แฝดอันตราย ตอนที่51
ในระหว่างที่ฉัตรชัยเยิ่ยมมารดาอยู่ที่โรงพยาบาลนั้น เขารู้สึกกระวนกระวายใจทั้งๆที่อาการของมารดาก็ดีวันดีคืน จนใกล้เวลา
ที่หมอจะอนุญาติให้กลับบ้านได้แล้ว แต่จิตใจของฉัตรชัยกลับว้าวุ่น เหมือนมีลางสังหรณ์ว่าคุณหมิวจะเป็นอันตราย จนหวาน
สังเกตุพบอาการของเขาได้ จึงสอบถามว่าฉัตรชัยเป็นกังวลเรื่องอะไร เธอพอจะช่วยเหลืออะไรได้บ้างมั๊ย
“พี่ก็ไม่ทราบจ๊ะ..มันรุ้สึกเป็นห่วงคุณหมิวน่ะ…” ฉัตรชัยกระซิบบอกให้หวานรู้
“พี่ไม่โทรไปหาล่ะจ๊ะ…”
“พี่โทรหลายครั้งแล้ว..แต่คุณหมิวสายไม่ว่าง..หรืออาจ
จะปิดสายน่ะครับ…” ฉัตรชัยบอกให้หวานเข้าใจ สีหน้าดูยิ่งเป็นห่วง
กังวลมากขึ้น
“พี่ไปหาน้องหมิวได้นี่คะ..ทางคุณแม่ไม่เป็นอะไรแล้ว หวานดูแลท่านได้..”หวานพูดเรียบๆยิ้มอ่อนๆ ไม่มีน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจ
แต่อย่างใด
“งั้นพี่ขอไปดุคุณหมิวที่บ้านสักครุ่นะหวาน..ถ้าคุณแม่ตื่นขึ้นมาบอกกับท่านว่าพี่ออกไปธุระนะครับ..”
ในที่สุดฉัตรชัยก็ทนต่อความรุ้สึกกระวนกระวายใจต่อไปไม่ไหว จึงต้องขับรถไปที่บ้านของคุณหมิวให้รู้เรื่องว่าเธอยังสุช
สบายดีหรือไม่อย่างไร ในระหว่างทางฉัตรชัยก็พยายามติดต่อคุณหมิว แต่ก็เป็นเช่นเดิมคือไม่สามารถติดต่อกันได้ จน
กระทั่งรถของฉัตรชัยขับไปจอดตรงหน้ารั้วประตุอัลลอยด์บานใหญ่
พลันหางตาของฉัตรชัยก็รุ้สึกมีเงาสะท้อนของวัสดุมันวาวสีทองเข้าแยงนัยต์ตา ฉัตรชัยจึงเหลียวหน้าหันไปมองแสง
สะท้อนนั้น พร้อมกับลงจากรถเดินเข้าไปดูใกล้ๆ จึงเห็นว่าวัสถุสะท้อนแสงสีทองนั้นคือเคสของโทรศัพท์มือถือที่คุณหมิว
ใช้อยู่ แต่ทว่าทำไมมันถึงกระเด็นมาตกอยู่ใต้พุ่มเข็มริมรั้วบ้าน ฉัตรชัยรีบเปิดประตูเล็กแล้วพุ่งตัววิ่งเข้าไปในตัวบ้านทันที
ด้วยรุ้สึกถึงลางสังหรณ์ว่าคุณหมิวจะเป็นอันตราย
เมื่อฉัตรชัยเข้าไปในบ้านของมรว.จักรภพ ผู้เป็นบิดาของคุณหมิว ปรากฎว่าท่านทั้งสองไม่อยุ่บ้าน มีเพียงคนรับใช้เก่าแก่
กับคนสวนอยู่เฝ้าบ้านกันเพียงสองคนเท่านั้น เมื่อฉัตรชัยสอบถามเรื่องคุณหมิวว่าเมื่อเช้าได้มาที่บ้านบ้างมั๊ย ทั้งสองคน
ต่างปฏิเสธว่าตั้งแต่คุณหมิวไปกับฉัตรชัยวันนั้น ยังไม่เคยกลับบ้านมาสักครั้ง
เพียงคำตอบเท่านั้นฉัตรกชัยก็หน้าซีด ล่วงรุ้เลยว่าเกิดอันตรายขึ้นกับคุณหมิวอย่างแน่นอน จึงรีบโทรศัพท์ไปหามรว.จักรภพ
พร้อมเล่ารายละเอียดให้ฟัง ทั้งบิดาและมารดาของคุณหมิวที่ขณะนั้นกำลังทำธุระอยู่ที่ต่างประเทศ ต่างตกใจ รีบดทรศัพท์
