XO ตอนที่ 17 – ร้านค้าทาส
………………………………….. ‘ร้านค้าทาส และสัตว์เลี้ยง’
แม็กเดินเข้าไปมองป้ายหน้าร้านใกล้ ๆ ด้วยความสงสัย แต่ป้ายที่มีลวดลายของวัฒนธรรมจีนใบนี้ก็เขียนอย่างชัดเจนว่าเป็นร้านค้าขายทาสและสัตว์เลี้ยง ซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกสงสัยอยู่บ้างว่ามีร้านที่ค้าขายผิดกฎหมายเรื่องสิทธิเสรีภาพแบบนี้ในเกมด้วยหรือ
“พวกลื้อไม่มีเงิน แถมยังไม่ใช่คนดัง อย่าได้เข้ามายุ่มย่ามในร้านของอั๊วะ ไสหัวไปไกล ๆ เลย”
ขณะที่เขากำลังงุนงงอยู่นั้น ก็ได้ยินชายวัยกลางคนร่างท้วมแต่งตัวเหมือนอาแปะคนจีนกำลังยืนส่งเสียงล้งเล้งผลักไสคนกลุ่มหนึ่งที่ทำท่าจะเดินเข้าไปในร้าน และเมื่อคนกลุ่มนั้นแสดงท่าทีดื้อดึง ชายหุ่นล่ำบึ้กในเครื่องแต่งกายเหมือนตัวละครในนิยายกำลังภายในจีนก็โผล่พรวดออกมาชักดาบและกระบี่ใส่ กลุ่มคนที่ถูกขับไล่จึงได้แต่ถอยกรูดหนีแล้วเดินจากไปด้วยความไม่พอใจ
“โอ้ นี่มัน ท่านเจ้าชายวิล
เลี่ยม ราชอาคันตุกะคนสำคัญของเมืองนี้ เชิญเลยขอรับท่านเจ้าชาย”
เมื่อขับไล่กลุ่มคนพวกนั้นเข้าไปได้ อาแปะก็ผงกหัวต้อนรับกลุ่มคนที่แต่งตัวดีเหมือนผู้มีอันจะกินเข้าไปด้านใน และแม็กสังเกตเห็นได้ว่ากลุ่มคนเหล่านี้ดูจะเส้นใหญ่ไม่น้อย เพราะอาแปะแทบจะก้มหัวลงไปกราบจรดพื้นเลยทีเดียว
“เจ้าชายวิลเลี่ยม? คนระดับเจ้าชายก็มาซื้อทาสด้วยเหรอเนี่ย … เอ๊ะ เดี๋ยวนะ ชื่อคุ้น ๆ นั่นมันชื่อเจ้าชายที่ยัดเยียดข้อหาขโมยของให้หมิวนี่นา ใช่คนเดียวกันหรือเปล่าน่ะ?”
แม็กมองดูชายหนุ่มรูปหล่อบุคลิกมาดเท่ห์เหมือนเจ้าชายที่เดินเชิดเข้าไปในร้านค้าขายทาสด้วยความสนใจ และเขาค่อนข้างแน่ใจว่านั่นน่าจะเป็นต้นเรื่องที่ทำให้หมิวเข้าเกมไม่ได้ จนเขาต้องตามมาช่วยแก้ข้อหาให้เธอ ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเสียจริง
“ลื้อคนนั้นน่ะ เข้ามาเลย เป็นคนมีเงินนี่นา มามา มาเข้าร้านอั๊วะก่อน รับรองมีแต่ทาสกับสัตว์เลี้ยงของดีจากทวีปไชนี่ให้ลื้อเลือกเยอะแยะ”
ขณะที่แม็กกำลังมองเจ้าชายอยู่นั้น อาแปะที่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าของร้านค้าทาสก็หันมาทางเขา พร้อมกับเดินเข้ามากอดคออย่างสนิทสนม แล้วนำพาเขาเข้าไปในร้าน
“เดี๋ยว ๆ อาแปะ ผมไม่ได้สนใจซื้อทาสหรอกนะ แล้วผมก็ไม่มีเงินด้วย”
“ไม่สนใจไม่เป็นไร ไปดูไปชมก่อนได้ วันนี้ร้านอั๊วะมีของดีหายากจากทวีปไชนี่มาให้ประมูล แล้วลื้อก็ไม่ต้องมาโกหกอั๊วะ จมูกอั๊วะไม่เคยโกหกเรื่องเงิน ลื้อน่ะต้องมีเงินมากกว่า 10,000 เหรียญทองคำแน่นอน แถมยังมีระดับชื่อเสียงมากกว่าหนึ่งหมื่นแต้มด้วย ถ้าต่ำกว่านี้อั๊วะไม่ให้เข้าร้าน แต่ลื้อผ่านสบาย เข้าไปเลยไม่ต้องพูดมากแล้ว”
อาแปะคนนั้นลากแม็กเข้าร้านไปโดยไม่สนใจคำทัดทานอันใด แม็กจึงได้แต่เดินเข้าไปในร้านตามคำเชิญ เพราะจะอย่างไรเขาก็อยากรู้เรื่องการค้าทาส และอยากจะลองดูด้วยว่าเจ้าชายวิลเลี่ยมตัวปัญหาจะมีนิสัยอย่างไร
แล้วเขาก็ได้พบว่าร้านค้าท่าทางเก่าโทรมที่มีประตูอยู่ในตรอกมืดทึบนี้เปรียบเหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทอง เพียงเดินผ่านประตูเข้ามาก็พบว่าภายในนั้นเป็นพื้นที่โล่งกว้างกว่าจะคาดเดาได้ มันคล้ายกับสนามกีฬาสักแห่งหนึ่ง แต่ถูกประดับประดาตามวัฒนธรรมจีนจนคล้ายกับวังหลวงในสมัยโบราณ และภายในก็มีผู้คนมากมายนับพันคน โดยที่แต่ละคนนั้นล้วนแล้วแต่ดูเหมือนจะเป็นคนมีเงินตราและมีหน้ามีตาในสังคม
“อื้อ หือ ยังกับผับในจีนเลยแฮะ”
สองฟากข้างของทางเดินนั้นมีกรงขังใหญ่น้อยมากมาย โดยในส่วนแรกนั้นจะเป็นกรงที่มีอาหมวยหน้าตาดีนุ่งน้อยห่มน้อยตามแบบฉบับสาวจีนกำลังฟ้อนรำอวดเนื้อหนังมังสาไปตามบทเพลงจีน แต่ละคนแม้จะไม่ได้สวยสุดยอด แต่ก็เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์น่าหลงไหลเร้าใจชาย
ที่ด้านหน้ากรงจะมีชื่อของทาสแต่ละคน ตามด้วยความสามารถคร่าว ๆ เช่นถนัดฟ้อนรำ เป็นสาวใช้ และมีการระบุราคา ซึ่งราคานั้นมีเริ่มตั้งแต่ 10,000 เหรียญทองขึ้นไป ยิ่งสวยน่ารักก็ยิ่งแพง ยิ่งมีความสามารถมากก็ยิ่งเพิ่มราคาเข้าไปอีก
บรรดาลูกค้าที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายต่างแสดงท่าทีตื่นตาตื่นใจ มองดูทาสหมวยสาวคนโน้นทีคนนี้ที มีบ้างที่เป็นลูกค้าผู้หญิงซึ่งส่วนนี้ต่างก็ให้ความสนใจกับทาสอาตี๋หุ่นล่ำบึ้กที่ยืนเบ่งกล้ามอยู่ในกรงขัง
แม็กเดินสำรวจแบบเผิน ๆ ก่อนจะพบว่าแม้สาว ๆ พวกนี้จะหน้าตาดีไม่น้อย แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับระดับร้อยแปดสาวงามอย่างโฟร์ มด และไดโอนี แม้แต่ระดับแองจี้ คาร่า หรือมีอา ก็ยังไม่เทียบเท่า เขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจทาสหมวยสาวเหล่านี้มากนัก และที่สำคัญอีกอย่างก็คือ เขามีเงินอยู่แค่เกือบสามหมื่นเหรียญทองเท่านั้น ต่อให้อยากซื้อก็ไม่แน่ว่าจะซื้อได้
