โอ้…พี่สาวที่รัก ตอนที่ 8 ความรู้สึกแท้จริง
วันอาทิตย์เป็นวันที่เงียบสงบสำหรับไกรวิทย์จริงๆ หลังจากที่เขาได้มีความสุขกับพรรณวดีในตอนเช้าวันศุกร์แล้ว เขาก็ไม่ได้เย็ดพี่สาวคนใดอีกเลยตลอดวันหยุดสุดสัปดาห์
วันนี้เป็นวันจันทร์แล้ว ทั้งภาวิณีและกุลธิดาก็ไปมหาวิทยาลัย กว่าจะกลับก็คงมืด ลลิตาแม่เขาและพี่สาวคนอื่น ๆ ยกเว้นสาวิตรีก็ออกไปทำงานกันหมด ทิ้งให้ทั้งคู่อยู่บ้านกันเพียงลำพัง
“ไงจ๊ะวิทย์” สาวิตรีทักน้องชายอย่างอารมณ์ดีขณะที่เขาเดินเข้าไปในครัว ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เธอดูร่าเริงเป็นพิเศษในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา
“ดูพี่สามีความสุขจังนะครับ มีอะไรรึเปล่า” ไกรวิทย์กอดพี่สาวขณะที่เธอจูบทักทายเขา
“ไม่มีอะไรที่เธอต้องเป็นห่วงหรอกจ้ะ” เธอยิ้มขณะที่กางเกงยีนส์ของน้องชายถูไถกับท่อนขาส่วนที่อยู่นอกกางเกงของเธอ
“ทำไมวันนี่พี่สาใส่กางเกงขาสั้นล่ะครับ”
“เอ๊ะ เช้านี้คำถามเยอะจังนะเราน่ะ” สาวิตรียิ้มอีกครั้ง เธอชอบหยอกล้อคนอื่นแม้แต่น้องชายคนโปรดก็ไม่มีข้อยกเว้น
“คงงั้นมั้งครับ แล้ว….” ไกรวิทย์ยังไม่หายสงสัย
“ก็วันนี้มันร้อนนี่นะ พี่เลยว่ากางเกงขาสั้นก็เหมาะดี มีปัญหาเหรอจ๊ะ”
“เปล่าครับ ผมจะไปว่าอะไร ดีซะอีกผมจะได้นั่งดูขาสวย ๆ กับก้นงอน ๆ ของพี่ได้ตลอดทั้งวัน” ไกรวิทย์รั้งร่างพี่สาวเข้ามา
แนบชิดกับเอวมากขึ้นขณะที่เขาพูด ท่อนควยเขาก็ดันกางเกงยีนส์จนโป่งออกมาจนเธอรู้สึกได้ที่หว่างขา
“มันยังเช้าเกินไปที่จะทำเรื่องนั้นนะจ้ะ ไปทำให้มันสงบลงก่อนแล้วค่อยมาหาพี่” สาวิตรีผลักร่างน้องชายออกไปแต่ก็ยังจูบเขาหนึ่งที
“อะไรกัน พี่สาเบื่อผมแล้วเหรอครับ ที่เราได้..เอ้อ..กันก็นานแล้วนะ” ไกรวิทย์เลิกคิ้วแล้วยิ้ม แสงแดดส่องผ่านหน้าต่างมากระทบฟันที่ขาวแวววาวของเขา
“ก็ดีนะที่ได้รู้ว่าเธอไม่อายที่จะพูดเรื่องที่เรามีอะไรกัน เปล่า พี่ไม่ได้เบื่อเธออย่างที่เธอพูดหรอก เพียงแต่ตอนนี้พี่ไม่มีอารมณ์เท่านั้นเอง แล้วค่อยมาหาพี่ทีหลังนะ” สาวิตรีออกจากห้องพร้อมกับรอยยิ้ม และจูบไกรวิทย์อีกครั้งก่อนไป
“ครับ ครับ ผมเข้าใจดีที่พี่ไม่มีอารมณ์น่ะ” ไกรวิทย์ตะโกนไล่หลังพี่สาว
‘เขาช่างเป็นคนดีเสียนี่กระไร แล้วฉันจะขัดขืนเขาไปได้นานแค่ไหนกันนะ เขาเป็นคนใจดี ไม่บังคับฝืนใจให้ใครทำอะไรที่ไม่อยากทำ’ สาวิตรีคิดในใจขณะที่เธอเดินเข้าไปในสวน ‘ทำไมเขาต้องเป็นน้องชายฉันด้วยนะ ไม่งั้นฉันคงแต่งกับเขาไปนานแล้ว’
ไกรวิทย์หยิบชามออกมาจากตู้ เทข้าวอบกรอบและนมลงไปแล้วยกมันไปทานในห้องนั่งเล่น
สาวิตรีเดินออกจากสวน ผมสีดำขลับของเธอสะท้อนแสงอาทิตย์แวววาว แสงอาทิตย์บางส่วนส่องผ่านเรือนผมเธอด้วย ไกรวิทย์แทบสำลักอาหารเช้าเมื่อเห็นพี่สาวคนสวยเดินเข้ามาในห้อง
“วันนี้ไม่ไปฟิตเนสเหรอครับ” ไกรวิทย์ถามออกมาจนได้หลังอาการไอลดลงบ้างแล้ว
“ไม่ไปจ้ะ วันนี้คิดว่าจะหยุดสักวัน ไม่มีอารมณ์” สาวิตรีพูดขณะที่นั่งลงข้างน้องชาย “อยากจะอยู่กับเธอที่นี่เว้นเสียแต่ว่าเธอจะออกวิ่งเท่านั้น”
