ศึกหมอผี ตอนที่ ๑๖
เพชฌฆาตไพรพระกาฬ
ท่ามกลางบรรยากาศเคร่งเครียดที่ทุกคนในคณะนักรบต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่อาจระบุได้ว่าคืออะไร และการติดต่อกับฐานทัพด้วยวิทยุสื่อสารไม่อาจทำได้ ชะตากรรมของคณะปฏิบัติการณ์พิเศษชุดนี้จึงมีสภาพไม่ต่างกับกลุ่มอื่นๆ ความลังเลจึงก่อเกิดในใจของหลายๆคน แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นนักรบเชี่ยวชาญเชิงศึก ผ่านสมรภูมิความเป็นความตายมานับไม่ถ้วน แต่ด้วยสัญชาตญาณทุกคนรู้ว่าข้าศึกที่ต้องเผชิญในครั้งนี้ล้ำลึกยิ่งนัก ยิ่งได้เห็นสภาพศพของเหล่าหน่วยย่อยที่สยดสยองก็บั่นทอนกำลังใจไปอักโข
พลนำทางเดินเข้ามาหาผู้หมวดสาว “หมวดครับ เข็มทิศใช้การไม่ได้…”
“เยี่ยมไปเลย……” ผู้หมวดสาวส่ายหน้า “มีแต่เรื่องดีๆทั้งนั้น…ทั้งวิทยุทั้งเข็มทิศ พร้อมใจกันเดี้ยงหมด”
ชายหน้าบากเดิน
เข้ามาถาม “รู้หรือยัง ว่าตอนนี้พวกเราอยู่พิกัดไหน?”
ผู้หมวดสาวทำหน้าเซ็งพยักหน้าเป็นเชิงให้พลทหารตอบ
“เอ่อ…ระบุไม่ได้…เลย…มีบางอย่างรบกวนเข็มทิศ…” พลนำทางบอกอย่างอึดอัด เขาพยายามตั้งพิกัดบนแผนที่ แต่เข็มตีรวนหมุนมั่วไปหมด “มันเป็นเพราะอะไรกันนี่…ทำไมถึงรวนอย่างนี้”
“อะไรนะ!?” โจนาธานตะคอก “เอ็งหาพิกัดตัวเองไม่ได้ อย่างนี้จะไปไหนได้ละวะ”
หมอผีหนุ่มเดินเข้ามาสมทบ “มีอะไรหรอ?”
“มีอะไรหรอ? …. เฮอะๆๆๆ..ตอนนี้เรากำลังหลงป่ากันโว้ย….” โจนาธานบอกหยามๆ “เข็มทิศใช้ไม่ได้ไม่พอ ยังถูกศัตรูประหลาดซุ่มโจมตี ตั้งแต่เป็นทหารมา กูไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายอย่างนี้มาก่อน”
หมอผีหนุ่มเพ่งมองไปรอบๆตัว และเงยหน้ามองทัศนวิสัยอย่างพิจารณา“อื่อ.อ.อ….อ์……”
“มองเห็นอะไรบ้างไหม มาสเตอร์สิน…” ผู้หมวดสาวเอ่ยถามอย่างมีความหวัง “ง่า…ตอนนี้เครื่องมือเทคโนโลยี่มีปัญหา เราคงต้องหวังพึ่งคุณแล้ว..”
โจนาธานก็ถามเยาะๆด้วย “ว่าไงหมอผี ตาวิเศษของเอ็งเห็นอะไรบ้าง?”
“เราอยู่ในป่าลวงตา ภาพป่าซ้อนทับกันด้วยอำนาจบางอย่าง พวกมันกำลังต้อนพวกเราเพื่อ…..”
“พวกมัน? พวกไหน? แล้วต้อนเราเพื่ออะไร?”โจนาธานถามอย่างสงสัย”นี่เอ็งรู้อะไรบ้าง บอกข้ามาหน่อย”
“ข้าไม่รู้ แต่พวกมันกำลังหยอกเราเล่น มันเจตนาจะให้เรากลัว..และสติแตก..เหมือนที่เอ็งกำลังทำอยู่นี่ไง..”
“เอ็งพูดถึงอะไรเนี่ย ไอ้หมอผี.?!..” ชายผิวดำถามและมองไปรอบๆ “เอ็งรู้จักพวกมันหรอ?”
หมอผีหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบๆตัว เขาอธิบายแบบแปลกๆ “มีอำนาจอะไรบางอย่างคลอบคลุมพื้นที่นี้ พวกมันสร้างเหตุการณ์ต่างๆและสร้างภาพเบื้องหน้าเพื่อให้เราอยู่ในทิศทางที่พวกมันกำหนดไว้…”
โจนาธานถามอย่างเหลืออด “เอ็งรู้เอ็งเห็นอะไรก็บอกมาเลยดีกว่า อย่าพูดกำกวมให้ปวดหัว…ขี้เกียจตีความ”
“เชื่อข้าแล้วหรอ?” หมอผีหนุ่มถามพร้อมรอยยิ้มขันๆ
โจนาธานเม้มปาก แล้วถอนหายใจ “ตอนนี้ข้าจำเป็นต้องเชื่อ เพราะว่าข้ากำลังรู้สึก….”
“อะไร? รู้สึกอะไร?”
“….!?!?!……” โจนาธานมองไปรอบๆตัวไม่ตอบ ทหารรับจ้างทุกคนเดินมาสมทบ
ผู้หมวดสาวยิ้มเยาะและตอบแทนให้ “กลัวใช่ไหม?”
“บ้าเรอะ….พวกผมเป็นทหารรับจ้างมือหนึ่งทุกคนนะ เรื่องแค่นี้จะทำให้กลัวได้อย่างไง?” โจนาธานเถียงทันที
“ไม่กลัวก็ไม่กลัวสิ โวยวายเสียงดังไปทำไม?” ผู้หมวดสาวบอกอย่างรู้ทัน และเธอเองก็รู้สึกหวั่นๆ
ชายผิวดำจึงถามบ้าง “แล้วจะเอาอย่างไงต่อ ตอนนี้เราหลงป่าแล้ว และก็มีอะไรไม่รู้จ้องโจมตีพวกเราอีก”
โจนาธานแค่นเสียงมองหน้าหมอผีหนุ่ม “เอ็งพาพวกเราออกจากที่นี่ได้ไหม?”
