อแห่งหยินหยางซึมซาบเข้าไปทั่วสรรพางค์กาย จนสามารถบรรลุผลสำเร็จแห่งปราณฟ้าดิน-หยินหยางขั้นสูงสุด
ประสาทสัมผัสทั้งหกของมันถูกเปิดออกมาจนสามารถรับรู้และซึมซาบถึงพลังธรรมชาติรอบตัวมันได้อย่างแจ่มชัด จิตของมันสว่างวาบขึ้นจนก่อเกิด ภาพของข้อความที่จารึก
อยู่ในแผ่นเหล็กใต้สรีระของนักพรตจางหย่งจง และสามารถเข้าใจความหมายของมันอย่างแจ่มชัด พลันบังเกิดความซาบซึ้งแล้วคิดสำนึกคุณแห่งท่านจนหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความยินดี

“อหิทธานุภาพอันล้ำลึกมิเคยดับสูญ
เป็นมารดาทุกสรรพสิ่งอันอัศจรรย์
จากทวาราแห่งมารดา ก่อเกิดรากฐานแห่งฟ้าและดิน
มีฟ้าจึงมีดิน ไม่มีดินก็หามีฟ้าไม่
หยินหยางทั้งตรงข้ามและสอดคล้อง
ในแต่ละด้านของหยินหยางจะดำรงได้ด้วยอีกด้าน
ไม่มีหยินก็จะไม่มีหยาง ไม่มีหยางก็จะไม่มีหยิน
เมื่อหยินเติบโตแผ่อานุภาพ หยางจะลดลงรั้งรอ
ครั้นหยางมีพลังยิ่งใหญ่ หยินก็จะลดน้อยถอยกลับ
ก่อเกิดเป็นวงจรหมุนเวียนเปลี่ยนแปรตลอดกาล”

เว่ยฉิงคังเห็นสีหน้าของเฟยอี้แปรเปลี่ยนเป็นแย้มยิ้มเบิกบาน ก็ยิ่งคลั่งแค้นใจนัก ที่พลังฝีมือของตนมิสามารถทำอันตรายต่อบุคคลผู้นี้ได้
แม้ตัวมันเองจะเริ่มอ่อนแรงลงแล้ว แต่ก็กัดฟันทนฝืน เพื่อต้องการจะมีชัยต่อเฟยอี้ให้จงได้ แต่มันหารู้ไม่ว่าการกระทำเช่นนั้นต่อเฟยอี้
ซึ่งในตอนนี้ มันอยู่ในสภาวะเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติเสียแล้ว เมื่อใดที่ร่างของมันขาดความสมดุลย์ พลังฟ้าและดินก็จะแพร่ผ่านเข้าสู่ตัวมัน
เพื่อหักล้างกับพลังที่จู่โจมเข้ามาโดยทันที

พลันเฟยอี้ก็ส่งเสียงร้องดังออกมาจนก้องกังวานไปทั่ว ก่อเกิดคลื่นพลังแผ่ซ่านออกมาจากตัวของเฟยอี้อย่างเจิดจ้า แล้วรวมตัวเข้าผลักดันไปที่ร่างของ
เว่ยฉิงคังอย่างรุนแรงจนร่างของมันล่องลอยกระเด็นไกลออกไปหลายสิบวา แล้วตกลงสู่พื้นเสียงดังสนั่น ชีพจรทั้งหกของมันขาดสะบั้น
ลมปราณแตกซ่านจนกระอักโลหิตออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง เว่ยฉิงคังนอนแน่นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพยายามยันกายจะลุกขึ้น แต่ก็มิอาจจะกระทำได้
จนต้องล้มตัวลงไปนอนอีก มันพยายามยันกายขึ้นอีกครั้งด้วยมิสามารถยอมรับความพ่ายแพ้ของตนเองได้ แต่ครั้นพยายามจะกระทำอีกครั้งก็เกิด
เป็นก้อนโลหิตแดงฉานทะลักออกมาจากปากของมัน แล้วนอนแน่นิ่งสิ้นสติไป

ในยามนี้ทุกคนมองมายังร่างของเว่ยฉิงคังอย่างตะลึงงัน และไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะกลับกลายมีสภาพเยี่ยงนี้ได้ เม่ยเม่ย วิ่งตรงเข้ามายังร่าง
ของเว่ยฉิงคังพลางร้องเรียกอย่างสุดเสียง

“พี่ใหญ่…….พี่ใหญ่……..พี่ใหญ่…………ฮือ…….ฮือ….ฮือ..”

เฟยอี้ยืนนิ่งจ้องมองไปที่ร่างของเว่ยฉิงคัง เห็นเม่ยเม่ยวิ่งออกไปร้องเรียกแต่คำว่า พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ มันก็คิดเวทนานัก
จึงเดินเข้าไปหาแล้วกล่าวว่า

“เม่ยเม่ย ข้าไม่มีทางเลือกจริงๆ ให้อภัยข้าด้วย”

เม่ยเม่ย เงยใบหน้าอันมีน้ำตาเจิ่งนองพูดขึ้นกับเฟยอี้ว่า

“พี่เฟยอี้ โปรดไว้ชีวิตพี่ใหญ่ข้าด้วยเถิด…….”

