ก้อย ภาค 2 ตอนที่ 27จบ

ก้อย ภาค 2 ตอนที่ 27จบ

ก้อย ภาค 2 ตอนที่ 27จบ

มี คนเคยพูดว่า ช่วงเวลาแห่งความสุขมันมักจะสั้น และการที่เราอโหสิกรรมให้ใครซักคนไม่ได้แปลว่าคนคนนั้นจะหายแค้นเรา เหมือนกับคำที่ว่าตบมือข้างเดียวมันไม่ดัง

มันก็คงเหมือนชีวิตของผม ช่วงเวลาที่มีความสุขและเหมือนทุกอย่างกำลังจะไปได้ดีมันก็หยุดลงดื้อๆ เรื่องมันเริ่มจากเที่ยงวันหนึ่งที่มีลูกค้าแน่นร้านเหมือนทุกวัน

“นี่น้องเอาอะไรมาให้กินเนี่ย ไปตามเจ้าของร้านมาเลย” ชายวัยรุ่นส่งเสียงดัง
ผมเลยต้องรีบเข้าไปดู
“มีอะไรกันครับ”
“เจ้าของร้านหรอ ดูซิในจานนี้มีแมลงสาปอยู่ด้วย ที่นี่เค้าใส่แมลงสาปให้ลูกค้ากินหรอ” ชายวัยรุ่นพูด้วยน้ำเสียงกวนประสาท
“ผมว่าเข้าใจผิดกันมั้งครับ ที่ร้านผมไม่มีแมลงสาปหรอกครับ”
“ไม่มีแล้วมันจะมาอยู่ในจานนี่ได้ไง หรือมึงจะบอกว่าพวกกูเอามาใส่เอง” วัยรุ่นอีกคนพูดเสียงดังจนโต๊ะอื่นๆ หันมามอง
“ผมว่าคงเข้าใจผิดกัน เดี๋ยวผมจะให้ในครัวทำให้ใหม่นะครับ” ผม
พยายามจะไม่มีเรื่องทั้งๆ ที่รู้ว่าโดนวัยรุ่นโต๊ะนี้มาหาเรื่องแน่ๆ แล้วแมลงสาปนั้นเด็กพวกนี้ต้องเป็นคนเอามาใส่จานเองแน่ๆ แต่ไม่มีหลักฐาน
“อะไรวะ มึงยังจะให้พวกกูกินต่ออีกหรอ ที่นี่มันยังไงวะให้ลูกค้ากินแมลงสาป”

คราวนี้คนทั้งร้านหยุดกินแล้วหันมามองที่โต๊ะนี้แล้ว ผมเองไม่รู้ว่าจะทำยังไงเหมือนกัน แต่แล้วก็มีคนมาช่วยผมไว้

“เฮ้ยน้อง พี่เห็นน้องหยิบอะไรในเป้น้องใส่จาน พี่ขอดูเป้น้องหน่อยได้ไหม” พี่เสือ

พี่เสือท่าทางเหมือนหัวหน้า รปภ ผมเดาเอาจากที่แกใส่ชุดซาฟารีมาที่ร้านทุกครั้ง ซึ่งพี่เสือจะมาซื้อกับข้าวให้พนักงานที่บริษัททุกวัน

“เฮ้ยจะทำอะไรวะ” เด็กวันรุ่นร้องเพราะโดนพี่เสือหักข้อมือแล้วล้วงเข้าไปในเป้ของมัน

พี่เสือหยิบถุงพลาสติกออกมา ข้างในมีแมลงเต็มถุง

“อ้าวน้องทำไมน้องมีแมลงสาปใส่ถุงมาด้วยหละ หรือว่าน้องชอบเอามากินแกล้มข้าว แบบนี้สงสัยต้องไปคุยกันต่อที่โรงพักแล้วมั้ง”

พวกเด็กวัยรุ่นเห็นท่าไม่ดีพยายามจะหนีแต่พี่เสือก็ล๊อกคอไว้คนนึง ส่วนอีกคนก็จับแขนไว้ แต่เหมือนมีพวกมันรอดูลาดราวอยู่หน้าร้านมันก็โยนอะไรบ้างอย่างเข้ามาพร้อม กับตะโกนว่าระเบิด คนทั้งร้านแตกตื่น พี่เสือเองก็ปล่อยมือจากไอ้วัยรุ่นทั้งสองคนแล้วตรงมาเตะระเบิดกลับออกไปนอก ร้าน แต่มันเป็นแค่ระเบิดปลอม พวกวัยรุ่นอาศัยช่วงชุนละมุนหนีไปได้

เหตการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ลูกค้าทั้งร้านตกใจและและเรียกให้ผมเก็บเงินไม่ กล้าที่จะทานต่อ ผมเห็นว่าท่าทางจะไม่ดีเลยไม่เก็บเงินลูกค้าทั้งร้านเพื่อไม่ให้ลูกค้าตกใจ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเพราะวันรุ่งขึ้นก็แทบจะไม่มีคนกล้ามากินอาหารที่ ร้านหนำซ้ำยังโดนวัยรุ่นพวกเดิมแกล้งมาโยนระเบิดปลอมใส่อีก

ทำให้วันต่อมาไม่มีใครกล้ามานั่งที่ร้านอีกเลยมีแต่พี่เสือที่ยังมาซื้อกับข้าวเหมือนทุกวัน

