ศึกหมอผี ตอนที่ ๙
เหยียบถิ่นพยัคฆ์
กองไฟถูกก่อขึ้นเรียงรายหน้าเพิงที่พักชั่วคราวในยามรัตติกาลกลางท้องทุ่งราบแห่งแดนสมิง
ค่ำคืนนี้ช่างสงบนัก เสียงจักจั่นและสายลมยามดึกเบาหวิวคอยขับกล่อมสรรพสิ่งส่วนใหญ่ในแผ่นพื้นโลกาแห่งนี้ให้หลับใหล กิ่งไม้ใบไม้เอนไหวไปตามลมอ่อนๆ ราวกับกำลังเริงระบำ นกน้อยเบียดเสียดกันอยู่ในรังอย่างมีความสุข กระรอกนอนหลับอยู่ในโพรงอย่างสบายใจ ค้างคาวทั้งฝูงหากินผลไม้และแมลง นกฮูกนกเค้าแมวล่าหนูและกระต่าย สิ่งมีชีวิตยามกลางวันพักผ่อน ขณะที่สิ่งมีชีวิตยามกลางคืนดำเนินชีวิตอย่างเงียบเชียบ เป็นการสลับบทบาทอย่างสมดุลของธรรมชาติทั้งสองภพทับซ้อนที่คล้ายกัน
หน้ากองไฟด้านข้างกระโจม หมอผีหนุ่มนั่งอยู่เคียงข้างกับผู้นำกองทัพกอบกู้อำนาจของเจ้าพยัคฆ์ราช ปลาปิ้งถูกย่างจนสุกส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย ผู้นำกองทัพชมผาหยิบปลาย่างสุกตัวหนึ่งส่งให้กับหมอผีหนุ่ม เขา
ยื่นมือมารับและฉีกกินอย่างหิวโหย เนื่องจากบุกป่าฝ่าดงมาไกลเผชิญอันตรายมากมายนับตั้งแต่งเหยียบย่างเข้าสู่ดินแดนอาถรรพ์แห่งนี้ ยังไม่มีอาหารอันใดตกถึงท้องของเขาเลย
หลังจากกินจนอิ่มท้องเขารับน้ำดื่มจากผู้นำกองทัพมาดื่ม ดูชายคนนี้จะมีไมตรีต่อเขาที่สุด
“ขอบคุณในน้ำใจของท่านมาก….ท่านชมผา….”
“ชมผาเฉยๆก็พอ อย่ามีท่านเลย ยามนี้ข้าไร้วาสนาและยศศักดิ์ใดๆ ซ้ำยัง เป็นอาญาของแผ่นดินนี้…”
หมอผีหนุ่มยกน้ำขึ้นดื่มกลัวคอแล้วมองไปยังป่าไม้ แม่น้ำ ภูเขารอบๆ เขาเอ่ยขึ้นว่า “ช่างเงียบสงบเหลือเกิน เงียบสงบเสียจนข้าไม่คิดว่าจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นบนแผ่นดินนี้”
“ภพสมิงของเราเงียบสงบอย่างนี้มาสักระยะแล้ว ก่อนที่มหาสงครามจะเริ่มต้นมันจะเงียบอย่างนี้เสมอ สงครามใหญ่ก็เหมือนสัตว์ร้าย มันหมอบนิ่งเงียบในช่วงแรก รอจังหวะ รอเวลา ก่อนจะกระโจนออกมาแผดเสียงคำรามกึกก้องจนฟ้าแทบจะแยกเป็นเสี่ยงๆ และพ่นไฟเผาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างมอดไหม้เป็นเถ้าธุลี…” ผู้นำกองกำลังกบฏภพสมิงเอ่ยบอก
ฟังแล้วหมอผีหนุ่มรู้สึกเห็นใจโชคชะตาของชนเผ่าสมิง จึงเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านมีแผนการอันใดฤา พอกล่าวแจ้งแก่ข้าได้ไหม?”
สินธุคนตัวอ้วนใหญ่ที่นั่งถัดไปมองอย่างไม่พอใจ พลางบอกเขา “เจ้าชาวมนุษย์ หมู่เราจะวางใจสูได้เพียงใด สูอาจเป็นเสือหมอบแมวเซาของฝ่ายราชินีก็เป็นได้ เราหาแจ้งความอันกระจ่างแก่สูได้อย่างเบาใจ หากเจตนาสูหมายมาช่วยเจ้าเหนือหัวของเราจริงแท้แล้วไซร้ จงรุดติดตามร่วมทางเป็นกำลังแก่เราสืบไปก็พอ แต่หากคราใดสูเผยพิรุธให้เราประจักษ์ในธาตุแท้ เมื่อนั้นคือการสิ้นลมหายใจของสูเป็นมั่นคง…”
“สินธุเอ๋ย…สูอย่ากล่าววาจาเยี่ยงนั้น มันเหมือนหมิ่นน้ำใจกันเกินไป สหายชาวมนุษย์ผู้นี้อุตส่าห์รอนแรมดั้นด้นข้ามภพมาเพื่อช่วยเจ้าหญิง คงจะมีความห่วงใยเป็นแน่แท้ ไฉนสูจึงเอ่ยวจีที่บาดใจทำลายมิตรเยี่ยงนั้น เท่าที่ข้าพิศดูรูปกายและรัศมีจิตก็ประจักษ์แท้ว่าบุรุษผู้นี้หามีภัยแก่เราไม่…” ผู้นำกองกู้แผ่นดินปรามสหาย
“ขอบน้ำใจที่ท่านชมผาที่วางใจข้า หากข้าร่วมทางไปด้วยข้าขอสาบานว่าจะอุทิศตนเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ท่านอย่างแน่นอน”
“ข้าก็หวังเช่นนั้น คืนนี้สูจงพักผ่อนก่อนเถิด แล้วพรุ่งนี้เราจะมีการณ์ใหญ่กระทำกัน และสูอาจเป็นกำลังสำคัญให้แก่เรา”
“การณ์ใหญ่?..”
