เล่ห์สวาทเพลิงราคะ 11
เสียงปืนที่ดังอยู่ตรงแนวยิงในสนามยิงปืนในวันนี้ยังค่อยข้างประปรายเพราะเนื่องจากเป็นเวลาเช้าอยู่มาก
สนามยิงปืนที่ได้รับความนิยมสูงแห่งนี้ เนื่องจากมีการออกแปลนพื้นที่การยิงที่ได้มาตรฐานสากล พื้นที่ตรงระยะแนวยิงนั้นค่อยข้างโปร่งสบาย อำนวยความสะดวกให้กับผู้ยิงด้วยระบบปรับอากาศดีเยี่ยม ซึ่งเป็นสนามโปรดของเด็กสาวร่างเล็กบางที่กำลังยืนหลังเหยียดตรงประคองปืนสั้นด้ามเล็กแต่ทรงอานุภาพรุ่น S&W M60 ยิงตรงไปยังเป้าที่อยู่ห่างออกไปเป็นระยะประมาณ 25 เมตร
เปรี้ยง… เปรี้ยง….เปรี้ยง
แขนเรียวบางที่จับด้ามปืนเล่มงามนั้นกระตุกน้อยๆ แต่นิ่มนวลในการบังคับทิศทาง ลูกกระสุนหัวตัดขนาด .38 มม. พุ่งฉิวเข้าไปในเป้ากระดาษนั้นทะลุเกาะกลุ่มคะแนนประมาณเก้า-สิบอย่างแม่นยำ
สายๆ วันเสาร์อย่างนี้ ยังไม่ค่อยมีใครมาใช้บริการสนามซ้อมซักเท่าไหร่ แต่ที่อรนุชมาซ้อมมือแต่หัววัน ก็เพราะเด็กสาวแสนสวยพรั่นพรึงกับกำหนดการที่พี่แต๋วสาธยายให้ฟังจนยาวเหยียดจนเก็บเอาไปนอนฝันร้าย คิดอยู่ในใจ สงสัยคงจะหาเวลามายิงปืนได้ยากแน่ๆ จึงตกลงใจ ตอนนี้ขอยิงให้ฉ่ำมือก่อนเถอะน่า
อรนุชยิงติดต่อกันจนหมดลูกโม่ แล้วจึงกดปุ่มรอกไฟฟ้า ดึงเป้ากลับมาแล้วยิ้มอย่างพอใจในกลุ่มกระสุนที่รวมตัว
กันอย่างสวยงาม
“อือม์ ฝีมือดีนี่”
เสียงหนึ่งที่ดังขึ้นใกล้ๆ อรนุชที่นึกว่าตัวเองยืนอยู่คนเดียว ถึงกับสะดุ้ง หันขวับไปอย่างตกใจ
ทันใดนั้นร่างเล็กบางก็สะดุ้งเป็นคำรบสองติดกัน อ้าปากค้าง มองใบหน้าที่มีเครารกครึ้มตรงหน้า อย่างแทบไม่เชื่อสายตา อึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง ก็พึมพำออกมาราวกับละเมอ
“นาย..นายสิงห์…”
คมศรเลิกคิ้วประหนึ่งแปลกใจเสียเต็มประดา ก้มศีรษะน้อยๆ อุทานว่า
“ครับ..ผมชื่อสิงห์..รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่คุณรู้จักชื่อผมด้วย”
ตอนนั้นพลันอรนุชเพิ่งได้สติ ใบหน้าต้องร้อนวูบ รีบสะบัดหน้ากลับไปซ่อนแววตาของตัวเองอีกทางพลางกล่าวเสียงแข็ง
“ฉัน..ฉันไม่ได้สนใจ..จะรู้จักชื่ออะไรของนายหรอก…แต่พี่ทินน่ะสิ…เขาพูดถึงเรื่องของนายให้ฉันฟัง….รำค๊าญรำคาญ….พูดอยู่ได้….ไม่เห็นอยากฟัง”
ตอนท้ายพอตั้งตัวติด ปากงามบางนั้นก็พูดฉอดๆ ด้วยกิริยาที่คนฟังอยากจะดึงตัวเข้ามาจูบให้เข็ด
แต่คมศรแค่หัวเราะเรื่อยๆ กล่าวนุ่มๆ ตาวาวๆ นั้นจ้องมองไปยังใบหน้าใสราวกับเด็กน้อยนั้นแน่วนิ่ง น่าแปลกอรนุชไม่ได้รู้สึกถึงความหยาบคายจากสายตาที่จ้องมองมา ตรงกันข้าม….
