เล่ห์สวาทเพลิงราคะ 19
ขณะที่อรอุษากำลังนั่งซ้อมเปียนโนอยู่อย่างเหงาๆ ใบหน้าไม่ค่อยสบายใจ เสียงเรียกสายโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้น ก็ทำให้เด็กสาวรีบหยิบขึ้นมา และเมื่อเห็นเบอร์สายเรียกเข้า เธอก็ยิ้มหวานรีบรับสายอย่างดีใจ
“พี่นุช..เป็นไงบ้างคะ”
เสียงโอดครวญดังแว่วเข้ามาอย่างละห้อยละเหี่ย
“โอ๊ย…เนื๊อย..เหนื่อย…นี่ษารู้ไหม…ทางกองประกวดพาพวกเราไปทัวร์วัด…ไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า…ไปนั่งยิ้มรับฟังบรรยายเกี่ยวกับการรณรงค์เรื่องปราบปรามยาเสพติด…โอ๊ย…จิปาถะ…กว่าจะมาถึงโรงแรม…ขาแทบขาด…ยังไม่ทันจะได้พักเลย…กองประกวดก็พาเข้ากิจกรรมแนะนำตัว…รู้จักเพื่อนใหม่อีก…ตอนนี้เลยกำลังนอนพุงอืดอยู่นี่…เพราะตอนหัวค่ำหิวจัดกินข้าวไปสองจานแน่ะ…”
ถึงแม้กำลังอยู่ในช่วงที่ไม่ค่อยสบายใจแต่อรอุษาก็อดหัวเราะไปกับคำบ่นเป็นสายขบวนรถไฟยาวเหยียดของพี่สาวไม่ได้ ก่อนที่อรนุชจะถามมาว่า
“แล้วษาล่ะ…วันนี้เป็นไงบ้าง”
“หลังจากแยกกับพี่นุช…ษาก็ไปซัมเมอร์แคมป์ตามปกติค่ะ…ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ…พอเลิกตอนบ่ายแก่ๆ ก็กลับมาบ้านเลย…ตอนที่พี่นุชโทรมา..ษากำลังเล่นเปียนโนอยู่”
“ดีจ้ะ…หาอะไรทำเพลิน…จะได้ไม่เหงา…พรุ่งนี้ตามโปรแกรมเขาจะให้พวกเราไปร่วมกิจกรรมปลูกป่า…โอ๊ย…มีหวังขาลากกลับมาอีกแหง๋ๆ…”
จากนั้นอรนุชก็ชวนคุยแจ้วๆ ด้วยความตั้งใจจะช่วยให้น้องสาวคลายเหงาไปบ้างอีกพักใหญ่ ก่อนจะตบท้าย
“เอาไว้พรุ่งนี้พี่จะโทรมารายงานษาใหม่ก็แล้วกัน…ง่วง
แล้ว…ตาจะปิดให้ได้…ขอนอนก่อนนะ”
ความจริงอรอุษาอยากฟังเสียงพี่สาวไปนานๆ กว่านี้ แต่ก็พูดเสียงอ่อนเบา
“ค่ะ..หลับฝันดีนะคะ”
“จ้า…ษาก็เหมือนกันนะ”
…………………
ในพื้นที่ที่กินแดนติดต่อกันอย่างกว้างใหญ่นับจากบริเวณสวนไม้สัก ตลอดมาจนถึงที่จัดทำเป็นรีสอร์ทเล็กๆ สามารถรองรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาพักผ่อนชมสวนป่าธรรมชาติ เลยไปจนจรดแนวเทือกเขาอันเขียวชอุ่ม ปางไม้ “ห้วยสัก” แห่งนี้นับเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดผู้เข้ามาพักได้สม่ำเสมอตลอดปี
ในบริเวณส่วนหน้าของอาคารที่ทำหน้าที่เป็นสำนักงานรับรองนั้น ตอนนี้มีไฟเปิดสว่างไสว มีเสียงคนดังจอแจ เพราะกำลังตระเตรียมความพร้อมรับงานพิธีในวันพรุ่งนี้
ในเวลานั้นชายฉกรรจ์ร่างเกร็งหน้าตอบ เดินเลี่ยงๆ กลุ่มคนออกไปยืนในบริเวณมืดสลัว สายตากวาดไปมาจนแน่ใจว่าไม่มีคนแล้วจึงค่อยเอ่ยเบาๆ
“ครับ…พ่อเลี้ยง….”
