ศึกหมอผี ตอนที่ ๓

ศึกหมอผี ตอนที่ ๓

ศึกหมอผี ตอนที่ ๓

เจ้าแม่จระเข้

คลองไทรงามในยามเวลาดึกสงัดกำดัดยาม สายน้ำยามค่ำคืนสงบนิ่งไหลเอื่อยๆภายใต้ผืนผ้ากำมะยีสีหมึกที่ถูกแต่งแต้มด้วยดวงดาราน้อยใหญ่และรัศมีของดวงจันทร์ และท่ามกลางสายน้ำที่นิ่งสนิทนั้น เรือแจวลำหนึ่งล่องมาโดยมีชายสามคนที่อยู่ในช่วงวัยฉกรรจ์ที่ช่วยกันพาย ทั้งสามพากันร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนานหลังกลับจากไปเที่ยวงานรื่นเริงต่างถิ่นมา ทั้งสามเป็นคนของหมู่บ้านไทรงาม หมู่บ้านเล็กๆซึ่งแต่เดิมต้องสัญจรไปมาโดยทางน้ำเท่านั้น แต่ในปัจจุบันมีถนนตัดผ่าน ทำให้มีการสัญจรทางบกเพิ่มขึ้นมาอีกช่องทางหนึ่ง แต่ผู้คนส่วนใหญ่ก็ยังคงนิยมเดินทางโดยใช้การพายเรือ เพราะสะดวกและรวดเร็วแถมยังประหยัดกว่า

เสียงพูดคุยหยอกล้อเฮฮาจากสามหนุ่มบนเรือพายดังมาเป็นระยะๆ จน
กระทั่งเรือลอยผ่านศาลใหญ่ทำด้วยไม้ที่ตั้งอยู่ริมตลิ่ง หนุ่มวัยคะนองทั้งสามต่างพากันเงียบเสียงและยกมือไหว้ศาลด้วยท่าทีที่เคารพนับถือ เพราะศาลนี้คือศาลของ เจ้าแม่จระเข้ ศรีวันทอง ที่ชาวบ้านแถบลำคลองนี้เชื่อว่าคอยปกปักรักษาความสงบของผืนน้ำแห่งนี้ หากใครไม่เคารพหรือพูดจาหลหลู่มักจะเจอดี เบาะๆก็แค่มีจระเข้ตัวใหญ่ว่ายผ่าน หากล่วงเกินมากๆก็อาจถูกจระเข้ยักษ์คาบไปกิน และก็เจอกันมาหลายรายแล้ว จนชาวบ้านย่านนี้ต่างพากันเข็ดขยายและเคารพยำเกรงยิ่งนัก

ระหว่างพายเรือผ่านศาลไม้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยพวงมาลัย ตุ๊กตา ของเซ่นไหว้และธูปเทียน หนึ่งในสามพูดขึ้นว่า

“ ไอ้เทิด เมื่อวานมีคนบอกว่าเห็นไอ้เข้ตัวใหญ่นอนอยู่ริมตลิ่ง เอ็งว่าใช่เจ้าแม่ขึ้นไปนอนเล่นหรือเปล่าวะ? ”

ชายผู้ถูกถามทำหน้าเสียๆ “ เอ็งจะไปพูดถึงทำไมวะ! ใช่ไม่ใช่ก็ช่างเถอะ ถามหาเดี๋ยวก็มาหรอก?”

“ ก็ข้าสงสัยนี่หว่า คลองไทรงามของเรา เล่าว่ามีเจ้าแม่จระเข้ปกปักรักษา มีคนบอกเห็นจระเข้ตัวใหญ่บ่อยๆ แต่ทำไมตั้งแต่ข้าเกิดมาข้าถึงไม่เคยเห็นเลยวะ แล้วมันจริงหรือเปล่าที่เขาเล่ากันว่า เจ้าแม่จระเข้ท่านตัวใหญ่มาก ว่ากันว่ามีความใหญ่ถึงขนาดจากหัวถึงหางสามารถนอนขวางลำน้ำจากฝั่งหนึ่งถึงอีกฝั่งหนึ่งได้ ”

“ จะได้หรือไม่ได้ก็ช่างเจ้าแม่ท่านเถอะนะ เอ็งจะพูดทำไม? ”เจ้าคนพายท้ายเรือปรามมาอย่างไม่พอใจ “ เขาว่าเข้าป่าอย่าถามถึงเสือพายเรืออย่าพูดถึงเรื่องจระเข้ ไอ้เวรนี่เรื่องอื่นมีคุยเยอะแยะเสือกไม่คุย มาคุยเรื่องนี้..”

“ ข้าก็แค่อยากรู้..หมู่นี้มีคนเห็นไอ้เข้ตัวใหญ่ๆกันบ่อยๆก็เลยสงสัย เพราะเขาว่ากันว่าเจ้าแม่ไม่ค่อยปรากฏตัวง่ายๆ แต่ตอนนี้ปรากฏตัวบ่อยเหลือเกิน..มันผิดสังเกตนะ? ”

“ แล้วเอ็งจะไปสังเกตทำไม หยุดพูดสักที บรรยากาศยิ่งวังเวงอยู่ ” บ่นแล้วมองไปรอบๆลำคลองอย่างระแวง

“ ฮื่อ…คนโน้นคนนี้ก็คุยว่าได้เห็นจระเข้เจ้าแม่ แล้วบอกว่าเป้นบุญตา ข้าเองก็อยากจะ…”

โป๊ก!
โอ๊ย!!!

เจ้าคนพูดถูกไม้พายฟาดเต็มกบาลร้องลั่น

เจ้าคนฟาดเอ่ยเสียงเข้มสำทับ “ ยังจะพูดถึงอีก..เดี๋ยวเจ้าแม่ก็ออกมาหาเอ็งหรอก? ”

“ เอ็งจะกลัวทำไมวะ พวกเราเคารพนับถือเจ้าแม่ไม่เคยล่วงเกิน เจ้าแม่ไม่ทำร้ายเราหรอก? ”

“ ถึงอย่างนั้นก็เหอะ….แต่ข้าก็ไม่อยากเจอหรอก?” เจ้าคนพายท้ายบอก

การพูดคุยต้องชะงักลงเมื่อคนพายท้ายกำลังใช้พายในมือจ้วงน้ำอยู่ ใบพายก็ไปกระทบอะไรบางอย่างเสียงดังกึก! ทำให้เจ้าคนพายท้ายมองลงไปในลำน้ำเบื้องหลัง ท่ามกลางความมืดเห็นเพียงสลัวๆจากแสงจันทร์เสี้ยว ทว่ามันก็ชัดพอที่จะมองรู้ว่าอะไรเป็นอะไร และเมื่อได้เห็นชัดเจนว่าสิ่งที่พายไปโดนนั้นคืออะไร มันก็ตาเหลือกปากคอสั่นบอกพรรคพวกร่วมลำเรือ เมื่อสิ่งที่เห็นคือลำตัวมันละเลื่อมเต็มไปด้วยเกล็ดเงาวับชุ่มน้ำสะท้อนแสงจันทร์