“ผมเสียใจครับ ที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คุณไม่สบายใจ”
เจอไม้สุภาพตอบกลับมา อรนุชที่ปกติไม่ใช่คนก้าวร้าว แต่เนื้อแท้เป็นคนร่าเริง เข้ากับคนได้ง่าย และไม่มีทางเป็นพิษเป็นภัยกับใครก็ถึงกับไปต่อไม่เป็น ตอนนั้นได้แต่ยืนบิดตัวไปมา รู้สึกร้อนๆ กับแววตาสีเหล็กที่จ้องมองมายังเธออย่างไรพิกล
ฮึ ตาบ้า..จ้องเขาอยู่ได้
เด็กสาวเป็นคนสวยที่รับรู้ในความสวยของเธอดี แม้จะไม่ใช่คนที่ชอบอวดโชว์ความงามเหมือนกับฐิติพรรณ แต่เพราะเคยชินกับการเป็นเป้าสนใจของคนต่างเพศ ปกติการถูกจ้องมองไม่ใช่เรื่องที่อรนุชไม่มีประสบการณ์ และต้องรู้สึกขัดเขินไปกับการที่ต้องเป็นจุดรวมของความสนใจของคนรอบด้าน
แต่แววตาสีเหล็กคู่นี้มันมีอิทธิพลประหลาด ที่จ้องมาแล้วประหนึ่งเป็นหอกอันแหลมที่แทงเข้ามาในใจ ปรากฏความร้อนวูบๆ ขึ้นในอก อาการอย่างนั้นทำให้เด็กสาวที่มั่นใจในตัวเองเสมอมา ถึงกับโมโหตัวเองเป็นการใหญ่ และพาลโทษความผิดนั้นไปยังเจ้าของสายตาแปลกๆ นั้น
“คุณมานี่ทำไม”
เสียงใสนั้นห้วนแข็ง ใบหน้างามใสกระจ่างนั้นมีวี่แววเอาเรื่องเต็มที่ คมศรยิ้มกว้าง ขณะที่มายืนอยู่ตรงช่องแนวยิงข้างๆ กล่าวเรื่อยๆ
“จะรังเกียจไหมครับ ว่าผมจะขอยิงปืนด้วยคน”
วงหน้าใสบางนั้นเชิดขึ้น กล่าวลอยๆ
“ปกติฉันยิงปืนคนเดียว…”
คมศรหัวเราะหึหึ วางกระเป๋าใส่ปืนลงตรงโต๊ะตรงหน้า ไม่ได้สนใจอาการยืนหน้าบูด ยกมือเท้าสะเอวราวกับเด็กซนๆ ข้างตัว และเปิดกระเป๋าใบนั้นออก
ด้วยความเป็นคนรักปืน และการยิงปืน ทำให้อรนุชอดชะโงกหน้ามาดูอาวุธเล่มสีดำมันปลาบที่วางอยู่ในกระเป๋าไม่ได้ ก่อนจะเบิกตากลมโตกว้างอย่างพอใจในความสวยงามของมัน
คมศรยิ้มกว้าง หยิบ colt .45 กระบอกดำปลาบเป็นมันวาวออกมา มองใบหน้าใสๆ ที่มองมาเหมือนกับเด็กมองขนมหวานแล้วต้องยิ้มกว้าง
“อยากลองดูไหม…”
อรนุชสะบัดหน้า เช๊อะ ถ้ายอมก็เสียเหลี่ยมหมดน่ะสิ
ทั้งๆ ที่ใจอยากจะหยิบมาเชยชมแทบตาย แต่เด็กสาวแสนสวยก็สะบัดหน้าหนี หันไปบรรจุกระสุนลูกโม่ชุดใหม่เข้าสู่ปืนกระบอกงามของเธอแทนที่
“เมื่อสักครู่เห็นผลงานของคุณ…เอ่อ…ลืมไปยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย..”
