เล่ห์สวาทเพลิงราคะ 9
เสียงหวานใสนั้นเอ่ยขอโทษ พร้อมๆ กับหน้าที่ก้มเดินงุดๆ เงยขึ้นไป แล้วก็ต้องชะงักค้างราวกับต้องมนต์สะกดจากใบหน้าคร้ามคมที่มีเครารกหน้าและดวงตามีประกายแปลกคู่นั้นที่จ้องมองลงมายังเธอ จนใบหน้าของเด็กสาวร้อนวูบ แก้มใสเป็นพวงอิ่มนั้นปรากฏสีระเรื่อขึ้นงามจับตาคนที่ก้มลงมอง อาการแข็งตะลึงลานนั้นราวกับจะเนิ่นนานไปจนไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าหากว่าไม่มีเสียงปนหัวเราะดังขึ้นมาจากริมฝีปากที่ถูกปกคลุมด้วยหนวดเครา
“นี่หนู….ผู้ปกครองเขาทราบไหมว่า…ไม่ควรให้เด็กเล็กๆ มาในร้านแบบนี้น่ะ…”
ความรู้สึกซ่านๆ ประหลาดที่จับใจอยู่เมื่อครู่สลายวับไปกับคำพูดที่ได้ยิน หลงเหลืออยู่เพียงความรู้สึกขัดเขิน เสียหน้า เสียความรู้สึกมั่นใจในตัวเองที่มีเสมอมา และที่สำคัญความรู้สึกที่ถูกคำพูดยั่วเย้านั้นรื้อฟื้นปมด้อยที่เด็กสาวร่างเล็กนี้เก็บมาเป็นเรื่องใหญ่สำหรับตัวเองเสมอก็คือร่างกายที่เล็กบางราวกับยังเป็นเด็กเล็กๆ อยู่ของเธอนั่นเอง เพราะแม้กระทั่งน้องสาวคนสุดท้องที่อายุน้อยกว่าเธอสามปีก็ยังมีความสูงมากกว่าเธอด้วยซ้ำ
ดวงตากลมโตนั้นลุกวาบราวกับแมวน้อยถูกเหยียบหาง ปากเล็กบางขู่ฟ่อ
“นี่..นี่..คุณว่า..ใคร..เป็นเด็ก…”
เสียงแหลมๆ นั้นแสดงให้เห็นว่าอยู่ในวัยสาวสะพรั่ง ต่างจากทีแรกที่
เขาคาด หน้าใสๆ ตากลม ผูกผมม้า ตัวเล็กนิดเดียว นึกว่าจะเป็นเด็กอายุสิบห้าสิบหกปี …..เยาว์เกินกว่าจะอยู่ในกลุ่มเป้าหมายของเขา…แต่ตอนนี้…พอมองเต็มๆ แล้วชายหนุ่มรู้สึกสนุก จนอยากจะบิดปลายจมูกรั้นๆ งอนๆ แหลมๆ นั้นนักเชียว
ร่างสูงใหญ่นั้นกระเพื่อมด้วยความรู้สึกขันในท่าทีของสาวน้อยร่างบางตรงหน้า ก่อนผงกศีรษะให้ยิ้มๆ เป็นเชิงขอโทษ แต่ก็ไม่กล่าวตอบคำถามที่แสดงอาการรวนหาเรื่องเต็มที่นั้นแต่อย่างใด แล้วหลีกทางให้เธอก้าวเข้าไปในร้าน ส่วนตัวเขานั้นเดินสวนออกไปโดยไม่ได้เหลียวหน้ากลับมา ทิ้งไว้แต่เพียงเสียงหัวเราะที่เด็กสาวได้ยินแล้วรู้สึกมันเขี้ยว อยากจะตามไปข่วนให้ลายพร้อยทั้งตัว…ฮึ….อีตาบ้า…หน้าอย่างกับโจรห้าร้อย
ใบหน้างามนั้นยังหันกลับไปมองแผ่นหลังอันหนาบึกบึน ดวงตากลมนั้นเขม้นมองอย่างดุดัน ก่อนที่ในที่สุดจะหันตัวกลับเดินป่องๆ เข้าไปในร้าน
เจ้าของร้านผู้ที่มีใบหน้าขาวบ่งบอกความเป็นคนอารมณ์ดี สวมแว่นตา เงยหน้าขึ้นก็ยิ้มทักทายผู้ที่เข้ามาใหม่
“อ้าว..นุช..แหมทำไมทำหน้าหงิกมาอย่างนั้นล่ะ….”