“ อะ..เอ็ง…อยากเห็นเจ้าแม่…ชะ….ใช่มั๊ย…. ” เจ้าคนพายท้ายตัวสั่นบอกเสียงติดอ่าง

“ เออ! ทำไมวะ เจ้าแม่ว่ายน้ำตามมาหรอ? ” เจ้าคนกลางเรือพูดประชดอย่างมีอารมณ์

“ อะ…เออ…เอ็ง..ถามหาใช่ไหม…มะ..มา..ละ…แล้ว.ว.ว..” เจ้าคนพายท้ายบอกเสียงติดอ่างอีก

เจ้าสองคนร่วมลำเรือมองงงๆ เจ้าคนกลางลำเรือถามอย่างสงสัย “อะไรมาวะ?”

“ระ..รีบ..พาย…เถอะ…มะ..มาละ..แล้ว.ว.ว…”

ทั้งสองหันไปมองก็อุทานพร้อมกัน “ ฮะ…เฮ้ย…ระ…เร็ว…รีบพายเร้ว.ๆๆ…”

สิ่งที่ลอยตามท้ายเรือคือจระเข้ขนาดใหญ่ยาวเกือบหกเมตร มันว่ายน้ำช้าๆตีคู่เรือมาอย่างเงียบเชียบ ทั้งสามพอรู้ตัวก็จ้ำพายหนีด้วยความตกใจกันจนน้ำบาน แต่เจ้าจระเข้ตัวใหญ่ก็เร่งความเร็วว่ายตามมาติดๆ จนกระทั่งตีคู่กับเรือได้มันก็จมน้ำหายไป ทั้งสามจ้ำพายไม่ลืมหูลืมตา กระทั่งเหนื่อยหอบและไม่เห็นจระเข้ตัวใหญ่ว่ายตามมาก็หยุดจ้วงพาย เรือจึงลอยลำนิ่งขณะทั้งสามแข่งกันหอบเสียงดัง

“ เป็นไงละ..ไอ้เวรตะไลเทิด ถามหาดีนัก เจ้าแม่มาเองเลย ” หลังจากหายเหนื่อยเสียงบริภาษก็ดังขึ้น

“ ก็ใครจะไปรู้ล่ะวะ ว่าเจ้าแม่ท่านจะสำแดงอิทธิฤทธิ์เร็วทันใจขนาดนี้ โอ๊ย..พอแล้วนะเจ้าแม่ แค่มาให้เห็นก็พอแล้ว ลูกกลัวแล้ว ทีหลังจะไม่ปากพล่อยอีกแล้ว ” พูดแล้วยกมือไหว้ท่วมหัว

“ นั่นอะไรวะ?!” เสียงบอกเมื่อเห็นว่ามีพรายน้ำกลุ่มใหญ่ผุดขึ้นมา

ไม่ทันที่จะถามไถ่อะไรกันต่อ ก็ปรากฏว่ามีสิ่งหนึ่งพุ่งเข้ามาชนท้องเรืออย่างแรง หนุนเข้าใต้ท้องเรือ ทั้งสามหนุ่มร้องตะโกนเอะอะลั่นลำคลองด้วยความตกใจ พยายามหาที่ยึดเหนี่ยว ขณะที่เรือเริ่มโคลงเคลงมากขึ้น เรือลำนั้นเอียงไปเอียงมาเจียนจะพลิกคว่ำ แต่เจ้าสามคนนั่นก็พยายามทรงตัวฝืนเอาไว้ แต่ทว่าในที่สุดเรือก็พลิกคว่ำลงจนได้ ทั้งสามกระเด็นตกน้ำไปคนละทิศละทาง หลังจากผุดขึ้นมาเหนือน้ำก็ตะเกียดตะกายแหวกว่ายหนีเพื่อเอาชีวิตรอดเข้าฝั่งด้วยความตื่นตระหนกระคนหวาดกลัว

“ เฮ้ย! ตัวใครตัวมันนะเว้ย ” เจ้าคนหนึ่งบอกพรรคพวกพลางว่ายน้ำหนีไม่คิดชีวิต

เจ้าคนว่ายตามยังสงสัย “เราไม่ได้หลบหลู่เจ้าแม่แล้วทำไมท่านทำกับเราอย่างนี้?”

“ เอ็งก็ว่ายน้ำกลับไปถามท่านสิ?” เจ้าคนว่ายตามมาบอก

ทั้งสามว่ายเข้าฝั่งสุดกำลังที่มี เมื่อจระเข้ยักษ์เห็นว่าเหยื่อของมัน กำลังว่ายน้ำกลับเข้าฝั่ง มันก็ว่ายตามมาติดๆ จนมันอยู่ห่างไม่ถึงคืบ และมันกำลังอ้าปากกว้างหมายงับเจ้าคนที่ว่ายตามมาทีหลังสุด แต่ก่อนที่มันจะงับพลันปรากฏจระเข้อีกตัวที่ใหญ่พอๆกันโผล่พ้นน้ำขึ้นมาข้างๆอ้าปากงับที่คอของมันสกัดไม่ให้มันงาบเจ้าคนว่ายน้ำรั้งท้ายไปอย่างหวุดหวิด และทั้งสามก็ว่ายน้ำจนถึงฝั่งและขึ้นไปนอนหงายหอบตัวโยนซี่โครงบานด้วยความระทึกใจที่รอดมาได้อย่างจวนเจียน

เสียงน้ำแตกกระจายทำให้ทั้งสามหันกลับไปมองในลำคลอง ทั้งสามต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง เมื่อเห็นเจ้าจระเข้ตัวที่หนุนเรือพวกตนจนคว่ำและไล่งาบพวกตนเป็นอาหารกำลังถูกจระเข้อีกตัวงับที่คอแล้วสะบัดอย่างแรง เจ้าตัวที่ถูกงับคอพยายามดิ้น พยายามสลัดให้หลุดจากการถูกงับที่คอ โดยฝีมือของจระเข้ที่ขนาดใหญ่โตพอๆกัน ก่อนที่สองกุมภาร์จะจมหายไปทิ้งไว้แต่ระลอกคลื่นและพรายน้ำ น้ำในคลองมีเลือดปะทะจนกลายเป็นสีแดงเห็นได้ชัด ซึ่งนั่นก็คือเลือดของจระเข้ยักษ์ที่ได้รับบาดเจ็บ โดยทิศทางของเลือดที่ปรากฏขึ้นมานั้น ปรากฏเป็นทางยาวไล่ลงไปทางทิศใต้

“…ทำไมมีเจ้าแม่สองตัววะ? ” เจ้าคนว่ายรั้งท้ายและรอดจากปากจระเข้ราวปาฎิหาริย์เอ่ยถามพรรคพวก

“ไม่รู้โว้ย! ข้าก็มากับเอ็งนี่แหละ จะไปรู้ได้อย่างไง?”