เสียงปลายสายดังต่อเนื่องตามติดมา ชายฉกรรจ์รับฟังอย่างเงียบๆ จนกระทั่งกล่าวพึมพำ
“ถ้าอย่างนั้น…ผมก็คงจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว…”
“ไม่เป็นไร..ไอ้คำ…กูรู้กว่าที่มึงแฝงตัวเข้าไปได้ไม่ง่าย…แต่กูตัดสินใจแล้ว…เอาตัวนังนั่นมาให้ได้…เข้าใจไหม”
เสียงกระด้างที่ดังขึ้นมา ทำให้ชายที่ถูกเรียกว่าคำรีบรับคำอย่างนอบน้อม
“ครับ พ่อเลี้ยงผมเข้าใจ”
“แค่นั้นแหล่ะ…”
ปลายสายเงียบไป พร้อมๆ กับเสียงผ่อนลมหายใจยาวของชายฉกรรจ์ ก่อนที่จะมีเสียงทักดังมาจากเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังหอบหิ้วลังไม้มาหลายลัง
“อ้าว…พี่คำทำไมมาอยู่มืดๆ…”
ชายฉกรรจ์ทำทีเป็นหัวเราะ แล้วเดินกลับไป ช่วยเด็กหนุ่มคนนั้นแบ่งลังไม้มาถือ
“ไม่มีอะไร…แค่มาพักดูดบุหรี่ตัวหนึ่ง”
จากนั้นคำก็เดินแทรกปะปนเข้าไปในกลุ่มคนที่กำลังวุ่นวายกับการเตรียมงานโดยปราศจากท่าท่ที่ผิดปกติแม้แต่น้อย
……………….
เสี่ยทองกับเสี่ยคิ้มหัวเราะร่าขณะที่นั่งอยู่ร่วมโต๊ะกับหญิงสาวที่สวยบาดตาบาดใจถึงสองคน สายตายิบหยีของเสี่ยมากราคะทั้งสองนั้นต่างจับจ้องไปยังพริตตี้สาวเป็นพิเศษ เนื่องเพราะรู้ว่าสาวสวยอีกคนหนึ่งถูกตีตราจองเอาไว้แล้ว ริมฝีปากปากหนานั้นต้องแลบลิ้นเลียปากอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเห็นฐิติพรรณที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษาอันรัดรึงอวดส่วนสัดที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ้มแย้มหัวเราะคิกๆ ดวงตาพราวไปด้วยประกายตาแห่งความร้อนแรง
ปากงามจิ้มลิ้มของเด็กสาวที่เอิ่บซ่านไปด้วยพันซ์สีสดนั้นแย้มเยื้อน กรีดกรายยั่วเย้าบริหารเสน่ห์อันล้นเหลือของเธออย่างเจนจัด เสียงอ่อนหวานไพเราะที่เอ่ยถามเกี่ยวกับธุรกิจการค้าของสองเสี่ย พร้อมกับการฉลาดพูดในการเอาใจชมเชย ก็ทำให้สองเสี่ยใบหน้าอิ่มเอิบ อ้าปากหัวเราะไม่หยุด
เสี่ยอ้วนหัวเราะพุงกระเพื่อมเมื่อว่า
“ผมน่ะเสียดายจริงๆ ที่รู้จักน้องไอซ์ช้าเกินไป…ไม่อย่างนั้นจะต้องขอแรงน้องไอซ์ไปช่วยเป็นพรีเซ็นต์เตอร์การประชาสัมพันธ์โรงแรมของผมแน่นอน”
ความจริงอายุของเสี่ยอ้วนเป็นพ่อของพริตตี้สาวได้อย่างสบาย แต่กลับเรียกเด็กสาวว่าน้องอย่างไม่กระดากปาก ซึ่งเด็กสาวก็ไม่ได้แสดงทีท่าที่ขัดเขินกับคำเรียกนั้นแต่อย่างใด ยกมือไหว้เสี่ยทองอย่างอ่อนหวาน ฉีกยิ้มกรีดกราย