เขาเดินสำรวจไปได้รอบหนึ่งก็พบว่าราคาที่เห็นสูงสุดนั้นสูงถึงแปดหมื่นเหรียญทอง และอาหมวยคนนั้นก็ดูจะมีเสน่ห์ใกล้เคียงกับมีอาอยู่บ้าง ส่วนเจ้าชายวิลเลี่ยมที่เขาคอยตามห่าง ๆ ก็กำลังยืนเกาะอยู่กับกรงที่มีอาหมวยราคาแพงคนนี้ตาเป็นมันวาวแบบไร้มาดเจ้าชายโดยสิ้นเชิง
เขาเห็นเจ้าชายเข้าไปทำการซื้อขายกับอาหมวยมูลค่าแปดหมื่นเหรียญทอง แล้วก็มีการประกาศอยู่ถี่ยิบว่าที่อยู่ในกรงนี้เป็นสินค้าระดับกลาง ส่วนสินค้าระดับสูงจะเปิดประมูลบนเวทีในอีกไม่กี่สิบนาทีข้างหน้า
แม็กเริ่มสนใจกับคำว่าสินค้าระดับสูง อยากรู้ว่าจะมีอะไรดีแค่ไหน เขาจึงยังไม่กลับไปนอนพักผ่อน แล้วเดินเตร่ข้ามไปยังฝั่งสัตว์เลี้ยงซึ่งมีผู้คนบางตาน้อยกว่าฝั่งทาสแบบครึ่งต่อครึ่ง
เสียงร้องคำรามของเหล่าสัตว์เลี้ยงดังออกมาเป็นระยะ ตามด้วยกลิ่นสาปสางของสัตว์ป่า พวกมันต่างถูกขังอยู่ในกรงที่มีป้ายบอกราคาและคุณสมบัติเหมือนทาสทั้งหลาย ส่วนราคานั้นดูจะถูกกว่ากลุ่มทาสอยู่มากยกเว้นสัตว์บางตัวที่ดูเหมือนจะมีคุณสมบัติดี และส่วนนี้จะแพงกว่าทาสทั่วไป
“ตัวอะไรเนี่ย?”
แม็กเดินดูด้วยความตื่นตาตื่นใจกว่าเดิม เขาเห็นสัตว์อสูรที่มีรูปร่างคล้ายม้าแต่มีหางเป็นงู มีนกยูงที่รำแพนหางออกมาเป็นเปลวเพลิง แมวสีขาวที่วิ่งไต่กำแพงด้วยความรวดเร็วจนเห็นเป็นแสงสีขาว และยังมีสัตว์อื่น ๆ อีกมากมายหลายหลากที่ไม่สามารถพบเจอได้ในโลกภายนอก
“หากสนใจสิ่งใดสามารถสอบถามได้นะนายท่าน”
แม็กหันไปมองตามเสียงแหบแห้งเหมือนชายชรา และได้พบว่าเสียงนั้นมาจากทางคนสวมใส่ชุดคลุมเก่าซอมซ่อปิดหน้าตาซึ่งนั่งอยู่ข้างทางราวกับยาจกขอทาน
“ขอบคุณครับ ไม่มีสนอะไรพิเศษหรอก ผมแค่บังเอิญโดนลากเข้ามาในนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะซื้ออะไรหรอก แค่เดินดูด้วยความอยากรู้เฉย ๆ ในนี้มีสัตว์แปลก ๆ เยอะดี”
“… นายท่านช่างน่าสนใจ ภายในนี้มีแต่ผู้คนที่เข้ามาเพื่อซื้อหาข้าทาสและสัตว์เลี้ยง แต่ท่านกลับบอกว่าท่านไม่ได้คิดจะซื้อหาสิ่งใด หรือท่านจะบอกว่าท่านเป็นคนดีมีคุณธรรมต่อต้านการค้าทาส”
“ก็ไม่รู้ซิ คำว่าคนดีมีคุณธรรมน่ะ ผมคงไม่กล้ารับไว้หรอก ผมอาจจะไม่ได้เห็นด้วยกับการค้าทาสซะทีเดียว แต่ก็ไม่ได้ต่อต้านอะไร เพราะมันเป็นวิถีทั่วไปของโลก ถ้าผมเจอทาสที่ถูกใจ ผมก็อาจจะซื้อก็ได้ คนอ่อนแอก็ต้องหาทางรอด คนแข็งแกร่งก็ต้องหาประโยชน์จากคนอ่อนแอ ไม่มีใครเปลี่ยนกระแสนี้ได้หรอก แม้แต่พระเจ้าก็ยังทำไม่ได้”
“… คนอ่อนแอต้องหาทางรอด คนแข็งแกร่งต้องหาประโยชน์จากคนอ่อนแอ ไม่มีใครเปลี่ยนกระแสนี้ได้ แม้แต่พระเจ้างั้นหรือ … แนวคิดของนายท่านช่างน่าสนใจนัก”
น้ำเสียงแหบแห้งเหมือนชายชรานั้นเงียบไปวูบใหญ่เหมือนกำลังครุ่นคิด ก่อนจะกล่าวพร้อมกับหัวเราะร่วน แต่ยังคงอยู่ในท่าก้มศีรษะใช้ผ้าคลุมปิดหน้าจนมองไม่เห็นเช่นก่อนหน้า
“เรื่องเครียด ๆ พวกนั้นน่ะช่างมันเถอะ ถ้าทวนน้ำไม่ไหว ก็ไหลตามน้ำไปล่ะกัน … เอ่อ ผมถามหน่อยซิ เจ้าสัตว์เลี้ยงพวกนี้ถ้าซื้อไปแล้ว มันจะไม่พยศใส่เจ้าของเอาเหรอ แต่ละตัวดูดุ ๆ ทั้งนั้นเลย”
“นายท่านไม่ต้องเป็นห่วง สัตว์อสูรเหล่านี้ได้ถูกกำราบไว้แล้วระดับหนึ่ง หากท่านซื้อพวกมันไป ทางผู้เลี้ยงสัตว์ของเราจะทำให้พวกมันทำพันธะสัญญายอมรับท่านเป็นนาย และนับตั้งแต่นั้นพวกมันจะทรยศหรือทำร้ายท่านไม่ได้อีก ซึ่งสำหรับเหล่าข้าทาสก็เป็นเช่นเดียวกัน เพียงแต่ข้าทาสจะมีมันสมองมากกว่า พวกเขาอาจจะไม่ทรยศท่านโดยตรง แต่อาจขัดคำสั่ง หรือนำข่าวของท่านไปบอกผู้อื่นก็ได้”
“อืม ก็เข้าใจได้นะ … แต่บางตัวก็มีความสามารถน่าสนใจจริง ๆ นั่นแหละ พ่นไฟได้ ปล่อยสายฟ้าได้อะไรงี้”
“ฮ่า ฮ่า เห็นแก่ที่ท่านมีคำพูดน่าสนใจ ข้าจะขอน้อมเตือนนายท่านด้วยความซื่อตรง ท่านอย่าได้เชื่อถือป้ายอธิบายสรรพคุณเหล่านี้มากนัก นิสัยพ่อค้าย่อมบรรยายสินค้าตนเองเกินจริง ยกตัวอย่างเช่น เจ้าแมวความเร็วแสงนั่น มันอาจจะวิ่งได้รวดเร็วก็จริง แต่แทบใช้ประโยชน์จริงจังไม่ได้ เพราะมันวิ่งได้เพียบครู่เดียวก็จะหมดแรงต้องนอนพัก ทั้งยังมีร่างกายบอบบางอย่างไม่น่าเชื่อ”
คนในชุดคลุมนั้นส่งเสียงหัวเราะร่วนเหมือนเห็นเด็กน้อยไร้เดียงสา ก่อนจะพูดแนะตักเตือนให้แม็กเข้าใจความจริง และตอนนี้เมื่อเขาหันไปมองดูเจ้าแมวตัวสีขาวที่วิ่งเร็วนั่น เขาก็ได้พบว่ามันกำลังนอนหอบนิ่งเงียบอยู่เช่นนั้นจริง ๆ
“โห แบบนี้ผิดกฎหมายมั้ยเนี่ย โฆษณาเกินจริง”
“แน่นอนว่าย่อมไม่ผิด เพราะป้ายนั้นบอกชัดเจนว่าสามารถวิ่งได้รวดเร็วราวกับสายลม เพียงแต่ไม่ได้บ่งบอกว่ามันสามารถวิ่งได้นานเพียงใด หรือมีจุดอ่อนอันใดอีก”
“ก็จริงอ่ะนะ พ่อค้าทุกที่ก็เป็นแบบนี้หมด … ขอบคุณครับคุณลุงที่ช่วยแนะนำผม”
“… นี่นายท่านเห็นข้าเป็นลุงหรือนี่?”