“หือ…….????”
โจนาธานเม้มปากแล้วพูดต่อ “ที่ข้าต้องเชื่อเอ็งเพราะรู้ว่า เมืองไทยน่ะมันไม่เหลือป่าดงดิบให้หลงแล้ว ที่เห็นนี่ต้องไม่ใช่ป่าธรรมดาแน่ๆ ตอนนี้พวกข้าต้องพึ่งเอ็งแล้ว ใช้อิทธิฤทธิ์อิทธิเดชของเอ็งนำทางพวกเราไปจากที่นี่ที…”
“……………….” หมอผีหนุ่มยืนนิ่ง ทำเอาทุกคนมองอย่างอึดอัด
โจนาธานจึงถามเสียงดุๆ “ว่าไงเล่า ทำไมเงียบไป….”
“บอกตรงๆ ข้าทำไม่ได้…”
“หา…ทำไม่ได้วะ เอ็งเก่งขนานแท้ยิงฟันไม่เข้าเห็นๆ คาถาปิดป่าปิดทางแค่นี้ทำไมเอ็งจะแก้ไม่ได้..”
“ที่เห็นนี่ไม่ใช่คาถาปิดทิศปิดทาง …”
“แล้วมันเป็นอะไรล่ะ?”
“เป็นมิติที่ถูกสร้างขึ้น พวกเราถูกจงใจพามาที่นี่…”
โจนาธานเกาหัวแกรกๆอย่างุนงงในคำอธิบาย “ถูกพามา ที่นี่ แล้วตกลงที่นี่มันที่ไหนวะ?”
“ไม่รู้……” หนุ่มจอมคาถาตอบสั้นๆ
“โว้ย..ย..ย.ย..ย..ย ย์…..” โจนาธานตะเบ็งเสียงลั่นอย่างเหลืออดและสบถออกมา “ทำเหมือนจะรู้ สรุปก็ไม่รู้อะไรสักอย่าง ฟักกิ้ง!”
ชายผิวดำถอนหายใจคล้ายๆจะปลง “อนิจจา ! ด้วยอำนาจของดอลล่าร์แท้ ๆ ที่ทำให้พวกเราเข้ามาทำงานที่เสี่ยงอันตรายจนแทบไม่มีเปอร์เซ็นต์ ที่จะรอดชีวิตแม้แต่นิดเดียว ต่อไปนี้ก็สุดแต่บัญชาของพระJesus Christ,เถิด”
ทุกคนแหงนหน้าคอตั้งบ่า มองไปเบื้องบนมีแต่แผ่นฟ้ากว้างซึ่งไม่มีดาวสักดวง หันไปทางไหนก็มีแต่ป่ารกทึบ ตอนวิ่งมาต่างวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนกเลยไม่ทันสังเกต พอรู้สึกตัวกันก็มาอยู่ในสถานที่นี้แล้ว และในที่สุดทั้งหมดก็ออกเดินเท้าไปเรื่อยๆ ป่านี้ช่างแปลกไม่มีเสียงแมลงหรือสัตว์กลางคืนให้ได้ยินเลย กระทั่งมาถึงทางเบื้องหน้าที่มียอดเขาขวางอยู่ พวกเขาจึงตกลงจะเดินขึ้นไปบนที่สูง หลังจากเดินทางกันอย่างทุลักทุเลหกล้มลื่นไถลกันอยู่บนภูเขาหลายชั่วโมง กองพันทหารรับจ้างก็สามารถเคลื่อนที่ขึ้นไปบนยอดที่สูงที่สุด ซึ่งอากาศข้างบนยอดเขาเย็นยะเยือก ระบบการหายใจชักจะเริ่มลำบากเนื่องจากออกซิเจนจะเบาบางในพื้นที่สูง ในบางครั้งก็จะเกิดอาการปวดแก้วหูจนกระทั่งอื้อไปหมด จนฟังอะไรแทบไม่ได้ยิน
เส้นทางเริ่มชันขึ้นทุกที สภาพของอากาศที่มืดมิดทำให้ไม่สามารถที่จะหาตำแหน่งที่อยู่ของตัวเองได้แน่นอน แถมยังมาเจอทะเลหมอกขาวโพรนเข้าอีก เรียกว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัดไม่ผิด วิธีเดียวที่ทำได้ก็คือมุ่งหน้าต่อไปจนกว่าอากาศจะเปิดจนกระทั่งมองเห็นภูมิประเทศด้วยสายตาของตนเอง เพราะความชันและความมืด หลายต่อหลายครั้งที่ผู้หมวดสาวเดินก้าวพลาด จนเกือบจะพลัดตกลงไปในหุบเหวข้าง ๆ ทาง หนุ่มจอมคาถาจึงต้องคอยจูงมือให้เดินตาม บางครั้งเมื่อต้องหยุดอย่างกะทันหัน เนื่องจากประสาทหูสัมผัสกับสิ่งผิดปกติเบื้องหน้า เธอก็ชนหลังของจอมคาถาเข้าอย่างจัง ทำให้เธอต้อใช้มือทั้งสองกอดเอวเขาแน่นแถมเบียดหน้าอกที่อวบอูม แนบแผ่นหลังของเขาเพื่อยึดร่างของเขาไว้เป็นหลักไม่ให้หงายท้อง ระหว่างกอดเอวเขาเธอก็พึมพำอู้อี้จนฟังแทบไม่รู้เรื่อง
“เวลาจะหยุดก็ให้เสียงกันบ้าง…ฉันจะหงายท้องทุกทีเลย แกล้งหยุดให้ฉันชนหรือเปล่า”
ในขณะที่หนุ่มจอมคาถาหยุดอีกครั้งหนึ่งเธอก็เอาปลายเล็บแหลมจิ้มแผ่นหลังของเขาจนสะดุ้งเฮือก
“อุ้ย!!!” หนุ่มจอมคาถาอุทาน “เจ็บนะครับ”
“จะหยุดให้ฉันเดินชนอีกใช่ไหม ต้องเจออย่างนี้”
“ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ มันมืดแล้วก็มีอะไรแปลกๆจ้องมองพวกเราระหว่างที่พวกเราเดินอยู่เรื่อยๆ คุณเองก็รู้ว่าผมไม่ใช่พวกฉวยโอกาส แล้วในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ ผมไม่คิดหรอกเรื่องพรรค์นั้น”