“คนหายหมดเลยนะ คงกลัวกัน”
“ครับพี่ คงไม่กล้ามากันใครจะอยากมาเสี่ยงจริงไหมครับ แล้วพี่หละทำไมถึงยังกล้ามาอีก”
“โถ น้อง ไอ้พวกนั้นมันแค่เด็กจ้างมา มันไม่มีหรอกระบงระเบิด ถ้ามีมันโยนของจริงมาแล้ว แล้วนี่ตำรวจว่าไงบ้าง”
“เค้าก็บอกว่าจะตามจับให้ได้แล้วก็ส่งคนมาดูบ้าง แต่ไอ้พวกนั้นมันก็เหมือนจะรู้ครับ พอตำรวจมาตรวจมันก็ไม่มากวน พอตำรวจไปปุ๊บมันก็มากวนทันที”
[ post]“แล้วน้องคิดว่าใครทำ น้องมีคนแค้นเยอะหรอ”
“ผมก็ไม่รู้ครับ คนที่แค้นเคยมีแต่ตอนนี้ผมเป็นแค่พ่อค้า เค้าคงไม่คิดอยากจะทำอะไรผมแล้วมั้ง”
“แน่ใจหรอน้อง ยิ่งน้องทำตัวเป็นคนธรรมดามันก็ยิ่งแก้แค้นได้ง่ายขึ้นนะ เราอโหสิให้มันแต่มันไม่อโหสิให้เรามันก็ไม่มีประโยชน์นะ”
“ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงครับพี่ ตอนนี้ผมเองก็ไม่มีอะไรจะไปสู้เค้าได้ แค่อยากจะอยู่อย่างสงบก็ยังไม่ได้เลย”
“แล้วน้องจะเอาไงเนี่ย พี่ว่าพวกมันคงไม่เลิกง่ายๆ”
“ผมยังคิดไม่ออกเลยพี่”
“มีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกนะ พี่พอจะคนวงในหาตัวไอ้พวกนั้นให้ได้นะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าไปตามจับพวกมันคนที่ตั้งใจแกล้งผมเค้าจะยิ่งโกรธ ถ้าปล่อยไปแบบนี้ไม่แน่อีกซักพักเค้าอาจจะเลิกไปเองก็ได้”
“อืม พี่เอาใจช่วยแล้วกัน”

แต่มันก็ไม่ดีขึ้นผมเปิดร้านโดยแทบไม่มีคนเข้าร้านเกือบสองอาทิตย์จนผมหมดหวัง

“คงไม่ไหวจริงๆ แล้วละมั้ง” ผมบอกกับหงส์กับเจน
“ลองดูอีกนิดเถอะค่ะ ถึงคนจะไม่ค่อยเข้าร้าน แต่คนที่เข้าร้านเฮียก็ยังสั่งข้าวร้านเราอยู่นะค่ะ” เจน
“แต่มันก็ไม่พอค่าใช้จ่ายนะเจน”
“ลองดูอีกสักอาทิตย์ก่อนไหมค่ะ” เจน
“พอแล้วหละ พี่คิดว่าจะเปิดร้านนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว”

หงส์กับเจนทำหน้าเศร้า แต่ผมก็คิดแล้วว่าเปิดร้านต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ ยิ่งเปิดเงินเก็บก็ยิ่งลดลงเลิกตอนนี้ยังพอมีเงินจ่ายล่วงหน้าให้ลูกจ้าง บ้าง หลังจากปิดร้านผมก็คิดว่าจะขายรถกระบะทิ้งเอาเงินเก็บไว้เป็นค่าใช้จ่าย ระหว่างยังหางานทำไม่ได้ ระหว่างที่ผมกำลังคิดพี่เสือก็มาซื้อกับข้าวพอดี

“สวัสดีครับพี่”
“คนเงียบเหมือนเดิมนะ”
“ครับพี่ อ้อพี่วันนี้ฟรีนะ สั่งเต็มที่เลย”
“ทำไมหละ ฉลองอะไรหรอ”
“ไม่ได้ฉลองอะไรหรอกพี่ แต่วันนี้ผมเปิดเป็นวันสุดท้ายแล้ว”
“อ้าวทำไมหละ”
“ผมคงเปิดต่อไปไม่ไหวแล้ว ยิ่งเปิดก็ยิ่งเข้าเนื้อ เลิกตอนนี้ยังพอมีเงินให้ลูกจ้างเอาไว้ไปหางานใหม่ทำบ้าง”
“บีนี่เป็นคนดีจริงๆ นะ ขนาดตัวเองขาดทุนแล้วยังคิดถึงลูกจ้างก่อนอีก น่าเสียดายนะลูกน้องเก่าๆ นะที่บีผันตัวเองมาเป็นแค่พ่อค้าธรรมดาแบบนี้”
ผมงงนิดหน่อยพี่เสือพูดเหมือนรู้ว่าเมื่อก่อนผมเป็นใคร แต่แกคงไม่รู้จักผมหรอกแกคงพูดไปตามที่แกคิดเอามากกว่า
“คงไม่ขนาดนั้นหรอกครับ พี่สั่งเต็มที่เลยนะครับ เผื่อของพี่เองด้วย จะเอาไว้กินตอนเย็นต่อก็ได้ยังไงของสดที่ซื้อมาไม่ลูกค้าแบบนี้มันก็ต้อง ทิ้งอยู่แล้ว”

