ศึกหมอผี ตอนที่ ๒๒
เสือ-สาง
เมื่อกลับมาถึงแคมป์บรรดาลูกหาบฮือฮาในหมู่ป่าตัวใหญ่ที่ล่าได้มา พรานเส่งคุยขรมอวดว่าเป็นฝีมือของหนุ่มหมอผีเพื่อสร้างความเคารพยำเกรงฝีมือในหมู่ลูกหาบ จากนั้นก็นำหมูป่าไปชำแหระแจกจ่ายทำอาหารเช้า เมื่อเสร็จสรรพกับอาหารมื้อเช้าพักผ่อนประมาณครึ่งชั่วโมงก็สำรวจตรวจตราข้าวของเพื่อเตรียมตัวเดินทางกันต่อ แต่ก่อนจะออกเดินทางพวกเกลุ่มผู้ดีชาวพระนครก็ล้อมวงคุยกันเล็กน้อย และเรื่องที่ยังอยู่ในความสนใจให้พูดคุยก็คือเจ้าลายพาดกลอนทั้งสองที่ออกมาแสดงตัวชิงอาณาเขตกัน
เสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่มไพร รถทุกคันพร้อมออกเดินทางอีกครั้งหลังพักมาเต็มๆหนึ่งคืน เพื่อเก็บแรงไว้สำแดงสมรรถนะในหนทางวิบากเบื้องหน้าที่เป็นป่าเขาอันมีจุดหมายคือหมูบ้านกระเหรี่ยง
“ไอ้สัน ไอ้ไซเมี่ยง ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วใช่มั๊ย” หนุ่มจอมคาถาเดินสำรวจตรวจตราเป็นครั้งสุดท้าย
“เรียบร้อยครับพ่อหมอ ออกเดินทางได้เลย” เจ้าสันตะโกนบอกมาจากหลังคารถยีเอ็มซี
“ดีมาก อย่าว่าข้าเซ้าซี้นะ มันต้องเคร่งครัดหน่อยเพราะทางข้างหน้ามันวิบากมาก”
เขากำชับพร้อมมองดูการจัดการสัมภาระทุกอย่างด้วยความแคล่วคล่องว่องไว ด้วยระเบียบวินัยและระบบหมู่อันฝึกฝนกันมาโดยช่ำชองชำนาญดี
แล้ว ประหนึ่งหมู่กองทหารที่ฝึกทัพจับรบมาเชี่ยวชาญดี ก็ย่อมจะพร้อมต่อศึกฉะนั้น
หันมองไปทางกลุ่มผู้ดีกำลังจัดการสัมภาระส่วนตัวมีสาวผู้ดีนั่งพักอยู่ยังโขดแง่หินหนึ่งอันงอกออกมาราวกับจะเป็นม้านั่งอย่างดี พื้นนั้นราบเรียบและแบนตั้งขึ้นมาเป็นแท่นพื้นที่กว้างพอจะเป็นลานนั่งอันดี หญิงสาวยกมือขึ้นโบกพัดไล่ความร้อน ยกผ้าเช็ดหน้าอันยังชุ่มน้ำนั้นขึ้นซับเหงื่อที่ซึมออกมาเพราะอากาศเริ่มร้อนอบอ้าวขึ้นเรื่อยๆ
หนุ่มจอมคาถาบอกคุณชายใหญ่และสหายให้ไปขึ้นรถขณะหญิงสาวยังนั่งซึมราวเป็นนางเอก MV.
“คุณหญิงครับ ไปกันได้แล้วครับ จะสายแล้ว”
“ฮื่อ…” หญิงสาวพยักหน้ารับแล้วเอ่ยถามกลับมา “เวลาเดินป่า เราต้องเจออะไรแบบนี้เสมอๆหรือเปล่า?”
อยู่ๆหญิงสาวถามมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย “ก็แล้วแต่ครับ บางครั้งก็เจอเรื่องหลายเรื่องแบบไม่น่าเจอ มีคติหนึ่งสำหรับนักเดินป่า ที่พ่อผมเคยบอกเอาไว้และผมยังจำได้ดี คือ ‘นักเดินป่าคนเดียวกัน เข้าป่าสิบครั้ง ก็ยังเจออะไรไม่เหมือนกันสักครั้ง ในเส้นทางเดิมๆ’ แล้วนี่ไม่ใช่ป่าธรรมดา แต่อาจจะเป็นป่าอาถรรพณ์ อะไรมันจะเกิดขึ้นทำนองไหน และก็ไม่อาจจะรู้ล่วงหน้าได้เลย ฉะนั้นเราต้องทิ้งเรื่องอื่นๆไว้เบื้องหลัง มาตั้งหน้าตั้งตามุ่งหน้าไปสู่จุดหมายกันดีกว่า…ทุกคนรอคุณหญิงอยู่ อยากถามอะไรไปถามบนรถเถอะครับ เราเสียเวลาที่นี่มาเยอะแล้ว”
“อื่อๆรอเดี๋ยวนะ เก็บของแป๊บ”
สาวผู้ดีลุกขึ้นจากแท่นหินและก้มลงเก็บสิ่งของใส่กระเป้าเป้ เขาเองก็ยืนรอเพื่อจะเดินไปพร้อมๆกัน ผมโบกลมเข้าหาตัวไล่ความร้อน สายตาจับจ้องมองอยู่ที่แผ่นหลังของหญิงสาวในชุดเดินป่าตัดเย็บด้วยผ้าเวสปล๊อยพอดีหุ่น เน้นส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจนยวนตาน่าดู ยิ่งมีเหงื่อซึมทั้งแผ่นหลังและข้อพักมันช่างเร้าใจอย่างประหลาด สัดส่วนที่พอเหมาะพอเจาะราวผีบรรจงปั้นอย่างตั้งใจงดงามจนธรรมชาติป่าอันสดชื่นรอบๆตัวดูมัวหม่นไปอย่างเทียบไม่ได้
หนุ่มจอมคาถาจับจ้องใบหน้าเรียวงาม ผมยาวสลวย ริมฝีปากบาง บ่งบอกถึงความดื้อรั้นและมั่นใจในตัวเอง ยามเมื่อร่างนั้นขยับตัว เงาของทรวงอกที่เลือนรางภายใต้เสื้อบางเบานั้น มองเห็นสองเต้าอวบใหญ่จนยกทรงแทบปิดไม่มิด ดันเสื้อชั้นนอกพุ่งตระหง่านออกมา เลื่อนสายตาไปด้านล่าง กางเกงเดินป่าแนบเนื้อ ทำให้มองเห็นช่วงขาอวบแน่น ผมกลืนน้ำลาย เมื่อร่างนั้นขยับตัวอีกครั้ง ‘ไม่ได้ตั้งใจคิดลามกนะ แต่…’