“โธ่…เสี่ยขา…ขอแค่ให้ไอซ์ได้มีโอกาสรับใช้เสี่ยในอนาคต…ไอซ์รู้สึกเป็นเกียรติอย่างที่สุดแล้วค่ะ…”
เสี่ยคิ้ม ใบหน้าที่ไว้เคราคางแพะ ยิ้มย่องว่า
“ตอนกลางปีนี้…จะมีงานแสดงเครื่องประดับอัญมณีครั้งใหญ่…ผมขอจองน้องไอซ์มาเป็นแบบเดินให้ชุดเครื่องมรกตที่ผมกำลังสั่งทำเพื่องานนี้โดยเฉพาะด้วยนะครับ…”
ฐิติพรรณยิ้มหวาน พนมมือไหว้เสี่ยคิ้ม และรินเหล้าและโซดาเติมให้อีกฝ่ายอย่างเอาใจ ใบหน้าของเสี่ยตัณหากลับนั้นเบิกบานจนแย้มยิ้มออกมากว้างขวาง ดวงตาร่านระริกมองดูอกอูมของฐิติพรรณแบบไม่กระพริบ
ซึ่งเด็กสาวผู้เปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์อันรัดรึงใจ ยิ้มหวานทำเป็นไม่สนใจกับดวงตากระหายราคะนั้น เธอซึ่งเมื่อก่อน…ก่อนที่จะสูญเสียทุกอย่างไปให้เดนนรกพวกนั้นยังไม่เคยกลัวสายตาอันแสดงความกระหายอยากของผู้ชายที่คิดจะครอบครองร่ายกายของเธอ…นับประสาอะไรกับตอนนี้…ดังนั้นดวงตาคู่งามของฐิติพรรณจึงยั่วเย้าเป็นประกายพราวสนุก เย้าอารมณ์ของสองเสี่ยจนตัวสั่นสะท้านไปด้วยความรู้สึกเสน่หาในตัวของเด็กสาว
ขณะที่พริตตี้สาวกำลังสนุกสนานอยู่กับวงสนทนาระหว่างเธอกับสองเสี่ย ในเวลานั้นหญิงสาวที่สูงวัยกว่ากลับนั่งดื่มเงียบๆ นานๆ ทีจะยิ้มรับหัวข้อที่แวะเข้ามายังเธอเป็นครั้งเป็นคราว ซึ่งตะกอนที่ตกค้างนิ่งอยู่ในก้นบึ้งแห่งความรู้สึกกำลังถูกคุ้ยออกมาจนฟุ้งซ่านเพราะการประจันหน้ากับอดีตคนรักอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ซึ่งตลอดเวลานั้นอาการของคันธรสอยู่ในการสังเกตสนใจของเสี่ยทองโดยตลอด ซึ่งสมองของเสี่ยร่างอ้วนกำลังครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้นานาประการ นัยน์ตายิบหยีนั้นวูบวาบต่อเนื่อง
ในเวลานั้นเองที่ร่างกำยำใหญ่โตของเสี่ยเซี้ยงเดินเข้ามาภายในห้อง VIP อย่างยิ้มแย้ม เสี่ยหนุ่มชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อแลเห็นสมาชิกแปลกหน้าที่กำลังนั่งหัวเราะเสียงใสอยู่ร่วมโต๊ะ
คันธรสเบิกตากว้างนิดหนึ่ง หญิงสาวไม่คิดว่าเสี่ยเซี้ยงจะมา จึงผุดลุกขึ้นรับด้วยรอยยิ้ม
“เสี่ย..มาด้วยหรือคะ”
ร่างที่เดินเข้าแนบสนิท ใบหน้าของคันธรสที่เปลี่ยนไปราวกับคนละคนกับเมื่อครู่ ทำให้ฐิติพรรณจับตามองอย่างพิศวง ไม่อยากเชื่อว่าชายตรงหน้าจะเป็นคู่ควงคนปัจจุบันของหญิงสาวที่สวยและเฉิดฉันอย่างพี่รส
ดวงตาของเสี่ยเซี้ยงหันมามองพริตตี้สาวด้วยคำถาม คันธรสก็แย้มยิ้มแนะนำว่า