เฟยอี้สงสารนางอย่างจับใจ นั่งลงเคียงข้างกับเม่ยเม่ย พร้อมกับกล่าวว่า
“ไม่…..ข้าจะไม่ฆ่าเขา…เม่ยเม่ย เจ้าจงให้บริวารพี่ใหญ่ของเจ้ามาเอาตัวไปเขาไปเถิด”

เม่ยเม่ย ร่ำร้องดูอาการของเว่ยฉิงคังอยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่ามันยังมีลมหายใจอยู่ ก็ส่งเสียงเรียกบริวารที่นางคุ้นหน้าผู้หนึ่งให้มานำร่างของเว่ยฉิงคังออกไป

“เจ้า…พาพี่ใหญ่ของข้ากลับไปยังสำนักทวนผดุงคุณธรรม แล้วดูแลอาการของเขาเป็นอย่างดีด้วย”

บริวารผู้นั้นรับคำแล้วประคองร่างของเว่ยฉิงคังกลับออกไปทันที

เหล่าชาวยุทธที่รายล้อมอยู่ ครั้นเห็นเหตุการณ์กลับกลายเป็นเช่นนี้ก็พากันแสดงความดีใจออกมาอย่างเปิดเผย แล้วเข้ามากระทำคารวะ
ต่อเฟยอี้อย่างนอบน้อม

“จอมยุทธเฟยอี้ ชัยชนะของท่านในครั้งนี้ถือได้ว่ามีคุณต่อพวกเราอย่างใหญ่หลวง ที่มิต้องทอดทิ้งสำนักมาอย่างไร้ศักดิ์ศรี
หากเมื่อใดที่ท่านต้องการให้พวกเรากระทำสิ่งใด ขอเพียงออกคำสั่งมาพวกเราล้วนยินดีกระทำ”

“โอ้ว…พวกท่านกล่าวเกินไปแล้ว…ข้าเพียงกระทำเพราะมีจุดมุ่งหมายส่วนตัว อย่าได้ถือว่าเป็นบุญคุณสิ่งใด”

ขณะที่เฟยอี้ กำลังพูดคุยอยู่กับเหล่าชาวยุทธอยู่นั้น พลันปรากฎเสียงหัวเราะของคนผู้หนึ่งดังก้องออกมาไปทั่วบริเวณ
เหล่าชาวยุทธต่างเหลียวมองหาต้นเสียงหัวเราะอันประหลาดนั้น จนปรากฎร่างคนผู้หนึ่งถลาร่อนลงมาจาก
อากาศลงยืนนิ่งอยู่ ผู้คนที่อยู่ในที่นั้นครั้นเห็นใบหน้าบุคลลผู้นั้นอย่างชัดเจนก็ร้องขึ้นโดยพร้อมกันว่า

“หลงจินหู่”

Share the Post:

Related Posts

แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู

เรื่องเสียว แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู เอิร์นนะคร้า เป็นสาวมหาลัยในเชียงใหม่นี้เองค่า เอิร์นเป็นสาวมหาลัยปีสองแล้วค่ะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องผู้ชายเลย ยุคนี้แล้วเนอะ ไม่ใช่แค่ผู้ชายนะคะที่ล่าแต้ม เอิร์นเองก็กินมาเยอะเหมือนกันค่ะ สูงยาว ลำอวบ ใหญ่ยาว กินมาหมดแล้วค่า ชีวิตครั้งนึงเนอะ เรื่องพวกนี้ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ต้องมีบ้างอยู่แล้วใช่ไหมค่ะ และแน่นอนว่าเอิร์นเลยกินแต่วัยเดียวกัน รู้ตัวอีกทีได้แอบกินรุ่นใหญ่พี่แท็กซี่ซะอย่างนั้นเลยค่ะ ที่สำคัญไม่เคยเจอมังกรที่ใหญ่ยักษ์ขนาดนี้มาก่อน มาเริ่มเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ ด้วยความที่อยู่เชียงใหม่ที่เที่ยวเยอะ

Read More

จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว

เรื่องเสียว จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว “ตั้งกล้องเรียบร้อยแล้ว มึงพร้อมยังจะได้กดเริ่ม” วันนี้เรามีถ่ายคลิปวิดีโอทำอาหารที่คอนโดของพวกเราสองคนที่เป็นเพื่อนกัน เรามองเม็กที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมสองเม็ดจนเห็นแผงอกที่เป็นมัดกล้าม กางเกงขาขั้นสั้นสบาย ๆ แต่พอมาอยู่บนร่างกายของเม็กแล้วมันดูดีไม่น้อยเลย ถึงแม้เราทั้งสองจะเป็นเพื่อนกัน แต่พอมาเจอมันในลุคนี้ก็ทำให้เราใจสั่นไม่น้อย “มึงกูสวยยัง” “สวยแล้ว” พอได้รับคำตอบที่สร้างความมั่นใจให้กับตัวเองแล้ว เราก็พยักหน้าให้มันเริ่มกดบันทึกภาพวิดีโอทันที การถ่ายทำดำเนินไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นตอนการชิมอาหาร “อะ

Read More