หาผุ้การอภิสิทธิ์ทันที พร้อมเลื่อนกำหนดกลับประเทศไทยเป็นการด่วน ส่วนฉัตรชัยกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เพื่อรอการ
ติดต่อจากผู้การอภิสิทธิ์อย่างกระวนกระวายใจ จวบจนย่ำค่ำ ก็ยังไม่มีการติดต่อกลับมา
…………………………………………………
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น เทวัญกับนายพลเดชมาที่เซฟเฮ้าส์ อันเป็นสถานที่กักตัวคุณหมิวไว้ ท่าทางที่ทั้งสองคนเดินเข้ามา
หาคุณหมิวนั้นหาได้มีทีท่าประสงค์ร้ายหรือคุกคามแต่อย่างใด รวมทั้งน้ำเสียงของผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเข้มแบบ
ชายไทยกลับดูสุภาพเรียบร้อยดี
“ผมชื่อเทวัญครับคุณหมิว ต้องขอประทานโทษที่จำเป็นต้องจับตัวคุณหมิวมานั้น เพื่อยากสอบถามอะไรคุณหมิวเล็กน้อย ผม
หวังว่าคุณหมิวจะพูดและตอบตามความจริงกับผม..ใช่มั๊ยครับ…” นายเทวัญมันเปิดฉากการเจรจาด้วยถ้อยคำสุภาพ น้ำเสียง
นุ่มทุ้ม ไม่มีคราบของเหล่าร้ายแม้แต่นิด
“ได้ค่ะ..คุณเทวัญอยากทราบเรื่องอะไรก็ถามมาได้ แต่ว่าทำไมต้องจับตัวหมิวมากักขังด้วยคะ…..” เมื่อคุณหมิวเห็นทางฝ่าย
นั้นพูดจาดีๆ เธอก็จำใจต้องพูดจาดีๆตอบไป
“ต้องขอประทานโทษเป็นอย่างสูงครับ ผมเพียงสั่งลูกน้องให้เชิญตัวคุณหมิวมา ไม่คิดเลยว่ามันจะไปดักฉุดมาเยี่ยงนี้..บอก
ผมได้เลยนะครับว่าไอ้สี่คนนั้นมันทำร้ายอะไรคุณหมิวบ้างมั๊ย ผมจะได้ลงโทษมันให้…”
นับว่าเป็นเรื่องผิดคาดอย่างยิ่งที่คุณหมิวได้ยิน ได้เห็นการแสดงออกของนายเทวัญ ทั้งๆที่เธอวาดภาพของคนเหล่านี้ไว้อย่าง
น่ากลัว
“ไม่เป็นไรค่ะ..หมิวไม่ได้เป็นอันตราย แค่ตกใจเท่านั้น…” คุณหมิวพูดไปตามความจริง
“เห้ยไอ้เด่นไอ้ดาว..กับมึงสองตัวมานี่…”
นายเทวัญหันไปกระชากเสียงเรียกเหล่าสมุนที่จับตัวคุณหมิวมายืนเข้าแถว จากนั้นก็ใช้หลังมือตบหน้าของพวกมันเรียงตัวกัน
ทั้งสี่จนเลือดกลบปาก..จนคุณหมิวสะดุ้งตกใจ
“ผมได้ทำโทษลูกน้องของผมให้คุณหมิวแล้วนะครับ…คราวนี้ผมอยากขอความร่วมมือจากคุณหมิวบ้าง..จะได้มั๊ยครับ…”
หลังจากที่นายเทวัญลงโทษลูกน้องให้คุณหมิวดูต่อหน้าเสร้จ ก็หันมาถามคุณหมิวด้วยน้ำเสียงสุภาพเช่นเดิม แต่คุณหมิว
กลับรู้สึกหวาดหวั่นเกรงกลัวเป้นอย่างยิ่ง ทีท่าดุสุภาพก็จริง แต่ความเหี้ยมโหดนั้นแสดงให้เห็นเด่นชัด จนคุณหมิวต้องรับ
ปากไปเบาๆ
“เรื่องง่ายๆนิดเดียวเองครับคุณหมิว..สิ่งที่เจ้านายของผมอยากทราบคือ..ผู้ชายคนที่ไปเดินในห้างกับคุณหมิวเมื่อเช้านี้คือ
ใคร..ครับ.”