เจ้าอีกคนมองไปในลำคลองหอบเบาๆ “ ข้าว่าไอ้ตัวแรกไม่ใช่เจ้าแม่หรอก ตัวที่โผล่มาทีหลังนั่นน่าจะใช่..”

“ เออ…ข้าก็ว่าอย่างงั้นแหละ…เจ้าแม่คงมาช่วยพวกเราน่ะ..”

“ แล้วเจ้าแม่จะเป็นอย่างไงบ้างวะ ”

“ เอ็งนี่ถามอะไรที่มันตอบยากอีกแล้ว อยากรู้ก็ดำน้ำลงไปดูสิวะ ” เจ้าคนแรกบ่นอย่างหัวเสีย

ห่างจากที่ทั้งสามหนุ่มหนีภัยคมเขี้ยวจระเข้ร้ายไม่ไกล จระเข้ขนาดใหญ่สองตัวกำลังกัดฟัดกันอย่างดุเดือดจนเกิดระลอกคลื่นน้ำกระจายเป็นวงกว้าง แต่เจ้าตัวที่ถูกงับคอตอนเล่นงานสามหนุ่มดูจะเสียเปรียบ มันถูกกัดเหวอะหวะไปทั้งตัวเลือดสีแดงไหลออกมาปนกับน้ำรอบๆตัวแดงฉานสะท้อนแสงจันทร์ และเมื่อถูกพุ่งเข้ากัดที่ลำคออีกครั้ง มันก็ดิ้นทุรนทุรายสะบัดไม่หลุด จระเข้ตัวที่มาช่วยกัดแล้วสะบัดแรงๆ และฝืนแรงให้คู่ต่อสู้หยุดนิ่ง จนกระทั่งพักใหญ่ๆเจ้าตัวถูกกัดก็หยุดนิ่ง และลอยหงายท้องแสดงท่าว่าสิ้นใจ เจ้าตัวมาทีหลังจึงคลายปากที่คาบกัดออก…

ร่างของจระเข้ที่ถูกกัดคอลอยหงายท้องไปเพียงครู่ก็เกิดเหตุอัศจรรย์ ปรากฏแสงเรืองๆสีส้มเข้มม้วนพันรอบตัวของมัน แล้วพอแสงนั้นจางลงร่างจระเข้ตัวใหญ่ก็กลายเป็นเพียงท่อนไม้ขนาดเท่าแขนที่แกะสลักเป็นรูปจระเข้ เจ้าจระเข้ตัวที่มีชัยลอยคอมองอยู่ครู่หนึ่งก็แหวกว่ายช้าๆไปทางต้นน้ำ มันว่ายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้เห็นแสงสว่างจากเทียนที่ถูกจุดไว้ข้างๆตลิ่ง จึงว่ายไปลอยหยุดนิ่งแล้วมองขึ้นไป

บนตลิ่งไม่ไกลนั้นมีชายวัยห้าสิบกว่าๆผิวดำแดงร่างท้วมผมบนศีรษะบางๆมีสีดอกเหลา เขาสวมชุดดำห้อยปะคำพวงใหญ่ นั่งขัดสมาธิยกมือไหว้หลับตาบริกรรมคาถา เบื้องหน้ามีโต๊ะเตี้ยๆจุดเทียนสองเล่มที่เปลวไฟเอนไหวไปตามแรงลมเอื่อยๆ บนโต๊ะมีสายสิญจน์วางคู่มีดสั้นและพานใส่ข้าวสารกับขวดใสๆใบเล็กๆบรรจุสิ่งไม่อาจรู้ได้สาม – สี่ใบวางอยู่ ชายคนนั้นยังคงนั่งนิ่งปากหมุบหมิบๆสวดบ่นพระคาถาไม่หยุด

จระเข้ตัวใหญ่นั้นลอยคอนิ่งมองไปแล้วจมหายไปใต้ผิวน้ำ พลันปรากฏหมอกควันลอยอ้อยอิ่งขึ้นมาจากผิวน้ำจนมองแทบไม่เห็นอะไร ชายคนนั้นชะงักนิ่งราวล่วงรู้ว่าบัดนี้มีสิ่งผิดปรกติเกิดขึ้นแล้ว แต่เขาก็ยังบริกรรมคาถาต่อไป ที่ริมตลิ่งท่ามกลางหมอกควันมีร่างๆหนึ่งเดินฝ่าหมอกควันขึ้นมาจากน้ำ ร่างนั้นเป็นร่างของหญิงสาว ใบหน้ายาวรี ดวงตาโตฉายแววขุ่นเคือง จมูก ปาก คางรับกันอย่างเหมาะเจาะ ผมยาสลวยพริ้วไหวตามแรงลม รูปโฉมช่างอวบอิ่มงดงามยิ่งนัก และร่างนั้นสวมเพียงเกาะอกรั้งสองปทุมถันและกระโปรงหนังตะปุ่มตะป่ำยาวแค่คืบอวดผิวกายขาวผ่องของไหล่กลมกลึง หน้าท้องแบนราบและเรียวขายาว

หญิงสาวเดินฝ่าออกมาจากหมอกควันแล้วมายืนอยู่ตรงหน้าของชายผู้นั่งบริกรรมคาถา

เสียงทรงอำนาจเอ่ยถามด้วยความเกรี้ยวกราด “ไอ้หมอผีชาติผู้ชั่วช้า! มึงเรียกกูขึ้นมาทำไม?”