“วะ…ว้าย!!!” ผู้หมวดสาวสะดุดหินหน้าคะมำ หนุ่มจอมคาถารีบกางแขนรับไว้ทันที
“บอกแล้วใช่มั๊ย ว่าผมไม่ได้ตั้งใจ เอาละเดินตามผมมาดีๆนะ” บอกแล้วก็โอบไหล่ร่างนุ่มนิ่มให้เดินตามไป
“เฮ้ยๆ จะมาเล่นบทพ่อแง่แม่งอนอะไรกันในเวลานี้วะ มันใช่เวลาจะเล่นหรือเปล่า ยิ่งเครียดๆอยู่ ทำยังกะหนุ่มๆสาวๆออกเดทกันเชียวนะ เกรงใจคนอื่นๆบ้าง”
ชายหน้าบากโจนาธานที่เดินตามหลังมาเห็นหมอผีหนุ่มกับผู้หมวดสาวกอดกันนุงนังๆนัวเนีย แล้วรู้สึกรำคาญตา เพราะสถานการณ์กำลังเคร่งเครียดแท้ๆ ทั้งสองยังมีแก่ใจมาออเซาะกันอีก ขวางหูขวางตาจนออกปากแขวะ
“พูดไปเรื่อยนะโจนาธาน ใครจะมามีอารมณ์ตอนนี้”
“นี่ขนาดไม่มีอารมณ์นะเนี่ย เดินกอดกันลากกันไม่ห่าง ทำตัวให้สมกับเป็นผู้บังคับบัญชาหน่อย รอดไปได้ก่อนค่อยคิดจะจัดกัน จะจัดหนักจัดเต็มยังไงจะไม่ว่าเลย…แล้วบรรยากาศอย่างนี้ ยังมีอารมณ์ได้อีก นับถือเลยหล่ะ” บอกแล้วชายหน้าบากก็เคลื่อนที่ออกไปตรวจภูมิประเทศเบื้องหน้าอย่างไม่สบอารมณ์
สายหมอกที่ครอบคลุมอยู่อย่างหนาทึบบนยอดเขาเริ่มคลายออกทุกขณะ ทัศนียภาพรอบ ๆ ตัวปรากฏขึ้นอย่างเลือนรางและค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นทุกทีจนกระทั่งพอจะสังเกตเห็นภูมิประเทศที่อยู่ห่างออกไปพอสมควร ทั้งหมดเดินกันอย่างเหนื่อยล้ากระทั่งมาถึงจุดสูงสุดจึงหยุดพัก มองต่ำลงไปจากหน้าผาเป็นที่ราบแอ่งกะทะ ความมืดทำให้ไม่สามารถสังเกตอะไรได้ไม่ค่อยจะชัดเจนนัก ห่างออกไปไกลลิบทิวเขาที่สูงเสียดฟ้ายืนขวางทะมึนอยู่
หลังจากพักอีกครั้ง ทุกคนก็เดินไปในเส้นทางที่ลงจากยอดเขาเริ่มทึบด้วยหมู่ไม้และโขดหิน จนบางครั้งพวกเขาจำเป็นต้องวกอ้อมออกไปข้าง ๆ ใช้เวลาย่ำเดินอย่างทรหดหลายชั่วโมงโดยที่พวกเขาเดินเหมือนกับคนตาบอดอยู่ท่ามกลางแมกไม้ที่สูงท่วมศีรษะ จุดหมายที่พอจะสังเกตทิศทางก็คือ ทิวเขาเบื้องหน้าซึ่งขณะนี้ลับหายไปจากสายตาอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากความสูงและหนาทึบของต้นไม้ที่ขึ้นเบียดเสียดเยียดยัดอยู่แน่นไปหมดทั่วทั้งบริเวณ มีกล้วยไม้นานาชนิดออกดอกสะพรั่ง บางชนิดดอกของมันส่งกลิ่นรุนแรงจนรู้สึกวิงเวียนศีรษะ
และเมื่อประสาทจมูกสัมผัสกับกลิ่นของมันเข้าโดยบังเอิญ หนุ่มจอมคาถาที่เดินอยู่หน้าสุดส่งสัญญาณมาให้ทุกคนเคลื่อนที่ออกไปทางขวามือเมื่อมองเห็นช่อกล้วยไม้ขนาดใหญ่ปรากฏอยู่บนคบไม้ เหนือศีรษะเบื้องหน้า
“หลบขึ้นไปทางเหนือลมเถอะ ไอ้กล้วยไม้ประเภทนั้น กลิ่นของมันน้องๆยาสลบทีเดียว ระวังด้วยนะครับ รู้สึกมันจะมีเยอะมากๆ ตลอดเส้นทางที่เราจะผ่าน”
ในขณะที่เอ่ยบอกผู้หมวดสาวและเตือนทุกคน หนุ่มจอมคาถาเอาผ้าขะม้ามามัดโพกปิดจมูก ผู้หมวดสาวก็เอาผ้าขาวมาโพกจมูกทำตามและขยับเดินตามเขาไปอยู่เหนือทิศทางลมเย็นๆโชยพาละอองมาเบาบาง
ท่ามกลางกลิ่นฉุกกึกของกล้วยไม้มรณะอบอวลอยู่ข้างหน้า ทุกคนต้องกลั้นหายใจพากันเผ่นพรวดเดียวแล้วเข้าไปรวมกลุ่มกับพรรคพวกก่อนจะตกลงขอหยุดพักเหนื่อยอยู่ ณ บริเวณที่ห่างจากรังกล้วยไม้ดังกล่าวพอสมควร ผู้หมวดสาวหันไปชำเลืองดู เจ้ากล้วยไม้มรณะนั้น จากลักษณะเท่าที่มองเห็น ดอกสีแดงเหมือนกับเลือดมนุษย์ห้อยเป็นพวงระย้าสีสันสวยงาม แต่มีความผิดปกติจากดอกกล้วยไม้ธรรมดาก็คือความใหญ่โตมโหฬารของดอกของมันซึ่งมี ขนาดเท่ากับดอกกุหลาบขนาดใหญ่
“มันคืออะไร?” ผู้หมวดสาวเอ่ยถามอย่างสงสัย
“กล้วยไม้พันธุ์ ทศกัณฑ์บรรทม?!”
