เจาะเวลาหาฉิมพลี(ภาคยุทธจักร) ตอนที่ 25
หน้าผาที่ยูอันหล่นตุ๊บลงมา (ไม่ยักตาย *-*)
” ท่านปู่ แล้วนี่จะแตกต่างจากนางคณิกาอย่างไร ? ”
เสียงสดใสดังแทรกขึ้นมา ทำเอาทุกคนต้องหันขวับหาที่มาของเสียงกันยกใหญ่
ที่มาของเสียงอยู่ที่โต๊ะถัดออกมาพอสมควร เจ้าของเสียงเป็นเด็กสาวอายุ 12-13 ปี หน้าตาขาวสะขาด
ถักเปียยาวสองข้าง บนศรีษะยังปักด้วยดอกชบาสีแดงสะดุดตา ดูจิ้มลิ้มน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง
ขัดกับอีกผู้หนึ่งที่ร่วมโต๊ะที่ถูกเด็กสาวเรียกว่าท่านปู่ ที่อายุน่าจะเกิน 60 ไปแล้ว
สวมใส่เสื้อผ้าที่เก่าขะมุกขะมอม ดูเซี่ยวเอ้อในเหลายังแต่งตัวดีกว่าเสียอีก
และดูเหมือน ท่านปู่ ผู้นี้จะดื่มสุราลงไปไม่น้อย จึงฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ส่งเสียงงึมงัมๆ ออกมาเป็นระยะๆ
ชายแซ่ลี้เห็นผู้ส่งเสียงขัดเป็นเด็กหญิง ไอ้ที่กะจะตวาดสักหน่อย ก็จำใจต้องปล่อยไป
ท่ามกลางสายตาคนมากมายจะให้ไปเอาเรื่องกะเด็กที่ยังไม่โตได้อย่างไร
” พี่ชายแซ่ลี้ ” ชายหนุ่มอายุไม่น่าจะเกิน 22-23 เดินเข้ามาพร้อมประสานมือ
ทักทาย
” ผู้น้องแซ่ลิ้ม ชื่อคำเดียวว่า ฮวง ส่วนนี่สหายของผู้น้อง แป๊ะกัวม่อ ”
” มิกล่า มิกล้า เราลี้น่ำคุน ” ชายแซ่ลี้คารวะตอบ มันมีนามลี้น่ำคุณนี่เอง
” ที่แท้เป็นหมัดทลายภูผา นับถือ นับถือมานาน ”
ที่แท้ลี้น่ำคุณ มีฉายาหมัดทลายภูผา มีชื่อเสียงในยุทธจักรไม่น้อย
” น้องแซ่ลิ้มกับน้องแซ่แป๊ะ เกรงใจไปแล้วๆ ฮ่า ฮ่า ดูจากเครื่องแต่งกายน้องทั้งสองเป็นศิษย์เตียมชังกระมัง ?”
ลิ้มฮวงกับแป๊ะกัวม่อ ผงกศีรษะตอบ ก่อนที่ลิ้มฮวงจะกล่าวว่า
” ไม่ทราบว่า งานเลี้ยงชิงบุปผาในคืนพรุ่งนี้ พี่ลี้ พอจะพาพวกเราสองคนไปเปิดหูเปิดตาด้วยได้หรือไม่ ?”