ใบหน้างอๆ นั้นบ่งบอกอารมณ์ได้ดีจนเจ้าของร้านทักทายด้วยอาการที่แสดงว่ามีความสนิทสนมกันไม่น้อย
อรนุชค้อนคนร่างใหญ่ที่เดินหายไปนานแล้วจนตาคว่ำ ก่อนจะเปรยๆ กระฟัดกระเฟียด แบบหงุดหงิดหัวเสียแต่หาที่ลงไม่ได้ เลยมาลงกับเจ้าของร้านผู้สูงวัยกว่า
“นุชไม่ยักรู้ว่า ร้านพี่ทินนี่ขายของให้กับโจรห้าร้อยด้วย ระวังนะคะเดี๋ยวจะหาว่านุชไม่เตือน ถ้าเผื่อโจรมันเอาไปก่อคดี…พี่ทินก็ติดร่างแหไปด้วย…”
ทินกรเจ้าของร้านขายอาวุธและเครื่องกระสุนปืน ทำหน้าเหรอหรา รีบโบกมือ
“เดี๋ยว…เดี๋ยว…นี่นุชไปเอาข่าวมาจากไหนว่าพี่ขายของให้โจร…”
เด็กสาวแสนสวยกล่าวด้วยใบหน้าที่ยังบึ้งไม่คลาย จมูกเชิดรั้น กล่าวว่า
“ก็นาย..นาย..โจร…ที่เพิ่งสวนกับนุชไปไงคะ”
เจ้าของร้านงงๆ ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนจะพูดพลางหัวเราะพลางถามว่า
“นายสิงห์น่ะหรือ….ฮะ..ฮะ…ทำไมนุชไปว่ามันเป็นโจรล่ะ…”
อ๋อ ชื่อสิงห์หรือ ฮึ สมแล้ว หน้าโจร ก็ต้องชื่อเหมือนโจร โจรใจสิงห์…เชอะ…
เด็กสาวครุ่นคิดอย่างโกรธา กล่าวสะบัด
“ไม่รู้ค่ะ ก็เห็นหน้าเหมือนโจรห้าร้อยอย่างนั้น…”
ทินกรหัวเราะก๊าก จนหน้าแดง น้ำตาไหล
“ไอ้คนที่นุชว่าหน้าเหมือนโจรน่ะ มันเป็นหนุ่มเนื้อหอม มีสาวๆ รุมชอบกันตรึมเชียวนะ”
อรนุชเบะปาก …หน้าตาอย่างกับหมีป่าอย่างนั้นเหรอะ มีผู้หญิงมาชอบ…แหว่ะ…อยากจะอ้วก
เจ้าของร้านเดินไปหยิบกล่องกระสุนที่รู้ขนาดดีว่าลูกค้าสาวน้อยนี้ต้องการเบอร์อะไร ปากถามเรื่อยๆ
“คราวนี้จะเอากี่กล่องล่ะ…สองเหมือนเคย?”
เด็กสาวยิ้มใส ลืมเรื่องขุ่นหมองไปชั่วขณะ ซึ่งพอขจัดความเง้างอนออกไปจากวงหน้า ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นกระจ่างสวยจับตานัก
“สี่กล่องค่ะ…ซัมเมอร์แล้วมีเรียนไม่กี่ตัว เวลาว่างขึ้นเยอะ…นุชเตรียมตัวกะจะยิงให้ฉ่ำมือเลยเชียว…พี่อรก็ไม่อยู่ด้วย….ไม่มีก้างขวางคอ…คิกคิก”
เสียงแจ้วๆ ดังกระตือรือร้น เจ้าของร้านหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดี หยิบกล่องกระสุนปืนหัวตัด .38 มม. ออกมาสี่กล่องจากชั้นเก็บ และพูดเรื่อยๆ เหมือนไม่ได้ตั้งใจ
“พูดถึงนายสิงห์ หมอนั่นมือแม่นอย่างกับจับวาง…”