อรนุชง่วนกับการใส่กระสุนเงียบ นายพูดกับใคร ฉันไม่สน
“เอ่อ…ถ้าอย่างนั้น..ผมเรียกคุณว่าตัวเล็กก็แล้วกัน…เมื่อครู่นี้ผมเห็นคุณตัวเล็ก…”
อรนุชอ้าปากค้าง ตาเบิกโพลง นาย..นายอวดดี..เรียกฉันว่าอะไรนะ
ปากงามหันมาขู่แฟ่ด
“ฉันไม่ได้ชื่อตัวเล็ก…”
คมศรหัวเราะเสียงดัง แล้วว่า
“แล้วผมจะเรียกคุณว่าอะไรดีล่ะครับ..คุณจะได้ไม่ต้องโมโหผม..”
อรนุชพยายามนับหนึ่งถึงสิบ ก่อนจะตอบห้วนๆ
“ฉันชื่ออรนุช…”
คมศรซ่อมยิ้มอยู่ในหน้า ในรายงานนับร้อยหน้าที่สมศักดิ์ส่งให้ ชายหนุ่มรู้ดีเกินพอว่าฝีมือของสาวน้อยตรงหน้านั้นขนาดไหน แต่ทำเป็นพูดหน้าตาย
“เมื่อครู่นี้ผมเห็นรอยกระสุนของคุณนุช ที่จริงก็นับว่าดีนะครับ แต่น่าเสียดาย…”
เด็กสาวร่างบางบรรจุกระสุนเสร็จ ถึงแม้ทำทีเป็นหูทวนลมไม่สนใจอะไร แต่พออีกฝ่ายเงียบไปเฉยๆ อรนุชก็อดปรายตามองไปไม่ได้ เห็นคมศรกำลังยกปืนขึ้นเล็งศูนย์กับเป้านิ่งอยู่ เหมือนกับไม่ได้มีความคิดจะพูดอะไรต่อไปอีกเลย ก็รู้สึกจี๊ดขึ้นมาในใจอีกอย่างอดรนทนไม่ได้ เด็กสาวแสนสวยถึงกับลืมตัวกระทืบเท้าอย่างขัดใจ
เสียดายอะไรก็ไม่พูดมา ตาบ้า..โจรห้าร้อย…โจรหน้าหมี…ฮึ…ขัดใจจริงเชียว..กวนประสาท
ในชีวิตที่เคยชินกับการถูกคนรอบข้างเอาใจ ถึงแม้เด็กสาวจะไม่ได้มีนิสัยเสียอันเนื่องจากถูกตามใจนั้น แต่จะอย่างไรเธอก็ไม่เคยพบคนที่เข้ามาทำท่าทางดูไม่ค่อยยี่หระกับตัวเธอถึงขนาดนี้มาก่อนเลย
ดังนั้นอรนุชจึงยกมือขึ้นเท้าสะเอวอย่างโมโห หันมาจ้องหน้าคมศรตรงๆ ดวงตากลมโตนั้นเบิกกว้างอย่างเอาเรื่อง
“เสียดายอะไร…”
น้ำเสียงใสๆ นั้นสั่นระริก ใบหน้างามใสแดงระเรื่ออย่างโมโหจัด คมศรเห็นแล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้
แม่แมวเหมียวตัวน้อยเอ๊ย ทำตาพองอย่างกับจะเข้ามาขย้ำฉันอย่างนั้นแหล่ะ
ชายหนุ่มโบกมือพยายามระงับอารมณ์ขันของตัวเอง ยิ้มกว้างพูดว่า
“คือผมกำลังจะบอกว่า รอยกระสุนมันเข้ากลุ่มก็ดีอยู่ แต่ถ้าคุณดูดีๆ มันกระจายไปทางซ้ายมือของคุณ แสดงว่าเวลาคุณเล็งที่ศูนย์หน้า ปลายปืนมันส่ายไปหน่อย …ถ้าเป็นเพราะจังหวะปืนของคุณเป็นอย่างนั้น น่าจะดูช่องไฟให้ทางขวาของศูนย์หน้านั้นแคบลงหน่อยนึง”