ผู้นำกองกำลังกู้แผ่นดินพยักหน้า “ใช่แล้ว….แต่คงจะแถลงแจ้งแก่สู ณ.เวลานี้ไม่ได้ จงไปพักผ่อนเถิด…”
“งั้นข้าขอตัวนะ….” หมอผีหนุ่มลุกขึ้นเดินแยกไปหาที่เหมาะๆเอนกาย
คล้อยหลังบุรุษร่างอ้วนถามไถ่ผู้นำ “สูวางใจถึงขนาดให้มันร่วมแผนการที่เราเตรียมมานานแรมปีเชียวฤา?”
“สูไม่มีสัมผัสอิทธิฤทธิ์เยี่ยงข้า จึงดูเบาเจ้ามนุษย์ผู้นั้น พลังเวทย์ของมันมหาศาลและบริสุทธิ์ คอยดูในวันรุ่งเมื่อเราลงมือเจ้าจะประจักษ์แก่สายตา…”
บุรุษร่างอ้วนเม้มปาก “ขอให้สูอย่าคาดหมายผิดเลย…..”
หลังจากพูดคุยถามไถ่ความเป็นมากันได้พักใหญ่ ชมผาก็ให้ทหารพาหนุ่มจอมคาถาไปพักผ่อนยังกระโจมที่จัดไว้ให้ แต่เขาขอออกมาผูกเปลนอนที่ต้นไม้คู่ข้างๆกระโจม
ราตรีแรกแห่งแดนสมิงเคลื่อนคล้อยผ่านไปช้าๆ คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด หมอผีหนุ่มเอนกายนอนแต่ข่มตาหลับไม่ลง เขายังครุ่นคิดถึงนางสมิงน้อยที่ร่วมผจญอันตรายมาด้วยกันบนโลก ความน่ารัก ไร้เดียงสา และรสสวาทที่แสนซาบซ่านผิดจากที่เคยสัมผัสมา หลับตา ปล่อยให้ลมอ่อนๆ ลูบไล้ทั่วเรือนร่าง มันไม่เลวนักหรอกที่จะดื่มด่ำกับความอ่อนโยนของธรรมชาติยามค่ำคืน มันช่วยให้สมองโล่ง ลืมเรื่องหนักอกหนักใจไปสักพักและหายใจให้ทั่วปอด เขามักทำเช่นนี้ก่อนนอนเพื่อให้ร่างกายและจิตใจได้คลายตัว มันช่วยให้สามารถหลับได้ง่ายขึ้นท่ามกลางสภาวะกดดัน เขาหลับตาลงทำใจให้สงบจนกระทั่งเขาเคลิ้มหลับไป
ท่ามกลางความมืดมิดเบื้องบนเหนือที่พักของกองกำลังกบฏแดนสมิง เงาดำมากมายคล้ายค้างคาวแต่พวกมันมีขนาดร่างกายใหญ่โตเท่ามนุษย์ ปีกของกางออกกว้างราวๆข้างละ ๒ เมตร พวกมันกำลังบินวนอยู่เหนือท้องฟ้าในค่ำคืนที่มืดสนิทโดยที่ไม่มีคนเบื้องล่างระแคะระคาย ผิวหนังสีเขียวอมเทาของพวกมันแห้งติดกระดูก ท่าทางหิวโหย ดวงตาแดงก่ำ
” คร่อกกก ” เสียงกรนดังขึ้นจากทหารยามที่นั่งหลับอยู่บนหอคอยไม้สังเกตการณ์
ทหารยามเบื้องล่างถึงสิบนายนั่งเฝ้าประจำกระถางคบเพลิงที่จุดไว้รายรอบกระโจมที่พัก กลุ่มลาดตระเวนเดินตรวจตราอย่างระแวดระวังและแกล้งเอาก้อนหินขว้างทหารยามที่หลับ พอสะดุ้งตื่นเห็นพรรคพวกเป็นคนทำก็ยิ้มแหะๆเกาหัวและทำท่าเฝ้ายามอย่างแข็งขัน
” รุกฆาต ฮ่า ฮ่า ฮ่า ” พวกทหารตามจุดกระถางไฟกำลังนั่งโขกหมากรุกกันฆ่าเวลา
‘พรึ่บ…พรึ่บ…พรึ่บ…..’ เสียงปีกขนาดใหญ่กำลังกระพือต้านแรงลมดังแทรกขึ้นมา
เสียงหัวเราะค่อยๆเบาลง พวกทหารหยุดกิจกรรมผ่อนคลาย ขมวดคิ้วนิ่วหน้าและตั้งใจฟังเสียงนั่น!…
‘พรึ่บ…พรึ่บ…พรึ่บ…..’
บรรดาทหารพากันหน้าเสียขยับลุกขึ้นเตรียมพร้อมกำอาวุธแน่น
“สะ..เสียงตัวอะไร กำลังบิน อยู่ข้างบน”
ทหารคนหนึ่งเอ่ยถามขณะเงยหน้าขึ้นมองเบื้องบนท้องฟ้าที่มีแต่ความมืด
เสียง ‘พรึ่บ…พรึ่บ…พรึ่บ’ ดังใกล้ลงมาเรื่อยๆและดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
“พะ พวกมันมีหลายตัวด้วย” ทหารอีกคนพยายามจำแนกแยกเสียง
“งะ..คงจะไม่ใช่พวกมันนะ…พวกมันมาถึงที่นี่ได้อย่างไง” บรรดาทหารที่ยืนจับกลุ่มหันเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างหวาดหวั่น เงาขนาดใหญ่ๆเริ่มเห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนน่าหวั่นใจ
นายทหารตาเบิกกว้าง หัวใจเต้นะรัว”ใช่พวกมันจริงๆด้วย พวกมันมาแล้ว!!”
