ศึกหมอผี ตอนที่ ๖

ศึกหมอผี ตอนที่ ๖

ศึกหมอผี ตอนที่ ๖

สาปสมิงสาว

ซอยเปลี่ยวร้างกลางกรุง เด็กหญิงร่างเล็กวิ่งหนีกลุ่มคนที่กำลังไล่ล่าของกลุ่มชายฉกรรจ์นับร้อย ท่าทางของเธอหวาดกลัวลนลาน บางครั้งล้มลุกคลุกคลานไปกับตามพื้นสกปรกจนเนื้อตัวถลอกปอกเปิกเปรอะเปื้อนไปหมด หัวเข่าขาวๆเกิดรอยแผลเลือดไหลซิบๆ จนกระทั่งเธอวิ่งไปสะดุดสิ่งกีดขวางแล้วล้มลงไปกับถังขยะสกปรกเหม็นหืน เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นกลุ่มผู้ติดตามไล่ล่าซึ่งสวมชุดสูทสีดำและใส่แว่นกันแดดทุกคนแม้จะเป็นเวลากลางคืนพากันวิ่งกรูเข้ามา และตีวงเข้าล้อมดักทางหนีของหญิงสาวที่พยายามจะคลานหนี กระทั่งหมดทางจะเล็ดรอดไปได้ เธอจึงต้องขยับนั่งหันหลังพิงกำแพง

เมื่อจนตรอกไร้ทางหลบหนีแล้ว ก็มีชายชุดดำที่ท่าทางเป็นหัวหน้าได้เดินแหวกกลุ่มชายชุดดำเข้ามาหยุดยืนไม่ห่างจากหญิงสาว ใบหน้าของเขายาวตัดผมสั้นทรงอเมริกัน ไม่สวมแว่นเห็นดวงตาเรียวเล็ก จมูกบานหนา มีรอย
แผลเป็นยาวพาดตั้งแต่คิ้วลงมาถึงมุมปาก ดูน่ากลัวสำหรับเธอยิ่งนัก มันแสยะยิ้มอย่างพอใจ

“หมดทางหนีแล้วสินะ เจ้าหญิง ทรงยินยอมเสด็จไปกับพวกเราโดยดีเถิด”

เด็กสาวร่างเล็กพยายามกระเถิบหาช่องทางหลบหนี “มะ..ไม่ไป…พวกแกใจร้ายฆ่าพวกพี่เลี้ยงและองครักษ์ของฉันอย่างโหดร้าทารุณ ยังไงๆฉันไม่ยอมไปกับพวกแกหรอก ยะ…อย่าเข้ามานะ ไม่อย่างงั้นฉันจะร้องให้คนช่วย”

“ฮ่าๆๆ ใครหน้าไหนจะมาช่วยเจ้าหญิงได้ อย่าดื้อดึงให้ลำบากไปเลย ไปกับพวกเราเถอะดีๆเถอะนะ”

“พะ..พวกแกเป็นคนชั่วร้าย ใจดำอำมหิต ฉันไม่ไปด้วยหรอก อย่าเข้ามานะ ออกไปให้พ้น!”

“หม่อมฉันไม่กระทำอันตรายใดๆต่อเจ้าหญิงดอก หน้าที่ของหม่อมฉันคือพาตัวเจ้าหญิงกลับไปเท่านั้น ให้ความร่วมมือกับพวกเราเถอะนะ หม่อมฉันไม่มีเวลาทั้งคืนมาเล่นไล่จับด้วย”

“อย่านะ…อย่าเข้ามา…ชะ..ช่วยด้วย…ใครก็ได้ช่วยด้วยเจ้าค่า!!! ” เด็กสาวพยายามตะโกนร้องหาคนช่วยอย่างสิ้นหวัง

‘หวอ….’

เสียงหวอดังขึ้นพร้อมกับไฟฉายส่องเข้ามาในมุมมืดของซอยแห่งนั้น รถยนต์กระบะสีเลือดหมูขาวติดตราโล่และเข้ามาจอดชิดริมฟุตบาต เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งเปิดประตูลงมาและฉายไฟส่อง เมื่อเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดสูทดำกำลังล้อมกรอบเด็กสาวร่างน้อยในสภาพสะบักสะบอมก็พอจะเดาได้ว่าเกิดเหตุการณ์ไม่ปรกติแน่ๆ เขาจึงรายงานนายตำรวจยศสามดาวที่นั่งอยู่ พอรู้เรื่องนายตำรวจยศสามดาวก็ก้าวลงมาพร้อมตำรวจยศนายดาบอีกคน

“ท่าทางไม่น่าวางใจ เตรียมพร้อมไว้นะจ่า” นายตำรวจใบหน้าคมเข้มออกคำสั่ง

“สงสัยจะเป็นพวกมาเฟียจับเด็กผู้หญิงมาค้าประเวณี แล้วเด็กผู้หญิงหนีออกมาจึงไล่ตามจับ ไอ้พวกนี้ระยำจริงๆ ต้องจับไปขังแล้วให้พวกนักโทษข่มขืนประตูหลังเสียให้เข็ด” นายดาบฯเอ่ยสรุปขณะเดินตามไป

“อย่าเพิ่งสรุปไปนะจ่า เรายังไม่รู้ว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น เด็กผู้หญิงคนนั้นอาจะขโมยของมาก็ได้ และคงจะเป็นบ้านคนมีเงินถึงได้มีคนมาตามจับตัวเยอะแยะขนาดนั้น” นายตำรวจเอ่ยตักเตือนนิสัยที่ชอบสรุปคดีจากตาเห็นก่อนสอบสวน

เมื่อเดินเข้ามาถึงวงล้อมของบรรดาชายชุดดำ นายตำรวจจึงเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่ามีอะไรกัน ทำไมถึงทำท่าเหมือนจะรุมทำร้ายเด็กผู้หญิงคนนี้?”