ลี้น่ำคุณมีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า
” บอกโดยไม่อำพราง ผู้ที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยง ต้องเป็นผู้ที่ได้รับเทียบเชิญจากวังร้อยบุปผาเท่านั้น ”
สองศิษย์เตียมชังมีสีหน้าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด แต่ลี้น่ำคุณยังพูดต่อว่า
“หากผู้ที่ไม่มีเทียบเชิญ แต่ประสงค์จะเข้างานเลี้ยง ก็ยังมีอีกทางหนึ่ง นั่นก็คือชำระค่าเข้างานเลี้ยง
เป็นเงิน 1000 ตำลึง ”
” ว่ากระไร -*- ” ศิษย์เตียมชังทั้งสองอุทานออกมาพร้อมกัน เงินหนึ่งพันตำลึง เพียงพอให้
ครอบครัวธรรมดาๆทั่วไปใช้จ่ายได้ 3-4 ปี อย่างสบายๆ ค่าเข้าชมอะไรจะแพงขนาดนี้
” ท่านปู่ ได้ยินหรือไม่ เพียงแค่เข้าไปชมก็ต้องจ่ายพันตำลึง
หากมีคนสมองน้อยๆ เข้าไปชมงานสักสิบ ยี่สิบคน
แม่นางดอกไม้เหล่านั้นคงร่ำรวยแทบตายแล้ว
ทางที่ดีท่านปู่พาเซี่ยวเง็กไปเป็นศิษย์วังดอกไม้นั่นเถอะ หากเข้าไปได้
รับรองเซี่ยวเง็กจะให้ท่านมีเป็ด ไก่ มีสุราดื่มทุกวัน ”
เสียงแจ้วๆใสๆของเด็กหญิง ดังออกมาเป็นชุด
เรียกเสียงหัวเราะจากผู้คนบนเหลาได้ครืนใหญ่
แม้ว่าหมัดทลายภูผาจะรู้สึกขัดใจขึ้นมาอีกรอบ แต่ทว่ายังไงๆนั่นก็เป็นเพียงเด็กหญิง
แถมที่นี่ก็คือเหลาชุมนุมมังกร
” เซี่ยวเง็ก ไฉนเจ้าถึงกล่าววาจาไม่รู้จักยั้งคิด !!” เสียงของท่านปู่ของเซี่ยวเง็ก
” ไม่รู้จักยั้งคิดอันใด ทำไมท่านปู่ต้องเสียงดังด้วยเล่า..” เซี่ยวเง็กขอบตาแดงๆ
เหมือนตกใจที่ถูกปู่ดุต่อหน้าคนมากมาย
” หากเจ้าพูดว่า คนที่สมองน้อยๆถึงยอมจ่ายพันตำลึงทองเพื่อร่วมงานเลี้ยง
แบบนั้นผู้กล้าหาญหลายๆคนที่อยู่ที่นี่ ที่คิดจะยอมเสียค่าเข้าร่วมงาน
มิกลายเป็นคนสมองน้อย ไร้หัวคิดไปหมดรึไง ” ปู่ของเซี่ยวเง็ก ยิ่งดุยิ่งเสียงดัง
” เซี่ยวเง็กทราบความผิดแล้วๆ ” เด็กหญิงเริ่มมีน้ำตาไหลออกมาจนเอ่อ
หลายๆคนเห็นเด็กหญิงที่น่ารักโดนดุ
ก็อดจะสงสารไม่ได้
” เจ้าไปกราบขอขมากับจอมยุทธท่านนั้นเสียโดยดี ”
” ท่านปู่ ….” เด็กหญิงน้ำตาไหลออกมาเป็นทาง กลางที่ชุมนุมคนมากมายเช่นนี้
จะให้เดินไปกราบขอขมาได้อย่างไร ถึงจะเป็นเด็กแต่ก็โตพอจนรู้จักอายแล้ว
” ยังไม่รีบไปอีก หากขืนยังดื้อดึง กลับไปปู่คงต้องลงหวายเจ้าเสียแล้ว ”
หลายๆคนได้ยินก็ใจหายแทนเด็กหญิง ท่านปู่แก่ๆคนนี้โหดไม่เบา
เซี่ยวเง็ก ค่อยๆขยับตัว เดินไปทีละน้อยๆ เดินไปก้าวหนึ่ง ก็หันหน้ามามอง ท่านปู่ ทีหนึ่ง
ในใจคงจะหวังว่า ท่านปู่จะเรียกให้กลับไปนั่งที่โต๊ะ แต่ท่านปู่ผู้นั้นกลับใจแข็งยิ่งนัก
เห็นน้ำตาหลานสาวไหลออกมาเป็นทาง ยังไม่ใจอ่อน
เซี่ยวเง็กเดินไปสะอื้นไปจนถึงโต๊ะของหมัดทลายภูผา ซึ่งตอนนี้มีสองศิษย์เตียมชังมาร่วมนั่งอยู่ด้วย
หมัดทลายภูผาเอง ทีแรกก็ขัดใจเด็กหญิงคนนี้อยู่บ้าง แต่เห็นเด็กสาวโดนดุจนร้องไห้
แถมต่อหน้าผู้คนมากมายก็ต้องแสดงความใจกว้างออกมา
เลยลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ พร้อมพูดว่า
” เด็กหญิงน้อย ไม่ต้องร้องแล้วๆ ถือว่าแล้วกันไปเถอะๆ..”
ไม่ทันพูดจบเซี่ยวเง็กที่เดินพลางสะอื้นพลางก็สะดุดขาตัวเอง
ร่างเล็กๆบางๆก็ล้มคว่ำลง เห็นทีใบหน้าขาวๆคงจะฟาดกับพื้นเป็นแน่แท้
หลายคน ร้อง ” โอ้ !!” ออกมาเพราะตกใจ แต่ทว่ายังดีที่หมัดทลายภูผา
ลุกขึ้นจากเก้าอี้มาแล้ว แถมอยู่ใกล้กับเซี่ยวเง็กที่สุด จึงขยับร่างเข้ามารับเซี่ยวเง็กไว้ได้ทัน
หลายคนอดโล่งอกแทนเด็กหญิงไม่ได้ พากันถอนหายใจออกเฮือกใหญ่
มีหลายคนปรบมือให้กับหมัดทลายภูผาเสียด้วยซ้ำ
หมัดทลายภูผา ค่อยๆพยุงเซี่ยวเง็กให้ยืน พร้อมทั้งหันไปคารวะให้ผู้คนที่ปรบมือให้ตนเอง
หน้าตายิ้มแย้มเบิกบานอย่างยิ่ง
” ท่านจอมยุทธ เซี่ยวเง็กยังเยาว์ กล่าววาจา ไม่รู้จักคิด….” เซี่ยงเง็กพูดออกมาเบาๆ
เด็กหญิงคงอายไม่น้อย จึงก้มหน้าก้มตา มือทั้งสองข้างบิดพันชายเสื้อของตัวเองไปมา
” ฮ่า ฮ่า ฮ่า แล้วกันไปเถอะๆ ไม่จำเป็นเลยๆ ” หมัดทลายภูผาแสดงความใจกว้างออกมา
ตอนนี้ได้หน้าไปเต็มๆอยู่แล้ว
เซี่ยวเง็กเงยหน้าขึ้นมายิ้มทั้งน้ำตา ก่อนจะรีบวิ่งกลับไปยังโต๊ะ
” ท่านปู่…”
” เฮอะ ”
” ท่านปู่…”
เซี่ยวเง็กยังเรียกท่านปู่อย่างน่าสงสาร แต่ทว่าท่านปู่กลับไปแยแสสักนิด
” ท่านปู่ เซี่ยวเง็กอยากกลับบ้านแล้ว ..” เด็กหญิงตาแดงๆออกมาอีกครั้งก่อนจะเดินไปกอดเอวของปู่
คงเป็นธรรมดาของเด็กวัยนี้ นี่ไม่ร้องไห้ออกมาก็นับว่าเซี่ยวเง็กพยายามอดกลั้นเต็มที่แล้ว
“เซี่ยวเอ้อ คิดบัญชี ” ท่านปู่ของเซี่ยวเง็กตะโกนขึ้นมา
” 10 ตำลึง กับอีก 4 อีแปะ ท่านผู้เฒ่า ”
นี่คือราคาเกือบสองเท่าของร้านอาหารชั้นดีเลยทีเดียว มีบางคนอดเป็นห่วงไม่ได้
ว่าสองปู่หลาน จะมีปัญญาจ่ายหรือไม่ ดูจากสภาพเครื่องแต่งกาย..มีถึงสองตำลึงก็เป็นเรื่องแปลกมากแล้ว
แต่เค้าถึงว่า อย่าดูคนแต่เปลือกนอก ท่านปู่ที่ดูมอซอ กลับล้วงทุกเงินน้ำตาลเข้ม แถมปักอย่างสวยงาม
ออกมาจากเสื้อด้านใน
จากนั้นล้วงเงินขาวๆลงวางบนโต๊ะ 50 ตำลึง
” ท่านผู้เฒ่าโปรดรอสักครู่ ” เซี่ยวเอ้อหมายถึงเดี๋ยวจะไปนำเงินทอนมาให้
” ไม่ต้องทอนแล้ว ที่เหลือยกให้เจ้า ”
เซี่ยวเอ้อ ถึงจะเป็นคนของป้อมมังกรทอง แต่ก็ต้องทำงานหลายเดือนกว่าจะได้เงินถึง 40 ตำลึง
งานนี้เรียกว่า ถูกหวยก็ว่าได้ รีบคารวะขอบคุณท่านปู่ยกใหญ่
หลายๆคนในเหลาก็อึ้งไปเหมือนกัน ไม่คิดว่าท่านปู่ที่ดูใจร้ายกับหลานสาว ถึงกับใจดี มือเติบกับเซี่ยวเอ้อยิ่งนัก
กระทั่งสองปู่หลานลงไปจากเหลาสักครู่ ยังมีบางโต๊ะอดสนทนาถึงเรื่องสองปู่หลานไม่ได้
โต๊ะของหมัดทลายภูผา กลับมาสนทนาถึงเรื่องงานเลี้ยงชิงบุปผาอีกครั้ง
” หากค่าเข้างานแพงถึงขนาดนั้น ผู้น้องสองคน..ยอมรับว่าไม่สามารถจ่ายได้จริงๆ ” ลิ้มฮวงพูดออกมาตรงๆ
ลงจากสำนักมาครั้งนี้ทั้งสองคนมีเงินรวมกันไม่ถึง 200 ตำลึง
” นี่ก็หมายความว่า ท่านทั้งสาม เตรียมค่าเข้าชมงานเรียบร้อยแล้ว ?” แป๊ะกัวม่อที่ไม่ค่อยพูดถามขึ้น
” บอกกับน้องทั้งสองตามตรง เรากับน้องหลี่ ก็ไม่สามารถเช่นกัน แต่อาศัยที่ว่า
ผู้เข้างานหนึ่งคน สามารถพาผู้ติดตามเข้าไปได้อีกสอง
ดังนั้นเราสองคนก็ได้แต่ติดตามพี่ลี้เข้าไปเท่านั้น ”
ชายแซ่กิมตอบออกมาพร้อมหัวเราะเบาๆ
” ที่จริงเราสองคน เพียงแค่อยากชมโฉมของหญิงร้อยบุปผาเท่านั้น ไม่ได้คิดไป ชิงบุปผากับใคร ”
ลิ้มฮวงยังรู้สึกเสียดายอยู่
” ไม่ทราบว่า น้องทั้งสองเคยได้พบกับแพทย์มือวิเศษ กับภรรยาบ้างหรือไม่ ?” หมัดทลายภูผา
ถามศิษย์เตียมชังทั้งสอง
” ย่อมเคยพบ งานแต่งของแพทย์มือวิเศษ ผู้น้องทั้งสองติดตามอาจารย์ไปร่วมด้วย
บ้านของแพทย์มือวิเศษอยู่ไม่ไกลจากสำนักเตียมชัง แถมแพทย์มือวิเศษยังสนิมสนมกับท่านอาจารย์
อีกด้วย ” ลิ้มฮวงตอบ
” อย่างนั้น คงเคยได้เห็นภรรยาของแพทย์มือวิเศษแล้ว ?”
” ไหนเลยเพียงแต่เห็น แต่ลิ้มฮวงท่านถึงกับเหม่อมองจนตาค้าง กระทั่งยกจอกสุราค้าง ลืมกระทั่ง
ชื่อแซ่ตัวเอง ” แป๊ะกัวม่อพูดขึ้นมาแทน ทำเอาทั้งโต๊ะหัวเราะกันเฮฮา
” ฮ่าฮ่า เรายอมรับ และไม่ปฏิเสธ ที่จริงเคยคิดว่าศิษย์น้องเล็ก บุตรสาวของท่านอาจารย์สวยสดงดงามมากแล้ว
แต่ทว่า ภรรยาของแพทย์มือวิเศษกลับเหนือกว่าอีกสามส่วน อายุถึงกับน้อยกว่าผู้น้องอีก ”
” เรื่องนี้เป็นที่เล่าปนอิจฉากันมาพักใหญ่ แพทย์มือวิเศษอายุเกือบห้าสิบแต่งภรรยาอายุยี่สิบ
แถมสวยสดงดงามขนาดนั้น ” ชายแซ่กิมพูด
” แต่เรื่องนี้ เกี่ยวอันใดด้วยเล่า ?” ลิ้มฮวงถาม
” ภรรยาสาวของแพทย์มือวิเศษ เดิมเป็นคุณหนูสามสิบสอง จากตึกชบา ” หมัดทลายภูผาตอบ
” ว่ากระไร !! ”
” ดังนั้นน้องทั้งสอง ก็ไม่ต้องผิดหวังมากไป ถึงไม่ได้ร่วมงานชมโฉมโบตั๋น แต่ก็เคยเห็นชบามาแล้ว ”
สองศิษย์เตียมชังนิ่งกันไปพักนึง ก่อนลิ้มฮวงจะพูดปนละเมอออกมาอย่างไม่ตั้งใจว่า
” ถ้าคุณหนูสามสิบสองยังงดงามขนาดนั้น คุณหนูจากตึกโบตั๋นในคืนพรุ่งนี้
มิสวยเทียบเท่ากับสี่สุดยอดหญิงงามยุทธจักรเลยรึไร ”
” ฮ่าฮ่า คาดว่า คงไม่ห่างกันมากนัก นี่หลังจากเสร็จงานเลี้ยง เราสามคนยังจะไปยังลี่เจียง
ขอชมโฉม สองสะคราญลี่เจียงกันสักครา ” พอหมัดทลายภูผาพูดจบทั้งโต๊ะก็หัวเราะเฮฮากันอย่างครื้นเครง
” พวกท่านคู่ควร ?” เสียงหนึ่งดังขัดขึ้นมา มาตรว่าไม่ดัง แต่ทว่าทุกคนที่อยู่บนเหลากลับได้ยินอย่างชัดเจน
หมัดทลายภูผากับพวกที่นั่งกันอยู่ ร่ำสุรากันไปหลายจอก เริ่มกรึ่มๆกันบ้างแล้ว
พอได้ยินก็ถึงกับหงุดหงิดขึ้นมา ลุกขึ้นยืนกวาดสายตาหาเจ้าของเสียง
พบว่าเป็นชายหนุ่ม ในชุดนักศึกษาสีขาวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะริมเหลา
ทั้งหมดมองดูยิ่งขัดตา เห็นชายหนุ่มชุดขาวพูดออกมาแล้วกลับทำท่าเหมือนไม่ทุกข์ไม่ร้อน
ต่อหน้าคนมากมาย หากไม่ทำอะไรเสียบ้าง คงอับอายขายหน้าแย่
ขณะที่หมัดทลายภูผาจะก้าวเท้า ชายแซ่กิมก็ร้องขึ้นว่า
” เดี๋ยวก่อนพี่ลี้ เดี๋ยวก่อน ”
หมัดทลายภูผาหันไปมองหน้าเหมือนจะถามว่า มีอะไร
” เห็นหรือไม่ว่า บนโต๊ะของเจ้าหนุ่มนั่น วางกระบี่อยู่เล่มหนึ่ง ? ”
” วางกระบี่แล้วอย่างไรพี่กิม ” ลิ้มฮวงถาม
” เมื่อพกกระบี่ ก็แปลว่าใช้กระบี่ เมื่อใช้กระบี่ ก็ต้องมอบให้เรากิมกงติกแล้ว ”
” ที่แท้พี่กิม คือกระบี่ไล่ลมกิมกงติก เสียคารวะแล้วๆ ”
สองศิษย์เตียมชังเพิ่งรู้ว่าชายแซ่กิมที่นั่งดื่มด้วยกันมาตั้งนาน คือกระบี่ไล่ลมกิมกงติก แห่งหัวซาน
” พวกท่านนั่งดื่มกันไปพลางๆ ” กระบี่ไล่ลมตบมือบนพื้นโต๊ะเบาๆกระบี่พร้อมฝักที่วางอยู่ก็กระดอนขึ้นมา
จากนั้น ก้าวเท้าเดิน มือก็หงายขึ้นช้าๆ พอดีกับกระบี่ที่ตกลงมาเข้าสู้มือพอดิบพอดี
หลายโต๊ะ ที่เริ่มสนใจ มองมาเพราะทราบว่า อาจมีของดีให้ชม มองเห็นกริยาตบ เดิน รับกระบี่ ของกระบี่ไล่ลม
ที่ดูสวยงาม คล่องแคล่ว ก็พากันนึกว่า หนุ่มชุดขาวที่เผลอไป แขวะ พวกของหมัดทลายภูผากับกระบี่ไล่ลม
อาจจะเดือดร้อนแล้ว
ทีแรกหลายคนคิดว่า พวกของหมัดทลายภูผาเป็นพวกมือชั้นปลายแถวที่ชอบดื่มและโอ้อวดไปทั่ว
แต่พอรู้ว่า หนึ่งในนั้นเป็นหมัดทลายภูผา ก็ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่แล้ว มิหนำซ้ำยังมีกระบี่ไล่ลม
ศิษย์หัวซานที่มีชื่อเสียงในวิชากระบี่ไม่น้อยเข้าอีกคน
” น้องเรา ดูท่าจะดื่มคนเดียวจนเมาแล้วกระมัง ? ”
กระบี่ไล่ลมที่เดินมายังโต๊ะของหนุ่มชุดขาวเอ่ยขึ้น
หากคิดว่ากระบี่ไล่ลมพอเดินมาถึงก็จะดุด่า ตะโกนโหวกเหวกเหมือนตัวโกงอ่อนๆคงต้องผิดหวังกันแล้ว
เพราะมันเป็นมือกระบี่ ตอนวางกระบี่มันอาจเป็นชายที่ดื่มสุราเฮฮา ถกแต่เรื่องของสตรี
แต่เมื่อในมือมีกระบี่ มันก็กลายเป็นมือกระบี่แล้ว
ตอนเดินมาไม่กี่ก้าว มันก็พบเห็นแล้วว่า ชายหนุ่มชุดขาว มีดี
ที่ว่ามีดี นั่นหมายถึง ตอนชายหนุ่มยกจอกเหล้า มือกลับมั่นคง แข็งแรงอย่างยิ่ง
มือเช่นนี้หากถือกระบี่ ย่อมใช้กระบี่เป็น
ท่านั่งก็บ่งบอก
ชายหนุ่มชุดขาวแม้นั่งอย่างสบายๆ แต่ทว่าหัวเข่ากลับพ้นขอบโต๊ะออกมา
นั่นหมายถึง หากต้องการจะลุกขึ้น สามารถขยับร่างกายได้อย่างอิสระ
หากนั่งชิดกับโต๊ะมากเกินไป ยามลุกหัวเข่ายากจะหลีกเลี่ยงกับโต๊ะได้
ดังนั้นมีหลายท่วงท่าที่ไม่สามารถใช้ออก
มีหลายคน ที่ต้องเสียชีวิตเพราะ นั่งไม่ถูกต้อง
กระบี่ที่วางอยู่ก็บ่งบอก
มือกระบี่หลายคนวางกระบี่ไม่เหมือนกัน
บางคนถนัดซ้าย บางคนถนัดขวา บางคนวางตรง บางคนวางขวาง
แต่ทุกแบบ ย่อมวางแบบที่ตัวเองหยิบและชักออกมาได้รวดเร็วที่สุด
ชายหนุ่มผู้นี้วางขวาง และถนัดขวา
กระบี่ไล่ลมเก็บรายละเอียดทุกอย่าง ไม่พ้นแม้กระทั่งสายตา
ชายหนุ่มชุดขาวเพียงมองแต่จอกเหล้าในมือ เช่นนี้อาจเป็นไปได้สองทาง
หนึ่งคือชายหนุ่มชุดขาวประมาท พบได้จากพวกชาวยุทธหนุ่มที่เพิ่งออกท่องเที่ยว
สองคือ มันมีความมั่นใจในฝีมือของตัวเอง
กระบี่ไล่ลมคิดว่าเป็นข้อสอง มันไม่ใช่คนประมาท มิเช่นนั้นคงไม่มีชื่อเสียงเหมือนทุกวันนี้
บางทีชายหนุ่มชุดขาว มีฝีมือมากกว่ามันเสียอีก แต่ทว่า การต่อสู้ มิใช่อาศัยเพียงฝีมือ
ยังต้องอาศัยสติปัญญา และยุทธวิธี
กระบี่ไล่ลมกำหนดยุทธวิธีไว้ได้แล้ว
ที่กล่าวมาเหมือนยืดยาว แต่ที่แท้มันครุ่นคิดเสร็จสิ้น
อยู่ในระยะเวลาที่ก้าวเท้ามา 4 ก้าว
กระบี่ไล่ลมไม่ได้คิดจะทำอันตรายชายหนุ่มชุดขาว
เนื่องเพราะ ที่นี่คือเหลาชุมนุมมังกร
เพียงแต่ถ้าสามารถ พาดกระบี่หรือจ่อกระบี่ตรงคอของหนุ่มชุดขาวนี่ได้
ก็นับว่าระบายโทสะได้แล้ว
” น้องชาย ยังไม่ตอบ หรือคิดว่าเราไม่คู่ควรกับการสนทนาด้วย ?”
” …”
” เมื่อน้องชายไม่ตอบคำ เราก็ใช้การลงมือทักทายกันเถอะ ”
กระบี่ไล่ลมไม่ได้โมโห แต่กลับเยือกเย็นอย่างยิ่ง
นิ้วหัวแม่มือซ้ายเลื่อนไปหาโกร่งกระบี่อย่างช้าๆ
ชายหนุ่มชุดขาวยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
ในที่สุดหัวแม่มือซ้ายก็แตะกับโกร่งกระบี่ ถึงตอนนี้ มันมั่นใจแล้วว่า
ไม่ว่าชายหนุ่มชุดขาวจะซ่อนเร้นงำประกายแค่ไหน
ก็ไม่มีทางชักกระบี่ออกมาได้เร็วกว่ามัน
เพราะมันคือกระบี่ไล่ลม
อย่าว่าแต่ในมือของหนุ่มชุดขาวยังถือจอกเหล้า
” ท่านคู่ควรกับการสนทนา ” ชายหนุ่มชุดขาวเอ่ยขึ้นมา
หลายๆคนในเหลาเงียบเสียงกันหมด จ้องดูทั้งคู่กันตาไม่กระพริบ
” แต่ไม่คู่ควรกับการเรียกพี่เรียกน้องกับเรา ”
มีเสียงฮือฮาดังขึ้นมา เพราะรู้สึกว่าชายหนุ่มชุดขาว กล่าวแรงไปแล้ว
แบบนี้เหมือนไปยั่วโมโหกระบี่ไล่ลมเข้าไปอีก
ในเหลามีสตรีนั่งอยู่ไม่น้อย และล้วนแล้วแต่เอาใจช่วยชายหนุ่มชุดขาว
เพราะชายหนุ่มชุดขาวงามสง่า น่าดูเป็นอย่างยิ่ง
” อย่าได้โอหังนัก รับกระบี่ !” กระบี่ไล่ลมใช้หัวแม่มือซ้ายดีดกระบี่ออกมา
มือขวากางนิ้วออกหลวมๆ รอด้ามกระบี่พุ่งเข้ามา กระทั่งตอนนี้ชายหนุ่มชุดขาวยังไม่คลายมือจากจอกเหล้า
ตอนนี้ต่อให้เป็นอาจารย์ของมันเองเจ้าสำนักหัวซาน ก็ไม่อาจชักกระบี่ออกมาทันแล้ว
อย่าว่าแต่ชายหนุ่มชุดขาววางกระบี่แนวขวาง หากจะชักออกต้องคลายมือจากจอกเหล้า
แล้วเอื้อมมาหยิบด้ามกระบี่
ถึงวิธีการชักกระบี่จะมีหลายท่วงท่า แต่จะอย่างไร มีจุดหนึ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง
นั่นคือ ข้อศอก
ด้ามกระบี่อยู่ในมือแล้ว กระบี่ไล่ลมขยับข้อมือเล็กน้อย ขอเพียงกวาดกระบี่ไปจุดที่ตั้งใจ
ตอนนี้ต่อให้เป็นมารกระบี่ ก็ชักกระบี่ออกมาไม่ได้แล้ว
มันไม่เคยประมือกับมารกระบี่
แต่มันเชื่อว่า ไม่มีผู้ใดในโลกที่ถูกมันจ่อกระบี่ที่ข้อศอกแล้วชักกระบี่ออกมาได้
พริบตาเดียวเท่านั้น ผลแพ้ชนะก็จะปรากฏอย่างชัดเจน
ขณะกระบี่ของกระบี่ไล่ลมชักออกมาจนเกือบจะสุด
ชายหนุ่มชุดขาวก็ขยับตัว
” ช้าไปแล้ว ” กระบี่ไล่ลมนึกในใจ เพิ่งขยับตัวตอนนี้ สายเกินไป
อาจบางทีชายหนุ่มชุดขาวมีฝีมือสูงกว่ามันจริง แต่ประมาทเกินไป
ในพริบตานั้น กระบี่ของชายหนุ่มชุดขาวกลับพุ่งวาบเข้ามา
ทั้งรวดเร็ว ทั้งแม่นยำ
นั่นเป็นกระบี่ แต่ไม่เพียงแค่กระบี่
แต่เป็นกระบี่ทั้งฝัก
กระบี่ทั้งฝักพุ่งกระแทกเข้ากับโกร่งกระบี่ของกระบี่ไล่ลมที่ชักออกมา
เกือบจะพ้นจากฝักอยู่แล้ว
พลังที่แฝงมา กระแทกกระบี่ ของกระบี่ไล่ลมกลับเข้าไปในฝักจนมิดเช่นเดิม
กระบี่ไล่ลมรีบกระชับนิ้ว กำกระบี่ไว้แน่น
มันแทบ ถูกกระแทกจนกระบี่หลุดจากมือ
มือขวาของชายหนุ่มชุดขาวยังถือจอกเหล้า…
” ข้าพเจ้าผิดแล้ว …” กระบี่ไล่ลมเปล่งเสียงออกมาเบาๆ ก่อนจะพูดต่อว่า
” ท่านไม่คิดชักกระบี่ …”
” เราไม่คิดชักกระบี่จริง ” ชายหนุ่มชุดขาวตอบ
” ท่านถนัดมือขวา …” กระบี่ไล่ลมเปล่งเสียงออกมาอีก
” เราถนัดขวา…”
” แต่ท่านไม่ได้ใช้มือขวา…”
” เราใช้มือซ้าย ” ชายหนุ่มชุดขาวตอบ
กระบี่ไล่ลมหดหู่ยิ่งนัก ฝ่ายตรงข้ามอายุน้อยกว่าตนเอง 6-7 ปี แต่กลับ
สยบตนเองได้อย่างง่ายดาย กระทั่ง กระบี่ก็ยังไม่สามารถชักออกมาพ้นฝัก
นี่ก็น่าหดหู่มากพอแล้ว แต่เพราะสถาณที่ มีผู้คนมากมายชมดูอยู่
ยิ่งอับอายจนแทบแทรกแผ่นดิน
ฝ่ายตรงข้ามไม่เพียงฝีมือสูงกว่า แต่ยังมี ยุทธวิธีที่เหนือกว่า
มันคิดควบคุมไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามชักกระบี่ ฝ่ายตรงข้ามกลับจู่โจมมาทั้งฝัก
มันให้ความสำคัญกับมือขวา ฝ่ายตรงข้ามกลับใช้มือซ้าย
ดังนั้นมันจึงพ่ายแพ้
” ความจริงท่านก็ไม่เลว …” ชายหนุ่มชุดขาวพูดขึ้นมา
” ขออภัยที่รบกวน …” กระบี่ไล่ลมประสานมือคารวะ ก่อนจะหันกายเดินกลับ
เหมือนจะนึกอะไรได้ กระบี่ไล่ลมหยุดชะงักนิดหนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นว่า
” ท่านคืออ๋องยูซัว ?”
” เราไม่ใช่ ”
กระบี่ไล่ลมคิดอยากจะถาม ว่าท่านชื่ออะไร แต่ก็สำนึกตัวว่าไม่คู่ควรถาม
มันไม่ใช่จะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ในยุทธจักรคนที่มีฝีมือสูงกว่ามัน มีมากมาย
แต่ ถ้าเป็นชายหนุ่มอายุไม่เกิน 25 ปีที่ใช้กระบี่ ก็เหลือไม่กี่คนแล้ว
มันเคยพบกับเทพบุตรมังกรทอง ก๋วนเทียนเล้ง จึงทราบว่าชายหนุ่มชุดขาวตรงหน้าไม่ใช่
ส่วนอีกคน เฉาหยงสำนักมารฟ้า มีคนพูดต่อๆกันว่าชมชอบใส่ชุดสีดำ
ดังนั้นเหลืออีกหนึ่งคน คือกระบี่ล่าวิญญาณ อ๋องยูซัว ที่มันยังไม่เคยเห็น
แต่ทว่ากลับไม่ใช่อีก
ทางด้านหมัดทลายภูผาที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็ถึงกลับสร่างเมาเป็นปลิดทิ้ง
มันทราบระดับฝีมือของกระบี่ไล่ลมดี ว่าไม่ได้แตกต่างกับตัวเองเท่าไหร่นัก
ผลออกมาเป็นแบบนี้ จะทำอะไรได้ ดื่มต่อก็คงหมดสนุกแล้ว
” เซี่ยวเอ้อ คิดบัญชี ” หมัดทลายภูผาเรียกเซี่ยวเอ้อมาชำระเงิน
” สี่สิบห้าตำลึง นายท่าน”
หมัดทลายภูผาล้วงที่ข้างเอวเพื่อจะดึงถุงเงินออกมา แต่กลับสะดุ้งเฮือก
ควานสะเปะสะปะในเสื้ออย่างวุ่นวาย
” พี่ลี้ เกิดอะไรขึ้น ? ” กระลี่ไล่ลมถาม
” ถุงเงิน ถุงเงินของเรา หายไป ” หมัดทลายภูผาตอบเสียงแหบแห้ง
” นี่…หาดีแล้วหรือไม่ …”
” ไม่เพียงแต่ถุงเงิน เทียบเชิญงานเลี้ยงชิงบุปผาก็หายไปแล้ว “
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ติดตามตอนอื่นได้
ภาคแรก http://uuuu69.blogspot.com/ ลงครบ 20 ตอน ของภาคแรกแล้ว
ภาคสอง http://story.niyay.com/story.php?story_id=54253
……………………………………………………
คุยกันท้ายตอน
มีผู้อ่านเสนอมาว่า เบื่อรูปเก่าๆแย่แล้ว แถมสองสาว เอ กับเก๋ มีแต่รูป ยังไม่มีทีท่าว่าจะมีบท -.-
ผมมานึกๆก็ อืมม จริงด้วย เลยลองเปลี่ยนแนวดูบ้างละกัน แต่เหมือนจะเพิ่มงานให้ตัวเองเข้าไปอีก – –
ชอบหรือไม่ชอบ ค่อยๆดูไปครับ แถมจะทำได้สักกี่น้ำก็ไม่รู้ -.-
อ่อ ถามนิดนึง อยากให้ลงรูปตัวละครชาย ด้วยรึเปล่า
จริงๆหารูปไว้บ้างพอสมควร แต่มันมีแต่รูปผู้ชายหน้าตาดีทั้งนั้น (รูปวาด)
กลัวว่าถ้าลงไป ผู้อ่านจะหันไปชอบตัวละครอื่นมากกว่าพระเอก -.-
อ่านละไม่เม้นกันละก้อ ได้แอบไปจำศีลอีกแน่ๆ
ยู