แต่แล้วหนุ่มจอมคาถาต้องชะงักหยุดคิดลากมกทั้งปวงลงทันที เมื่อคลองจักษุเหลือบไปพบเข้ากับอะไรอย่างหนึ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ด้านหลังของสาวผู้ดีห่างไปเพียงสองวา ชะรอยว่า..เพราะเขาคิดไม่ดีหรือเปล่าหนา เจ้าป่าเจ้าเขาจึงลงโทษ ส่งเจ้าสัตว์ที่น่าขยะแขยงมาเตือนสติให้ระมัดระวังความคิด แต่คงจะส่งมาใหญ่ไปหน่อยนะ ในความคิดของเขา
สิ่งที่จอมคาถาหนุ่มเห็นมันเป็นลำตัวยาวลื่นของอะไรชนิดหนึ่ง ดำสนิทเป็นเงาวาววาม มันปลาบ ค่อยๆเขยื้อนเลื้อยทีละน้อยจากซอกโพรงหินด้านโน้น ขนาดราวๆกิ่งไม้ใหญ่ หรือประมาณเท่าท่อนขาส่วนหน้าแข้ง และมาหยุดอยู่ที่ด้านหลังของแม่สาวผู้ดีใน ระยะไม่เกินวาหนึ่งเท่านั้น
ส่วนหัวของมัน ก็ค่อยๆชูหราขึ้น ทีละน้อย ทีละน้อย ลิ้นสองแฉกแลบแปลบไวปานสายฟ้าสองสามที ราวกับจะสูดกลิ่นว่า อะไรนะ? ที่ยืนจังก้าหันก้นงอนงามอยู่ตรงหน้ามัน ณ บัดนี้
หนุ่มจอมคาถายืนตัวแข็งทื่อเบิกตาโพลง เมื่อตระหนักรู้ว่าท่อนดำมันที่เลื้อยเข้ามาแผ่พังพานอยู่นั้น คืออะไร ถึงจะใหญ่ไม่เท่าจงอาง แต่นี่ ก็เป็น ‘งูเห่าดง’ ตัวขนาดเขื่องๆเลยทีเดียว!
หากเป็นการเผชิญหน้าตัวต่อตัว งูเห่าตัวเท่านี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับจอมเวทย์ผู้เก่งกาจอย่างเขาเลยสักนิด แต่นี่มันดันมาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของหญิงสาวที่ไม่มีวิชาป้องกันตัวใดๆนอกจากปากดีนิสัยเอาแต่ใจไปวันๆเท่านั้น ทำเอาหนุ่มจอมคาถาเกิดอาการลังเลตัดสินใจไม่ถูก เนื่องจากไม่แน่ใจว่า อะไรมันจะเกิดขึ้นต่อไป ในลักษณะไหน และต้องถือเอาหลักความปลอดภัยของหญิงสาวไว้ก่อนเป็นสำคัญ
เมื่ออสรพิษร้ายแห่งพงไพรนั้นยกหัวผงกขึ้นแลบตวัดลิ้น สูดกลิ่นเป็นครั้งที่สามหรือสี่ หนุ่มจอมคาถาก็เอื้อมมือขวาไปจับได้ด้ามปืนพกสั้นขนาด .๓๕๗ ซิงเกิ้ลแอคชั่น ประจำมือ อันติดซองเอวไว้เบื้องซ้ายของตนซึ่งเพิ่งได้รับมาจากคุณชายใหญ่หลังมื้อเช้า เนื่องจากเขาไม่พกอาวุธปืนใดๆมีเพียงดาบวิเศษสะพายหลังเป็นอาวุธเท่านั้น แม้จะปฏิเสธแต่คุณชายใหญ่ก็คะยั้นคะยอจนเขาต้องรับมา และนึกไม่ถึงว่าจะได้ใช้อย่างรวดเร็ว เขาดึงปืนขึ้นมากุมไว้ให้ถนัดมือ ขาทั้งสองข้างถ่างออกช้าๆปลายจิกพื้นเป็นหลักมั่น หรี่ตาเล็งพร้อมที่จะปล่อยกระสุน
มันเป็นแต่การเตรียมพร้อมเท่านั้น เพราะแท้ที่จริงแล้วผมก็ไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าทำร้ายสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตใด อีกเว้นก็แต่ยามจำเป็น ตามที่ได้ปฏิญาณเอาไว้แก่ตนเองเมื่อนานมาแล้ว…หากว่าเจ้าเห่าดงตัวนั้น ลดหัวลง และเลื้อยหายไปอย่างช้าๆ เขาก็จะลดปืนลงบ้าง แต่หากมันผงกหัวสูงขึ้นและทำทีท่าอันว่าจะฉกกัดทำอันตรายสาวผู้ดีในบัดนี้ เขาก็จำเป็นต้องลั่นกระสุนออกไปอย่างไม่อาจจะยับยั้งไว้ได้
หนุ่มจอมคาถายกมือซ้ายขึ้นกุมคร่อมข้อมือขวา เพื่อที่ว่าหากมันเกิดเหตุดังนั้นขึ้นแล้ว กระสุนนัดนั้นจะไม่พลาดไปได้ เป็นการป้องกันการพลาดไว้อีกชั้นหนึ่ง
ระหว่างนั้นในใจ ก็คิดแผ่เมตตา
‘อสรพิษเอย เจ้ากับข้านั้น ล้วนแต่มีเลือดเนื้อและชีวิตเหมือนกัน หากว่าเจ้ากับข้านั้นมิได้มีเวรกรรมอันก่อกันมาแต่ปางก่อน ก็ขอให้จงล่าถอยไปเสียเถิด ข้านี้มิได้มีเจตนาจะทำร้ายเจ้าก่อนเลย แต่หากเจ้านั้นมีเจตนาที่จะทำร้ายนายหญิงที่ข้าคอยดูแล ข้าก็จำเป็นจะต้องปลิดชีพเจ้าลงเสียแล้ว ทางใครทางมันเถิดนะ….’