ชายผู้ถูกเอ่ยชื่อหยุดบริกรรมคาถา เงยหน้าลืมตามองผู้มาหา “ มาแล้วหรือนังศรีวันทอง? ”

“ เอ็งนี่มันบังอาจนัก เสกจระเข้อาคมมารบกวนคนที่นี่ทำไม หรือคิดอยากลองดีกับข้า ”

เสียงหญิงสาวยังคงเกรี้ยวกราดทรงอำนาจไม่คลาย อีกฝ่ายยังยิ้มเหยียดอย่างไม่สะทบสะท้าน

“ ข้าไม่ได้มาลองดีกับเอ็ง แต่จะมาตกลงกับเอ็งดีๆ ” แสงจันทร์ฉายส่องจึงมองเห็นถนัดตา ผู้มาท้าทายเจ้าแม่จระเข้คือหมอผีชาติ จอมคาถาด้านมืดที่เลื่องลือ เขาเอ่ยต่อโดยไม่ลืมตา “ และข้าหวังว่าเราทั้งสองฝ่ายจะสามารถพูดจาตกลงกันดีๆได้ โดยไม่ต้องใช้กำลัง ”

“ เอ็งไม่มีสิทธิ์มาเจรจาอะไรกับข้า ไอ้คนบาปหนาอย่างเอ็งไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ” หญิงสาวที่มีนามเป็นเจ้าแม่จระเข้ร้องบอก “ แต่ก่อนที่เอ็งจะตายเพราะมาลบหลู่ข้า บอกธุระของเอ็งมา ”

“ข้ายังต้องการเอ็งไปเป็นบริวารของข้า…พลังวิญญาณของเอ็งมันกล้าแข็งยิ่งนัก เหมาะที่จะคอยมารับใช้ข้า..”

“ เฮอะ!!! ไอ้หมอผีชั้นต่ำ…เอ็งบังอาจมากไปแล้วนะ จะเอาข้าไปรับใช้หรือ ฝันไปเถอะ ”

“ ข้ายินทำตามพันธะสัญญาทุกอย่างกับเอ็งนะ ” หมอผีจากฝั่งเขมรเริ่มต่อรอง

“ ข้าไม่รับข้อเสนอใดๆทั้งนั้น ข้าไม่อยากฆ่าเอ็งให้บาปติดตัว จงไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้ ”

หมอผีชาติมองเรือนร่างงดงามของเจ้าแม่จระเข้แล้วหัวเราะ “ฮะ ๆๆๆ..ข้ารู้ว่าเจ้าคงไม่ยอมง่ายๆ แต่ข้าก็มีดีพอที่จะจับเจ้าไปบริวารคอยรับใช้ข้า นังศรีวันทอง วันนี้ข้าจะสยบฤทธิ์ของเจ้าให้ได้…”

“ทำได้ก็ทำให้ดูสิ…”

“เอ็งเจอแน่..นังศรีวันทอง..” หมอผีชาติยิ้มอย่างพอใจ

“ จะได้เห็นดีกัน ข้าจะไม่ให้อภัยเอ็งเด็ดขาด ไอ้หมอผีเฒ่าต่างถิ่น ”

อารมณ์เกรี้ยวกราดเพิ่มสะพัดมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม เจ้าแม่จระเข้ผู้ดูแลสายน้ำคำรามเสียงขุ่น ใบหน้าอันสวยงามชดช้อยฉายแววชิงชังทางสีหน้าและแววตามองหมอผีโฉดที่นั่งบริกรรมคาถาอยู่เบื้องหน้า

“…กูอยู่ของกูดีๆ แต้ๆ ไอ้มนุษย์ใจชั่วเสือ…ก เข้ามายุ่งกับกู…ดี…กูจะให้มึงได้รับโทษอย่างสาสม”

ลมเริ่มพัดกรรโชก ตามแรงโกรธาที่เพิ่มมากขึ้น กิ่งไม้ใบหญ้ารอบๆสะบัดโบกกวัดไกว ตามแรงอำนาจอาถรรพ์อันมากมายของนาง หมอผีมต์ดำหาได้แสดงอาการหวาดหวั่น กลับยิ้มปิติที่เห็นอิทธิฤทธิ์ของนางต้องประสงค์มันรวบรวมจิตเข้าสู่สมาธิบริกรรมคาถาไสยดำของตนให้คุ้มครองกาย

“ มึงมันรนหาที่ คิดผิดมหันต์ที่มาท้าทายกู…” เสียงกราดเกี้ยวดังลั่นคุ้งน้ำ

เจ้าแม่จระเข้ฉายแววตามาดหมาย ก่อนที่จะกางสองแขนขาวขึ้นฟ้าพลางร่ายมนต์โจมตี

ลมกระพือพัดกระหน่ำอื้ออึง ผสมกับเสียงหัวเราะของอิสตรีดังแว่วมาตามลม ดวงจิตที่ยังไม่แข็งพอของชาวบ้านที่ปลูกเรือนอาศัยอยู่สองฝั่งคลองได้สัมผัสพากันคลุมโปงอยู่ในมุ้ง บางคนตื่นมาเปิดหน้าต่างมองเหลียวหาที่มาของเสียงที่ดังแว่วมา คนเฒ่าคนแก่ต่างยกมือไหว้อย่างหวั่นเกรงและหวาดกลัวด้วยรู้เหตุว่าเจ้าแม่กำลังสำแดงอิทธิฤทธิ์ด้วยมีใครไปลบหลู่ ขณะที่บริเวณทำพิธีนั้นไร้ซึ่งเสียงส่ำสัตว์แมลงกลางคืน เมื่อพวกมันสำเหนียกได้ถึงเภทภัยที่กำลังย่างกรายเข้ามา หมอผีชาติผู้คลั่งไสยเวทย์ยกมือขึ้นพนม รวบรวมพลังจิตท่องคาถาอีกครั้งหนึ่งท่ามกลางอากาศอาเพศวิปริตทวีรุนแรงขึ้นทุกที

พลันสายหมอกจางๆ ที่ลอยเรี่ยปั่นป่วนตามกระแสลมแรงก็ลอยมารวมกลุ่มกันรายล้อมรอบๆ ตัวของหมอผีผู้ใฝ่ชั่ว เสียงหัวเราะอันเยือกเย็นเลือนหายไปชั่วขณะเหมือนเจ้าของเสียงไม่อยากจะให้มันดังขึ้นอีก เบื้องหน้าเจ้าแม่จระเข้ยังคงยืนกางแขนอ่อน ตาสวยทั้งสองเปล่งประกายแสงเรืองรองออกมา เปลวเพลิงที่ลุกโชนอยู่ในแววตานั้นคล้ายกับไฟจากนรกอเวจีที่จ้องจะเผาผลาญร่างที่อยู่ตรงหน้าทุกวินาทีด้วยความอาฆาตแค้น

“ เลิกเล่นได้แล้ว นางจระเข้สัมภเวสี มนต์แค่นี้ของเอ็งขู่ข้าให้กลัวไม่ได้หรอก ”

หมอผีชาติฉีกยิ้มด้วยความกระหยิ่มใจ พลังวิญญาณของนางจระเข้เหมาะสมจริงๆที่จะนำไปรับใช้

แต่ก่อนจะนำมารับใช้ต้องกำราบให้ราบคาบก่อน เพียง่รายมนต์อึดใจเป่าลมจากปากพรวดเดียว ไฟที่โหมไหม้ล้อมรอบกายก็มอดดับลงสิ้น