“ชื่อพันธุ์แปลกๆ” ผู้หมวดสาวเอ่ยอย่างฉงน และรับกระติกน้ำจากมือของหนุ่มจอมคาถาขึ้นมาดื่มด้วยท่าทางกระหายจัด แล้วถามขึ้นอีก “ทำไมถึงชื่ออย่างงั้นหล่ะ”
“ทศกัณฑ์เป็นยักษ์ที่มีฤทธิ์มากในวรรณคดีรามเกียรติ์ พอได้กลิ่นขนาดเจ้าแห่งยักษ์ยังหลับ มนุษย์อย่างพวกเรา ๆ โดนเข้าไปไม่ถึงห้านาทีหรอกครับ รับรองหลับสนิทไม่มีวันฟื้น สมัยผมเดินป่าแถบประเทศลาว ป่าทึบบริเวณใดก็ตามลองมีเจ้าดอกไม้พวกนี้ขึ้นอยู่ละก็เย็นใจได้ พวกสัตว์ป่าไม่ค่อยจะมีหรอกครับ พวกสัตว์มันรู้ด้วยสัญชาตญาณป่าของมันเอง”
“เพียงได้กลิ่น จาง ๆ ของมัน ดิฉันก็มึนหัวแทบจะแย่อยู่แล้ว ฤทธิ์เดชของเจ้ากล้วยไม้มรณะ คงจะเป็นบทเรียนที่ทำให้ ฉันต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษกว่าทุกคราว ถ้ามีโอกาสได้เจอมันอีก นับว่าเป็นประสบการณ์ ใหม่ ๆ เกี่ยวกับพืชพันธุ์ไม้เอเชียอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว”
“เอาละพวกเรา พักกันพอแล้ว รีบออกเดินทางต่อเถอะ” ผู้หมวดสาวกระซิบพร้อมกับส่งสัญญาณให้พวกนักรบรับจ้างเตรียมออกเดินทางต่อหลังจากหมดช่วงพักเดินเท้าพักประจำชั่วโมง หนุ่มจอมคาถาเพิ่งเห็นความทรหดอดทนของผู้หมวดสาวจากการเดินป่าด้วยกันครั้งนี้เอง
ต่อจากนั้นพวกเขาก็เคลื่อนที่ผ่านแมกไม้ที่แออัดยัดเหยียดทะลุออกมายังบริเวณป่าโปร่ง คณะนักรบผสมเดินไปเรื่อยๆและรู้สึกว่ายิ่งเดินก็เหมือนป่าผืนนี้ดูจะไม่มีจุดสิ้นสุด และในที่สุดก็หยุดพักกันอีกครั้งเมื่อรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงกันจนทนไม่ไหว ท่ามกลางความมืดที่ปกคลุม ทุกคนนั่งหอบเหนื่อย สองขาอ่อนแรงปวดเมื่อยจนแทบจะเดินต่อกันไม่ไหว
ชายผิวดำนั่งปลดกระดุมเสื้อแบะอกเสื้ออกคลายร้อย แล้วมองไปรอบๆพลางเอ่ยขึ้น “ทำไมตรงนี้มันคุ้นๆวะ?”
“จะไม่คุ้นอย่างไงหล่ะ ก็เราเดินผ่านไปแล้วนี่?” หมอผีหนุ่มหยิบก้อนหินที่ทำเครื่องหมายให้ทุกคนดู
ผู้หมวดสาวขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไง?”
“เราเดินหลงเป็นวงกลม มันจะวนไปวนมาไม่สิ้นสุด…วนอยู่รอบๆไอ้ภูเขาลูกเนี่ยะ!?”
“แล้วนี่จะต้องเดินไปถึงไหน ถึงจะออกไปจากป่าบ้าๆนี้ได้วะ!?!”
โจนนาธานได้ฟังก็ขึ้นลำปืนแล้วยิงกราดออกไปทั่วทิศ พร้อมตะโกนด่าทออย่างเหลืออดราวควบคุมสติไม่ได้
“ไอ้บ้าเอ้ย ย ย ย ย์…..ใครทำอย่างนี้วะ ออกมาสิโว้ย.ย..ย.ย…ย์..”
