ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 33 ยอดยุทธแห่งบู๊ลิ้ม (จบ)

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 33 ยอดยุทธแห่งบู๊ลิ้ม (จบ)

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 33 ยอดยุทธแห่งบู๊ลิ้ม (จบ)
โดย zeech

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ทิกุ้ยชิ้ว และหลวงจีนหลี่เต๋อ พอเห็นว่าผู้ที่มาถึง เป็นหลงจินหู่ ก็เร่งเดินเข้ามายืนอยู่ข้างกายของเฟยอี้
แล้วจ้องมอง หลงจินหู่ด้วยอาการสงบนิ่ง เหล่าชาวยุทธที่ร่วมชุมนุมอยู่ ณ ที่นั้น พอเห็นชัดว่าเป็นสามเทพยุทธแห่งจงหยวน
มารวมตัวกันอยู่ ณ ที่นี้แล้ว ต่างก็ส่งเสียงพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น และจับจ้องเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของทั้งสองฝ่าย

หลงจินหู่ห่มคลุมด้วยอาภรณ์สีดำตลอดร่าง มันยืนทอดสายตาอันเรียวเล็กประดุจเหยี่ยวของมันพุ่งตรงไปยังเฟยอี้อย่างนิ่งสงบ
มีเพียงเสื้อคลุมของมันเท่านั้นที่ปลิวสยายไปตามแรงลมที่พัดผ่าน ในที่สุด มันก็กล่าวออกมาว่า

“เดิมทีข้าตั้งใจไว้ว่าจะมาท้าประลองกับเจ้าคนโฉดเว่ยฉิงคัง แต่ดูเหมือนว่าข้ายังคงช้าไปก้าวหนึ่ง เพราะฉะนั้นคงมีเพียงเจ้าที่ข้าจำต้องสะสาง
หนี้แค้นเสียให้หมดในวันนี้ ช่างน่าเสียดาย เจ้ามิควรเป็นฝ่ายมีชัยต่อเว่ยฉิงคัง มิเช่นนั้นเจ้าอาจจะได้ตายอย่างสุขสบายกว่าที่ได้พบกับข้า”

เฟยอี้ฟังคำของหลงจินหู่ แล้วแปร

เปลี่ยนสีหน้าเป็นรันทดหดหู่ พลางทอดถอนลมหายใจออกมา ที่ผ่านมามันผ่านประสบการณ์ใกล้ความตาย
มาหลายครั้ง จนมองเห็นคุณค่าแห่งการมีชีวิตอยู่นี้อย่างลึกซึ้ง มันมิต้องการเป็นศัตรูกับผู้ใดอีกต่อไปแล้ว จึงกล่าวตอบหลงจินหู่ออกไปว่า

“ท่านหลงจินหู่ บุญคุณความแค้นระหว่างท่านกับข้าสมควรสิ้นสุดลงไปเสียที อันที่จริงท่านเป็นฝ่ายกระทำต่อข้าก่อนเมื่อครั้งที่ท่านแปลงโฉมเป็น
เทวทูตหน้าทอง และต่อมาท่านก็เข้ามารุกรานที่วังหุบผาภูติของอาจารย์ข้า ข้าจึงจำต้องป้องกันตัว หากท่านพิจารณาดูโดยถ้วนถี่ก็จะเห็นว่า
ตัวข้ามิเคยกระทำความแค้นใดต่อท่านเลย มีเพียงท่านต่างหากที่เป็นฝ่ายลงมือต่อข้าทั้งสิ้น ข้าเห็นว่าเราทั้งสองนี้สมควรยุติการเป็นศัตรูต่อกันเสียเถิด”

หลงจินหู่ เขม้นตาจ้องมอง แล้วกล่าวว่า

“แต่ข้ากลับไม่คิดเช่นนั้น ไม่ว่ามันผู้ใดที่บังอาจกระทำต่อข้า ข้าจะสนองคืนต่อมันผู้นั้นให้สาสม จงหยุดกล่าววาจาเหลวไหล
แล้วเตรียมตัวรับกระบี่จากข้า”

ทิกุ้ยชิ่วยืนฟังคำพูดของหลงจินหู่อยู่เบื้องหลัง ก็มิอาจนิ่งเฉยอยู่ได้ ก้าวเท้าออกมาแล้วตวาดใส่หลงจินหู่ว่า

“หลงจินหู่ ข้าทิกุ้ยชิ้วยืนอยู่ ณ ที่นี้ เจ้ากล้าคิดทำร้ายศิษย์ของข้ากระนั้นรึ”

หลวงจีนหลี่เต๋อ ก้าวเข้ามายืนเคียงข้าง ทิกุ้ยชิ้ว อีกผู้หนึ่ง แล้วกล่าวออกมาเช่นกันว่า

“ใช่แล้ว…มันก็คือศิษย์ของข้าด้วยเช่นกัน หรือว่าเจ้ามิเห็นข้าอยู่ในสายตา”

หลงจินหู่ มิทันได้สังเกตในคราแรก ครั้นเห็นเป็น ทิกุ้ยชิ่ว และหลวงจีนหลี่เต๋อ อย่างแน่ชัดก็ตกใจขึ้นวูบหนึ่ง แล้วพลันนิ่งสงบครุ่นคิดอยู่ภายในใจว่า
“หากว่ามันทั้งสาม ประสานฝีมือโดยพร้อมกัน แม้เรามีเพลงกระบี่อัสนีบาตก็คงยากต่อการรับมือ” มันจึงคิดกล่าววาจาออกมาเพื่อป้องกันทั้งสาม
ลงมือต่อมันพร้อมกันว่า

“ที่แท้ท่านทั้งสองก็อยู่ ณ ที่นี้ด้วย ข้ามีความแค้นที่ต้องสะสางกับเด็กน้อยผู้นี้หาใช่ท่านทั้งสอง แต่หากว่าพวกท่านคิดใช้คนมากเข้ากุ้มรุมโดยมิละอาย
ต่อชื่อเสียงของตนเอง ข้าก็หาเกรงกลัวไม่”

ทิกุ้ยชิ้วได้ยินเช่นนั้นก็โกรธ กล่าวขึ้นว่า
“มีผู้ใดกุ้มรุมเจ้า ลำพังตัวข้าเพียงผู้เดียวก็เพียงพอสยบเจ้าลงแล้ว”

สิ้นคำทิกุ้ยชิ้วก็ขยับร่างเตรียมที่จะลงมือต่อ หลงจินหู่

เฟยอี้เห็นเช่นนั้น ก็มิต้องการให้อาจารย์ของตน ต้องมีความลำบากเพราะมีสาเหตุมาจากตน จึงยกมือขึ้นห้ามพร้อมกับกล่าวออกมาว่า

“ขอขอบคุณอาจารย์ทั้งสอง แต่บุญคุณความแค้นครั้งนี้ล้วนเป็นศิษย์และหลงจินหู่กระทำต่อกันมา ดังนั้นขอให้ศิษย์เป็นผู้สะสางเรื่องราว
ทั้งหมดด้วยตนเองเถิด”

เฟยอี้ กล่าวจบก็ก้าวเท้าออกมายืนประจัญหน้าต่อหลงจินหู่ แล้วกล่าวว่า

“เมื่อท่านต้องการเช่นนั้น ก็จงมาสะสางความแค้นของเราให้จบสิ้นไปในวันนี้เถิด”

หลงจินหู่ได้ยินเช่นนั้น ก็แย้มยิ้มออกมาอย่างเหี้ยมเกรียม พลางชักกระบี่เก้าศัสตราออกมาจากฝัก แล้วทอดปลายกระบี่ลงสู่พื้นดิน
จ้องมองไปที่ร่างของเฟยอี้ด้วยท่าทีอันสงบนิ่ง

ทิกุ้ยชิ่ว และหลวงจีนหลี่เต๋อ เห็นดังนั้น ก็ก้าวเท้าถอยห่างออกมา ยืนรวมกันกับ บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ลิ่มบ้อฮวย และเหล่าภรรยาของเฟยอี้
ด้วยอาการลุ้นระทึก

เหล่าชาวยุทธที่ห้อมล้อมอยู่ในที่นั้นไม่คาดคิดว่า วันนี้จะเกิดการปะทะกัน ของยอดฝีมือถึงสองคู่ จึงพากันนิ่งสงบเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของคนทั้งสอง
ด้วยใจที่ตื่นระทึกเช่นกัน

ห่างออกไปที่ยอดไม้ใหญ่อันมีใบดกครึ้มราวสิบวา มีคนผู้หนึ่งลอบมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในลานประลองมาตั้งแต่ต้น คนผู้นั้นก็คือ หานไป่เจี้ยน
ก่อนที่ อ๋องลี่ลู่ปังจะหมดลมหายใจลงเนื่องด้วยมิอาจทนต่อพิษบาดแผล มันได้สั่งเสียขอร้องให้หานไป่เจี้ยนติดตามหาองค์หญิงฯ และเฟยอี้
เพื่อเตือนให้ทั้งสองรู้ตัวก่อนที่จะพบกับหลงจินหู่

หานไป่เจี้ยน ติดตามมาถึงวังเบญจธาตุและทราบถึงการนัดประลองระหว่าง เฟยอี้ กับ เว่ยฉิงคัง จึงได้ลอบเฝ้าดูการประลองมาโดยตลอด ณ ยอดไม้สูงแห่งนี้
แต่มิคาดคิดว่า หลงจินหู่ก็ติดตามมาจนพบเฟยอี้ด้วยเช่นกัน

ครั้นเห็นเฟยอี้ จะทำการประลองกับหลงจินหู่ หานไป่เจี้ยนก็ครุ่นคิดอยู่ภายในใจว่า
“เด็กหนุ่่มผู้นี้ แม้มีพลังฝีมือที่ล้ำเลิศ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บมาจากการประลองกับเว่ยฉิงคังมามิใช่น้อย ทั้งเพลงกระบี่อัสนีบาตของหลงจินหู่
ก็มีความร้ายกาจสุดหยั่งคาดดังที่เราได้เคยประสบมาแล้ว หากปล่อยให้การประลองมีขึ้นในวันนี้ก็เกรงว่า เด็กน้อยผู้นี้อาจต้องพ่ายแพ้และเป็นอันตรายขึ้นได้”

คิดได้เช่นนั้น หานไป๋เจี้ยน ก็เปล่งเสียงออกมาจากยอดไม้สูงแห่งนั้น แล้วทะยานร่างลงสู่ลานประลอง

“ไม่ถูกต้อง… เช่นนี้ไม่ถูกต้อง”

ทุกคนที่ในที่นั้นต่างมีใจจดจ่อเฝ้่าดูการต่อสู้ระหว่าง หลงจินหู่ กับเฟยอี้ ครั้นได้ยินเสียงของหานไป่เจี้ยนดังขึ้น ต่างก็หันไปมองดูยังแหล่งของต้นเสียง
พอเห็นเป็นร่างของหานไป๋เจี้ยนปรากฎขึ้นกลางลานประลอง ต่างก็ส่งเสียงฮือฮาขึ้น ว่า เหตุใดวันนี้จึงปรากฏร่างของสี่เซียนเทพยุทธ์ขึ้นพร้อมกัน

ทิกุ้ยชิ่ว หลวงจีนหลี่เต๋อ และ บ้อเมี่ยวเล่านั้งเห็นเป็นหานไป๋เจี้ยนปรากฎกายเข้ามา ก็มีความยินดีเข้าไปทักทายดุจดังสหายที่มิได้พบกันมาช้านาน

หลงจินหู่ เห็นมีฝ่ายตรงข้ามปรากฎขึ้นมาอีกหนึ่ง ก็นิ่งดูความเคลื่อนไหวอย่างระแวงสงสัย จนหานไป๋เจี้ยนหันมาแล้วกล่าวขึ้นว่า

“หลงจินหู่ ท่านกระทำเช่นนี้มิเป็นการถูกต้อง ตัวท่านเป็นถึงจอมยุทธที่ได้รับการยอมรับนับถือให้เป็นหนึ่งในห้าของสุดยอดบู๊ลิ้ม เหตุใด
จึงคิดเอาเปรียบเด็กน้อยผู้นี้อย่างไม่ละอาย”

หลงจินหู่ได้ยินหานไป่เจี้ยนว่ากล่าวเช่นนั้น ก็กล่าวตอบว่า

“หานไป่เจี้ยน ข้าไว้ชีวิตเจ้าไปครั้งหนึ่ง ก็มิได้หมายความว่า ข้าจะมิต้องการชีวิตเจ้า จงเร่งแจ้งมาว่าข้าเอาเปรียบอันใดต่อมัน อย่าได้แต่ใช้วาจา
กล่าวหาข้าโดยไร้แก่นสารเช่นนี้”

หานไป่เจี้ยน หัวเราะในลำคอแล้วกล่าวว่า

“เฮอะ….เจ้าคิดเอาเปรียบผู้เยาว์ แล้วทำแสร้งเป็นไม่รู้ ก็ได้…ข้าจะแจ้งให้เจ้าฟังต่อหน้าเหล่าชาวยุทธในที่นี้
ว่าเจ้าคิดเอาเปรียบต่อมันเช่นไร

ประการแรก เด็กน้อยผู้นี้พึ่งเสร็จสิ้นจากการประลองยุทธกับเว่ยฉิงคัง มันทั้งสูญเสียพลังและได้รับบาดเจ็บยังมิทันฟื้นตัว เจ้าก็ฉกฉวยโอกาส
ท้ามันประลอง

ประการที่สอง เจ้าคิดใช้เพลงกระบี่ต่อสู้กับผู้เยาว์ที่มิรู้เพลงกระบี่ ทั้งมันก็มิมีอาวุธ ใดๆอยู่ในมือ นี่มิถือเป็นการเอาเปรียบต่อผู้เยาว์หรอกรึ

ประการที่สาม กระบี่ที่เจ้าถือคือกระบี่เก้าศัสตรา อันทรงอานุภาพ แม้ข้าเองก็ยังมิอาจต้านทาน แต่เจ้าก็ยังคิดใช้มันต่อเด็กน้อยผู้มิรู้เพลงกระบี่

ทั้งสามประการนี้ล้วนเป็นเจ้าเอาเปรียบต่อผู้เยาว์ เจ้ามิอับอายบ้างรึ”

หลงจินหู่ ได้ยินเช่นนั้นก็มีใบหน้าบึ้งตึงด้วยความโกรธ แล้วตวาดออกไปด้วยเสียงอันดังว่า

“หานไป่เจี้ยน เจ้ากล่าวเหลวไหลแล้ว เช่นนี้ข้ามิต้องรอให้มันสำเร็จเพลงกระบี่ของเทพองค์ใดเสียก่อนรึ จึงสามารถล้างแค้นมันได้”

หานไป่เจี้ยน แย้มยิ้มแล้วหันไปพูดกับ บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ทิกุ้ยชิ้ว และหลวงจีนหลี่เต๋อว่า

“ท่านทั้งสาม หากข้าจะขอให้ศิษย์ของพวกท่าน ฝึกเพลงกระบี่ของข้า พวกท่านจะขัดข้องอันใดหรือไม่”

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ทิกุ้ยชิ้ว และหลวงจีนหลี่เต๋อ หันมามองดูหน้ากัน แล้วทิกุ้ยชิ้วก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า

“ข้ามิขัดข้อง และเชื่อว่า ท่านบ้อเมี่ยว และท่านหลี่เต๋อ ก็คงไม่ขัดข้องเช่นเดียวกัน แต่ข้าสงสัยเพียงว่า เฟยอี้จะสามารถฝึกเพลงกระบี่ของท่าน
ในเวลาอันจำกัดนี้ได้เช่นไร”

หานไป่เจี้ยนยังคงมีรอยยิ้มเกิดขึ้นที่ใบหน้า แล้วหันไปกล่าวกับเฟยอี้ว่า
“แล้วเจ้าเล่า ยินดีที่จะเป็นศิษย์ของข้าหรือไม่”

เฟยอี้สบตากับหานไป่เจี้ยนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเหลือบมองไปยังอาจารย์ของมันทั้งสาม ครั้นเห็นอาจารย์ทั้งสามพยักหน้าเป็นทีว่าอนุญาติ
มันก็กล่าวตอบหานไป่เจี้ยนไปว่า

“ข้ายินดีที่จะฝึกเพลงกระบี่ของท่าน”

หานไป่เจี้ยน เมื่อได้ยินเฟยอี้ตอบรับมันเป็นอาจารย์ ก็กล่าวขึ้นกับ หลงจินหู่ว่า

“หลงจินหู่…ข้าจะรับมันผู้นี้เป็นศิษย์และจะให้มันสำเร็จเพลงกระบี่เทพวายุของข้าภายในหนึ่งเดือนนับจากนี้ จากนั้นหากจะต้องประลองกับเจ้า
ข้าก็จะมิว่ากล่าวอันใดแล้ว”

หลงจินหู่ได้ยินเช่นนั้น ก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา แล้วกล่าวว่า

“ฮ่าๆๆๆๆๆ……ช่างน่าขันนัก ตัวเจ้าเองก็พึ่งจะพ่ายแพ้ต่อข้า แต่กลับจะให้เด็กน้อยผู้นี้ฝึกเพลงกระบี่ของเจ้าในเวลาเพียงหนึ่งเดือน
มันก็มิต่างอันใดกับที่มันจะต้องตายด้วยกระบี่ของข้าในวันนี้ เจ้าคิดที่จะใช้อุบายยืดเวลาตายของมันออกไปใช่หรือไม่”

“หึ…….แต่เอาเถอะ…ข้าจะให้เวลามันสั่งเสียความก่อนตาย แต่ข้ามิอาจรอถึง หนึ่งเดือนได้”

หลงจินหู่หันไปจ้องมองเฟยอี้ แล้วกล่าวขึ้นว่า
“ข้าจะยืดความตายของเจ้าไปอีกสิบห้าวัน และในอีกสิบห้าวันข้างหน้า ข้าจะมาที่ลานประลองแห่งนี้อีกครั้ง แต่หากว่าเจ้าคิดหลบหนี
ก็อย่าคิดว่าจะรอดพ้นไปจากกระบี่ของข้าได้”

สิ้นคำ ร่างของหลงจินหู่ก็ทะยานขึ้นสู่คบไม้ จากกิ่งหนึ่งไปยังอีกกิ่งหนึ่งแล้วหายลับไปจากสายตาของผู้คนที่จ้องมองมันอยู่ ณ ที่นั้น

เมื่อเห็นว่าหลงจินหู่ไปแล้ว บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ก็พูดขึ้นกับหานไป่เจี้ยนว่า
“ท่านหานไป่เจี้ยน เฟยอี้จะสามารถสำเร็จเพลงกระบี่เทพวายุของท่านในระยะเวลาอันสั้นได้รึ”

หานไป่เจี้ยน เหลือบมองดู บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ทิกุ้ยชิ้ว และหลวงจีนหลี่เต๋อ แล้วทอดถอนลมหายใจก่อนจะกล่าวขึ้นว่า

“ข้าเองก็ไม่มั่นใจ แต่ข้าจำต้องหาหนทางยืดเวลาออกไปก่อน เนื่องด้วยว่า หลงจินหู่ที่พวกท่านได้เห็นในวันนี้ มิได้เป็นหลงจินหู่ดั่ง
ครั้งกาลก่อน มันมีทั้งกระบี่เก้าศัสตราอันทรงอานุภาพ ทั้งยังสำเร็จเพลงกระบี่อัสนีบาต ที่สูญหายไปจากยุทธภพมาเป็นเวลาช้านาน
ก่อนหน้าที่ข้าจะได้พบกับพวกท่าน ข้าก็ได้เคยปะฝีมือกับมันมาครั้งหนึ่งแล้ว เพลงกระบี่ของมันร้ายกาจยิ่งนัก ทั้งรวดเร็วสุดหยั่งคาด
และมีพลังทำลายล้างที่แม้แต่ เพลงกระบี่เทพวายุของข้าก็มิอาจต้านทาน