“…เก่งเหมือนกันนี่ ไอ้หมอผีเฒ่า…”

เจ้าแม่จระเข้ผู้เลอโฉมยิ้มแสยะ ดวงตาแดงก่ำ

“ ข้าจะขอเริ่มก่อนละนะ จงรับมนต์ดำของข้าให้ดี…”

หมอผีเขมรเอ่ยจบก็หลับตาร่ายเวทย์บริกรรมคาถา ก่อนจะขว้างสิ่งหนึ่งไปตรงหน้า…บังเกิดเป็นลูกไฟสีส้มขนาดผลส้มโอลอยเข้าหานางจระเข้ แต่นางหาได้แสดงท่าทีหวาดหวั่น สะบัดมือบางข้างหนึ่งออกมาเบาๆบังเกิดแรงลมพัดลูกไฟลอยขึ้นสูงแล้วนางก็ใช้อิทธิฤทธิ์ส่งพลังแสงสีเขียวอ่อนทำลายลูกไฟตรงหน้าให้แตกสลายไปในพริบตา

เปรี๊ยะ ะ ะ ะ ะ เปี้ยง ง ง ง ง ง!!!!

“ไอ้มนุษย์ใจชั่ว มึงโอหังนัก กล้าใช้มนต์ดำมาทำร้ายกู ตายเถอะมึง…”

เจ้าแม่จระเข้ชี้หน้าหมอผีโฉดอย่างเดือดดาล แล้วเคลื่อนตัวเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว มือที่ชี้อยู่นั้นเปลี่ยนเป็นจะใช้พลังทำร้ายฝ่ายตรงข้าม

“โอ๊ย.. ย… ย.. ย…”

แต่นางต้องกระเด็นออกมาเมื่อจอมไสยเวทย์แดนเขมรตั้งรับอยู่ก่อนแล้ว สิ่งที่คล้องอยู่ที่คอนั่นเองที่สำแดงเดชให้ร่างงดงามของเจ้าแม่จระเข้ต้องกระเด็นถอยออกมาก่อนจะร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวดและร้อนรน

“ โอ๊ย…ย ย ร้อย..ร้อนเหลือเกิน ไอ้หมอผีชั่ว มึงใช้อะไรทำร้ายกู… ”

นางจระเข้เจ้าแม่แห่งลำคลองผงะลูบคลำร่างกายด้วยความปวดแสบปวดร้อนทั่วร่างกาย

“ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่า… ”

จอมอาคมมนต์ดำหัวเราะร่าอย่างผู้เหนือกว่า กระชากสายสร้อยประคำสีดำเส้นเขื่องแล้วชูไปข้างหน้า
แสงสีเงินเปล่งประกายออกมาจากประคำเส้นนั้น แสงเจิดจ้าทำให้เจ้าแม่จระเข้ต้องปิดหน้าปิดตาด้วยไม่อาจทานแรงแห่งแสงนั้นได้ แสงนั้นไม่ใช่แสงจากพระพุทธคุณแต่ลำแสงนั้นกลับเป็นลำแสงของอิทธิฤทธิ์แห่งความชั่วร้ายและมนต์ดำ

เจ้าแม่จระเข้กำหนดจิตเพิ่มปราณสมาธิแล้วจ้องมองสิ่งนั้นด้วยตาที่ไม่กระพริบตกตะลึงต่อสิ่งนั้น…

“ ไม่น่าเชื่อว่าประคำไม้ชิงชันจะมาอยู่ที่มือคนชั่วเยี่ยงมึงได้ ไอ้หมอผีมนต์ดำ…”

นางพร่ำออกมาเสียงดังลั่นด้วยความฉงนปนความกลัว

ประคำไม้ชิงชันเป็นสิ่งที่ใช้กำจัดความชั่วร้าย ถูกสร้างมาจากภิกษุชรารูปหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว…มันหาใช่เป็นเป็นสิ่งที่สร้างมาด้วยพระพุทธคุณไม่ ตรงกันข้ามมันกลับถูกสร้างมาพร้อมกับสิ่งอาถรรพณ์ไสยศาสตร์จากภิกษุชราผู้ที่หลงงมงายในอวิชาสิ่งชั่วร้าย ถ้ามันตกอยู่ในเงื้อมมือของคนชั่วมันย่อมจะนำความเดือดร้อนมาสู่คนอีกหลายคน…ประคำไม้ชิงชันนี้หมดฤทธิ์และหายสาบสูบไปนับร้อยปี …นางไม่นึกเลยว่าสิ่งนี้จะมาอยู่ในมือคนชั่วร้ายอย่างหมอผีชาติได้…หรือกาลวิบัติจะมาถึงแล้ว

“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่า…กลัวใช่มั๊ย…นี่แน่ะ ฮ่ะฮ่า….”

หมอผีชาติชูสายประคำไปตรงหน้าด้วยความกระหยิ่มใจ

แววตาของเจ้าแม่จระเข้วาวโรจน์เมื่อสิ่งที่นางคิดไว้เป็นจริงไม่มีผิด…เจ้าหมอผีคนนี้มันมีเตรียมตัวมาอย่างดีเพื่อจับนาง หากไม่แน่จริงมันคงไม่กล้ามาท้าทายเยี่ยงนี้

เมื่อมันมีวิธีตั้งรับนางก็มีเหมือนกัน…

“ ไอ้หมอผีมนต์ดำ ตะกรุดเงินที่มึงถืออยู่นั้น กูรู้นะว่าจะแก้สิ่งอาถรรพณ์มันได้อย่างไร”

“…อะไรนะ อีผีเจ้าแม่จระเข้…”

หมอผีชาติที่คิดว่าตนเองกำลังได้เปรียบเหนือกว่านางชะงักค้าง

“…สิ่งอาถรรพณ์ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อมันโดนสิ่งคาวก็จะหมดอิทธิฤทธิ์…โดยเฉพาะน้ำเลือด…”

เจ้าแม่จระเข้ยิ้มบางๆอย่างหยามหยันเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าแล้วหลับตาสวยบริกรรมมนต์ บังเกิดเป็นสายฝนหล่นลงมารอบๆกายของเจ้าหมอผี ทว่าไม่ใช่สายฝนธรรมดา

…ซ่า….