ชายหน้าบากมองกลุ่มตำรวจแล้วตอบว่า “เรื่องภายในของพวกเรา อย่ามายุ่ง”

“เอ…ทำไมพูดอย่างนั้น เรื่องภายในของคุณ แต่บ้านเมืองมีกฎหมายนะครับ ถึงเด็กผู้หญิงคนนี้จะทำอะไรผิดพวกคุณก็ไม่มีสิทธิ์มาตั้งศาลเตี้ยตัดสินกันเอง ต้องส่งเธอให้ตำรวจจัดการ มากลุ้มรุมทำร้ายอย่างนี้ไม่ได้”

นายดาบตำรวจเดินแหวกวงล้อมเข้าไปประคองเด็กสาวขึ้นมาแล้วเอ่ยถาม “มีเรื่องอะไรกัน?”

หญิงสาวรู้สึกมีความหวังขึ้นมา เมื่อเห็นตำรวจเข้ามาช่วย เธอเอ่ยตอบเสียงแหบพร่า “คะ..คนพวกนี้เป็นคนเลวค่ะ พวกเขาบุกเข้ามาในบ้านแล้วจับตัวพ่อหนูไปขัง แล้วยังฆ่าลูกน้องของพ่อหนูตายตั้งหลายคน หนูหนีมาตั้งไกลยังไล่ตามจับตัวอีก ช่วยหนูด้วยนะคะ พวกเขาจะจับตัวหนูไปให้เจ้านายที่โหดร้ายของพวกเขาทำร้าย”

“ฮะ..เฮ้ย! จริงหรือเปล่า” นายตำรวจอุทานถามและมือทุกคนจับซองปืนเตรียมพร้อมทันที

ชายหน้าบากแสยะยิ้มแล้วตอบเสียงเข้มๆ “จะจริงหรือไม่จริง ก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของพวกเจ้า ข้าบอกแล้วมันเป็นเรื่องภายในของพวกเรา จงอย่ามารนหาที่ รีบๆไสหัวไปขณะยังมีโอกาส”

“เอ…พูดจากับเจ้าหน้าที่ไม่เพราะเลยนะเนี่ย สงสัยต้องคุยกันยาว แล้วมีพวกเยอะเสียด้วย จ่าเรียกกำลังเสริมมาด่วน” นายตำรวจชักปืนขึ้นเล็งไปที่ชายหน้าบากและสั่งเสียงเฉียบ “ทุกคนเอามือขึ้นไว้เหนือหัว เราขอจับกุมพวกคุณในฐานต้องสงสัยเป็นภัยต่อชีวิตคนอื่น ไปยืนเรียงแถวตรงโน้น ผมไม่อยากใช้กำลัง ไป๊!”

“หุ หุ หุ…ไอ้พวกหน้าโง่เอ้ย”

ตำรวจทั้งสามยกปืนขึ้นเล็งใส่กลุ่มชายชุดดำที่มีอยู่ประมาณยี่สิบคน และพยายามออกคำสั่งให้ยกมือยอมจำนน แต่ก็ไม่มีสักคนยินยอมปฏิบัติทำตามคำสั่งนั้น ยังยืนนิ่งราวไม่ได้ยินซึ่งสร้างความขุ่นเคืองให้นายตำรวจยิ่งนัก จนเขากำชับเสียงดุว่าถ้ายังเฉยจะถูกยิง แต่ก็ยังไม่มีใครคนไหนขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวทำตามคำสั่งของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ทำเอานายตำรวจชักเดือดที่คนเหล่านี้ท้าทายอำนาจเจ้าหน้าที่อย่างไม่ยำเกรงเครื่องแบบ

“ขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย จะยอมยกมือจำนนมั๊ย!” นายตำรวจตะวาดถามเสียงดัง

เมื่อไม่มีใครทำตามคำสั่ง นายดาบฯจึงกระซิบถาม “เอาอย่างไงดีครับหมวด คนร้ายไม่ยอมยกมือ”

“กำลังเสริมมาหรือยัง?” นายตำรวจกระซิบถามจ่าที่ยืนข้างๆ

“กำลังติดต่ออยู่ครับ”

“จัดการพวกตัวน่ารำคาญนี่หน่อย..”เสียงเหี้ยมๆของชายหน้าบากสั่งขึ้น

“ขอรับ….” เสียงของร่างที่ยืนข้างๆขานรับ และขยับเดินเข้ามาหานายตำรวจกับพรรคพวก

“ฉันขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าไม่ทำตาม เราจะจัดการขั้นเด็ดขาด”

“หุ หุ หุ…..” เสียงหัวเราะดังอย่างเยือกเย็นชวนขนหัวลุก

และแล้วตำรวจทั้งสามนายก็ตกตะลึงอ้าปากค้าง เมื่อใบหน้าของชายคนนั้นเริ่มเปลี่ยนแปลงไป เล็บมืองอกยาวแหลมเฟี้ยว ปลายหูยืดแหลมขึ้น มีเขี้ยวยาวงอกออกมาทางปาก จมูกรั้งแบนออกข้างพร้อมโหนกแก้ม ด้วยแว่นดำบดบังลูกนัยน์ตาจึงไม่เห็นว่าแววตาเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นไปด้วย แค่เพียงเท่านี้ก็ทำให้ตำรวจทั้งสามตกใจกลัวจนขวัญผวาได้แล้ว

เมื่อกรงเล็บถูกยกขึ้นนายตำรวจแหกปากตะโกนถามอย่างขวัญเสีย

“เฮ้ย!!!~นี่พวกแกเป็นตัวตัวอะไรกันวะ”

“โฮ๊กกกก.ก.ก.ก.ก….” เสียงคำรามดังออกมาจากลำคอ

“อ้ากกกกกกก….” และเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นเมื่อร่างประหลาดยื่นมือมาบีบจับคอของเขาไว้และยกร่างให้ลอยขึ้นราวยกกระสอบนุ่น ตำรวจเคราะห์ร้ายพยามยามดิ้นรนสุดชีวิต และเพื่อนๆตำรวจหลังจากหายตกตะลึงก็ระดมยิงใส่

“ไม่ว่ามันจะเป็นตัวอะไร ยิงมันเลยช่วยดาบเยิ้มให้ได้”

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง’~!