ข้าได้ลอบมองดูเหตุการณ์บนลานประลองอยู่ที่ยอดไม้สูงอยู่ช้านาน จนพอล่วงรู้ว่า แม้เฟยอี้จะมีพลังวัตรที่พิสดารเลิศล้ำ แต่ก็มิอาจ
ที่จะต้านทาน ความพิศดารของเพลงกระบี่อันไร้ต้นทางแต่ปลางทางกลับบรรลุถึงตัวของมันได้ ข้าจึงได้ออกมายับยั้งถ่วงเวลา
การประลองออกไปก่อน”

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง พยักหน้าฟังคำของหานไป่เจี้ยนอย่างเข้าใจ แล้วกล่าวว่า

“เพลงกระบี่อัสนีบาต บัญญัติขึ้นโดยเทพแห่งกระบี่โอวเย่จื่อ ทั่วพิภพจบแดนไร้ผู้ต่อต้าน ทั้งมันยังมีกระบี่เก้าศัสตราอยู่ในมืออีก…
ศึกครั้งนี้ช่างน่าหนักใจยิ่งนัก”

หลวงจีนหลี่เต๋อซึ่งยืนฟังอยู่อย่างเงียบสงบ ถึงตอนนี้ก็มิอาจนิ่งเฉยอยู่ได้ เอ่ยปากถามขึ้นกับหานไป่เจี้ยนว่า

“หากว่าเป็นเช่นนี้ แม้ว่าท่านถ่ายทอดเพลงกระบี่เทพวายุให้กับเฟยอี้ได้สำเร็จ ก็ยังมิอาจรับมือมันได้อยู่ดีใช่หรือไม่”

หานไป่เจี้ยนจึงหันไปกล่าวกับ หลวงจีนหลี่เต๋อว่า

“เพลงกระบี่เทพวายุของข้าอันที่จริงมีอยู่ สิบเก้ากระบวนท่า แต่ข้าอ่อนด้อยความสามารถนักฝึกฝนได้เพียง สิบหกกระบวนท่า
ทั้งยังมิอาจตีความเคล็ดแห่งวิชากระบี่ได้กระจ่างชัด แต่มาในวันนี้ข้าได้เห็นแนวทางวรยุทธ์ที่เฟยอี้ใช้ ก็มีความหวังเกิดขึ้นว่า
หากเป็นเฟยอี้อาจจะสามารถฝึกฝนเพลงกระบี่เทพวายุของข้าได้สำเร็จ”

หลวงจีนหลี่เต๋อได้ยินเช่นนั้น ก็เกิดความสงสัย กล่าวออกมาว่า

“เพราะเหตุใดท่านจึงกล่าวเช่นนั้น”

หานไป่เจี้ยนจึงว่า

“ในยุคชุนชิว มีนักพรตลัทธิเต๋าผู้หนึ่งนามว่า คงจวงจื้อ ได้ออกจาริกแสวงหาสัจธรรมตามวิถีแห่งเต๋า จนในที่สุดก็จาริกมาถึง ยอดเข้าไท้ซาน
แล้วยืนพิจารณาสภาวะแห่งธรรมจากภายในออกสู่ภายนอกจนเข้าสู่ภวังค์ ขณะนั้นเองได้บังเกิดกระแสลมพัดเอื่อยมาต้องผิวกาย แล้วแปรเปลี่ยน
เป็นกระแสลมที่มีกำลังแรง แล้วก็กลับหยุดลงหวนกลับมาเป็นเอื่อยช้าอีกครั้ง นักพรตคงจวงจื้อพิจารณาความไม่เที่ยงแท้แห่งกระแสลมที่พัดมาต้องกายนั้น
จนบรรลุถึงสภาวะแห่งความไม่แน่นอนและว่างเปล่าอันเป็นปลายทางสูงสุดแห่งเต๋า ณ ยอดเขาไท้ซานนั่นเอง พลันบังเกิดความปิติยินดีในธรรม
ชักกระบี่ออกมาร่ายรำไปตามสภาวะแห่งธรรมนั้น กระบวนท่าแห่งเพลงกระบี่นั้นเคลื่อนคล้อยไปตามกระแสลมที่พัดพา ยามลมพัดเอื่อยค่อยๆเคลื่อนคล้อย
กระบวนท่าแห่งกระบี่นั้นก็พลิกพริ้วอ่อนไหว และนุ่มนวล ครั้นกระแสลมแปรเปลี่ยนเป็นรุนแรงหักโหม กระบวนท่ากระบี่ของท่านก็แปรเปลี่ยนเป็นดุดัน
และรุนแรงเช่นเดียวกัน

จนเกิดเป็นกระบวนท่ากระบี่ 19 กระบวนท่าอันยอดเยี่ยม นักพรต คงจวงจื้อ เห็นว่าเพลงกระบี่นี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จในการบรรลุธรรมของท่าน
และมิอยากให้สูญหายไป จึงจารึกวิถีกระบี่นั้นเป็นคัมภีร์ยุทธ มีนามว่า เพลงกระบี่เทพวายุ และได้สืบทอดติดต่อกันมาหลายรุ่น แต่ก็ยังไม่เคยมีผู้ใด
สามารถบรรลุถึง 19 กระบวนท่ากระบี่ได้ แม้ตัวข้าเองที่ผ่านมาก็ได้ทุ่มเทฝึกฝนมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว ก็สำเร็จได้เพียง 18 กระบวนท่าเท่านั้น

แต่ในวันนี้ ข้าได้เห็นแนวทางวรยุทธ์ที่เฟยอี้ใช้ประกอบไปด้วยความอ่อนหยุ่น และเข้มแข็งดุดัน ทั้งวิถีลมปราณก็คล้ายคลึงกับแนวทางแห่งเต๋ายิ่งนัก
ข้าจึงมีความคิดว่า หรือที่ผ่านมาผู้สืบทอด เพลงกระบี่เทพวายุ มิเคยมีผู้ใดฝึกฝนลมปราณในแนวทางเต๋าเลย จึงมิสามารถสำเร็จกระบวนท่าสุดท้าย
ของกระบี่เทพวายุได้ ข้าจึงเห็นว่าสมควรให้เฟยอี้ทดลองฝึกฝนดู”

ทิกุ้ยชิ้วได้ฟังเช่นนั้น จึงเอ่ยออกมาบ้างว่า

“ถึงเป็นเช่นนั้นก็เถอะ แต่ระยะเวลาเพียงสิบห้าวัน เฟยอี้จะสามารถสำเร็จวิชากระบี่ของท่านได้เช่นไร”

เฟยอี้ซึ่งนิ่งฟังอย่างสงบ ก็เอ่ยขึ้นว่า

“อาจารย์ทั้งสาม และท่านหานไป่เจี้ยน แม้ข้ายังเยาว์ แต่ชีวิตข้านี้ผ่านประสบการณ์ใกล้ความตายมาหลายครั้ง ในแต่ละครั้งที่รอดพ้นมาได้
ก็ล้วนแต่ฟ้าลิขิตทั้งสิ้น แม้ครั้งนี้ก็เช่นกัน หากว่ามันถึงเวลาที่ข้าต้องแลกชีวิตแล้ว ข้าก็หากังวลสิ่งใดไม่ โปรดอย่าได้มีความกังวลใจ
ใดๆอีกต่อไปเลย”

ในระหว่างนั้นเอง กิมเฮียกจื้อ ก็เข้ามาแล้วกล่าวกับเฟยอี้ขึ้นว่า

“เฟยอี้….ธิดาเทพหายตัวไป พวกเราออกติดตามกันเถอะ ข้าคาดว่านางคงออกค้นหาตัวท่านเจ้าลัทธิ บิดาของนางเป็นแน่”

เฟยอี้ได้ยินเช่นนั้น ก็ตกใจ แล้วหันมองไปโดยรอบ แล้วรีบเร่งติดตาม กิมเฮียกจื้อไปในทันที

ทิกุ้ยชิ้ว ยังคงเห็นเหล่าชาวยุทธทั้งหลายยังคงห้อมล้อมอยู่ที่ลานประลองอยู่ ก็ประสานมือขึ้น แล้วกล่าวว่า

“เหล่าชาวยุทธทั้งหลาย ขอเชิญพวกท่านกลับไปก่อนเถิด ต่อแต่นี้ภายในวังเบญจธาตุคงต้องมีเรื่องราวให้สะสางอยู่มากมาย จนมิอาจ
ให้การต้อนรับต่อพวกท่านได้ ข้าขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย”

เหล่าชาวยุทธได้ยินเช่นนั้น ก็กระทำคารวะตอบ แล้วพากันทะยอยเดินทางกลับออกไป

เฟยอี้ติดตามกิมเฮียกจื้อไป พร้อมกับเหล่าภรรยาของมัน จนเข้าสู่อาณาบริเวณภายในวังเบญจธาตุ แล้วลงสู่ห้องลับใต้ดิน
ซึ่งมันเคยลอบเข้ามาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อคราวช่วยองค์หญิงฯออกจากที่คุมขัง มันตรงเข้าไปยังห้องศิลาห้องหนึ่งซึ่งมีลูกกรงเหล็ก
ปิดอยู่ เห็นร่างของธิดาเทพยืนร้องไห้อยู่หน้าห้องนั้น สองมือของนางจับลูกกรงเหล็กเขย่าอยู่ไปมา แล้วส่งเสียงเรียกอยู่คำว่า
ท่านพ่อ…ท่านพ่อ…ซ้ำๆอยู่ไปมา

เฟยอี้ตรงเข้าไปยืนอยู่ที่หน้าลูกกรงเหล็กนั้น แล้วมองเข้าไปยังภายในห้อง ภาพที่เห็นก็คือ บุรุษในวัยห้าสิบเศษอยู่ในอาการสิ้นสติ
ถูกผูกโยงแขนทั้งสองข้างไว้ด้วยโซ่เหล็ก บรุษนั้นมีเรือนร่างผอมแห้ง ซูบโซม คล้ายดั่งไม่ได้กินสิ่งใดมาเป็นเวลาช้านาน มีเพียงเค้าหน้า
ของคนผู้นั้นเท่านั้นที่ยังมีส่วนคล้ายกับเจ้าลัทธิอยู่

เฟยอี้เห็นภาพเบื้องหน้า ก็ให้บังเกิดความรู้สึกสังเวชใจว่า ในกาลก่อนเจ้าลัทธิผู้นี้ คือผู้ที่ทรงอำนาจที่สุดในแผ่นดิน ประกอบไปด้วย
บุคคลิกลักษณะอันงามสง่า น่าเกรงขาม แต่มาบัดนี้กลับมิเหลือสิ่งใดๆในกาลก่อนให้เห็นอยู่เลย อำนาจวาสนานั้นหาได้จีรังยั่งยืน
ดั่งที่ปรากฎอยู่ในสายตาของมันในขณะนี้ แล้วผู้คนทั้งหลายยังจะดิ้นรน ไขว่คว้า แสวงหามันเพื่อสิ่งใดกัน

สองมือของเฟยอี้วางลงบนไหล่ของ ธิดาเทพ แล้วบีบลงเบาๆ พร้อมกับกล่าวว่า

“เจ้าถอยออกไปก่อน ข้าจะทำลายลูกกรงเหล็กนี้”

ธิดาเทพ ได้ยินเช่นนั้น ก็ถอยห่างออกไป แต่สายตาของนางยังคงจับจ้องร่างที่ถูกผูกตรึงไว้ด้วยโซ่เหล็กนั้น

เฟยอี้เร่งเร้าลมปราณในร่างขึ้น จนแผ่รัศมีเรืองรองออกมา มือทั้งสองของมันร่ายรำอยู่ไปมา จนบังเกิดเป็นวงพลังลมปราณปรากฎขึ้นที่มือทั้งสอง
แล้วจึงผลักพลังนั้นไปยังลูกกรงเหล็กในทันที

ลูกกรงเหล็กนั้น ล่องลอยไปกระทบกับผนังศิลาคล้ายดั่งถูกพัดพาไปด้วยกระแสลมอันมีกำลังแรง จนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

ทันที่ที่ลูกกรงเหล็กถูกทำลายลง ธิดาเทพก็วิ่งตรงเข้าไปโอบกอดร่างของเจ้าลัทธิในทันที นางส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญ พร้อมกับเรียกให้เจ้าลัทธิ
ฟื้นคืนสติกลับมา

“ฮือ…ๆๆๆๆๆ……ท่านพ่อ…..ท่านพ่อ…….ท่านพ่อ……….”

เฟยอี้ตรงเข้าไป ปลดโซ่ตรวนที่พันธนาการเจ้าลัทธิออก จนร่างนั้นทรุดฮวบลงมา ธิดาเทพใช้แขนของนางรองรับร่างของบิดาตนเองไว้
แล้วทรุดกายลงวางศรีษะของเจ้าลัทธิลงบนตักของนาง

“ท่านพ่อ…..ท่านพ่อ…เหตุใดท่านจึงนอนนิ่งเช่นนี้…..ลูกมาแล้ว…ลูกมาพบท่านแล้ว….ท่านพ่อ…”

ธิดาเทพร่ำร้องออกมาปานประหนึ่งว่าจะขาดใจ เฟยอี้เห็นเช่นนั้นก็เวทนานางยิ่งนัก มันใช้มือข้างหนึ่งโอบกอดนางไว้ โดยมิรู้จะกล่าวคำใดออกมา

ธิดาเทพ หันไปสบตากับเฟยอี้ด้วยน้ำตาที่นองหน้า

“เฟยอี้….ช่วยพ่อข้าด้วย…ได้โปรดช่วยพ่อข้าด้วย…”

เฟยอี้พยักหน้ารับคำของนาง แล้วใช้มือตรวจจับชีพจรที่ข้อมือของเจ้าลัทธิ ก็พบว่าเจ้าลัทธิยังมีชีวิตอยู่ แต่ชีพจรนั้นอ่อนแรงยิ่งนัก
มันจึงใช้พลังดรรชนีของมันจี้ไปที่จุด อิ้นถาง อันเป็นจุดควบคุมพลังชีวิต บริเวณกึ่งกลางหว่างคิ้วทั้งสองของเจ้าลัทธิ แล้วถ่ายเท
พลังปราณลงไปเพื่อกระตุ้นให้เจ้าลัทธิตื่นฟื้นขึ้น

พลันร่างของเจ้าลัทธิก็สะดุ้งขึ้นเฮือกหนึ่ง แล้วค่อยๆลืมตาขึ้นด้วยท่าทีที่อิดโรย พอเห็นว่าผู้ที่อยู่เบื้องหน้าของตน คือธิดาที่ตนเองรักใคร่ยิ่งนัก
ก็แย้มยิ้มออกมาอย่างยากเย็น มันเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของธิดาเทพ พลางกล่าวว่า

“ในที่สุด บิดาก็ได้เห็นหน้าเจ้าก่อนตายแล้ว ก็นับว่าข้านี้ยังไม่อาภัพนัก”

ธิดาเทพได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงร่ำร้องออกมาอย่างน่าเวทนา แล้วพร่ำแต่กล่าวคำซ้ำๆอยู่ไปมา
“ไม่…..ท่านต้องไม่ตาย……ท่านพ่อ…ท่านต้องอยู่กับข้า…..ฮือๆๆๆ ……..ห้ามท่านตายเป็นขาด…..เฟยอี้….ช่วยพ่อข้าด้วย
ได้โปรดช่วยพ่อข้าด้วย”

นางหันไปหาเฟยอี้ แล้วร่ำร้องออกมาอย่างขาดสติ เฟยอี้เห็นนางเป็นเช่นนั้นก็โอบกอดนางไว้ แล้วกล่าวว่า

“ข้าจะทดลองใช้พลังวัตรในตัวข้า ถ่ายทอดให้กับท่านเจ้าลัทธิดู เผื่อว่าอาการของท่านจะดีขึ้น”

แล้วเฟยอี้ก็ตรงเข้าไปประคองร่างของเจ้าลัทธิให้ทรงกายขึ้นนั่ง แล้วเตรียมที่จะถ่ายทอดพลังวัตรของตนไปให้
แต่เจ้าลัทธิเอื้อมมืออันสั่นเทา มาจับที่ข้อมือมันไว้อย่างแนบแน่น แล้วพยายามกล่าวคำพูดออกมาว่า

“ขอบใจ…เจ้ามาก แต่อย่า…ได้กระทำสิ่งที่มิเกิด…ประโยชน์เลย เอ็นมือและเท้า… รวมทั้งชีพจรทั้งหมดของข้าขาด…สะบั้นไปหมดแล้ว
ข้าจะต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกใย เจ้าหนุ่ม ข้าเพียงคิดให้เจ้าช่วยเหลืออยู่เรื่องหนึ่งได้โปรดรับปากกับข้า… ได้หรือไม่”

เฟยอี้เห็นเจ้าลัทธิมีอาการเช่นนั้น ก็คิดเวทนานัก จนมันลืมเลือนเสียสิ้นถึงเรื่องราวความแค้นที่ผ่านมา กล่าวออกมาว่า

“บอกข้ามาเถิด ท่านผู้อาวุโส ท่านต้องการให้ข้าช่วยเหลือสิ่งใด ข้ายินดีล้วนกระทำให้ท่าน”

เจ้าลัทธิแย้มยิ้มแล้วมองไปทางธิดาอันเป็นที่รักของตนแล้วกล่าว่า
“ธิดาของข้าผู้นี้ แม้มีความดื้อรั้นเอาแต่ใจอยู่บ้าง แต่นางมีจิตใจดีงาม ไม่เหมือนดังข้า….ที่ถูกอำนาจวาสนา
ปิดบังสายตาจนมืดบอด… ขอ…เจ้าจงช่วยดูแลธิดาอันเป็นที่รักของข้า…ด้วย เจ้าจะรับปากข้าได้หรือไม่”

มือของเจ้าลัทธิกำมือของเฟยอี้ไว้อย่างแนบแน่น ดวงตาทั้งคู่ของมันจ้องมองลึกเข้าไปยังดวงตาของเฟยอี้ คล้ายกับรอคอย
คำตอบของเฟยอี้อย่างมีความหวัง

เฟยอี้เห็นอาการของเจ้าลัทธิเป็นเช่นนั้น ก็บังเกิดความเวทนาจนน้ำตาของมันหลั่งไหลออกมา พร้อมกับใช้สองมือของมัน
กุมมือของเจ้าลัทธิไว้ พลางกล่าวว่า

“ท่านอย่าได้เป็นกังวล ข้าสัญญาว่าจะดูแลธิดาของท่านเป็นอย่างดี ไปจนตลอดชีวิตของข้า”

เจ้าลัทธิได้ยินเช่นนั้น ก็แย้มยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ แล้วกล่าวแต่ถ้อยคำซ้ำๆ ดวงตาของมันค่อยๆหรี่ลง หรี่ลงอย่างหมดแรง

“ประเสริฐ…..ประเสริฐ…..ประเสริฐ…………………ประเสริฐ……”

จนในที่สุด ก็ไร้ถ้อยคำใดๆ ออกมาจากปากของเจ้าลัทธิอีก แล้วดวงตาทั้งคู่นั้นก็ปิดสนิทลง สิ้นลมหายใจไปอย่างสงบบนตัก
ของธิดาอันเป็นที่รักยิ่งของมัน

เฟยอี้ปล่อยให้ธิดาเทพร่ำไห้โอบกอดร่างของบิดาตนเอง โดยมันนั่งอยู่เคียงข้างด้วยอาการเงียบงันอยู่เช่นนั้น ท่ามกลางสายตา
ของเหล่าอาจารย์และภรรยาคนอื่นๆของเฟยอี้ ต่างก็ยืนมองดูอย่างอดที่จะเวทนามิได้ มีเพียงหานไป่เจี้ยนเท่านั้น ที่ลอบมองไป
ยังองค์หญิงฯ ด้วยแววตาอันรันทดหดหู่ ในสภาวะเช่นนี้ มันจำต้องปิดปากของมันไว้ มิอาจกล่าวเรื่องราวการตายของอ๋องลีลู่ปังออกไป
เพื่อมิให้เฟยอี้สูญเสียกำลังใจในการฝึกซ้อม มันตั้งใจเอาไว้ว่า รอจนกว่าเฟยอี้จะสิ้นสุดภาระในการประลองกับหลงจินหู่เสียก่อน
จึงจะบอกกล่าวเรื่องราวนี้ออกไป

——–

หมอวิปลาสนอนหลับเคียงคู่กับมารแมงมุมขาว จนเวลาล่วงเลยใกล้จะถึงยามเช้าก็ตื่นขึ้น แล้วหันไปแย้มยิ้มกับมารแมงมุมขาว
แล้วกล่าวว่า

“คืนที่ผ่านมา ข้ามีความสุขยิ่งนักที่มีเจ้านอนอยู่เคียงข้างเช่นนี้ เจ้ารู้สึกเช่นเดียวกับข้าหรือไม่”

มารแมงมุมขาว ตื่นอยู่นานแล้ว นางกำลังใคร่ครวญถึงเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยความเสียใจ นางมิเคยคาดคิดว่าจะต้องตกเป็น
ภรรยาของบุรุษผู้น่าชังผู้นี้ ครั้นได้ยินมันกล่าวเช่นนั้น ก็กล่าวตอบออกไปว่า

“เจ้าขืนใจข้า….แล้วยังคิดไถ่ถามข้าเช่นนี้อีกหรือ”

หมอวิปลาสได้ยินนางกล่าวเช่นนั้น จึงกล่าวตอบไปว่า 

เรื่องเสียว อ่านเรื่องเสียว เล่าเรื่องเสียว ประสบการณ์เสียว เรื่องเล่าเสียว เล่าเสียว อ่านเสียว เรื่องเสียวแม่ลูก doujin sak รวมเรื่องเสียว

“แต่ว่า เมื่อคืนเจ้าเป็นฝ่ายที่ร่ำร้องให้ข้ากระทำ มิใช่หรือ”

มารแมงมุมขาว ได้ยินเช่นนั้น ก็ตวาดออกไปด้วยเสียงอันดังว่า

“นั่นเป็นเพราะ วิชาสกัดจุดอันชั่วช้าของเจ้า หาใช่ข้ายินยอมเองไม่”

หมอวิปลาสหัวเราะอยู่ในลำคอ แล้วกล่าว่า

“หึ…หึ.หึ..ดีล่ะ….เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้ามีความสุข โดยมิต้องสกัดจุดใดๆแล้ว”

สิ้นคำ หมอวิปลาสก็พลิกร่างเปลือยเปล่าของมันขึ้นทาบทับร่างของมารแมงมุมขาว แล้วซุกไซ้ใบหน้าของมัน
เชยชมใบหน้างามของนาง ท่ามกลางการดิ้นรนขัดขืนของมารแมงมุมขาว สองมือของมันกดทับสองมือของนางไว้อยู่เหนือศรีษะ
ส่วนขาทั้งสองของมันนั้น ก็ผลักดันเรียวขาทั้งสองให้เปิดอ้าออก

“ปล่อย….ปล่อยข้า…..ปล่อยข้านะ…….”