“สูจงเร่งส่งสัญญาณเตือนภัยเร็ว!! ให้พวกเราเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ทันที บัดนี้ข้าศึกบุกแล้ว!!!”
“ส่วนเจ้าไปรายงานท่านนายกองชมผา ให้ท่านรีบออกมาบัญชาการต่อสู้ เร็วๆๆๆ”
ทหารหนึ่งนายรีบวิ่งไปที่กระโจมของนายกองชมผา อีกนายเป่าแตรเขาสัตว์ส่งสัญญาณเสียงดังก้อง
“ หวูดๆๆๆๆ!!…” เสียงแตรดังกังวานไปทั่วทั้งค่ายที่พักของกองทัพกบฏ หนุ่มจอมคาถาสะดุ้งตื่นขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงแตรกังวานมาจากจุดที่พบเห็นกลุ่มสิ่งบินลึกลับ “ เสียงแตรเตือนภัย ! ” เขาร้องเตือนตัวเองแล้วรีบรุดลงจากเปลนอนในทันที ในมือคว้าติดตัวมาเพียงดาบฟ้าลั่น อาวุธคู่กายที่ตกทอดมาหลายสิบชั่วคน
พลันก็มีเสียงร้องตะโกนมาพร้อมเสียงกรีดร้องบาดแก้วหูจากบนท้องฟ้าที่มืดมิดนั่น
‘..กรี๊ซ…ซซซซซซซซซซ…..กรี๊ซซซซซซซซซซซซซซซซซ….’
ความโกลาหลเกิดขึ้นทันทีในรัศมีค่ายที่พัก เสียงร้องเตือน เสียงบอกกล่าวให้เฝ้าระวังฟังไม่ได้สรรพ เหล่านักรบกู้แผ่นดินต่างหยิบฉวยอาวุธคู่มืออย่างฉุกละหุก ต่างสวมเกราะเตรียมตัวเพื่อออกสู้ศึกอย่างทุลักทุเล และต่างมายืนจับกลุ่มมองหาที่มาของเสียงกรีดร้องอันสยดสยองบาดหูนั่น หมอผีหนุ่มเองก็เตรียมพร้อม และมั่นใจว่าสิ่งที่จะต้องเผชิญต้องอันตรายต่อชีวิตเหลือคณา ขณะชมผาและสินธุร่างอ้วนก็หยิบอาวุธคู่มือวิ่งออกมาจากกระโจมและรับฟังรายงานจากทหารเวรยามที่ตื่นตระหนก เมื่อจับใจความได้เขาก็รีบบัญชาการทันที
“พวกเราระวังตัว…พวกกองสอดแนมกำลังมา..ดับไฟบัดเดี๋ยวนี้…”
สิ้นคำสั่งเฉียบขาดไฟทุกกองที่ให้แสงว่างรอบๆค่ายถูกดับลงทันที และความมืดก็เข้าปกคลุมพื้นที่นั้น
หมอผีหนุ่มยืนมองเหตุการณ์รอบๆตัว แต่ถูกชมผาวิ่งเข้ามากดตัวให้หมอบลง
“ จงนอนราบลงกับพื้น ทำตัวให้เงียบที่สุด หากไม่ขยับได้ยิ่งดี…”
“เกิดเหตุอันใดขึ้น?”
“พวกค้างคาวสอดแนม…”
“มันคืออะไร?”
ผู้นำกองกำลังกู้ชาติ มองไปบนฟ้าท่ามกลางความมืด “ เวตาล…หน่วยสายสืบตระเวนราตรีขององค์ราชินี มันมีหน้าที่ตรวจตราผู้เป็นกบฏที่เคลื่อนไหวในยามค่ำคืน เวลาสามัญจะไม่เผยตัวออกมาง่ายๆ แสดงว่าข่าวเมื่อก่อนค่ำที่กองกำลังของหมู่เราเคลื่อนไหวไปถึงพระกรรฐ์ของพระนางแล้ว ข้าภาวนาขอให้เป็นแค่ฝูงลูกน้องของมันเถอะ อย่าได้เป็นเจ้าเวตาลมาเองเลย…หากเป็นเช่นนั้น นับเป็นวิบัติกาลของกองกำลังเราเป็นมั่นคง”
“เท่าที่ข้ารู้มา เจ้าเวตาลนี่ร้ายกาจนัก พวกท่านจะต้านพลานุภาพมันไหวฤา….” หมอผีหนุ่มเอ่ยถามอย่างกังวน
สินธุบุรุษร่างอ้วนควงขวานในมืออย่างเข่นเขี้ยว ท่าทางของเขาดูจะไม่คร้ามเกรงสัดนิด ซ้ำยังท้าทาย
“ให้มันมา ข้าจะจามกบาลของมันให้แบะปานเฉาะมะพร้าวเชียว..”
“อย่าอวดฤทธิ์ คราวก่อนสูเองก็เกือบไม่มีชีวิตรอดคราวหนึ่งแล้วเพราะปากเจรจาเกินฝีมือ..”
ชมผาผู้นำกองกำลังกู้ชาติปราม ทำเอาชายร่างอ้วนเงียบไปและไม่ต่อคำใดๆ
“แล้วเราจะทำเยี่ยงใดในยามนี้..” หมอผีหนุ่มถาม
ชมผาผู้นำเอ่ยตอบ “เร้นกายอย่าให้มันได้พบเห็น แล้วหมู่เราจะรอดปลอดภัย…”
พลันเสียงร้องโหยหวนก็ดังขึ้นทางด้านหนึ่ง “มันเจอพวกเราแล้ว….อ้าก.ก.ก.ก.ก.ก.ก.ก..ก์…..”