ข้างฝ่ายแม่สาวผู้ดีนั้นจะได้ล่วงรู้ว่ามีอะไรมาชูหัวเตรียมจะฉกจะกัดอยู่ข้างหลังก็หาไม่ กลับจ้องมองการกระทำของหนุ่มจอมคาถาอย่างประหลาดใจที่อยู่ก็ตัวแข็งทื่อและค่อยๆชักปืนขึ้นมาปลดห้ามไกและค่อยๆยกเล็งไปที่เธอ และแววตาก็ปรากฏอาการไม่เชื่อถือขึ้นราวกำลังคิดว่าเขาล้อหล่อนเล่นให้ตกใจ สองตากลมโตจ้องมองหน้าหนุ่มจอมคาถาอย่างระอาแล้วก็ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเท้าสะเอว เบ๊ปากแบบเบื่อๆ
“จะแกล้งอะไรฉันอีก เอาปืนมาจ้องไว้ฉันทำไม ไหนบอกว่าห้ามเอาปืนจ้องคนอื่นไง!?”
อาจจะด้วยอาการนั้นก็ได้ที่ทำให้อสรพิษร้ายนั้นเกิดอาการอันเรียกได้ว่า ‘ไม่น่าไว้ใจ’ก้นงอนๆแน่นเนื้อตรงหน้า เพิ่มขึ้นไปอีก เพราะมันชูหัวร่าขึ้นกว่าเดิม ขู่เสียงดังฟ่อออ….สภาพพร้อมฉกใส่แก้มก้นงอนงามตรงหน้าของมันตลอดเวลา
เพราะเสียงนั้นเองที่ทำให้หญิงสาวได้ฉุกใจขึ้นว่า ข้างหลังกำลังมีสัตว์อะไรชนิดหนึ่งปรากฏตัวอยู่เบื้องหลังและพอจำแนกได้ว่าเป็นอสรพิษแน่แท้ สองตากลมโตกรอกไปมาพยายามเหลือบดูด้านหลังโดยไม่กล้าขยับตัวด้วยคงจะเรียนรู้หลักการป้องกันตัวจากอสรพิษในป่ามาพอสมควร เธอจึงข่มใจยืนให้นิ่งที่สุด
“อย่าขยับนะ เห่าดง ตัวใหญ่มาก ไม่แน่ใจหมอจะเตรียมเซรุ่มกันพิษงูมาด้วยหรือเปล่า”
หญิงสาวหน้าซีดเผือดเมื่อรู้ว่าสิ่งที่อยู่ข้างหลังคืออสรพิษ สัตว์เลื้อยคลานที่ผู้หญิงส่วนใหญ่หวาดกลัวจริงๆ
แต่ก็แข็งใจพูดออกมาเบาๆในลำคอบอกผมว่า “เป่ามันเลยนะ ถ้ามันจะกัดฉัน แต่อย่ายิงโดนฉันหล่ะ เพราะฉันยังไม่ได้แต่งงานนะ นายก็รู้”
“หน้าสิ่วหน้าขวานแท้ๆยังจะมาห่วงเรื่องนี้อีก ไร้สาระจริงๆ”
“จะยิงได้หรือยัง ฉันเกร็งจนตะคริวจะกินแล้วนะ เสียงของมันขู่ฟ่อๆใกล้หูฉันแล้ว อี้ย์…”
“ผมเล็งไม่ได้ เพราะคุณหญิงยืนบังอยู่ แต่จะขยับก็ไม่ได้เพราะกลัวจะกระตุ้นมันให้ทำร้ายคุณหญิง ระยะมันใกล้ตัวคุณหญิงมากๆ มากจนผมไม่กล้าจะยิงเพราะกลัวพลาด และที่สำคัญผมก็ไม่อยากจะฆ่าสัตว์อีกแล้ว”
“แล้วจะปล่อยให้มันกัดฉันตายหรือไง จะทำอะไรก็บอกมา ฉันเสียวนะ อี้ย์…”
ทุกคำพูดระหว่างทั้งสองคนนั้น เบาแค่พอได้ยิน สำหรับระยะเท่านั้น เพื่อไม่ให้เป็นที่กระโตกกระตากแก่ไอ้ตัวที่อ้าปากแดงฉานตวัดลิ้นสูดกลิ่น และแสยะเขี้ยวทำท่าจะฉกลงอยู่นั้น จึงไม่ล่วงไปถึงหูของบรรดาคนอื่นๆที่กำลังอยู่บนรถซึ่งติดเครื่องเสียงดังกระหึ่ม
“คุณหญิงอย่าขยับเป็นอันขาด ตอนนี้มันกำลังยกหัวขึ้นอีกแล้ว และระยะนั้น จะกระโดดหลบหรือทำอย่างไรคงไม่ทันแน่ และมันคงจะฉกคุณหญิงในไม่ช้า ผมจะยิงละนะ”
“จะยิงแล้วจะให้ฉันหลบไปทางไหน บอกมาก่อนจะยิง อี้ย์มันขู่ฟ่ออีกแล้ว!”
หญิงสาวทำท่าขยาดแขยงกัดริมฝีปากแน่น หนุ่มจอมคาถาง้างนกปืนดังกริก ไม่ตอบคำถามนั้น แต่เบนศูนย์ปืนขึ้นจับเอาส่วนหัวของไอ้อสรพิษร้ายแห่งพงไพรนั้นทันที กะไม่ให้พลาดไปได้ ก่อนที่จะตัดสินใจ กระดิกลั่นไกออกไปในบัดนั้นเมื่อจับเป้าหมายได้
กระสุนปืนพกสั้นก็แผดเสียงขึ้น!!
เปรี้ยงงงง….