เสียงปืนในมือของนายตำรวจดังสนั่นลั่นซอย ตำรวจชั้นประทวนสองนายที่รออยู่ในรถสะดุ้ง เขารีบวิ่งตามเข้าไปสมทบทันที

นอกจากเสียงปืนยังมีเสียงเอะอะด้วยความตกใจดังผสมมาอีกด้วย ทั้งสองหยุดวิ่งหันมามองหน้าปรึกษากัน

หนึ่งในสองออกความเห็นว่า “ท่าทางข้างในซอยจะมีงานใหญ่ว่ะ”

“ถ้าอย่างงั้น…ฉันจะกลับไปวิทยุขอกำลังเสริมก่อนนะ”

“เอาเลย..ยิงกันเป็นตับๆอย่างนี้งานใหญ่แน่ๆ”

พอเพื่อนพยักหน้าให้ ผู้ออกความเห็นก็รีบวิ่งกลับไปเปิดประตูรถยกวิทยุติดต่อไปยังทุกหน่วยที่อยู่ใกล้ทันที

โครม!

เสียงนั้นทำเอาทั้งเขาชะงัก เมื่อร่างของนายตำรวจปลิวมาจากท้ายซอยและกระแทกกับหลังคารถตำรวจจนยุบยวบลงไป ทำให้กระจกรอบคันแตกกระจาย ไฟกระพริบกับราวเหล็กยึดด้านบนนอกจากแตกแล้วยังหลุดกระเด็นไปคนละทิศละทาง ส่วนหลังคายุบเกือบถึงขอบกระจกล่าง ร่างของนายตำรวจเคราะห์ร้ายนอนหงายเลือดไหลออกจากปากจมูกและรูหู สองตาเหลือกโพลงและแน่นิ่งไม่ไหวติงอาการนี้บ่งบอกว่าตายสนิทตั้งแต่ยังไม่ปลิวมา

ตำรวจชั้นประทวนสองนายมองอย่างตกตะลึงและหันไปมองในซอยมืด มีเงาร่างสีดำกระโจนตามออกมาและยืนคร่อมร่างเคราะห์ร้ายบนหลังคารถเอาไว้ มันจ้องทั้งสองจากมุมมืดด้วยดวงตาวาวๆสีเหลืองขุ่นๆ พอไฟฉายส่องให้เห็นร่างของมันก็ทำเอาทั้งสองผงะ เพราะร่างนั้นถึงจะมีลักษณะของคนยืนสองขาแต่ว่าพอเห็นใบหน้าของมันพลันต้องอ้าปากค้าง เพราะเป็นใบหน้าของอสุรกายที่ศีรษะโล้นเลี่ยน บริเวณตรงใบหูทั้งสองข้างชี้ปลายแหลม ดวงตาวาวสีเหลือง จมูกรั้งขึ้นบานออก ที่ปากมีเขี้ยวขาวยื่นยาวเห็นได้อย่างชัดเจน

‘โฮ๊กกกกกกกก……’

มันส่งเสียงคำรามขู่และพูดออกมาอย่างลำพอง

“นายข้าอุตส่าห์จะไว้ชีวิต เพราะไม่อยากยุ่งกับพวกมนุษย์ แต่พวกเจ้าก็รนหาที่เอง”

“เฮ้ย! ตัวอะไรวะ !?!” เสียงคนพูดวิทยุร้องลั่น รีบชักปืนออกมามือไม้สั่น

“ไม่รู้โว้ย…” เพื่อนร้องบอกมาพร้อมผงะหงายท้องลงไปด้วยความตกตะลึงและหวาดกลัว

“พวกแกมันแส่หาเรื่องตายกันแท้ๆ เตรียมตัวตายเถอะ” มันพูดแล้วกระโจนลงมา

“ยะ..ยิงแม่งเลย….” คนยืนอยู่บอกและยิงปืนที่ถือในมือใส่ไม่ยั้ง

ส่วนคนที่หงายท้องลงไปก็ยันกายขึ้นมายืนและระดมยิงใส่ด้วยอีกคน

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง’~!

ทั้งสองระดมยิงจนปืนหมดกระสุน แต่ก็ไม่ระคายผิวของมันได้ เจ้าอสุรกายคำรามมองทั้งสองด้วยตาสีเหลืองขุ่นๆอย่างน่ากลัว และเดินย่างสามขุมเข้าหา กรงเล็บที่นิ้วยาวเฟื้อยตวัดเข้าที่ลำคอของตำรวจคนที่อยู่ใกล้ เลือดสดๆพุ่งทะลักออกจากบาดแผลที่ลำคอราวท่อประปาแตก ตำรวจเคราะห์ร้ายตาเบิกโพลงเอามือกุมลำคอร้องครืดคราดแล้วล้มลงดิ้นทุรนทุราย สักครู่ก็แน่นิ่งสนิทตาเหลือก อ้าปากค้างหมดลมหายใจ

เสียงมันขู่คำรามชวนขนลุกขนชัน “โฮ๊ก.ก.ก.ก.ก….พวกมนุษย์นี่ช่างเปราะบางและอาวุธก็กระจอกเหลือเกิน”