ร่างหนึ่งถูกสิ่งมีชีวิตบินได้ลึกลับจับตัวให้ลอยขึ้นไปและหายไปในความมืดของท้องฟ้ายามราตรี ทุกคนในที่นั้นตื่นตระหนกขวัญเสียมองหาสิ่งที่มาโจมตีซึ่งได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องที่บาดลึกเข้าไปในหัวใจจนสั่นผวาหวาดกลัว ร่างเคราะห์ร้ายตกลงมานอนนิ่งตาเหลือก เลือดไหลโชกกายจากบาดแผลเหวอะหวะ พวกที่ได้เห็นต่างลนลานมองรอบกายอย่างหวาดระแวง เสียงร้องยังดังก้องจับทิศทางไม่ได้….
“หมู่เรามารวมกลุ่มระวังหลังให้แก่กัน..” ชมผาผู้นำสั่ง
“ฮึ่ม.ม.ม.ม์..ข้าไม่คาดมาก่อนว่าหมู่มันจะสามารถย้ายพวกเวตาลมาได้รวดเร็วเพียงนี้….” บุรุษร่างอ้วนบอก
ชมผาหันไปตามเสียงร้องของผู้ใต้บัญชาที่ถูกสิ่งลึกลับจับลอยหายไปอีกหลายคนพร้อมเสียงกรีดร้องคำราม “มันร้ายกาจแท้ ในความมืดเยี่ยงนี้เราคงหมดทางต้านมันแน่..”
“ยังไม่หมดทางดอกสหาย….” หมอผีหนุ่มบอก
ชมผามองหน้าเขา “ สูมีหนทางฤา..??”
“ข้าจะลองเสี่ยงดู…” ว่าแล้วหมอผีหนุ่มก็ชักดาบฟ้าลั่นออกจากฝัก
บุรุษร่างอ้วนมองเขางงๆ “สูจะทำอันใด?”
“ข้าจะเรียกสายฟ้าจัดการมันเอง..” หมอผีหนุ่มร่ายคาถาแล้วชูดาบขึ้น….
เขาต้องตกตะลึงเมื่อทุกสิ่งเงียบกริบ เขามองดาบของตนงงๆ “เกิดอะไรขึ้น?”
“เจ้าคาดผิดแล้วสหาย ดินแดนแห่งนี้ไม่มีคาถาใดๆสามารถควบคุมธรรมชาติได้…” ชมผาเฉลยเหตุแก่หมอผีหนุ่ม
หมอผีหนุ่มมองดาบตนเอง แล้วถอนหายใจ “ข้าคาดผิดไป มิได้ศึกษาแดนดินถิ่นนี้ให้ถ่องแท้ก่อนเดินทางมา ดาบฟ้าลั่นอันเลื่องลือไปทั้งร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำของข้าเป็นได้แค่เศษเหล็กเสียแล้วหรือนี่…”
“จะทำการใดต่อดีเล่า ชมผา หมู่เรากำลังถูกหมู่มันรุมสังหารแล้ว..” บุรุษร่างอ้วนเอ่ยถาม
เหล่านักรบกู้แผ่นดินที่กำลังอลหม่านวิ่งหลบวิ่งหนีกันวุ่นวาย หลายคนถูกสิ่งลึกลับจากเบื้องบนพุ่งลงมาฉกตัวไปคนแล้วคนเล่า และมีร่างไร้ลมหายใจที่แหลกเละร่วงหล่นลงมานอนระเกะระกะไม่ขาดระยะ ชมผาและทุกคนเองก็มีสภาพไม่ต่างกันต้องคอยหลบหลีกมฤตยูมืดชุลมุน จนกระทั่งคนใกล้ตัวอีกคนถูกฉกลอยหายไปต่อหน้าต่อตา
บุรุษร่างอ้วนสินธุกัดกรามกรอด “จะทำเยี่ยงไรจงเร่งคิดเถิดชมผา หากปล่อยเป็นเยี่ยงนี้หมู่เราคงบรรลัยสิ้นแน่..”
“พวกมันเหมือนจะระดมกำลังมาเป็นกองทัพใหญ่ ยิ่งในคืนเดือนมืดเยี่ยงนี้ เป็นเวลาที่หมู่มันมีพลังมหาศาล และสามารถโจมตีหมู่เราได้อย่างสะดวกดาย นอกจากจะมี….”
หมอผีหนุ่มรีบถามย้ำเมื่อชมผาพูดจบ “…ท่านจงแจ้งแก่ข้า ว่ามีหนทางอันใดจึงจะสยบมันได้….”
“แสงสว่าง…แต่เราจะหาแสงสว่างอันใดในคืนเดือนมืดเยี่ยงนี้….” ชมผาตอบอย่างสิ้นหวัง
หมอผีหนุ่มหลบหลีกเงาวูบวาบแล้วกัดฟัน “ยังมีหนทางอยู่….”
“เจ้ามีหนทางอันใดฤา…” บุรุษร่างอ้วนนามสินธุถาม
หมอผีหนุ่มปลีกตัววิ่งออกไปตรงที่โล่งกว้าง ชมผาตะโกนไล่หลังไป “ สหายอย่าล่วงล้ำออกไป กลางที่โล่งแจ้งสูจะเป็นเหยื่อของมันได้ง่ายดาย….”
“จงบอกคนของเจ้าช่วยคุ้มครองข้าด้วย..” หมอผีหนุ่มตอบกลับมา
“นั่นเจ้าจะทำการอันใด?”