นายเทวัญมันพูดช้าๆ เน้นทุกคำพูดเสียงไม่น่ากลัว แต่แววตาที่จ้องมองหน้าคุณหมิวนั้น ถึงกับทำให้คุณหมิวไม่กล้าสบตา
ด้วย เพราะมันเหี้ยมโหด เป็นแววตาของฆาตกรชัดๆ
“เอ่อ….คือ…ว่า…”.คุณหมิวเริ่มติดอ่างใจหนึ่งก็ไม่อยากบอกความจริง แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวทีท่าของนายเทวัญจนขวัญหนี
“เราตกลงจะคุยกันดีๆแล้วไม่ใช่หรือครับคุณหมิว…” น้ำเสียงนายเทวัญเริ่มคุกคาม จนคุณหมิวตัวสั่น
“ค่ะ..ๆ คุยกันดีๆ…” คุณหมิวตอบรับเสียงสั่น
“งั้นบอกมาตามตรงครับ..เจ้านายของผมรอฟังคำตอบอยู่…”
นายเทวัญพูดพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ จนคุณหมิวผงะหงายสายตาเย็นชาของเทวัญที่จ้องลึกเข้ามาในดวงตาของคุณ
หมิวนั้นทั้งน่ากลัว ทั้งอัมหิตโหดเหี้ยม จนตัวคุณหมิวสั่นสะท้าน พยายามไม่มองสบตา พร้อมครุ่นคิดว่าถ้าเธอไม่ยอมตอบ
ความจริงออกไป คงโดนพวกมันทำร้ายเอาอย่างแน่นอน คุณหมิวคิดว่าพวกมันคงรู้เรื่องของฉัตรชัยและชัดชายหมดเล้ว
เพียงแค่รอคำยืนยันจากปากของเธอเท่านั้น
“ค่ะ….คนนั้นเป็นคุณฉัตร..”
คุณหมิวจำใจต้องตอบตามความจริง ในโลกความจริงมันไม่ใช่นิยายที่จะทำให้เธอเก่งกล้าหาญ พอจะสู้รบตบมือกับเหล่า
อาชญากรพวกนี้ได้ พอนายเทวัญได้รับคำตอบที่พึงพอใจ มันก็กลับไปนั่งในท่าเดิม ร้องสั่งเหล่าสมุนให้ดูแลคุณหมิวอย่าง
ดี ห้ามทำร้ายหรือล่วงเกิน ไม่เช่นนั้น นายเทวัญจะกลับมาลงโทษ จากนั้นนายเทวัญกับเจ้านายคนที่มันเรียก ซึ่งคุณหมิว
คาดเดาว่าคงเป็นายพลเดช ก็เดินออกไปจากห้องคุมขังคุณหมิว แล้วล็อคกุญแจด้านนอกห้องไว้ตามเดิม
พอคุณหมิวอยุ่ตามลำพังเธอก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปอาเจียรด้วยความคลื่นไส้ เนื่องจากความหวาดกลัว สองแก้มนวลอาบไป
ด้วยน้ำตา เธอนั่งร้องไห้อยู่ในห้องน้ำนั้นเนินนานจนแทบหมดแรง จึงค่อยๆเดินโซเซออกมานั่งพักบนเตียง แล้วล้มตัวลง
นอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
เวลาผ่านไปนานเท่าใดก็ไม่ทราบ คุณหมิวสะดุ้งตกใจตื่นเมื่อได้ยินเสียงแอะอะด้านนอกห้อง พร้อมกับเสียงไขกุญแจเปิด
เข้ามาในห้อง พร้อมกับร่างสุงของชายคนหนึ่งที่มีถุงผ้าคลุมศรีษะ พร้อมถูกมัดมือไพล่หลังด้วยเทปกาวสีเทาหลายๆรอบ
พวกสมุนของนายเทวัญผลักร่างชายผุ้นั้นกระเด็นล้มลงกับพื้นแทบเท้าของคุณหมิว จากนั้นก็ลากร่างของเขาไปผูกมัดมือ
กับขาเตียงไว้แน่น ก่อนจะดึงถุงผ้าที่คลุมศรีษะออก
“คุณพี่..!”