น้ำเลือดสีแดงฉานตกลงมาเป็นสายฝนราดรดร่างของหมอผีไสยดำจนชุ่มโชกแดงฉาน หมอผีโฉดร้องลั่นคล้ายถูกไฟโหมไหม้ ประคำที่เปล่งรัศมีแต่แรกก็ดับวูบลงเมื่อน้ำเลือดกระเซ็นถูกแท่งโลหะ ตะกรุดเงินอันเรืองฤทธิ์ได้หลุดออกจากมือของหมอผีโฉดตกลงพื้นกลายเป็นแท่งโลหะไร้อิทธิฤทธิ์ ขณะที่ร่างของหมอผีชาติเองก็ทรุดฮวบลงกองกับพื้นท่ามกลางเสียงหัวเราะหยามเหยียดจากอิสตรีที่ยืนมองอยู่เบื้องหน้า

“ หึๆ ๆๆ ๆ เหอะๆ ๆๆ ” เจ้าแม่จระเข้จ้องมองร่างที่ดิ้นทุรนทุรายอยู่ตรงหน้าอย่างสมเพช “…มันไม่เพียงแต่จะแก้อาถรรพณ์จากประคำไม้ชิงชันเท่านั้นนะ ไอ้หมอผีเฒ่า…คริ..คริ…คริ แต่มันอาจจะทำให้ดวงจิตของมึงซึ่งครองเพศในไสยเวทย์แหลกสลายไปได้…น้ำเลือดนี้มันเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับมึงใช่มั๊ย ”

เจ้าแม่จระเข้ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์กางสองมือมาตรงหน้า ส่งพลังไปยังร่างชุ่มเลือดจนแดงเถือกของหมอผีโฉด แล้วยกลอยขึ้นจากพื้น หมอผีโฉดไม่อาจต้านทานพลังอันมหาศาลของนางทำได้แค่ดิ้นรน และเขาต้องตาเหลือกเมือรู้สึกว่ามีมือที่มองไม่เห็นบีบลำคอของตนแน่น จนหายใจเริ่มติดขัด…

“ มีฤทธิ์แค่หางอึ่ง บังอาจมาท้าทายข้า เอ็งต้องได้บทเรียนที่สาสมก่อนจะตาย ”

ร่างของหมอผีชั่วลอยขึ้นจากพื้นและยกขึ้นมากุมอยู่ที่คอคล้ายประหนึ่งเจ้าของร่างถูกบีบคอจากสิ่งที่มองไม่เห็น…การหายใจเริ่มขาดเป็นช่วงๆ

“ อ่ะ…อ๊อก…ก ก ก ก”

เสียงร้องอย่างทุรนทุรายดังมาจากร่างทรงของหมอผีโฉด
เส้นเลือดปูดโปนตามใบหน้าและลำคอเพราะเกิดจากอาการเกร็ง

“ อ่ะ…อั่ก…ก ก ก ก ”

หมอผีชาติกำลังย่ำแย่ ดวงจิตถูกเจ้าแม่จระเข้เล่นงานจนกำลังจะสิ้นลม แต่จอมไสยเวทย์มนต์ดำยังไม่สิ้นฤทธิ์ง่ายๆ มือไม้ข้างหนึ่งคลำเปะปะไปคว้าเอากระจุกผมที่อยู่ในย่ามขึ้นมา นับว่าเป็นการดิ้นรนครั้งสุดท้ายก่อนชีวิตจะดับลงไปตลอดกาล…

“ โอม…โหงพรายช่วยพ่อด้วย….”

สิ้นบทสวดอย่างเร่งรีบ กระจุกผมก็สำแดงอานุภาพ บังเกิดเป็นแสงสีเขียวขุ่นกระจายออก ลำแสงเหล่านั้นแตกสายไปวนรอบๆกายของเจ้าแม่จระเข้ที่กำลังใช้พลังบีบลำคอของหมอผีชาติจวนเจียนจะสิ้นลม นางปรายตางามมองลำแสงที่วนเวียนพลางขมวดคิ้วบางอย่างเคร่งเครียด ท่ามกลางลำแสงเสียงหัวเราะเย้ยหยันได้ดังขึ้น นางจระเข้หาได้มีท่าทีตื่นตระหนกแต่กลับทวีความขึ้งโกรธเพิ่มขึ้นไปอีก

“ หึๆ ๆๆ เหอะ…เหอะ…เหอะ…” เสียงหัวเราะเย็นเยียบจากกลุ่มแสงดังขึ้นชวนขนลุก

“ ไอ้พวกภูตผีชั้นต่ำ .” เสียงคำรามในลำคออย่างหยามหมิ่น “ หมดทางแล้วหรือ ถึงใช้พวกมันมาช่วย ”

ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างน่ากลัว พลันร่างอันสยดสยองก็ปรากฏขึ้น ลอยคว้างอยู่กลางอากาศเหนือร่างของเจ้าแม่จระเข้ อสูรกายร่างสยองขวัญทั้งสี่แสยะยิ้มจนปากฉีกถึงใบหู เลือดจากรอยแผลผุพองเน่าเหม็นไหลหยาดเยิ้มอย่างน่าขยะแขยง มันทั้งสี่ต่างยื่นมือยั้วเยี้ยเข้าไปหานางโดยพร้อมเพียง เจ้าแม่จระเข้โยนร่างโชกเลือดของหมอผีชั่วไปอย่างไม่ใยดี จากนั้นก็หันมาเผชิญหน้ากับภูตร้ายทั้งสี่อย่างไม่หวาดหวั่น

“ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่า ฮ่า…”

ปีศาจทั้งสี่ประสานเสียงกันหัวเราะร่าอีก แต่ละตนต่างสำแดงอิทธิฤทธิ์แปลงตนในรูปแบบที่น่าสะพรึงกลัว ทว่าเพียงแค่เจ้าแม่จระเข้กำหนดจิตจ้องภาพภูตผีเหล่านั้น ด้วยพลานุภาพญาณบารมีที่เหนือกว่าวิญญาณจากโลกันต์ที่กำลังหัวเราะขึ้นอย่างสะใจ พวกมันทั้งสี่มายืนอยู่เบื้องหน้าและยื่นมือที่เต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะเหวะ เล็บยาวสีสดหมายจะจับบีบไปที่ลำคอระหงของเจ้าแม่จระเข้ แต่พวกมันก็ต้องชะงัก ลำแสงสีม่วงยิงใส่จนพวกมันร่วงหล่นลงบนพื้นดีดดิ้นหวีดร้องเสียงโหยหวนอย่างเจ็บปวดเหลือแสน

“ โอ๊ย ย ย ย์ พ่อหมอ..ช่วยพวกเราด้วย… ” เสียงร้องโหยหวนของปีศาจทั้งสี่ดังประสานระงมอย่างน่าเวทนา

เจ้าแม่จระเข้มองร่างทั้งสี่เหี้ยมๆ “ ไอ้ผีสวะ บังอาจจริงๆที่กล้ามาต่อกรกับข้า ”