ไกรวิทย์ส่ายหน้าปฏิเสธเพราะปากเขายังเต็มไปด้วยอาหารเช้าจนพูดไม่ได้ อันที่จริงเขาวางแผนว่าจะออกไปวิ่งแต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้วเพราะสาวิตรีอยากจะอยู่ที่นี่กับเขา
“งั้นก็แปลว่าเราอยู่กันสองต่อสองซินะ ดีจังเลย ใช่ไหมจ๊ะ” สาวิตรียกขาขึ้นนั่งไขว่ห้างทำให้ไกรวิทย์ได้เห็นท่อนขาอวบขาวของเธออย่างเต็มตาเพราะขากางเกงที่เธอสวมมันร่นขึ้นไปตามเรียวขาที่งดงาม เธอหันตัวเข้าหาเขา เต้าอวบมหึมาของเธอแทบจะสัมผัสแขนเขา เธอใช้นิ้วม้วนเส้นผมด้านหน้าเขาเหมือนคนรักในสมัยก่อนทำกัน ตาเธอจ้องหน้าเขาเขม็ง มองตามการเคลื่อนไหวของขากรรไกรเขาขณะที่เคี้ยวอาหารเช้าแล้วกลืนมันลงไป
“ครับ ดีจังเลย” ไกรวิทย์ตอบเสียงแหบแห้งขณะกลืนอาหาร และยิ้มให้พี่สาวขณะที่เธอเล่นกับเส้นผมเขาอย่างรักใคร่
“ถ้าเราได้อยู่กันสองคนแบบนี้ตลอดไปคงจะดีไม่น้อยนะ” สาวิตรีทอดถอนใจเมื่อคิดว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรถ้าเขาและเธอไม่ได้เป็นพี่น้องกัน
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็เยี่ยมเลยล่ะครับ เราสองคนจะได้นอนอยู่ด้วยกันตลอดคืนโดยที่ไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะมาเจอ เราจะได้อยู่กันสองคน พี่กับผม” ไกรวิทย์จินตนาการถึงภาพอันสวยงามของอนาคตที่วาดหวังไว้
“แต่น่าเสียดายที่ชีวิตไม่สมหวังเสมอไปนะ” สาวิตรีพูดแล้วขยับตัวเข้าใกล้น้องชาย ลมหายใจอุ่น ๆ ของเธอกระทบกับลำคอเขาขณะที่เธอเบียดตัวแนบชิดกับสีข้างเขา
“ครับ น่าเสียดายจริง ๆ” ไกรวิทย์พึมพำเบา ๆ ขณะที่เขาวางหัวลงบนศีรษะของพี่สาว ทั้งสองคนจ้องมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย
สาวิตรีตื่นขึ้นมาคนเดียวบนโซฟา เธอไม่รู้ตัวว่าผล็อยหลับไปทั้ง ๆ ที่นั่งซบกับน้องชาย พอหันไปมองนาฬิกา ก็รู้ว่าหลับไปนานพอดูเหมือนกันเพราะตอนนี้บ่ายสองแล้ว สาวิตรีขยี้ตาแล้วให้สายตาปรับตัวเข้ากับแสงอาทิตย์อันเจิดจ้า แล้วเธอก็ลุกขึ้นไปหาตัวน้องชาย
ไกรวิทย์อยู่ในห้องของเขาเอง เขาออกมาโดยไม่ให้สาวิตรีตื่น ตอนที่เขาแยกตัวออกมา เธอดูผ่อนคลายมาก เปลือกตาเธอพริ้มปิดเบา ๆ แม้ว่าเธอจะหลับสนิทก็ตาม เธอดูไร้เดียงสาเหลือเกินในขณะที่นอนวางหัวบนหน้าอกไกรวิทย์ ฟังเสียงหัวใจเขาเต้นอย่างสม่ำเสมอและดูเหมือนจะหายใจตามจังหวะไปด้วย ไกรวิทย์ต้องการเวลาเป็นส่วนตัวเพื่อใช้ความคิด นั่นคือเหตุผลที่เขาทิ้งให้เธอนอนอยู่คนเดียวบนโซฟาโดยตัวเองกลับมาที่ห้อง พอได้ฟังพี่สาวพูดถึงว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรถ้าเขาและเธอได้อยู่กันเพียงลำพังสองคน มันทำให้เขาคิดถึงอะไรบางอย่าง เขาใช้เวลาสองสามชั่วโมงที่ผ่านมาคิดเรื่องนี้
สาวิตรีเจอไกรวิทย์นั่งบนเตียงกำลังมองออกไปนอกหน้าต่างสวนทางกับแสงอาทิตย์สดใสที่สาดส่องเข้ามาบนตัวเขา
“เป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ” เธอถามพร้อมกับเดินไปนั่งข้าง ๆ น้องชายที่กำลังหมกมุ่นครุ่นคิด