แล้วผมก็ปิดร้านลงในวันนี้ผมให้เงินเดือนลูกจ้างเดือนนี้และบวกเดือนหน้าอีกหนึ่งเดือนเพื่อให้มีเวลาหางานใหม่ทำกัน

วันนี้ระหว่างทานข้าวเย็น ถึงผมจะกินไม่ลงแต่ก็พยายามทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่บีกลับไปทำงานออฟฟิตเหมือนเดิมก็ดีแล้วจะได้ไม่ต้องเหนื่อยตื่นเช้าๆ” ก้อย
“นั่นซินะ ส่วนหงส์ไม่ต้องกลัวนะ พี่ยังให้เงินเดือนหงส์เหมือนเดิมจะได้มีเงินส่งทางบ้าง อืมไม่มีว่าอะไรใช่ไหม” ผมถามความเห็นสาวๆ
“ไม่ค่ะ” ทุกคนเห็นตรงกัน
“ต่อไปแนนจะนั่งรถเมลไปมหาลัยจะได้ไม่เปลือง” แนน
“ยูกิซังเอาเงินเดือนเอริกะมาใช้ด้วยนะ” เอริกะจังพูดภาษาไทยยังไม่คล่องเลยเรียงประโยคไม่ค่อยถูก
“ไม่ต้องหรอก แนนขับรถไปมหาลัยเหมือนเดิมนั่นแหละ ส่วนเอริกะจังก็ไม่ต้องช่วยทางบ้านหรอก พี่ยังมีเงินอีกเยอะ เดี๋ยวพี่ก็ได้งานทำใหม่แล้วไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

ผมฝืนใจพูดทั้งๆ ที่ความจริงเงินเก็บและเงินที่ได้มาก็หมดไปกับบ้านและร้านแทบจะไม่เหลือแล้ว ถึงช่วงแรกๆ ร้านจะได้กำไรเยอะ แต่พอไม่มีลูกค้าติดต่อกันหลายๆ อาทิตย์มันก็กระเทือนเงินเก็บเหมือนกัน ถ้าผมไม่ได้งานภายในเดือนนี้ต้องมีปัญหาแน่ๆ

หลังจากนั้นผมก็พยายามหางานแต่ก็ไม่ได้ซักที ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ดูเหมือนจะมีคนสั่งไว้ว่าไม่ให้รับผม ทั้งๆ ที่บริษัทที่ผมไปมันก็ไม่ใช่ของคุณอำนาจ ผ่านไปอีกอาทิตย์ถึงจะปากแข็งบอกให้เมียๆ ผมทำตัวเหมือนเดิม แต่ตอนนี้แนนก็ไปมหาลัยด้วยรถเมลแล้ว ส่วนหงส์ก็พยายามหางานทำ

สภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวผมเริ่มแย่ลงแต่ก็ไม่มีใครบ่น เราพยายามประหยัดกันให้มากที่สุด แม้แต่เจ้าริวเองก็ยังโดนแนนตีเวลามันเห่าจะกินของที่เข็นผ่านหน้าบ้าน แม้แต่หมาที่มาอยู่กับผมยังพลอยลำบากไปด้วยหรอเนี่ย ผมรู้สึกแย่แต่ก็พยายามไม่แสดงออกให้ทุกคนเห็น

แล้วก็มีเรื่องทำให้ผมตกใจ เย็นวันนี้หลังจากเดินหางานทั้งวันผมก็แวะหาเอริกะจังที่อู่ แต่เจ้าของอู่บอกผมว่ามีคนมาหาแล้วเอริกะจังก็ขอเลิกงานก่อนเวลาไปกับคนคน นั้น ผมคิดว่าอาจจะเป็นแนนมั้งเลยเดินกลับบ้าน ซึ่งเอริกะจังก็รอผมอยู่ที่บ้าน

“ยูกิซัง เอริกะ คิดถึงบ้านค่ะ”
“คิดถึงบ้านหรอ เอริกะจังอยากกลับญี่ปุ่นหรอ”
“ค่ะ เอริกะอยากกลับไปบ้าน”
“ก็เอาซิ เดี๋ยวผมซื้อตั๋วให้นะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เอริกะจังซื้อเอง ยูกิซังไม่ต้องซื้อให้หรอกค่ะ”
“งั้นหรอ แล้วจะไปนานแค่ไหน”
“ค่ะ คง สองสามอาทิตย์ค่ะ”
“อืมก็ดีนะ กลับไปญี่ปุ่นให้สบายใจแล้วค่อยกลับมาก็ได้ ถึงตอนนั้นผมคงได้งานทำแล้วทุกอย่างคงกลับมาเหมือนเดิมแล้ว”
“ค่ะ”

ผมไม่คิดว่าเอริกะจังจะรีบกลับขนาดที่วันรุ่งขึ้นเธอก็เก็บเสื้อผ้าเรียบร้อย ผมไปส่งเธอที่สนามบิน

“อยากกลับมาก็โทรมาบอกนะ ผมจะซื้อตั๋วให้”
เอริกะจังไม่ตอบแต่กอดผมแล้วก็ร้องไห้
“ร้องไห้ทำไมหละ เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว กลับมาคราวหน้าเราแต่งงานกันนะ เอริกะจังจะได้เป็นคนไทยไม่ต้องต่อวีซ่าอีก”
เอริกะจังได้ฟังก็ยิ่งร้องไห้และกอดผมแน่นชึ้นอีก ถึงผมจะรู้สึกแปลกใจ แต่ก็พยายามไม่คิดว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้เจอเธอ