“ อ้าก.ก.ก.ก…. ”

ภูตผีทั้งสี่แหกปากร้องโหยหวนดังลั่นด้วยความเจ็บปวด และร่างก็บังเกิดเปลวไฟสีส้มไหม้ลามไปทั่วตัว มันทั้งสี่ดิ้นรนร้องโหยหวนด้วยความทรมานยิ่งกว่าเดิม ระหว่างนั้นหมอผีชาติสะดุ้งเฮือกและผงะหงายลืมตามาเห็นภาพฝูงโหงพรายของตนกำลังถูกพลังจิตอันมหาศาลของเจ้าแม่จระเข้เผาไหม้ ร่างทั้งสี่หวีดร้องดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดก่อนจะสลายกลายเป็นผงและปลิวหายไปต่อหน้าต่อตา
เจ้าแม่จระเข้หลังจัดการบริวารของหมอผีโฉดจนไม่เหลือซากก็มองใบหน้ากลมๆดำคล้ำของเขาแล้วเหยียดยิ้ม

“ มันก็แค่ช่วยถ่วงเวลาตายของเอ็งเท่านั้น คงจะสำนึกแล้วกระมัง แต่ก็สายเกินไปไอ้เฒ่า! ”

หมอผีชาติสูดลมหายใจสำรวมจิตอีกครั้ง เขามองร่างงดงามอวบอิ่มตรงหน้าที่กำลังก้าวขาเรียวขาวเข้ามาใกล้ด้วยความคิดที่ต่างจากการปะทะอาคมในครั้งแรก ไม่ใช่หวาดกลัวหรือคิดจะถอยหนี แต่พอใจในอานุภาพของดวงวิญญาณดวงนี้ ร้ายกาจและเหมาะสมทั้งพลังและสติปัญญา และจะเป็นกำลังสำคัญของเขาในภายหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย

“ ที่นิ่งไปนี่ เอ็งหมดฤทธิ์แล้วเรอะ…คริ…คริ…คริ….ไอ้หมอผีกระจอก…”

“ เฮอะ! ข้ายังมีดีกว่านี้อีก นังศรีวันทอง..” หมอผีชาติเอ่ยเสียงกร้าว

อีกฝ่ายเงยหน้าหัวเราะหยามหยัน “ ปางตายขนาดนั้นยังจะปากดี มีอะไรดีก็เร่งแสดงออกมาเถอะ ”

หมอผีไสยดำล้วงไปในย่ามหยิบบ่วงเชือกขึ้นมาเสกเป่าคาถาใส่ นางจระเข้เพ่งมองอย่างประหลาดใจ ร่างระหงนั้นมิได้เกิดปฏิกิริยาใด หากสายตาคมหวาน ดุ กลับตะหวัดไปมองสิ่งที่อยู่ในมือของหมอผีชั่วอย่างกังวนใจ เชือกขนาดหัวแม่มือที่ม้วนเป็นบ่วงนั้นเรืองแสงสีเขียวอ่อนขึ้นมาช้าๆตามบทสวดกำกับอานุภาพ พลังกายพลังใจของหมอผีโฉดเพิ่มพูนขึ้นมาและไหลบ่าออกมากดดันเจ้าแม่จระเข้ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์จนผงะถอยออกไปอย่างลืมตัว

“ เอ หิ พญานาคะสุปัณณานัง สิทธิชะนาจิตตัง อิติปิโส ภะคะวา พุทธังปิด ธัมมังปิด สังฆังปิด มะอุอะ ”

“ นะ…นี่…เอ็ง…อย่าบอกนะว่านั่นคือ….” เสียงของเจ้าแม่จระเข้เอ่ยขึ้นอย่างหวั่นๆ

“ บ่วงนาคบาศ มันเป็นอาวุธอันมีฤทธิ์อุโฆษเอ็งคงจะเคยได้ยินใช่มั๊ย ข้าไม่นึกว่าการจับเจ้าจะต้องใช้ ด้วยบ่วงนี้มันมีชีวิต และจะตอบรับคำขอของผู้เป็นนายแห่งมันเท่านั้น แม้นเจ้าสัมผัสมันโดยเราไม่อนุญาต เจ้าก็จะปวดแสบปวดร้อนปวดร้าวร่างกายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน”

“ อย่ามาลวงข้า ของกระจอกๆอย่างนั้นทำอะไรข้าไม่ได้หรอก และข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่า มนุษย์ผู้มีจิตใจต่ำช้าเยี่ยงเดรัชฉานเช่นเจ้าจะได้ของสูงเกินตนมาครอบครอง เปรียบได้กับวานรเขลาผู้ได้แก้วรัตนามาไว้ในมือ หาได้รู้สรรพคุณอันเหนือภพแห่งมันไม่ เจ้าเป็นเพียงมนุษย์เดินดิน ไยอาจหาญมีบ่วงนาคบาศมาไว้ในครอบครองได้ คงจะเป็นของปลอมที่เอาไว้ขู่พวกภูตผีชั้นต่ำของเจ้าให้อยู่ในโอวาท ”

“ บ่วงนาคบาศ เป็นอาวุธเสกสรรขึ้นโดยจอมนาคาชมพูนิต ข้าคงจะไม่อาจหาญลงไปถึงภพภูมินาคาเพื่อลักขโมยเอาอาวุธของท้าวเธอที่ต้องเก็บไว้กับตนอย่างนั้นหรอก นั่นเป็นการกระทำอัตกรรมนิบาตโดยแท้ บ่วงนาคบาศเส้นนี้ข้าจำลอง ต้องใช้พลังมหาศาลและเสียเวลาปลุกเสกอยู่นาน และไม่เคยมีภูตผีตนใดที่ข้าเผชิญแล้วต้องใช้มาก่อน เจ้าจะเป็นผู้ที่ข้าประเดิมใช้มัน อยากรู้เช่นกันว่า อานุภาพจะขนาดไหน ฮ่าๆๆๆ” หมอผีโฉดหัวเราะอย่างย่ามใจ

(ตามตำนานโบราณจากรามเกียรติ์ ‘นาคบาศ’ คือ ศรของอินทรชิต ที่ยิงไปเป็นงูรัดศัตรู ซึ่งภายหลัง พญานาคราชได้มีครอบครองไว้ และ พรานบุญไปขอยืมบ่วงบาศนี้จากพญานาคเนื่องจากพรานบุญเคยช่วยเหลือ พญานาคราชไว้ พญานาคราชได้ให้สัญญาว่า ขออะไรก็จะให้ ทั้งที่เป็นของสำคัญ และกลัวพรานบุญไม่คืน แต่ก็ให้ไป เพราะต้องรักษาคำพูด พรานบุญจึงสามารถจับกินรีได้ และนำบ่วงนาคบาศนั้นไปคืน พญานาคราช นาคบาศยังเป็นบ่วงเชือกที่แข็งแรงที่สุด พญาครุฑเจ้าแห่งนก ก็ยังกลัว บ่วงนาคบาศนี้เช่นกัน และการที่หมอผีชาติสามารถใช้พลังเวทย์สร้างบ่วงบาศนี้ขึ้นมาใช้ก็แสดงให้ถึงมนต์ดำอันถึงขั้นเอกอุของมัน สถานการณ์ของเจ้าแม่จระเข้จึงเข้าที่คับขัน)