ชื่อสิงห์ที่ได้ยินกระตุ้นต่อมจี๊ดของเด็กสาวให้พลุ่งขึ้นมาอีกครั้ง จนตาสวยนั้นขวาง
แหว่ะ แม่นหรือไม่แม่น นุชไม่เห็นอยากจะสนใจ
ในใจบอกกับตัวเองอย่างนั้น แต่ปากงามกลับเอ่ยถามราวกับว่าไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ
“นายโจร..เอ๊ย..นายสิงห์..เขามีอาชีพอะไรคะ..ใช่เป็นมือปืนรับจ้างหรือเปล่า..หน้าให้ออก..คิกคิก”
ประโยคหลัง เด็กสาวพูดพลางหัวเราะอย่างสมใจที่ได้แขวะคนที่ไม่มีโอกาสได้ยิน ทินกรตาลุกโพลงอยู่ภายใต้กรอบแว่นสายตาสั้นของตนเอง
“บ๊ะ ยายนุชนี่ปากร้ายเหลือ…นายสิงห์..ชื่อจริงเขาชื่อคมศร…คนนี้นี่เขาเป็นพ่อค้าป่าไม้คนดังของภาคเหนือเชียวนะ…ทำเป็นพูดเล่นไปได้”
เด็กสาวสวยที่จ่ายเงินค่ากล่องกระสุนเสร็จ ก็สปริงตัวขึ้นจากเก้าอี้อย่างคล่องแคล่ว ทำหน้าแบบไม่สนใจอะไร กล่าวลอยๆ
“เชอะ…พ่อค้าป่า…ก็พวกลักลอบตัดไม้ล่ะสิ…มิน่า…”
ว่าแล้วก็พนมมือยิ้มไหว้อย่างน่ารักให้กับเจ้าของร้านอาวุธ ก่อนจะโบกมือลา
“ไม่เอาล่ะ ขี้เกียจพูดถึง..นาย..สิงห์นั่นแล้ว…นุชไปล่ะค่ะ…ป่านนี้ยายษารอเงกในรถแล้ว”
“อ้าว ทำไมไม่พาเข้ามาด้วยล่ะ พี่จะได้ถามไถ่หน่อย ได้ข่าวมาว่าเพิ่งออกจากโรงพยาบาลไม่ใช่หรือ..ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”
ทินกรกล่าวถาม อรนุชยิ้มกว้างสดใส
“ไม่เป็นไรแล้วค่ะ แล้วนุชจะบอกยายษาให้ว่าพี่ทินฝากความเป็นห่วง”
จากนั้นก็โบกมือลาเดินออกไปจากร้าน ซึ่งยังไม่ทันจะสิ้นเสียงพวงกระดิ่งที่ดังกรุ๋งกริ๋งตรงประตูยามเปิดปิดดี เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ทินกรยกหูรับพอได้ยินเสียงอีกด้านก็กล่าวว่า
“อ้าว…สิงห์..มีอะไร…จะสั่งอะไรเพิ่มหรือ…”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากจะถามอะไรหน่อย….แม่สาวน้อยที่เพิ่งออกจากร้านของแกคือใครวะ”
ใบหน้ายิ้มๆ อารมณ์ดีของเจ้าของร้านนิ่วหน้าลงไปพลัน ถามเสียงเรียบๆ
“ทำไม..แกจะถามไปทำไม…”
เสียงทางปลายสายหัวเราะร่วน
“ก็ไม่ทำไม แค่อยากรู้..ไม่ได้เรอะ..ไอ้ทิน”
ใบหน้าขาวของทินกรมีร่องรอยจริงจัง
“ไอ้สิงห์…เอ็งอย่าไปยุ่งกับยายนุชเลย…แกเป็นเด็กน่ารัก….เป็นเด็กอยู่เลย….”