“มะ..มึง…มึงเป็นตัวอะไรวะ มึงฆ่าเพื่อนกู กูขอสู้ตายกับมึง”

ตำรวจคนที่ยังเหลือรอดอยู่บรรจุลูกปืนใหม่เสร็จแต่พอเงยหน้ามา ก็มองเห็นเจ้าอสุรกายเข้ามายืนจนชิด เขาอ้าปากค้างมองกรงเล็บในมือของมันกระซวกแทงเข้าที่หน้าท้องจนทะลุหลัง ตำรวจเคราะห์ร้ายอ้าปากค้างตาเบิกโพลง เจ้าอสุรกายกระชากมือชุ่มเลือดออกมาร่างนั้นก็ทรุดลงนอนกับพื้นสองมือกุมบาดแผลดิ้นไปมาอึดใจแล้วก็นอนนิ่งตาค้างหมดลมหายใจไปอีกคน อสุรกายคืนร่างปรกติล้วงแว่นดำมาสวมแล้วมองอย่างพอใจก่อนจะเดินกลับไปรวมกลุ่ม

เมื่อทุกสิ่งสงบลง หญิงสาวมองสภาพของตำรวจทั้งสองที่นอนตายตาเหลือก และไกลออกไปตรงรถสายตรวจที่พังยับเยิน สีหน้าของเธอมีความหวาดกลัวเพิ่มขึ้นอีก เด็กสาวมองสภาพของบรรดาตำรวจสายตรวจ สีหน้าของเธอมีความหวาดกลัวเพิ่มขึ้นอีก…เมื่อพวกที่ตามล่าตัวเธอ เป็นอสุรกายโหดร้ายกระหายเลือด ฆ่าคนได้ง่ายๆเหมือนผักปลา

ชายหน้าบากหัวเราะในลำคอแล้วเอ่ยถาม “เราจะไปกันได้หรือยัง เจ้าหญิง?”

“อะ…อื่อ…ชะ..ชั้นไม่ไป…” เด็กสาวสาวเข่าอ่อนทรุดลงนั่งหมดเรี่ยวแรงจะหลบหนี

เจ้าคนหน้าบากส่ายหัว “อย่าขัดขืนอีกเลย…พวกเราเสียเวลามามากแล้ว อย่าให้ต้องมีคนตายไปมากกว่านี้”

“มะ..ไม่ไปไหนทั้งนั้น ฉันไม่ยอมไปกับพวกแกหรอก”เด็กสาวกระเถิบร่างหนีด้วยเรี่ยวแรงที่พอหลงเหลือ และพยายามจะคลานหาทางหลบหลีก แต่ก็ถูกพวกชายชุดดำยืนขวางไว้

ชายหน้าบากส่ายหน้า ออกคำสั่ง “เมื่อไม่ไปดีๆก็ต้องขออภัยที่ล่วงเกินนะ เจ้าหญิง”

ใบหน้าโหดเหี้ยมพยักให้คนข้างๆสองคนขยับเข้าไปหมายจะจับกุมตัว

“อย่ามาแตะต้องตัวฉันปล่อยๆๆปล่อยฉันนะ” หญิงสาวถูกหิ้วปีกขึ้นมา เธอพยายามดิ้นสุดกำลัง

“ไอ้พวกสารเลว ปล่อยมือสกปรกจากพระวรกายของเจ้าหญิง เดี๋ยวนี้!”

ทุกสายตาต่างหันไปมองยังต้นเสียง เจ้าของเสียงคือชายฉกรรจ์ชุดดำยืนถือยืนจังก้าเล็งมายังกลุ่มจะจับกุมเด็กสาว เขายืนอยู่ไม่ห่างจากกลุ่มของพวกวายร้าย เด็กสาวสีหน้ามีความหวังขึ้นมาในทันที

“สางเขียว!!! ท่านมาช่วยเราแล้ว…”เด็กสาวผุดลุกขึ้นใบหน้ามีรอยยิ้ม ขณะกลุ่มไล่ล่ามองหน้ากันเลิ่กลั่ก

ชายผู้มาใหม่ถือปืนขู่และขยับเดินใกล้เข้ามา

“พวกมึงห้ามแตะต้องพระวรกายเจ้าหญิงแม้นแต่ปลายเล็บนะ ไม่งั้นเจอกระสุนเงินนี่แน่..”

เด็กสาววิ่งฝ่าวงล้อมมาหลบอยู่ข้างหลังผู้มาช่วย

“ลุงสางเขียว ฮื่อๆๆ หนูกลัวจริงๆ ฮื่อๆๆพวกมันโหดร้ายมากๆ”

หญิงสาวเกาะไหล่ด้านหลังของชายชื่อสางเขียวแน่น คร่ำครวญรำพันขวัญเสีย

“ไม่ต้องกลัวนะ ตราบใดที่กระหม่อมยังมีลมหายใจ สัญญาจะปกป้องเจ้าหญิงอย่างสุดกำลังฝีมือและสติปัญญา”

“สางเขียวเอ๋ย! ข้าสงสัยข้องใจนักหนา ใยเจ้าจึงยินยอมรับใช้พวกเสื่อมยศเสื่อมอำนาจบารมีเป็นเจ้าไม่มีศาล น่าเสียดายในความกล้าหาญและฝีมือยิ่งนัก หากเปลี่ยนใจมารับใช้นางพญาของข้า เจ้าจะรุ่งเรืองด้วยลาภสักการะหน้าที่การงาน จะเปลี่ยนใจร่วมมือนำตัวเจ้าหญิงกลับไปถวายพระแม่เจ้ากับข้าก็ยังไม่สาย”

ชายหน้าบากเอ่ยชักชวนเกลี้ยกล่อมให้ร่วมมือ เมื่อเห็นว่าจะใช้กำลังก็จะสูญเสียโดยเปล่าดาย