“อ้าว ถ้าไม่ใช่ลุงแล้วจะเป็นอะไร ก็เสียงเหมือนผู้ชายแก่จริง ๆ นี่นา”
“ฮ่า ฮ่า หากท่านมองเช่นนั้นก็อาจจะเป็นเช่นนั้น เอาเถอะ ข้าเพียงอยากบอกท่านว่าภายในนี้ล้วนเต็มไปด้วยสิ่งหลอกลวง บางสิ่งแลดูสวยงามกลับเหม็นเน่าดั่งยาพิษ บางสิ่งคล้ายอาจมกลับมีมูลค่าดั่งทองคำ”
“… อืม ไม่ค่อยเข้าใจหรอกนะ แต่ก็ขอบคุณมาก ผมขอเดินดูก่อนล่ะครับ อีกเดี๋ยวเหมือนจะเริ่มมีประมูลบนเวทีแล้วด้วย”
แม็กมองชุดคลุมเก่าซอมซ่อนั้นด้วยความสนใจ น่าแปลกที่ประสาทสัมผัสของเผ่าไททันทำให้เขารู้สึกเหมือนได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนจางออกมาจากร่างนั้น หากทว่านั่นก็น้อยนิด เพราะกลิ่นเห็นสาปที่ผ้าคลุมนั้นรุนแรงกว่าจนกลบกลิ่นหอมทำให้เขาไม่แน่ใจ และยิ่งได้เห็นมือที่ผอมแห้งกรังซึ่งยื่นออกมาจากผ้าคลุมเข้า ก็ยิ่งทำให้คิดว่าเขาเข้าใจผิดไปเองเสียมากกว่า
เมื่อเขาทำท่าจะหมุนตัวจากไป บุคคลในชุดคลุมก็ส่งเสียงเรียก แล้วเอ่ยถามอย่างนิ่มนวล
“… นายท่าน … ข้าขอรบกวนถามความเห็นท่านสักหน่อยได้หรือไม่”
“เชิญครับ”
“นี่เป็นเรื่องราวของสตรีสาวใช้นางหนึ่งที่มีรูปโฉมงดงามยิ่ง รูปโฉมของนางร่ำลือกันว่าแม้แต่ดวงจันทราก็ยังต้องหลบให้ … ขณะนั้นมีทรราชสองคนที่ครองอำนาจเหนือใครในใต้หล้า พวกเขาปกครองราษฏรด้วยความโหดเหี้ยมทารุณ ผืนนากลายเป็นสุสาน ผืนป่ากลายเป็นที่รกร้าง หนึ่งนั้นเป็นจอมเวทย์ที่ไร้ผู้ต้าน อีกหนึ่งนั้นเป็นยอดขุนพลไร้พ่าย พวกเขาทั้งสองร่วมมือกันปกครองโดยไม่มีใครสามารถสั่นคลอนบัลลังก์ได้ …”
“… ครับ แล้วยังไงต่อ”
“เคยมีการลุกฮือขึ้นของประชาชนหลายครั้ง หากทว่าล้วนแต่จบลงที่การนองเลือด ไม่มีใครทำอะไรทรราชย์ทั้งสองได้ จวบจนกระทั่งเมื่อบุรุษผู้หนึ่ง ได้วางแผนให้หญิงสาวที่งดงามนางนั้นทำการหว่านเสน่ห์หลอกลวง สร้างความแตกแยกให้แก่ทรราชย์ที่ไร้ผู้ต้านทั้งสอง และหญิงสาวนางนั้นก็ยินยอม เพราะนั่นคือคำขอจากชาวที่นางรัก”
“นางสวมบทบาทหว่านเสน่ห์เพื่อสร้างความแตกแยก นางหว่านเสน่ห์ให้บุรุษทั้งสองจนหลงไหลต่อนาง เมื่ออยู่กับผู้หนึ่งก็จะใส่ความอีกผู้หนึ่ง แสดงท่าทีว่าหลงไหลผู้หนึ่ง หากทว่าโดนอีกผู้หนึ่งใช้อำนาจบีบคั้น กระทั่งทรราชย์ทั้งสองบังเกิดความแตกแยก และต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงสตรีนางนั้น …”
“สุดท้ายพวกเขาก็เข่นฆ่ากันเองจนกองทัพระส่ำระสาย เปิดโอกาสให้ประชาชนลุกฮือขึ้นต่อต้านจนต้องหลบหนีไปแดนไกล แต่แล้วหลังจากนั้นหญิงงามก็ถูกบุรุษที่นางรัก และเป็นผู้ซึ่งวางแผนให้นางหว่านเสน่ห์ขับไล่ออกจากดินแดน โดยบอกว่าสตรีนางนั้นเป็นกาลกิณี เป็นสตรีนางโลมร่านราคะมั่วต่อบุรุษไม่เลือกหน้า ทั้งที่นางพยายามรักษาความบริสุทธิ์เอาไว้ เพื่อแต่งงานกับชายคนนั้น …”
“ในความเห็นของท่าน ท่านคิดว่าเรื่องนี้ใครเป็นผู้ผิด?”