บรรดาชาวคณะที่อยู่บนรถ พากันตกใจสะดุ้งโหยงขึ้นสุดตัว แตกตื่นพากันคว้าปืนผาหน้าไม้อาวุธประจำกายขยับตัวลงจากรถเข้าหาที่หมอบซุ่มกำบังสอดส่ายสายตามองหาที่มาของเสียงปืนด้วยคาดว่าถูกซุ่มโจมตีตามที่หนุ่มจอมคาถาเคยเกริ่นๆเตือนไว้เสมอ โดยไม่ทันเฉลียวใจว่าเหตุที่มีเสียงปืนมาจากเขายิงเจ้าอสรพิษ
ซึ่งขณะนั้นทางด้านที่จอมคาถาหนุ่มเผชิญหน้ากับเจ้าอสรพิษได้เกิดกลียุคขึ้นเสียแล้ว เพราะกระสุนนัดนั้นของเขา ซึ่งสมควรจะเข้าเป้าอันเป็นศีรษะของเห่าดงนั้น กลับพลาดไปเจาะทะลุต้นไม้ด้านหลังกระจุย ด้วยเหตุเพราะว่า มันเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ไอ้ตัวไม่มีตีนนั้นฉกลงมาพอดีวิถีกระสุนจึงลอยข้ามหัวมันไปอย่างฉิวเฉียด
เคราะห์ยังดีอยู่ เพราะวินาทีเดียวกันกับที่มันฉกลงนั้นเอง เป็นจังหวะที่สาวผู้ดีซึ่งกะจังหวะกับเสียงปืนอยู่แล้ว กระโจนโผงออกจากที่เบี่ยงออกจากชะง่อนผานั้นเข้ามา โดยโดดข้ามหัวมันออกซ้ายไป เฉียดเขี้ยวงูไปเพียงเส้นยาแดงเดียวซึ่งทำได้อย่างน่าชมเชยในทักษะการเอาตัวรอด
หนุ่มจอมคาถาเองใจหายวาบ…ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะยิงพลาดอย่างไม่สมควรและไม่เป็นท่าที่สุดเท่ากับครั้งนี้ แค่ระยะสามวาเท่านั้น หัวกระสุนกลับแล่นฉิวหายไปอย่างไร้ประโยชน์ แต่จะว่าไปก็อาจจะเป็นบุญของไอ้อสรพิษร้ายนั้นก็เป็นได้ที่ฉกลงเสียก่อน มันจึงยังไม่ถึงที่ตายวายชีวา
บัดนี้ ไอ้ตัวยาวไร้ตีนนั้นยกหัวขึ้นอีกครั้ง ตวัดตัวหมุนติ้ว ขู่ฝ่อๆ
แล้วก็พุ่งปราดเข้าหาสาวผู้ดีที่ยังเงอะงะงงงันอยู่ในบัดนั้น
‘กรี๊ดดดดดดด’
สาวผู้ดีพอตั้งหลักได้และเห็นเจ้าอสรพิษเต็มตาก็กรีดร้องออกมาสุดเสียงด้วยความหวาดกลัว
ส่วนหมอผีหนุ่มยกปืนสั้นในมือวาดปลายกระบอกเข้าหาเป้าอีกครั้ง
“ตั้งสติไว้ ผมจะจัดการมันเอง!”
“กรี๊ดดดดดดด” เหมือนหญิงสาวจะไม่สนใจคำบอกของเขา เห็นตัวมันโดยถนัดและรู้แน่ว่ามันเอาแน่แล้ว ก็กระโจนออกไปอีกสอง – สามช่วงตัวและเกือบสะดุดล้มแต่ก็ทรงตัวอยู่ได้
ขณะนั้นเอง หนุ่มจอมคาถาก็ลั่นไปส่งลูกกระสุนสังหารขึ้นอีกนัดหนึ่ง
กระสุนนัดนั้นก็ยังไม่เข้าเป้าอยู่ดี เนื่องจากมือปืนนั้นกำหนดเป้าได้แล้ว แต่กำหนดจังหวะยังไม่ถูก เพราะเป็นจังหวะเดียวกันกับที่มันพุ่งไล่ฉกแม่สาวผู้ดีออกไปพอดี ซึ่งหญิงสาวต้องรีบโดดหลบอีกเป็นครั้งที่สาม
การพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีกของหนุ่มจอมคาถาทำเอาแทบจะเสียความมั่นใจ เพราะนอกจากยิงไม่โดนแล้ว เจ้าอสรพิษยังหันมาชูคอขู่ฟ่อๆคล้ายๆเยาะเย้ย จากนั้นก็หันไปไล่ฉกใส่สาวผู้ดีที่ต้องคอยกระโดดหลบไปแหกปากร้องกรี๊ดๆไปด้วย อยากจะเดินเข้าไปหาแล้วกระทืบเอาดื้อๆ แต่รองเท้าของเขานั้นมันไม่หนาอะไรนัก ถ้ามันฉกลงได้ก็ถึงเนื้อทีเดียว จึงไม่กล้าจะเสี่ยงเอาเท้าเข้าเล่นเอาเถิดเจ้าล่อ เพราะถึงแม้ว่ายาแก้พิษงูและเขี้ยวสัตว์นานาประการของหมอประจำคณะจะมีติดมาบ้าง แต่มันก็จะเสียเวลาไปโดยใช่เหตุ ที่จะมานั่งดูดพิษกันอยู่ ส่วนเรื่องหนังเหนียวอยู่ยงคงกระพัน สำหรับวันนี้เขายังไม่ได้ร่ายคาถามหาอุตม์คุ้มครองร่างกายจากเขี้ยวงาทุกสิ่งอีกด้วย นับว่าเขาประมาทไปจริงๆ
ขณะนั้นเจ้าอสรพิษไล่ฉกสาวผู้ดีซึ่งกระโดดหลบไปจนถึงโขดหินใหญ่โดยที่ตัวมันเลื้อยตามมาชูคอจังก้าดักหน้าเพื่อปิดทางหนี มันค่อยๆเลื้อยแลบลิ้นสองแฉกถี่ๆและสองตาจ้องสาวผู้ดีไม่ละ ส่วนหญิงสาวตะเกียกตะกายหนีขึ้นบนยอดโขดหินอย่างลนลานหวาดกลัว