หมอผีหนุ่มไม่ตอบ เขาไปหยุดตรงกลางที่โล่ง พลางล้วงเป้หยิบสิ่งหนึ่งออกมา เขาหลับตาเอาสองมือกางออกห่างๆตรงบริเวณอก ปรากฏลูกไฟเล็กๆแสงจางๆ และเริ่มส่องแสงสว่างเพิ่มขึ้น รอบๆกายเกิดลมหมุนวนพร้อมแสงสีเหลืองนวลๆสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ และลูกไฟก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่พลันร่างของเขาก็ถูกบางสิ่งกระแทกกระเด็นไป แต่ลูกไฟยังลอยอยู่ เขาไม่สนใจความเจ็บปวดรีบยันกายเข้ามาร่ายมนต์ต่อ เหล่านักรบกู้แผ่นดินเริ่มเข้าใจ
“มันจะสร้างลูกไฟสุริยะ…” บุรุษร่างอ้วนสินธุตะโกนอย่างตื่นเต้นระคนพิศวง
ชมผาเองก็ตื่นตะลึงไปด้วย “นี่เวทย์มนต์มันสูงส่งปานนั้นเชียวฤา….”
“แต่มันคงกระทำมิประสพผลเป็นแน่แท้….”
ชมผาบอกสหายทันที “ใช่…มิประสพผลเป็นแน่ หากหมู่เรามัวดูดาย อย่าช้าเลยสหาย เราเร่งรีบไปคุ้มกันกายสหายผู้นั้นกันก่อนเถิด ไปกันเร็วเถิดสหายทั้งหลาย”
เอ่ยจบทั้งหมดก็รีบวิ่งไปยังจุดที่หมอผีหนุ่มยืนอยู่ ขณะนั้นเขาถูกเงาดำกระแทกจนร่างปลิวไปอีกครั้ง ปรากฏรอยช้ำที่ลำตัวและเลือดจากความบอบช้ำภายในไหลซึมมาที่มุมปาก หมอผีหนุ่มเช็ดเลือดพลางยันกายหยัดยืน แต่ก็ถูกเงาดำพุ่งชนจนหงายท้องลงไปอีกครั้ง ยังไม่ทันลุกยืนเงาดำก็พุ่งเข้ามาหาเขาอีก ยามนี้เขาป้องกันตัวไม่ได้และยกมือบังกายกันเงาดำวูบนั้นที่กำลังพุ่งใกล้เข้ามาอย่างประสงค์ร้าย….
แต่ยังไม่ทันที่เงาดำวูบจะเข้ามาแตะต้องสัมผัสทำร้ายกายของเขา สินธุบุรุษร่างอ้วนผู้ใช้พลองเป็นอาวุธก็ถลันเข้ามาใช้พลองหวดเจ้าเงาดำกระเด็นหายไป และชมผาผู้นำก็วิ่งตามเข้ามาพร้อมพรรคพวกอีกร่วมๆสิบกว่าคน ทั้งหมดรีบกระจายกำลังเข้าล้อมร่างของหมอผีหนุ่มไว้เป็นวงกลมหันหน้าออกไปจ้องมองหาสิ่งที่มองไม่เห็นซึ่งพร้อมเข้ามาทำร้ายได้ทุกเมื่อเพื่อช่วยกันปกป้องตัวเขา
หมอผีหนุ่มมองทุกคนทึ่งๆ “เอ่อ.อ.อ..นี่พวกเจ้า….”
“เร็วเข้าสหาย จงเร่งพลังลูกไฟสุริยะโดยพลัน สิ่งนั้นจะรักษาชีวิตของหมู่เราได้…” สินธุร่างอ้วนกล่าว
ชมผาเองก็เสริม “ความหวังทั้งมวลในห้วงนี้ขึ้นอยู่กับสู จงเร่งดำเนินการโดยไว อย่าได้กังวลในเภทภัยเบื้องหน้า หมู่เราจะปกปักสูเอง…”
“ถ้าเช่นนั้น ก็ฝากด้วยนะ…” เอ่ยจบหมอผีหนุ่มก็เร่งมาที่ลูกไฟซึ่งกำลังวูบๆจะดับเพราะขาดการร่ายมนต์ต่อเนื่อง
หมอผีหนุ่มร่ายมนต์ต่อ ขณะเงาดำวูบๆนั่นก็เข้าจู่โจมไม่ขาดระยะ บางคนเคราะห์ร้ายร่างถูกฉกให้ลอยขึ้นไปหายไปในท้องฟ้ามืดแว่วเพียงเสียงโหยหวนและเงียบไปก่อนจะหล่นลงมาในสภาพแหลกเละ และอีกหลายๆรายก็เจอชะตากรรมดุจเดียวกัน จนกระทั่งคนที่ร่ายรอบร่างของหมอผีหนุ่มลดจำนวนลงเรื่อยๆ แต่หมอผีหนุ่มก็ใช้สมาธิร่ายเวทย์ต่อไป กระทั่งลูกไฟนั่นขยายตัวส่องแสงสว่างมากขึ้นเรื่อยๆจนใหญ่มีขนาดเท่ากระด้งฝัดข้าว
“ยังมิลุล่วงอีกฤา?” สินธุร้องถาม
ชมผาผู้นำต้องบอกเตือน “สูอย่าเอ่ยรบกวนสมาธิ การสร้างลูกไฟสุริยะหาได้ง่ายดายดั่งคิดไม่…”
“แต่หมู่เราพลีชีพไปมากแล้วนะ..”