คนในชุดคลุมนั้นเล่าเรื่องแฝงอารมณ์รันทดหดหู่ แม็กจึงรู้สึกให้ความสนใจเป็นพิเศษ และเรื่องเล่านี้ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย คล้ายกับเรื่องราวประวัติศาสตร์ของประเทศจีนที่ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว
เรื่องราวเหล่านี้เป็นความซับซ้อนทางการเมือง บางครั้งคำบอกเล่าของคนผู้หนึ่งอาจจะครอบคลุมข้อเท็จจริงไม่หมด และบอกเล่าเพียงแต่เรื่องที่ตัวเองเชื่อหรือเข้าใจ
“… ถ้าถามผม … ผมก็ขอตอบว่าผิดแล้วก็ถูกกันทั้งหมดนั่นแหละ”
“ท่านบอกว่าผิดและถูกกันทั้งหมดงั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว … สองทรราชย์ ผิดที่ปกครองบ้านเมืองไม่ดี ทำให้เกิดความเดือดร้อน แต่หากมองจากมุมพวกเขา ก็อาจจะเพื่อสืบทอดอำนาจ … ผู้ชายที่วางแผนใช้หญิงงามสร้างความแตกแยก ก็ผิดที่ใช้วิธีต่ำทราม ทำร้ายผู้หญิงคนหนึ่ง แต่หากมองจากมุมของเขาก็อาจจะมีเหตุผลเพราะชาติบ้านเมือง … ผู้หญิงก็ชั่วช้าที่หว่านเสน่ห์หลอกลวงผู้คนให้หลงรัก แต่นางก็ทำเพราะเสียสละตัวเองให้ชายคนรัก”
แม็กพยายามวิเคราะห์ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เพราะไม่ได้มีส่วนร่วมกับเหตุการณ์โดยตรง แต่ดูเหมือนว่าคนในชุดคลุมนั้นจะตอบสนองรุนแรงไม่น้อย เพราะร่างนั้นถึงกับสั่นเทิ้มหอบหายใจหนักหน่วงตึงเครียด
“นายท่านพูดได้ดี ที่แท้ทุกคนก็ล้วนแล้วแต่ผิดและถูกกันทั้งหมด นายท่านพูดได้ดียิ่ง …”
คนในชุดคลุมนั้นส่งเสียงออกมาพร้อมด้วยอาการหอบสะท้าน แล้วก็นิ่งเงียบไม่พูดอะไรอีก แม็กจึงยักไหล่ไม่สนใจ แล้วหันไปมองดูสัตว์เลี้ยงตัวเล็กที่อยู่ในกรงด้านข้างคนในชุดคลุม
สัตว์ตัวเล็กเหล่านี้มีป้ายราคาถูกติดไว้ ราคาตกที่ตัวละ 10 เหรียญทอง แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นพวกที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้นัก ยกตัวอย่างเช่น ตัวที่เหมือนลูกไก่ แต่มีขนสีแดงเว้าแหว่ง ดูท่าทางขี้โรค หรือเจ้าสิ่งที่ดูเหมือนสไลม์สีชมพูที่กระโดดดึ๋งเด้งไปมาแบบไม่ทุกข์ไม่ร้อนต่อสิ่งใด
แม็กพยายามมองดูสัตว์เหล่านี้ เพราะราคาของพวกมันทำให้เขาเริ่มอยากหาสัตว์เลี้ยงไว้ดูเล่นสักตัว แล้วเขาก็เริ่มฉุกคิดต่อคำพูดของคนในชุดคลุมที่ว่า อะไรบางอย่างที่ดูไม่มีค่า อาจจะมีค่ามหาศาลก็ได้ แต่ปัญหาก็คือเขาไม่มีความรู้เรื่องสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ในเกม ดังนั้นการมองหาสัตว์แปลก ๆ คงเป็นไปได้ยาก
‘เดี๋ยวซิ เรามีทักษะหยั่งรู้สภาพที่ได้มาจากคาร่านี่นา’
ความคิดหนึ่งพุ่งแวบเข้ามาในหัวทันที เพราะแม็กเพิ่งนึกได้ว่าเขามีทักษะระดับสิบดาวสุดเทพอยู่กับตัว ซึ่งก็คือทักษะหยั่งรู้สภาพ ที่สามารถบอกได้ว่าตัวอะไร มีความสามารถอะไร และมีรายละเอียดเช่นไรนั่นเอง
‘หยั่งรู้สภาพ’
แม็กเรียกใช้ทักษะซึ่งกินพลังเวทย์น้อยนิดไล่ดูไปทีละตัว หนึ่งนั้นเพื่อทำความเข้าใจกับสัตว์อสูรเหล่านี้ ส่วนอีกเหตุผลก็คือ เผื่อจะเจอของดีราคาถูกให้เลือกซื้อ
‘สัตว์อสูร ไส้เดือนสีน้ำเงิน เลเวล 12 – ไม่โจมตีก่อน ชอบขุดดิน หากมีไว้อาจทำให้แปลงเกษตรอุดมสมบูรณ์ เหมาะกับเกษตรกร…’
‘สัตว์อสูร เป็ดสี่ปีก เลเวล 15 – ไม่โจมตีก่อน ชอบว่ายน้ำจับปลากิน ขนเป็ดสามารถนำไปทำเครื่องนอนได้’
…
เขาไล่ตรวจจับความสามารถของสัตว์พวกนี้ไปทีละตัวอย่างสนุกสนาน แต่ก็ไม่พบอะไรที่เข้าเค้ามากนัก จนกระทั่งเมื่อเขาหันมาใช้ทักษะใส่เจ้าลูกไก่ขี้โรคขนสีแดง ก็ถึงกับต้องชะงักไปวูบใหญ่
‘สัตว์อสูร ตัวอ่อนของวิหคเพลิงอมตะ เลเวล 1 – ชอบดูดกลืนความร้อน ยังอยู่ในสถานะอ่อนแอไร้พิษสง ความสามารถพิเศษเป็นอมตะ …’
แม้ว่าคำอธิบายจะไม่ได้บ่งบอกถึงความเก่งกาจของเจ้าลูกเจี๊ยบขนแดง แต่คำว่าวิหคเพลิงอมตะ และทักษะอมตะนั้นทำให้แม็กรู้สึกว่าเจ้าเจี๊ยบนี่ไม่ธรรมดา มันอาจจะเป็นตัวอ่อนของนกฟินิกซ์สุดเท่ห์ในนิยายแฟนตาซีก็เป็นได้
“ลุง ขอซื้อลูกเจี๊ยบขนแดงตัวนี้ครับ … นี่ลุง หลับหรือเปล่านั่น?”
เหมือนเกรงกลัวว่าสมบัติล้ำค่าจะหลุดมือ แม็กรีบหยิบเจ้าลูกเจี๊ยบนั้นขึ้นมากอดแนบอก แล้วหันไปขอซื้อจากคนในชุดคลุมนั้นทันที แต่ดูเหมือนว่าคนในชุดคลุมนั้นยังนั่งนิ่งเหม่อลอยคิดอะไรอยู่ จึงไม่ได้ตอบสนองต่อคำพูดของเขา
“ลุง!!! แอบหลับในเวลางานเหรอ … ผมขอซื้อลูกเจี๊ยบตัวนี้หน่อย”
แม็กเรียกด้วยเสียงดังขึ้น คนในชุดคลุมนั้นจึงค่อยเงยหน้าขึ้นมาจนมองเห็นใบหน้าแห้งกรังราวกับซากศพที่อยู่ใต้ผืนผ้า ใบหน้านั้นดูจะตื่นตกใจไม่น้อยเมื่อทราบว่าแม็กกำลังจะขอซื้ออะไร
“นายท่านจะซื้อเจ้านี่งั้นหรือ? มันยอมให้ท่านอุ้มด้วยหรือ?”
“ก็อุ้มอยู่นี่ไง 10 เหรียญทองใช่มั้ย นี่เอาไปเลย”
แม็กคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมขายของดีให้ จึงรีบหยิบเงินสิบเหรียญทองแล้วยัดเข้าไปในมือให้เสียเลย ส่วนเจ้าลูกเจี๊ยบท่าทางขี้โรคตัวนั้นก็กำลังร้องจิ๊บ ๆ ซุกอยู่ในอ้อมกอดของเขา เหมือนมันชอบความอุ่นจากร่างกายเขาไม่น้อย
“นายท่านทราบหรือว่ามันคืออะไร?”
“ไม่รู้หรอก เอาเป็นว่าถูกชะตาก็แล้วกัน ตกลงจะขายมั้ยเนี่ย”
แม็กย่อมไม่ตอบไปตามความเป็นจริงว่าเขาใชัทักษะจนรู้แล้วว่ามันคือตัวอะไร เพราะเกรงว่าจะโดนโก่งราคา เขาจึงโกหกไปว่าถูกชะตากับเจ้าลูกเจี๊ยบท่าทางขี้โรคนี้แทน และน่าแปลกที่ใบหน้าแห้งกรังน่าเกลียดนั้นเงยขึ้นมามองเขาด้วยความตะลึงลานอย่างเห็นได้ชัด
“… เพราะถูกชะตางั้นหรือ”
“อื้ม ก็แค่นั้นแหละ ตกลงขายหรือเปล่า?”