หนุ่มจอมคาถารีบวิ่งเข้าไปหาจากด้านข้างขณะที่เจ้างูชูคอขึ้นหมายจะฉกหญิงสาว ซึ่งอยู่ในระยะหนึ่งวาหรือไม่ถึงเมตรครึ่งซึ่งเรียกว่าเผาขนเลยทีเดียว เมื่อเขากดโป้งเน้นๆเป็นนัดที่สามกะเอาให้ตายในนัดเดียว แต่ทว่า…มันก็ยังไม่โดนอีก ขณะเจ้างูฉกสวนกลับมาต้องกระโดดถอยหลังหลบแทบไม่ทัน
“โว้ยๆๆ ทำไมยิงไม่โดนวะ!?” เขาร้องเสียงลั่นอย่างขัดใจ แล้วก็ข่มใจให้เป็นปกติ สูดลมหายใจเข้าลึก ตั้งสติยกปืนเล็งไปที่เจ้างูเห่าตัวร้ายอีกครั้ง คราวเขาตัดสินใจรัวยิงติดๆ ปังๆๆๆๆๆ จนกระทั่งหมดแม๊กซ์
‘ฟ่อออออ…..’ เจ้าอสรพิษตัวแสบยังคงชูคอมองหน้าเขาแลบลิ้นใส่แผล่บๆราวล้อเลียน ‘แบร่ๆ จ้างก็ยิงไม่โดน’
“ฉันแน่ใจแล้วว่า…ที่นายยิงช้าง ยิงหมูป่าได้ไม่ใช่เพราะแม่น แต่ฟลุ๊คล้วนๆ” เสียงสาวผู้ดีตะโกนบอกมาอย่างเหลืออด “ระยะแต่นี้ยิงยังไงไม่โดนสักนัด ไม่ได้คุยนะ ถ้าเป็นฉันหลับตายิงยังโดนเลย”
สาวผู้ดีนั้นบัดนี้เมื่อตั้งตัวได้ ก็ชักเอามีดโบวี่ ๗ นิ้วข้างเอวขึ้นมากระชับแน่น กะว่าถ้าปืนฝั่งหนุ่มจอมคาถาช่วยไม่ได้ก็ต้องช่วยตัวเองด้วยมีด หญิงสาวกัดกรามแน่นอย่างคนใจสู้…เสียงของหล่อนคำราม “ฉกแว้งเข้ามาเถอะ ได้โดนฟันคอขาดแล้วอย่ามาว่ากันนะ แม่จะให้ลูกหาบจับผัดเผ็ดให้ดู”
แล้วก็จริงดังว่า เมื่อมันแว้งเข้าฉกอีกเป็นคำรบที่เท่าไรไม่ทราบได้ แม่สาวผู้ดีก็กวาดมีดยาวเจ็ดนิ้วออกไปพร้อมกัน ฟันฉั๊วะสวนไปเต็มๆ แต่ก็ได้แค่เถือหนังส่วนคอไปเท่านั้นเพราะจังหวะไม่ได้ ขณะที่คมเขี้ยวชุ่มพิษของมันก็ถากแขนของหญิงสาวไปอย่างหวาดเสียวชนิดหนุ่มจอมคาถาที่จับตาดูอยู่ลุ้นระทึก แม่สาวคนนี้ก็บ้าดีเดือดแท้ๆ พอพึ่งใครไม่ได้ก็รู้จักช่วยตัวเองผิดจากที่สบประมาทไว้ และช่างกล้าหาญอย่างน่าชมเชย
“รอเดียวนะคุณหญิง ขอบรรจุลูกกระสุนก่อน” จอมคาถาหนุ่มบอกแล้วปลดแม๊กกาซีนบรรจุกระสุนปืนพกอย่างเร็วรี่ แต่มือมันสั่นทำเอากระสุนหล่นเกลื่อนพื้นต้องรีบก้มลงเก็บอย่างตาลีตาเหลือก
แต่ดูเหมือนสาวผู้ดีจะไม่หวังพึ่งเขาแล้ว หญิงสาวกระโจนขึ้นไปบนยอดหินอีกก้อน และแล้ว…ได้โอกาส ระยะขนาดนี้ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ผู้เก่งกาจในเชิงต่อสู้ แต่ด้วยฝีมืออันเคยฝึกฝนมาบ้าง หญิงสาวก็ตัดสินใจว่าจะใช้ยุทธวิธีเก่าที่เคยเรียนรู้มา คือการขว้างมีด
ในระยะเมตรหนึ่งกว่าๆ ขณะที่ไอ้อสรพิษร้ายเห่าดงชันคอขึ้นทำท่าจะฉกอีก สาวผู้ดี ซึ่งหลบซุ่มอยู่หลังโขดหิน ก็ล่อเอาด้วยเสียง ตวาดแว้ดออกไปเสียงลั่น
ทำเอามันชะงัก หดคอหนี
และจังหวะนั้นเอง แม่สาวผู้ดีก็เสี่ยงขว้างมีดโบวี่ออกไป โดยกะจังหวะอย่างดีให้ฟันฉัวะเดียวถูกส่วนหัวขาดกระเด็น ใบมีดยาวเจ็ดนิ้วของโบวี่ประจำมือแฉลบลงฟันหินข้างตัวเห่าดงร้าย นั้นไม่เกินสิบเซนติเมตร เสียงดังเคร้งบาดหู แล้วกระเด็นไปตกบนท่อนหางของอสรพิษร้าย ซึ่งผงะแว้งขึ้นผลักเอามีดกระเด็นไปตกไกลไปอีกสอง – สามเมตร
หมดแล้ว อาวุธป้องกันตัวของหญิงสาว ในขณะนี้
เจ้าอสรพิษเลื้อยปราดเข้ามาชูคอห่างหญิงสาวไม่ถึงสามก้าว มันชูคอแผ่แม่เบี้ยสูงกว่าทุกครั้งเป็นการแสดงท่าจะฉกกัดอย่างเต็มกำลังอีกครั้ง หนุ่มจอมคาถาซึ่งพยายามบรรจุลูกปืนใส่แม๊กกาซีนรอช้าไม่ได้อีก เมื่อใส่ได้นัดเดียวก็รีบเสียบเข้าด้ามชักลางเลื่อนขึ้นลำและหลับหูหลับตาเล็งที่ส่วนหัวของเจ้าอสรพิษและลั่นไกโดยไม่ต้องใคร่ครวญทันที