“เฮ้ย…สงบสติอารมณ์หน่อย….” พรรคพวกรีบเข้าห้าม
โจนาธานหยุดยิง แต่ยังตะโกนด่าเพื่อระบายอารมณ์ “พวกมึงเป็นใครกันวะ แล้วจะทำอะไรกับพวกกู ถ้าแน่จริงมึงก็โผล่หัวออกมาสิโว้ย.ย.ย..ย์….ออกมาเจอกับกูนี่ ไอ้ลูกหมาพ่อแม่ไม่สั่งสอน ออกมาๆๆๆ”
“เบาๆไอ้โจนาธาน มึงจะโวยวายไปทำไมวะ ดึงสติกลับมาก่อน”
“สะเออะอยากเป็นผู้หมู่ ถุย…เจอแค่นี้ก็โวยวายยังกะหมาถูกรถทับ ใครเป็นลูกน้องมึงก็ตายห่าหมด”
คนอื่นๆเข้ามาห้ามปราม และพูดปลอบใจ บางคนมองอย่างเบื่อหน่ายและพูดแดกดัน
ผู้หมวดสาวไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวห้ามปราม ปล่อยให้พวกเดียวกันช่วยกันเคลียร์ เธอเดินมาหาหมอผีหนุ่มที่นั่งอยู่
หมอผีหนุ่มยิ้มให้ แล้วมองไปที่กลุ่มนักรบรับจ้างที่กำลังวุ่นวายเพราะกำลังสติแตกกับข้าศึกลึกลับ
เขาบอกผู้หมวดสาว “ผมเพ่งกสิณ ใช้มนต์นำทางหรือเสกเป่าคาถาอะไรไม่ได้เลยในป่านี้…”
“คุณว่าเราทั้งหมดถูกพามาที่นี่ คุณพอเดาได้ไหมอะไรคือสิ่งที่พาเรามา แล้วพามานี่มีจุดประสงค์อะไร?” ผู้หมวดสาวนั่งลงข้างๆเขาแล้วถาม
“ผมยืนยันคำตอบเดิมคือไม่รู้ แต่ที่แน่ๆไม่ใช่เทพไพรผีพลายจ้าวป่าแน่ๆ”
ผู้หมวดสาวนิ่งไป แล้วเธอก็เอ่ยขึ้น “อยากรู้ไหมว่าทำไมดิฉันมาร่วมภารกิจนี้…”
“อยากเล่าให้ฟังก็เชิญ….”
ผู้หมวดสาวยิ้มบางๆ “ตอนที่ดิฉันยังเด็กๆ พี่ชายของดิฉันร่วมไปในคณะปฏิบัติการณ์ลับ และได้เจอสิ่งมีชีวิตลึกลับประเภทเดียวกับที่เรากำลังค้นหาจู่โจม ชายที่รอดมาเอาป้ายชื่อพี่ชายของดิฉันมามอบให้….”
“แสดงว่าไอ้ตัวนี้ไม่ใช่ภูตผี..”
“ใช่…ฟังดูเหลือเชื่อ ชายคนที่รอดเขาเล่าว่าพี่ชายของดิฉันถูกมันฆ่าโดยที่ช่วยไม่ทัน แต่เขาก็จัดการมันล้างแค้นให้แล้ว…”
“อื่อ..อ…อ์…ก็ดีนี่…ชีวิตชดใช้ชีวิต…”
ผู้หมวดสาวถอนหายใจเล่าต่อ “มันไม่จบแค่นั้น ต่อมามันก็ปรากฏตัวอีกหลายที่ มีคนสังเวยชีวิตไปอีกไม่น้อย ครั้งหนึ่งดิฉันเจอมันในเมืองจะๆ มัน…….”
หมอผีหนุ่มจ้องหน้าของผู้หมวดสาวที่สลดลงไป “คุณเคยเจอมัน เกิดอะไรขึ้น?”
“มันกำลังหนีการไล่ล่าและเพื่อนรักของดิฉันถูกลูกหลงจากอาวุธของมันตายไปต่อหน้าต่อตา จากนั้นมาดิฉันเลยอุทิศชีวิตศึกษาและตามล่าพวกมันจนได้มาอยู่ในหน่วยนี้….ดิฉันโกรธแค้นและชิงชังพวกมัน พวกมันทำเหมือนเราเป็นสัตว์ไล่ต้อนให้จนตรอกแล้วก็ฆ่าราวกับล่าสัตว์ในป่า…” ผู้หมวดสาวเล่าจบก็ตัวสั่นๆคล้ายเครียดแค้นปนสะเทือนใจ
“คุณคงแค้นฝังใจกับมันเลยซินะ ว่าแต่คุณศึกษามันมาตลอดเลยหรือ…”
ผู้หมวดสาวพยักหน้า “ฮื่อ.อ..อ..ดิฉันค้นคว้าและรวบรวมเรื่องราวของพวกมัน และจากข้อมูลของชายคนที่รอดมาคนแรกเล่าว่า มันล่าพวกเขาราวกับนายพรานล่าสัตว์ มันใช้อาวุธประหลาดๆ พรางตัวด้วยการหักเหของแสง และตรวจจับเราด้วยกล้องส่องความร้อนจากร่างกาย…”
“มันล่าพวกเรา ล่าคนนี่นะ…”
“ใช่….มันล่าคน….”
“เพื่ออะไร?”
“ดิฉันไม่ทราบ แต่มันทำเหมือนเป็นเกมส์ของพวกมัน….”
หมอผีหนุ่มผุดลุกเหมือนคิดออก “ใช่แล้ว….”
“อะไรหรอ?” ผู้หมวดสาวทำหน้างงๆ
หมอผีหนุ่มมองไปรอบๆตัว “ถ้าอย่างงั้น….ที่นี่ก็ถูกสร้างขึ้นมา แล้วเอาคนมาปล่อยไว้ จากนั้น…..มิน่าเล่า มันอย่างนี้นี่เอง…”
“ คุณรู้อะไรหรอ?” ผู้หมวดสาวถามอย่างสงสัย
“นี่แหล่ะเกมส์ของพวกมัน พวกเราทั้งหมดนี่คือเหยื่อของพวกมัน….”
“เกมส์ เหยื่อ…” ผู้หมวดสาวทวนคำ “ นี่หมายความว่ามัน..เห็นเราเป็นสิ่งไล่ล่าเล่นเป็นเกม และมันยังศึกษาพวกเรามาตลอดและรู้ทุกความเคลื่อนไหวของเรา..”
“คุณศึกษามันมานาน แค่นี้น่าจะเข้าใจ มันรู้ตั้งแต่พวกเราออกจากค่ายทหาร กระโดร่มลงมา และเราคือเหยื่อชุดใหม่ที่ถูกพวกมันต้อนเข้ามาเพื่อให้พวกมันล่าเป็นเกมเหมือนชุดอื่นๆ…”
“หมายความว่าที่เรายืนอยู่ตอนนี้คือพื้นที่ล่าเหยื่อของพวกมัน…”
“ใช่…คุณไม่สังเกตเลยหรือ ว่าที่นี่อากาศร้อนชื้น ไม่มีเสียงสัตว์ป่า บนฟ้าไม่มีดาว มองไปทิศทางไหนก็มีแต่ป่าและป่า ที่นี่เหมือนพื้นที่สงวนและจงใจให้คงสภาพไว้..เพื่อเป็นเขตล่า….”