“แน่นอนนายท่าน … แต่ข้าใคร่ขอร้องให้ท่านดูแลมันให้ดี ๆ … อาจจะฟังดูแปลกอยู่บ้าง แต่ว่ามันชอบความร้อน มันไม่กินอาหารอื่นใดนอกจากเปลวอัคคี ตอนนี้มันได้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงของท่านแล้ว”
‘ท่านได้รับสัตว์อสูร ตัวอ่อนของวิหคเพลิงอมตะ เลเวล 1 … กรุณาตั้งชื่อสัตว์เลี้ยงของท่าน’
เมื่อการซื้อขายเรียบร้อย ก็ปรากฎอักขระสีขาวสว่างวาบบนเจ้าลูกเจี๊ยบขี้โรคขนแดง ก่อนจะมีข้อความของระบบเด้งขึ้นมายืนยันอีกครั้ง รวมถึงการตั้งชื่อด้วย
“ชื่อเหรอ … ชื่ออะไรดีหว่า … นี่ลุง เจ้าลูกเจี๊ยบนี่มีชื่อมั้ย?”
“… มันเคยถูกเรียกว่า เฟิ่งหวง แปลว่าวิหคเพลิง”
“ชื่อภาษาจีนเหรอ … ก็ได้นะ สรุปว่าเจ้าชื่อเฟิ่งหวงนะเจ้าลูกเจี๊ยบ … อ๊ะ เขาประกาศเรียกไปเข้าประมูลแล้ว เดี๋ยวผมขอไปดูก่อนนะลุง”
แม็กยืนยันการตั้งชื่อเรียบร้อย จากนั้นก็ได้ยินเสียงประกาศดังโล้งเล้งว่าจะเริ่มมีการประมูลกันแล้ว เขาจึงรีบอุ้มเจ้าเฟิ่งหวงวิ่งไปตามทางทันที เหลือไว้ก็แต่คนในชุดคลุมที่ยืนนิ่งนิ่งเงียบครุ่นคิดเพียงลำพัง จากนั้นคนในชุดคลุมนั้นก็ส่งเสียงทอดถอนหายใจ แล้วเอ่ยพึมพำออกมาแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานราวกับเสียงของสตรีเสียงหนึ่ง
“ดวงชะตาสวรรค์ลิขิตยากฝ่าฝืน … เฟิ่งหวงเอย เธอเลือกบุรุษผู้นี้หรือ”
…………………………………..
[post]
งานประมูลถูกจัดขึ้นบนเวทีที่โล่งกว้างแห่งหนึ่ง มันคล้ายกับเวทีมวยที่มีพื้นเวทีสี่เหลี่ยมยกสูง และมีบรรดาลูกค้าผู้มีอันจะกินราวสองพันคนนั่งล้อมรอบไว้ทั้งสี่ทิศ โดยที่กลางเวทีในเวลานี้นั้นมีอาแปะที่น่าจะเป็นเจ้าของร้านค้าทาสกำลังพูดสนทนาปราศัยกับบรรดาลูกค้าด้วยแววตาเป็นประกายราวกับมองดูถุงเงินถุงทองอยู่
แม็กนั่งลงในแถวที่ค่อนข้างห่างจากเวทีพอสมควร ส่วนเจ้าชายวิลเลี่ยมที่เขาลอบติดตามอยู่ห่าง ๆ นั้นนั่งอยู่แถวหน้าสุดติดกับเวที และเขายังสังเกตเห็นคนคุ้นหน้าอย่างไอ้บ้ากล้ามสตรองกำลังนั่งประมูลอยู่แถวที่นั่งตรงกลางด้วย
อาแปะคนนั้นประกาศว่าการประมูลจะเพิ่มระดับของสินค้าขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามลำดับ คนที่ประมูลได้ในรอบนั้น ๆ จะต้องชำระเงินให้เรียบร้อยทันที เผื่อกรณีไม่มีเงินเพียงพอจะได้เรียกค่าปรับและนำทาสเข้าประมูลใหม่ จากนั้นการประมูลก็เริ่มต้นขึ้น
ทาสชุดแรกเป็นชนเผ่าออร์คที่มีรูปร่างแข็งแกร่งกำยำเกือบยี่สิบชีวิต มีทั้งเพศชายและหญิงซึ่งทาสชุดนี้น่าจะถูกซื้อไปใช้แรงงานหรือไม่ก็นำไปเสริมกำลังทัพเสียมากกว่า โดยพวกเขามีราคาเริ่มต้นที่ตนละสามหมื่นเหรียญทอง
แม็กลอบใช้ทักษะหยั่งรู้สภาพเพื่อตรวจสอบออร์คเหล่านั้น ก่อนจะเบ้หน้าเล็กน้อยเมื่อในคำบรรยายบ่งบอกระดับที่ไม่สูงนัก และบางตนยังมีอาการบาดเจ็บหนักที่รักษาไม่หายด้วย แต่ผู้ประมูลทั้งหลายไม่ได้รู้ข้อมูลเหล่านี้มากนัก จึงยังคงมีคนประมูลเพื่อนำไปใช้แรงงานจนหมด
จากนั้นทาสชุดที่สองก็เป็นเผ่านางเงือกที่มีร่างท่อนบนเป็นคน แต่ท่อนล่างเป็นปลา โดยพวกเธอครึ่งหนึ่งโดนเจ้าชายวิลเลี่ยมทำการประมูล และชำระเงินอย่างรวดเร็ว
ทาสชุดที่สามเป็นม้าศึก ซึ่งแม็กพบจากทักษะว่าพวกมันไม่ใช่ม้าธรรมดาทั่วไป และน่าจะคุ้มค่าสมราคา เพียงแต่เขายังไม่ทราบว่าจะซื้อไปเพื่ออะไรจึงไม่ได้สนใจ หรือต่อให้สนใจก็คงซื้อไม่ได้ เพราะเขามีเงินอยู่เพียงแค่ไม่ถึงสามหมื่น ในขณะที่ราคาเริ่มต้นของพวกมันเริ่มที่ตัวละสี่หมื่นเหรียญทอง
การประมูลดำเนินไปด้วยความคึกคัก โดยเฉพาะเมื่อทาสชุดหลังจะเริ่มเป็นเหล่าบุรุษสตรีที่มีเสน่ห์ทางเพศล้นเหลือ เหล่าผู้เข้าร่วมต่างส่งเสียงล้งเล้งแย่งชิงเสนอราคากันอย่างครึกครื้น อาแปะเจ้าของร้านค้าทาสจึงยิ้มกว้างจนแก้มแทบปริที่เงินไหลมาเทมา
กระทั่งเมื่อการประมูลดำเนินไปถึงลำดับสุดท้าย ไฟทุกดวงก็ดับวูบลงจนผู้คนงุนงง ก่อนจะสว่างวาบขึ้นมาให้เห็นภาพที่ทำให้ทุกคนหลงคิดว่าตนเองหลุดขึ้นไปอยู่บนสรวงสวรรค์
ไอสีขาวคล้ายเมฆหมอกลอยล่องไปบนพื้นดินราวกับอยู่บนฟากฟ้า บนเวทีปรากฎสตรีหน้าตางดงามกว่าชุดก่อนหน้าเป็นจำนวนเจ็ดนางยืนร่ายรำตามจังหวะเสียงเพลงแสนไพเราะด้วยท่วงท่าเย้ายวน และแม็กพบว่าเสน่ห์ของพวกเธอกลุ่มนี้อาจจะเทียบเท่าได้กับมีอาซึ่งมีเสน่ห์น้อยสุดในบรรดาสาว ๆ ของเขา
เนื้อเพลงทำให้เขาทราบว่านี่เป็นการร่ายรำตามตำนานเรื่องเจ็ดนางฟ้าของจีน โดยหญิงสาวแต่ละนางนั้นจะสวมบทบาทเป็นหนึ่งในเจ็ดนางฟ้า พวกเธอแต่งกายด้วยอาภรณ์ต่างสีสัน และบรรเลงเครื่องเล่นที่แตกต่างกันเจ็ดชนิด