“รออีกสักชั่วครู่คงสำเร็จผล มันจะช่วยหมู่เราทุกตัวตนได้แน่…”
“แต่ข้าเกรงว่า สูและข้าคงอาจจะสิ้นลมปราณไปก่อนหน้านั้นเป็นแน่”บุรุษร่างอ้วนบอกและฟาดพลองโจมตีใส่เงาดำไม่หยุด
“ทุกสมรภูมิย่อมมีการเสียสละ อย่าให้ทุกชีวิตที่ดับสิ้นนั้นสูญเปล่า เดินหน้าต่อไป…” ผู้นำนามชมผาเอ่ยอย่างแน่วแน่
หมอผีหนุ่มร่ายคาถาเหงื่อกาฬท่วมตัว ลูกไฟสุริยะฉายแสงแรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ พอๆกับร่างของผู้คอยปกป้องเขาถูกฉกขึ้นฟ้าไปจนกระทั่งรอบกายเหลือเพียงชมผาและสินธุสองคนที่ยังยืนหยัดรักษาชีวิตของตนไว้ได้ หมอผีหนุ่มเมื่อกำกับมนต์บทสุดท้ายได้แล้ว เขาก็ถอยหลังออกห่างจากลูกไฟสุริยะพลางเร่งพลังให้แสงสีแดงจากฝ่ามือเข้าโอบล้อมลูกไฟและบังคับให้มันลอยขึ้นไปบนฟ้าเบื้องบน
เมื่อลูกไฟลอยขึ้นไปฟ้าจนได้ระดับ หมอผีหนุ่มยังยกมือของสองข้างปล่อยแสงสีแดงโอบรอบๆลูกไฟสุริยะนั้นไว้สักพัก เขากัดฟันจนกรามเป็นสันนูนด้วยต้องส่งพลังทั้งมวลออกแรงบังคับลูกไฟ และเมื่อทุกอย่างได้ดั่งใจ เขาเค้นพลังเฮือกสุดท้ายปล่อยพลังจากกายเป็นแสงสีเหลืองเข้มจากฝ่ามือพุ่งเป็นสายเข้าไปหาลูกไฟ พลันเมื่อแสงสีเหลืองผสานเข้ากับลูกไฟสุริยะก็ปรากฏรัศมีเจิดจ้าจนเกิดแสงสว่างไปทั่วบริเวณราวกลางวัน
“สำเร็จแล้ว!!” สินธุร้องอย่างลิงโลด
ชมพายิ้มอย่างมีหวังมองหมอผีหนุ่มที่ยืนหอบเหงื่อท่วมกาย “สูทำได้…”
“อย่ามัวดีใจ รีบจัดการพวกมัน ลูกไฟสุริยะอยู่ได้เพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น..” หมอผีหนุ่มบอก
ชมผาหัวเราะเบาๆ “เวลาแค่นั้นก็เกินพอให้หมู่เราจัดการพวกมันแล้ว…”
แสงสว่างส่องให้ทุกสายตาได้เห็นค้างคาวรูปร่างหน้าเกลียดอัปลักษณ์หลายร้อยตัว ซึ่งมีขนาดใหญ่เท่ากับควายตัวเขื่องๆบินว่อนอยู่เต็มน่านฟ้า พวกมันแตกตื่นตกใจที่เจอแสงสว่างจนตาพล่ามัวบินชนกันตกลงมาบนพื้นและต้องกลายเป็นเหยื่อคมอาวุธของเหล่านักรบที่เหลือรอดอย่างง่ายดาย เหล่านักรบเมื่อได้โอกาสก็ไม่รอช้าไล่เข่นฆ่าฝูงค้างคาวอย่างไม่ปราณี จนโลหิตสีดำนองทุ่งซากร่างค้างคาวเกลื่อนกราด เสียงกรีดร้องดังโหยหวนยามร่างมันถูกทำร้ายด้วยคมอาวุธช่างดังบาดลึกสะเทือนขวัญยิ่งนัก
ทว่าในเป้าสังหารนั้นกลับมีค้างคาวร่างใหญ่มหึมาตัวขนาดรถสิบล้อกางปีกบินอยู่ รูปร่างของมันช่างน่าเกลียดน่ากลัว ปีกกางกว้างหนาเป็นหนังพังผืด ปากแสยะน้ำลายเยิ้มเป็นฟองมีเขี้ยวแหลมคมเรียงแถวไม่เป็นระเบียบ ดวงตาแดงกล่ำดังไฟจ้องมองทุกการเคลื่อนไหวเบื้องล่าง มันมองดูพรรคพวกพวกดูสังหารอย่างโกรธแค้น ยามมันกระพือปีกปรากฏแรงลมราวพายุพัด ลูกไฟสุริยะไม่มีผลกับสายตาของมัน แน่นอนมันคือ‘เวตาล’ จ้าวแห่งค้างคาวปีศาจที่เอ่ยถึงนั่นเอง
“เฮ้ย.ย.ย.ย์..นั่น……..” เสียงหนึ่งร้องบอกแต่ไม่ทันกาล ค้างคาวยักษ์บินโฉบลงมาอ้าปากงับร่างนั้นและสองขาที่มีกรงเล็บยาวคมกริบจับจิกผู้เคราะห์ร้ายอีกสองคนบินขึ้นไปสู่ท้องฟ้าเบื้องบน
มันกัดร่างในปากจนขาดกระจุยเลือดสดๆกระฉูด ขณะที่อีกสองร่างในอุ้งเล็บก็ถูกบีบจนแหลกเละเลือดสาด ชิ้นส่วนต่างๆร่วงหล่นลงพื้นราวเศษเนื้อถูกทิ้ง ทุกคนมองดูความสยดสยองนั้นด้วยดวงตาเบิกกว้าง ร่างของเจ้าเวตาลบินกางปีกอยู่ในระยะโจมตีหลังจากมันได้สังหารสามชีวิตข่มขวัญนักรบทุกคนจนเกิดอาการประหวั่น
ชมผากัดกรามกรอด “มันมาด้วยจริงๆ ไอ้เวตาล..”
“แล้วหมู่เราจะรับมือมันได้หรือไม่…” สินธุถามความเห็น
ชมผาสูดลมหายใจแรงๆ พลางสั่ง “บอกหมู่เราอย่าตื่นตระหนก ในรัศมีลูกไฟสุริยะ เรายังมีหนทางต่อสู้มัน..”