เปรี้ยงงงง
เสียงปืนดังสนั่นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และคราวนี้ไม่พลาดเพราะหัวของไอ้มัจจุราชร้ายผู้ไม่มีตีนแห่งป่าดงดิบ ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นที่สองรองจากจงอางไพร ก็สะบัดวูบ หัวขาดกระจุยไปด้วยอำนาจกระสุนฉีกทำลาย
ทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชั่วระยะไม่ถึงสองนาที แต่ช่างยาวนานยิ่งนักสำหรับสองคน
ร่างเหยียดยาวของเห่าดงตัวดำปลาบนั้น สั่นพลิ้วแว้งกระตุกอยู่ด้วยอาการสะปัซซั่มของระบบประสาท เลือดทะลักฟูมจากหัวอันขาดกระจุยกระจายนั้น มันดีดดิ้นคั่นกลางอยู่ตรงหน้าของสาวผู้ดีกับหนุ่มจอมคาถาฝั่งละไม่ถึงเมตร
“บทจะยิงโดน ก็โดนโดยไม่ต้องเล็ง เฮ้อ….” เขาพึมพำในใจ
และจอมคาถาหนุ่มยังคงถือปืนสองมือจ้องอยู่เช่นนั้นเพราะยังไม่คลายอาการตื่นเต้นตึงเครียด ข้างฝ่ายสาวผู้ดียังมีสีหน้าท่าทีดูตระหนกตกใจ เหงื่อโซมจนใบขาวหน้ามัน จนกระทั่งแน่ใจว่าเจ้างูร้ายสิ้นฤทธิ์เขาผ่อนลมหายใจออกมาแรงๆและลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อพร้อมลดปืนสั้นลงก่อนจะเก็บเข้าซองข้างเอว ขณะสาวผู้ดีก็เซไปพิงต้นไม้ใหญ่เป่าปากถอนหายใจอย่างหนักหน่วงและเอามือทาบอก
“ฟู่ววว…นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว กว่าจะยิงโดนได้นะ เล่นเอาคาบลูกคาบดอกเชียว จะยิงโดนตั้งแต่แรกไม่ได้หรือไงย่ะ หรือกลัวว่ามันตื่นเต้นไม่พอ…งูบ้านี่ก็เหลือเกิน ทำไมถึงได้ดุร้ายเจ้าเล่ห์ผิดปกติวิสัยนัก แถมยังสู้สุดใจขาดดิ้นเลยไม่ยอมถอยไปง่ายๆ เฮ้อ…ให้ตายสิ อย่าได้เจออีกนะ” หญิงสาวบ่นยาว
จากนั้นก็เสยผมซึ่งเคลียอยู่บนหน้าผากและจะเข้าตาอยู่รอมร่อนั้นขึ้น แล้วก็ก้าวเดินข้ามซากงูมาอย่างเร่งรีบ ขณะคนอื่นๆในคณะต่างวิ่งกรูมาหน้าตาตื่น ครั้นขึ้นมาแล้วจึงได้เห็นซากไร้หัวของอสรพิษเห่าดงตัวกล้าที่จะเข้าฉกกัดพวกเขาและได้ถูกกระสุนปืนสั้นดับชีพ กองอยู่ พอทุกคนเห็นซากงูสั่นพั่บๆดีดดิ้นก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“เป็นอย่างไรบ้างน้องริน โดนมันกัดหรือเปล่า?” พี่ชายใหญ่ถามอย่างห่วงใย
“มะ..ไม่จ๊ะ ปลอดภัยดี มันโดนนายหมอผียิงเสียก่อน แต่กว่าจะจัดการได้เล่นเอาเหนื่อย…”
หญิงสาวตอบคำถามไปง่ายๆเช่นนั้น พร้อมกับทรุดลงนั่งอย่างเหนื่อยอ่อน ข้างฝ่ายเจ้าไซเมี่ยงรีบก้มลงเก็บมีดโบวี่ยาว ๗ นิ้วมายื่นให้หญิงสาวรับไปเสียบเข้าฝัก ส่วนคนอื่นๆมุงดูซากงูซุบซิบวิจารณ์กันต่างๆนานา
“ทำไมยิงหลายนัดนักหล่ะ พ่อหมอ แต่เห็นที่โดนมีแค่นัดเดียว” เจ้าไซเมี่ยงเอ่ยถาม
“ก็มันไม่ยอมอยู่นิ่งๆนี่หว่า ข้าไล่ยิงอยู่นานกว่าจะสำเร็จ ให้ไวแค่ไหนก็ไม่รอดมือข้าไปได้หรอก”
“แล้วพ่อหมอพลาดโดนมันฉกหรือเปล่า ไอ้เห่าดงนี่มันร้ายนะ เฉี่ยวๆก็โดนพิษมันได้”
หมอประจำคณะวิ่งหน้าตาตื่นมาตรวจดูอาการของทั้งสอง จากนั้นก็ยืนยันว่าอาการปรกติไม่ได้โดนพิษอะไรอย่างที่กังวล จากนั้นก็มองซากงูที่ถูกพวกกระเหรี่ยงเอาใบตองป่ามาห่อแล้วมองอย่างน้ำลายสอ
“ตัวใหญ่ขนาดหน้าแข้งอย่างนี้ เนื้อคงเยอะ ลาภปากแท้ๆ” เจ้าไซเมี่ยงยิ้มแก้มปริ