“อ้อ..ชื่อนุช ชื่อเต็มว่าไรวะ….หึหึ เท่าที่ฉันเห็นน่ะไม่เด็กแล้วโว้ย….ดูดีๆ นมเป็นนม สะโพกเป็นสะโพกแล้ว..คนที่ฉันรู้จักวัยนี้มีลูกเป็นพรวนแล้วก็เยอะแยะหลายอยู่นา…”
เสียงของคมศรดังร่วนมาอย่างสนุก ทินกรกล่าวเสียงเครียด
“ไอ้สิงห์ ..ขอร้องล่ะ ยกมือไหว้เลย…คนนี้ข้าขอได้ไหม…อย่างเอ็งน่ะไม่อดอยากปากแห้งหรอก…เดี๋ยวก็มีคนอื่นให้เลือกถมไป”
น้ำเสียงเจ้าของร้านเริ่มแสดงอารมณ์เดือด แต่ไม่มีผลอะไรกับอีกฝ่ายที่ยังคงสนุกครึกครื้น สายตาของเขาที่นั่งอยู่ในรถที่จอดห่างอยู่ออกไปนั้น จับจ้องไปยังร่างเล็กบางนั้นอย่างไม่วางตา จนแลเห็นอีกฝ่ายหายเข้าไปในรถฮอนด้าสีขาวคันหนึ่ง และขับออกไป
คมศรหัวเราะหึหึ ตอนนั้นกล่าวตัดบท
“เออ..แกไม่ช่วยฉันก็แล้วไป แค่นี้ล่ะนะ…ของที่สั่งจะให้คนลงมาเอา…”
“เดี๋ยว…เดี๋ยว…ไอ้สิงห์…พูดกันให้รู้เรื่องก่อน…อย่าเพิ่งวางสาย…ไอ้สิงห์…”
เสียงเพื่อนรักเอะอะโวยวายมา แต่คมศรไม่สนใจปิดสัญญาณโทรศัพท์มือถือไปพลัน
ดวงตามีประกายเหล็กนั้นคมกล้า….. ชายหนุ่มยักไหล่ ก่อนจะขับรถแยกไปอีกเส้นทางหนึ่ง
ทะเบียนรถฮอนด้าที่เขาจดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว………ชื่อที่เรียกสั้นว่าๆ นุช
แค่ข้อมูลนี้ก็เกินพอสำหรับเขาแล้วในการสืบประวัติของสาวน้อยร่างเล็กแต่ตาโตคนนั้น
……………………………
ภายในรถฮอนด้าสีขาวทรงเฉียบที่วิ่งฉิวหลีกการจราจรที่ค่อนข้างหนาแน่นอย่างแคล่วคล่อง คนขับรถสาวน้อยกำลังรับโทรศัพท์จากสายที่เธอพอเห็นเบอร์เรียกก็ต้องทำหันมาทำหน้าเบ้กับเด็กสาวที่นั่งข้างๆ ผู้ซึ่งมีรูปใบหน้ากลมหวาน ดวงตาโตมีประกายนั้นมองออกได้ชัดเจนว่าดูคล้ายๆ กับตัวเธอ ริมฝีปากสีชมพูอ่อนอิ่มเอิบ เป็นสาวน้อยหน้าหวานสดใสที่ดูน่ารักน่าทะนุถนอมราวกับตุ๊กตา
ซึ่งในเวลานั้นเด็กสาวผู้อ่อนวัยกว่ายกมือปิดปากยิ้ม ริมฝีปากที่ได้รูปสวยราวกับกลีบกุหลาบเต่งตึงเผยออกมาแลเห็นไข่มุกเม็ดเล็กๆ ขาวเป็นระเบียบงดงาม
ส่วนเด็กสาวผู้ทำเป็นคนขับรถแม้จะทำหน้าเมื่อย แต่อรนุชก็ต้องกรอกเสียงลงไปอ่อนๆ ว่า
“คะ..พี่ธนา…”
หญิงสาวฟังคำพูดจากปลายสายแล้ว หน้าเมื่อยนั้นยิ่งเมื่อยหนักเข้าไปอีก ก่อนจะลอบผ่อนหายใจช้าๆ ระวังไม่ให้คนทางปลายสายได้ยิน ก่อนจะว่า
“คงไม่ได้ค่ะ นุชมีนัดแล้ว และวันนี้มากับยายษาด้วย ต้องรีบพากลับบ้าน หมอเขาสั่งนักสั่งหนาว่าไม่ให้พาออกมาตากลมนานๆ”
จากนั้นปากบางงามนั้นรีบจีบพูดฉอดๆ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายแซงพูดขึ้นได้ทัน
“นะคะๆ พี่ธนา…เอาไว้คราวหลังก็แล้วกัน วันนี้นุชไม่ว่างจริงๆ มีการบ้านต้องทำด้วยเยอะแยะเลย…แค่นี้นะคะ…ดูสิ…คุณตำรวจมองตาขวางแล้ว…นุชลืมเอา bluetooth มาด้วยค่ะ…แค่นี้ก่อนนะคะ…สวัสดีค่ะ..”
พูดจบก็ตัดสายปั๊บ ก่อนจะร้อง เฮ้ออ ออกมาดังๆ พึมพำ มุสาอีกแล้วเรา….