“นี่ไอซ์ค่ะ…เพื่อนรุ่นน้อง…เขาสนิทกับรสมาก…”
ฐิติพรรณเก็บกักอาการที่ประหลาดใจนั้นไว้ภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มอย่างน่ารักโดยไร้ร่องรอย พนมมือไหว้เสี่ยโฉดอย่างอ่อนหวาน แนะนำตัว
“ยินดีที่ได้รู้จักเสี่ยค่ะ…”
เสี่ยเซี้ยงหัวเราะรับไหว้ และจากนั้นก็เข้าร่วมวงสนทนากันอย่างครึกครื้น คราวนี้ด้วยจริตสาวพราวเสน่ห์คันธรสไม่ได้มีวี่แววหรืออาการผิดปกติเหมือนเมื่อครู่นี้แต่อย่างใด ร่วมกันกับพริตตี้สาวยิ้มหวานหัวเราะเสียงใสไปกับวงสนทนาอย่างกลมกลืน
เสี่ยเซี้ยงที่มองตาเสี่ยอ้วนเจ้าของสถานที่อย่างมีนัย ซึ่งเสี่ยทองก็ฉีกยิ้มกล่าวว่า
“เสี่ยเซี้ยงเขาหวงคุณรสแค่ไหน…แค่ผมหลุดปากไปนิดเดียวเท่านั้นว่าคุณรสเผอิญเจอคุณปานเทพเพื่อนเก่า…เสี่ยเขาก็รีบมาหาทันที…”
ใบหน้างามของคันธรสมีร่องรอยผิดปกติปไปแว่บหนึ่ง ก็จะยักไหล่กล่าวเสียงอ่อนหวานกับเสี่ยเซี้ยง
“ก็แค่คนรู้จักน่ะค่ะ…รสไม่ได้สนิทอะไรกับเขานัก”
แต่ดวงตาคู่งามที่กำลังเก็บอาการมันฟ้องอารมณ์ภายในให้กับเสี่ยโฉดอย่างชัดเจน สายตาของเสี่ยเซี้ยงจึงมีประกายวูบขึ้นมา หันไปมองใบหน้าของฐิติพรรณที่กำลังระเรื่อไปด้วยฤทธิ์ของพันซ์สีสด ก็นึกในใจ
นังเด็กคนสวยคงจะรู้อะไรดีๆ…สงสัยต้องตะล่อมถามจากนังไอซ์นี่
เมื่อคิดตกลงใจได้ดั่งนั้น เสี่ยเซี้ยงก็แค่อาศัยรอเวลา ในที่สุดเมื่อคันธรสขอตัวไปห้องน้ำ ความจริงฐิติพรรณจะเดินตามไปด้วย แต่เสี่ยโฉดทำเป็นพูดเสียงเคล้าหัวเราะ
“แหม..ใจคอจะให้พวกผมนั่งเหงากันอยู่หรือครับ …รอให้คุณรสกลับมาก่อนแล้วน้องไอซ์ค่อยไปดีกว่า”
พริตตี้สาวหัวเราะคิกๆ ส่งนัยน์ตาหวานฉ่ำให้กับเสี่ยเซี้ยง ยิ้มพลางว่า
“ก็ได้ค่ะ…”
เสี่ยเซี้ยงพยักหน้าให้กับเสี่ยทอง ที่รับลูกอย่างเข้าใจกัน กล่าวถามเหมือนไม่ค่อยได้สนใจอะไรนักว่า
“คุณรสกับคุณปานเทพเขารู้จักกันมานานแล้วหรือครับ…น้องไอซ์”
ฐิติพรรณคิดนิดหนึ่ง มองตาเสี่ยเซี้ยงแบบลังเล ถ้าอีกฝ่ายเป็นคู่ควงคนปัจจุบันของพี่รส เธอควรจะพูดหรือ…
เสี่ยโฉดหัวเราะ เพราะอ่านสายตาของเด็กสาวออก โบกมือกล่าว
“ไม่ต้องห่วงครับ…ผมกลับรู้สึกดีเสียอีก…ถ้าจะได้ฟังทุกอย่างให้เคลียๆ ไป…จะได้ไม่ต้องติดค้างใจไงล่ะครับ”
ได้ยินดังนั้นฐิติพรรณจึงเล่าเรื่องความสันพันธ์ในอดีตระหว่างคันธรสกับปานเทพให้สามเสี่ยที่นั่งอยู่ในโต๊ะฟัง และก็เลยเล่ารวมไปถึงเรื่องของศักดาด้วย โดยมีวัตถุประสงค์เร้นลับในใจ