“ไอ้ถ่อยทรลักษณ์ เอ็งมีหน้ามาใช้ลิ้นสองแฉกเกลี้ยกล่อมข้า ท้าวพยัคฆราชทรงเปี่ยมพระเมตตาชูชุบอุปถัมภ์เอ็งและโคตรตระกูล แต่พวกเอ็งก็เลี้ยงไม่เชื่องดั่งสัญชาติสัตว์ในตัว รวมหัวคนนอกเนรคุณข้าวแดงแกงร้อนทำร้ายจับกุมท้าวเธอกักขังชิงอำนาจ เอ็งนี่มันชั่วช้าสามานย์หาที่เปรียบไม่ได้ อย่ามาเสียเวลากล่อมข้าให้เมื่อยปากเลย ข้าไม่มีวันสุมหัวร่วมกระทำกรรมชั่วกับพวกเอ็งหรอก” เสียงตอบปฏิเสธมาอย่างเด็ดเดี่ยว แววตาผู้กล่าวแสดงถึงเจตจำนงที่ไม่มีวันเปลี่ยนในวาจาที่เอ่ยออกไป

ชายผู้ถูกตะโกนด่าหัวเราะร่วน “ดูก่อน…ท่านสางเขียวเอ๋ย พวกเราชาวเผ่าสมิงนั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหนท่านก็เห็น ยึดอำนาจจากท้าวพยัคฆราชก็ง่ายดายประหนึ่งพลิกฝ่ามือ อย่ามัวเขลายอมตายเปล่า ข้าเสียดายในฝีมืออันสูงส่งและความภักดีของท่าน อย่าไปอยู่ผิดที่ผิดทาง ข้าจะให้โอกาสท่านเป็นครั้งสุดท้าย”

“ข้าหน่ายที่จะปฏิเสธเอ็งซ้ำแล้วซ้ำอีก ข้าปฏิญาณไว้ต่อหน้าตรีโลกาเทพ จะปกป้องคุ้มครองประเทศชาติและพระราชวงศ์จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ข้าจะไม่ตระบัดสัตย์เปลี่ยนใจไปรับใช้พวกทรราชย์เป็นอันขาด”

“ถ้าเช่นนั้น คงไม่มีความอันใดจะต้องเจรจากันแล้ว” ชายหน้าบากหันไปสั่งพรรคพวก “จับเจ้าหญิงมา แล้วฆ่าพวกมันให้หมด ไม่ต้องปราณีพวกมันอีกแล้ว!”

“ขอรับ !” สิ้นคำสั่งของชายหน้าบาก ชายชุดดำก็กรูเข้าหาทั้งสอง

“ไอ้แสงสาง!!! มึงมันไอ้ข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย เห็นแก่ผลประโยชน์และลาภยศก็หักหลังเจ้าพยัคฆ์ราช มึงช่วยคนชั่วชิงอำนาจจากท่านไม่พอ แล้วนี่ยังจะมาทำร้ายลูกสาวของท่านอีก มึงนี่มันชั่วจริงๆ” สางเขียวร้องด่าอย่างสุดแค้นแน่นใจ และทันทีเขาก็กระทำหน้าที่องครักษ์ที่ได้รับมอบหมายมา ปืนในมือรัวกระสุนสังหารพิเศษใส่พวกสมุนที่กางกรงเล็บดาหน้าเข้ามาหา

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง !เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

ชายนามว่าสางเขียวลั่นกระสุนใส่ร่างของพวกชุดดำที่กางกรงเล็บแหลมคมเข้าจู่โจม พวกที่โดนคมกระสุนเจาะร่างต่างผงะหงายร่างกายมอดไหม้สูญสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน แต่ทว่าจำนวนคนที่เยอะกว่าไม่ช้ากระสุนก็หมด สางเขียวจึงชักดาบยาวที่สะพายด้านหลังออกมาแล้วฟาดฟันกับพวกไล่ล่า แม้นจะสังหารได้อีกหลายคนแต่มันก็หนุนเนื่องเข้ามา และยิ่งต้องคอยปกป้องเด็กสาวที่ถูกเรียกว่าเจ้าหญิงด้วย สางเขียวดูจะเสียเปรียบ แต่ทว่าด้วยใจที่จงรักพักดี เขาก็ต่อสู้จนไม่มีใครกล้าเข้ามารับคมมีดสังเวยชีวิตอีก พวกมันล้อมกรอบเขาและเด็กสาวไว้ และคงจดๆจ้องๆหาช่องว่างจู่โจม แต่เขายังคงตั้งหลักปกป้องปิดช่องว่างไม่ให้ถูกจู่โจมเข้ามาได้ หากใครถลำเข้ามาในรัศมีดาบก็ต้องสังเวยชีวิต เด็กสาวซุกกายหลบอยู่ข้างหลังตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว

แม้จะสังหารพวกชุดดำไปสักเท่าไหร่ แต่ก็ดูเหมือนยิ่งฆ่าพวกมันยิ่งเพิ่มมากขึ้น ดาบในมือฟาดฟันจนล้มตายกลาดเกลื่อน เรี่ยวแรงเริ่มลดน้อยถอยลง ยิ่งต้องคอยระแวดระวังเด็กสาวที่พวกมันจ้องจะเข้ามากุมตัวก็ยิ่งเสียเปรียบหนักเข้าไปอีก ทั้งสองถูกไล่ต้อนให้หนีมาจมมุมริมฝั่งน้ำ แม้จะเหน็ดเหนื่อยและบาดเจ็บจนแทบจะไม่มีแรงขยับดาบ แต่ด้วยความจงรักภักดีและมั่นคงในหน้าที่ ยอดองครักษ์ก็ต่อสู้จนไม่มีหน้าไหนกล้าเข้ามารับคมดาบสังเวยชีวิตอีก แต่พวกมันได้แต่ตีวงล้อมกระชับเข้ากระทั่งทั้งสองเข้ามุมอับหลังชนกำแพงในซอยตันแห่งนั้น ซึ่งดูเหมือนจะหมดทางหนีรอด