มารแมงมุมขาว พยายามดิ้นรนมิให้มันกระทำต่อเรือนร่างของนางตามใจปรารถนาของมันอีก แต่ดูเหมือนว่าจะมิทันการ
ทั้งแขนและขาของนางถูกมันยึดจับและผลักดันไว้จนมิอาจดิ้นหลุด จึงได้แต่เพียงขยับเรือนร่างอยู่ไปมา แต่ยิ่งขยับก็ดูเหมือน
ยิ่งตกอยู่ในสถานการณ์เป็นรอง เนื่องด้วยแก่นกายอันแข็งเกร็งของมันได้เคลื่อนเข้ามาจนแนบชิดกับเนินสวาทของนางเสียแล้ว

หมอวิปลาสเห็นว่านางดิ้นรนเรือนร่างอยู่เช่นนั้น จึงผลักดันแก่นกายของมันทิ่มแทงลงไปยังร่องสวาทที่กำลังเปิดออกอ้าของนาง
จนมิดลำแก่นกายของมัน แล้วขยับเรือนร่างของมันบดคลึงเรือนร่างของนางอยู่ไปมา ริมฝีปากของมันซุกไซ้ไปลำคอของนาง
เคลื่อนเข้าสู่ติ่งหู แล้วขบเม้มลงอย่างแผ่วเบา พลางส่งเสียงผ่านใบหูของนางไปว่า

“ข้าหลงรักเจ้าเสียแล้ว….จือจู………..อ้าาาาา………”

เรี่ยวแรงในการขัดขืนของมารแมงมุมขาว เริ่มลดน้อยถอยลง แล้วกลับกลายเป็นปลดปล่อยเรือนร่างให้ หมอวิปลาสเชยชม
โดยมิได้ขัดขืนอีก นางปิดตาลง แล้วเริ่มมีอาการเคลิบเคลิ้มไปกับลีลารักของหมอวิปลาส ทรวงอกของนางแอ่นขึ้นอย่างลืมตัว
เมื่อสัมผัสกับริมฝีปากของหมอวิปลาส ที่ซุกไซ้ลากผ่านไปที่ถันทั้งสอง ก่อนที่จะใช้ปลายลิ้นระรัวอยู่ที่ปลายยอดถันของนางข้างหนึ่ง

หมอวิปลาสกดเน้นแก่นกายของมันลงบนเนินสวาทของนาง แล้วบดคลึงหมุนวน จนมารแมงมุมขาวบิดส่ายสะโพกด้วยความเสียวซ่าน
แล้วจึงเคลื่อนลำแก่นกายของมันถอยออกมา แล้วกลับกระแทกซ้ำลงไปใหม่อย่างหนักหน่วง จนมารแมงมุมขาวอ้าปากส่งเสียงร้องออกมา
แล้วมันก็กระทำซ้ำอีก ด้วยจังหวะที่เร็วขึ้น เร็วขึ้น เสียงร้องของมารแมงมุมขาว ก็แปรเปลี่ยนไปตามจังหวะที่มันกระแทกกระทั้นนั้น

“ตั้บ…………..ตั้บ………..ตั้บ……..ตั้บ…..ตั้บ….ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ”

“โอ้ววว………..โอ้วว……..โอ้วว……โอ้วว….โอ้วว….โอ้วว….โอ้วว….โอ้วว….โอ้วว”

หมอวิปลาสยึดจับเอวอันคอดกิ่วของนางไว้ พลางกระแทกกระทั้นแก่นกายของมันลงบนเรือนร่างของนางอย่างหักโหม สายตาของมัน
จ้องมองดูใบหน้าของมารแมงมุมขาวที่กำลังบิดเบี้ยวไปด้วยความเสียวซ่านที่มันมอบให้ แล้วแย้มยิ้มออกมาพลางรำพึงอยู่ภายในใจว่า
ในที่สุด ข้าก็ได้นางผู้เลอโฉมนี้มาครอบครองแล้ว

และแล้วเสียงของมารแมงมุมก็ร้องกระชั้นถี่ขึ้น และดังขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าของนางคล้ายดังกำลังได้รับความเจ็บปวด แล้วแปรเปลี่ยนเป็น
ผ่อนคลายลง หายใจออกมาอย่างเหนื่อยหอบ แล้วก็กลับมีสีหน้าบิดเบี้ยวร่ำร้องขึ้นมาอีกครั้งเมื่อหมอวิปลาสยังคงบดคลึง และกระแทกกระทั้น
แก่นกายของมันอย่างไม่หยุดหย่อน นางถูกหมอวิปลาสกระทำจนบรรลุถึงจุดสุขสมไปหลายต่อหลายครั้ง แต่หมอวิปลาสก็ยังกระทำต่อเรือนร่างของนาง
อย่างไม่จบสิ้น มันตั้งใจที่จะให้นางตกเป็นทาสสวาทของมัน และจะไม่มีวันลืมเลือนมันไปจนตลอดชีวิตนี้

——–

เว่ยฉิงคังถูกเหล่าบริวารแบกหามร่างของมันกลับมายัง สำนักทวนผดุงคุณธรรม แม้ว่ามันยังไม่ถึงแก่ความตาย
แต่ในความคิดของมันในขณะนี้ ให้มันตายเสียยังประเสริฐกว่า ทั้งนี้ก็เพราะชีพจรและเอ็นมือเท้าทั้งหมดของมันได้ขาดสะบั้นลง
กลับกลายเป็นคนพิการและสูญสิ้นวรยุทธไปจนหมดสิ้น มันหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความคับแค้นและเสียใจมาตลอดเส้นทาง
จนน้ำตาของมันเหือดแห้งไป ก็กลับกลายเป็นมีดวงตาเหม่อยลอย หมดอาลัยต่อชีวิตที่เหลืออยู่ จนในที่สุดก็มีบริวารผู้หนึ่งเข้ามากล่าว
กับมันว่า

“นายท่าน…พวกเราเดินทางมาถึงสำนักทวนผดุงคุณธรรม แล้วนายท่าน”

บริวารชายสองคนตรงเข้ามาประคองร่างของมันให้ลุกขึ้น เตรียมที่จะนำพามันเข้าสู่สำนัก ทันใดนั้นชุ่ยเหลียนก็เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ
แล้วร้องถามขึ้นอย่างตกใจว่า

“เกิดสิ่งใดขึ้น…เหตุใดนายของพวกเจ้าจึงมีสภาพเช่นนี้”

เหล่าบริวารที่ช่วยกันประคองร่างของเว่ยฉิงคัง ต่างหันมามองหน้ากัน แล้วมิรู้จะกล่าวคำเช่นใดออกมา จึงพากันก้มหน้านิ่งเสีย

ชุ่ยเหลียนเห็นอาการของพวกมัน ก็ขัดใจนัก จึงหันมายังเว่ยฉิงคัง แล้วร้องถามขึ้น

“ท่านพี่…เหตุใดท่านจึงมีสภาพเช่นนี้ ท่าน…ท่านไปประสบเหตุใดมา”

เว่ยฉิงคังเดิมทีหมดอาลัยต่อชีวิตจนมิคิดจะมีชีวิตต่ออีกสืบไป ครั้นเห็นใบหน้าของชุ่ยเหลียนก็พลันก่อเกิดกำลังใจ ว่าอย่างน้อย
มันก็ยังมีนางเป็นที่รักยิ่งของมันผู้นี้อยู่ พลันมันก็หลั่งน้ำตาออกมาแล้วโผเข้าโอบกอดชุ่ยเหลียนไว้

“ชุ่ยเหลียน….ข้าไม่เหลือสิ่งใดแล้ว..ข้าพ่ายแพ้ต่อมันผู้นั้น..ข้า..ข้าสูญสิ้นวรยุทธแล้ว…ต่อแต่นี้ข้าจะมีชีวิตเพื่อสิ่งใดกัน”

ชุ่ยเหลียนทำทีเป็นโอบกอดร่างของมัน แล้วครุ่นคิดลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเว่ยฉิงคัง จนพอที่จะเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น
แล้วบังเกิดสิ่งหนึ่งวูบขึ้นมาในความคิด พลันดวงตาของนางก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นฉายแววอำมหิตออกมา แล้วหวนกลับมาทำยิ้มแย้มอีกครั้ง

“ท่านพี่…ท่านอย่าได้เศร้าเสียใจไปเลย ..ท่านยังมีข้า…แม้ท่านจะเป็นเช่นไรข้าก็ยังรักท่านไม่เปลี่ยนแปลง”

คำพูดนี้ของชุ่ยเหลียน ช่วยทำให้จิตใจของเว่ยฉิงคังจากที่เคยเหือดแห้งเศร้าหมอง กลับมามีความชุ่มชื่นหัวใจขึ้นมาในทันที มันมองเห็น
ความสุขของการมีชีวิตอยู่ หากมีชุ่ยเหลียนอยู่เคียงข้างกายของมัน

“ชุ่ยเหลียน…ข้าดีใจยิ่งนักที่ในยามนี้ยังมีเจ้าอยู่ข้างกายของข้า….ข้ารักเจ้ายิ่งนักชุ่ยเหลียน ต่อแต่นี้ข้าจะดีต่อเจ้าให้มากขึ้น
มีเจ้าเพียงผู้เดียวที่ทำให้ข้าคิดมีชีวิตอยู่สืบไป”

ชุ่ยเหลียนแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวานแล้วโอบกอดมันไว้ แต่ในความคิดของนางนั้นกลับรำพึงออกมาว่า

“ยังหรอก เว่ยฉิงคัง..เจ้ายังตายไม่ได้ เจ้าจะต้องพบกับความเสียใจ และช้ำใจอย่างที่สุด ให้สาสมกับความชั่วช้าของเจ้า”

ตลอดเวลาที่เว่ยฉิงคังกลับมายังสำนักทวนผดุงคุณธรรม ชุ่ยเหลียนก็ให้การดูแลเอาใจใส่และเอาอกเอาใจมันเป็นอย่างดี
จนมันรู้สึกคลายความเศร้าเสียใจลง และมีความรักต่อตัวชุ่ยเหลียนเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก แต่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้หาได้รอดพ้นสายตา
ของคนผู้หนึ่งซึ่งเฝ้าติดตามเคลื่อนไหวของชุ่ยเหลียนมาโดยตลอด มันผู้นั้นก็คือ อาชิว ทาสผู้จงรักรักภักดี และลุ่มหลงคลั่งใคล้ในตัวนาง
มันเฝ้าดูการเอาอกเอาใจของชุ่ยเหลียน ที่มีต่อเว่ยฉิงคังด้วยความริษยาและขุ่นเคือง แม้ตัวของชุ่ยเหลียนเองก็ล่วงรู้ว่ามันลอบเฝ้ามองดู
การกระทำของนางอยู่ตลอดเวลา แต่ดูเหมือนว่านางก็ยิ่งจะจงใจกระทำให้มันเห็นโดยเปิดเผย โดยแสร้งทำเป็นไม่ทราบว่ากำลังถูกมัน
ลอบมองดูอยู่

วันหนึ่งขณะที่ชุ่ยเหลียนปรนนิบัติเว่ยฉิงคัง จนมันหลับลงไปแล้วนางก็เดินออกมาจากห้อง และพบอาชิวกำลังยืนรอนางอยู่หน้าห้อง
ด้วยอาการมึนเมาจากฤทธิ์แห่งสุรา ทันทีที่มันพบนาง มันก็ตรงเข้ามาหาโดยคิดที่จะโอบกอดนาง

“หยุดนะ…อาชิว…เจ้าอย่าได้บังอาจให้มากนัก”

“นายหญิง…อาชิวรักท่าน…รักท่านอย่างที่สุด…หรือที่ผ่านมาท่านได้ลืมเลือนบ่าวผู้นี้ไปเสียแล้ว”

ชุ่ยเหลียนได้ยินมันพูดเช่นนั้นก็ลอบยิ้มออกมาอย่างสมใจ แล้วกล่าวว่า

“หยุดนะ..อาชิว..นี่คือหน้าห้องของท่านประมุขแท้ๆ เจ้ายังกล้ากล่าวถ้อยคำเช่นนี้ออกมาอีกรึ”

อาชิวกำลังตกอยู่ในห้วงทุกข์แห่งความรัก ที่ผ่านมาทุกคืนวันที่มันเฝ้าลอบมองดูนางปรนนิบัติต่อเว่ยฉิงคังด้วยความใกล้ชิด มันก็ได้พยายามข่มใจ
ทนฝืนต่อความเจ็บปวดอย่างที่สุดแล้ว จนมาในวันนี้ ความอดทนของมันก็ได้มาถึงจุดสิ้นสุดลง มันตั้งใจอย่างแน่วแน่แล้วว่า มันจะต้องครอบครอง
และแย่งชิง ชุ่ยเหลียน นางอันเป็นที่รักมาเป็นของมันให้จงได้

“นายหญิง ถึงตอนนี้ ข้าหาได้เกรงกลัว เว่ยฉิงคังไม่ หากแม้นว่ามันฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติในวันนี้ ข้าก็จะขอแลกชีวิตกับมัน
ขอเพียงข้าได้ครอบครองตัวท่าน นายหญิง ขอให้ข้าได้โอบกอดท่านให้ชื่นใจสักน้อยเถิด”

สิ้นคำอาชิวก็โผเข้าโอบกอดร่างของชุ่ยเหลียน แล้วซุกไซ้ไปตามใบหน้าของนาง ชุ่ยเหลียนเสแสร้งทำเป็นปัดป้องแล้วก้าวเท้า
ถอยผ่านเข้ามายังประตูห้องที่ยังมิได้ปิดลงอย่างสนิท แล้วส่งเสียงร่ำร้องขึ้น

“อย่า….อย่านะอาชิว……อย่า……อย่าทำข้า………”

อาชิวดันร่างของชุ่ยเหลียนจนยันชิดติดผนังห้อง มือข้างหนึ่งของมันลูบไล้ไปตามส่วนโค้งนูนของสะโพกของชุ่ยเหลียนแล้วบีบเค้น
ผลักดันร่างของนางให้แนบชิดกับท่อนล่างของมันพลางโยกย้ายเรือนร่างอยู่ไปมา แก่นกายของมันแข็งตั้งเป็นลำจนโป่งนูนออกมา
แล้วบดคลึงลงบนกึ่งกลางหว่างขาของชุ่ยเหลียน จนนางรู้สึกได้ถึงความแข็งเกร็งของแก่นกายมัน

นางเสแสร้งปัดป้อง และส่งเสียงร่ำร้องโดยหมายจะให้รู้ถึงหูของเว่ยฉิงคัง อาชิวอยู่ในการมึนเมาและถูกฤทธิ์แห่งไฟราคะเข้าครอบงำ
จนมันลืมเสียสิ้นว่ากำลังอยู่ที่ใด สองมือของมันเร่งปลดเปลื้องเสื้อของชุ่ยเหลียนแล้วแหวกออก จนเผยให้เห็นทรวงอกอันขาวผุดผ่อง
ชี้ชูยอดถันงามตระหง่านอยู่ต่อหน้ามัน มันเร่งรีบซบใบหน้าของมันลงซุกไซ้ลงบนทรวงอกงามนั้นอย่างตระกละตระกราม

“โอววววว…….นายหญิง….ท่านช่างงามยิ่งนัก……ขอให้ข้าได้เชยชมท่านสักครั้งหนึ่งเถิด” 

เรื่องเสียว อ่านเรื่องเสียว เล่าเรื่องเสียว ประสบการณ์เสียว เรื่องเล่าเสียว เล่าเสียว อ่านเสียว เรื่องเสียวแม่ลูก doujin sak รวมเรื่องเสียว

ขณะที่อาชิวกำลังซุกไซ้ทรวงอกชุ่ยเหลียนอยู่อย่างเพลิดเพลินอยู่นั้น ทันใดมันก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นบริเวณต้นแขน
จนมันต้องถอยร่างหลบออกมาตามสัญชาติญาณ แล้วปรากฏสิ่งหนึ่งล่วงหล่นลงสู่พื้น พร้อมกับร่างของคนผู้หนึ่ง
นอนเหยียดยาวอยู่แทบเท้าของมัน อาชิวก้มมองดูจนเห็นได้ชัดว่าวัตถุที่ตกลงสู่พื้นนั้นเป็นมีดสั้นเล่มหนึ่ง และร่างที่นอนอยู่
แทบเท้าของมันนั้นก็คือร่างของเว่ยฉิงคังนั่นเอง

เว่ยฉิงคังตื่นขึ้นจากเสียงร้องของชุ่ยเหลียน และมองเห็นภาพอาชิวกำลังลวนลามสตรีอันเป็นที่รักยิ่งของมัน ทำให้มันทั้งโกรธ
และเจ็บปวดใจอย่างที่สุด มันพยายามฝืนร่างลุกลงมาจากเตียงพร้อมมีดปอกผลไม้โดยหมายจะจู่โจมใส่อาชิวให้ตายภายในมีดเดียว
แต่ด้วยอาการบาดเจ็บที่ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้มันล้มลงเสียก่อนที่จะปักมีดนั้นลงบนร่างของอาชิว แล้วพลาดไปถูกแขนข้างหนึ่งของมัน
จนเกิดเป็นบาดแผลยาวขึ้น