อรชาเบะปาก ร้องเสียงดังในลำคอ ฮึ ทำสีหน้าไม่เชื่อถือคำพูดของอีกฝ่ายเลยแม้แต่นิดเดียว
คมศรยิ้มพลางสอดแม็กกาซีนกระสุนเข้าตัวปืนแล้วขึ้นลำเอาไว้ ก่อนจะใส่ save เอาไว้และวางปืนลง จากนั้นก็หันมายังสาวน้อยที่ยืนตาโตสีหน้าเอาเรื่อง ยิ้มเล็กน้อยแล้วว่า
“ถ้าคุณอรไม่เชื่อผม และมั่นใจในวิธีการยิงของตัวเอง ลองมาแข่งกันดูไหมล่ะครับ คนละห้านัดจนครบกระสุนในลูกโม่ของปืนคุณ”
อรนุชหรี่ตากลมโตของเธอลงเล็กน้อย ประกายตามีแววสนุกแว่บขึ้น แต่ปากงามก็จีบว่า
“ฉันแข่งกับนายแล้วจะได้อะไร… เชอะ..ไม่เห็นมีประโยชน์สักนิด”
คมศรหันมาหยิบปืนขึ้นเล็งศูนย์อีกครั้ง กล่าวยิ้มๆ
“หนึ่งการแข่งขันก็ไม่มีอะไรมากหนึ่งแข่งกันสนุกๆ ดีกว่ายิงเฉยๆ ตั้งเยอะ สองถ้าคุณชนะ..ผมให้คุณขออะไรก็ได้อย่างหนึ่ง กลับกันถ้าผมชนะ..ผมก็ขอให้คุณทำอะไรให้ผมอย่างนึงเหมือนกัน”
เด็กสาวเชิดหน้า ปรายตามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราของอีกฝ่าย แล้วจงใจเน้นเสียงอย่างยั่วๆ
“เสียใจฉันไม่ทำสิ่งผิดกฏหมาย…”
คมศรอ่านสายตาของเด็กสาวออกก็หัวเราะออกมาเต็มเสียง โบกมือ
“รับรองๆ สิ่งที่ผมขอให้คุณช่วยน่ะไม่มีทางเป็นเรื่องผิดกฏหมาย หรือขัดกับความพอใจของคุณ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน..ถ้าเผื่อผมชนะนะ..แล้วผมขอให้คุณช่วยทำอะไรสักอย่าง แต่ถ้าคุณเกิดไม่อยากทำ หรือไม่เต็มใจจะทำก็ถือว่าเป็นโมฆะไป ตกลงไหม”
ความจริงอรนุชก็รู้ว่านั่นเป็นข้อเสนอที่เธอไม่มีวันเสียเปรียบเลย แต่ด้วยที่ยังวางท่าอยู่จะยอมง่ายๆ ก็กระไร เลยทำเป็นนิ่งคิด คมศรหัวเราะหึหึ เอ่ยว่า
“แต่ถ้าคุณกลัวแพ้ก็ไม่เป็นไรนะ..ผมเองก็ไม่อยากบังคับให้คุณหน้าแตก..เพราะทำฟอร์มไว้มาก”
แค่ประโยคนั้นก็ทำให้อรนุชแทบเต้น ร้องเสียงดังลั่น
“ใครว่าฉันกลัว…ดี…เรามาแข่งกัน..และขอบอกนะไอ้ข้อตกลงนั่นมันฝ่ายคุณคนเดียว แต่ทางฉันไม่ว่าฉันจะขอให้คุณทำอะไร ห้ามปฏิเสธเข้าใจไหม..”
คมศรยกมือทำท่าปฏิญาณ
“ด้วยเกียรติของลูกผู้ชายเป็นประกัน…”
อรนุชค้อนให้ เป็นอาการที่เด็กสาวไม่รู้ตัวเลยว่า ตัวเองนั้นไม่เคยทำกับผู้ชายคนไหนมาก่อนแม้แต่คนเดียว ก่อนที่เธอจะหันกลับมายังปืนของตนเองแล้วยกขึ้นส่องศูนย์ตามขั้นตอนการเตรียมยิง
คมศรเบิกตามองอาการของสาวน้อยตรงหน้าด้วยแววตาประหลาดที่พลุ่งขึ้นมาแว่บหนึ่ง ก่อนที่ทุกอย่างจะสลายหายไปกับประกายตายั่วเย้าพราวไปด้วยความสนุกตามเดิม และหันมามีสมาธิกับปืนตรงหน้า
ฝีมือแม่สาวน้อยนี้ไม่เบา ถ้าเขาจะเอาชนะก็ต้องมีสมาธิในการยิง
จากนั้นเอง เสียงเปรี้ยง เปรี้ยง ก็ดังสนั่นจากปลายกระบอกปืนด้ามงามทั้งสองเล่มก็ดังติดต่อกัน
เปรี้ยง….เปรี้ยง….เปรี้ยง…เปรี้ยง
เสียงกึกก้องกัมปนาทนั้นดังต่อเนื่องกัน กลิ่นควันปืนโชยคลุ้งไปทั่วบริเวณที่ทั้งสองยืนอยู่ตรงแนวยิง ถึงแม้จะมีระบบดูดอากาศที่ติดตั้งไว้อย่างดีแล้วก็ตาม
ในเวลาไม่นานกระสุนทรงอานุภาพทั้งห้านัดของแต่ละกระบอกก็ถูกยิงออกไปจนหมด
อรนุชยิงเสร็จก็วางปืนลง และรีบกดปุ่นชักรอกไฟฟ้า ดึงเป้ากระดาษวิ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว ดวงตากลมโตมีประกายตาคาดหวังจนร้อนรุ่ม ขณะที่คมศรหัวเราะหึหึ วางปืนของตนที่ใส่ save เอาไว้แล้ว เพราะความจริงยังมีกระสุนเหลืออยู่สองนัดในรังเพลิงหนึ่งนัด เพราะปืนของเขาบรรจุกระสุนได้มากกว่าปืนลูกโม่กระบอกงามของเด็กสาวคนสวยสองนัด
ชายหนุ่มกดรอกไฟฟ้าดึงเป้ากลับมาอย่างใจเย็น พอดึงเป้ากระดาษหันมา ก็เห็นร่างเล็กบางนั้นยืนมองอยู่ก่อนแล้ว โดยเอามือซ่อนเป้ากระดาษของตัวเธอไว้ดังหลัง ใบหน้างามใสราวกับเด็กนั้นเชิดขึ้นพูดแข็งๆ
“เอาคะแนนของคุณมาให้ฉันดูก่อน”
คมศรหัวเราะเบาๆ นึกในใจ สาวน้อย เธอทำอย่างกับว่าใครดูใครก่อนแล้วจะได้คะแนนเพิ่มอย่างนั้นแหล่ะ
แต่ชายหนุ่มก็ส่งเป้ากระดาษให้แต่โดยดี และเสียงหัวเราะเบาๆ นั้นก็กลายเป็นเสียงหัวเราะดังลั่น เมื่อเห็นใบหน้าใสนั้นม่อยลงไปถนัด เป็นคำตอบที่ดีที่สุดโดยที่เขาไม่ต้องไปดูเป้ากระดาษของอีกฝ่ายเลย
อรชาพับเป้ากระดาษของเธอเป็นชิ้นเล็กๆ สอดเอาไปไว้ในกระเป๋ากางเกงของตัวเอง ใบหน้างามที่ก้มลงมองพื้นดินนั้นแดงซ่านออกมาเพราะโลหิตไหลเวียนอย่างเร็วเพราะความรู้สึกหลายๆ อย่างที่ประดังเข้ามา นัยน์ตาสีเหล็กประกายกล้านั้นเบิกกว้างชะงักตื่นมองความงามตรงหน้าไปแว่บหนึ่งอย่างลืมตัว
แต่เพราะความจัดเจนในเรื่องการรักษาความรู้สึกภายในเป็นอย่างดี คมศรก็เก็บอาการเอาไว้ได้อย่างเร็ว ก่อนที่อรนุชจะเงยหน้าขึ้นมาโดยพยายามทำหน้าเฉย ๆ แต่อย่างไรก็ปิดความรู้สึกภายในไม่มิด เด็กสาวพูดเสียงห้วนๆ สะบัดๆ
“คุณชนะ…บอกมาสิ..ว่าฉันต้องทำอะไร”
คมศรหัวเราะหึหึ ไม่ตอบคำถามอะไร กลับง่วนจัดการถอดแม๊กกาซีนปืน และกระสุนที่ค้างอยู่ในลำกล้องออกมาจัดเก็บปืนและเครื่องกระสุนเข้ากล่องเรียบร้อย ซึ่งตลอดเวลาอรนุชที่แทบเต้นด้วยความขัดใจ ยืนนับหนึ่งถึงสิบจนเกือบร้อย ดวงตากลมโตนั้นเบิกกว้างจับจ้องมองทุกอิริยาบทของอีกฝ่ายอย่างหมั่นไส้
จนกระทั่งชายหนุ่มเก็บทุกอย่างเรียบร้อย อรนุชพยายามระงับอารมณ์หงุดหงิดอย่างสุดความสามารถ กล่าวเสียงราบเรียบ
“ตกลงคุณจะบอกหรือยังว่าฉันต้องทำอะไร”
คมศรยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวแววาว ยกกระเป๋าขึ้นสะพาย พูดง่ายๆ
“ผมยังคิดไม่ออก แล้วจะบอกคุณทีหลัง..”
“นี่..นี่..ไม่ยอมนะ..มีอะไรรีบบอกมาสิ…ฉันจะได้หมดพันธะบ้าๆ นี้ไปซะที”
อรนุชร้องอย่างไม่ยอม รีบเดินไปขวางร่างสูงใหญ่ของคมศรที่คิดจะเดินออกไป สีหน้าแววตาเอาเรื่องสุดๆ
“ตอนนี้ผมยังนึกไม่ออกจริงๆ แต่คุณจะกลัวไปทำไมล่ะครับ ผมยังยืนยันข้อตกลงของเรา ถ้าเรื่องที่ผมขอคุณไม่สะดวกใจ ทุกอย่างก็เป็นโมฆะ..”
คมศรพูดยิ้มๆ อรนุชอึกอักๆ ไม่รู้จะพูดอะไรดี ชายหนุ่มร่างสูงก็ผงกศีรษะให้เดินดุ่มๆ ออกไป ทิ้งให้เด็กสาวร่างเล็กบางยืนหงุดหงิด ค้อนควักตามหลังหนาบึกบึนนั้นไปอย่างดุดัน นึกในใจอย่างเข่นเขี้ยว
“ดี…จำไว้นะนายสิงห์…ไม่ว่านายจะให้ฉันทำอะไร..ฉันจะบอกว่าไม่ทำ..ดูสิ..จะมาทำอะไรกับฉันได้เมื่อถึงตอนนั้น”
จากนั้นเด็กสาวก็หันมาบรรจุกระสุนชุดใหม่เข้าปืนคู่ใจ คราวนี้โดยที่ไม่รู้ตัวเหมือนกัน เด็กสาวลองเปลี่ยนวิถีการเล็งศูนย์ของเธอไปตามคำบอกของชายหนุ่มที่เดินผละไป และส่งกระสุนอีกห้าชุดเข้าใส่เป้าติดต่อกัน
เปรี้ยง ….เปรี้ยง…เปรี้ยง….เปรี้ยง…เปรี้ยง
อรนุชดึงเป้ากระดาษกลับมาแล้วนิ่งอึ้ง เพราะรอยกระสุนนั้นตกสิบเกือบหมดชุด หลุดเก้าไปหนึ่ง และมีหนึ่ง X ด้วย เด็กสาวใบหน้าแดงวูบ หันค้อนไปทางทิศทางที่คมศรเดินหายไป
“อีตาสิงห์บ้า…”
……………………..
สายตาของศักดาที่นั่งอยู่ในรถคันงามของเขาเบิกโพลงอย่างตื่นเต้น หลังจากที่เขาทรมานในการอุดอู้และคร่ำเครียดกับการต้องมาซุ่มดูอยู่แบบไร้ความหวังหลายวันติดต่อกัน ความรู้สึกเร่าร้อนมันเกาะกินใจของชายหนุ่มสุดประมาณ เมื่อรถคุ้นตาคันหนึ่งแล่นเข้ามาภายในบริเวณลานจอดของอาคารพาณิชย์ระฟ้า ความรู้สึกตื่นเต้นยินดีจึงระเบิดพลุ่งพล่านราวกับทำนบกั้นน้ำแตกทลาย
ชายหนุ่มรีบติดเครื่องด้วยมืออันสั่นเทา ปากสั่น ขาสั่นไปหมด และขับออกจากบริเวณที่เขาจอดซุ่มอยู่แล้วขับตามรถคันข้างหน้าวิ่งไล่ไปตามเส้นทางวนขึ้นไปบริเวณลานจอดรถซึ่งมีอยู่นับสิบชั้น
จนกระทั่งรถคันข้างหน้าเปิดสัญญาณกระพริบและเลี้ยวเข้าไปในซองจอด จากนั้นร่างสูงระหงโปร่งงามของหญิงสาวผู้ขับขี่ก็เปิดประตูออกมา ร่างงามนั้นอยู่ในชุดสีเทาทั้งชุดเสื้อและกางเกงขายาว ขณะที่กำลังจะก้าวเดินตรงไปยังทางเข้าอาคาร จิ้งจอกสวาทก็เคลื่อนรถเข้าไปจอดขวางเอาไว้ทันที แล้วผลุนผลันเปิดประตูลงไปส่งเสียงเรียก
“คุณรส..คุณรส..คุณหายไปไหนมาครับ”
น้ำเสียงของจิ้งจอกสวาทร้อนรนพลุ่งพล่าน การปรากฏตัวของเขา ทำให้ใบหน้างามของคันธรสซีดเผือดอย่างตระหนกอย่างเห็นได้ชัด
ใบหน้าของหญิงสาวที่ศักดาไม่ได้พบมาช่วงหนึ่งนั้นยังคงสวยบาดตาบาดใจอยู่เหมือนเดิมไม่มีผิด ริมฝีปากที่บางงามได้รูปสวยซ่อนอยู่ภายใต้สีแดงสดใส บวกกับผิวหน้าที่ขาวผ่องที่ตบแต่งมาอย่างงดงาม ทำให้ศักดาจับจ้องมองไปด้วยสายตาที่หลงใหลกระหายอาวรณ์