“เยี่ยมจริงๆ ฝีมือของเจ้านับว่ายอดเยี่ยมและต่อสู้ได้อย่างห้าวหาญที่สุด สางเขียว…ฝีมือของเจ้าสมเป็นหัวหน้าองครักษ์ของท่านพยัคฆ์ราชา น่าเสียดายที่พวกเราเดินคนละทาง” ชายหน้าบากหัวเราะร่วนและปรบมือให้อย่างชื่นชม และเดินมายืนหน้ากลุ่มสมุนที่ไม่มีใครกล้ามีใครเอาชีวิตไปเสี่ยงกับคมดาบอีก

“ ไม่ต้องมาเสแสร้งเยินยอข้าดอก ปล่อยข้าและเจ้าหญิงไปซะ ” สางเขียวตะโกนบอก

แสงสางมองรอบๆ ร่างของสมุนที่ตกตายหลายคนเกลื่อนทางเท้า “ หึ..หึ..ฝีมือของเจ้า ยังคงหาใครสยบได้ยาก…”

“ถ้ารู้ก็จงหลีกทางไปสิ…หรือต้องให้สังเวยชีวิตของเจ้าก่อน ถ้าแน่จริงก็เข้ามา อย่าส่งปลายแถวมาตายแทนเลย..”

แสงสางหัวเราะ “เหอๆๆ ผู้จะจัดการเจ้านั้น ก็มีอยู่หนา..”

“ใครล่ะ ?!?” เสียงกร้าวตะโกนถามอย่างไม่หวั่นเกรง “..ให้มันโผล่หัวออกมาสิ..”

แสงสางหัวเราะดังกว่าเดิม “เจ้าต้องเจอคนนี้..ถึงจะสมน้ำสมเนื้อ ฮ่าๆๆๆ ออกมาได้แล้ว…หมอผีชาติ!!!!!….”

แล้วทุกสายตาก็มองไปที่ขอบกำแพงสูง ชายร่างท้วมชุดดำสวมประคำยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ ชายคนนี้คือหมอผีชาติจอมโฉดนั่นเอง มันมาอยู่กับพวกชุดดำนี่ได้อย่างไรยังเป็นปริศนา แต่ช่างเป็นโชคร้ายของผู้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของมันในยามนี้ มันยืนนิ่งมองมาที่สางเขียว พลังอำนาจที่เหนือกว่าเปล่งรัศมีออกมากดดันจนสางเขียวรู้สึกหนักที่บ่าทั้งสองข้างอึ้ง เขามองจ้องตามันได้เพียงครู่ก็ต้องหลบสายตาเพราะตบะที่กล้าแกร่งกว่า…

เด็กสาวเองที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังขององครักษ์คนสุดท้าย เธอเงยหน้ามองเห็นร่างนั้นบดบังแสงจันทร์ดวงใหญ่ที่ส่องสว่างอยู่เบื้องหลัง สัมผัสได้ถึงไอเข่นฆ่าและพลังอำนาจมืดที่หนาแน่น เด็กสาวสาวมองจ้องตาร่างนั้นได้เพียงชั่วครู่ก็ต้องหลบสายตาเพราะรู้สึกได้ถึงรังสีบางอย่างที่น่าหวาดกลัวที่แผ่กระจายออกมา มันเป็นรังสีที่เต็มไปด้วยความอำมหิตกดดันจิตใจจนร่างกายของเธอเกิดอาการสั่นขึ้นมาอย่างชนิดควบคุมไม่ได้

“นี่มึงถึงกับเอาพวกมนุษย์มาร่วมมือด้วยเลยหรือ?” สางเขียวถาม

“เพื่ออำนาจโว้ย…ข้าทำได้ทุกอย่าง…เตรียมตัวตายเหอะสางเขียว…” แสงสางเอ่ยบอกอย่างภาคภูมิ

“เข้ามาเลย.ย.ย…” สางเขียวกำดาบในมือมั่นร้องท้า

“ฮึ..ฮึ..ฮึ…ไม่เจียมตัวเลยนะ…”หมอผีชาติพึมพำพูดแล้วยิ้มที่มุมปาก “ชะตาเจ้าขาด นับตังแต่เห็นหน้าข้าแล้ว”

หมอผีชาติม้วนตัวกระโดดลงมา เมื่อเผชิญหน้ากับสางเขียว องครักษ์มองอย่างประหวั่นใจ แต่เขายังควบคุมสติให้มั่น และยกดาบในมือขึ้นเตรียมโจมตีเมื่อได้จังหวะ

“ย้ากกกกก…..”

ดาบในมือขององครักษ์ผู้ภักดียกขึ้นสูงและทุ่มพลังทั้งหมดหวดใส่ หมอผีไสยดำเพียงยกฝ่ามือขึ้นรับและจับคมเอาไว้ด้วยมือเปล่าอย่างง่ายดายราวจับแผ่นกระดาษ ทำเอาทุกคนที่เฝ้าดูการปะทะอยู่นั้นอ้าปากค้างตาเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา แม้แต่ยอดองรักษ์ยังตกตะลึง และเพียงวูบเดียวมืออีกข้างก็พุ่งเข้าจับข้อมือของยอดองครักษ์ไว้และบิดอย่างแรงเพื่อสะบัดให้ดาบหลุดจากมือก่อนจะคว้าจับเอาไว้ แล้วจับร่างใหญ่กำยำบิดให้หันหลังอย่างง่ายดาย พร้อมๆกับแทงที่แผ่นหลังด้วยดาบเล่มนั้นจนมิดถึงด้ามทะลุออกทางหน้าอก เลือดสดๆทะลักออกทั้งบาดแผลและทางปาก