อาชิวรู้สึกตกใจในครั้งแรกที่เห็นว่าเป็นเว่ยฉิงคัง แต่ครั้นเมื่อเห็นว่ามันหาได้มีพิษสงใดๆที่จะทำอันตรายต่อมัน มันก็หยุดยืน
จ้องมองหน้าของเว่ยฉิงคังโดยมิหลบสายตา ยิ่งเห็นเว่ยฉิงคังมีแววตาแดงโรจน์ด้วยความโกรธ เหมือนดังเมื่อครั้งที่เคยทำร้ายมัน
มันก็พลันบังเกิดความเครียดแค้น ตรงเข้าใช้เท้าเตะไปที่ร่างของเว่ยฉิงคังจนนับครั้งไม่ถ้วน

“นี่…..นี่…นี่…..เว่ยฉิงคัง..นี่คือสิ่งที่เจ้าเคยกระทำต่อข้าไว้….นี่..คราวนี้เจ้าถูกข้ากระทำเอาบ้าง..เหตุใดเว่ยฉิงคังผู้ยิ่งใหญ่จึงได้แต่
นอนนิ่งให้บ่าวอย่างข้ากระทำเช่นนี้เล่า….ความหยิ่งผยองของเจ้ามันหดหายไปอยู่ที่ใด…นี่…นี่…….นี่…”

เว่ยฉิงคังกัดฟันฝืนทนต่อคงามเจ็บปวด ไม่มีเสียงร่ำร้องเล็ดรอดออกมาจากปากของมัน

ชุ่ยเหลียนยืนนิ่งมองดูเว่ยฉิงคังถูกกระทำด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย ภายในใจของนางในตอนนี้มิอาจบ่งบอกรสชาติแห่งความรู้สึก
ของตนเองได้ นางทั้งรู้สึกสมหวังและเบิกบานใจที่แผนการของนางใกล้จะสำเร็จลง แต่อีกใจกลับรู้สึกวูบไหวและสลดใจโดยมิทราบสาเหตุ
แต่แล้วนางก็สลัดความรู้สึกหวั่นไหวนั้นออกไป แล้วหันมาดำเนินการตามแผนที่ตนเองวางเอาไว้ให้เสร็จสิ้น พลันนางก็ส่งเสียงร่ำร้องขึ้น

“หยุดนะ…อาชิว….เจ้าอย่าทำร้ายเขา…ท่านพี่…ท่านเป็นเช่นไรบ้าง…..อาชิว….หยุดนะ”

นางเห็นว่า อาชิวมิได้ฟังคำพูดของนางแม้แต่น้อย มันยังคงใช้เท้าเตะไปที่ร่างของวเว่ยฉิงคังอย่างไม่หยุดหย่อน นางจึงพูดออกมาว่า

“ก็ได้…หากเจ้าหยุดทำร้ายสามีข้า…ข้าก็จะยินยอมเป็นของเจ้า”

อาชิวสั่งสมความคลั่งแค้นที่มีต่อตัวของเว่ยฉิงคัง มาเป็นเวลานาน แม้มันเตะร่างของเว่ยฉิงคังจนฟกช้ำไปทั้งร่าง ความแค้นนั้น
ก็ยังไม่บรรเทาลง มันหาได้ฟังคำทัดทานใดๆของชุ่ยเหลียน ภายในใจของมันคิดเพียงแต่ว่า หากเว่ยฉิงคังตายไปในครั้งนี้
มันก็จะหมดสิ้นเสี้ยนหนามที่คอยทิ่มแทงหัวใจของมัน แต่ครั้นได้ยินนางกล่าวคำออกมาว่า ยินยอมเป็นของมัน มันก็ถึงกับมีความยินดี
จนลืมสิ้นหมดทุกสิ่ง หันมาหาชุ่ยเหลียนแล้วกล่าวคำออกมาว่า

“นายหญิง…ที่ท่านกล่าวออกมานั้นจริงหรือไม่….ท่านยินยอมเป็นของข้าแล้วจริงหรือไม่”

อาชิวคิดก้าวเท้าเข้าไปประชิดติดร่างของชุ่ยเหลียน แต่ก็กลับถูกมือของเว่ยฉิงคังยื้อยุดเอาไว้แล้วจ้องมองไปยังชุ่ยเหลียนร่ำร้องออกมาว่า

“ชุ่ยเหลียน…เจ้าอย่าได้ยินยอมต่อมัน ปล่อยให้ข้าตายไปเสียยังดีกว่าที่จะเห็นเจ้าถูกมันย่ำยี”

อาชิวได้ยินเว่ยฉิงคังกล่าวออกมาเช่นนั้นก็โกรธจัด เหวี่ยงเท้าข้างที่เว่ยฉิงคังยึดจับเอาไว้ออกอย่างเต็มแรง แล้วเตะลงไปบนร่างของมัน
อย่างเต็มแรงอยู่หลายครั้งจนมันไร้เรี่ยวแรงต่อสู้ขัดขวางอีก แล้วอาชิวก็ตรงเข้าอุ้มร่างของชุ่ยเหลียนไปวางลงบนเตียงซึ่งเว่ยฉิงคัง
เคยนอนอยู่อย่างนุ่มนวล แล้วจึงเปลื้องผ้าของชุ่ยเหลียนออกทีละชิ้นจนเปลือยเปล่าไปทั้งร่าง แล้วยืนนิ่งมองดูเรือนร่างของนางอย่าง
หลงใหล

“นายหญิง ท่านช่างงดงามยิ่งนัก ในที่สุดวันนี้ข้าก็ได้เชยชมท่านแล้ว”

อาชิวเปลื้องผ้าตนเองออกจนเปลือยเปล่าไปทั้งร่างเช่นกัน สองมือของมันโลมไล้เค้นคลึงไปในทุกสัดส่วนของชุ่ยเหลียนด้วยความหื่นกระหาย
ชุ่ยเหลียนนอนข่มใจหลับตานิ่งให้อาชิวล่วงเกินนางตามอำเภอใจของมัน ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นถึงผลแห่งแผนการ นางยินยอมกระทำทุกวิถีทาง
เพื่อแก้แค้นให้เอี้ยงตี้เก่งสามีของนางซึ่งต้องพบกับความเศร้าเสียใจที่เห็นนางถูกย่ำยีก่อนที่จะตายไป

ในที่สุด อาชิวก็ก่อเกิดกำหนัดถึงขีดสุด มันจับเรียวขาทั้งสองของชุ่ยเหลียนถ่างอ้าออกจนกลีบสวาทอันอวบอวมทั้งสองแย้มเปิดออกจากกัน
แล้วยืนจ้องมองดูด้วยสายตาที่หื่นกระหายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะจับส่วนหัวที่เบ่งบานของแก่นกายมันถูไถไปตามร่องสวาทของนาง
แต่แล้วมันก็ได้ยินเสียงร้องเรียกขึ้นจากเว่ยฉิงคังว่า

“อย่า…อย่าได้กระทำต่อนางเช่นนี้เป็นอันขาด………อย่าาาาา……ข้าจะฆ่าเจ้า……จะฆ่าเจ้า…….”

อาชิวหันมามองดูเว่ยฉิงคังซึ่งกำลังจ้องมองดูมันด้วยความอาฆาตแค้น มันกัดฟันพยายามฝืนความเจ็บปวดจะยกร่างของตนเองขึ้นเพื่อขัดขวางอาชิว
แต่เรี่ยวแรงของมันกลับหดหายไปจนหมดสิ้น แม้แต่จะเอ่ยปากกล่าวคำใดออกมาก็ยังมิสามารถจะกระทำ

อาชิวจับส่วนหัวอันเบ่งบานของแก่นกายมัน ถูไถไปตามร่องหลืบบนเนินสวาทของชุ่ยเหลียนอย่างเพลิดเพลิน แล้วกล่าวกับเว่ยฉิงคังขึ้นว่า

“นายท่าน..ข้าน้อยจะขอเชยชมภรรยาของท่านแล้ว….ได้โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย…ฮ่า…ฮ่า…ฮ่า….ฮ่า…..”

แล้วมันก็ดันแก่นกายของมันจนจมหายเข้าไปในร่องสวาทของชุ่ยเหลียนจนมิด จากนั้นจึงโยกคลึงท่อนล่างของมันเข้าและออกอย่างเชื่องช้า
พร้อมกับแย้มยิ้มให้กับเว่ยฉิงคัง

“โอววววว…..นายหญิง……ซี๊ดดดดดด…….ข้ามีความสุขยิ่งนัก……..ซี๊ดดดดดด……”

เว่ยฉิงคังพลันมีน้ำตาเอ่อคลอไหลออกมาจากสองตาของมัน มันทั้งแค้นใจและเศร้าใจอย่างที่สุดระคนกัน ตาทั้งสองของมันจ้องมองภาพอันบาดตา
ที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวจนมีอาการปวดแน่นขึ้นที่อก คล้ายดั่งมีภูตผีตนใดมาบีบกำหัวใจของมันเอาไว้ สองมือของมันยกมาเกาะกุมไว้ที่อก
แล้วดิ้นอย่างทุรนทุราย

อาชิวหาได้แยแสใดๆกับอาการของเว่ยฉิงคัง มันกำลังเป็นสุขสมหวังที่ได้ร่วมรักกับนายหญิงที่มันหลงใหลมาเป็นเวลาช้านาน
จังหวะแห่งแก่นกายที่ทิ่มแทงไปยังเนินสวาทของชุ่ยเหลียน ยิ่งกระทำก็ยิ่งรุนแรงระรัวถี่ด้วยอารมณ์อันหื่นกระหายที่เพิ่มพูนขึ้นของมัน
จนบังเกิดเป็นเสียงเนื้อกระทบกันดังไม่ขาดระยะ

“ตั้บ…..ตั้บ…..ตั้บ…..ตั้บ…..ตั้บ…..ตั้บ…..ตั้บ…..ตั้บ…..ตั้บ……”

ชุ่ยเหลียนถูกอาชิวทิ่มแทงทั้งรุนแรงและระรัวถี่เช่นนั้น นางก็มิสามารถนอนนิ่งเฉยอยู่ได้ ความซ่านเสียวโดยธรรมชาติจากรสสัมผัสแห่งชายหญิง
รุมเร้านางจนต้องห่อปากส่งเสียงระบายออกมา

“อูยยยย………………ซี๊ดดดดดดดด…………..อูยยยยยย……..”

พลันสายตาของนางก็เหลือบมาเห็น เว่ยฉิงคังกำลังดิ้นทุรนทุรายอย่างเจ็บปวด นางจ้องมองค้างนิ่งในขณะที่ร่างของนางสั่นกระเพื่อม
จากแรงกระทำที่อาชิวกระแทกกระทั้นเข้ามา นางไม่ล่วงรู้สาเหตุและไม่เข้าใจตนเอง ว่าเหตุใดนางจึงรู้สึกหวั่นไหวเมื่อได้เห็นเว่ยฉิงคังมีอาการ
เป็นเช่นนั้น นางสมควรที่จะมีความสุข และส่งเสียงหัวเราะอย่างพึงพอใจออกมาแต่นางก็ไม่สามารถตัดใจกระทำลงได้

ด้วยฤทธิ์แห่งยาเทพโอสถทะลวงชีพจร ที่เว่ยฉิงคังกลืนกินลงไปเกินขนาดในครั้งนั้น ทำให้สภาวะแห่งจิตใจของเว่ยฉิงคังขาดความระงับยับยั้ง
ความรู้สึกที่ได้รับ ในเวลาที่มันรู้สึกรัก มันก็แสดงความต้องการแห่งสภาวะนั้นออกมาแล้วเร่งตักตวงความต้องการนั้นจนสุขสมไปทุกครั้ง
แต่ครั้นในยามนี้ มันทั้งรู้สึกโกรธแค้น และ เศร้าเสียใจอย่างที่สุด สภาวะแห่งจิตใจมันก็อัดแน่นด้วยเพลิงแห่งความแค้น และความทุกข์
ที่เผาผลาญจิตใจมันจนสุดจะทานทน เส้นโลหิตในร่างของมันขยายใหญ่ขึ้นจนโป่งนูนออกมา มันสบตาสายตากับชุ่ยเหลียนด้วยแววตา
แห่งความรักที่มันมีให้ แล้วร่ำร้องออกมาว่า

“ชุ่ยเหลียน…….ชุ่ยเหลียน…….ข้ารักเจ้า….ข้ารักเจ้า………….ข้ารัก……เจ้า……อ้าาาาาา………”

เว่ยฉิงคังผงกใบหน้าขึ้น พลันปรากฎโลหิตไหลทะลักออกมาทั้งปากและจมูก ร่างของมันสั่นกระตุกอย่างหนักหน่วงอยู่สองสามสามครั้ง
แล้วแน่นิ่งลงขาดใจตายไปที่นั้น

อาการของเว่ยฉิงคังอยู่ในสายตาของชุ่ยเหลียนมาโดยตลอด พอนางเห็นมันแน่นิ่งไปเช่นนั้นนางก็มิอาจทนนิ่งเฉยอยู่ต่อไป
ชุ่ยเหลียนพยายามสลัดร่างให้พ้นจากการยึดจับของอาชิว เพื่อที่จะเข้าไปดูเว่ยฉิงคังด้วยความห่วงใย แต่มิมีสิ่งใดมาระงับความต้องการ
ของอาชิวในยามนี้ มันกำลังเสียวซ่านใกล้จะถึงจุดสุขสม ครั้นพอเห็นชุ่ยเหลียนพยายามจะสลัดร่างให้พ้นจากการกระแทกกระทั้นของมัน
มันก็ยิ่งยึดจับเอวอันคอดกิ่วของนางให้แน่นกระชับขึ้น แล้วเร่งความเร็วกระแทกกระทั้นลงไปที่ร่างของนางหนักขึ้นอีก

“โอวววว….ซี๊ดดดด….นายหญิง……ท่านจะหนีข้าไปไหน….อู้ววววว…..ซี๊ดดดด……”

“ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ…ตั้บ..ตั้บ…”

“ฉิงคัง….ฉิงคัง……เจ้าเป็นอะไรไป….ฉิงคัง…………”

และแล้วความเสียวซ่านของอาชิวก็พุ่งขึ้นถึงขีดสุด แก่นกายของมันปลดปล่อยธารารักอันขุ่นข้นเข้าสู่โพรงสวาทของชุ่ยเหลียน
จนท่วมท้น ร่างของอาชิวสั่นกระตุกแล้วเงยหน้าเผยอปากส่งเสียงครางออกมาด้วยความสุขสม

“โอ้วววววว……………….อ้าาาาาาาาาา…….”

อาชิวถึงจุดสุขสมบนเรือนร่างของชุ่ยเหลียน จนสองมือของมันที่ยึดจับช่วงเอวของนางไว้อย่างแนบแน่นก็คลายออก
มันคิดจะโผร่างเข้าซบกับร่างของชุ่ยเหลียน ด้วยความอ่อนระทวย แต่แล้วชุ่ยเหลียนกลับยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นแลัวถีบยันร่าง
ของมันออกไปอย่างสุดแรง จนร่างของอาชิวเซถลาล้มลงไปนอนกับพื้น

ชุ่ยเหลียนรีบยันกายขึ้นแล้วลงไปดูร่างของเว่ยฉิงคังอย่างรีบเร่ง นางนั่งลงกับพื้นจ้องมองใบหน้าของเว่ยฉิงคังอย่างเงียบงัน
ในห้วงความคิดของนางพลันปรากฎภาพของเว่ยฉิงคังในยามที่มันเอาอกเอาใจนาง และพูดจาต่อนางด้วยความรักที่มันมีให้
ชุ่ยเหลียนประจักษ์แก่ใจของนางขึ้นในยามนี้เองว่า แม้นางจะมีความแค้นต่อมันอย่างท่วมท้นหัวใจ แต่นางก็กลับมีความรัก
ต่อมันด้วยเช่นกัน

น้ำตาของชุ่ยเหลียนหลั่งไหลออกมาจนท่วมท้นใบหน้า นางยังคงจ้องมองร่างของเว่ยฉิงคังด้วยอาการนิ่งงันอยู่เช่นนั้น
จนอาชิวเดินเข้ามาแล้วทรุดร่างของมันลงนั่ง มันรั้งร่างของนางเข้าไว้ในอ้อมกอดของมันแล้วกล่าวว่า

“โถ่….นายหญิง…ท่านอย่าได้เสียใจไปเลย…ในที่สุดท่านก็ยังมีข้า….อาชิวผู้นี้จะภักดีต่อท่านไปจน…..โอ๊ยยย.!…..”

อาชิวกล่าวคำยังมิทันจบ มันก็ร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด แล้วชุ่ยเหลียนก็ผลักร่างของมันให้ห่างออกไปจากตัวนางจนมันล้มลง
ใช้สองมือเกาะกุมไว้ที่ลิ้นปี่อันชุ่มโชกไปด้วยโลหิต ในมือของชุ่ยเหลียนมีมีดสั้นอยู่เล่มหนึ่ง มันเป็นมีดสั้นที่เว่ยฉิงคัง
ได้ทำหลุดมือเอาไว้ นางได้หยิบมันขึ้นมาโดยอาชิวมิทันได้รู้ตัวแล้วทิ่มแทงลงไปบนร่างของอาชิวด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยไร้ความรู้สึกใดๆ

“โอ๊ย..นายหญิง…เหตุใด…เหตุใดท่านจึงทำร้ายข้า….โอยยย……”

อาชิวถูกมีดทิ่มแทงเข้าสู่จุดสำคัญจนโลหิตไหลทะลักออกมาไม่ขาดสาย มันรู้สึกหนาวเย็นจนลึกลงไปถึงกระดูก แล้วล้มลงนอนร้องคราง
พลางจ้องมองดูชุ่ยเหลียนด้วยความเจ็บปวดอย่างอ่อนแรง

ชุ่ยเหลียนหันกลับมามองร่างของเว่ยฉิงคัง โดยมิได้แยแสสนใจอาชิวแม้เพียงน้อยนิด สีหน้าของนางเรียบเฉยแต่ดวงตากลับฉ่ำนองไปด้วยน้ำตา

“ฉิงคัง…เจ้าคือบุรุษผู้ชั่วช้าที่สุด……..ข้าเองก็เป็นหญิงที่เลวทรามที่สุดเช่นกัน…เราสองต่างก็อาภัพยิ่งนัก ฉิงคัง…เจ้าจงรอข้าอยู่ที่นรกนั้นก่อนเถิด
ข้าจะติดตามเจ้าไปในตอนนี้แล้ว”

สิ้นคำชุ่ยเหลียนก็ใช้มีดสั้นในมือแทงเข้าที่ทรวงอกของนางอย่างเต็มแรง ร่างของนางทรุดฮวบลงนอนเคียงข้างกับร่างของเว่ยฉิงคัง
นางแย้มยิ้มออกมาในขณะที่ทรวงอกของนางยังมีมีปักตรึงอยู่ ลมหายใจของนางอ่อนแรงลงไปทุกขณะ พร้อมกับดวงตาของนางที่ค่อยๆหรี่ลง
จนในที่สุดดวงตาคู่นั้นของนางก็ปิดสนิทลง พร้อมกับการสิ้นสุดลงแห่งลมหายใจของนาง

——–

เป็นเวลาเจ็ดวันแล้วที่เฟยอี้ได้รับการถ่ายทอดกระบวนท่ากระบี่เทพวายุจากหานไป่เจี้ยน จนมันสามารถร่ายรำ สิบหกกระบวนท่ากระบี่ได้อย่างคล่องแคล่ว
หานไป่เจี้ยนเห็นว่ามีเวลาอยู่เพียงน้อยนิด จึงมิได้ถ่ายทอดเคล็ดลมปราณแห่งกระบี่ให้ แต่ให้เฟยอี้ทดลองใช้ปราณฟ้าดิน-หยินหยางหล่อหลอมเข้ากับกระบวนท่า
แห่งกระบี่ ด้วยเห็นว่าเป็นปราณอันกำเนิดจากลัทธิเต๋าเช่นเดียวกัน ซึ่งกลับให้ผลออกมาอย่างคาดไม่ถึง เฟยอี้สามารถพบกับความรุดหน้าในเพลงกระบี่ได้
อย่างรวดเร็ว จนหานไป่เจี้ยนบังเกิดความอัศจรรย์ใจยิ่งนัก

วันหนึ่งหานไป่เจี้ยน ได้เชิญให้บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ทิกุ้ยชิ้ว และหลวงจีนหลี่เต๋อ มาชมดูเฟยอี้ฝึกซ้อมเพลงกระบี่ ครั้นบุคคลทั้งสามเห็น เฟยอี้ร่ายรำเพลงกระบี่
เทพวายุได้คล่องแคล่วและพิศดารเช่นนั้น ก็ถึงกับตื่นตะลึงไม่เชื่อในสายตาตนเอง จนบ้อเมี่ยวเล่านั้งหันไปกล่าวกับหานไป่เจี้ยนขึ้นว่า

“ท่านหานไป่เจี้ยน ท่านทำเช่นไรจึงฝึกฝนเฟยอี้จนรุดหน้าในเพลงกระบี่ได้เช่นนี้ หากข้าไม่เห็นด้วยสายตาของตนเองข้าจะไม่ยินยอมเชื่อถือเป็นอันขาด”

ทิกุ้ยชิ้ว และหลวงจีนหลี่เต๋อ ก็หันมาทาง หานไป่เจี้ยน ด้วยท่าทีที่ตื่นตะลึงเช่นกัน

หานไป่เจี้ยนจึงกล่าวออกมาว่า

“ทั้งหมดเป็นไปตามที่ข้าได้คาดไว้ ข้าได้ถ่ายทอดกระบวนท่ากระบี่เทพวายุให้เฟยอี้จดจำ แต่มิได้ถ่ายทอดปราณที่ใช้ร่วมกับกระบี่
เพราะข้าเห็นว่าเฟยอี้มีพลังปราณในแนวทางเต๋าในร่างอยู่แล้ว จึงให้มันทดลองหล่อหลอมกระบวนท่าแห่งกระบี่ กับพลังลมปราณ
ที่มันมีอยู่ ร่ายรำเพลงกระบี่ออกมา ผลที่ได้ก็ตามที่พวกท่านได้ประจักษ์อยู่นี้ แต่ข้าก็มีข้อสงสัยอยู่ประการว่า เหตุใดเฟยอี้จึงดูมีความคุ้นเคย
ในท่าร่างของกระบี่ยิ่งนัก ทั้งที่ข้าถ่ายทอดให้เพียงครั้งเดียวนี้ แต่มันก็สามารถจดจำและร่ายรำออกมาได้อย่างพิศดารเช่นนี้ได้อย่างไร”

บ้อเมี่ยวเล่านั้งเป็นผู้ที่ใคร่รู้ในวิชาการต่อสู้ ยิ่งเห็นเฟยอี้สามารถกระทำในสิ่งที่ตนไม่ล่วงรู้ ก็ไม่สามารถระงับความใคร่รู้เอาไว้ได้
จึงร้องเรียกให้เฟยอี้เข้ามาหาตน เมื่อเฟยอี้เดินมาถึงจึงเอ่ยขึ้นว่า

“หลายวันมานี้ เจ้าฝึกฝนเพลงกระบี่รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว จนข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากระทำได้อย่างไร จงบอกต่อข้ามาว่าเจ้าเคยฝึกฝน
เพลงกระบี่เทพวายุนี้มาก่อนหน้านี้หรือไม่”

เฟยอี้ได้ยินบ้อเมี่ยวเล่านั้งถามขึ้นเช่นนั้น ก็ส่ายหน้าเร่งตอบออกมาว่า

“ไม่…ข้าหาได้เคยฝึกฝนเพลงกระบี่ใดๆมาก่อนหน้านี้เลย ท่านอาจารย์ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าได้เคยฝึกฝนแล้วมีส่วนคล้ายคลึงกับ
เพลงกระบี่นี้ยิ่งนัก”

หานไป่เจี้ยนได้ยินมันกล่าวเช่นนั้น ก็ถามขึ้นทันทีว่า

“วรยุทธ์ใดรึ ที่เจ้าว่าคล้ายคลึงกับเพลงกระบี่ของข้า”

เฟยอี้จึงหันไปกล่าวตอบหานไป่เจี้ยนว่า

“ท่าร่างหมื่นแปรเปลี่ยน ของท่านนักพรตจางหย่งจง”

บุคคลทั้งสี่พอได้ยินเฟยอี้กล่าวออกมาเช่นนั้น ก็หันมามองหน้ากัน แล้วหันไปมองดูเฟยอี้ เพื่อรอฟังว่ามันจะกล่าวคำใดออกมาอีก

“เมื่อครั้งที่ข้าติดอยู่ภายในถ้ำใต้ปล่องเขานั้น ข้าได้พบกับสรีระของท่านนักพรตจางหย่งจง และได้เผาสรีระของท่านตามคำสั่งเสีย
ที่ท่านได้จารึกไว้ จนได้พบกับคัมภีร์ยุทธ์สองเล่มเก็บซ่อนอยู่ภายใต้สรีระของท่าน นั่นก็คือ คัมภีร์ปราณฟ้าดิน-หยินหยาง และ
ท่าร่างหมื่นแปรเปลี่ยน ข้าจึงได้ฝึกฝนวรยุทธ์จากคัมภีร์ทั้งสองนั้นแล้วนำมันเก็บไว้ยังที่เดิม วิชาปราณฟ้าดิน-หยินหยางนั้น
ด้วยฟ้าลิขิตทำให้ข้าได้พบกับความสำเร็จในวิชานี้ แต่ท่าร่างหมื่นแปรเปลี่ยนนั้นจนถึงเวลานี้ข้าก็หาได้เข้าใจในเคล็ดวิชาที่ระบุไว้
ในคัมภีร์ จึงได้แต่ฝึกฝนและจดจำท่าร่างนั้นไว้จนหมดสิ้น ต่อเมื่อได้รับการถ่ายทอดวิชากระบี่จากท่านอาจารย์จึงพบว่า
ท่าร่างของทั้งสองวิชานี้ช่างมีส่วนที่คล้ายคลึงกันยิ่งนัก”

หานไป่เจี้ยนฟังเฟยอี้กล่าวถึงท่าร่างหมื่นแปรเปลี่ยนด้วยความสนใจ แล้วจึงถามขึ้นว่า

“เคล็ดวิชาท่าร่างหมื่นแปรเปลี่ยน ของท่านจางหย่งจง กล่าวไว้อย่างไรบ้าง เฟยอี้”

เฟยอี้ได้ยินเช่นนั้น ก็ท่องเคล็ดวิชาท่าร่างหมื่นแปรเปลี่ยนออกมาอย่างไม่ติดขัดว่า

” มีเกิดจากไม่มี ไม่มีเกิดจากมี
คิดเคลื่อนจึงนิ่ง เมื่อคิดนิ่งจึงเคลื่อน
นิ่งในความเคลื่อน และเคลื่อนในความนิ่ง
ไร้ลักษณ์ไร้ตัวตน และไร้ซึ่งกระบวนท่า
พลิกผันแปรเปลี่ยน ไร้จุดสิ้นสุด
คงไว้แต่สำนึก ไม่ยึดติดกฎเกณฑ์”

พอฟังเฟยอี้กล่าวถึงเคล็ดวิชาเสร็จสิ้นลง หานไป่เจี้ยนก็ถึงกับตะลึงค้าง แล้วรำพึงออกมาว่า

“คล้ายนัก….มีส่วนคล้ายกันยิ่งนัก หรือว่าท่านจางหย่งจง ก็เข้าถึงสภาวะธรรมเช่่นเดียวกับปรมาจารย์ คงจวงจื้อแล้วเช่นกัน”

หลวงจีนหลี่เต๋อ ซึ่งนิ่งฟังอยู่นาน ก็กล่าวขึ้นมาบ้างว่า

“ใช่แล้ว…ข้าเห็นด้วยกับท่าน ผู้บำเพ็ญพรต มิว่าจะดำเนินมาในแนวทางใด แต่ล้วนมีเป้าหมายสูงสุดอันเดียวกัน คือ ปรมัตถ์
ดังนั้น เคล็ดวิชาอันบัญญัติจากบุคคลทั้งสองจึงมิแปลกที่จะมีส่วนคล้ายคลึงกัน”

ถึงตอนนี้ บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ก็ยิ่งบังเกิดความวุ่นวายใจใคร่อยากรู้จนมิอาจยับยั้งเอาไว้ได้ กล่าวออกมาต่อหานไป่เจี้ยน ด้วย
ความเกรงใจว่า

“ท่านหานไป่เจี้ยน…ท่านจะขัดข้องอันใดหรือไม่ หากข้าจะขอให้ท่านบอกกล่าวเคล็ดวิชากระบี่ของท่านออกมา เพื่อจะเปรียบเทียบ
กับเคล็ดวิชาที่เฟยอี้ได้เรียนรู้มา”

หานไป่เจี้ยนได้ยินบ้อเมี่ยวเล่านั้ง กล่าวออกมาเช่นนั้น ก็ส่งเสียงหัวเราะดังออกมา แล้วกล่าวว่า

“ท่านบ้อเมี่ยว…ท่านสมแล้วที่มีฉายาว่า ปราชญ์พิศดาร หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับวรยุทธ์แขนงต่างๆแล้ว ท่านมิอาจทำใจปล่อยผ่าน
โดยมิได้ศึกษา เช่นนั้นข้าจะกล่าวเคล็ดวิชากระบี่เทพวายุให้ท่านฟังบัดนี้แล้ว

เคลื่อนไหวดุจแพรต้องสายลม ยามจู่โจมดุดันฟาดฟันเยี่ยงพายุ
ใช้เชื่องช้าสยบความรวดเร็ว ใช้ความโอนอ่อนสยบความแข็งแกร่ง
คล้ายพลังผ่อนคลาย แต่กลับไม่ผ่อน พลังสิ้นสุด แต่สำนึกไม่สิ้นสุด”

และในกระบวนท่าสุดท้าย ซึ่งยังมิเคยมีผู้ใดฝึกฝนได้สำเร็จกล่าวเอาไว้ว่า

“ไร้กระบวนท่าสยบกระบวนท่า ใช้ว่างเปล่าสยบความจริง
สำนึกกระบี่มั่่นคงอยู่ในจิต ตอบโต้ตามติด ไม่ยึดติดกฏเกณฑ์”

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ฟังหานไป่เจี้ยนกล่าวจนจบ ด้วยความตั้งใจแล้วนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวออกมาว่า

“เคล็ดวิชาทั้งสองล้วนกล่าวถึง สภาวะแห่งความไร้ตัวตน และไร้กระบวนท่า ซึ่งข้ามิอาจทำความเข้าใจได้จริงๆ
แต่ถึงอย่างไร ข้าก็ต้องขอดูกระบวนท่าของทั้งสองวิชาอีกครั้งหนึ่งแล้ว”

แล้วบ้อเมี่ยวเล่านั้งก็หันไปทางเฟยอี้แล้วกล่าวว่า

“เฟยอี้….เจ้าจงร่ายรำท่าร่างหมื่่นแปรเปลี่ยนที่เจ้าจดจำมาให้พวกเราได้ชมดูโดยพร้อมกันอีกซักครั้ง”

สิ้นคำของบ้อเมี่ยวเล่านั้ง เฟยอี้ก็วางกระบี่ลง แล้วนิ่งสงบอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเริ่มร่ายรำท่าร่างหมื่นแปรเปลี่ยนออกมาจนจบสิ้น

อาจารย์ทั้งสี่ ยืนมองกระบวนท่าที่เฟยอี้ร่ายรำออกมาจนจบสิ้นแล้ว ก็ยังคงนิ่งค้างอยู่เช่นนั้นคล้ายดังถูกสะกด
จนบ้อเมี่ยวเล่านั้งกล่าวขึ้นว่า

“ข้าต้องการดู เพลงกระบี่เทพวายุที่เจ้าฝึกฝนมา จงร่ายรำให้ข้าดูอีกซักครั้งเถิด”

เฟยอี้ได้ยินเช่นนั้น ก็เดินตรงไปหยิบกระบี่ แล้วร่ายรำ สิบหกกระบวนท่ากระบี่เทพวายุออกมาอีกครั้ง พอเฟยอี้ร่ายรำ
เพลงกระบี่นั้นจนจบสิ้น บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ก็อุทานออกมาด้วยเสียงอันดังว่า

“ประเสริฐ….ประเสริฐยิ่งนัก..ท่าร่างหมื่นแปรเปลี่ยน ล้ำลึก พลิกแพลง เพียงหนึ่งกระบวนท่าร่ายรำ กลับแปรเปลี่ยนเป็นจู่โจม
ได้นับร้อยกระบวนท่า หากนำมาหลอมรวมกับเพลงกระบี่เทพวายุ ที่พริ้วไหว รวดเร็วยามเคลื่อนย้าย แต่ยามจู่โจมกลับดุดัน
ต่อเนื่องประดุจพายุกระหน่ำ มันจะกลับกลายเป็นสุดยอดเพลงกระบี่แห่งยุทธภพเป็นแน่แท้”

ทิกุ้ยชิ้วได้ยินเช่นนั้น ก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างพอใจ แล้วกล่าวว่า

“มิเสียที ….ที่เป็นปราชญ์พิศดาร ข้านับถือท่านยิ่งนัก ท่านบ้อเมี่ยว เพียงครั้งเดียวที่ได้ชมกระบวนท่าวรยุทธทั้งสอง
ท่านก็สามารถหาจุดเด่นมาหลอมรวมเป็นวรยุทธ์อันเลิศล้ำได้แล้ว…..นับถือ….นับถือ….”

บ้อเมี่ยวเล่านั้งแย้มยิ้มออกมาได้เพียงครู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม แล้วกล่าวต่อหานไป่เจี้ยนขึ้นว่า

“ท่านหานไป่เจี้ยน เรามีเวลาเหลือน้อยนัก จากวันนี้ขอให้ข้าได้ฝึกสอนเฟยอี้ต่อจากท่านจะได้หรือไม่”

หานไป่เจี้ยนจึงกล่าวว่า

“ข้าเองก็มิมีสิ่งใดจะถ่ายทอดต่อมันแล้ว จากนี้ไปขอให้แล้วแต่ท่านเถิด”

บ้อเมี่ยวเล่านั้งได้ยินเช่นนั้นจึงกล่าวต่อเฟยอี้ว่า

“จากวันนี้ข้าจะหล่อหลอมวรยุทธทั้งสองออกมาเป็นเพลงกระบี่ แล้วถ่ายทอดแก่เจ้า จะสำเร็จหรือไม่ขึ้นกับบุญวาสนาเจ้าแล้ว
ข้าจะให้ชื่อเพลงกระบี่นี้ว่า เพลงกระบี่ หมื่นวายุแปรเปลี่ยน”

—–

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ก็ทุ่มเทเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน คิดค้นเพลงกระบี่ หมื่นวายุแปรเปลี่ยน ออกมาให้เฟยอี้
ฝึกฝนทีละกระบวนท่า จนเวลาล่วงเข้าสู่วันที่สิบสาม บ้อเมี่ยวเล่านั้งก็สามารถบัญญัติ เพลงกระบี่ หมื่นวายุแปรเปลี่ยน ได้สำเร็จ
และได้กล่าวต่อเฟยอี้ขึ้นว่า

“ข้าเสียดายนัก ที่เรามีเวลาอันจำกัด มิเช่นนั้น หากเจ้าสามารถทำความเข้าใจเคล็ดวิชาสูงสุด ของท่าร่างหมื่นแปรเปลี่ยน
และเพลงกระบี่เทพวายุแล้ว ผนวกเข้ากับกระบวนท่าที่ข้าได้บัญญัติขึ้นนี้ เกรงว่า หลงจินหู่ จะไม่ใช่คู่มือเจ้าแล้ว”

เฟยอี้ได้ยินอาจารย์ของตนพูดเช่นนั้น ก็แย้มยิ้มออกมาแล้วกล่าวว่า

“ท่านอาจารย์ แม้เวลาจะน้อยนิดเพียงใด ข้าก็จะไม่ย่อท้อ ข้าจะทุ่มเทฝึกฝนอย่างสุดความสามารถ และแม้จะต้องประสบกับความพ่ายแพ้
ข้าก็หามีความเสียใจอันใดแล้ว”

“ดี….เช่นนั้นพวกเรามาฝึกฝนกันต่อเถิด เวลาหาใช่อุปสรรคอันใดไม่”

ตลอดวันและคืนของวันนั้น เฟยอี้ฝึกฝนและจดจำกระบวนท่าเพลงกระบี่ที่บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ถ่ายทอดให้ด้วยจิตใจอันแน่วแน่ จนสามารถร่ายรำ
กระบวนท่าทั้งหมดได้อย่างคล่องแคล่ว มันจึงทดลองเคลื่อนลมปราณ ฟ้าดิน-หยินหยาง ประกอบเข้ากระบวนท่าแห่งกระบี่ ร่ายรำออกไปอีกครั้ง
บังเกิดเป็นแนวทางกระบี่อันแหวกแนว เพียงข้อมือมันพลิกวูบ กระบวนท่าก็แปรเปลี่ยนไปนับได้ร้อยพัน วิถีกระบี่ยิ่งผันแปรสุดหยั่งคาด
แม้บ้อเมี่ยวเล่านั้งเป็นผู้บัญญัติกระบวนท่าเหล่านี้ขึ้นเอง ก็ได้แต่ยืนชมอย่างตกตะลึง

เป็นเวลาเดียวกันกับ เหล่าอาจารย์อีกสามคน พร้อมทั้ง ลิ่มบ้อฮวย เยี่ยกุ้ยอิง และเหล่าภรรยาของมัน ต่างพากันมาชมดูการฝึกฝนของเฟยอี้
ด้วยความเป็นห่วง เนื่องด้วยว่าวันรุ่งขึ้นจะถึงเวลาแห่งการประลองแล้ว ทั้งหมดยืนชมดูความพิศดารของเพลงกระบี่ที่เฟยอี้ร่ายรำออกมา
ด้วยความประหลาดใจยิ่ง แม้หานไป่เจี้ยนเอง ซึ่งฝึกฝนเพลงกระบี่มาตลอดชีวิต เมื่อเห็นวิถีกระบี่ของเฟยอี้ก็ถึงกับรำพึงออกมาว่า

“ยากนักที่จะรับมือ….แนวทางกระบี่แหวกแนว และผันแปรยิ่งนัก”

ในขณะที่ทุกคนเพ่งความสนใจไปที่เฟยอี้อยู่นั้น กลับบังเกิดเสียงหนึ่งดังขึ้นที่เบื้องหลังของคนทั้งหมด

“เหตุใด พวกท่านจึงมาชุมนุมอยู่ ณ ที่นี้ มีสิ่งใดเกิดขึ้นรึ”

ทั้งหมดหันไปมองดูยังแหล่งที่มาของเสียงนั้น ก็พบว่าเป็น หมอวิปลาส เดินเคียงข้างมากับสตรีผู้มีความงดงามนางหนึ่ง
กิมเฮียกจื้อซึ่งยืนอยู่ ณ ที่นั้นพอเห็นสตรีนางนั้น ก็ร้องขึ้นว่า

“อาจารย์…..เป็นท่าน….เป็นท่านจริงๆด้วย”

แล้วนางก็ตรงเข้าไปหาหยางเพ่ยจือซึ่งยืนเคียงคู่อยู่กับหมอวิปลาส ลิ่มบ้อฮวย และเยี่ยกุ้ย ต่างเพ่งมองดูนางด้วยความสงสัย
ว่าเหตุใดนางจึงได้มาพร้อมกันกับหมอวิปลาส แล้วหันมาเหลือบมองหมอวิปลาสอย่างเคลือบแคลง
ในที่สุด ลิ่มบ้อฮวยก็กล่าวขึ้นว่า

“ท่านหลบไปยังที่แห่งใดมา เหตุไฉนจึงไม่บอกกล่าวสิ่งใด แล้วเหตุใดจึงมาเอาป่านนี้”

เยี่ยกุ้ยอิงเห็น ลิ่มบ้อฮวยกล่าวนำขึ้นมาเช่นนั้น ก็ถลึงตามองไปยังหมอวิปลาส แล้วเหลือบมองไปยังหยางเพ่ยจือ พลางเอ่ยถามขึ้นว่า

“นางเป็นใคร เหตุใดจึงมาพร้อมกันกับท่าน”

หมอวิปลาสเมื่อแรกคิดที่จะเข้ามาสารภาพความบางสิ่งต่อ ลิ่มบ้อฮวย และ เยี่ยกุ้ยอิง แต่ครั้นพอได้ประสบใบหน้าของนางทั้งสอง
เข้าจริงๆ ก็ถึงกับจิตใจสั่นหวิวทำสิ่งใดไม่ถูก ได้แต่เอ่ยถ้อยคำอันติดขัดออกมาว่า

“ข้า…..ข้า…ไปช่วยนาง…..ให้พ้นจาก…อันตราย….. นางมีนามว่า หยางเพ่ยจือ”

เยี่ยกุ้ยอิงได้ยินเช่นนั้นก็เดินตรงเข้าไปหาหมอวิปลาส แล้วกล่าวที่ข้างใบหูของมันว่า

“ยามท่านคิดช่วยเหลือสตรีนางใด ท่านมักก่อเรื่องพัวพันกับสตรีนางนั้นทุกคราวไปใช่หรือไม่
หึ…หากท่านไม่กล่าวความจริงออกมาให้ข้าและพี่บ้อฮวยทราบ ท่านก็อย่าหาว่าข้าโหดร้ายต่อท่าน”

แล้วเยี่ยกุ้ยอิง ก็สะบัดหน้าเดินกลับไปหาลิ่มบ้อฮวยแล้วกล่าวว่า

“ท่านพี่ พวกเราไปให้พ้นหน้าบรุษผู้มากความเมตตา คิดช่วยเหลือสตรีทุกนางบนโลกนี้เถอะ”

แล้วทั้งลิ่มบ้อฮวยและเยี่ยกุ้ยอิง ก็เดินจากหมอวิปลาสไปโดยไม่แม้แต่เหลือบตาแล ท่ามกลางสายตาของ บ้อเมี่ยวเล่านั้ง
ทิกุ้ยชิ่ว และหลวงจีนหลี่เต๋อ ที่ลอบยิ้มให้แก่กันแล้วกลั้นหัวเราะด้วยความขบขัน หมอวิปลาสหันไปมองทั้งบุคคลทั้งสาม
ด้วยความขุ่นเคือง แล้วกล่าวว่า

“พวกท่านทั้งสาม อย่าได้ยั่วโทสะข้าเป็นอันขาด มิเช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจแล้ว”

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวตอบโต้มันกลับไปว่า

“ฮ่าๆๆ เจ้าหมอลามก จงสงบอารมณ์ลงก่อน แล้วฟังข้า ในช่วงเวลาที่เจ้ามิได้อยู่กับพวกเรา มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย
ที่เจ้าสมควรได้รับรู้ ข้าจะเล่าเรื่องราวเหล่านั้น ณ บัดนี้แล้ว”

แล้วบ้อเมี่ยวเล่านั้งก็เล่าความทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยละเอียดให้หมอวิปลาสได้รับทราบจนหมดสิ้น

เมื่อหมอวิปลาสรับทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม จึงหันไปกล่าวกับเฟยอี้ว่า

“เฟยอี้ ในวันพรุ่งนี้ ข้าต้องการเห็นเจ้ามีชัยต่อหลงจินหู่ เจ้าจะกระทำได้หรือไม่”

เฟยอี้รู้ว่า หมอวิปลาสมีความห่วงใยในชีวิตของตน จึงได้กล่าวออกมาเช่นนี้ มันจึงกล่าวตอบออกไปว่า

“อาจารย์ ข้าจะมีชัยกลับมาให้จงได้”

แล้วทุกคนในที่นั้นก็สนทนากันอีกเล็กน้อยก่อนที่จะแยกกันออกไปพักผ่อน เพื่อพบกับการประลองในวันรุ่งขึ้น

รุ่งเช้าครบกำหนดวันที่สิบห้าตามที่หลงจินหู่ได้กำหนดเวลาไว้ เหล่าชาวยุทธต่างหลั่งไหลเดินทางมายังหน้าลานกว้างแห่งวังเบญจธาตุ
กันอย่างคับคั่งทั้งที่มิได้ออกเทียบเชิญอันใดออกไป เฟยอี้และอาจารย์ทั้งห้าพากันมายืนรออยู่ที่ลานกว้างแห่งนั้นตั้งแต่ล่วงเข้าสู่เวลาเช้า
บรรดาชาวยุทธที่เดินทางเข้ามาพอเห็นเฟยอี้ ต่างก็เข้ามากระทำคารวะและกล่าวถ้อยคำเป็นกำลังใจให้เฟยอี้ให้ได้รับชัยชนะในครั้งนี้
โดยถ้วนหน้า จนในที่สุดแสงแห่งดวงตะวันก็เริ่มแรงกล้าขึ้นล่วงเข้าสู่ยามสาย พร้อมกับการปรากฎตัวของหลงจินหู่ที่เดินเข้ามายัง
ลานกว้างแห่งนั้น มันเดินตรงเข้ามาแล้วหยุดยืนอยู่ ณ เบื้องหน้าของเฟยอี้ พร้อมกับแย้มยิ้มอย่างเยือกเย็นออกมา

“หึ….เจ้าเด็กน้อย ในที่สุดก็นับว่าเจ้าเป็นชายชาตรีผู้หนึ่ง ที่มีความกล้ามิได้หนีหายไปจากกำหนดนัดหมาย”

หานไป่เจี้ยนได้ยินเช่นนั้น จึงตอบคำแทนเฟยอี้ไปว่า

“หลงจินหู่…เจ้าอย่าได้ลำพองไปนัก ศิษย์ของข้าผู้นี้แม้มีเวลาเพียงน้อยนิดฝึกฝนเพลงกระบี่ แต่ก็กลับมีความก้าวหน้ารวดเร็วนัก
จนมิแน่ว่า เจ้าจะมีชัยต่อมัน”

หลงจินหู่เพ่งมองไปที่เฟยอี้ด้วยแววตาอันกราดเกรี้ยว พร้อมกับกล่าวว่า

“เช่นนั้น ข้าเห็นจะต้องขอชมดูแล้ว”

พลางชักกระบี่ออกจากฝัก แล้วชี้ปลายกระบี่ชี้ลงดินยืนนิ่งรออยู่ เสมือนเป็นการท้าทายว่ามันพร้อมแล้ว เหล่าอาจารย์ทั้งห้าเห็นเช่นนั้น
ก็ถอยหลังออกมารวมตัวกับกลุ่มคนที่ยืนรายล้อมคอยดูการประลองอยู่

เฟยอี้ถือกระบี่ศิลาขาวที่หานไป่เจี้ยนมอบให้มันไว้ใช้ต่อสู่กับหลงจินหู่ เห็นเช่นนั้นก็ชักกระบี่ออกมาเช่นกัน แล้วลอบโคจรลมปราณ
ฟ้าดิน-หยินหยางขึ้นในร่างจนบังเกิดเป็นรัศมีแห่งปราณแผ่ซ่านออกมาทั่วร่างแล้วครอบคลุมกระบี่ไว้โดยสิ้น

หลงจินหู่สังเกตเห็นอาการของเฟยอี้มิได้มีอาการตื่นตระหนกกังวลอันใด ทั้งๆที่มันพึ่งฝึกฝนเพลงกระบี่เพียงระยะเวลาไม่กี่วัน
และยิ่งมันสัมผัสได้ถึงรัศมีประหลาดที่แผ่ซ่านออกมาจากกายของเฟยอี้ ก็คิดเคลือบแคลงใจตามอุปนิสัยของมัน จึงมิได้ประมาท
คิดใช้กระบวนท่าอันร้ายกาจจู่โจมมันทันทีหากสบโอกาส

บรรยากาศโดยรอบลานกว้างแห่งนั้นเงียบงันประดุจไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ ทุกคนที่รายล้อมอยู่ ณ ลานประลองต่างส่งสายตา
จ้องเขม็งไปยังร่างของคนทั้งสองที่ถือกระบี่คุมเชิงกันอยู่ด้วยใจที่เต้นระทึก แม้มันทั้งสองยังมิได้ลงมือต่อกันแต่ผู้คนที่อยู่ในที่นั้น
ก็รับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตแห่งการฆ่าฟันของหลงจินหู่ที่แผ่ซ่านออกมาจนน่าหวั่นหวาดยิ่ง

และแล้วดวงตาทั้งสองของเฟยอี้ก็เบิกกว้างขึ้น ประสาทสัมผัสพิเศษของมันเตือนถึงสิ่งหนึ่งกำลังจู่โจมเข้ามายังร่างของมันอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่สายตาของมันจะมองเห็นประกายกระบี่พุ่งปราดลงมาจากเบื้องบน มันคือกระบี่อันไร้ต้นทางแต่ปลายทางกลับบรรลุถึงตัวแล้วของหลงจินหู่นั่นเอง

เฟยอี้วาดกระบี่ศิลาขาวขึ้นต้านรับได้อย่างรวดเร็ว แต่หลงจินหู่มิได้จู่โจมเข้ามาเพียงกระบี่เดียว กระบี่ของมันคล้ายกับจู่โจมออกมาเพียงครั้งเดียว
แต่กลับบังเกิดรังสีกระบี่ฟาดฟันลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง จนเฟยอี้ต้องปัดป่ายกระบี่ขึ้นตั้งรับอย่างร้อนรน พลางถดถอยเพื่อลดทอนแรงกระบี่ที่โหมกระหน่ำ
จู่โจมเข้ามา เสียงกระทบกันจากกระบี่ของคนทั้งสองดังอย่างต่อเนื่องไม่ขาดระยะ

แม้เฟยอี้ได้แผ่ปราณเข้าคุ้มครองกระบี่ไว้หมดสิ้นแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงความหนักหน่วงที่ปรากฎขึ้นที่ข้อมือของมัน เฟยอี้จึงตัดสินใจดีดร่างออกมาให้พ้น
จากรัศมีแห่งกระบี่ของหลงจินหู่ก่อนที่เข้าสู่สภาวะคับขัน ครั้นเมื่อถอยห่างออกมาจากรัศมีกระบี่ของหลงจินหู่แล้ว จึงรู็สึกว่าแขนซ้ายของตนได้บังเกิดบาดแผลขึ้น
เมื่อมองดูจึงเห็นเป็นโลหิตสดๆ ฉ่ำนองอยู่ที่แขนเสื้อนั้น เหล่าอาจารย์ทั้งห้า และภรรยาของมันพอเห็นเฟยอี้ไดรับบาดเจ็บเช่นนั้น ก็รู้สึกหวั่นวิตกใจยิ่ง

หานไป่เจี้ยนเฝ้าดูอาการของเฟยอี้มาโดยตลอด เห็นเฟยอี้มิได้รวมจิตเป็นหนึ่งกับกระบี่ จิตใจว้าวุ่นอยู่แต่กับการตั้งรับกระบี่ของหลงจินหู่ จึงร้องเตือนออกไปว่า

“เฟยอี้…ใจของเจ้าร้อนรนเกินไปแล้ว….จงนิ่งสงบอยู่กับสำนึกกระบี่ของเจ้า อย่าได้แยแสสนใจกระบวนท่าของมัน”

เฟยอี้ได้ยินการร้องเตือนสติจากหานไป่เจี่ยนเช่นนั้นก็รำลึกขึ้นได้ว่า ยามที่มันสำเร็จปราณฟ้าดิน-หยินหยางนั้น จิตใจของมันหาได้แยแสต่อความตาย
มีแต่เพียงมุ่งมั่นกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเท่านั้น ทั้งตลอดเวลาที่ฝึกฝนเพลงกระบี่ หมื่นวายุแปรเปลี่ยน กับบ้อเมี่ยวเล่านั้ง ใจของมันก็ตั้งอยู่ในความสงบ
หาได้ร้อนรนอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้

เมื่อคิดได้เช่นนั้น เฟยอี้จึงหลับตาลงแล้วรวมจิตเข้าสู่ศูนย์กลางแห่งจุดตังชั้ง พลางเร่งเร้าปราณฟ้าดิน-หยินหยางขึ้นมาอีกครั้ง พลันร่างของมัน
ก็แผ่รัศมีพลังปราณอันเรืองรองออกมา จิตของมันสงบนิ่ง ดุจดังผืนน้ำในบ่อลึก

หลงจินหู่จ้องมองดูเฟยอี้ยืนหลับตานิ่ง ก็เข้าใจว่ามันทดท้อต่อการต่อสู้ จึงแย้มยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น แล้วกล่าวว่า

“เพียงสิบห้าวัน เจ้าก็สามารถรับกระบี่ของข้าได้เช่นนี้ก็นับว่าถึงตายไปก็มิเสียชาติเกิดแล้ว จงภูมิใจที่ได้ตายภายใต้กระบี่ของข้าเถิด”

สิ้นคำ หลงจินหู่ก็ปราดเข้ามาวาดกระบี่ออกเป็นวงกลมแล้วทิ่มแทงไปยังร่างของเฟยอี้ทันที ทันใดเฟยอี้ก็ลืมตาขึ้นพลิกร่างหลบออกไปเพียงเล็กน้อย
แล้วพลิกข้อมือตวัดกระบี่ออกเป็นวงกลมเช่นกัน บังเกิดเป็นวิธีกระบี่อันผันแปรสุดหยั่งคาด ปลายกระบี่ของเฟยอี้วนสวนทางกับกระบี่ของหลงจินหู่
จนสลายพลังกระบี่ที่หลงจินหู่กำลังถาโถมเข้ามาจนสลายไปสิ้น ทั้งยังพลิกพริ้วแปรเปลี่ยนเป็นจู่โจมใส่ร่างของหลงจินหู่อย่างรวดเร็ว หลงจินหู่มิได้คาดคิดว่า
เฟยอี้จะผันแปรวิถีกระบี่ได้พิศดารเช่นนั้น ก็ถึงกับตื่นตกใจถดถอยกระบี่ออกมาตั้งรับอยู่เป็นพัลวันพลางถดถอยฝีท้าวกลับมาทีละก้าวด้วยความวุ่นวายใจยิ่ง

เสียงกระบี่ของคนทั้งสองบางคราเสียดสี บางครากระทบกันอย่างระรัวถี่ ดังต่อเนื่องอย่างไม่ขาดช่วง

ปราณฟ้าดินหยินหยางที่คุ้มครองกระบี่ของเฟยอี้ในครั้งนี้กลับมีอานุภาพยิ่งกว่าในครั้งแรกมากนัก ยามรับกระบี่อันโหมกระหน่ำอย่างรุนแรงจากหลงจินหู่ ก็เป็นไปด้วย
ความอ่อนหยุ่นซึมซีบพลังจู่โจมนั้นจนสลายออกไปจนหมดสิ้น คราจู่โจมคืนกลับก็อาศัยจังหวะอันเหมาะสมทิ่มแทงกระบี่ออกไปอย่างต่อเนื่องดุดัน สายตาของเฟยอี้ในตอนนี้
สามารถจับการเคลื่อนไหวของหลงจินหู่ได้อย่างแจ่มชัด จนรับรู้ได้ถึงต้นทางแห่งกระบี่ของหลงจินหู่ แล้วชิงจู่โจมก่อนที่มันจะร่ายรำกระบวนท่าแห่งกระบี่ออกมา
นับเป็นการสลายกระบวนท่ากระบี่ของคู่ต่อสู้ได้โดยเด็ดขาด สอดคล้องกับเคล็ดแห่งวิชากระบี่ ใช้อ่อนหยุ่นสยบความเข้มแข็ง ใช้เชื่องช้าสยบความรวดเร็วโดยแท้

หลงจินหู่รู้สึกประหลาดใจยิ่งนักที่เห็นวิถีกระบี่ของเฟยอี้แปรเปลี่ยนไปดั่งเป็นคนละคน และไม่ว่ามันจะจู่โจมใส่เฟยอี้ด้วยกระบวนท่าใด
เฟยอี้ก็กระทำเหมือนดั่งล่วงรู้ พลันใช้กระบวนท่ากระบี่โต้ตอบออกมาจนสลายอานุภาพแห่งกระบวนท่ากระบี่ของมันไปจนสิ้นทุกระบวนท่า หลงจินหู่ยิ่งต่อสู้
ก็ยิ่งคิดหวั่นหวาดต่อความรุดหน้าแห่งวิชากระบี่ของเด็กน้อยเฟยอี้ผู้นี้ยิ่งนัก ในเวลาเพียงสิบห้าวันไฉนมันจึงมีเพลงกระบี่อันร้ายกาจเช่นนี้ออกมาได้
ยิ่งคิดมันก็ยิ่งคั่งแค้นใจตัวเองที่มิชิงลงมือตั้งแต่ที่พบมันในคราแรก

หานไป่เจี้ยนยืนมองดูเฟยอี้ร่ายรำกระบี่อย่างชื่นชมแล้วกล่าวต่อบ้อเมี่ยวเล่านั้งขึ้นว่า
“ท่านบ้อเมี่ยว เพลงกระบี่ที่ท่านคิดค้นขึ้นมานี้ ข้ายังมิเห็นผู้ใดในแผ่นดินจะสามารถรับมือได้ และเฟยอี้ก็สามารถนำมาใช้ได้อย่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก”

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง ใช้มือลูบเครายาวยืนมองดูการต่อสู้ของคนทั้งสองด้วยท่าทีที่ผ่อนคลาย แล้วกล่าวว่า
“ลำพังข้าเพียงผู้เดียวมิอาจกระทำดังที่ท่านกล่าวมา แต่เป็นเด็กน้อยผู้นี้ต่างหาก มันมีดวงชะตาดั่งฟ้าลิขิตมา ทั้งตัวมันเองมีก็มีคุณสมบัติพร้อม
ที่จะเป็นยอดคนแห่งยุค ข้าเชื่อว่าต่อไปในเบื้องหน้า มันผู้นี้จะเป็น ยอดยุทธแห่งบู๊ลิ้มโดยแท้”

หลงจินหู่ใช้เพลงกระบี่อัสนีบาตจนเกือบหมดสิ้นทุกกระบวนท่าแล้วก็ยังมิอาจชิงเป็นฝ่ายได้เปรียบต่อเฟยอี้ได้ จึงคิดใช้พลานุภาพ
และความพิศดารแห่งกระบี่เก้าศัสตราเข้าสยบต่อเฟยอี้ มันดีดร่างถดถอยออกจากวงต่อสู้ราวสิบเก้า แล้วผนึกพลังปราณอันแฝงไปด้วยความ
อาฆาตพยาบาทของมันลงสู่กระบี่เก้าศัสตรา เพื่อปลุกพลังวิญญาณที่สิงสถิตย์อยู่ในตัวกระบี่ให้ตื่นฟื้นและสำแดงพลังอำนาจออกมาตามที่โอวเย่จื่อ
ผู้บัญญัติคัมภีร์กระบี่อัสนีบาตได้จารึกไว้ พลันปรากฏแสงเรืองรองเปล่งประกายออกมาจากตัวกระบี่ หลงจินหู่ปรากฎแววตาอันเหี้ยมเกรียม
แล้วแผดเสียงอันดังออกมาพร้อมกับฟาดกระบี่เก้าศัสตราออกไป

บังเกิดเป็นสายพลังกระบี่ส่งรัศมีเรืองรองพุ่งตรงไปยังร่างของเฟยอี้ในทันที เฟยอี้เห็นเช่นนั้นก็ดีดร่างลอยขึ้นสู่อากาศเบื้องบน
หลบประกายแห่งกระบี่นั้นไปได้อย่างฉิวเฉียด สายพลังแห่งกระบี่นั้นพลาดเป้าหมายฟาดลงบนพื้นอันว่างเปล่าจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
บังเกิดผงคลีคละคลุ้งอยู่ ณ ที่นั้น

หลงจินหู่เห็นว่าพลาดเป้าก็ทะยานร่างติดตามแล้วกวัดแกว่งกระบี่ฟาดฟันตามติดไปอีกสามสี่ครั้ง เฟยอี้เห็นเช่นนั้นก็เร่งเร้าพลังลมปราณ
ถ่ายเทใส่ตัวกระบี่แล้วฟาดฟันตอบโต้กลับไป ทั้งสองลอยร่างอยู่กลางอากาศฟาดฟันรังสีกระบี่ตอบโต้กันจนบังเกิดเสียงดังปานประหนึ่งฟ้าคำราม
ร้องดังไม่ขาดระยะ

หลงจินหู่เห็นว่า มิว่ากระทำเช่นไรก็มิอาจสยบเฟยอี้ลงได้ จึงคิดหากลอุบายให้เฟยอี้สูญเสียความสงบแห่งจิตใจแล้วเปิดช่องโหว่ให้แก่มัน
จึงร้องออกมาในระหว่างฟาดฟันกระบี่ว่า

“เจ้าเด็กน้อย หานไป่เจี้ยนได้บอกต่อเจ้าหรือไม่ว่า ข้าได้เคยบุกไปยังวังหุบผาภูติเพื่อหาตัวเจ้าก่อนจะมาพบเจ้า ณ ที่แห่งนี้”

เฟยอี้ได้ยินมันพูดเช่นนั้นก็บังเกิดความสงสัย แต่มิได้กล่าวสิ่งใดออกมา จนหลงจินหู่ได้กล่าวออกมาอีกว่า

“ข้าได้พบเพียง อ๋องลีลู่ปัง อาจารย์ของเจ้า ที่มิเจียมตนเข้ามาขัดขวางข้า ข้าจึงให้มันลิ้มรสกระบี่ของข้าจนมันบาดเจ็บสาหัส
แม้หานไป่เจี้ยนเอง ก็อยู่ ณ ที่นั้นด้วย”

ถึงตรงนี้เฟยอี้ก็มิอาจนิ่งฟังอย่างเดียวได้ เอ่ยปากร้องถามต่อหานไป่เจี้ยนขึ้นว่า

“ที่หลงจินหู่พูดมา เป็นความจริงหรือไม่ ท่านอาจารย์”

หานไป่เจี้ยนมีสีหน้าวิตกกังวลยิ่งร้องตอบเฟยอี้ออกมาว่า

“เจ้าอย่าได้ฟังคำมัน มันคิดล่อลวงเจ้ามิให้รวมจิตเป็นหนึ่งกับกระบี่”

องค์หญิงฯ และภูตแพรทั้งสี่ซึ่งยืนอยู่ ณ ที่นั้นด้วย ก็มิอาจนิ่งรับฟังแต่เพียงอย่างเดียว ต่างเข้ามารายล้อมหานไป่เจี้ยน
แล้วไถ่ถามถึงเรื่องราวเหล่านั้นว่าเป็นความจริงหรือไม่ หานไป่เจี้ยนสบตากับองค์หญิงฯแล้วแปรเปลี่ยนสายตาเป็นสลดลง
มันมิอาจทำใจปิดบังเรื่องราวนี้ได้อีกต่อไปจึงพยักหน้าแทนคำตอบออกไป

สิ้นอาการนั้น ทั้งองค์หญิงฯ และภูตแพรทั้งสี่ต่างก็ส่งเสียงไถ่ถามอาการของอ๋องลีลู่ปังออกมาด้วยอาการที่ร้อนรนไปด้วยความเป็นห่วง
อ๋องลีลู่ปัง แต่หานไป่เจี้ยนกลับนิ่งมิตอบคำใดๆออกมา

หลงจินหู่ ฟาดฟันกระบี่พลางลอบยิ้มออกมาอย่างสมความคิด แล้วเอ่ยออกมาอีกว่า

“ข้าจะช่วยบอกให้ก็ได้ ในระหว่างที่รอการประลองกับเจ้า ข้าได้ยินข่าวเลื่องลือออกมาจากวังหุบผาภูตว่า
อ๋องลีลู่ปัง สิ้นชีวิตลงแล้ว ฮ่า…ฮ่า…ฮ่า….ฮ่า…….”

เฟยอี้ได้ยินเช่นนั้นก็บังเกิดอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นในจิตใจ มันทั้งเศร้าเสียใจ และคลั่งแค้นอย่างที่สุด ที่อาจารย์ผู้มีพระคุณ
อันล้นเหลือของมันต้องมาตายไปเพราะน้ำมือของคนผู้นี้ ดวงตาของมันแดงกล่ำไปด้วยความโกรธอย่างที่สุดร้องตวาดออกมา
ด้วยเสียงอันดัง แล้วพุ่งจู่โจมใส่หลงจินหู่อย่างขาดสติ

จิตของเฟยอี้ในตอนนี้มิได้รวมเป็นหนึ่งกับกระบี่เสียแล้ว อีกทั้งลมปราณก็มิได้แผ่ออกมาครอบคลุมกระบี่ไว้ ดังนั้นกระบวนท่าที่มัน
จู่โจมใส่หลงจินหู่จึงด้อยอานุภาพลงอย่างเห็นได้ชัด หลงจินหู่ยกกระบี่ขึ้นต้านรับการจู่โจมของเฟยอี้ ก็ล่วงรู้ในทันทีว่ามันสบโอกาส
ที่จะสยบเฟยอี้แล้ว พลางเร่งเร้าลมปราณถึงขีดสุดแผ่อานุภาพกระบี่ฟาดฟันลงไปอย่างรุนแรง เสียงกระบี่เก้าศัสตรากระทบกับ
กระบี่ศิลาขาวดังขึ้นเพียงหนึ่งครั้ง กระบี่ศิลาขาวก็ถูกทำลายจนหักสะบั้นลง ปลายของกระบี่ล่องลอยไปปักลงที่พื้นดิน ณ เบื้องหน้า
ของหานไป่เจี้ยนในทันที

เฟยอี้มิได้สนใจต่อกระบี่ที่ได้ถูกทำลายไป ยังคงมุ่งจู่โจมใส่หลงจินหู่อย่างคลุ้มคลั่ง หานไป่เจี้ยนเห็นเช่นนั้นก็บังเกิดความวิตกยิ่ง
ส่งเสียงร้องเตือนเฟยอี้ขึ้นมาว่า

“เฟยอี้…..ระวังตัว….อย่าได้หุนหันเช่นนั้น”

ยังมิทันจะขาดคำของหานไป่เจี้ยน ประกายกระบี่ของหลงจินหู่ก็สัมผัสเข้ากับกลางลำตัวของเฟยอี้ โลหิตสีแดงเข้มสาดกระจายออกมา
อย่างน่าหวาดเสียวยิ่งนัก ร่างของเฟยอี้ร่วงลงไปกองกับพื้นแล้วสงบนิ่งไม่ไหวติง ปรากฎสีแดงของโลหิตจากบาดแผลของมันแผ่
กระจายออกโดยรอบพื้นดินนั้น

ทุกคนที่เฝ้าดูการประลองเห็นภาพเช่นนั้น ต่างตกใจจนนิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง เหล่าภรรยาของเฟยอี้ก็วิ่งกรูออกมาแล้วนั่งล้อมรอบร่างของมัน
พลางส่งเสียงร้องแต่คำว่า เฟยอี้….เฟยอี้….โดยคาดหวังว่ามันจะตื่ฟื้นขึ้น หมอวิปลาสเองก็เร่งเข้าไปตรวจดูอาการของเฟยอี้เช่นกัน
ครั้นรู้สึกถึงชีพจรของเฟยอี้นั้นอ่อนแอนักจึงอุ้มร่างมันออกมาจากลานประลอง

หลงจินหู่ มองดูร่างของเฟยอี้ แล้วแผดเสียงหัวเราะออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง เหล่าอาจารย์ของเฟยอี้เห็นเช่นนั้นก็มิสามารถทนดูอยู่ได้
ต่างปราดเข้ามาคิดจะจู่โจมใส่หลงจินหู่โดยพร้อมกัน หลงจินหู่เห็นเช่นนั้นก็เร่งพูดขึ้นว่า

“ช้าก่อน….นี่พวกท่านเป็นฝ่ายพ่ายแพ้การประลองแล้วคิดจะกุ้มรุมรึ พวกท่านมิละอายต่อเหล่าชาวยุทธที่เฝ้ายืนดูนั่นหรอกรึ”

ทิกุ้ยชิ่วได้ยินเช่นนั้น จึงร้องบอกว่า

“เช่นนั้น….ข้าขอท้าประลองกับเจ้า”

หลงจินหู่ แย้มยิ้มออกมาแล้วกล่าวว่า

“ข้าพึ่งเสร็จสิ้นการประลอง สูญสิ้นกำลังไปเป็นอันมาก อย่างน้อยท่านสมควรให้ข้าได้พักสักหนึ่งชั่วยามจึงจะถูกต้อง”

แล้วหลงจินหู่ก็เดินออกไปนั่งพักผ่อนยังปรัมพิธีที่จัดไว้ ทิกุ้ยชิ้วเห็นเช่นนั้นก็ขัดเคืองใจยิ่งนัก คิดจะติดตามไปพัวพันกับมัน
แต่ก็ถูกหานไป่เจี้ยนยกมือห้ามไว้แล้วกล่าวว่า

“เย็นลงก่อน ท่านทิกุ้ยชิ่ว เราสมควรให้ตามที่มันขอ เพียงหนึ่งชั่วยามก็มิได้เนิ่นนานอันใด พวกเราสมควรเข้าไปดูอาการ
ของเฟยอี้ก่อนดีกว่า”

แล้วเหล่าอาจารย์ของเฟยอี้ก็ติดตามไปดูอาการของมัน แลเห็นเหล่าภรรยาของเฟยอี้ต่างรายล้อมมองดูมันด้วยอาการเป็นห่วง
แล้วเหลือบไปเห็นหมอวิปลาสทอดถอนใจขณะตรวจดูอาการ บ้อเมี่ยวเล่านั้งจึงร้องถามขึ้นว่า

“เฟยอี้เป็นเช่นไรบ้าง”

หมอวิปลาสกล่าวตอบโดยไม่หันมามองว่า

“บาดแผลสาหัส ชีพจรก็อ่อนนัก ข้าได้รักษาบาดแผลและให้ยาไปแล้ว ที่เหลือก็เพียงรอดูอาการของมัน”

ขณะที่ทุกคนยืนรายล้อมมองดูร่างของเฟยอี้ด้วยความเป็นห่วงอยู่นั้น กลับปรากฎภาพเสมือนอยู่ในความฝันขึ้นกับเฟยอี้
มันเห็นอ๋องลีลู่ปัง เดินเข้ามาด้วยอาการยิ้มแย้ม แววตาเปล่งประกายแห่งความมีเมตตา จ้องมองดูมันนิ่งอยู่
เฟยอี้บังเกิดความยินดีที่ได้เห็นอาจารย์ของมันยังมีชีวิตอยู่ กล่าวขึ้นกับภาพฝันที่มันมองเห็นขึ้นว่า

“อาจารย์…..ท่านยังไม่ตาย..ท่านยังเป็นปกติดีอยู่ใช่หรือไม่”

อ๋องลีลู่ปังในภาพฝันนั้น แย้มยิ้มแล้วกล่าวตอบมันว่า

“เฟยอี้….ข้าเป็นปกติและมีความสุขดี…ความตายคือการเปลี่ยนจากสถานะหนึ่งไปเป็นอีกสถานะหนึ่งเท่านั้น
ข้ายังคงเป็นข้า มิได้หายไปจากการเป็นอาจารย์ของเจ้า เจ้าเพียงยึดถือแต่สิ่งที่เจ้าเห็นและสัมผัสได้
ครั้นมันแปรเปลี่ยนสภาพไป เจ้าก็ยึดถือเอาว่ามันได้สูญสิ้นไปแล้ว ความจริง…ทุกๆสิ่งบนโลกนี้ล้วนไม่จีรังยั่งยืน
แปรเปลี่ยนไปตามสภาวะแห่งมัน เปลี่ยนรูปจากสิ่งหนึ่งไปเป็นอีกสิ่งหนึ่งอยู่เสมอ แต่มิได้สูญหายไปไหน
หากเจ้ามองดูมันอย่างเข้าใจแล้ว เจ้าก็จะรู้ว่า มิควรยึดถือสิ่งใดเป็นแก่นสารเลย ”

อ๋องลีลู่ปังยังคงแย้มยิ้มแล้วเอ่ยออกมาอีกว่า

“เฟยอี้..จิตอันใสสะอาดและว่างเปล่าจากเครื่องเศร้าหมองทั้งปวงเท่านั้น จะเป็นสะพานที่ทำให้เจ้าข้ามผ่าน
เข้าสู่จุดสูงสุดแห่งวรยุทธทั้งปวง ของจงจำคำของข้าไว้”

แล้วร่างของอ๋องลีลู่ปังก็ค่อยๆเลือนหายไป เฟยอี้ส่งเสียงร้องเรียก แต่คำว่า อาจารย์…อาจารย์…..
แต่ก็ไม่พบร่างของอ๋องลีลู่ปังอยู่ ณ ที่นั้นแล้ว มันจึงหันไปมองสภาพรอบตัวของมันในขณะนั้น จึงมองเห็นร่างของตนเอง
นอนจมโลหิตอยู่ท่ามกลางบุคคลอันเป็นที่รักใคร่ เฟยอี้พิจารณาดูแล้วก็พลันคิดสังเวชใจว่าความตายนั้นมิอาจมีผู้ใด
ก้าวผ่านสิ่งนี้ไปได้เลย แล้วจึงคิดใคร่ครวญตามคำของอ๋องลีลู่ปัง จนบังเกิดเป็นจิตอันสงบนิ่งไร้สิ่งอันเศร้าหมอง
มารบกวนจิตใจ

ครั้นจิตของมันว่างเปล่า ปราศจากเครื่องเศร้าหมองใดๆ ก็พลันบังเกิดเป็นเสียงดังก้องขึ้นมาจากภายใน คล้ายจิตของตน
สั่งสอนตนเองออกมาว่า

“ไร้ลักษณ์ไร้ตัวตน และไร้ซึ่งกระบวนท่า
พลิกผันแปรเปลี่ยน ไร้จุดสิ้นสุด
คงไว้แต่สำนึก ไม่ยึดติดกฎเกณฑ์”

พลันเคล็ดความพิศดารแห่งวิชาท่าร่างหมื่นแปรเปลี่ยน และกระบี่เทพวายุสามกระบวนท่าสุดท้ายก็กระจ่างวูบดุจสายฟ้า
วาบเข้าสู่จิตใจของมัน มันพึ่งจะเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งในวันนี้เองว่า กระบวนท่าใดๆล้วนแต่เป็นกำแพงกีดกั้น
ความสำเร็จก้าวหน้าแห่งวรยุทธ์ทั้งปวง มีแต่จะต้องลืมเลือนไปเสียให้หมดสิ้น หากแต่คงไว้ซึ่งสำนึกแห่งวรยุทธ์เท่านั้น
ปรปักษ์มาอย่างไรก็จะพลันร่ายรำพลิกแพลงกระบวนท่าออกไปเองตามธรรมชาติ ตลอดทั้งร่างของคนผู้นั้นก็จะคล้ายดั่งลูกพลัง
ที่อัดไว้จนเต็ม เมื่อถูกสัมผัสก็เกิดปฏิกริยา แตะถูกส่วนไหนก็ใช้ส่วนนั้นโต้กลับไป ไม่ต้องคิดก็โต้ตอบไปได้โดยธรรมชาติ

เฟยอี้พลันรู้สึกสดใสและปลอดโปร่งไปจนตลอดร่างแล้วลืมตาขึ้น ร่างของมันกลับแปรเปลี่ยนเป็นนอนจมอยู่กับพื้น
มองเห็นใบหน้าของเหล่าบุคคลอันห่วงใยมันกำลังจ้องมองดูอยู่ ครั้นคนเหล่านั้นเห็นมันลืมตาขึ้น ก็ส่งเสียงแสดงความดีใจออกมา

“เฟยอี้…..เฟยอี้…..เจ้าตื่นฟื้นแล้ว…….โอว…อย่าพึ่งลุกขึ้น เฟยอี้ เจ้ามีบาดแผลฉกรรจ์นัก”

เฟยอี้แย้มยิ้มพลางยกมือขึ้น แล้วกล่าวว่า

“ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ขอให้ข้าได้ลุกขึ้นยืนเถิด”

แล้วเฟยอี้ก็พยายามดันร่างลุกขึ้น แล้วค่อยๆย่างเท้าเดินไปยังใต้ต้นสนอันสูงใหญ่ด้วยท่าทีที่ยังไม่สมบรูณ์นัก แต่ใบหน้าของมันนั้น
กลับดูผ่องใสอิ่มเอิบคล้ายกับมิได้รับบาดเจ็บสิ่งใด เฟยอี้ก้มลงหยิบกิ่งสนที่ล่วงหล่นอยู่ที่พื้น ยาวประมาณ สามถึงสี่เชี๊ยะขึ้นมากิ่งหนึ่ง
แล้วเดินไปยังลานประลอง หยุดยืนนิ่งอยู่คล้ายรอคอยที่จะประลองฝีมือต่อ มือของมันข้างหนึ่งกำกิ่งสนไว้ชี้ปลายลงสู่พื้นดิน
แล้วมองไปยัง หลงจินหู่ซึ่งนั่งพักผ่อนอยู่ในปรัมพิธีนั้น

เหล่าชาวยุทธที่อยู่ในที่นั้นเห็นเฟยอี้มีลักษณะอาการเช่นนั้น ก็พากันจ้องมอง และส่งเสียงวิพากวิจารณ์จนดังอื้ออึงไปทั่ว
หลงจินหู่ สังเกตลักษณะอาการของเฟยอี้เป็นเช่นนั้น ก็หัวเราะขึ้นในลำคอ แล้วส่ายหน้าด้วยความขบขัน แต่ครั้นมองดูนานเข้า
เฟยอี้ก็ยังยืนนิ่งอยู่ในอาการเช่นนั้น ประหนึ่งมีทีท่าท้าทายมันอยู่ ประกอบกับสายตาของเหล่าชาวยุทธที่จ้องมองมายังมัน
มันจึงมิสามารถนั่งนิ่งอยู่ต่อไปได้ เดินออกมาเผชิญหน้ากับเฟยอี้แล้วกล่าวขึ้นว่า

“หากเจ้าต้องการตายด้วยน้ำมือของข้า ข้าก็จะส่งเสริมเจ้า…..แล้วนั่นเจ้าถือสิ่งใดมาช่างน่าขบขันนัก”

เฟยอี้ยิ้มแย้มออกมาอย่างเยือกเย็นแล้วกล่าวว่า

“ข้าจะใช้กิ่งสนนี้ประลองกับท่าน”

หลงจินหู่ได้ยินเช่นนั้น ก็แผดเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน

“ฮ่า….ฮ่า…..ฮ่า…..ฮ่า….นี่เจ้าเสียสติไปแล้วรึ แม้แต่กระบี่ศิลาขาวยังถูกข้าทำลายจนหักสะบั้น แต่นี่เจ้าคิดใช้เพียงกิ่งสน
มาต่อสู้กับข้า เจ้าคิดจะเล่นเป็นทารกรึ”

เฟยอี้สบตากับหลงจินหู่แน่นิ่ง แล้วกล่าวอย่างจริงจังขึ้นว่า

“ด้วยกิ่งสนนี้…ข้าจะสยบกระบี่ของท่านให้จงได้”

หลงจินหู่เห็นแววตาอันจริงจังของมัน ก็รู้ว่ามันมิได้กล่าวเหลวไหล แต่คิดใช้กิ่งสนในมือมาต่อสู้กับมันจริงๆ
ก็บังเกิดความโกรธ ร้องบอกออกไปว่า

“เจ้าเด็กโอหัง มิคิดเจียมตน คิดเหยียดหยามฝีมือข้าด้วยวิธีการนี้รึ ดีล่ะ เมื่อเจ้าต้องการเช่นนั้นข้าก็จะสนองให้เจ้า
ตายไปพร้อมกับกิ่งสนนี้”

แล้วหลงจินหู่ก็ตวัดกระบี่เก้าศัตราจู่โจมใส่เฟยอี้ด้วยความรวดเร็ว แต่เฟยอี้ในยามนี้ได้หล่อหลอมตนเองเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
ประกอบทั้งบรรลุถึงเคล็ดสูงสุดแห่งวิชากระบี่ แม้ในมือมีเพียงกิ่งสนก็สามารถเปล่งอนุภาพแห่งวิชากระบี่ได้ดุจเดียวกับมีกระบี่อยู่ในมือ

เฟยอี้สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหว และวิถีกระบี่ของหลงจินหู่ได้อย่างกระจ่างชัด มันเบี่ยงกายหลบกระบี่ที่หลงจินหู่ที่ฟาดฟันลงมาเพียงเล็กน้อย
ด้วยท่าร่างที่ดูเชื่องช้าและหาความพิศดารอันใดมิได้ แต่สามารถกระทำได้ถูกจังหวะถูกเวลายิ่งนัก เพียงท่าร่างพื้นๆ ก็สามารถหลบเลี่ยงการจู่โจม
อันรายกาจของหลงจินหู่ไปได้อย่างง่ายดาย ซ้ำยังใช้กิ่งสนในมือตวัดใส่ข้อมือหลงจินหู่ จนเกิดมันเกิดอาการสั่นสะท้านขึ้นที่ข้อมือของมันจนต้องชักมือกลับ

หลงจินหู่มิเชื่อว่า คนที่ใกล้ถึงแก่ความตายเช่นมันจะสามารถหวนกลับมาเอาชัยต่อมันได้ จึงร่ายรำกระบวนท่ากระบี่จู่โจมใส่เฟยอี้
อีกสามสี่กระบวนท่าติดต่อกัน แต่เฟยอี้ก็ใช้เพียงกิ่งสนนั้น ยกขึ้นมาปัดป่ายกระบี่ของมันให้พ้นทางออกไปได้อย่างง่ายดาย กิ่งสนคล้ายมี
พลังโอนอ่อนแฝงอยู่ ซึมซับพลังกระบี่ที่มันฟาดฟันลงมาอย่างหักโหมไว้ แล้วปัดป่ายย้อนสวนทาง ทำลายกระบวนท่ากระบี่ที่มันใช้ออกมา
จนสลายอนุภาพลงไปหมดสิ้นทุกกระบวนท่า ซ้ำยังฟาดฟันกิ่งสนนั้นลงไปที่แขน ขา กลางลำตัว แม้กระทั้งใบหน้าของมัน จนบังเกิด
ความเจ็บปวดไปทั่วร่าง

หลงจินหู่ ยิ่งคับแค้นใจก็ยิ่งจู่โจมฟาดฟันเพลงกระบี่ออกมาหนักหน่วง โดยหมายจะให้เฟยอี้ตายลงไปในทุกกระบี่ที่มันฟาดฟันลงมา
แต่ดูเหมือนว่า ยิ่งมันจู่โจมใส่เฟยอี้ด้วยกระบวนท่าที่ร้ายกาจเท่าใด ก็จะถูกเฟยอี้ตอบโต้กลับมาด้วยความรุนแรงเช่นเดียวกับที่มันจู่โจมออกมา
จนดูคล้ายกับว่ามันกำลังฟาดฟันกระบี่ลงสู่ผืนน้ำ ยิ่งฟาดฟันลงไปด้วยกำลังแรง น้ำนั้นก็สะท้อนใส่ร่างของมันด้วยอาการรุนแรงเช่นเดียวกัน
ทั้งท่าร่างและกระบวนท่าที่เฟยอี้ใช้ ก็หาใช่กระบวนท่าที่พิศดารล้ำลึกอันใดไม่ แต่กลับสามารถทำลายล้างกระบวนท่ากระบี่ของมันไปจนหมดสิ้นทุกครั้ง

หลงจินหู่ โหมจู่โจมใส่เฟยอี้ไปแล้วเกือบห้าสิบกระบวนท่า ก็หาได้ทำอันตรายใดๆต่อเฟยอี้ได้ไม่ ซ้ำยังถูกกิ่งสนในมือของเฟยอี้ฟาดฟันไปตามร่างกาย
ของมัน ประหนึ่งอาจารย์ตีสั่งสอนเด็กน้อย จนมันเจ็บปวดรวดร้าวเป็นอย่างยิ่ง และในที่สุดมันก็ถึงกับทรุดร่างลงคู้เข่าลงที่พื้น ด้วยขาของมันถูกกิ่งสน
ฟาดฟันครั้งแล้วครั้งเล่าจนสิ้นเรี่ยวแรงหยัดยืน เฟยอี้จึงยกกิ่งสนขึ้นวางที่ลำคอของมัน แต่หลงจินหู่มิยินยอมให้มันมาหยามเหยียดตนเช่นนั้น
มันคิดจะยกกระบี่ฟาดฟันออกไปทั้งที่ยังอยู่ในท่าคู้เข่านั้น

แต่เหมือนเฟยอี้จะหยั่งทราบล่วงหน้าอยู่แล้ว ยังมิทันที่กระบี่หลงจินหู่จะได้ฟาดฟันออกมา กิ่งสนนั้นก็แปรเปลี่ยนไปฟาดเข้าที่ข้อมือของมัน
จนหลงจินหู่แผดเสียงร้องออกมาด้วยเจ็บปวดทิ้งกระบี่ล่วงหล่นลงมาที่ข้างกายของมันในทันที พลันกิ่งสนนั้นก็เคลื่อนกลับมาวางพาดลงบนลำคอ
ของมันในตำแหน่งเดิม แล้วเฟยอี้ก็กล่าวออกมาว่า

“กิ่งสนในมือข้านี้หากเป็นกระบี่จริง ตัวท่านแม้มีสิบชีวิตก็ยังมิเพียงพอต่อคมกระบี่ของข้า ท่านหาใช่คู่มือของข้าไม่ จงกลับไปซะ
นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่ข้าจะมีให้ต่อท่าน”

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง และหานไป่เจี้ยนซึ่งยืนชมดูการประลองมาโดยตลอด เห็นการเปลี่ยนแปลงของเฟยอี้หลังจากฟื้นขึ้นมาจากการอาการ
บาดเจ็บสาหัสก็ประหลาดใจยิ่งนัก เฟยอี้เลือกใช้กระบวนท่ากระบี่มิได้เป็นไปตามแบบแผน แต่กลับบรรลุผลอย่างเป็นเลิศ ทั้งประสาทสัมผัส
และลมปราณที่ควบคุมกิ่งสนนั้นก็สม่ำเสมอเยือกเย็นนัก หานไป่เจี้ยนจ้องมองเบิกค้างอย่างไม่วางตาแล้วถึงกับอุทานออกมาว่า

“เคล็ดวิชากระบี่ เฟยอี้สำเร็จเคล็ดสูงสุดแห่งวิชากระบี่แล้ว”

บ้อเมี่ยวเล่านั้ง พอได้ยินหานไป่เจี้ยนกล่าวออกมาเช่นนั้น ก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ พลางใช้มือลูบเครายาวแล้วกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า

“เฟยอี้…..ในที่สุดเจ้าก็เป็น ยอดยุทธแห่งบู๊ลิ้มแล้ว”

หลงจินหู่ในยามนี้ หมดสิ้นแล้วซึ่งความผยองลำพองในฝีมือตนเอง มันเหลือบตามองไปโดยรอบก็เห็นผู้คนที่กำลังจ้องมองดูมันด้วยสายตา
เยาะเย้ย ชิงชัง จนมันอับอายมิกล้าต่อสายตาได้ติด มันกระทำได้เพียงก้มหน้าลงแล้วนิ่งสงบมิกล่าวคำใดออกมา จนเมื่อเฟยอี้ยกกิ่งสนขึ้นจากลำคอ
ของมันแล้วหันหลังเดินจากออกไป มันจึงเงยหน้าขึ้น แล้วจ้องมองไปยังเบื้องหลังของเฟยอี้ด้วยความชิงชังและโกรธแค้น มันมิยินยอมมีชีวิตอยู่หากว่า
ต้องสูญเสียศักดิ์ศรีไปเช่นนี้ พลันมันก็ใช้มือขวาคว้ากระบี่ขึ้นมาโดยฉับพลัน แล้วส่งพลังลมปราณไปที่กระบี่นั้นให้พุ่งตรงไปยังแผ่นหลังของเฟยอี้
อย่างรวดเร็ว

ในขณะปลายกระบี่พุ่งตรงเข้ามาที่แผ่นหลังของเฟยอี้ด้วยกำลังแรง จวนเจียนจะถึงตัวอยู่แล้วนั้น ร่างของเฟยอี้ก็พลิกกลับมาแล้วตวัดกิ่งสนในมือ
ฟาดไปที่กระบี่นั้นครั้งหนึ่ง กระบี่นั้นพลันเปลี่ยนทิศทางพุ่งปราดออกไปยังแหล่งที่มาของมันแต่แรกเริ่ม แล้วปักตรึงลงบนทรวงอกของหลงจินหูุ่
อย่างแม่นยำที่สุด ปลายกระบี่นั้นพุ่งตัดขั้วหัวใจของมันพอดี หลงจินหู่สะดุ้งร่างขึ้นสุดตัว ดวงตาของมันเบิกกว้าง แล้วล้มลงขาดใจตายอยู่ ณ ที่นั้น

เหล่าอาจารย์ทั้งห้า และภรรยาของมันเห็นเช่นนั้น ต่างก็มีใบหน้ายิ้มแย้มเดินเข้ามาหามัน ท่ามกลางเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีของเหล่าชาวยุทธ
ที่พากันมาชมดูการประลองในครั้งนี้ หมอวิปลาสมองดูอาการของเฟยอี้โดยพิจารณาแล้วกล่าวขึ้นว่า

“เฟยอี้ เจ้าสูญเสียเลือดไปมิใช่น้อย อาการของเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง”

เฟยอี้ยิ้มตอบคำอาจารย์ของมันแทนคำพูด แล้วล้มลงสิ้นสติท่ามกลางเหล่าภรรยาของมันที่ช่วยกันประคองรับเอาไว้

เช้าวันรุ่งขึ้น เฟยอี้ก็ตื่นฟื้นคืนมาด้วยความสดใส บาดแผลของมันได้รับการรักษาจากหมอวิปลาสจนทุเลาความเจ็บปวดลงแล้ว
มันตื่นขึ้นพร้อมกับมองดูเหล่าภรรยาของมันที่รายล้อมเฝ้าดูอาการอยู่ไม่ห่าง เฟยอี้สบตาแล้วแย้มยิ้มให้แก่พวกนางทุกคน
จนมาถึงองค์หญิงลีลู่อิน และภูตแพรทั้งสี่ พวกนางยังคงระทมทุกข์อยู่กับความเศร้าเสียใจที่ต้องสูญเสียอ๋องลีลู่ปังไป เฟยอี้จ้องมองดู
พวกนางแล้วเอ่ยขึ้นว่า

“องค์หญิง แพรขาว แพรแดง แพรเขียวและแพรเหลือง ในตอนที่ข้าต้องกระบี่ของหลงจินหู่ จนสิ้นสติไปนั้น อาจารย์ได้มาพบข้า
ท่านบอกต่อข้าว่า ท่านเป็นปกติและสุขสบายดี ท่านยังสั่งสอนข้าอีกว่าให้ข้าเข้าใจหลักแห่งสัจธรรม ละวางความเศร้าหมองออกไปจากจิตใจ
หากมิใช่ท่านเข้ามาสั่งสอนแล้ว ไหนเลยข้าจะสามารถมีชัยต่อหลงจินหู่ได้ พวกเจ้าก็เช่นกัน จงคลายเศร้าหมองลงบ้างเถิด ท่านอาจารย์
เป็นสุขอยู่บนสวรรค์แล้ว”

สิ้นคำของเฟยอี้ทั้งห้านางต่างก็สวมกอดเฟยอี้ร้องไห้ออกมา ธิดาเทพเห็นเช่นนั้นก็เข้าใจความรู้สึกยิ่งนัก นางพลันหลั่งน้ำตาติดตาม
พวกนางไปด้วยอีกผู้หนึ่ง ขณะนั้นเองหานไป่เจี้ยนก็เดินเข้ามา แล้วหยุดยืนนิ่งอยู่จนเฟยอี้ซึ่งนอนอยู่บนเตียงเหลือบไปเห็นก็ร้องขึ้นว่า

“ท่านอาจารย์…”

แล้วเฟยอี้ก็นันกายลุกขึ้นนั่ง หานไป่เจี้ยนเดินเข้าไปหาเฟยอี้แล้วกล่าวขึ้นว่า

“เฟยอี้ องค์หญิงฯ และภูตแพรทั้งสี่ ข้าต้องโทษเจ้าด้วยที่เก็บงำข่าวการตายของอ๋องลีลู่ปังเอาไว้ มิบอกออกมาแต่ทีแรก ด้วยเกรงว่า
จะไปกระทบต่อจิตใจของเฟยอี้ก่อนทำการประลอง ข้ามีสิ่งหนึ่งที่ท่านอ๋องได้ฝากไว้ก่อนท่านจะสิ้นลม”

แล้วหานไป่เจี้ยน ก็ล้วงมือลงไปในอกเสื้อ หยิบกระดาษพับขึ้นมาแผ่นหนึ่งแล้วส่งให้เฟยอี้ เฟยอี้รับกระดาษแผ่นนั้นแล้วเปิดออกอ่าน
โดยให้ได้ยินถึงกันทุกคนว่า

“เฟยอี้ เจ้าเป็นศิษย์ที่ข้ารักและภาคภูมิใจที่สุด ข้าเชื่อว่าในที่สุดแล้ว เจ้าจะสามารถผ่านอุปสรรคทั้งปวงไปได้
เมื่อเจ้าได้อ่านข้อความนี้ก็หมายความว่าข้าได้ตายไปจากโลกนี้แล้ว ข้าขอมอบภาระในการดูแลวังหุบผาภูตให้แก่เจ้า
รวมทั้งฝากดูแล ลู่อิน และภูตแพรทั้งสี่ด้วย ทั้งห้านางล้วนเป็นแก้วตาดวงใจของข้า ขอให้เจ้าจงให้ความรักแก่พวกนาง
และจงให้อภัยแก่พวกนางแม้บางครั้งพวกนางจะดื้อรั้นไปบ้าง ข้าขออวยพรให้พวกเจ้าจงมีแต่ความสงบสุขร่วมกันตลอดกาลนาน”

สิ้นข้อความของอ๋องลีลู่ปัง เฟยอี้ก็หลั่งน้ำตาออกมาพร้อมๆกับองค์หญิงฯ และภูตแพรทั้งสี่ ต่างพากันโอบกอดกันด้วยความระลึกถึงคุณ
ของอ๋องลีลู่ปัง เหล่าภรรยานางอื่นๆเห็นเช่นนั้นต่างก็พากันห้อมล้อมโอบกอดกันนิ่งอยู่ภายในห้องนั้น

ตั้งแต่นั้นมา เฟยอี้ก็กลับกลายเป็นประมุขแห่งวังหุบผาภูต และรับเอาภรรยาทั้งหมดมาอยู่ร่วมกัน ภรรยาทั้งสิบสามนาง
ต่างรักและสามัคคีต่อกันเป็นอย่างดีและครองคู่กันอย่างมีความสุขเรื่อยมา เฟยอี้กลับกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ
ไปทั้งยุทธภพ มันได้รับการยกย่องโดยยินยอมพร้อมใจจากเหล่าชาวยุทธทุกผู้ทุกนามให้เป็นประมุขแห่งบู๊ลิ้ม ทั้งที่มันเอง
ก็มิได้รับเอาตำแหน่งนี้ไว้ แต่เหล่าชาวยุทธทั้งหลายก็ยังคงขนานนามมันอยู่เช่นนั้น

ทางด้านหมอวิปลาส เมื่อได้สารภาพทุกสิ่งต่อลิ่มบ้อฮวย และเยี่ยกุ้ยอิงโดยเปิดเผย และหยางเพ่ยจือเองก็เป็นฝ่ายน้อมเข้าหา
นางทั้งสอง ทำให้ทั้งสามนางต่างยอมรับซึ่งกันและกัน เฟยอี้มอบวังเบญจธาตให้แก่หมอวิปลาสใช้เป็นที่คิดค้นตัวยาทางการแพทย์
ร่วมกับหยางเพ่ยจือ ทั้งสองคิดค้นตัวยาเพื่อช่วยเหลือผู้คนจนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งบู๊ลิ้ม มันได้รับสมญานามใหม่ว่า
หมอหัตถ์เทวะ ครั้นถึงเวลาหกเดือน มันก็จะเดินทางไปใช้ชีวิตร่วมกับลิ่มบ้อฮวย และเยี่ยกุ้ยอิง ที่สำนักเงาจันทราอย่างมีความสุข
แต่มันมิเคยลืมเลือนมารแมงมุมขาวไปได้เลย หากมีโอกาสอันเหมาะสม มันก็จะหลบเร้นไปพบกับมารแมงมุมขาวครองรักกันแบบ
ซ่อนเร้นโดยมิมีใครล่วงรู้

ผ่านไปหลายสิบปี เฟยอี้ก็กลับกลายยอดคนแห่งยุค มันได้คิดค้นวรยุทธ์แขนงต่างๆของมามากมาย แล้วถ่ายทอดต่ออนุชน จนกลับกลาย
เป็นตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมา ว่ามันคือ ยอดยุทธแห่งบู๊ลิ้ม 

 ————- จบ ——————–

Share the Post:

Related Posts

แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู

เรื่องเสียว แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู เอิร์นนะคร้า เป็นสาวมหาลัยในเชียงใหม่นี้เองค่า เอิร์นเป็นสาวมหาลัยปีสองแล้วค่ะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องผู้ชายเลย ยุคนี้แล้วเนอะ ไม่ใช่แค่ผู้ชายนะคะที่ล่าแต้ม เอิร์นเองก็กินมาเยอะเหมือนกันค่ะ สูงยาว ลำอวบ ใหญ่ยาว กินมาหมดแล้วค่า ชีวิตครั้งนึงเนอะ เรื่องพวกนี้ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ต้องมีบ้างอยู่แล้วใช่ไหมค่ะ และแน่นอนว่าเอิร์นเลยกินแต่วัยเดียวกัน รู้ตัวอีกทีได้แอบกินรุ่นใหญ่พี่แท็กซี่ซะอย่างนั้นเลยค่ะ ที่สำคัญไม่เคยเจอมังกรที่ใหญ่ยักษ์ขนาดนี้มาก่อน มาเริ่มเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ ด้วยความที่อยู่เชียงใหม่ที่เที่ยวเยอะ

Read More

จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว

เรื่องเสียว จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว “ตั้งกล้องเรียบร้อยแล้ว มึงพร้อมยังจะได้กดเริ่ม” วันนี้เรามีถ่ายคลิปวิดีโอทำอาหารที่คอนโดของพวกเราสองคนที่เป็นเพื่อนกัน เรามองเม็กที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมสองเม็ดจนเห็นแผงอกที่เป็นมัดกล้าม กางเกงขาขั้นสั้นสบาย ๆ แต่พอมาอยู่บนร่างกายของเม็กแล้วมันดูดีไม่น้อยเลย ถึงแม้เราทั้งสองจะเป็นเพื่อนกัน แต่พอมาเจอมันในลุคนี้ก็ทำให้เราใจสั่นไม่น้อย “มึงกูสวยยัง” “สวยแล้ว” พอได้รับคำตอบที่สร้างความมั่นใจให้กับตัวเองแล้ว เราก็พยักหน้าให้มันเริ่มกดบันทึกภาพวิดีโอทันที การถ่ายทำดำเนินไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นตอนการชิมอาหาร “อะ

Read More