แต่อาการตื่นตระหนกนั้นเกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น เพราะวินาทีถัดไปใบหน้างามนั้นก็เชิดขึ้น เสียงที่กล่าวกับศักดาไม่หลงเหลือความอ่อนหวานฉอเลาะที่เคยมีเลยแม้แต่น้อยนิด
“ฉัน..จะไปไหนมันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วย”
“ทำไม..ทำไมคุณพูดอย่างนี้ล่ะครับ…คุณรส”
จิ้งจอกสวาทพูดเสียงแหบแห้ง มือที่เขาเอื้อมไปจับที่แขนของหญิงสาว ถูกคันธรสสะบัดตัวหนีออกไปอย่างรังเกียจ
คันธรสแผดเสียงหัวเราะออกมาแหลมคม ดวงตางามของเธอสาดประกายแค้น
“ฮึ…จะให้ฉันบอกให้หมดไหม…จะได้รู้ว่าคุณมันชั่วขนาดไหนที่มาหลอกฉัน..เฮอะ..พ่อค้าธุรกิจส่งออก..นักเลงเพชร..หลอกฉันทั้งหมด…เสี่ยเซี้ยงเขาบอกฉันหมดแล้ว…”
จิ้งจอกสวาทน่าซีดเผือด ใจหายวาบราวกับตกจากเหวสูงชัน ปากพึมพำตะกุกตะกัก
“คุณรส..ผม..ผม..รักคุณนะ..”
“รักเหรอ…เก็บคำพูดน่าสะอิดสะเอียนนี่ไปให้พ้นฉันนะ แล้วก็ไสหัวไป อย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีก…ส่วนบ้านกับรถ ถือซะว่าฉันทำทานให้..”
คันธรสกรีดเสียงด้วยใบหน้าบึ้งตึง ศักดาที่เหมือนกับนักมวยที่ถูกหมัดเสยเข้าปลายคางอย่างจัง ตอนนั้นยืนโอนเอนไปมา ไม่รู้จะทำอะไรได้ ปากพึมพำเหมือนละเมอ
“คุณรส..ผมผิดไปแล้ว..ยกโทษให้ผม..ผมรักคุณจริงๆ”
“นี่ถ้าคุณยังไม่เลิกเซ้าซี้ ฉันจะให้ยามไปตามตำรวจมาลากคอคุณเข้าตะราง…”
หญิงสาวหยุดคำพูดที่เผ็ดร้อนไว้ เหลือบตามองไปยังยามที่เฝ้าหน้าประตูที่กำลังมองมาทางนี้ แล้วว่า
“อย่านึกว่าฉันไม่กล้าเรียกนะ..”
ศักดามองตามไปก็เห็นยามที่กำลังเดินมาทางนี้ มือหนึ่งนั้นลดไปจับที่กระบองข้างตัว อีกมือหนึ่งยกวิทยุมือถือและส่งเสียงลงไป สีหน้าของชายฉกรรจ์ชุดยามเคร่งเครียด ตาลุกโพลง
จิ้งจอกสวาทที่ถนัดแต่เรื่องการหลอกผู้หญิงตะบันเย็ด แต่กลัวเกิดเรื่องรุนแรง และการใช้กำลังที่สุด ใบหน้าหล่อเหลาซีดขาว ละล้าละลังมองไปที่คันธรสก็แลเห็นเธออ้าปากร้องเรียก
“ยาม…ยาม…”
ศักดาเห็นท่าไม่ดี จึงรีบผละออกไปจากหญิงสาวด้วยใบหน้าที่แตกตื่นใจ และเปี่ยมไปด้วยความผิดหวังอันพลุ่งพล่าน
เขากลับไปที่รถ และมองคันธรสที่ยืนคุยอยู่กับยาม และชี้มือมายังเขาและเธอดูเหมือนจะสั่งอะไรบางอย่าง ทำให้ยามนั้นเดินตรงเข้ามา
ศักดาไม่มีทางเลือก จิ้งจอกสวาทกัดฟันแน่น และขับรถออกไปจากบริเวณนั้นทันที
……………………