พวกนักรบที่ยังเหลือรอดชีวิตต่างวิ่งมารวมกลุ่มกัน ธนูขนาดใหญ่ต้องใช้สามคนแบกถูกนำออกมาหลายสิบอัน ทุกคันธนูถูกง้างให้พร้อมยิงด้วยลูกธนูขนาดใหญ่ เจ้าค้างคาวเวตาลหาได้มีอาการหวาดกลัวไม่ มันยังคงกระพือปีกบินรักษาระดับเอาไว้ ก่อนจะบินโฉบลงมา เมื่อมันบินทิ้งดิ่งลงมาชมผาผู้นำก็สั่งยิงทันที ทว่าไม่มีลูกธนูดอกไหนต้องกายของมัน หนำซ้ำยังถูกมันจับเอาร่างนักรบติดกรงเล็บขึ้นไปฉีกร่างโชว์แล้วทิ้งลงมาข่มขวัญอีก
นักรบคนหนึ่งตื่นตระหนกถามผู้นำ “เอาไงดีท่านชมผา…”
“อย่าขวัญเสีย จงเร่งขึ้นคันศรแล้วยิงใส่มัน..”
“ตะ..แต่..คงไม่มีใครอาจหาญกระทำเยี่ยงนั้นได้อีกแล้วละท่าน ทุกคนขวัญหายไปหมดสิ้นแล้ว..”
ชมผาร้องด่าอย่างเกรี้ยวกราด “ตัวข้ามาทำการใหญ่รวบรวมผู้กล้าสู้ทรราชย์มาเป็นกองกำลัง แต่ยังมิทันปะมือ เพียงแค่เริ่มต้น พวกสูก็กลับมาหวาดกลัวไอ้เดรัชฉานตัวนี้หมดสิ้นเลยฤา..”
“อย่าก่นด่าทำลายน้ำใจกันเลยท่านชมผา สิ่งที่พวกเขาประสพมันเกินความสามารถของพวกเขา..” หมอผีหนุ่มร้องบอก
ผู้นำกองกำลังกู้แผ่นดินหันมาถาม “แล้วจักให้ทำเยี่ยงใดเหล่า หากเราหมู่เรามิคิดสู้ ไหนเลยจะล่วงผ่านไปกระทำการใหญ่กว่านี้ได้”
“ข้าขออาสาจัดการไอ้ค้างคาวผีตนนี้เอง บอกคนของท่านให้ถอยออกไปแล้วคอยคุมเชิงไว้…” หมอผีหนุ่มบอก
“สูมีหนทางฤา.?!?..”
“ก็ต้องลองเสี่ยงดู.!!!…”
กล่าวจบหมอผีหนุ่มล้วงเชือกเส้นเขื่องออกมาจากเป้แล้วเดินไปเผชิญหน้าเจ้าค้างคาวยักษ์ที่กางปีกบินอยู่ เหล่านักรบที่เหลือรอดพากันหลบไปรวมกลุ่มกันพาจ้องมองการต่อสู้ครั้งนี้ด้วยใจระทึก เจ้าค้างคาวราวล่วงรู้ว่าเจ้าหนุ่มคนนี้กำลังท้าทายทายตน มันอ้าปากกรีดร้องเสียงแหลมโหยหวนบาดหูข่มขวัญ นักรบทุกคนต้องอุดหูเพราะเสียงช่างบาดลึกยิ่งกว่าเคยฟังมา บางคนแข้งขาอ่อนจนทรงตัวไม่ไหวเพราะพลังเสียงมหาโหดสั่นประสาท แต่หมอผีหนุ่มยังคงยืนนิ่งจับตาจ้องมองมันไม่คลาดครา
เจ้าค้างคาวยักษ์บินโฉบลงมาหาทันที มันอ้าปากที่มีแต่เขี้ยวคมกริบนั่นหมายงับร่างของหมอผีหนุ่ม เขาเอี้ยวตัวหลบแล้วเอาเชือกที่ทำเป็นบ่วงบาศคล้องเข้าคอของมันพอดิบพอดี เจ้าค้างคาวยักษ์พลาดเป้าหมายโจมตีมันบินกลับขึ้นฟ้าไป แต่มีบ่วงคล้องคอไปพร้อมๆกับร่างของหมอผีหนุ่มที่จับปลายเชือกลอยตามไป มันบินวนสะบัดทันทีเพื่อให้ร่างหมอผีหนุ่มร่วงหล่น แต่เขาก็อาศัยจังหวะดีดตัวกระตุกเชือกให้ร่างกายตนไปเกาะติดอยู่บนกลางหลังของมัน
เมื่อหมอผีหนุ่มมาเกาะหลังของมันได้ เจ้าค้างคาวยักษ์คงรู้ดีว่าเป็นอันตรายแน่มันจึงบินผาดแผลงพลางสะบัดตัวเพื่อให้เขาตกลงมา แต่หมอผีหนุ่มก็เกาะติดหลังของมันเอาไว้แน่น พลางชักมีดหมอออกมาพร้อมกับจ้วงแทงใส่ไม่เลือก ทว่าความที่หนังของมันหนาทำให้มีดไม่อาจทะลุหนังของมันไปทำความเจ็บปวดอันใดให้มันได้ เจ้าค้างคาวได้ทีก็สะบัดตัวบินคว่ำหมอผีหนุ่มเสียหลักร่างหล่นห้อยลงมา เขาจึงดีดตัวอาศัยถีบจากกลางหลังไปที่ข้อปีกของมัน และแทงมีดหมอเข้าที่กระดูกข้อต่อของปีก เท่านั้นเองเจ้าค้างคาวยักษ์กรีดร้องลั่น มันถลาร่วงลงมาสู่พื้นทันที
ร่างของมันไถลไปกับพื้นราวเครื่องบินตก ส่วนหมอผีหนุ่มกระเด็นไปอีกทาง เจ้าค้างคาวยักษ์ทรงตัวลุกขึ้นมาก็ไม่อาจกางปีกบินได้เพราะกระดูกปีกข้างหนึ่งถูกแทงจนแตกหักไปแล้ว มันลุกขึ้นยืนมองไปเห็นหมอผีหนุ่มนอนจุกอยู่ มันจ้องมองอย่างโกรธแค้นและกรีดเสียงร้องโหยหวนข่มขวัญก่อนเดินย่างเข้าหา
ชมผาและพวกที่ดูอยู่อย่างระทึกเมื่อสบโอกาส ก็สั่งพลโจมตีทันที “ยิงลูกศรใส่มันเลยพวกเรา!!!”