“อ้ากกกกก.ก.ก….” หัวหน้าองครักษ์ อ้าปากร้องและตาค้างเพราะไม่อยากจะเชื่อว่าฝีมือของเขาจะพ่ายแพ้ได้ง่ายดายเพียงนั้น ข้างเด็กสาวถึงกับยกมือปิดปากด้วยความตกใจ เมื่อหมอผีมนต์ดำปล่อยร่างของยอดองครักษ์ เขาก็เซมาล้มตรงหน้าของเด็กสาว

“เก่งไม่สนคำลือเลยนะ ไอ้ยอดองครักษ์ หุ หุ หุ…” จอมไสยดำหัวเราะเยาะในลำคอ

“หนีไป!”หัวหน้าองครักษ์รู้ชะตากรรมตัวเองดี “รีบๆหนีไปเถอะ…หม่อมฉันจะถ่วงมันไว้เอง…”

เด็กสาวน้ำตาไหล “มะ..ไม่..หนูทิ้งลุง เอาตัวรอดไปคนเดียวไม่ได้…”

“ระ..รีบไป…ความอยู่รอดของเจ้าหญิงคือความหวังของเรา…ถนอมพระวรกายด้วยเจ้าหญิง หม่อนฉันขอทูลลา”

สางเขียวดูท่าจะรู้ชะตากรรมพยายามให้เด็กสาวหนีรอดต่อไปให้ได้

“ ฮื่อๆๆ อย่าพูดอย่างนั้น เราต้องหนีไปด้วยกัน ฮื่อๆๆ ลุงอย่าทิ้งหนูไปนะ ลุงจะมาตายอย่างนี้ไม่ได้”

“…ทุกชัยชนะต้องมีการเสียสละ..และอย่าให้การเสียสละของหม่อมฉันต้องสูญเปล่า รีบไปแล้วหนีให้รอดนะ..เจ้าหญิงคือความหวังสุดท้ายของเรา…พระองค์ต้องมีชีวิตอยู่….” หัวหน้าองครักษ์เอ่ยบอกอย่างลำบาก

“มะ..มะ..ไม่..ไม่ไปๆๆ…” เด็กสาวสั่นหน้าน้ำตาไหลอาบแก้ม

“ไป!!! ไปเร็วๆๆๆ…” สางเขียวผลักร่างเด็กสาวให้วิ่งหนีไป “เจ้าหญิงต้องรอด แล้วหม่อนฉันจะตามไป”

เด็กสาวหันมามององครักษ์ด้วยน้ำตาอาบใบหน้า “ขอให้ลุงสางเขียว ปลอดภัยนะคะ”

“…เจ้าหญิงเอง….ก็เช่นกัน….” เขาพูดก่อนร่างจะหันกลับไปเผชิญหน้าบรรดาผู้ไล่ล่า

จอมไสยดำขยับร่างจะเดินตามไป แต่หัวหน้าองครักษ์สางเขียวเค้นแรงเฮือกสุดท้ายฝืนร่างอันเสื่อมโทรมขึ้นยืนขวางทางเอาไว้ มือหนาๆของจอมไสยดำยื่นมาจับลำคอของร่างสูงใหญ่รวดเร็วราวกับงูฉก สายตามองอย่างรำคาญใจแล้วขยับนิ้วแกร่งบีบที่กระเดือกอย่างแรง ได้ยินเสียงกระดูกคอแตกดังสนั่น ยอดหัวหน้าราชองครักษ์สางเขียวอ้าปากตาเหลือกค้าง

“อ้ากกกกกกกก…..” เสียงร้องสุดท้ายดังขึ้น

“จบตำนานยอดองครักษ์แค่นี้ ต่อไปก็ถึงคราของเจ้าหญิง หุ หู หุ…”

เมื่อมือหนาปล่อยออกจากลำคอ ร่างไร้ลมหายใจของยอดองครักษ์ก็ล้มลงทอดกายนอนแน่นิ่ง ไร้ชีวิตและลมหายใจ ผู้กล้าต้องพลีชีพไปอีกหนึ่งอยู่แทบเท้าพวกทรราช หัวหน้าหน่วยนักล่าหน้าบากเดินมามองซากร่างนั้นแล้วเงยหน้ามองไปปากซอยไกลลิบ เห็นกลุ่มลูกน้องของตนกำลังวิ่งไล่ตามจับหญิงสาวและหายไปในความมืด

“อย่าให้หนีไปได้นะ!” เสียงตะโกนสั่งไล่หลังไป

จอมไสยดำยืนกอดอกมองตามแล้วกำชับ “หวังว่า…คงไม่ต้องถึงมือข้าอีกนะ”

“ไม่มีใครเหลือคอยปกป้องมันแล้ว เด็กสาวตัวคนเดียวจะหนีรอดไปได้อย่างไง?” แสงสางเอ่ยอย่างมั่นใจและหันมาพูดกับจอมไสยดำด้วยรอยยิ้มพอใจ “เราไม่ผิดหวังเลยที่ร่วมมือกับท่าน หมอผีชาติ องค์ราชินีคงจะทรงโปรดปรานท่านมากมายเป็นแน่…ขนาดองครักษ์สางเขียว ยังถูกท่านสังหารอย่างง่ายดาย”

หมอผีชาติยิ้มอย่างภูมิใจ “แน่นอน…คนอย่างหมอผีชาติ ถ้าลงมือเองรับประกันผลงาน และหวังว่าทางเจ้านายของเจ้าจะตอบแทนข้าอย่างที่รับปากเอาไว้ โดยไม่บิดพลิ้วนะ”

“ด้วยเกียรติของราชินี ท่านจะได้ทุกสิ่งตามประสงค์” แสงสางยืนยันเสียงหนักแน่น

“แต่ก่อนอื่นคืนนี้เราต้องเร่งจับกุมตัวนังเด็กคนนั้นให้ได้ก่อนเถอะ หากพลาดไปจะเป็นเหตุอ้างว่างานไม่สำเร็จ..”