นางฟ้าในชุดนุ่งน้อยห่มน้อยสีขาวแอ่นสะโพกโยกเอวอย่างงดงาม ลีลาท่าทางการเต้นล้วนแล้วแต่ขับเน้นสัดส่วนโค้งเว้าให้น่าแลดูกว่าเดิมจนบุรุษเพศมองตามแทบตาถลนออกมาจากเบ้า บางส่วนถึงกับเกิดอาการน้ำลายสอแสดงอาการหื่นออกมาอย่างออกนอกหน้าเสียด้วยซ้ำ ยกตัวอย่างเช่นเจ้าชายวิลเลี่ยมที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดนั้นแทบจะหมดภาพพจน์เจ้าชายสูงศักดิ์ไปเลยทีเดียว
แม็กเองก็นั่งชมด้วยความตื่นตาตื่นใจ แต่ไม่ได้แสดงอาการหื่นออกมามากนัก เพราะเคยชินกับความสวยระดับนี้อยู่แล้ว แม้เจ็ดนางฟ้าจะสวยงามเร้าใจ แต่ก็ยังห่างชั้นจากสุดยอดร้อยแปดสาวงาม อย่าง อะโฟรไดที แอสโมดิอุส และไดโอนีอยู่หลายขั้น
ส่วนแองจี้และคาร่านั้นแม็กจัดให้พวกเธอสวยงามในระดับเดียวกัน และมีอาลดน้อยลงมาเล็กน้อย แต่มีอาก็จัดได้วา่สวยพอฟัดพอเหวี่ยงกับสาวงามที่แสดงเป็นนางฟ้าทั้งเจ็ด เขาจึงไม่ได้แสดงท่าทีหื่นกามอะไรออกไปมากมายนัก
“นายท่านผู้นี้ช่างแปลกคน … ท่านไม่สนใจความงามของพวกนางทั้งเจ็ดหรือเพียงแค่เก็บอาการได้ดี”
เสียงแหบแห้งเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ข้างกายจนแม็กสะดุ้งโหยง และเมื่อเขาหันไปมองก็ได้พบว่าคนในชุดคลุมที่เขาเพิ่งซื้อเจ้าลูกเจี๊ยบได้มานั่งอยู่ข้างเขาแล้ว แม็กจึงตอบไปตามตรงประสาผู้ชายด้วยกันโดยไม่คิดมาก
“เป็นผู้ชายไม่สนผู้หญิงก็แปลกแล้วล่ะลุง ถ้ามีโอกาสผมก็เอานะแต่ละคนสวย ๆ กันทั้งนั้น”
“แล้วนายท่านไม่สนใจประมูลพวกเธอหรือ?”
“อืม ก็อยากอยู่นะ แต่ไม่มีเงินหรอก ยังไม่ต้องประกาศราคาเริ่มต้นก็รู้ว่าคงจ่ายไม่ไหว”
“สมมติว่านายท่านมีเงินเหลือเฟือล่ะ นายท่านจะยินยอมจ่ายหรือไม่?”
“ก็อาจจะซื้อมั้ง … แต่ของแบบนี้ใช้เงินซื้อแล้วมันแปลก ๆ ถ้าได้ใช้ฝีมือตัวเองจีบพวกเธอน่าจะภูมิใจกว่า”
“เช่นนั้นเองหรือ … นายท่าน ข้ามีเรื่องขอร้องสักเรื่องหนึ่งได้หรือไม่?”
“หือ? ขอร้องอะไร?”
แม็กถามด้วยน้ำเสียงรำคาญโดยไม่หันไปมองคนในชุดคลุมนั้น เพราะกำลังสนใจการแสดงของเหล่าเจ็ดนางฟ้าบนเวที
“ข้าอยากขอร้องให้ท่านช่วยประมูลพวกเธอทั้งเจ็ดนาง แล้วปล่อยให้พวกเธอเป็นอิสระจากความเป็นทาสได้หรือไม่?”
“หา? ให้ผมประมูลพวกเธอ แล้วปล่อยจากความเป็นทาสเนี่ยนะ? ผมจะเอาเงินที่ไหนไปประมูล”
แม็กส่งเสียงร้องเหวอ แล้วหันมามองคนในชุดคลุมด้วยแววตางุนงง เพราะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่
“พวกนางต่างเป็นนางรำมีฝีมือ คงน่าเสียดายที่จะต้องถูกซื้อตัวไปเป็นทาสบำเรอกามให้ชนชั้นสูงโดยไม่ได้แสดงฝีมือ ข้าเพียงอยากให้พวกนางเป็นอิสระ เพื่อที่พวกนางจะได้สามารถเดินทางไปทำการแสดงเผยแพร่การเต้นรำอันสวยงามได้ตามความฝัน”
“… อืม … ก็เข้าใจนะ แต่ผมไม่มีปัญญาประมูลหรอก”
“ขอเพียงท่านสัญญาว่าจะช่วยเหลือ ข้ามีหนทางที่จะหาเงินให้ท่านประมูลได้”
“พูดเล่นอะไรเนี่ย เงินไม่น่าจะใช่น้อย ๆ เลยนะ แต่ละคนเดาว่าน่าจะสี่ห้าแสนเหรียญทองเป็นขั้นต่ำได้มั้ง”
“ข้าไม่ได้พูดเล่นนายท่าน ขอเพียงท่านรับปากว่าจะช่วยข้า ช่วยสานต่อความฝันพวกนาง เพียงท่านสัญญาว่าจะประมูลพวกนาง แล้วปล่อยพวกนางให้เป็นอิสระทันทีหลังการซื้อขายจบสิ้น ข้าขอร้องเพียงเท่านี้”
“… อืมม … เอาซิ สัญญาก็ได้”
แม็กทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย แต่ก็ยังอ่านอีกฝ่ายไม่ออกว่าจะมาไม้ไหน กระนั้นเขาก็ไม่เห็นว่าเขาจะเสียหายตรงไหน อย่างดีก็แค่ช่วยแล้วประมูลไม่ได้ก็จบเรื่อง
“ขอบพระคุณนายท่าน โปรดรับสิ่งนี้ไว้ … และข้าคงต้องขอตัวก่อน เพราะข้ายังมีภารกิจทำให้การประมูลของท่านง่ายดายขึ้น”
คนในชุดคลุมผงกหัวขอบคุณ พร้อมกับยื่นกระดาษเขียนด้วยอักษรจีนจำนวนสิบแผ่นให้แก่แม็กแล้วเดินหายไปด้านนอก
แม็กจับเจ้ากระดาษที่เต็มไปด้วยอักษรจีนทั้งสิบแผ่นพลิกไปมาด้วยความงุนงง เขาไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร และสามารถช่วยเหลืออะไรเขาได้ จนกระทั่งเมื่อเขาทดลองเปิดหน้าจอระบบเรียกใช้การแปลภาษาก็ต้องตื่นตะลึง เพราะว่ากระดาษแต่ละแผ่นนั้นคือตั๋วแลกเงิน และแต่ละใบนั้นก็มีมูลค่ามากขนาดที่เขายังต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่
หลังจากได้รับรู้ว่านี่คือตั๋วแลกเงิน เขาก็ลองเดินไปถามเจ้าหน้าที่เพื่อขอคำยืนยัน ก่อนจะพบสีหน้าแตกตื่นของเจ้าหน้าที่ และได้รับคำยืนยันว่าเขาสามารถใช้สิ่งนี้ประมูลได้ตามจำนวนที่เขาเข้าใจ หรืออาจจะนำไปแลกเป็นเงินได้โดยตรงผ่านทางธนาคารของเมือง
ส่วนที่น่าตกใจก็คือตั๋วแลกเงินทั้งสิบแผ่นนี้มีมูลค่าแผ่นละหนึ่งล้านเหรียญทอง หรือก็คือรวมแล้วเวลานี้เขาถือครองเงินจำนวนสิบล้านเหรียญทองอยู่ในมือ!!!