อรอุษามองพี่สาวคนรองอย่างนึกขัน แล้วหัวเราะคิก กล่าวยิ้มๆ
“แหม ถ้าพี่นุชไม่อยากให้พี่ธนาตื้อ ทำไมไม่บอกเขาไปตรงๆ ล่ะคะ”
อรนุชเร่งเครื่องรถคันงามปาดซ้ายแซงขวาอย่างสนุกเท้า กล่าวเซ็งๆ
“ถ้าไม่ติดเกรงใจพี่เทพ ป่านนี่พี่ก็พูดไปแล้ว…เฮ้อ…ทำไงได้ล่ะ…”
เด็กสาวร่างบางนึกถึงพี่เขยผู้ใจดี ผู้ซึ่งรักห่วงใยพวกเธอสามพี่น้องอย่างอาทร และก็ต้องยักไหล่งามของตัวเองเมื่อคิดไปถึงชายหนุ่มอีกคน..ธนา…ผู้ซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆ ของปานเทพพี่เขยของเธอ พลางว่า
“เอาเถอะ..ไว้สักวัน..พี่จะลองพูดกับพี่ธนาเขาตรงๆ…”
“ว่าแต่น๊า…ษา..สงสัยจริง..พี่ธนาเขามีอะไรไม่ดีพี่นุชถึงไม่เปิดใจให้เขาบ้างเลย…ษารู้สึกสงสารพี่ธนามากค่ะ…หน้าแห้งไปก็หลายครั้งเวลาที่พี่นุชปฏิเสธ…”
อรนุชไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมใจของเธอจึงไม่ได้เปิดใจให้กับชายหนุ่มผู้เป็นน้องชายของพี่เขย ซึ่งเป็นบุคคลที่เพื่อนฝูงต่างพากันมาแสดงความยินดีกับเธอว่าโชคดีแค่ไหนที่มีชายหนุ่มทั้งหล่อทั้งรวยนิสัยดีมาเสนอตัวเป็นแฟน ทั้งๆ ที่ตลอดชีวิตแห่งวัยสาวที่เริ่มตั้งแต่เป็นสาวรุ่นจนกระทั่งโตสะพรั่งเต็มวัยนี้เธอก็ไม่เคยมีใครเป็นพิเศษ แค่คบกันฉันท์เพื่อนทั้งนั้น
ไม่มีใครเลยจริงๆ ที่ทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงเมื่อคบหากัน…ไม่มี..แม้แต่พี่ธนา
ในเวลานั้นใบหน้าคร้ามคมแว่บเข้ามาในห้วงความคิด รอยยิ้มที่ดูเหมือนยั่วเย้าเธออยู่ตลอดเวลา…ประกายตาสีแปลกๆ….แว่บแรกที่เห็น…ทำให้…ทำให้ใจของเธอเต้นแรงอย่างนั้น…
อรนุชใบหน้าร้อนวาบ รู้สึกโกรธตัวเองขึ้นมาครามครัน ก่อนที่จะรีบสลัดความคิดนั้นออกไปจากใจ และเร่งเครื่องรถคันงามมุ่งหน้าไปยังสนามซ้อมยิงปืนที่เป็นงานอดิเรกสุดโปรดปรานของเธอ
………………………
ธนาวางเครื่องโทรศัพท์ลงบนโต๊ะอย่างเซ็งๆ ใบหน้าที่ขาวสะอาดหล่อเหลาของเขามีร่องรอยของความหงุดหงิดผิดหวัง ตั๋วดูละครสองใบตรงหน้าถูกเขวี้ยงทิ้งลงถังขยะที่ข้างโต๊ะทำงานอย่างไม่สนใจไยดีอีกต่อไป ทั้งๆ ที่ราคาหน้าตั๋วนั้นเป็นเงินหลักหลายพันบาท
บุตรชายคนรองของนักธุรกิจใหญ่ทางด้านการเงินที่นั่งอยู่ในห้องทำงานบนตึกระฟ้าอันเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ทางการเงินที่มีชื่อเสียงระดับต้นๆ ของประเทศไทยที่มีเงินหมุนเวียนในการดำเนินงานในแต่ละปีนับหมื่นล้านบาท
ชายหนุ่มที่ตระหนักดีถึงคุณสมบัติอันครบถ้วนของตัวเองไม่ว่าจะพิจารณาจากมุมไหน เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทำไมเด็กสาวร่างเล็กบางคนนั้นจึงใจแข็งกับเขาอยู่ได้ ทั้งๆ ที่ตัวเขาขอให้แค่พยักหน้าครั้งเดียวก็พร้อมที่จะมีผู้หญิงสาวมากมายมาเสนอตัวมาให้เลือก
ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดใจ จนใบหน้าหล่อนั้นบึ้งตึง จนกระทั่งพี่ชายที่เดินเข้ามาเพื่อจะชวนไปรับประทานอาหารกลางวัน ส่งเสียงทักเคล้าหัวเราะ
“เป็นไง…นายธนา..หน้าหงิกอย่างนี้ …ก็คงไม่แคล้วเพราะ…ยายนุชอีกแล้วล่ะสิ…”
ธนามองพี่ชายอย่างสุดอิจฉาที่สามารถคว้าเอากุหลาบงามคนโตที่เบ่งบานผลิกลีบใบเต็มที่นั้นมาครองได้ ส่วนตัวเขานั้นสุดแสนจะอึดอัดกับทีท่าของดอกไม้งามคนรองที่ตัวเองเฝ้าพยายามเข้าหามาโดยตลอด แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าเขาจะสามารถพิชิตใจของเด็กสาวให้มาเป็นของเขาได้เลย ทำให้ตอนนั้นชายหนุ่มต้องผ่อนลมหายใจยาวๆ ออกมา ผงกศีรษะยอมรับว่า
“ครับ…ผมรึอุตส่าห์วิ่งเต้นแทบตายกว่าจะหาตั๋ว VIP สองใบที่งานแสดงละครเวทีคืนนี้มาจนได้ แต่น้องนุชกลับปฏิเสธแบบไม่ไยดีเลย…”
ปานเทพหัวเราะเบาๆ ยกมือตบบ่าน้องชายของตัวเอง ปลอบใจ
“เอาน่า ยายนุชน่ะยังเด็กอยู่มาก เขาก็อยากสนุกไปตามประสา แกอย่าไปเร่งรัดอะไรเขาเลย”
“ผมก็ไม่ได้เร่งรัด อะไรนะครับพี่เทพ…แค่จะให้เขายอมไปไหนมาไหนกับผมตามลำพังบ้าง ทั้งๆ ที่พี่อรก็ไม่ได้ขัดขวาง..ซ้ำจะสนับสนุนด้วย…แต่เธอก็ยอมไปกับผมแบบสองต่อสองแทบจะนับครั้งได้…”
ความจริงอรชาที่เกิดปีเดียวกับธนานั้นอายุน้อยเดือนกว่าชายหนุ่มเสียอีก แต่ธนาก็เรียกหญิงสาวพี่สะใภ้ว่าพี่อรอย่างเต็มอกเต็มใจ สาเหตุนึงเป็นเพราะการวางตัวของพี่สะใภ้ในการเป็นผู้ปกครองของหญิงสาวที่เขาพึงใจ และการที่อีกฝ่ายนั้นประสบความสำเร็จในหน้าที่จะกลายเป็นผู้บริหารเบอร์หนึ่งอย่างเต็มภาคภูมิ ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกทั้งนิยมยกย่องและเกรงใจอยู่ในที
“เอาเถอะน่า..ใจเย็นๆ…แกก็เห็นๆ นี่หว่า ยายนุชก็ไม่มีใคร…ยังไงซะ…อย่างที่แกบอก อรเขาเปิดโอกาสกว้างให้กับแกอย่างนี้แล้ว เท่ากับว่าแกน่ะอยู่ในตำแหน่งที่มีเปรียบมากกว่าผู้ชายคนไหนๆ ทั้งหมดนะ..”
ธนามีใบหน้าชื้นใจขึ้นเล็กน้อย ปานเทพยิ้มตบบ่าน้องชายหนักๆ แล้วก็ชวนเดินลงไปรับประทานอาหารกลางวัน
……………………………………….
“โธ่ น้องนุชจ๋า เห็นใจพี่แต๋วหน่อยเถอะจ้ะ…ตอนนี้พี่ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครแล้วนะคะ”
สตรีวัยกลางคนแต่ยังมีทีท่าทะมัดทะแมง กล่าวน้ำเสียงอ่อนในการกล่าวหว่านล้อมเด็กสาวร่างบางตรงหน้า ที่กำลังนั่งดื่มน้ำส้มอั๊กๆ อย่างกระหาย หลังจากซ้อมยิงปืนซะจนฉ่ำมือ กระสุนสี่กล่องที่เพิ่งได้มาใช้หมดไปครึ่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว