แฝดอันตราย ตอนที่10
“แล้วมีอะไรอีกมั๊ยครับป้า…เอ่อ..อย่างเช่นนายชัดเคย…มีคดีอะไรต้องขึ้นโรงขึ้นศาลมั๊ยครับ…” ฉัตรชัยสอบถามเพราะอยาก
เก็บข้อมูงของน้องชายฝาแฝดให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“เอ…เท่าที่ป้ารู้นะ…ป้าว่าไม่เคยมีนะคะ…ขนาดตอนที่ฉุดนางงามสงกรานต์มาเป็นเมีย…เอ่อ..ยังไม่โดนตำรวจจับเลย เพราะ
พ่อกำนันเค้าช่วยไว้ สมยอมความกะแม่ของแม่หวานเค้า…แล้วจับแต่งงานกัน ป้ายังไปร่วมงานของเค้าเลย…ส่วนเรื่องนักเลง
เกเร…ก็มีบ้างล่ะค่ะ…แต่คุณชัดไม่ใช่ประเภทตีหัวหมาด่าแม่เจ็กน่ะคะ…แต่สิบปีหลังจากที่ป้าย้ายออกมาอยู่ในอำภอ…ป้าก็
ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรจากนั้นมาค่ะ….” ป้าสมเล่าจบก็จ้องมองหน้าฉัตรชัยเขม็ง
“คุณคะ…ป้าถามอะไรสักอย่างได้มั๊ยคะ….”
“ผมว่าอย่าถามอะไรเลยดีกว่าครับป้า…ป้า
รู้เรื่องน้อยที่สุดผมว่ามันจะดีกับป้าเอง…ป้าคิดว่านายชัดของป้าร้ายมั๊ยล่ะครับ..”
ฉัตรชัยปั้นหน้าเคร่ง ทำเสียงเข้มแข็ง
“ก็..ก็ร้ายสิคะ…” เสียงป้าสมตอบอ่อยๆ
“แต่ผมน่ะ…ร้ายกว่านายชัดสิบเท่า….ฉนั้นหวังว่าหลังจากนี้ป้าคงไม่เอาเรื่องที่ผมอยากรู้จักนายชัดไปบอกใคร…ใช่มั๊ยครับ…”
หลังจากฉัตรชัยพูดจบป้าสมก็ทำคอย่น เริ่มรู้สึกว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าผู้นี้คงร้ายกาจกว่านายชัดตามคำที่บอกจริงๆ จึงสั่นหัว
ด๊อกแด๊กสาบานว่าจะไม่เอาเรื่องนี้ไปพูดให้ใครฟัง
“ดีมากครับ นับจากนี้ผมหวังว่าป้าคงจะไม่เคยรู้จักผมมาก่อนเลยจริงมั๊ยครับ…”
ฉัตรชัยปั้นหน้าดุ เอาจริง จนป้าสมคิดว่าเงินที่เหมาล็อตตอรี่นี่มันจะคุ้มกับชีวิตแก่ๆของตนเองแค่ไหน ทำได้เพียงพยักหน้า
หงึกๆ ตามคำที่ฉัตรชัยบอก
“คราวนี้คือข้อสุดท้ายที่ป้าจะต้องทำให้ผม…คือการไปพานายชัดมาหาผมที่นี่ โดยไม่ต้องบอกให้ใครรู้…ป้าทำได้มั๊ยครับ แต่
ผมไม่ใช้งานป้าฟรีๆหรอก ผมจะให้ป้าอีก5พันบาท..ว่าไงครับ,..”
ฉัตรชัยพูดจบก็ควักธนบัตรมานับ แต่ยังไม่ทันส่งให้ป้าสม เสียงรถกระบะก็วิ่งโครมครามเข้ามาที่ปัมน้ำมัน เสียงเครื่องยนต์กับ
ควันสีดำที่พ่นออกมาจากท่อไอเสียนั้น บ่งบอกให้รู้เลยว่ารถคันนี้ไม่น่าจะเอาออกมาวิ่งแล้ว เหมาะสำหรับการเอาไปทำที่ปลูก
พืชผักสวนครัวเสียมากกว่า แต่ป้าสมที่มองไปยังรถต้นเสียงนั้นกลับทำท่าทางโล่งอก เพราะแกไม่จำเป็นต้องลำบากทำตาม
ความต้องการสุดท้ายของฉัตรชัย เนื่องด้วยคนที่ขับรถกระบะโกโรโกโสคันนี้ก็คือนายชัด คนที่กำลังพูดถึงนั่นเอง
“คุณคะ…รถนั่นแหละค่ะของนายชัด….งั้นป้าไปบอกแกให้นะคะว่ามีคนมารอพบที่ร้านกาแฟ…” พูดจบก็เตรียมตัวขยับลุกขึ้น
แต่ต้องชะงักเมื่อฉัตรชัยสั่งให้รอ จากนั้นก็ยัดเงินจำนวนห้าพันใส่มือป้าสม แล้วบอกว่า
“ผมถือว่าผมได้พบนายชัดของป้าแล้ว แม้ว่าป้าจะไม่ได้ไปตามหา ผมก็ให้เงินป้าไว้ครับ แต่ป้าคงจำคำพูดที่ผมบอกก่อนหน้า
นี้นะครับว่า…ขอให้เป็นความลับ…”
ป้าสมพยักหน้าหงึกๆ ทั้งดีใจที่ได้เงินใช้ฟรีๆ ไหนจะขายล็อตตอรี่หมดไปแม้จะเป็นเพียงแค่วันที่13ก่อนหวยจะออกตั้งหลาย
วัน แต่ก็รุ้สึกหวั่นใจลึกๆ อยู่เช่นกันว่า แกจะลำบากที่มีส่วนรู้เรื่องราวของหนุ่มสองคนที่มีใบหน้าเหมือนกันบ้างมั๊ย แต่คงยัง
ไม่สามารถคิดถึงเหตุการณ์ล่วงหน้าได้มากนัก เมื่อบุรุษที่นั่งตรงข้าม บุ๊ยปากให้ป้าสมรีบไปดักนายชัดก่อนที่จะเคลื่อนรถออก
จากปั้ม
ฉัตรชัยมองตามหลังป้าสมที่เดินไปหานายชัดน้องชายฝาแฝดของตน เห็นซุบซิบๆกันพร้อมชี้มือมายังตนเอง นายชัดมอง
ตามมือของป้าสมที่ชี้ แม้จะอยุ่ห่างกันพอสมควร แต่สายตาของฝาแฝดที่ประสานกันนั้น ต่างก็ตะลึง เหมือนตนเองกำลังยืน
มองภาพตัวเองผ่านกระจกเงา ภาพหนึ่งยืนข้างรถกระบะเก่าๆ ผิวหน้ากร้านแดด อีกภาพเป็นชายหนุ่มหน้าผ่องใสมีราศี นั่ง
อยู่ที่ร้านกาแฟ ฉัตรชัยมองเห็นายชัดขึ้นรถแล้วขับมาจอดใกล้ๆร้านกาแฟ จึงรีบลุกขึ้นเดินเข้าไปหา ก่อนที่น้องชายฝาแฝด
จะเปิดประตุรถลงมา
“ชัด..นายตามพี่มา..”
สายตาสองคุ่ประสานกันในระยะใกล้ ในสายตาของแฝดผู้น้องนั้นไม่ได้แสดงความรู้สึกตื่นเต้นดีใจ หรือประหลาดใจแต่อย่าง
ใดแม้สักนิดที่จู่ๆ มีชายหน้าตาเหมือนกันมาบอกให้เดินตามมาที่รถ ชัดชัยค่อยๆก้าวลงจากรถกระบะของตนเองปิดประตูดังปัง
แต่ไม่ได้ล็อครถ เดินตามหลังชายหน้าเหมือนไปนั่งฝั่งด้านข้างของคนขับ
“ดูเหมือนกับว่านายไม่ตื่นเต้นดีใจ หรือประหลาดใจที่จู่ๆเราได้มาพบกัน…” ฉัตรชัยถามพร้อมกับสตาร์ทรถ
“ไม่..เรารู้มานานแล้วว่าเรามีพี่ชายฝาแฝด…เราเลยไม่ประหลาดใจ…แต่ก็ดีใจนะที่เราได้พบนาย…ว่าแต่นายจะพาเราไปไหน
กัน…”
คำตอบของน้องชาย ทำให้ฉัตรชัยพอคาดเดาได้ว่าแฝดผู้น้องนั้นรู้ตัวมานานแล้วว่ามีพี่ชายฝาแฝดอีกคน ต่างกับตนเองที่ไม่
เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน จนเมื่อเกือบเดือนที่ผ่านมาจึงรับรู้จากปากของมารดา
“ไม่ได้พาไปไหนหรอก…พี่แค่ขับรถคุยกันกับนาย…”
ฉัตรชัยตอบเรื่อยๆ อยากดีใจที่เจอกับน้องชายฝาแฝด แต่จากสายตาที่มองสบกัน ทำให้ฉัตรชัยกลับรู้สึกเหมือนมีอะไรบาง
อย่างมาขวางกั้นความดีใจนั้นเอาไว้
“แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าเราอยู่ที่นี่…” ชัดชายถามพี่ชายฝาแฝด ทำให้ฉัตรชัยต้องเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้น้องชายฟังตั้งแต่เริ่ม
ต้นที่ปั้มแห่งนี้จนจบ
“พะ..พ่อ..เรายังอยู่มั๊ย…” แม้ฉัตรชัยจะไม่อยากเรียกคนๆนั้นว่าพ่อ แต่ก็จำใจเรียก
“ไม่รู้…เราไม่ได้เจอพ่อตั้งเกือบ30ปีแล้ว…” ชัดชายตอบเสียงเรียบไม่แสดงความรุ้สึกอย่างใด
“พ่อ..เป็นคนบอกนายใช่มั๊ยว่า นายมีพี่ชายฝาแฝดอยู่…”
“อืมมมม…แล้วแม่ล่ะ..เป็นไงบ้าง…” คุยกันมาตั้งนาน ชัดชายเพิ่งจะเอ่ยปากถามเรื่องมารดา
“ก็สบายดี…แม่อยากพบนายมาก…นายพอมีเวลาว่างไปหาแม่กับพี่มั๊ย…”ชัดชายนิ่งเงียบไปสักครุ่
“จะให้ไปเมื่อไหร่….”
“วันนี้ก็ได้ถ้านายว่าง….”
“ก็ดี….เราอยากพบแม่เหมือนกัน แต่เราต้องกลับไปบอกเมียก่อน…” น้ำเสียงของชัดชายไม่ได้บ่งบอกเลยว่าจะรุ้สึกแบบนั้น
“ไปรับลูกเมียนายเลยก็ได้นะ…แม่คงอยากเจอทั้งสองคน…” ฉัตรชัยบอกไปตามความรู้สึกของตนเองว่ามารดาคงอยากเจอ
ลูกสะใภ้คนเล็กกับหลาน
“อย่าเลย..ยุ่งยากเปล่าๆ…นายขับรถไปตามทางนี้แหละ…เดี๋ยวเราบอกทางไปบ้านเราให้ เราไปบอกเมียเราก่อนว่าจะไปธุระ..”
ตลอดเวลาที่ผ่านมาครู่ใหญ่แล้วฉัตรชัยก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแม้แต่สักนิดว่าน้องชายฝาแฝดของตนเองนั้นไม่เคยเรียกตน
ว่าพี่แม้แต่คำเดียว จากนั้นฉัตรชัยก็ซักถามถึงครอบครัวความเป็นอยู่ของน้องชายฝาแฝด ทำให้รู้เรื่องว่าตนเองมีหลานสาว
อยู่อีกคน
“หยุดตรงนี้ละ…”
ชัดชายสั่งให้พี่ชายฝาแฝดหยุดรถรอตรงศาลารถประจำทาง แล้วก็เปิดประตูรถลงไปนั่งรถเครื่องรับจ้าง เข้าไปตามถนนราด
ยางเส้นเล็กๆ ผ่านเข้าไปยังหมู่บ้านที่มองเห็นหลังคาเรียงรายลิบๆ จนหายไปกว่าครึ่งชั่วโมง ชัดชายก็กลับมาขึ้นรถ แล้วบอก
ว่าไปกันได้ละ
ฉัตรชัยจึงขับรถกลับบ้านไปหามารดาของตนเองทันที ก่อนจะถึงบ้านฉัตรชัยโทรศัพท์เข้าไปบอกให้มารดาทราบก่อนว่ากำลัง
พานายชัดลูกแฝดอีกคนไปหา แล้วก็ได้ยินเสียงมารดาพูดออกมาด้วยความดีใจทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะสลับกัน เหมือนยังตั้งสติ
ไม่ได้ จนรถผ่านประตุรั้วเข้ามา เขาก็เห็นมามารดามายืนดักรออยู่หน้าบ้านแล้วด้วยความดีใจ
“ลูกชัดของแม่ โฮๆๆๆ…”
คุณนายแจ่มจรัสถลาวิ่งออกมายืนข้างประตุรถ พอนายชัดเปิดลงมา ก็โผเข้ากอดแน่นทั้งร้องไห้ทั้งดีใจ ทั้งกอดทั้งจูบลูกชาย
ฝาแฝดผู้น้อง ที่พลัดพรากจากไปตั้งแต่ยังแบเบาะ ข้างฝ่ายชัดชายนั้นกลับยืนนิ่งปล่อยให้มารดากอดจูบไม่ได้ตอบโต้ ยังคง
ยืนนิ่งทิ้งมือสองข้างแนบลำตัว ไม่ได้กอดผุ้เป็นมารดาตอบโต้ แต่ก็ไม่เบี่ยงกายถอยหนี ฉัตรชัยมองภาพตรงหน้า ไม่ได้เห็น
ถึงความผิดปรกติ เพราะมัวแต่ดีใจแทนผู้เป็นมารดาที่ได้พบน้องชายอีกครั้ง
จากนั้นทั้งสามคนก็พากันเดินเข้าไปยังห้องรับแขก มารดาของฉัตรชัยจูงลูกชายแฝดคนเล็กไปนั่งข้างตนเองตรงข้ามกับ
ลุกชายอีกคน สองแขนของนางกอดรัดร่างบุตรชายคนเล็กไม่ห่างเหมือนกับกลัวว่าเขาจะพลัดพรากจากไปอีกครั้ง แล้วสอบ
ถามเรื่องราวของน้องชาย นายชัดชายก็ตอบคำถามไปทีละคำตามที่มารดาถามมา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ฉัตรชัยรับรู้มา
ก่อนหน้านี้แล้ว
“ลูก…พาครอบครัวมาอยู่กับแม่นะลุกนะ…” ท้ายสุดคุณนายแจ่มจรัสก้ร้องขอให้บุตรชายแฝดคนเล็กพาลูกและเมียมาอยุ่กับ
นางที่บ้าน ใบหน้าที่ดีใจปลื้มปิติของนางกลับเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำตอบจากลูกชาย
“อย่าดีกว่าแม่….ผมเคยชินเสียแล้วกับชีวิตบ้านนอก ไม่อยากมาใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพหรอกครับ”..
นายชัดชายตอบเรียบๆ หน้านิ่งสนิทจนแฝดผู้พี่ไม่กล้าคาดเดาว่าตอบมาด้วยอารมณ์แบบไหน จะน้อยใจผุ้เป็นมารดา หรือว่า
ไม่ชอบจริงๆ
“ทำไมล่ะลูก….บ้านของเราออกใหญ่โต…อีกไม่ถึงเดือนพี่เค้าก็แต่งงานไปอยู่บ้านใหม่แล้ว ลูกมาอยู่กับแม่เถอะนะลูก…” แม้
จะพูดยังไง ลงทุนอ้อนวอนอย่างไร นายชัดชายก็ยืนกรานคำพูดเดิม
“เอางี้นะแม่..ผมขอถามแม่แค่คำเดียวได้มั๊ยว่า….ทำไมแม่เลือกนายฉัตร…วันนั้นทำไมแม่ไม่เลือกผม…”
น้ำเสียงของชัดชายเข้มเครียด ใบหน้าแสดงความรู้สึกปวดร้าวออกมาชัดเจน จนคุณนายแจ่มจรัสงุนงง ไม่เข้าใจว่าลูกชาย
แฝดคนเล็กถามมาแบบนี้ เพราะเข้าใจอะไรผิดอย่างไร
“เปล่านะลูก…แม่ได้เลือกพี่เค้า…ที่จริงแม่ไม่ได้มีโอกาสเลือกลูกคนไหนเลย..พ่อของลูกเค้าคว้าเอาตัวลูกไปเอง..”
คุณนายแจ่มจรัสพยายามอธิบายให้ลูกชายฟัง แต่ชัดชายกลับทำหน้าเหมือนไม่เชื่อในคำพูดนั้น ด้วยยังจำคำของบิดาที่
พร่ำบอกกรอกหูมาตั้งแต่เริ่มจำความได้ว่า ตาของตนเองกีดกันความรักของพ่อกับแม่ แล้วไล่ให้พ่อออกจากบ้านเนื่องจาก
พ่อเป็นคนจน จากนั้นพ่อก็พยายามขอลูกสองคนมาเลี้ยงเอง แต่แม่ไม่ยอมให้ทั้งหมด แม่เลือกแฝดคนเล็กให้พ่อ ตนเอง
เอาแฝดคนโตไว้เลี้ยงเอง…. แม้มารดาจะพยายามอธิบายอย่างไร นายชัดชายก็หาได้เชื่อถือยังคงจำคำพูดกรอกหูของคน
เป็นพ่อไว้ไม่ลืมเลือน