“ มันก็แค่ของปลอมทำเหมือน ข้าไม่หวั่นฤทธิ์ของมันหรอก ” เจ้าแม่จระเข้ยังคงท้าทาย

“ ทำปากเก่ง เอาไปนังจระเข้เฝ้าคลอง…” หมอผีชาติขวางบ่วงเชือกใส่เจ้าแม่จระเข้ทันที

เมื่อจบบทสวดกำกับคาถา ไอร้อนพวยพุ่งออกมาจากบ่วงนาคบาศนั้นโดยแรง ยังให้ร่างแฉล้มที่ยืนผงาดค้ำอยู่ตรงหน้าต้องสะดุ้งสุดกาย พลางดวงตาสังเกตเห็นว่าขดเชือกสีเขียวนั้นเริ่มคลายออกจากกัน แลเคลื่อนไหวในลักษณะราวกับเป็นอสรพิษร้าย เลื่อนออกจากอุ้งมือหนาของหมอผีเฒ่าแล้วพุ่งตวัดมากับอากาศแล้วรวบตัว เข้ากับร่างของเจ้าแม่จระเข้ผู้มีกายขาวผ่องงดงามและอวบอิ่ม บ่วงเชือกเลื้อยรัดราวมีชีวิต มันเข้ามัดร่างของนางไว้แน่นจนขยับไม่ได้ หมอผีจากแดนเขมรมองแล้วยิ้มอย่างพอใจ เจ้าแม่จระเข้พยายามดิ้นรนมันก็ยิ่งมัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าเจ้าแม่จระเข้แปรเปลี่ยนเป็นตกใจที่รู้ตัวว่ากำลังจะพลาดท่าให้หมอผีผู้นี้ เมื่อสุดจะขัดขืนต้านทานพลังของบ่วงนาคบาศอันร้ายกาจ จำต้องปล่อยให้ร่างที่ถูกพันธนาการด้วยนาคบาศต้องล้มตึงลงไปกับพื้นหญ้าริมตลิ่ง

จอมไสยเวทย์มนต์ดำเดินเข้ามามองดูผลงานอย่างพอใจ ในที่สุดก็สามารถจับนางจระเข้ที่แสนร้ายกาจได้ แม้หยุดยืนอยู่ใกล้ ยังรู้สึกถึงกระไอร้อนพวยพุ่งออกมา ร่างที่โดนผูกมัดอยู่นั้นจะนิ่งเฉยอยู่ได้โดยมิรู้สึกถึงพิษแห่งนาคได้เล่า ร่างนั้นพลันร้องโอดโอยออกมาด้วยเสียงอันดังแลกราดเกรี้ยว พร้อมกับการแช่งสาปให้หมอผีโฉดได้พบกับจุดจบอันน่าขนพองสยองเกล้า แต่หมอผีเฒ่าหาได้สนใจฟังเขาย่างก้าวเข้าไปใกล้ และยื่นมือออกไปยังร่างนอนเกลือกกลิ้งกับพื้นด้วยท่าทางอันน่าสมเพชนั้น บ่วงนาคบาศก็พุ่งกระเด็นขึ้นมาเป็นห่วงให้เขาได้ใช้มือจับกระชับและกระชากเอาร่างอรชรในพันธนาขึ้นมาจากพื้นให้มานั่งอย่างอ่อนเปลี้ยอยู่ด้วยแรงเหลือน้อย นิด

ร่างนั้นดีดดิ้นหวังจะหลุดรอดเป็นอิสรภาพ หากก็ต้องใบหน

Share the Post:

Related Posts

รักพิศดาร

รักพิศดาร

เรื่องเสียว รักพิศดาร ตอนนั้นโอได้เงินพิเศษมาจากการทำจ๊อบครับ กระเป๋าตุงเชียว ก็เลยชวนแนทไปเที่ยวหาอะไรสนุกๆ กันในยามค่ำคืน จุดหมายกับผับแห่งหนึ่งครับชื่อ………อยู่แถวๆ ลาดพร้าว เป็นผับที่โอกะแนทชอบไปดริงค์แต่ก็ไม่บ่อยนัก แบบชอบบรรยากาศและเสียงเพลงที่นั่นอ่ะครับ คืนนั้นแนทใส่กระโปรงสั้นมากๆกับเสื้อยืดสายเดี๋ยวตัวเล็กๆ แบบรัดรูปร่างน่ามองมาก โดยเฉพาะตรงอกสวยๆกะตระโพกงอนๆ ขนาดโอเห็นทุกวันโอยังชอบเลย ไปถึงก็ดึกแล้วอ่ะ โอกะยายแนทก็นั่งดื่มกันแป๊บหนึ่ง พอหน้าชักร้อนผ่าวๆ โอกะนึกสนุก อยากหาอะไรแปลกๆ ทำกัน

Read More
เด็กเอ็นใหญ่ ”โอวววว…ซี๊ดดดด…น้าเสียวเหลือเกิน…”

เด็กเอ็นใหญ่ ”โอวววว…ซี๊ดดดด…น้าเสียวเหลือเกิน…”

เรื่องเสียว เด็กเอ็นใหญ่ ”โอวววว…ซี๊ดดดด…น้าเสียวเหลือเกิน…” น้องเคยแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่ง จะเรียกว่าแต่งงานแล้วก็ไม่เชิงค่ะ เพราะว่าน้องไปอยู่กับเขาเฉยๆ ค่ะ จนเราสองคนมีปัญหาเข้ากันไม่ได้เลย ความรักที่เคยหวานชื่นนั้นมันก็ขมเสียแล้ว ผลสุดท้ายก็ต้องแยกทางกัน น้องเดินทางขึ้นเหนือไปอยู่กับพี่สาวของน้อง พี่น้องเขาทำงานเป็นครูอยู่จังหวัดน่านค่ะ พี่ของน้องคนนี้อายุห่างกับน้องมาก อายุของเขา 34 ปีแล้ว ส่วนน้องเพิ่ง 24 เท่านั้น พี่ของน้องเขาก็เป็นม่ายเหมือนกัน

Read More