ลูกธนูนับสิบๆดอกพุ่งเข้าหาร่างของมัน ทว่ากลับไม่ระคายผิวของมัน มันยังเดินปรี่เข้าไปหาหมอผีหนุ่มที่พยายามยันกายลุกและเดินโซเซหนีมันเพราะยังจุกเจ็บอยู่ มันอ้าปากไล่งับเขาพัลวัน หมอผีหนุ่มทำได้แค่หลบไปมา จนกระทั้งถูกมันตีด้วยปีกกระเด็นไปนอนแน่นิ่ง เจ้าค้างคาวยักษ์ตรงเข้าหาหมายขย้ำทันที
ผู้นำนักรบเห็นดังนั้นก็ร้องสั่ง “หมู่เรา…ไปช่วยกันรักษากายสหายชาวมนุษย์บัดเดี๋ยวนี้…”
ตะโกนสั่งเสร็จเขาก็ชักดาบวิ่งนำหน้าเข้าไป พวกนักรบวิ่งตามมาทั้งโขยง เจ้าค้างคาวยักษ์หันมาหาแล้วกรีดเสียงร้องใส่ เสียงนั่นทำเอาทุกคนต้องชะงักอุดหู เมื่อกรีดร้องเสร็จมันก็เดินเข้ามาหา อ้าปากว้างไล่กัดร่างนักรบเคราะห์ร้ายที่หลบไม่ทันคนแรกจนร่างแหลกเละ จากนั้นมันก็บ้าเลือดไล่กัดไล่งับจนเหล่านักรบบาดเจ็บล้มตายไปหลายคน ส่วนกรงเล็บเท้าของมันก็เหยียบย่ำใส่ร่างนักรบที่พลาดท่าล้มจนร่างแหลกเหลวไปอีกไม่น้อย แม้นจะพยายามอย่างไงก็ไม่มีใครเข้าใกล้หรือทำอะไรเจ้าค้างคาวยักษ์ปีกหักได้
“ให้ทุกคนถอยออกไป อย่ารนหาที่ตายเปล่าเลย..” เสียงหมอผีหนุ่มร้องบอก
ผู้นำนักรบหันไปมองหมอผีหนุ่ม “ จะไม่มีหนทางกำจัดมันแล้วฤา?”
“มีสิ..ต้องมี….” หมอผีหนุ่มที่ตอนนี้กำลังฟื้นตัวตะโกนบอก “ให้ทุกคนถอยห่างออกไปก่อน…”
ชมผาผู้นำนักรบร้องสั่งพรรคพวกที่เหลือเพียงเบาบางให้ถอยออกไป หมอผีหนุ่มเดินมายืนเผชิญหน้าเจ้าค้างคาวยักษ์ข้างๆกองไฟที่กำลังมอดดับแสงใกล้ริบหรี่เต็มทน เจ้าค้างคาวที่ยังเดินลุกไล่เข่นฆ่าเหล่านักรบหยุดชะงักหันมาจ้องผู้ที่ทำร้ายมันทันที มันค่อยๆเดินย่างมาหาหมอผีหนุ่มที่มีสภาพสะบักสะบอมช้าๆ พลางอ้าปากอวดเขี้ยวคมวาวของมัน และพุ่งเข้าใส่หมายจะขย้ำให้หมอผีหนุ่มตายคาเขี้ยว เพื่อให้หายแค้นที่ทำมันปีกหักจนต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้
หมอผีหนุ่มยืนรอจังหวะคำรามเบาๆ “เข้ามาเลย…เข้ามา…ไอ้นกมีหูไอ้หนูมีปีก…”
“…กรี๊ซ…ซซซซซซซซซซ…..กรี๊ซซซซซซซซซซซซซซซซซ….”
หมอผีหนุ่มล้วงวัตถุเป็นแท่งออกมาจากเป้ มันคือระเบิดไดนาไมส์นั่นเอง เขาเอาชนวนจุดกับกองไฟใกล้ตัวที่กำลังริบหรี่ๆนั่น ชนวนติดไฟไหม้เร็ว เจ้าค้างคาวอ้าปากสุดหล้าหมายงับร่างที่ยังยืนนิ่งนั่นให้จมเขี้ยว จนกระทั่งเข้ามาใกล้ได้จังหวะ มันพุ่งหัวก้มมางับ หมอผีหนุ่มยัดระเบิดเข้าปากของมันไปแล้วดีดตัวลอยขึ้นไปอยู่เหนือหัวของมันก่อนจะงอเข่าทิ้งลงตรงหน้าผาก แรงปะทะทำเอาคางของมันกระแทกกับพื้นปากหุบทันทีทำให้ระเบิดไหลลงท้องของมันไป หมอผีหนุ่มอาศัยแรงดีดสปริงตีหลังกาออกห่างมา เจ้าค้างคาวสะลัดหัวไล่ความมึนงงก่อนหันมองหาหมอผีหนุ่ม เมื่อเจอมันก็ขยับเดินตามมาอีกด้วยหมายจะไล่กัดไล่งับหมอผีหนุ่มต่อ
หมอผีหนุ่มออกวิ่งเต็มฝีเท้า และตะโกนบอกทุกคน “หาที่กำบังเร็ว!!!”
“เพราะเหตุใด?..” ชมผายังมีแก่ใจถาม
หมอผีหนุ่มร้องสั่งซ้ำ “ไม่ต้องถาม หลบไปเร็วๆ หาที่กำบังกันเดี๋ยวนี้..!!!..”
เจ้าค้างคาวไล่ตามหมอผีหนุ่มที่วิ่งหนีออกไปที่โล่ง ทุกสาย