“งูบ้าอะไรก็ไม่รู้ เร็วชะมัดยาด แถมยังสู้สุดใจขาดดิ้นเลยให้ตายซิ” หนุ่มจอมคาถาบ่นกับพรานเส่ง
“ปกติถ้าเป็นงูเห่ามันก็เร็วเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แต่ทำไมไอ้ตัวนี้มันผิดจากเขาไปก็ไม่รู้ นิสัยมันถึงได้กล้าสู้เอาขนาดนี้ ใจร้อนผิดไป ทั้งปกติแถบนี้ก็หางูยาก ถึงแม้จะมีซอกโพรงหินเยอะแยะ แต่เวลาข้าผ่านมาก็ไม่ค่อยจะได้เจองูเห่าสักที จะเจอก็พวกไอ้หลาม หรือถ้ามีพิษก็ไม่เกินสามเหลี่ยม”
“ช่างมันเถอะ ตอนนี้ฉันปลอดภัยแล้ว รีบๆเดินทางต่อเถอะ เราช้ามาโขแล้ว ถ้าหากเราไปล่าช้ากว่านี้ มันจะถึงบ้านกระเหรี่ยงตอนพลบค่ำ ซึ่งมันจะลำบากและฉุกละหุกเรื่องที่พัก”
หนุ่มจอมคาถาออกคำสั่งทันทีหลังจากพักให้สติสตางค์กลับมาแล้ว
สิ้นคำสั่งเฉียบขาดทุกคนแยกย้ายไปประจำที่เตรียมตัวออกเดินทาง
แม่สาวผู้ดียังคงนั่งหอบเบาๆสีหน้าซีดเผือดดูมีเลือดฟาดมากขึ้นหลังจากได้พักสงบสติอารมณ์โดยมีพี่ชายและเพื่อนรุ่นน้องนายทหารช่วยกันปลอบ หนุ่มจอมคาถาคิดๆแล้วก็น่าสงสารเหมือนกัน ถึงจะปากร้ายขี้วีนเอาแต่ใจและถือตัวแค่ไหน สุดท้ายก็ซ่อนความอ่อนแอของผู้หญิงไม่ได้
ร่างสูงกำยำเดินเข้าไปหาใกล้ๆและเอ่ยถามเบาๆ “พอจะไปต่อไหวไหมครับ”
“ถ้าไปไม่ไหว นายจะทิ้งฉันไว้ที่นี่หรือเปล่าหล่ะ?” พอสติกลับมาก็พูดจาไม่เข้าหูทันที
“ใครจะใจร้ายขนาดนั้นเหล่าครับ ถ้าไม่ไหวจริงๆถึงหมู่บ้านกระเหรี่ยงพากลับมาส่งก็ยังไม่สาย เราเพิ่งเริ่มต้นเดินทางเท่านั้น และยังไม่รู้จะเจออะไรอีก ขนาดพรานชำนาญป่ายังบอกเลยว่า การเดินป่าแต่ละครั้งในเส้นทางเดิม ยังพบเจอเรื่องราวต่างๆไม่เหมือนเดิมเลย”
“เอาละๆฉันจะไม่เป็นตัวถ่วงแล้ว ไปก็ไป” บอกแล้วสาวผู้ดีก็ลุกขึ้นก้าวเดินฉับๆตรงไปยังรถจี๊ฟ
เมื่อทุกคนประจำที่พร้อมแล้วหนุ่มจอมคาถาก็โบกมือให้สัญญาณ “ออกเดินทางได้!”
เสียงฟ้าร้องครืน ๆ มาจากขอบฟ้าตะวันตก แสงแดดที่แผดเผาจ้ามาตลอดวัน เริ่มจะหม่นมัวไป อากาศที่ร้อนอยู่แล้วกลับร้อนระอุหนักขึ้น เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงเวลาแห่งพายุฝน
ท้องฟ้าที่เมื่อครู่ยังสดใสสูงลิ่ว บัดนี้มีเมฆดำทะมึนเคลื่อนตัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ สีเทาดำของก้อนเมฆ มองดูแล้วเหมือนภูตผีปีศาจโผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า ไม่นานหลังลมกระหน่ำแรงพระพิรุณก็โปรยปลายลงมาสู่ผืนป่า
บนเส้นทางในร่องเขาแห่งป่าใหญ่ในเทือกเขาหุบเสือร้อง ขบวนรถล่องไพร ขับไล่ตามกันมา ใต้ป่าซางมีต้นที่ล้มพาดขวางเป็นระยะน้ำค้างจากใบซางโปรยปรายลงมาไม่ขาดเม็ดยามหลังคารถเฉียดผ่าน ท้องฟ้าเบื้องบนมืดครึ้ม ถนนหลังฝนตกชุ่มแฉะเป็นแอ่งหลุมโคลนน้ำป่าเจิ่งนองเอ่อล้น ไหล่ทางบางช่วงกัดเซาะจนตลิ่งพังเว้าเข้ามากว่าครึ่งค่อน แลลิบๆเห็นก้นเหวมีป่าไผ่อยู่ข้างล่างยามเหลือบมองลงไปดูน่าหวาดเสียว
คนขับรถมีความชำนาญเหยียบคันเร่งเต็มที่ล้อบดโคลนกระจายด้วยเกียร์อัตโนมัติ ๔ จังหวะส่งพลังให้ล้อทั้งสี่หมุนกระชากรถให้พุ่งไปข้างหน้าสาดโค้งผ่านเส้นทางคับขันชั่วไม่กี่อึดใจรถคันขับไล่กันติด ๆ กระดอนขึ้นลงเนินสูงต่ำลูกระนาด เจอธารน้ำป่าขวางหน้า รถแหวกฝ่าสายน้ำกระเซ็นสูงหลายเมตร
“โอ้ย!!..ช่วยขับให้มันเบา ๆกว่านี้ได้มั้ย!?โอ้ย…เวียนหัวจะตายอยู่แล้ว!”
“นี่มันหน้าหนาวแล้ว ฝนป่าอะไรมาตกเอาช่วงนี้วะ!”