ผู้หมวดสาวมองสภาพรอบๆแล้วทำท่าเข้าใจ “มิน่าเล่า ระยะหลังห้าปีที่ผ่านมาพวกมันจึงมาปรากฏตัวแต่ที่นี่ เพราะมันกำหนดแถบนี้เป็นพื้นที่ล่าของมันนี่เอง ไอ้พวกระยำ…”
“และเหยื่อก็คือพวกคุณที่สนใจพวกมัน ค่ายของคุณจะส่งคนมาให้มันล่าเองโดยไม่ต้องไปหาให้ลำบากเลย..”
“ใช่…พอออกมาจากค่ายเพื่อค้นหา พวกมันก็จะต้อนเข้ามา แล้วขังไว้ในนี้….งั้นตอนนี้พวกมัน…..”
หมอผีหนุ่มบอกเสียงเครียดๆ “พวกมันจับตาดูเราอยู่ และกำลังศึกษาว่าจะล่าพวกเราอย่างไง…”
“คุณเห็นมัน….”
หมอผีหนุ่มส่ายหน้า “ไม่……แต่รู้สึกได้ ….และมันจะเริ่มลงมือเมื่อพวกเราอ่อนล้า…”
“คุณเข้าใจได้อย่างไง…”
หมอผีหนุ่มมองไปรอบๆ “จากที่มันโจมตีผมเป็นคนแรก เพราะมันล่วงรู้ด้วยสัญชาตญาณของนักล่า…พวกมันประเมินฝีมือของพวกเรา นักรบรับจ้าง พลทหาร ผู้หมวดและสิ่งที่มันกลัวที่สุดคือ….”
“มันกลัวอะไรที่สุด…?” ผู้หมวดสาวถามอย่างมนใจ
หมอผีหนุ่มยิ้ม “จบเกมส์ของพวกมันคุณอาจจะได้รู้ ถ้าผมยังมีลมหายใจ…”
เสียงเอะอะของหมู่ทหารรับจ้างร้องเรียกทำเอาทั้งหมอผีหนุ่มและผู้หมวดสาวต้องหยุดคุยกัน
ทั้งสองเดินมาทางที่กลุ่มทหารยืนดู พอได้เห็นก็อ้าปากหวอ
ศพหลายสิบศพถูกผูกขาแขวนให้ห้อยหัวลงมาจากกิ่งไม้ สภาพของแต่ละศพถูกถลกหนังเห็นแต่หนังกำพร้าแดงแจ๋ดูน่าสยดสยอง คราบเลือดแห้งเกรอะกรัง ไม่ห่างจากตรงนั้นมีกองกระดูกมากมายทั้งของคนและสัตว์กลาดเกลื่อน ทำเอาหลายคนแสดงสีหน้าหวาดกลัวชัดเจน
นักรบรับจ้างคนหนึ่งเห็นเข้าถึงรำพึงขึ้นมา “นี่มันอะไรกันวะนี่?”
“เราอยู่ส่วนไหนของโลก และอยู่ในสนามรบแบบไหนวะนี่…”
ชายผิวดำเอ่ยขึ้น “มันเป็นการประกาศอาณาเขต เป็นการข่มขวัญผู้ล่วงล้ำ…”
“เอ็งรู้ได้อย่างไงไอ้มืด?” โจนาธานถาม
“ที่บ้านข้า…พวกนักรบเผ่ามากาวีมักทำอย่างนี้…เพื่อประกาศอาณาเขต และข่มขวัญศัตรู”
“มันคนละซีกโลกเลย คนละความหมายละม้าง…”
“ข้าว่าเจตนาของมันต้องเหมือนกันแหละ ไอ้พวกที่ทำเอาไว้มันต้องการให้พวกเรารู้สึกอย่างนั้นแน่ๆ”
“…..!!!…….” ฟังเหตุผลรองรับ ทำเอาทุกคนอึ้งไป
ผู้หมวดสาวหยิบป้ายแขวนคอของทหาร จี.ไอ.ที่ตกอยู่ขึ้นมาอ่าน “โรแลนด์ รอยส์…US. amy นี่เขาเป็นหนึ่งในชุดแรกที่เข้ามาเมื่อห้าปีก่อน แสดงว่า…”
“เขาได้รับเกียรติให้เป็นส่วนหนึ่งของกองกระดูกที่พวกเราเห็นกันหน่ะสิ…” โจนาธานบอกมา
ชายผิวดำเอ่ยเย้า “ข้าก็อยากให้เอ็งได้รับเกียรติบ้าง จะได้หยุดจ้อเป็นตุ๊ดสติแตกอย่างนี้”
“แค่นี้ก็คงชัดแล้วนะ นี่เป็นเกมส์ของพวกมันจริงๆ” หมอผีหนุ่มบอก
ผู้หมวดสาวพยักหน้า “เพราะความอยากรู้ของพวกเรา ทำให้กลายมาเป็นเหยื่อของพวกมัน…”
“แต่ผมไม่ยอมเป็นเหยื่อของมันหรอก…” หนุ่มจอมคาถาเอ่ยเสียงกร้าว
“เอ่อ…แล้วคุณจะทำอย่างไง?”
“…????…….” หมอผีหนุ่มยืนนิ่งไม่ตอบ
ชายหน้าบากฟังทั้งสองคุยกันให้สงสัย “เกมส์?! เหยื่อ?! อะไรกันหรอ?”