“ข้าส่งคนไปดักจับตัวอยู่ทุกจุดในรัศมี ๒๐๐ เส้น เจ้าหญิงไม่มีทางหนีรอดได้หรอก…” สางเขียวบอกอย่างมั่นใจ “หากจับตัวเจ้าหญิงกลับมาไม่ได้ ข้ายินดีจะมอบศีรษะให้กับความล้มเหลวครั้งนี้”

“…..!……” หมอผีจอมโฉดฉีกยิ้มที่มุมปาก ซึ่งไม่อาจจะทราบความหมายจากรอยยิ้มนั้นได้

00000000000000000000000000000

หญิงสาววิ่งล้มลุกคลุกคลานหนีการตามไล่ล่าจนระบมไปทั้งร่างกาย จนกระทั่งมาหลบมุมตรงข้างถังขยะสูงๆกลิ่นเหม็นตลบ ขณะพวกชายชุดดำหลายสิบคนก็วิ่งสวนกันไปมา ค้นหาเธอทุกซอกทุกมุมชนิดแทบพลิกแผ่นดินค้นหา

“ไอ้พวกนี้มันมากันกี่คนนะ หนีไปทางไหนก็เจอ แฮ่กๆๆ”เด็กสาวบ่นแล้วหอบแทบขาดใจ กลิ่นเหม็นของขยะทำเอาลมหายใจติดขัด แต่ทนเหม็นกับถูกจับตัว เด็กสาวขอเลือกอย่างแรกอย่างดีกว่า เพราะพวกวายร้ายที่ไล่ล่าตัวเธอช่างโหดเหี้ยมเหลือเกิน ฆ่าคนได้ไม่เลือกหน้า

แกร๊ก.ก.ก.ก…..

ฮื่อ อ …อ.อ.อ.อ…อออ

ซู่ๆๆๆ เสียงฉี่พร้อมกลิ่นเหม็นฉุนกึกลอยตามลมมาจากข้างๆ

เด็กสาวเงยหน้ามองแล้วทำสีหน้าขยะแขยง เพราะชายอ้วนลงพุง หัวเถิกใบหน้ากลมตกกระในสภาพเมาแปละกำลังยืนฉี่อยู่ไม่ห่างจากที่เธอนอนหมอบอยู่ หลังจากเสร็จกิจก็เก็บอาวุธและขยับเดินโซเซมาเห

Share the Post:

Related Posts

ครั้งแรกที่โดนเจ้านายเย็ด แลกกับการไม่โดนไล่ออก

เรื่องเสียว ครั้งแรกที่โดนเจ้านายเย็ด แลกกับการไม่โดนไล่ออก ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนที่ทำงานออกมาได้ดีนัก ถูกตำหนิตั้งแต่เบื้องบนลงมากระทั่งพนักงานระดับเดียวกัน การเป็นนักศึกษาจบใหม่ไฟแรงมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ความสามารถของฉันมันไม่ได้เข้าขั้นเลยจริงๆ และการที่จะต้องรับเงินเดือนเท่าๆ กับคนที่ทำงานมากกว่า มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ยุติธรรมสำหรับคนเหล่านั้น จึงไม่แปลกที่บ่อยครั้งฉันจะโดนเขม่นมองอยู่บ่อย ๆ สุดท้าย หัวหน้าของฉันก็เรียกฉันเข้าไป พูดอะไรต่อมิอะไรมากมาย แต่ก็ลงท้ายด้วยการยื่นข้อเสนอเรื่องหนึ่งให้ฉัน มันคือเรื่องเสียว…และเพื่ออนาคตของฉันแล้ว ฉันไม่มีทางเลือกอะไรเลย ความตื่นเต้น ความกังวลเกิดขึ้นทันที

Read More

ได้คืบจะเอาศอก ได้อมจะเอาเย็ด ลักหลับลูกพี่ลูกน้องควยใหญ่ในงานปีใหม่รวมญาติ

เรื่องเสียว ได้คืบจะเอาศอก ได้อมจะเอาเย็ด ลักหลับลูกพี่ลูกน้องควยใหญ่ในงานปีใหม่รวมญาติ ฉันยังจำเรื่องเสียวที่เกิดขึ้นช่วงต้นปีที่ผ่านมาได้ไม่ลืมเลยจริงๆ ค่ะ เพราะไม่รู้เลยว่าตัวเองจะใจกล้าและบ้าบิ่นได้มากขนาดนั้น ที่กล้าลงมือลักหลับลูกพี่ลูกน้องของตัวเองแบบนี้ แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ ตอนนั้นฉันทั้งเมา ทั้งเงี่ยน แถมไอ้ลูกพี่ลูกน้องตัวร้ายก็นอนควยตั้งอยู่ต่อหน้าต่อตาของฉัน มันเหมือนมีอะไรที่ช่างเหมาะเจาะกันมาเจอกันในวันนี้เลยจริงๆ ค่ะ ครอบครัวของเรานั้นเป็นครอบครัวใหญ่ ปีใหม่ที่ก็จะกลับมารวมตัวที่บ้านคุณทวด ซึ่ง “บี” ลูกพี่ลูกน้องของฉันเมื่อสองปีก่อนเขาไม่ได้มาเพราะว่าต้องไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ปีนี้เขาเลยกลับมาเพื่อร่วมงานรวมญาติ

Read More