แม็กเดินกลับไปนั่งด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด เขาสงสัยว่าคนในชุดคลุมนั้นคือใคร ทำไมจึงมีเงินมากมายเช่นนี้ และทำไมจึงบอกให้เขามาช่วยประมูลโดยไม่กระทำเอง ทำไมจึงไว้วางใจให้เขาถือครองเงินมากมายขนาดนี้
ท่ามกลางความสับสนนั้น ไฟบนเวทีก็ดับพรึ่บลงอีกครั้งจนแม็กต้องเงยหน้าขึ้นไปมองดู จากนั้นหัวใจของเขาก็แทบหยุดเต้นเช่นเดียวกับทุกคนในรอบบริเวณ เพราะได้มีแสงไฟเส้นหนึ่งลงมาจากด้านบน พร้อมกับสตรีที่งดงามประหนึ่งนางฟ้าเหินร่อนลงมาอย่างเชื่องช้า
เธอคนนั้นงดงามจนเหล่าบุรุษอ้าปากค้าง ใบหน้าเปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวา เรือนร่างอ้อนแอ้นโค้งเว้าเต็มไปด้วยเสน่ห์แห่งสตรีเพศที่ร้อนแรงจนทุกคนใคร่ปราถนาอยากจับเธอมากลืนกินเสียให้สมอยาก หากทว่าในเวลาเดียวกันก็แฝงความรู้สึกสูงส่งจนไม่กล้าล่วงเกินไปด้วยพร้อมกัน
ความเงียบกลืนกินไปทั่วบริเวณ ราวกับทุกสิ่งกำลังรอคอยให้นางฟ้าที่จุติจากสรวงสวรรค์นางนั้นได้เอื้อยเอ่ยถ้อยคำ จากนั้นเธอก็เผยอริมฝีปากอวบอิ่มส่งเสียงอันไพเราะน่าเคลิบเคลิ้มออกมาจนจิตใจผู้คนล่องลอย
เสียงเพลงนั้นเริ่มจากอ่อนหวานจนผู้คนรู้สึกคันที่หัวใจ ก่อนจะเริ่มเร่งเร้ารุนแรงไปพร้อมกับท่วงท่าเต้นรำเปี่ยมความรู้สึกยั่วเย้าหยอกล้อ หนึ่งนางฟ้าที่สวยเด่นกว่าใคร และเจ็ดนางฟ้าที่ถูกลดบทบาทกลายเป็นตัวประกอบร่ายรำปลุกเล้าจนเหล่าบุรุษหิวโซ จากนั้นจึงค่อยขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวเชื่องช้าลงเป็นท่วงทำนองแห่งความรักวาบหวามแล้วหยุดยืนนิ่งราวกับปฎิมากรรมจากสรวงสวรรค์
แม้ว่าการแสดงจะจบลงไปแล้ว หากทว่าเสียงแว่วหวานนั้นยังคงก้องกังวาลอยู่ในหูไม่รู้ลืม ทุกผู้คนที่อยู่ในบริเวณนี้จึงต่างตกอยู่ในภวังค์จนแทบลืมเลือนทุกสิ่งอยู่เนิ่นนาน
แม็กดูจะรู้สึกตัวเร็วที่สุด เขาตื่นจากภวังค์แล้วปรบมือพร้อมกับโห่ร้องด้วยความชื่นชมเป็นคนแรก และเขารู้สึกราวกับว่านางฟ้าที่งดงามที่สุดองค์นั้นได้ชะม้ายชายตามองมาทางเขาพร้อมด้วยรอยยิ้มกระชากวิญญาณ จากนั้นทุกคนก็เริ่มรู้สึกตัวและพากันปรบมือชื่นชมกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ
เสียงปรบมือโห่ร้องก้องดังอยู่เนิ่นนาน จากนั้นอาแปะเจ้าของร้านจึงค่อยเดินขึ้นมาบนเวทีแล้วพูดประโยคที่ทุกคนรอคอย อาแปะประกาศว่าจากนี้จะเริ่มการประมูลรอบพิเศษ โดยเริ่มจากนางฟ้าทั้งเจ็ดก่อน แล้วค่อยเป็นนางฟ้าคนสุดท้ายที่สวยโดดเด่นที่สุด โดยคำว่าพิเศษที่ว่าก็คือ ผู้ประมูลได้ จะมีโอกาสพูดคุยกับพวกเธอ แต่ว่าพวกเธอมีสิทธิปฏิเสธได้หากไม่พอใจ และหากปฏิเสธก็จะเป็นโอกาสของผู้ประมูลลำดับรองลงไปทีละคน
กฎพิเศษที่สมควรทำให้ผู้คนไม่พอใจนี้กลับไม่ทำให้คนแสดงอาการต่อต้านแต่อย่างใด กลับกันเสียด้วยซ้ำ ผู้คนพากันคิดว่านางฟ้าเหล่านี้มีค่าเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาต้องทุ่มทุนเพื่อพิชิตจิตใจของพวกเธอมาครอบครองให้จงได้
การประมูลเจ็ดนางฟ้าคนแรกนั้นเริ่มต้นที่สามแสนเหรียญทอง ซึ่งนั่นมิใช่เงินจำนวนน้อยเลย สำหรับคนทั่วไปแล้วเงินหนึ่งพันเหรียญทองนั้นเพียงพอให้ใช้กินอยู่ได้อย่างสบายนานถึงหนึ่งปี การประมูลในรอบนี้จึงยังไม่หวือหวานัก เพราะมูลค่านั้นถือว่าสูงจนชนชั้นสูงยังต้องลังเล และที่ทำให้ทุกคนเต็มไปด้วยความลังเลก็เพราะว่า ถัดจากเจ็ดนางฟ้านั้น ยังมีสตรีที่งดงามกว่าเป็นลำดับสุดท้าย จึงยังไม่กล้าทุ่มเงินทั้งหมดไปเสียก่อน
“สามแสนสองหมื่น”
“สามแสนสามหมื่น”
“สามแสนสี่หมื่น”
เสียงเรียกราคาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่แม็กสังเกตเห็นว่าเวลานี้มีแค่สี่คนเท่านั้นที่ยังกล้าเสนอราคา ซึ่งสี่คนที่ว่านี้น่าจะร่ำรวยอย่างแท้จริงจึงไม่เห็นค่าของเงินมากนัก และหนึ่งในนั้นมีเจ้าชายวิลเลี่ยมอยู่ด้วย
แม็กพยายามสูดลมหายใจเพื่อลดความตึงเครียด เขาเคยเข้าประมูลบ้างแล้ว และมีฐานะร่ำรวยมีเงินถึงที่โลกภายนอกจึงพอควบคุมสติอยู่ เขาจึงกลั้นใจรอคอยจังหวะไปก่อน
“สามแสนเจ็ดหมื่น ครั้งที่หนึ่ง …”
“สามแสนเจ็ดหมื่น ครั้งที่สอง …”
การประมูลคล้ายจะจบลงที่ชัยชนะของเจ้าชายวิลเลี่ยม ราคาสามแสนเจ็ดหมื่นทำให้มหาเศรษฐีท่านอื่นนิ่งเงียบไม่กล้าสู้ราคา จนกระทั่งเวลาก่อนที่เจ้าชายจะได้รับชัยชนะ แม็กก็ลุกพรวดขึ้นยื่นราคาสู้จนผู้คนหันมามองด้วยความฮือฮา เพราะไม่ทราบว่านี่คือใคร
“สี่แสน!!!”