เมื่อคุณหมิวเห็นใบหน้าปูดบวมด้านข้างของชายผู้นั้นเธอก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ แต่คุณพี่ของเธอเขายังพูดตอบโต้
กับคุณหมิวไม่ได้ เนื่องจากมีผ้าผูกมัดปิดปากไว้ รอจนกระทั่งไอ้ดาวสมุนหุ่นล่ำหนาเป็นมะขามข้อเดียว แก้ผ้าที่ผูกปิดปากไว้
แล้วนำผ้าผืนนั้นมามัดมือไพล่หลังกับคุณหมิวแทน
“ไม่ใช่พี่ฉัตรหรอกครับคุณหมิว..ผมชัด…” ทันทีที่ไอ้ดาวออกไปจากห้อง ชัดชายก็บอกความจริงให้คุณหมิวรับทราบว่าตนเอง
คือชัดชายหาใช่ฉัตรชัยแฝดผู้พี่
“แล้วคุณชัดทำไมโดนจับมาคะ…”
คุณหมิวถามแต่ไม่กล้าสบตากับชัดชาย ด้วยเธอหวั่นเกรงว่าที่เขาโดนจับตัวมานั้นเป็นเพราะความจริงที่เธอเปิดเผยให้
นายเทวัญรับรู้
“ก็พอพวกมันรุ้ว่าผมไม่ใช่พี่ฉัตร มันก็จับผมมาครับ..แล้วกำลังตามล่าตัวพี่ฉัตรอยู่..ว่าแต่คุณหมิวปลอดภัยดีใช่มั๊ยครับ…”
ชัดชายสอบถามด้วยความเป็นห่วง เป็นความรุ้สึกที่ออกมาจากใจ เขาหาได้โกรธเคืองคุณหมิวแม้สักนิดที่เปิดเผยความจริง
ให้นายพลเดชรับทราบ จนเขาถูกจับตัวมาด้วยเช่นกัน กลับรู้สึกว่าโชคดีด้วยซ้ำที่โดนจับตัวมาอยู่ในห้องขังเดียวกับเธอ
ด้วยเขาอาจมีหนทางช่วยเหลือกันให้หนีรอดไปได้
“เอ่อ…คุณชัดคะ..หมิวขอโทษนะคะ..ทะ..ที่เปิดเผยความจริงให้พวกนั้นรู้…” คุณหมิวสารภาพผิดออกมา
“ไม่เป็นไรครับคุณหมิว..ดีเสียอีกที่มันจับผมมาขังที่เดียวกับคุณ..เราสองคนจะได้ช่วยกันหาหนทางหนีไงครับ…”
แต่จะหนีกันไปได้อย่างไรในเมื่อด้านนอกนั้นมีลูกน้องของนายเทวัญประจำการอยู่ถึงสี่คน อาวุธปืนครบมือทั้งปืนสั้นและ
อาวุธสงครามเอ็ม16 ทั้งคุณหมิวและชัดชายต่างถูกคุมขังกันอยู่ในห้องนี้จนผ่านไปอีกสองวัน ตลอดเวลาที่ทั้งสองอยุ่ด้วย
กันนั้น แทบจะไม่ได้พูดคุยกันมากนัก มีอาหารที่พวกสมุนของนายเทวัญส่งเข้ามาเพียงวันละสองมื้อโดยพวกมันนำเข้ามา
แล้วแก้เชือกที่มัดมือคุณหมิวออก แล้วสั่งให้เธอทานข้าว แล้วป้อนให้นายชัดชายทาน พอทานกันเสร็จมันก็จับคุณหมิวมัด
มือไขว้หลังไว้ตามเดิม
คุณหมิวยังพอมีอิสระเดินเหินได้ แต่ชัดชายนั้นถูกจับมัดมือไพล่หลังแล้วผูกไว้กับขาเตียงเหล็กที่ยึดติดกับพื้น ไม่มีทางที่
จะขยับยกขึ้นได้เลย มีเพียงแค่เวลาที่คุณหมิวหรือชัดชายต้องการทำธุระในห้องน้ำเท่านั้น ที่มันจะมาแก้เชือกที่ผูกมัดให้
แล้วถืออาวุธครบมือยืนควบคุมอยู่หน้าห้อง รอจนเสร็จธุระก็จับมามัดไว้ตามเดิม
…………..