“พี่รส…เขาโชคดีค่ะ…ที่รู้ตัวไอ้แมงดาโฉดนั่น…ก็เลยถอนตัวมาทัน…แต่ไอซ์คิดๆ ดูแล้วมันน่าแค้นไหมคะ…คนแบบนี้มันสมควรต้องได้รับโทษอย่างสาสม…”
คำพูดของพริตตี้สาวนั้นเป็นการเบิกช่องทางให้เธอสามารถหาแนวร่วมจัดการศักดาจิ้งจอกสวาทที่กลายเป็นเป้าหมายที่เธอต้องการทำลายอย่างที่สุด
ในเวลานั้นทั้งสามเสี่ยต่างมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป เสี่ยทองกับเสี่ยเซี้ยงดวงตาครุ่นคิดวูบวาบ
ส่วนเสี่ยคิ้มนั้นมีใบหน้าตื่น ตาเบิกโพลง สอบถามฐิติพรรณด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก
“น้องไอซ์พูดว่าไอ้นั่นมันชื่อศักดาหรือ…หน้าตามันเป็นยังไงครับ”
ฐิติพรรณหันไปมองใบหน้าเหลี่ยมที่ไว้เคราแพะนั้นแล้วยักไหล่ว่า
“ก็อายุสักสามสิบปี หน้าตาดี ผิวขาวค่ะ…เพราะอย่างนั้น…ไอ้แมงดานั่นจึงอาศัยหน้าตาของมันหลอกลวงผู้หญิงไงคะ…เสี่ย”
เสี่ยคิ้มขบกรามกล่าวเสียงหนัก
“คงเป็นไอ้ศักดานั่นแน่…มันทำผมแสบเหลือเกิน”
มันช่างเป็นความบังเอิญเสียเหลือเกิน เพราะเหยื่อรายล่าสุดของศักดาก่อนที่จิ้งจอกสวาทจะหลบหนีมากรุงเทพนั้นก็คือบ้านเล็กของเสี่ยคิ้มนั่นเอง ในเวลานั้นเสี่ยคิ้มที่ควานหาตัวของศักดาไม่เจอที่ขอนแก่นจึงรู้สึกพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราด
ในเวลานั้นแววตาของพริตตี้สาวลุกวาบ ความจริงเธอแค่หวังเล่นๆ ว่าจะโยนเรื่องศักดาเข้าไป เผื่อหาช่องทางในการจัดการอีกฝ่ายให้สมแค้น แต่ตอนนี้ใจของเด็กสาวเต้นแรง เพราะถ้าเสี่ยคิ้มมีความบาดหมางกับไอ้ชาติชั่วนั่นเป็นทุนเดิม….งานของเธอก็มีหวังได้สมปรารถนา
แต่ตอนนี้เด็กสาวก็ฉลาดพอที่จะไม่เซ้าซี้อะไรไปมากกว่านี้…เพราะมันดูเหมือนจงใจเกินไป…ตอนนี้แค่พอมีช่องทางก็ดีแล้วค่อยๆ…หาทางคืบไปอีกจะดีกว่า
คิดอย่างนั้นใบหน้างามตาของฐิติพรรณก็ยิ้มหวาน ผสมเหล้าและโซดาให้กับเสี่ยคิ้มอีกแก้ว
“เสี่ยดื่มเหล้าให้ใจเย็นๆ สบายๆ นะคะ…เรื่องไม่สบายใจก็ไม่ต้องพูดถึงดีกว่า”
เมื่อคันธรสเดินกลับมา บรรยากาศในโต๊ะจึงเป็นแบบสบายๆ คุยกันสัพเพเหะระ แต่ถ้าต่างคนต่างอ่านความคิดกันออก ก็คงจะตกใจไม่น้อย เพราะเบื้องหน้าต่อทุกคนล้วนแล้วแต่ใส่หน้ากากที่หัวเราะยิ้ม แต่เบื้องลึกภายในใจคนทั้งห้าในโต๊ะต่างขบคิดใคร่ครวญเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้กันโดยตลอดทั้งสิ้นทุกตัวคน