เอริกะจังอยู่กับผมจนนาทีสุดท้ายถึงจะจากไปขึ้นเครื่อง ผมยังคงพูดเรื่องให้เธอกลับมาโดยที่ไม่รู้เลยว่าเอริกะจังไม่คิดที่จะกลับมา หาผมอีกแล้ว หลังจากที่เอริกะจังจากไป ตัวตนที่ผมพยายามสร้างคลอบตัวเองไว้ไม่ให้ใครรู้ว่าผมรู้สึกแย่แค่ไหนมันก็ เริ่มปริ

แล้วสองวันต่อมาเจนก็ต้องกลับไปออสเตเรียถึงผมจะรู้ว่าเจนไม่ได้อยากจากผมไป แต่ไปด้วยความจำเป็นแต่มันก็ทำให้รอยปริเริ่มแตกออกมากขึ้น

“เจนไม่อยากไปเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกนะ กลับไปเรียนให้จบแล้วค่อยกลับมานะ”
“เจนอยากอยู่กับพี่บี ทุกครั้งที่พี่บีมีปัญหาเจนไม่เคยได้มีโอกาสได้อยู่ด้วยเลย”
“ก็ดีแล้วนี่ แบบนี้เจนก็เป็นนางฟ้าแห่งโชคดีของพี่ พี่ถึงได้มีความสุขและโชคดีทุกครั้งที่ได้เจอกับเจน”
“แต่เจนไม่อยากกลับไปแล้วเจนอยากอยู่กับพี่บี”
“ไม่เอานะ กลับไปเรียนนะแล้วรีบเรียนให้จบเราจะได้เจอกันอีกพี่จะได้โชคดีอีกไง”

แล้วเจนก็จากไปตอนนี้ทั้งบ้านมีแค่แนน หงส์ และเจ้าริว ส่วนก้อยกับไปอยู่บ้านและจะมาค้างแค่วันหยุดเหมือนเมื่อก่อน แต่วันนี้หงส์กลับจากไปหางานช้าผิดปรกติ ผมกับแนนนั่งรถกินข้าวเย็นกันจนดึก ผมรู้สึกว่ามันผิดปรกติเลยลองกดโทรศัพท์หาหงส์ดูแต่หงส์ก็ไม่รับสาย

แล้วก็เหมือนผมจะรู้ตัว ผมเดินขึ้นไปที่ห้องนอน โดยที่แนนเดินตามมาห่างๆ ผมเปิดตู้เสื้อผ้าดูแล้วก็เป็นอย่างที่คิดไม่มีเสื้อผ้าหงส์อยู่ซักชิ้น นี่หงส์จากผมไปอีกคนหรอ ถึงต้องนี้ใบหน้าที่สร้างขึ้นมาปกปิดความเศร้าและหดหู่ก็แตกดังโพละ

“แนนไปกินข้าวเถอะ กินเสร็จแล้วจะกลับไปอยู่ที่คอนโดก็ได้นะ ปล่อยพี่ไว้ที่นี่คนเดียวเถอะ”

แนนหน้าเสียกับคำพูดที่ไร้อารมณ์ของผม จากนั้นก็วิ่งออกไปจากห้อง พอไม่มีใครผมก็เริ่มคิด นี่ตัวผมมันไม่เอาไหนจริงๆ สุดท้ายแล้วก็ดูแลใครไม่ได้เลยซักคน แม้แต่ตัวเองก็ยังจะเอาตัวไม่รอดสมแล้วที่เอริกะจังทิ้งไป ต่อมาก็เป็นหงส์แล้วต่อไปจะเป็นใครหละ แนน ก้อย เจน ระหว่างที่ผมอยู่ก็มีโทรศัพท์เข้ามา ผมเห็นเป็นเบอร์ของหงส์ก็เลยรับสาย

“หงส์หรอ”
“ไม่ใช่กูเอง”
“คุณอำนาจหรอ”
“เออ เป็นอะไรทำเสียงเหมือนกำลังจะตายเลยนะมึง”
“หงส์อยู่ไหน ผมจะไปรับหงส์”
“หงส์อยู่กับกู แต่เค้าไม่อยากเจอมึงแล้วมึงไม่ต้องมาให้เสียเวลา”
“ผมขอคุยกับหงส์หน่อย”
“หนูหงส์เค้าไม่อยากคุยกับมึงแล้ว แล้วตอนนี้เค้าก็รับปากจะแต่งกับไอ้รุชแล้ว ต่อไปมึงไม่ต้องยุ่งกับเค้าแล้วเข้าไหม”
“คุณอำนาจอย่ามาโกหกเลย หงส์ไม่มีทางทำแบบนั้นหรอก”
“ไม่เชื่อก็เรื่องของมึงกูโทรมาบอกแค่นี้มึงไม่ต้องออกตามหาหงส์ให้เหนื่อยเพราะหายังไงมึงก็ไม่มีทางหาเจอ”

จากนั้นคุณอำนาจก็วางสายไป และก็มีอีกสายโทรเข้ามาผมยกโทรศัพท์ขึ้นรับโดยที่ไม่ได้ดูว่าเป็นเบอร์ของใคร