“ผมเหรอครับ ไม่เป็นอะไรนี่ครับ” ไกรวิทย์ไม่ได้สังเกตเห็นสาวิตรีเดินเข้ามาในห้อง มารู้ว่าเธออยู่ในห้องกับเขาก็ตอนที่เตียงสั่นไหวเมื่อเธอนั่งลง
“ดูเหมือนเธอกำลังอยู่ในโลกส่วนตัวนะ” สาวิตรีตั้งข้อสังเกตขณะที่วางมือลงบนมือน้องชายแล้วกำมันไว้
“ก็แค่ใช้ความคิดเท่านั้นแหละครับ” ไกรวิทย์ยังคงจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาเขาหยีลงเมื่อมองสวนลำแสงที่สาดส่องเข้ามาที่ใบหน้า
“ใช้ความคิดเหรอ เรื่องอะไรล่ะจ๊ะ” สาวิตรีถามขณะที่บีบมือน้องชายแน่นกว่าเดิมก่อนจะยกมันขึ้นมาวางบนขาอ่อนเธอที่ไขว่ห้างอยู่
“ไม่ใช่เรื่องที่พี่ต้องกังวลหรอกครับ หลับสบายดีมั้ย” ไกรวิทย์เปลี่ยนเรื่องกลับมาที่สาวิตรี
“จ้ะแต่เธอน่าจะปลุกพี่นะ” สาวิตรีพูดยิ้ม ๆ ในขณะที่เมฆก้อนหนึ่งลอยมาบดบังดวงอาทิตย์ทำให้ในห้องมืดสลัวลงไปเล็กน้อยอยู่สองสามวินาที
“ครับ แต่ผมเห็นพี่นอนแล้วดูไร้เดียงสาเหมือนเด็กที่ไม่มีเรื่องที่ต้องกังวลเลย ผมก็เลยทำใจปลุกพี่ขึ้นมารับรู้ปัญหาที่เราต้องเผชิญในชีวิตจริงไม่ได้น่ะครับ” สาวิตรีรู้สึกตกใจกับความจริงจังในคำพูดของไกรวิทย์ ตลอดเวลาที่เธอได้อยู่กับไกรวิทย์ ซึ่งก็คือตลอดชีวิตของเขานั่นแหละ เขาไม่เคยพูดอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ไกรวิทย์จ้องมองพี่สาวด้วยรอยยิ้มน้อย ๆขณะที่ดวงอาทิตย์โผล่พ้นก้อนเมฆออกมา
“วิทย์ เธอเป็นคนดีเหลือเกิน” สาวิตรีพูดอะไรไม่ถูกเมื่อได้ยินคำพูดแบบนั้นจากปากน้องชาย ไกรวิทย์หันมามองพี่สาวแล้วก็หันไปมองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่พูดไม่จา เหมือนกับเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ไม่รู้จะใช้คำพูดอะไรดี
สาวิตรีนั่งเป็นเพื่อนน้องชาย กุมมือเขาวางบนขาเธอ เธอรู้สึกมือเขาสั่นเล็กน้อยด้วยความเครียด เธอบีบมือเขาแน่นขึ้นอีกครั้งแล้วยกขึ้นมาจูบหลังมืออย่างแผ่วเบาจนแทบไม่รู้สึกว่าเป็นการจูบ
“วิทย์จ๊ะ เธอก็รู้ว่าเธอปรึกษาพี่ได้ทุกเรื่องใช่ไหมจ๊ะ” สาวิตรีให้ความมั่นใจกับน้องชายขณะที่เธอบีบนวดมือเขาไปด้วย ไกรวิทย์พยักหน้าเฉย ๆ เขารู้ดีว่าเขาคุยกับสาวิตรีได้แต่เขาไม่รู้จะอธิบายเรื่องที่เขากำลังคิดอยู่ให้พี่สาวเข้าใจได้อย่างไร สาวิตรีเองก็ไม่ได้กดดันเขา เธอนั่งเป็นเพื่อนเขาบนเตียง จ้องมองโลกหมุนผ่านไปนอกหน้าต่าง
สาวิตรีและไกรวิทย์นั่งอยู่บนเตียงอยู่นานโดยไม่มีใครคนใดคนหนึ่งขยับตัวก่อน ทั้งคู่นั่งอยู่ในท่าเดิมตลอดโดยสาวิตรีกุมมือน้องชายไว้ขณะที่เขามองออกไปนอกหน้าต่าง
“พี่ต้องไปแล้วล่ะ เธอไม่เป็นไรแน่นะ” สาวิตรีถามขณะที่ปล่อยมือน้องชาย
“ครับ” ไกรวิทย์ไม่หันไปมองพี่สาวขณะที่ตอบคำถามเธอ สาวิตรีเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้น้องชายจมอยู่ในห้วงความครุ่นคิด เธอไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อนและเริ่มกังวลว่ามันมีอะไรผิดปกติ เธอรู้ว่าคงต้องรอให้เวลาเป็นคำตอบ
สาวิตรีอยู่ในสวนเมื่อไกรวิทย์ออกมาจากห้อง ดูเขาสับสนใจขณะที่เดินเข้ามาหาเธอ ช่วยจับผ้าห่มขณะที่เธอหนีบมันกับราวตากผ้าเพื่อตากแดดให้แห้ง
“เป็นอะไรรึเปล่าวิทย์ ดูเธอไม่ค่อยสบายเลย” สาวิตรีตั้งข้อสังเกตขณะที่เธอใช้ที่หนีบผ้าอันสุดท้าย
“พี่สาครับ มีอะไรบางอย่างที่ผมอยากบอกกับพี่แต่ผมไม่รู้ว่าจะบอกพี่ได้ยังไง” ไกรวิทย์พูดขึ้นมา สายตาเขาจ้องมองไปยังที่ไกลแสนไกลขณะที่เงาของผ้าห่มคลี่คลุมทั้งคู่ไว้
“ก็บอกออกมาเลยสิจ๊ะวิทย์” สาวิตรีพูดพร้อมจับมือน้องชายไว้ หวังว่าเพื่อนบ้านคงไม่ได้ดูพวกเขาอยู่
“ผมอยากจะบอกพี่ว่า…”
“ต่อสิจ๊ะ” สาวิตรีพยายามกระตุ้นน้องชาย ช่วยให้เขานึกหาคำพูดที่ต้องการ
“ผมรักพี่ครับ พี่สา” ไกรวิทย์จ้องมองเข้าไปในดวงตาของพี่สาวขณะที่สายลมโชยพัดเข้าใส่ผ้าห่มจนเงาเคลื่อนไปจากพวกเขา แสงอาทิตย์สาดส่องลงมายังที่ที่พวกเขายืนอยู่ราวกับเป็นสัญญาณจากสรวงสวรรค์
“วิทย์…นี่หรือที่เธอพยายามจะพูดน่ะ” สาวิตรียิ้มขณะที่แสงอาทิตย์ที่สาดส่องกระทบหน้าเขาทำให้เกิดเงาเล็ก ๆ บนใบหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาบอกว่าเขารักใคร เธอรู้ว่าเขาต้องใช้พลังใจอย่างมากที่จะเอ่ยมันออกมา
“ครับ นี่แหละที่ผมคิดหนัก ผมไม่เคยบอกกับใครแต่ผมหมายความอย่างที่พูดจริง ๆ นะครับ ผมรักพี่สาจริง ๆ” ไกรวิทย์พูดเขิน ๆ พร้อมกับก้มศีรษะลง รอคอยคำตอบจากพี่สาว กังวลว่าเธอจะไม่ตอบสนองความรู้สึกของเขา
“พี่ก็รักเธอมากจ้ะ พ่อน้องชายสุดที่รักของพี่” สาวิตรีตอบ ศีรษะของไกรวิทย์ผงกขึ้นในทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้จากพี่สาว
“จริงเหรอครับ” เขาถาม ไม่เชื่อว่าพี่สาวจะเอ่ยคำพูดเช่นนั้นกับเขา
“จริงสิจ๊ะ มานี่เลยพ่อคนซื่อบื้อ” สาวิตรีพูดด้วยน้ำตาคลอเบ้าขณะที่เธอกอดน้องชายแน่น เขาเองก็พยายามกลั้นน้ำตาเหมือนกัน ถ้ามีเพื่อนบ้านเห็นทั้งคู่เปลี่ยนจากกอดเป็นแลกจูบกันล่ะก็คงจะเป็นเรื่องเป็นราวแน่ ๆ แต่สำหรับทั้งคู่ในตอนนี้แล้วมันไม่สลักสำคัญอะไรเลย สิ่งที่มีความหมายที่สุดก็คือ ทั้งสองคนมีความรู้สึกตรงกัน เขาและเธอรักกัน
ผ้าห่มยังคงสะบัดไหวอยู่รอบตัวทั้งสองขณะที่ทั้งคู่ยืนจูบกันในสวนที่สว่างไสวด้วยแสงอาทิตย์ กลิ่นหญ้าล่องลอยมาแตะจมูกพวกเขา โชคดีว่าทั้งสองคนไม่เป็นโรคภูมิแพ้ ไม่งั้นคงจะทำให้สถานการณ์ในตอนนี้ไม่น่าภิรมย์นัก
สาวิตรีถอนจูบ โดยยังคงกอดน้องชายไว้แน่น เธอยังคงตื้นตันกับความรู้สึก และไม่เคยคิดว่าคำพูดเพียงแค่สามคำจะเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ถึงขนาดนี้
“เข้าไปข้างในกันเถอะจ้ะวิทย์” เธอพูดด้วยเสียงแหบโหยเบา ๆ ขณะที่เธอจ่อปากกับใบหูน้องชาย ไกรวิทย์พยักหน้าเห็นด้วย
เมื่อเข้าไปในบ้าน พวกเขาก็ตรงเข้าไปในห้องครัวโดยสาวิตรีจูงมือน้องชาย เธอปล่อยมือและหันมาเผชิญหน้ากับเขาเมื่อทั้งคู่มาถึงโต๊ะ เธอยิ้มพร้อมกับยื่นมือจับชายเสื้อยืดแล้วดึงมันออกไปทางหัวและทิ้งมันลงไปที่พื้น เธอสวมบราเซียร์สีขาวลายลูกไม้ที่รับภาระหนักในการรั้งเต้านมอวบอัดเธอไว้ในขณะที่มันต้องการเป็นอิสระจากพันธนาการและเข้าไปอยู่ในอุ้งมือน้องชายเธอ
ไกรวิทย์ยืนมองขณะที่เธอปลดกางเกงขาสั้นออกจากเอวคอดกิ่วของเธอ เนื้อผ้าฝ้ายเสียดสีเร้าอารมณ์ขณะที่มันรูดลงไปตามเรียวขาเธอ จากนั้นสาวิตรีขึ้นไปนั่งบนโต๊ะ ทั้งเนื้อทั้งตัวเธอมีแต่บราและกางเกงในลายเดียวกันปกปิดอยู่เท่านั้น
ไกรวิทย์ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว เขาก้าวเข้าไประหว่างขาของพี่สาว เธอแยกขาออกให้ขาแต่ละข้างห้อยอยู่ข้างตัวเขา เธอเงยหน้ามองหน้าเขา ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใด ๆ อีก ไกรวิทย์ยกมือขึ้นไปช้อนใต้บราที่ปกปิดเต้านมแล้วยกขึ้นเบา ๆ สาวิตรีถอนหายใจออกมาเมื่อเธอรู้สึกมืออุ่น ๆ เขาบนเนื้อผ้าเบาบางที่ปกปิดหนั่นเนื้อที่ไวต่อการสัมผัสของเธอ
ไกรวิทย์มองขณะที่สาวิตรีจับชายเสื้อยืดเขาเหมือนกับที่ทำกับเสื้อยืดของเธอแล้วดึงมันขึ้นจนเขาต้องถอนมือออกจากเต้านมเธอเพื่อให้ถอดมันออกไปจากตัวได้ ตัวสาวิตรีเองกลับรู้สึกใจหายเล็ก ๆ เมื่อมือเขาละออกจากเต้านมเธอ แต่เพียงแป๊บเดียวมือเขาก็กลับมาใหม่ขณะที่เขายึดตัวเธอไว้ เขาก็เอาปากประกบกับเธอแลกจูบกันขณะที่เขาเริ่มเคล้นคลึงด้านข้างของเต้าอวบเธอ
กางเกงในของสาวิตรีมีรอยเปียกอย่างเห็นได้ชัดขณะที่น้องชายบีบเคล้นเต้าอวบของเธออย่างไม่หยุดยั้ง เธอรู้ว่าถึงเวลาที่จะต้องดำเนินขั้นต่อไปแล้ว นี่ไม่ใช่จุดจบแต่เป็นการเริ่มต้นตะหาก สาวิตรีคว้าเข็มขัดของน้องชาย พยายามจะถอดมันออกแต่มือเธอจับไม่ถนัด พอเห็นเธอพยายาม ไกรวิทย์ก็ให้ความร่วมมือ เขาก้าวถอยไปแล้วปลดหัวเข็มขัดออกแล้วทิ้งมันลงไปบนพื้นก่อนจะก้าวเข้าไปหาพี่สาวอีกครั้ง ซึ่งในตอนนี้เธอได้ยกขาขึ้นมาโดยวางเท้าไว้บนโต๊ะ เธอจูบไกรวิทย์อีกครั้ง
ไกรวิทย์ดันตัวเข้าหาเธอเบา ๆ ขณะที่เดินเข้ามาใกล้ แต่สาวิตรีดันตัวเขาออก เธอหันตัวกลับไปคุกเข่าบนโต๊ะ กางเกงในเธอร่นขึ้นไปจนไกรวิทย์เห็นแก้มก้นกลมกลึงของเธอได้ถนัดตา สาวิตรีหันกลับไปมองแล้วยิ้มขณะที่รู้สึกริมฝีปากเขาจูบเนื้อนิ่ม ๆ ของแก้มก้นแต่ละข้าง เธอพริ้มตาลงขณะที่รู้สึกถึงลมหายใจอุ่น ๆ ของน้องชายบนแก้มก้นอันงดงามของเธอแต่ละข้าง ริมฝีปากนุ่ม ๆ ของเขาทิ้งรอยเปียกไว้ทุกที่ที่มันสัมผัส
สาวิตรีลดบั้นท้ายเธอจนมันวางลงบนขาที่พับอยู่ข้างใต้ เธอบีบเต้านมตัวเองที่ยังอยู่ในบรา รู้สึกถึงหัวนมที่แข็งชันดันเนื้อผ้าออกมา เธอครวญครางเมื่อรู้สึกเสียวที่ปลายอกที่สัมผัสเสียดสีกับเนื้อผ้าลูกไม้ แต่ละครั้งที่สัมผัสก็ทำให้มันแข็งยิ่งขึ้นอีก
พอเธอเอนหลังไปก็ถูกน้องชายโอบแขนรอบเต้านมเธอขณะที่เขาควานหาตะขอบรา สาวิตรีรู้สึกมือของน้องชายปัดป่ายอยู่บนเต้านมเธอเพื่อหาตะขอบรา เธอยื่นมือกลับไปประคองหัวเขาไว้ขณะที่เธอบดเบียดแผ่นหลังเข้ากับอกของเขา รู้สึกถึงริมฝีปากชุ่มชื้นของเขาบนลำคอเธอ เธออยากให้เขาหาขอบราเจอเร็ว ๆ จะได้ปลดปล่อยเต้านมเธอให้เป็นอิสระเสียที
แล้วเธอก็ไม่ผิดหวังเมื่อน้องชายปลดตะขอบราได้สำเร็จ เธอยื่นแขนกลับมาเพื่อให้เขารูดมันออกไปจากหลังเธอได้ สายบาง ๆ ที่ยึดกับไหล่เธอติดช่วงศอกเล็กน้อยแต่ก็ไม่เป็นปัญหาและในที่สุดมันก็ถูกโยนลงไปกองกับพื้น กางเกงในเธอเป็นตัวต่อมา สาวิตรีนั่งยอง ๆ ให้ไกรวิทย์สอดมือเข้าไปในยางยืดรอบเอวแล้วรูดมันลงมาถึงเข่า จากนั้นเธอก็รับช่วงต่อและดึงมันพ้นตัวไปจนได้ แล้วเธอก็คุกเข่าอีกครั้งและรู้สึกได้ถึงหน้าอกน้องชายแนบชิดกับแผ่นหลังเธอ มือเขาบีบขยำเต้านมที่ไร้สิ่งปกปิดของเธอเบา ๆ อย่างทะนุถนอมจนความเสียวแล่นไปทั่วร่างเธอ
สาวิตรีหันไปยิ้มให้น้องชายขณะที่เธอมองเห็นดวงตาเขาจ้องมองที่ตาเธอแน่วนิ่ง ไม่ชำเลืองไปมองเนินสวาทหรือเต้านมเธอเลย เธอเอนตัวไปข้างหน้าแล้วห้อยขาลงไปอีกครั้งโดยให้ขาแต่ละข้างอยู่ข้างตัวน้องชายแล้วเริ่มจูบเขาอีกครั้ง
เมื่อใบหน้าของทั้งคู่แนบชิดกัน เธอก็เลื่อนมือลงไปปลดขอกางเกงยีนส์เขาและปล่อยให้มันรูดลงไปจากสะโพกเขา ไกรวิทย์ก้าวออกจากกางเกงยีนส์ที่ลงไปกองอยู่กับพื้น ขณะนี้เขาสวมแต่กางเกงชกมวยเท่านั้นในขณะที่แลกจูบกับพี่สาว จนถึงบัดนี้ทั้งคู่ไม่ได้ทำอะไรแบบเร่งรีบ นี่ไม่ใช่การสมสู่กันด้วยความใคร่ แต่เป็นอะไรที่พิเศษไปกว่านั้น มันเป็นช่วงเวลาที่ทั้งคู่จะได้แสดงความรักที่มีต่อกันต่างหาก
สาวิตรีละจูบจากน้องชายแล้วมองดูรอยตุงของกางเกงชกมวย เธอยิ้มขณะปลดกระดุมรอยแยกที่เอาไว้สำหรับฉี่แล้วยื่นมือเข้าไปข้างในจับลำควยที่แข็งแกร่งของน้องชายไว้ เธอค่อย ๆ รูดหนังหุ้มปลายลงไปแล้วดึงควยเขาออกมาจากช่องด้านหน้ากางเกงชกมวยเขา เธอยิ้มเมื่อได้เห็นส่วนหัวสีม่วงคล้ำแล้วเอนตัวลงนอนบนโต๊ะพร้อมดึงตัวไกรวิทย์เข้ามาใกล้ เธอจ่อมันเข้ากับปากช่องสวรรค์ระหว่างแคมที่อบอุ่นและเปียกแฉะของเธอ
ไกรวิทย์จ้องตาพี่สาวขณะที่เขาค่อย ๆ ดันลำควยเข้าไปในตัวรูหีที่รออยู่แล้ว ไม่มีคำพูดใด ๆ ออกจากปากคนทั้งสอง ทั้งคู่จ้องตากันแน่วนิ่งขณะที่ควยเขาเสียบเข้าไปในตัวเธอจนทั้งคู่หลอมรวมเป็นคนเดียวกัน
สาวิตรียิ้มเมื่อรู้สึกตัวเธอถูกเติมเต็มด้วยควยน้องชาย เขาดันเข้าไปลึกจนถึงที่สุดแล้วทั้งคู่ก็อยู่ในท่านั้น จ้องตากันต่ออีกพักหนึ่งก่อนที่สาวิตรีจะยกมือขึ้นประคองใบหน้าน้องชายแล้วดึงมันเข้ามาหาใบหน้าเธอ แล้วทั้งคู่ก็แลกจูบกัน ไกรวิทย์ค่อย ๆ ถอยสะโพกออก ความรู้สึกที่โพรงหีแสนคับของพี่สาวบีบรัดควยเขาแบบไม่อยากให้ถอนตัวออกไปทำให้เขาแทบหัวใจสลายแต่ก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องทำ สาวิตรีครางออกมาเมื่อเธอรู้สึกเขาดันกลับเข้ามาในตัวเธอเบา ๆ เหมือนตอนที่ถอนออกไป ลำควยเขาถูกกล้ามเนื้อเธอบีบรัดไว้แน่น น้ำเสียวเธอหลั่งไหลออกมาชโลมควยเขาจนเปียกและช่วยหล่อลื่นให้ขยับได้ง่ายขึ้น สาวิตรีอยากจะหยุดน้ำหล่อลื่นของเธอไม่ให้ไหลออกมา ควยเขาจะได้อยู่ในตัวเธอตลอดไปแต่เธอก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครที่จะขัดขืนต่อต้านกับธรรมชาติได้ มีแต่จะต้องเสพรับกับความสุขที่ธรรมชาติมอบให้เท่านั้น
สาวิตรีโอบขารัดเอวน้องชายไว้ขณะที่ทั้งคู่แลกจูบพันลิ้นกันช้า ๆ ไม่รีบร้อน ทั้งคู่กำลังเสพสุขกับเรือนร่างของฝ่ายตรงข้ามอย่างเต็มที่เป็นครั้งแรก