เสียงร้องโวยวายของเจ้าสัน เจ้าไซเมี่ยงและบรรดาลูกหาบดังโหวกเหวก ทั้งคนทั้งรถต่างโคลงเคลงไปมาเพราะสภาพหนทางมันไม่อำนวย ส่วนคนขับรถกระแทกเปลี่ยนเกียร์ไวมาก คนขับรถพยายามควบคุมรถไปตามเส้นทางคดเคี้ยวและลื่นด้วยความเร็วสม่ำเสมอ แรงเขย่าไม่หยุดทำเอาสาวผู้ดีมึนเมาจนต้องชะโงกหน้าผ่านช่องกระจกอาเจียนจนหน้าซีดหน้าเซียว และไม่นานหนุ่มใหญ่และสหายเจ้าสำอางก็กลั้นไม่ไหว ทั้งสองยื่นใบหน้าออกไปอาเจียนแข่งกับหญิงสาว
จนกระทั่งไม่มีอะไรหลงเหลือจะให้อาเจียนทั้งสามก็กลับมานั่งผิงผนังรถหอบหายใจราวจะขาดใจตาย พรานเส่งส่งกระบอกน้ำให้ทั้งสามดื่มกลั้วคอบ้วนทิ้งก่อนจะดื่มเพิ่มความสดชื่นให้ตัวเอง คนขับคงจะเห็นใจจึงพยายามขับให้ช้าลงและนิ่งที่สุดแต่ก็แทบเป็นไปไม่ได้ในทางที่ประหนึ่งแรลลี่มหาโหดเส้นนี้
หนุ่มจอมคาถาเองก็คิดไม่ถึงที่จะมาเจอสภาพหนทางเช่นนี้ พักเที่ยงอยู่ดีๆฝนผิดฤดูก็กระหน่ำลงมาอย่างหนักจนเส้นทางมีสภาพอย่างที่เห็น น้ำท่วมเป็นแอ่งสภาพถนนที่เป็นดินปนโคลนเละเทะจนแทบเป็นบ่อโคลน
“พี่ชายคะ ชะ..ช่วยบอกคนขับ ให้เบา..กว่านี้หน่อยได้ไหมคะ…” น้ำเสียงของสาวผู้ดีแหบพล่าใบหน้าซีดขาว
หนุ่มจอมเวทย์มองแล้วอดสงสารไม่ได้จึงปลอบไปว่า “อดทนเอาหน่อยนะครับคุณหญิง คุณชายใหญ่และคุณดนัยด้วย ผมถามลุงเส่งแล้ว พ้นเนินข้างหน้าเราจะเข้าสู่เส้นทางที่สะดวกกว่านี้ โชคไม่ดีที่ฝนตก เช้านี้ก็ยังปรอย ๆอยู่เลย ดินมันอุ้มน้ำไว้มากทำให้ทางมันลื่นจะขับช้าก็ไม่ได้ต้องรักษารอบเครื่องยนต์เอาไว้ ไม่งั้นไม่มีแรงส่งข้ามเนินไม่ได้แน่”
“จริงนะ นะ..นายหมอ..ผะ..ผี… ขะ…ข้างหน้า แน่นะ” คนถามแค่นเสียงตาเบิกกว้างแบบว่าลมจะใส่
“ทนเอาหน่อยครับ ถนนอย่างนี้ ใครมาครั้งแรกก็เป็นอย่างนี้ทุกคนแหล่ะ”
ไม่ทันขาดคำ พลขับหักพวงมาลัยรถหลบหลุมและตอไม้เบี่ยงซ้ายหลบขวา คนข้างในถึงกับหวีดร้องสุดเสียงไปตามแรงเหวี่ยง ราวกับนั่งรถไฟเหาะตีหลังกา
คนที่อาเจียนก็อาเจียนสำรอกเอาของเก่าออกมาส่งกลิ่นชวนคลื่นเหียนไปทั้งรถแล้วก็ตามมาด้วยเสียงแหลมปรี๊ดของผู้หญิงดังรบกวนโสตประสาทไม่แพ้กัน เกิดความปั่นป่วนภายในห้องโดยสารเกินจะหยุดได้แล้ว
“จอด! จอดรถ!” หญิงสาวตะโกนสุดเสียง คนขับรถตกใจเสียงเสียดแก้วหูเบรกแทบหัวทิ่ม
พอเปิดประตูออกมาได้สาวผู้ดีถึงกับวิ่งไปอาเจียน หนุ่มจอมคาถาและพรานเส่งตามไปประกบอยู่ข้างๆระวังภัย บรรดารถที่ตามหลังมาจอดตอเรียงราย ทอดสายตามองไปเห็นลูกหาบหลายคนอาเจียนโอ๊กอ๊ากมีเพื่อนๆช่วยลูบหลัง หนุ่มจอมคาถาเองเห็นไม่มีใครสนใจก็เลี่ยงเดินไปทางต้นไม้ต้นหนึ่ง มองซ้ายมองขวาปลอดสายตาคนก็ยื่นหน้าเข้าพุ่มไม้ไปอาเจียนออกมาโอ๊กใหญ่เพราะกลั้นมานาน ที่ต้องทนไว้เพราะกลัวจะเสียฟอร์ม
เงยหน้ากลับมามีกระบอกน้ำยื่นให้พร้อมรอยยิ้มของพรานเส่ง “ล้างคอก่อน ข้าเข้าใจเอ็งวะ”
“ขะ..ขอบใจ” เขารับกระบอกน้ำมาอย่างเขินๆกลั้วคอและบ้วนทิ้งล้างปากก่อนจะยกดื่ม
กลับมานั่งในรถอีกครั้งถึงกับยิ้มไม่ออกกลิ่นน้ำย่อยในกะเพราะอาหารของคนยังคลุ้งอยู่เลย เจอของจริงแบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกันรู้สึกขยักขย่อนปั่นป่วนในกระเพาะอาหารแต่จำต้องฝืนทนเอาไว้ พลขับเข้าเกียร์เหยียบคันเร่งเดินหน้ากันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไปไม่เร็วนักเส้นทางกลางป่าถูกน้ำเซาะจนเป็นร่องรูปตัววี ต้องขับแบบประคองจึงผ่านช่วงนี้ไปได้ นั่งมาสี่ชั่วโมงเส้นทางที่หนักหนาที่สุดได้ผ่านมาแล้ว ช่วงหลังนี้รถวิ่งลงเนินห้อลิ่วเลาะเลียบเชิงเขามาตลอดทิ้งป่าที่มีต้นไม้สูงใหญ่ไว้เบื้องหลัง
ไหล่ทางชันลงไปเป็นไร่ข้าวโพดร้างกว้างสุดลูกหูลูกตา เส้นทางคดเคี้ยวผ่านไร่พวกนั้นช่อรวงสีม่วงของหญ้าคอมมิวนิสต์ที่ขึ้นรกจนคลุมมิดทาง จากที่เงียบไปนานคนที่นั่งเบาะหลังพูดถามขึ้นว่าที่ผ่านมาเป