“ไอ้บีหรอ”
“ครับ”
“เป็นอะไรของมึงเนี่ย ทำเสียงเหมือนคนใกล้ตาย”
“พี่มีอะไรหรอครับ”
“พรุ่งนี้มึงมาเจอกูหน่อยกูมีเรื่องจะคุยด้วย”
“ผมไม่ว่าง ผมต้องหางานทำ”
“มึงพูดเหมือนคนซักกะตายแบบนี้ไปสมัครงานที่ไหนเค้าจะรับวะ”
“แต่ผมก็ต้องหาแหละพี่ ไม่หาผมคงได้ตายจริงๆ แน่”
“งั้นมึงก็มาหากูก่อนกูมีเรื่องจะคุยก่อนที่มึงจะตาย”
“เรื่องอะไรครับ”
“ก็เรื่องหนูหงส์ไง”
“ผมรู้แล้วครับ หงส์เค้าเลือกทางที่ถูกแล้วผมไม่อยากคุยเรื่องนี้แล้ว”
“อะไรของมึงเนี่ยทำเหมือนคนไม่มีหัวใจหยั่งงั้นแหละ มานะเจอกันที่ร้านอาหารจีน”

ร้านอาหารจีนร้านที่เจอหงส์เป็นครั้งแรกหนะหรอ ผมจะไปให้ช้ำใจทำไม ในขณะที่ผมเริ่มนั่งเหม่อในหัวเริ่มว่างเปล่าก็มีคนมาเขย่าตัวผม

“พี่บีเป็นอะไรไปค่ะ พี่บีได้ยินก้อยไหม” ก้อย
“อ้าวก้อยหรอ”
“พี่บีเป็นอะไรไปทำไมไม่ยอมทานข้าวหละ”
“ก้อยมาก็ดีแล้ว แนนหละ”
“แนน แนน” ก้อยหันไปเรียกแนน
“ค่ะ” แนนเดินมาใกล้
“มาพร้อมกันก็ดีแล้ว พี่คงดูแลเราสองคนไม่ได้แล้วนะ ก้อยยังสาวคงหาแฟนใหม่ได้ไม่ยาก ส่วนแนน ถ้าหาหอใหม่ไม่ได้ไปอยู่ที่คอนโดพี่ก็ได้พี่ยกให้ แล้วก็ลืมไปซะว่าเราเคยอยู่ด้วยกัน”
“ทำไมพี่บีพูดแบบนี้” ก้อย
“ก็ไม่เห็นจะแปลกเลย เอริกะจังก็ทิ้งพี่ไปแล้ว ต่อมาก็เจน วันนี้ก็หงส์ พรุ่งนี้ใครจะไปอีกหละ พี่คงรับไม่ไหวแล้วหละ ถ้าจะไปก็กันซะวันนี้เลยพี่จะได้ไม่ต้องมาเป็นห่วงว่าก้อยกับแนนหายไปไหน” ผมฝืนยิ้มแต่ก็รู้ตัวเองคงทำหน้าเหมือนคนไร้ความรู้สึก
ก้อยกับแนนได้ฟังที่ผมพูดก็ร้องไห้
“จะร้องทำไม ก้อยตอนนี้เป็นผู้จัดการแล้วนะ เรื่องจะหาแฟนคงไม่ยาก อยู่กับพี่ต่อไปจะยิ่งลำบาก ไปซะตอนนี้ยังทันนะ”

เพี๊ยะก้อยตบหน้าผมก่อนจะวิ่งออกจากห้องแล้วขับรถกลับบ้านไปเหลือแต่แนนที่ ยังไม่ยอมไปไหนแต่ก็พยายามอยู่ห่างผมไม่ยอมเข้าใกล้ ผมเดินเข้าไปหาเพื่อที่จะบอกให้แนนไปอีกคนแต่แนนก็เดินหนีไม่ยอมฟัง ผมเลยกลับมานอนที่ห้องคนเดียว ผมนอนไม่หลับในหัวว่างเปล่าจนถึงเช้า

พอเช้าผมก็ลุกขึ้นอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไปตามสัญชาติญาณ มีข้าวเช้าเตรียมไว้ให้แต่ผมก็ไม่มีกะจิตกะใจจะกินแล้วผมก็ออกไปหางานทำโดย ที่ในหัวว่างเปล่าผมไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่อใคร แต่ถ้าไม่ทำผมก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรเหมือนกัน แล้วผลก็เหมือนเดิม ดูเหมือนจะไม่มีใครอยากรับผมเข้าทำงาน

ผมเดินหางานทำอยู่จนใกล้เที่ยง พอท้องหิวสติก็กลับคืนมา ผมมองดูร้านอาหารที่เมื่อก่อนเดินเข้าออกจนเบื่อ แต่ตอนนี้กลับคิดว่าถ้าจะเอาเงินไปกินของแพงแบบนี้สู้เอาไว้กินข้าวพร้อม หน้าพร้อมกับกับก้อยกับแนนดีกว่า แล้วผมก็กลืนน้ำลายแล้วเดินหาร้านที่มันราคาสมฐานนะคนจนอย่างผมดีกว่า

มีโทรศัพท์พี่คมเข้ามาตามให้ผมไปหา ผมไม่อยากไปแต่ก็ทนพี่คมตื้อไม่ไหวเลยยอมไปหา

“ยอมมาแล้วหรอมึง กินก่อนซิแล้วค่อยคุยกัน”
ตรงหน้ามีของกินมากมาย ผมรู้สึกหิวจนท้องกิ่วแต่ก็กินไม่ได้
“ผมยังไม่หิว พี่มีอะไรจะคุยก็พูดมาเลยดีกว่าครับ”
“ก็เรื่องหนูหงส์”
“มีอะไรนอกจากหงส์เปลี่ยนใจจะไปแต่งงานกับคุณรุชอีกหรือครับ”
“มึงนี่โง่หรือแกล้งโง่หรือวะ”
“ที่ผมพูดมันไม่ถูกหรอครับ”
“มันไม่ถูกโว้ย มึงคิดว่าแฟนมึงแต่ละคนทิ้งไปเพราะมึงจนลงซินะ”
“ก็มันจริงไม่ใช่หรอครับ ก็ผมไม่มีปัญญาจะเลี้ยงพวกเธอ พวกเธอจะทิ้งผมไปมันก็ไม่แปลก และผมก็ไม่ได้โกรธพวกเธอหรอกนะครับ”
“ไอ้บ้า เอริกะจังกับหนูหงส์เค้าทำเพื่อมึงนะ นี่มึงยังไม่รู้ตัวอีกหรอ”
“มันจะเป็นไปได้ยังไงหละครับ”
“นี่แกยังไม่เข้าใจอีกหรอ ถ้าหนูหงส์ไปรับปากพี่อำนาจตอนที่เอริกะจังยังอยู่มึงคงไม่ยอมใช่ไหม”
“ใช่ครับ เพราถ้าผมมีเอริกะจัง ผมก็ต้องมีหงส์อยู่ด้วย”
“ที่นี้เข้าใจหรือยัง”
“พี่จะบอกว่าเอริกะจังกลับญี่ปุ่นไปเพื่อให้หงส์ได้ไปแต่งงานกับรุชงั้นหรอ แต่แบบนี้มันไม่เห็นจะมีผลดีอะไรกับผมเลยนี่”
“เออใช่เอริกะจังกับหงส์ไม่ได้ทำเพื่อมึงหรอก แต่เค้าทำเพื่อเมียมึงอีกสามคนต่างหาก”
“ยังไงครับ ช่วยให้คนจนๆ อย่างผมมีปัญญาเลี้ยงเมียสามคนไหวหรอ จากเดิมที่มีห้าคนแล้วเลี้ยงไม่ไหว”
“นี่มึงจะโง่ไปถึงไหน เอริกะจังกับหงส์เค้าเสียสละเพื่อให้แกกลับมาเป็นคนเดิม และดูแลปกป้องเมียๆ แกได้เหมือนเดิม”
“ผมไม่ต้องการ เค้าเคยถามผมไหมว่าผมต้องการจะกลับไปเป็นเหมือนเก่าหรือเปล่า เป็นแบบนี้ผมก็สบายดีแล้วชีวิตไม่ต้องวุ่นวาย ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาคิดร้ายกับคนจนๆ อย่างผม”
“แล้วไอ้ที่เป็นตอนนี้มันอะไรวะ แกคิดว่าไอ้เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องบังเอิญหรือไง”
“ครับมันอาจจะไม่บังเอิญ แต่เดี๋ยวคนที่ทำเค้าคงเบื่อไปเอง เค้าคงคิดได้เองว่าทำอะไรกับคนจนๆ แบบผมไปมันก็ไม่ได้อะไรเสียเวลาเปล่า”
“เออ เดี๋ยวนี้แกเป็นแบบนี้เองหรอ สุดท้ายคนอย่างแกก็เป็นได้แค่ผู้ชายขี้ขลาด”
“ขี้ขลาด”
“ใช่ขี้ขลาด”
“ผมหนะหรอขี้ขลาด ผมยอมทิ้งทุกอย่างโดยไม่ได้กลัวอะไร เพื่อคนที่ผมรัก แบบนี้ยังเรียกว่าขี้ขลาดอีกหรอ”
“ถ้าแกจะคิดว่าการกระทำของแกมันเสียสละเป็นลูกผู้ชายมันเรื่องของแก แต่กูคิดว่าการที่แกทิ้งทุกอย่างก็เพราะแกกลัว”
“กลัว ผมจะกลัวอะไร”
“กลัวที่จะต้องปกป้องเมียๆ แกไง แกกลัวว่าเรื่องขัดแย้งมันจะพาความเดือดร้อนมาให้แก แกเลยเลือกที่จะทิ้งทุกอย่าง และไม่ต้องคอยปกป้องเมียๆ ของแกอีก”
“ไม่จริง ผมไม่ได้เป็นคนแบบนั้น”
“ทำไมจะไม่จริงวะบี ตอนนี้สภาพมึงไม่มีทางปกป้องใครได้เลยแม้แต่ตัวมึงเอง ตอนนี้มีคนยอมเสียสละจนมึงกลับมาปกป้องคนอื่นได้ แต่มึงก็ขี้ขลาดและเห็นแก่ตัวจนไม่ยอมรับมันไว้”
“อยู่แบบนี้ผมก็ปกป้องเมียๆ ผมได้”
“ได้ยังไงวะ มึงคิดว่าที่มึงหางานทำไม่ได้ตอนนี้มันเพราะใคร แล้วมึงคิดว่ามันจะยอมจบแค่นี้หรอ หรือมึงคิดว่าจะใช้วิธีไล่เมียมึงไปซะ มึงจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบ จะเอาแบบนี้ใช่ไหม”
“ถ้าก้อยแนนเจนไปจากผมซะ มันก็คงไม่สนใจพวกเธอ แล้วหันมาเล่นงานผมคนเดียว”
“กูว่ามันไม่เป็นงั้นหรอมึงก็น่าจะรู้ หรือว่ามึงต้องรอให้เกิดอะไรขึ้นก่อนมึงถึงจะยอมเชื่อที่กูพูด”
ผมเริ่มรู้สึกตัวว่าการไล่ก้อยแนนเจนไปไอ้วิบูลย์มันก็คงยิ่งชอบใจแล้วตามไปทำร้ายพวกเธออยู่ดี
“มึงเริ่มตาสว่างแล้วใช่ไหม ต่อให้มึงเลิกกับเมียทุกคน มันก็ไม่ได้แปลว่าเมียมึงจะปลอดภัย ตอนนี้ทางเดียวที่มึงจะปกป้องเมียๆ ของมึงได้ก็คือมึงต้องกลับไปเป็นคนเดิมเท่านั้น”
“แต่ผม”
“เฮ้ยกูขอหละ ทิ้งศักดิ์ศรีอะไรของมึงซะทีเถอะ ศักดิ์ศรีของมึงมันทำให้เมียอิ่มท้องได้หรือเปลา”
“แต่ผมยังทำใจไม่ได้ครับ แล้วผมก็บอกกับคุณอำนาจไปแล้วว่าจะไม่กลับไปอีก อยู่ๆ จะให้ผมกลับไป ผมไม่รู้จะทำหน้ายังไง”
“ก็ทำหน้ากวนตีนเหมือนที่มึงชอบทำนั่นแหละเอานี้”
พี่คมยืนกุญแจรถมาให้ผม
“กุญแจรถ”
“มันไม่ใช่แค่กุญแจรถ แต่มันเป็นกุญแจที่จะเปิดทางให้แกกลับไปอยู่ในจุดเดิมได้”
“แล้วผมต้อง”
“มึงก็แค่ใช้มัน ทันทีที่มึงใช้ ทุกอย่างที่มึงเคยมีมันก็จะกลับมาเหมือนเดิม”
“ขอบคุณนะครับพี่”
“บีมึงฟังกูนะ โอกาสไม่ได้มาหาเราบ่อยๆ ถ้ามึงไม่คว้าไว้ มันอาจจะไม่หวนกลับมาหามึงอีกก็ได้ กูอยากให้มึงคิดดีๆ นะบี ตอนนี้มึงยังกลับมาทันนะ แต่ถ้ามึงยังดื้อต่อไป กูก็ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นกับมึงหรือเปล่า มึงต้องเลือกเอานะว่าอยากจะทำได้แค่มองสิ่งที่มันเกิดขึ้น หรือเลือกที่ป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น”
“ผมเข้าใจแล้วพี่ คงถึงเวลาที่ผมต้องทิ้งทิฐิซะที และเพื่อไม่ให้การเสียสละของเอริกะจังและหงส์ศูนย์เปล่า”
“ดี กูดีใจที่มึงคิดได้ งั้นมากินข้าวฉลองกันเถอะ”
“ขอโทษนะพี่ผมคงกินไม่ได้”
“ทำไมอีกวะหรือมึงคิดจะเปลี่ยนใจอีก”
“เปล่าครับพี่ ตอนลำบากเมียผมก็ลำบากด้วย แต่พอจะสบายผมก็อยากให้เราได้กลับมาสบายพร้อมกัน ถ้าจะได้กินของดีๆ แบบนี้ผมก็อยากให้เราได้กินพร้อมกัน ผมไม่อยากจะได้กินก่อนพวกเธอ”
“เอางั้นหรอ ก็ดี คงได้ยินกันแล้วนะ”
“พี่พูดกับใคร”

ก้อยกับแนนเปิดประตูเข้ามาในห้องเจ้าริววิ่งตามเข้ามา พี่คมนัดพวกเธอมาเผื่อแกคนเดียวกล่อมผมไม่อยู่ แกก็จะให้ก้อยกับแนนช่วยกล่อมผม พอเห็นก้อยกับแนนผมก็เข้าไปกอดพวกเธอ

“พี่ขอโทษนะ พี่ไม่น่าคิดไล่ก้อยกับแนนแบบนั้นเลย”
“ไม่เป็นไรค่ะ แต่ต่อไปอย่าไล่ก้อยอีกนะค่ะ” ก้อยร้องไห้
แนนก็ร้องไห้ตามทำให้ผมร้องไห้ออกมาด้วย
“เข้าใจกันแล้วก็มากินข้าวกันเถอะ ไอ้ตัวนี้ท่าทางจะหิวเต็มที่แล้ว” พี่คมพูดถึงเจ้าริวที่นั่งลิ้นห้อยมองของกินที่วางอยู่บนโต๊ะ
“เจ้าริว ทำน่าอายอีกแล้ว” แนน
“ช่างมันเถอะหนูแนน ลุงชักชอบมันแล้วซิ”
เจ้าริวกวักมือชี้เป็ดบนโต๊ะ ทำให้พี่คมหัวเราะแล้วคีบเป็ดมาป้อนมัน

นี่เป็นมื้อแรกให้รอบหลายอาทิตย์ที่ผมไม่เคยได้กินของอร่อยและกินได้เต็ม อิ่มแบบนี้ แนนเองก็คงเหมือนกัน หลังจากกินข้าวกันจนอิ่มพี่คมก็ขอตัวกลับ ก้อยกับแนนก็อาสาไปส่งผมที่ออฟฟิต พอถึงตึกที่ทำงานเก่าก้อยก็ปล่อยให้ผมลงมาคนเดียว

“พยายามเข้านะค่ะ ไม่ว่าพี่บีจะตัดสินใจยังไง เราสองคนก็ยังรักพี่บีเหมือนเดิมค่ะ” ก้อย

ผมยิ้มแล้วเดินเข้ามาในตึก ผมเดินไปเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่หน้ารถคันเดิมของผม สภาพมันดูใหม่เอี่ยมไม่มีฝุ่นซักนิดคงมีคนมาทำความสะอาดอยู่บ่อยๆ แต่ดูเหมือนมันจะไม่เคยเคลื่อนไปไหนเลยตั้งแต่วันที่ผมคืนกุญแจให้กับคุณ อำนาจ ผมกดรีโมทปลดล๊อคประตู

จากนั้นผมก็เข้าไปนั่งด้านในผมนึกถึงตอนที่ผมต้องเลือกระหว่างศักดิ์ศรีกับ ทรัพย์สินเงินทอง ซึ่งครั้งนั้นผมก็เลือกศักดิ์ศรีอย่างไม่ต้องคิด แต่มาคราวนี้ผมกำลังต้องเลือกระหว่างศักดิ์ กับทรัพย์สินเงินทองอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันต่างไป ครั้งนี้มันไม่ใช่แค่ทรัพย์สินเพื่อตัวผมเอง แต่มันเพื่อคนที่ยอมเสียสละอย่างเอริกะจังและหงส์ และพื่ก้อยแนนและเจน

ผมเสียบกุญแจเข้าไปที่ช่องสตาร์ทจากนั้น………………….

เตรียมพบการดำเนินเรื่องต่อจนถึงจุดสิ้นสุดที่แท้จริงกับ Koy Restart เร็วๆ นี้

ช่วงนี้เหนื่อยๆ แล้วก็เหนื่อย ทั้งใจและกาย ชีวิตไม่คงที่ซะที

ขอขอบคุณเพื่อนๆ ที่ติดตามผลงานตลอดมา

Share the Post:

Related Posts

ครั้งแรกที่โดนเจ้านายเย็ด แลกกับการไม่โดนไล่ออก

เรื่องเสียว ครั้งแรกที่โดนเจ้านายเย็ด แลกกับการไม่โดนไล่ออก ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนที่ทำงานออกมาได้ดีนัก ถูกตำหนิตั้งแต่เบื้องบนลงมากระทั่งพนักงานระดับเดียวกัน การเป็นนักศึกษาจบใหม่ไฟแรงมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ความสามารถของฉันมันไม่ได้เข้าขั้นเลยจริงๆ และการที่จะต้องรับเงินเดือนเท่าๆ กับคนที่ทำงานมากกว่า มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ยุติธรรมสำหรับคนเหล่านั้น จึงไม่แปลกที่บ่อยครั้งฉันจะโดนเขม่นมองอยู่บ่อย ๆ สุดท้าย หัวหน้าของฉันก็เรียกฉันเข้าไป พูดอะไรต่อมิอะไรมากมาย แต่ก็ลงท้ายด้วยการยื่นข้อเสนอเรื่องหนึ่งให้ฉัน มันคือเรื่องเสียว…และเพื่ออนาคตของฉันแล้ว ฉันไม่มีทางเลือกอะไรเลย ความตื่นเต้น ความกังวลเกิดขึ้นทันที

Read More

ได้คืบจะเอาศอก ได้อมจะเอาเย็ด ลักหลับลูกพี่ลูกน้องควยใหญ่ในงานปีใหม่รวมญาติ

เรื่องเสียว ได้คืบจะเอาศอก ได้อมจะเอาเย็ด ลักหลับลูกพี่ลูกน้องควยใหญ่ในงานปีใหม่รวมญาติ ฉันยังจำเรื่องเสียวที่เกิดขึ้นช่วงต้นปีที่ผ่านมาได้ไม่ลืมเลยจริงๆ ค่ะ เพราะไม่รู้เลยว่าตัวเองจะใจกล้าและบ้าบิ่นได้มากขนาดนั้น ที่กล้าลงมือลักหลับลูกพี่ลูกน้องของตัวเองแบบนี้ แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ ตอนนั้นฉันทั้งเมา ทั้งเงี่ยน แถมไอ้ลูกพี่ลูกน้องตัวร้ายก็นอนควยตั้งอยู่ต่อหน้าต่อตาของฉัน มันเหมือนมีอะไรที่ช่างเหมาะเจาะกันมาเจอกันในวันนี้เลยจริงๆ ค่ะ ครอบครัวของเรานั้นเป็นครอบครัวใหญ่ ปีใหม่ที่ก็จะกลับมารวมตัวที่บ้านคุณทวด ซึ่ง “บี” ลูกพี่ลูกน้องของฉันเมื่อสองปีก่อนเขาไม่ได้มาเพราะว่าต้องไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ปีนี้เขาเลยกลับมาเพื่อร่วมงานรวมญาติ

Read More