“สี่แสนหนึ่งหมื่น”
เจ้าชายวิลเลี่ยมหันมาถลึงตามองด้วยความอาฆาตมาดร้าย ก่อนจะเสนอราคาเข้าสู้กับแม็กอย่างไม่ลดละ
“สี่แสนสองหมื่น”
“สี่แสนสามหมื่น”
“สี่แสนสี่หมื่น”
…
“ห้าแสน!!!”
แม็กเพิ่มราคาเกทับจนเจ้าชายใบหน้าเขียวคล้ำไม่กล้าสู้ต่อ ทั้งที่ยังไม่ยอมแพ้ นี่เป็นเพราะเงินจำนวนห้าแสนเหรียญทองไม่ใช่เงินน้อย ๆ ที่จะเอามาใช้กับเรื่องแบบนี้ และนี่ไม่ใช่เมืองของเจ้าชายเอง เขาจึงไม่ได้มีเงินสดในมือมากพอที่จะทุ่มทุนสู้กับพวกชนชั้นต่ำได้ แต่ที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดก็คือ เจ้าชายยังลังเลต้องการที่จะเก็บเงินไว้ประมูลกับสตรีคนสุดท้ายเสียมากกว่า
เมื่อเจ้าชายไม่กล้าสู้ต่อ ก็ได้แต่แสดงท่าทีหัวฟัดหัวเหวี่ยงแล้วกระแทกลงไปนั่งกับเก้าอี้ด้วยความขุ่นข้องใจ แต่ก็ยังแอบหวังว่าคู่แข่งไม่ได้มีเงินจริง เขาจะได้ใช้สิทธิของคนที่เสนอรองลงไป หรือดีไม่ดี สตรีนางนั้นก็อาจจะไม่สนใจเจ้าสามัญชนคนนั้น แล้วมารับข้อเสนอของเจ้าชายรูปงามเช่นเขามากกว่า
อย่างไรก็ตามเมื่อปิดราคาที่ห้าแสน แม็กก็คลายข้อสงสัยของทุกคนด้วยการชำระเงินกับทางร้านค้าทาสได้โดยไม่มีปัญหา เวลานี้ทุกคนจึงเริ่มมองดูแม็กด้วยความสนใจอยากรู้ว่าชายคนนี้คือใครกันแน่
“เทพธนู!!!”
“โอ้ เทพธนูนั่นเอง”
เสียงเรียกหนึ่งที่ดังขึ้นทำให้ผู้คนหันมามองแม็กด้วยเสียงฮือฮากว่าเดิม ตอนนี้ทุกคนเริ่มจะคุ้นหน้าคุ้นตาบ้างแล้ว เพราะเคยเห็นฝีมือการยิงธนูของชายคนนี้มาไม่น้อย ยกเว้นก็แต่สตรองที่กำลังนั่งก้มหน้าหลบสายตาด้วยความอับอาย เพราะเขาตกเป็นเหยื่อของลูกธนูมาก่อน
เมื่อมีคนเปิดเผยว่าแม็กคือใคร คนส่วนใหญ่ก็เริ่มจะคลายข้อสงสัยลงไปบ้าง จากนั้นการประมูลก็เริ่มขึนอีกครั้ง โดยคราวนี้เป็นสาวงามคนที่สองในกลุ่มเจ็ดนางฟ้า ซึ่งราคาของเธอก็เริ่มต้นที่สามแสนเหรียญทองเช่นเดิม และคราวนี้ก็ปิดราคาของแม็กที่ห้าแสนเหรียญทองเช่นคนก่อนหน้า
การเหมาสองของแม็กโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนทำให้ผู้คนส่งเสียงฮือฮามากกว่าเดิม เพราะเริ่มคาดไม่ถึงว่าเขามีเงินถุงเงินถังมากมายเพียงใด แต่ก็มีบ้างบางคนที่ลอบยินดี เพราะถือเป็นการตัดกำลังการประมูลของคู่แข่งที่อาจจะแย่งชิงสตรีคนสุดท้ายด้วย
อย่างไรก็ตาม ทุกคนก็ต้องยิ่งแปลกประหลาดใจสุดระงับ เมื่อแม็กเหมานางฟ้าทั้งเจ็ดนางไปครองที่ราคานางละห้าแสนเหรียญทองเพียงคนเดียว หรือก็คือแม็กต้องหมดเงินไปแล้วสามล้านห้าแสนเหรียญทอง ซึ่งนั่นเทียบได้กับงบประมาณทั้งปีของเมืองเมืองหนึ่งเลยด้วยซ้ำ
สำหรับสตรีนางสุดท้ายนั้น เธอมีราคาเริ่มประมูลที่ทำให้ทุกคนต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เพราะราคาเริ่มต้นนั้นมหาศาลถึงหนึ่งล้านเหรียญทอง แต่กระนั้นทุกคนก็ยังรู้สึกว่าราคาระดับนี้จึงค่อยเหมาะสมกับสตรีที่สวยสดงดงามและร้องรำเก่งคนนี้ การต่อสู้ทางด้านราคาจึงเริ่มขึ้นอีกครั้งด้วยความดุเดือดเลือดพล่าน
ราคาพุ่งไปถึงสองล้านห้าแสนเหรียญทองอย่างรวดเร็ว โดยเวลานี้เหลือเพียงเจ้าชายวิลเลี่ยม และชายวัยกลางคนร่างท้วมที่ยังกล้าประชันขันแข่งกัน ส่วนแม็กซึ่งทุกคนยังสงสัยว่าเขาจะร่วมด้วยหรือไม่นั้นยังเก็บอาการนิ่งเงียบอยู่
ที่แม็กนิ่งเงียบนั้นก็เป็นเพราะ เขาได้ทำตามสัญญาแล้ว เขาประมูลสตรีทั้งเจ็ดมาได้ และตั้งใจจะปล่อยให้พวกเธอเป็นอิสระตามสัญญา หากทว่าสตรีคนสุดท้ายนี้ไม่ได้อยู่ในสัญญา ทั้งที่เขายังมีตั๋วแลกเงินเหลืออยู่อีกถึงหกล้านห้าแสนเหรียญทอง
สีหน้าปั้นยากของแม็กทำให้เจ้าชายวิลเลี่ยมและชายร่างท้วมโล่งใจ เพราะคิดว่าน่าจะไม่มีคู่แข่งและเหลือพวกเขาเพียงสองคนที่สามารถแข่งประมูลได้ ราคาจึงค่อย ๆ ขยับขึ้นไปเป็นห้าล้านเหรียญทองอย่างช้า ๆ โดยไม่มีใครกล้าแทรกแซง จวบจนกระทั่งแม็กกัดฟันกรอดลุกขึ้นเสนอราคาสู้เรียกเสียงฮือฮาอีกครั้ง
“หกล้านเหรียญทอง”
ราคาเสนอราวกับบ้าเลือดนี้ทำให้ทุกคนตื่นตะลึง แม้แต่เจ้าชายวิลเลี่ยม หรือชายวัยกลางคนร่างท้วมก็ยังหยุดชะงักเหมือนไม่อยากเชื่อ และดูเหมือนว่าราคานี้จะเกินขอบเขตของทั้งคู่แล้ว พวกเขาจึงหันมามองดูแม็กด้วยสายตาอาฆาตแค้น แล้วกระแทกลงนั่งกับเก้าอี้ด้วยความหงุดหงิดขัดอารมณ์
แม็กลอบยิ้มแห้ง ๆ เพราะเพิ่งสำนึกได้ว่าเขาเผลอใช้เงินเกินสัญญา ทั้งยังเผลอสร้างศัตรูขึ้นมาเสียแล้ว อีกทั้งยังเป็นศัตรูที่น่ากลัวไม่น้อยเสียด้วย กระนั้นเมื่อทำไปแล้วก็ช่วยไม่ได้ เขาจึงเดินไปชำระเงิน ซึ่งเหลือตั๋วแลกเงินติดตัวอีกเพียงห้าแสนเหรียญทอง
…………………………………..