คราวนี้ไกรวิทย์ถอยควยออกเร็วขึ้นอีกหน่อย ความเปียกแฉะในโพรงหีพี่สาวทำให้เขาควบคุมจังหวะได้ยากขึ้น สาวิตรีครวญครางขณะที่เธอรู้สึกขนหมอยเขาสัมผัสกับของเธอ ร่างของทั้งคู่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่ใช้ไปในการเคลื่อนไหวช้า ๆ นี้ สาวิตรีรู้สึกน้องชายเธอเริ่มกระเด้าแรงขึ้น แต่ก็ยังไม่ใช่ความรุนแรงแบบที่ผู้ชายใช้เพื่อสนองความต้องการของตัวเองเพียงฝ่ายเดียว ไกรวิทย์พยายามจะทำอย่างอ่อนโยน การเคลื่อนไหวของเขาช่างนุ่มนวลเอาใจเสียจนทำให้สาวิตรีร้อนเร่าในอารมณ์มากยิ่งกว่าจังหวะการเคลื่อนไหวที่เร็วและรุนแรงเสียอีก
สาวิตรีตอบสนองต่อการกระเด้าช้า ๆ ของน้องชาย ขณะที่ทั้งคู่แลกจูบกัน เธอก็จะเลื่อนสะโพกไปบนพื้นโต๊ะสวนเข้าหาน้องชายขณะที่เขาเคลื่อนตัวไปข้างหน้าเพื่อให้ควยเขาเข้าไปในตัวเธอได้ลึกที่สุดในทุกครั้งที่เขากระเด้า
ไกรวิทย์เอนตัวไปข้างหลังเมื่อรู้สึกพี่สาวขมิบกล้ามเนื้อภายในบีบรัดควยเขาแรงยิ่งขึ้น ยิ่งเพิ่มความร้อนเร่าและทำให้การขยับเคลื่อนกายแต่ละครั้งยิ่งมันส์อร่อยขึ้นไปอีก สาวิตรีปล่อยขาจากการโอบรัดเอวน้องชายแล้วยกมันขึ้นมาวางบนโต๊ะอีกครั้ง ทำให้ไกรวิทย์มีพื้นที่ในการขยับมากขึ้น มือไกรวิทย์หลุดจากขอบโต๊ะขณะที่พี่สาวเขาขยับตัวอย่างรวดเร็วทำให้มือเขาเลื่อนไปข้างหน้าและบังเอิญไปคว้าเอาขาขวาของพี่สาวตรงใต้เข่า กลายเป็นการดันมันให้ยกขึ้น สาวิตรีปล่อยขาให้ผ่อนคลายจนมันถูกดันขึ้นไปชิดหน้าอกเธอ ขณะที่ไกรวิทย์โน้มตัวตามไปข้างหน้า สาวิตรีก็จูบเขา ตอนนี้ขาขวาเธอพาดอยู่บนไหล่เขา ท่าใหม่นี้ทำให้เนินหีสาวิตรีแยกออกมากยิ่งขึ้นกว่าที่เธอจะคาดคิดและเธอก็ไม่มีปัญหาในการคงตัวอยู่ในท่านี้เพราะร่างกายเธอแข็งแรงจากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออยู่แล้ว
ไกรวิทย์ยังคงแลกจูบกับสาวิตรีขณะที่เขายกขาเธอไว้บนไหล่ ส่วนขาอีกข้างของเธอวางอยู่บนโต๊ะ ไกรวิทย์เริ่มกระเด้าเย็ดพี่สาวเบา ๆ อีกครั้ง แต่ครั้งนี้เนื่องจากมีพื้นที่มาก เขาเลยเข้าไปได้ลึกกว่าเดิม ทำให้สาวิตรีร้องครวญครางออกมาขณะที่รู้สึกกระดูกหัวเหน่าของเขาบดบี้กับเม็ดแตดเธอ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นรวมกับการเคลื่อนไหวช้า ๆ เป็นจังหวะของลำควยน้องชายในรูหีที่ฉ่ำแฉะของเธอทำให้สาวิตรีถึงจุดสุดยอด เธอผละจากการจูบแล้วสะบัดหน้าขณะที่ความสุขสุดยอดแล่นผ่านไปทั่วตัวเธอทำให้หีเธอยิ่งเปียกแฉะมากขึ้นไปอีก
ไกรวิทย์ปล่อยขาเธอให้ลงไปวางบนโต๊ะขณะที่ความสุขสุดยอดของเธอเริ่มลดลงและทั้งคู่ก็กลับไปแลกจูบกันอย่างดูดดื่ม ไกรวิทย์ยกร่างพี่สาวขึ้นจากโต๊ะ สาวิตรีรู้ดีว่าเขากำลังจะทำอะไร เธอจึงโอบขารัดรอบเอวเขาอีกครั้งขณะที่ไกรวิทย์เคลื่อนตัวออกห่างโต๊ะ เขายึดตัวพี่สาวไว้ขณะที่เธอเริ่มขยับตัวกระเด้าบนลำควยเขา เต้านมอวบอิ่มของเธอบดบี้เข้ากับแผงอกเขาและเขารู้สึกได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจเธอที่เร็วขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านทางหนั่นเนื้อที่อวบหยุ่นนั้น สาวิตรีรู้สึกเช่นเดียวกันผ่านทางหน้าอกเขาและพยายามจะขยับตัวยกขึ้นลงบนลำควยเขาเป็นจังหวะ เช่นเดิม ทั้งคู่ไม่ได้รีบร้อน แต่ละจังหวะการกระเด้าเต็มไปด้วยความตั้งใจและเป็นไปอย่างเนิบ ๆ ทำให้ทั้งคู่มีความสุขยิ่งกว่าที่เคยมีมา