ทางด้านฉัตรชัยยิ่งกระวนกระวายใจ เพราะไม่ได้รับการติดต่อจากผู้การอภิสิทธิ์เลย แม้เขาจะโทรไปที่หมายเลขมือถือ ก็
โดนบล็อคสายไว้ พอโทรไปที่ทำงานเลขาหน้าห้องก็แจ้งว่าผุ้การติดประชุม ยิ่งทำให้ฉัตรชัยร้อนใจจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ
แม้หวานจะเข้ามาปลอบโยนเขาก็หาได้มีอารมณ์ตอบสนอง จนผ่านไปอีกหนึ่งวันที่คุณหมิวโดนจับตัวไปโดยไม่มีการติดต่อ
กลับมาจากฝ่ายนายพลเดช มรว.จักรภพและภรรยาก็เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ ทันทีที่ฉัตรชัยปลอมตัวไปรอรับที่
สนามบินสุวรรณภูมิ
“พ่อครับเราจะทำอย่างไรกันดี ผมติดต่อผู้การไม่ได้เลย…” ฉัตรชัยถามอย่างร้อนรนเมื่อทั้งสามคนพากันนั่งรถติดฟิล์มหนา
ทึบออกมาจากสนามบิน
“ใจเย็นๆคุณฉัตร..ผมรู้ว่าคุณเป็นห่วงลูกหมิว ผมก็เป็นห่วงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคุณเลยแม้สักนิด…เราคงต้องรอให้ผู้การติดต่อ
กลับมาเองครับ…ผมเชื่อมือท่านว่าจะต้องกำลังวางแผนอะไรกันอยู่..”
“ผมติดต่อนายชัดน้องชายผมไม่ได้เช่นกันครับ…” ฉัตรชัยบอกเล่าให้บิดาของคุรหมิวรับทราบด้วยเช่นกัน
“ผมว่าทั้งสองคนคงถูกจับไปขังเหมือนกันนะ..ทางคุณฉัตรก้ต้องระวังตัวไว้..ถ้าโดนจับตัวไปอีกคนคงจะยุ่งลำบากมากขึ้น..
ช่วงนี้อยู่เฉยๆ เก็บตัวเงียบก่อนดีกว่ามั๊ย..อย่าวู่วามเดี๋ยวจะเสียเรื่อง..”
มรว.จักรภพ เตือนสติว่าที่ลูกเขยด้วยความหวังดี เขาเข้าใจดีว่าขณะนี้ฉัตรชัยคงว้าวุ่นใจแทบเป็นบ้า เพราะทั้งคู่หมั้นสาว
และน้องชายต่างหายตัวกันไปทั้งคู่
“เอ่อ..คุณแม่..หายดี..ออกจากโรงพยาบาลได้หรือยัง…คะ” คุณหญิงพรรณรายสอบถามขึ้นมาบ้างหลังจากที่นั่งเงียบเป็นฝ่าย
ฟังสามีและลุกเขยสนทนากันมานาน
“หายดีแล้วครับ คุณหมอให้ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วครับ..แต่ผมเป็นห่วงความปลอดภัยของแม่ เลยยังไม่กล้าพากลับ
ไปพักที่บ้าน”
“เอาแบบนี้สิคุณฉัตร พาแม่แล้วก็น้องสะใภ้..รวมทั้งตัวคุณฉัตร มาพักกับผมที่บ้านก่อน..เดี่ยวจะติดต่อทางกองปราบให้จัด
กำลังตำรวจมาคอยดูแล เราอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม จะทำให้ดูแลความปลดภัยกันได้ง่ายขึ้น…”
มรว.จักรภพออกความคิดเห็นพร้อมกำชับให้พาคุณนายแจ่มจรัสกับหวานมาพักที่บ้านของท่านทันทีที่ออกจากโรงพยาบาล
………………………..
ส่วนทางด้านนายพลเดช หลังจากจับตัวคุณหมิวและชัดชายไปคุมขังไว้ ก็เลิกตามล่าหาตัวฉัตรชัยและแม่ของเขา เนื่องจาก
ต้องระดมกำลังรีบเร่งจัดการขนย้ายยาบ้าและไม้พยูงลงมากรุงเทพพร้อมจัดส่งออกไปต่างประเทศ จึงไม่อยากเปิดศึกหลาย
ด้านให้เป็นที่ผิดสังเกตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังจากที่ตระเตรียมงานเรียบร้อยแล้ว รุ่งขึ้นก็ได้เวลาขนย้ายสิงของบรรจุใส่
ตู้คอนเทรนเนอร์ จึงระดมกำลังทั้งหมดของตนเองที่มีอยู่ เหลือเพียงไอ้ดาวสมุนโจรหุ่นมะขามข้อเดียวให้อยู่เฝ้าคุณหมิว
และชัดชายตามลำพัง พร้อมกำชับว่าพอทุกอย่างเรียบร้อย ให้จัดการเก็บทั้งสองคนเสียให้สิ้นเรื่อง