“อยากรู้จริงหรอ?” ผู้หมวดสาวถามกลับ
โจนาธานโวยขึ้นอย่างเหลืออด “อะไรฟ่ะ!!! อมความกันอยู่นั่นแหล่ะ ถ้ารู้อะไรก็บอกมาสิ…”
“เมื่ออยากรู้ก็จะบอกให้นะ…” ผู้หมวดสาวมองทหารรับจ้างทุกคนที่เดินล้อมเข้ามาฟัง…
และเธอก็เล่าทุกสิ่งที่เธอรู้ให้ฟังโดยไม่ปิดบัง
โจนนาธานอ้าปากโวยขึ้น “อะไรนะ! นี่เราคือเหยื่อในเกมส์ไล่ล่าของไอ้ตัวประหลาด สิ่งที่คุณบอกว่ามันคือคนไม่ใช่คนหรอ?”
“ป่าที่นี่เป็นสนามล่ามนุษย์ของไอ้พวกตัวประหลาด?” ชายผิวดำก็อุทานขึ้นมาด้วย
ชายหัวโล้นมองกองกระดูกและศพที่แขวนอยู่ “พวกเรากำลังจะมีสภาพอย่างนั้นหรอ?”
โจนาธานดึงคอเสื้อของผู้หมวดสาวอย่างฉุดเฉียว “ผู้หมวด…คุณหลอกให้พวกเรามาตาย…”
“ดิฉันเปล่าหลอกนะ ดิฉันก็เพิ่งรู้…”หญิงสาวบอกด้วยน้ำเสียงปรกติและมองมือที่จับคอเสื้อกล้ามและสบตาชายหน้าบากเป็นระยะๆ “ปล่อยมือจากฉัน”
“ตอแหล..!!!..”โจนาธานด่า “พวกอเมริกันทำได้ทุกอย่าง อย่าบอกว่าไม่รู้ หมวดจงใจพาเรามาเป็นเหยื่อไอ้พวกเวรตะไลนั่น หมวดต้องรับผิดชอบ” โจนาธานกระชากจนคอเสื้อกล้ามยืด สองเต้าขาวๆอวบๆแทบทะลักออกมาทั้งพวง
แต่พลทหารสองคนที่ตามผู้หมวดสาวมาชักปืนมาจ่อหัวของโจนาธานคนละฝั่ง เสียงขึ้นไกปืนดัง ‘กรึ๊บ’
คนหนึ่งเอ่ยบอกเสียงเข้มๆสีหน้าเอาจริง “ปล่อยผู้หมวดเดี๋ยวนี้…”
“มึงกล้าเอาปืนจ่อหัวกูหรอ?”โจนาธานหันไปมองตาดุๆแล้วถามเหี้ยมๆ
“ฉันไม่สนว่าแกจะเก่งกาจแค่ไหน แต่ขอสาบานต่อกองกระดูกตรงนี้ ถ้าแกไม่ปล่อยมือจากผู้หมวดฉันระเบิดหัวของแกแน่ๆ” เสียงเหี้ยมๆเอ่ยสำทับ พร้อมจะลั่นไกทันที
เมื่อเห็นว่าสองทหารทำท่าเอาจริงมันจึงปล่อยมือจากคอเสื้อผู้หมวดสาว แต่ไม่วายอาฆาต
“เอาไว้กลับไปค่อยสะสางกัน…”
“รอดกลับไปเป็นๆให้ได้ก่อนเถอะ ค่อยคิดเรื่องสะสาง..” ผู้หมวดสาวสำทับไล่หลังไป
ผู้หมวดสาวเดินมาหาหมอผีหนุ่ม เธอมองเขาที่เพ่งสายตาไปเบื้องหน้า เมื่อเห็นเขานั่งนิ่งเธอจึงเอ่ยถาม “คุณจะเอาอย่างไงต่อไป”
“คนนำทีมคือคุณนะหมวดคิตตี้ อำนาจตัดสินใจอยู่ที่คุณ…” หมอผีหนุ่มบอกกลับมา
เธอหันไปมองกลุ่มนักรบทั้ง ๘ ที่มองเธอแบบขุ่นเคือง แล้วหันกลับมาถอนหายใจระบายความกลัดกลุ้ม
“แต่ตอนนี้….ฉันบอกตรงๆว่าไม่รู้ว่าจะพาทุกคนไปทางไหน มัน….”
“ตอนนี้คือภาวะทดสอบสภาวะความเป็นผู้นำของคุณ ช่วงนี้ผู้หญิงมาแรงเชื่อมั่นในตัวเองเข้าไว้..”
หมอผีหนุ่มบอกติดตลกเพื่อให้เธอรู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง
“ฮื่อ..อ.อ…อ์…เอาก็เอา….” ว่าแล้วเธอก็เดินไปที่กลุ่มทหาร
หมอผีหนุ่มยิ้มตามหลังเธอไปแต่แล้วก็ทำหน้าเครียดๆและหันไปทางแนวป่าด้านหลัง
“…..!!!…….”
เขามองไปที่กิ่งไม้มันมีบางอย่างกำลังเคลื่อนไหววูบวาบๆ เขาจ้องอย่างไม่ละตาและล่วงรู้ว่ามันกำลังจ้องกลับมาเช่นกัน ถึงตรงนี้หนุ่มจอมคาถาเริ่มเข้าใจบางอย่างบ้างแล้ว เหตุที่เขาส่งจิตถึงภูตลำดวนไม่ได้เพราะเข้ามาที่นี่เอง และลำดวนผีสาวคงกำลังอยู่ในป่าเบื้องนอกที่ไหนสักแห่ง และเงาวูบวาบๆนั่นก็ค่อยๆขยับลงมาบนพื้น มันตรงมาหาเขาช้าๆ เขาสัมผัสถึงจิตสังหารแม้นมองเห็นไม่ชัดแจ้งแต่หมอผีหนุ่มล้วงย่ามเตรียมอาวุธ จนกระทั่งมันอยู่ในระยะแค่ ๓ – ๔ หลา ก่อนจะเกิดการปะทะ ทันใดนั้น
‘หมับ!’
‘ฮะ…เฮ้ย!!!’
มือข้างหนึ่งแตะไหล่ของเขา ทำเอาเขาสะดุ้งเฮือกและหันไปมอง เป็นพลทหารที่ติดตามมานั่นเอง เขาว่า “ผู้หมวดให้มาตามไปรวมกลุ่ม เราตกลงจะเดินทางหาที่สูงเพื่อยึดเป็นที่มั่น รอจนพระอาทิตย์ขึ้นค่อยคุยกันอีกที…”
“อื่อ.อ.อ..อ์….” เขาพยักหน้า แล้วหันกลับไปมองที่เดิมปรากฏว่าไม่เห็นอะไรเสียแล้ว
พลทหารเห็นเขามองคล้ายกำลังหาอะไรจึงถามอย่างสงสัย “มีอะไรหรอ?”
“มะ….ไม่มีอะไรหรอก..” เขาบอกแล้วเดินตามพลทหารไป
ขณะเดินๆอยู่เชือกรองเท้าหลุด พลทหารคนนั้นจึงก้มลงผูกใหม่ให้แน่นหนากว่าเดิม
“มาสเตอร์ สินไปหาผู้หมวดก่อนเถอะนะครับ เดี๋ยวผมจะตามไป”
หมอผีหนุ่มจึงเดินล่วงหน้าไป แต่แล้วเขาต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงดังฉึกคล้ายๆเหล็กเจาะทะลุเนื้อ
‘อั๊กกกกกกก…………’ เสียงร้องในลำคอดังตามมาเป็นลำดับต่อไป
‘ !!! ’
เมื่อเขาหันไปก็เห็นพลทหารคนนั้นถูกเหล็กแหลมๆสามอันเสียบทะลุอกจากด้านหลัง ใบหน้าของเพลทหารหนุ่มแสดงความเจ็บปวดอย่างสุดแสนและแหกปากร้องลั่น ร่างของเขาถูกยกขึ้นโดยสิ่งที่มองไม่เห็นจนร่างใหญ่ๆลอยดิ้นทุรณทุรายลอยอยู่กลางอากาศ ท้าวทั้งสองข้างไม่ติดพื้น…
“อั๊กกก…อ้ากก..ก.ก..ก…ก์……” ร่างเคราะห์ร้ายร้องแล้วพยายามดิ้นรณเอาชีวิตรอด
หมอผีหนุ่มชักดาบฟ้าลั่นออกมา แล้ววิ่งเข้าไปหา “ไอ้เดรัจฉานปล่อยเขานะ….”
ยังไม่ทันที่หมอผีหนุ่มจะวิ่งไปถึง ร่างของพลทหารก็ถูกโยนกลับมาใส่หาเขา หมอผีหนุ่มรีบอ้าแขนรับไว้และร่างใหญ่ๆก็ทับร่างของเขาจนงกลิ้งไปด้วยกันหลายตลบ พอตั้งหลักได้เขาก็ประคองร่างของพลทหารพลบางถามไถ่อาการ แต่พลทหารคนนั้นก็ตาเหลือกชักกระตุกสอง – สามทีเลือดออกปากออกจมูกก็แน่นิ่งไป เสียงเอะอะทำเอาทุกคนแตกตื่นวิ่งมา เมื่อมาถึงและได้เห็นสภาพแล้ว ทุกคนไม่ต้องถามก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อาวุธปืนถูกเล็งหาเป้าหมายทันที
“มันอยู่ตรงไหน?!” โจนาธานมาถึงคนแรก ตะโกนถามวาดกระบอกปืนเฮซเคในมือไปมา
“ไม่รู้!” หมอผีหนุ่มตอบ “อยู่ๆมันก็ย่องเข้ามาเสียบอกทรูแมน ผมมองไม่เห็นมัน”
ผู้หมวดสาวจับตัวพลทหารเขย่าเรียก “ทรูแมนๆๆ…..เป็นไงบ้าง?..”
“เขาเจ็บสาหัสมาก…”หมอผีหนุ่มบอก แล้วจับไหล่ของเธอปลอบใจ
“ใครทำ? มันหรอ? แล้วคุณปล่อยให้มันทำได้อย่างไง?”ในขณะที่ผู้หมวดสาวพะวักพะวนเหมือนกับคนฝันร้ายอยู่นั้น หมอผีหนุ่มจับไหล่แล้วบอกหมวดสาว
“ใจเย็นๆ ผมไม่ได้อยากให้เกิด แต่มันลอบกัดเรา…”
“ลากทรูแมนไปหลังโคนต้นไม้โน่นก่อน… ผมคนเดียวไม่ไหวแน่”พลทหารอีกคนเอ่ยบอก
แล้วทั้งสามก็ช่วยกันลากร่างของพลทหารเคราะห์ร้าย เข้าไปหลังโคนต้นไม้ และพลิกร่างของเขาขึ้นมานั่งพิงกับโคนต้นไม้ หมอผีหนุ่มพรวดเข้ามาจับข้อมือด้วยท่าทางรีบร้อน เขานิ่งไปชั่วอึดใจพลทหารอีกคนก็จับชีพจรเพื่อนดูบ้างแล้วก็อุทานออกมาค่อนข้างดัง “โอ้ว…มายก็อด ชีพจรทรูแมนเต้นอ่อนเต็มที….บาดแผลอะไรใหญ่ขนาดนี้วะ เขาไม่น่าทนอยู่ได้ถึงขนาดนี้เลย… หมวดครับ น่ากลัวจะหมดหวังเสียแล้วละครับ”
“อักๆๆ อึ้กกกก…….” ร่างนั้นกระตุกอย่างแรงอีกครั้ง ตาเหลือกเลือกไหลออกจากทางปากเป็นลิ่มๆ เพื่อนทหารพยายามปลอบและเอามือกดบาดแผลที่หน้าช่องท้องปากก็พึมพำ ออกมาไม่ขาดระยะ
“หมวดครับๆ ทรูแมน มันไม่ไหวแล้ว มันกำลังจะตาย มันใช้อะไรทำร้ายเขานะ บาดแผลมันถึงได้บานเบอะขนาดนี้… ไอ้หอก เคราะห์ร้ายจริงๆ เพื่อนผมหมดลมแล้วครับ… ผู้หมวด!”
ในขณะที่พูดเพื่อนทหารคนนั้นก็เอื้อมมือขึ้นไปปิดดวงตาที่เ