ทั้งคู่เริ่มแลกจูบกันอีกขณะที่ไกรวิทย์ยึดตัวพี่สาวไว้ มือเขาช้อนอยู่ใต้ก้นเธอเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกตอนเธอยกตัวขึ้นบนควยเขา ความรู้สึกที่นิ้วเขาอยู่ใกล้รูก้นเธอทำให้เธอบิดกายด้วยความสยิว
ไกรวิทย์รู้สึกขาเขาเริ่มอ่อนแรงจึงค่อย ๆ ย่อตัวลงให้สาวิตรีวางเท้าลงบนพื้น พอตัวเธอวางอยู่บนท่อนขาเขา สาวิตรีก็สามารถจะควบคุมจังหวะได้ดีขึ้นโดยเธอคายควยออกจนเหลือแต่เพียงหัวหยักแล้วก็กลืนมันกลับเข้าไปด้วยการขยับสะโพกช้า ๆ ไกรวิทย์มองจ้องตาพี่สาวขณะที่เธอเอนตัวถอยไปและร้องครวญครางเมื่อรู้สึกขาเขาสัมผัสกับด้านในของขาอ่อนเธอส่วนที่ไวต่อการสัมผัสใต้เนินสวาท ไกรวิทย์ยึดเอวเธอไว้ไม่ให้เธอหล่นลงไปขณะที่เธอยกมือขึ้นมาที่เต้านมตัวเองแล้วบีบบี้หัวนมเมื่อเธอรู้สึกว่าจุดสุดยอดมาถึงอีกครั้ง เหงื่อหยดติ๋ง ๆ จากร่างของทั้งสอง
จุดสุดยอดครั้งที่สองของพี่สาวกระตุ้นให้ไกรวิทย์เสร็จเหมือนกัน สาวิตรีหันไปมองเขาขณะที่เขารู้สึกลูกกะโปกกำลังฉีดส่งน้ำรักไปที่ฐานของท่อนเอ็น สาวิตรีมองออกว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นและยิ้มออกมาขณะที่เธอครวญครางและอัดกระเด้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะกอดร่างชุ่มเหงื่อของน้องชายไว้แน่นขณะที่เธอรู้สึกน้ำควยเขาฉีดพุ่งกระทบผนังโพรงหลืบของเธอ มันร้อนผ่าวเสียนี่กระไร ลำควยเขากำลังอ่อนตัวขณะที่ทั้งคู่จ้องตากัน
“พี่รักเธอจ้ะ” สาวิตรีพูดพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนขณะที่เธอรู้สึกควยน้องชายไหลหลุดจากโพรงหีที่แสนคับของเธอ
“ผมก็รักพี่ครับ พี่สา” ไกรวิทย์พูดขณะที่เขากอดพี่สาว ทั้งคู่ยืนเปลือย เหงื่อหยดติ๋ง ๆ
ไกรวิทย์มองพี่สาวขณะที่ทั้งคู่ยืนอยู่ในครัว แสงที่มาจากหน้าต่างเริ่มอ่อนลงเมื่อดวงอาทิตย์เคลื่อนตัวไปตามทางของมันบนท้องฟ้า
“พี่สาครับ”
“จ๊ะ?”
“เรื่องที่พี่พูดเมื่อตอนก่อนหน้านั้น ที่ว่าเราจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเพียงลำพังน่ะ พี่ต้องการแบบนั้นจริง ๆ เหรอครับ”
“จ้ะ”
“ผมก็อยากให้เป็นแบบนั้นครับ”
ไกรวิทย์กอดพี่สาวขณะที่ทั้งคู่ร้องไห้ด้วยความปลาบปลื้มยินดี ทั้งคู่ไม่รู้ว่าอนาคตต่อจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร จะหาบ้านของพวกเขาเองได้หรือไม่ จะหาเงินพอกับค่าใช้จ่ายหรือเปล่า แล้วครอบครัวพวกเขาจะคิดอย่างไร แต่ทั้งคู่ก็รู้แน่แก่ใจข้อเดียวคือ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า พวกเขาต้องการแค่มีกันและกันเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว