XO ตอนที่ 35 – นิทาน
…………………………………. ‘ทักษะสะเดาะกุญแจระดับสูง (Master of Lock Picking) – ทักษะติดตัว ช่วยให้สามารถสัมผัสได้ถึงรายละเอียดกลไกการทำงานของแม่กุญแจ เพิ่มโอกาสในการสะเดาะกุญแจประเภทกลไก’
‘ทักษะย่องเบาระดับสูง (Master of Burgle) – ทักษะเรียกใช้ เมื่อเรียกใช้น้ำหนักตัวรวมถึงสิ่งของบนร่างจะลดลง 65% พลังป้องกันลดลง 25% ลดโอกาสที่จะเกิดเสียงเมื่อเหยียบลงบนพื้น และลดโอกาสที่จะถูกพบเห็นจากประสาทสัมผัสทั้งห้า’
‘ทักษะสุนทรพจน์ระดับสูง (Master of Speech) – ทักษะติดตัว เพิ่มโอกาสที่ผู้คนจะเชื่อในคำพูด โอกาสสำเร็จขึ้นกับค่าความฉลาด ค่าชื่อเสียง และความโชคดี หากผู้ฟังมีค่าความฉลาดต่ำจะยิ่งมีโอกาสสำเร็จสูง ว่ากันว่านี่เป็นทักษะที่น่ากลัวที่สุดของนักการเมือง เพราะสามารถหลอกใช้คนให้ตายแทนได้อย่างง่ายดาย’
แม็กยืนอ่านรายละเอียดของทักษะใหม่ที่ได้จากเนทีเรียนมาด้วยความสนอกสนใจ ในขณะที่เนทีเรียนกำลังง่วนอยู่กับการเช็ดทำความสะอาด
ร่างกายและสวมใส่เสื้อผ้า ตอนนี้ทั้งคู่ยังคงอยู่ในห้องเก็บของชำรุดที่แทบไม่มีผู้คนผ่านเข้าออก โดยมีตะเกียงเวทย์มนต์ดวงเล็กของเนทีเรียนที่ให้ความสว่างอยู่
ทักษะแรกนั้นแม็กเคยคิดจะลองหาเรียนรู้มาตั้งแต่ตอนแอบเข้าไปในสุสานมืด เขาไม่นึกว่าจะมีโอกาสได้มาโดยไม่ทันตั้งตัว ส่วนทักษะย่องเบาระดับสูงนั้นเขาก็คิดว่าน่าจะมีประโยชน์ไม่น้อยในภายหลัง และทักษะสุนทรพจน์ที่มีคำอธิบายแปลก ๆ จนต้องอมยิ้มนั้น เขาคาดว่าน่าจะมีประโยชน์เช่นกัน อย่างน้อยก็น่าจะสามารถใช้ป้อยอผู้หญิงได้บ้าง
นอกจากทักษะแล้ว แม็กยังมองเห็นรายการทรัพย์สินที่ถูกเพิ่มเข้ามาสามรายการ เขาได้รับสิทธิการจัดการกับบ้านในตัวเมือง ร้านค้า และที่ดินนอกตัวเมือง ซึ่งส่ิงเหล่านี้เป็นของเนทีเรียนมาก่อน เขาที่ได้ครอบครองเธอเป็นทาสจึงได้รับสิทธิในการบริหารสินทรัพย์เหล่านี้มาด้วย
เมื่ออ่านจบแม็กจึงค่อยหันไปมองดูแผ่นหลังเรียบเนียนของเนทีเรียนซึ่งยังคงเปลือยเปล่า เธอเพิ่งเช็ดเนื้อเช็ดตัวจนสะอาดและกำลังจะสวมใส่เสื้อผ้า และตอนนี้เขาได้เดินเข้าไปหาเธอจากด้านหลังเพื่อสวมกอด และจูบแผ่วเบาลงไปที่หัวไหล่กลมกลึงจนเนทีเรียนสั่นสะท้านส่งเสียงครางอืม
กิริยาตอบสนองของเธอบ่งบอกออกมาอย่างชัดเจนว่า หากเขาต้องการอีกเธอก็พร้อมจะตอบสนอง แต่แม็กรู้สึกว่าเขาขลุกอยู่ในนี้นานเกินไปสักหน่อยแล้ว เขาจึงไม่ได้อยากจะสานต่อในสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่นผงเช่นนี้สักเท่าไหร่
“วันนี้มีแผนต้องทำอะไรอีก นอกจากพาเดินชมวัง ตอนนี้เหมือนจะเริ่มมืดค่ำแล้ว”
แม็กถามด้วยกระซิบขณะซุกจมูกแนบลงไปที่ใบหูพร้อมกับพวยพุ่งลมหายใจอุ่นร้อน เจ้าของผิวเนียนนุ่มแอ่นเอียงลำคองามระหงนิดหน่อย ก่อนจะเกาะกุมมือลงไปบนฝ่ามือแกร่งที่ลูบไล้แผ่วเบาตรงบริเวณปลายถัน ร่างงามสั่นสะท้านเล็กน้อยเมื่อทรวงอกโดนสะกิดเขี่ยกระตุ้นเร้า
“อืมมม … หน้าที่ของข้าคือทำให้ท่านหลงไหล จากนั้นท่านมหาอุปราชจะทำการตระเตรียมตำแหน่งทางทหารให้ท่านในภายหลัง ค่ำคืนนี้ข้าอยากจะไปอยู่กับท่านจนรุ่งสาง แต่น่าเสียดายที่ข้ามีภารกิจต้องกระทำเสียก่อน”
“ทำให้ผมหลงไหลสำเร็จแล้วนี่ แล้วจะยังมีภารกิจอะไรอีกล่ะ?”
เขาพูดเสียงทุ้มนิ่มพลางซุกจมูกลงไปที่ลำคอระหงจนเธอบิดกายกระเส่าเร่าร้อน แต่เธอกลับหัวเราะคิกคัก แล้วเอื้อมมือมาผลักใบหน้าของเขาออก จากนั้นจึงค่อยหมุนตัวมามองค้อนด้วยดวงตาวิบวับลึกซึ้ง
“ใครว่าทำสำเร็จล่ะ ตรงข้ามกันต่างหาก ท่านไม่ได้ลุ่มหลงข้า แต่กลับเป็นข้าที่ลุ่มหลงท่านแทน ข้าไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเปิดใจรักผู้ชายคนไหนแบบนี้มาก่อนเลย … ช่วยพูดประโยคนั้นอีกครั้งได้หรือไม่?”
“หือ? ประโยคไหนล่ะ?”
“ประโยคที่ท่านบอกว่าจะดูแลปกป้องข้ายังไงล่ะ”
“อื้ม โอเค ผมสัญญาว่าจะปกป้องดูแลเนทีเรียน”
“อีกครั้งซิ”
“ผมจะปกป้องดูแลเนทีเรียน”
เธอมองเขาด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านเหมือนเด็กสาวที่ตกอยู่ในห้วงรักแรก หลังกล่าวจบเนทีเรียนก็โผเข้ามากอดจูบพัวพันแลกลิ้นเร่าร้อน คำพูดที่เปิดใจและตรงไปตรงมาถึงเพียงนี้ ทำให้แม็กรู้สึกอบอุ่นจนร้อนลวก เขาเชื่อว่าเธอไม่ได้พูดโกหกเสแสร้ง เพียงแต่ยังไม่เข้าใจเสียทีเดียว ว่าอะไรที่ทำให้ค่าความรักของเนทีเรียนพุ่งพรวดจนเต็มร้อยแซงค่าความใคร่ขึ้นมาได้ในคราวเดียว
สิ่งนี้เป็นความลึกลับซับซ้อนอันแสนอ่อนไหวอย่างหนึ่งของเนทีเรียน แม้ภาพลักษณ์ภายนอกจะเป็นหญิงแกร่งกร้านโลก แต่เธอกลับเป็นเหมือนเด็กสาวทั่วไปที่ใฝ่ฝันอยากมีฮีโร่ของตนเอง เธอเพียงอยากมีฮีโร่ที่เข้าใจและพร้อมจะปกป้องเธอได้ แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเธอเองก็รู้สึกทั้งต่ำต้อยและเหยียดหยามตนเอง
แรกพบหน้านั้นเนทีเรียนเพียงรู้สึกว่าแม็กมีรูปร่างหน้าตาและบุคลิกดึงดูดใจอยู่แล้ว เมื่อเธอได้เห็นภาพลักษณ์ของความแข็งแกร่งที่เหนือชั้นเข้าไปอีก เขาจึงกลายเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์พร้อมมากขึ้นจนเธอรู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดทางเพศ และเมื่อได้มีสัมพันธ์ทางร่างกายกับเขา ความสุขหฤหรรษ์ที่เขาปรนเปรอให้ในแบบที่เธอไม่เคยเจอ ได้ทำให้เธอรู้สึกพอใจอย่างยิ่งยวด
อย่างไรก็ตาม นั่นยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เธอลุ่มหลงด้วยความใคร่ สิ่งที่ทำให้หัวใจของเธอหลอมละลายนั้นเป็นคำพูดประโยคเดียวที่แฝงความหมายอันหลากหลาย เขาบอกให้ลืมอดีต บอกให้เธอเลิกทำสิ่งฝืนใจ และบอกว่าจะปกป้องคุ้มครองเธอเอง
สำหรับเนทีเรียนแล้ว สามสิ่งนี้กลับเป็นสิ่งที่หัวใจเธอเรียกร้องมากที่สุด เธอต้องการบุรุษที่ไม่สนใจอดีตของเธอ เธอต้องการบุรุษที่จะช่วยฉุดเธอออกไปจากความสกปรกดำมืดนี้ และเธอปราถนาต้องการบุรุษที่สามารถคุ้มครองเธอได้
มองในมุมหนึ่งแล้ว นั่นอาจจะเป็นเพียงลมปากที่เชื่อถือไม่ได้ หากทว่าสำหรับเนทีเรียนแล้ว เธอกลับรับรู้ได้ถึงความเอาใจใส่อย่างแท้จริง เธอกับเขาพบหน้ากันเพียงไม่นาน แต่เขากลับมองเธอได้อย่างละเอียด จนสามารถรู้ซึ้งได้ว่าที่แท้แล้วหัวใจของเธอต้องการอะไร เพียงแค่เรื่องนี้ก็สร้างความรู้สึกสะท้านสะเทือนจนหัวใจเธออ่อนยวบแล้ว
เนทีเรียนย่อมไม่รู้ว่าแม็กทราบเรื่องราวของเธอโดยละเอียดจากทักษะหยั่งรู้สภาพ เธอจึงเชื่อปักใจว่าเขาเอาใจใส่สังเกตความรู้สึกของเธอ ซึ่งแน่นอนว่านี่ออกจะเป็นความคิดที่เข้าข้างตัวเองมากเกินไปอยู่บ้าง แต่ว่านั่นก็ไม่ผิดไปจากผู้หญิงคนอื่นนัก หากพวกเธอเผลอมอบใจให้ใครแล้ว เธอก็จะมองเห็นแต่ข้อดีของบุรุษผู้นั้นจนแทบมองไม่เห็นจุดด้อย
กระนั้นก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เธอและเขาไม่รู้ ซึ่งนั่นก็คือผลของทักษะเกี่ยวกับความรัก คำพูดที่แฝงความจริงใจและตอบสนองตรงจุดนี้จะไม่สร้างความสะทกสะเทือนได้เช่นนี้ หากไม่ถูกขยายผลโดยทักษะด้านความรักของอะโฟรไดทีเทพีแห่งความรัก
“ภารกิจที่ว่าคือการไปรายงานมหาอุปราชซินะ แต่อย่าไปบอกมหาอุปราชแบบนี้เชียว ไม่งั้นเรามีหวังไม่ได้เจอกันอีกแน่ เนทีเรียนจำไว้นะ ต้องเสแสร้งทำเป็นว่าเริ่มทำให้ผมหลงไหลในเสน่ห์ได้บ้างแล้วส่วนหนึ่ง เพียงแต่ให้บอกมหาอุปราชด้วยว่าผมก็ยังลังเลอยากได้เจ้าหญิงพารีสอยู่ ถ้าทำแบบนี้คุณจะได้ไม่ต้องฝืนใจไปต้อนรับคนอื่น มหาอุปราชจะต้องให้คุณมายั่วยวนผมต่อเพื่อให้ผมพอใจ แถมยังต้องวุ่นวายใจว่าจะปล่อยให้เจ้าหญิงมายั่วผมแบบไหนดีอีกต่อนึง”
“ท่านช่างคาดเดาได้เก่งนัก … เข้าใจแล้ว … อืม ทำไมข้าจึงเพิ่งรู้นะว่าที่แท้แล้วท่านเจ้าเล่ห์ถึงเพียงนี้”
เนทีเรียนรับฟังพลางมองเขาด้วยสายตาชื่นชม เธอกล่าวกระทบกระแทกเขาเล็กน้อย หากทว่าไม่ได้เป็นการตำหนิต่อว่า เพราะเธอเองก็เชื่อว่านี่คือสิ่งที่สมควรทำ หากเธอแสดงออกว่ามีระดับความสัมพันธ์เกินเลย ก็เป็นไปได้สูงที่มหาอุปราชจะเก็บเธอไว้ และใช้เธอเป็นสิ่งต่อรอง ดังนั้นจึงต้องสร้างสภาวะความสัมพันธ์ให้กลายเป็นคลุมเครือ
เมื่อเกิดความคลุมเครือ มหาอุปราชก็จะไม่กล้าดึงตัวเนทีเรียนออกไป ทั้งยังจะต้องพยายามสั่งการให้เจ้าหญิงพารีสทอดเสน่ห์ให้มากกว่าเดิมไปด้วยพร้อมกัน เพียงแต่สภาวะเช่นนี้คงอยู่ได้ไม่นานนัก อย่างมากก็เพียงสองถึงสามเดือนเท่านั้น
“ผู้หญิงเจ้าเล่ห์ ก็ต้องคู่กับผู้ชายเจ้าเล่ห์ซิ ไม่เห็นแปลก”
“คิก คิก แต่ข้ารู้สึกว่าท่านเจ้าเล่ห์มากกว่าข้าเสียอีก อืม ข้าสมควรต้องไปรายงานตัวกับท่านมหาอุปราชแล้ว ท่านจะกลับที่พักเลยหรือไม่ ข้าจะเรียกให้ทหารไปส่งท่าน”
“อืม ยังก่อน อยากจะไปเจอใครสักคนในวังก่อน”
“คนที่อยากเจอนี่คือเซเฟียลูกสาวท่านแม่ทัพ หรือว่าสาวงามจากทวีปไชนี่กันล่ะคะ?”
เนทีเรียนยิ้มหวาน และกล่าวคาดเดาได้อย่างถูกต้อง แม็กอยากเจอกับเตียวเสี้ยนและเจ็ดพี่น้องสกุลเทียน รวมไปถึงเซเฟียซึ่งอาศัยพำนักอยู่ในวังหลวง
“เดาเก่งนี่นา พาไปหน่อยได้มั้ย”
“ความจริงแล้ว วังหลวงมีข้อห้ามไม่ให้คนนอกเพ่นพล่านเตร็ดเตร่ แต่ดูแล้วคงไม่มีใครอยากหาเรื่องเทพธนูในตอนนี้ งั้นก็ไปกันเถอะ เซเฟียของท่านน่าจะคอยอารักขาเจ้าหญิงเรนเน่ ข้าไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด แต่ว่านางงามทั้งแปดจากทวีปไชนี่นั้นกำลังฝึกซ้อมการร้องเพลงและร่ายรำ เพื่อแสดงในวันเฉลิมฉลองครบรอบวันเกิดปีที่สิบแปดของเจ้าหญิงเรนเน่ที่ห้องโถงเล็ก ข้าจะนำพาท่านไปที่นั่น”
เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงหึงหวงอยู่บ้างที่ต้องพาชายคนรักไปหาผู้หญิงอื่น แต่ก็ยังเดินไปคล้องแขนด้วยท่าทีออดอ้อนนำพาแม็กออกจากห้องเก็บของที่มืดทึม แล้วลัดเลาะไปตามเส้นทางที่เชื่อมโยงสู่ห้องโถง สถานที่ซึ่งแปดนางงามใช้เป็นสถานที่ฝึกซ้อมการแสดง
…………………………………..
ในยามกลางวันนั้นวังหลวงให้ความรู้สึกหรูหราโอ่อ่า แต่ในยามกลางคืนที่ไม่สว่างเจิดจ้านั้น แม็กรู้สึกว่าตัวปราสาทที่ใหญ่โอ่อ่าเกินไปออกจะให้ความรู้สึกลึกลับดำมืดอยู่บ้าง แม้จะมีแสงจากตะเกียงไฟและลูกแก้วเวทย์มนตร์จนสว่างไสวตลอดแนว อีกทั้งยังมีทหารองครักษ์คอยเฝ้ารักษาการถี่ยิบ กระนั้นก็ยังมีซอกมุมดำมืดที่แสงไฟสาดส่องไม่ถึง และซอกมุมเหล่านั้นเองที่ดลบันดาลให้ผู้คนรู้สึกระแวงสงสัยว่าจะมีอะไรซุกซ่อนอยู่หรือไม่
แม็กเดินควงแขนไปกับเนทีเรียนไม่นานนัก ก็ทะลุผ่านประตูไปยังห้องโถงขนาดใหญ่โตโอ่อ่ากว้างขวางราวกับสนามฟุตบอลห้องหนึ่ง เขาจึงหันไปขมวดคิ้วมองเนทีเรียนเพราะเธอบอกเขาว่าจะพามาที่ห้องโถงเล็ก ดังนั้นเขาจึงอดสงสัยไม่ได้ ว่าหากนี่ห้องโถงเล็กแล้ว ห้องโถงใหญ่จะกว้างขวางถึงระดับไหน
ความรู้สึกของเขาในตอนนี้คล้ายกับเพิ่งมุดผ่านถ้ำอันมืดมิดออกมาสู่โลกภายนอก ในห้องโถงนี้มีแสงสว่างจนมองเห็นทุกพื้นที่ได้อย่างชัดเจน มันเป็นห้องโถงที่มีเพดานสูงเท่าตึกสามชั้น ด้านข้างมีราวระเบียงทางเดินตรงชั้นสองและชั้นสาม ดูแล้วน่าจะเป็นที่นั่งเพื่อให้สามารถชมดูลงไปยังเบื้องล่างได้อย่างชัดเจน
พื้นที่ด้านล่างนั้นมีขนาดประมาณเท่ากับสนามฟุตบอล ทุกส่วนปูไปด้วยพรมสีอ่อน แต่มีเวทียกสูงอยู่ตรงกลาง และที่ตรงนั้นเองที่เหล่านางงามทั้งแปดของเขากำลังร่ายรำบรรเลงบทเพลงอันซาบซึ้งตรึงใจออกมา
เตียวเสี้ยนซึ่งสวมใส่อาภรณ์สีขาวนั่งดีดพิณโดดเด่นอยู่ตรงกลาง รายล้อมด้วยเจ็ดนางงามสกุลเทียนที่งดงามโดดเด่นลงมาราวกับหมู่ดาวล้อมรอบดวงจันทรา ด้านข้างเวทีมีบุรุษสตรีบุคลิกหน้าตาดีอีกสิบกว่าชีวิตซ้อมแสดงการร่ายรำอย่างเอาจริงเอาจัง
เสียงดนตรีอันไพเราะสดใสสะกดกล่อมจนแม็กเคลิบเคลิ้มหลงไหล เขายืนเกาะราวระเบียงบนชั้นสองเหม่อมองลงไปด้วยความรู้สึกคะนึงหา ส่วนเนทีเรียนที่เดินนำหน้ามาก่อนนั้นก็กำลังยืนเกาะราวระเบียงรับชมเสียงเพลงด้วยท่าทีสนอกสนใจไม่น้อย
แม็กเคยรับทราบความยอดเยี่ยมของบทเพลงมาแล้ว เขาจึงทราบว่าบทเพลงในเวลานี้ไม่ได้บรรเลงออกอย่างเต็มที่ แม้จะไพเราะสะกดใจคน แต่ความลึกซึ้งทางอารมณ์ยังไม่มากเท่ากับบทเพลงที่เขาเคยรับฟังเมื่อครั้งประลองดนตรีกัน พวกเธอดูเหมือนจะลงมือซักซ้อมจังหวะกันเสียมากกว่า
เสียงปรบมือชมเชยดังขึ้นเมื่อบทเพลงจบลง ตอนนี้แม็กจึงค่อยสังเกตเห็นว่าห่างจากเวทีไปไม่ไกลนักมีบรรดาชนชั้นสูงผู้ยิ่งใหญ่นั่งรับชมบทเพลงอยู่อีกราวยี่สิบกว่าชีวิต
ที่โดดเด่นและคุ้นตาที่สุดในกลุ่มนั้นได้แก่องค์ราชินีฟารินี่และเจ้าหญิงพารีส พวกเธอสวมใส่ชุดหรูหราโดดเด่นในกลุ่มคนคล้ายพญาหงส์ในฝูงไก่ เพียงแต่เมื่อเทียบกับเตียวเสี้ยนที่อยู่บนเวทีแล้ว เธอทั้งสองดูจะลดทอนด้อยกว่าอยู่บ้างสักเล็กน้อย
ที่สะดุดตาที่สุดอีกคนหนึ่งก็คือเจ้าชายวิลเลี่ยมศัตรูคู่แค้นของเขา และตอนนี้เจ้าชายวิลเลี่ยมก็กำลังปรบมือเสียงดัง พลางมองดูเตียวเสี้ยนที่อยู่บนเวทีด้วยสายตาของสัตว์ป่าในฤดูกาลสืบพันธุ์ ซึ่งหากสามารถทำได้ เจ้าชายคงจะจับเตียวเสี้ยนไปบำเรอใคร่อย่างแน่นอน
กลุ่มคนชนชั้นสูงที่เหลือนั้นเขาไม่คุ้นตาแม้แต่คนเดียว กระนั้นก็ยังมีสาวงามนางหนึ่งที่สวยโดดเด่นรองลงมาจากราชินีและเจ้าหญิง หากเทียบแล้วเขาคิดว่าเธอคนนี้น่าจะมีเสน่ห์ใกล้เคียงกับเนทีเรียนและลิลลี่ ซึ่งเป็นห้าสาวงามประจำเมืองได้
แม็กมองสำรวจสาวงามชนชั้นสูงนั้นแวบหนึ่ง ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อโดนเนทีเรียนขยับมาโอบรัดเบียดทรวงอกแนบกับแขนของเขา แล้วส่งเสียงกระซิบคล้ายเง้างอนกับเขา
“ดูเถอะ ข้าอุตส่าห์พาท่านมาหาเหล่าผู้หญิงของท่าน แต่ท่านกลับเอาแต่มองดูเจ้าหญิงพารีสและคุณหนูแซนดี้ ช่างเป็นเผ่าพันธุ์มากรักเสียจริง”
“คุณหนูแซนดี้?”
“ใช่แล้ว ผู้หญิงที่สวยโดดเด่นรองจากราชินีและเจ้าหญิงพารีส คนที่ใส่ชุดราตรีสีเหลือง เธอชื่อแซนดี้ เป็นบุตรีของรัฐมนตรีคลังของเมือง เธอได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในห้าสาวงามของเมืองเลอองนิสต์”
คำอธิบายของเนทีเรียนทำให้แม็กส่งเสียงอืมเบา ๆ ออกมา ตอนนี้เขานึกได้แล้วว่าหนึ่งในห้าสาวงามของเมืองที่ไม่นับเหล่าราชนิกูลนั้นมีชื่อแซนดี้อยู่ด้วย เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าวันนี้เขาจะดวงดีได้มาเจอกับสาวงามติด ๆ กันหลายคนแบบนี้
เขาหันไปหมายจะมองสำรวจความงดงามของแซนดี้อีกสักหน่อย แต่ก็ต้องโดนขัดจังหวะเพราะว่าเจ้าชายวิลเลี่ยมเดินปรี่ไปที่เวที แล้วยื่นมือแสดงท่าทีเป็นสุภาพบุรุษเหมือนจะช่วยประคองเตียวเสี้ยนและเจ็ดพี่น้องสกุลเทียนลงมา
แม็กรู้สึกขัดใจวูบขึ้นมา เขาย่อมไม่ได้เป็นคนคิดเล็กคิดน้อยหึงหวงกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างการจับมือถือไม้ แต่ที่ไม่พอใจนั้นก็เป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นเจ้าชายวิลเลี่ยม ซึ่งเขาเชื่อว่านี่ไม่ใช่การแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ หากแต่เป็นการฉวยโอกาสจับมือผู้หญิงของเขา
“ขอบคุณเจ้าชาย แต่ตามขนบธรรมเนียมประเพณีของพวกเรานั้น ยึดถือการแตะต้องสัมผัสระหว่างชายหญิงเป็นเรื่องใหญ่”
เตียวเสี้ยนชะม้ายชายตามองเจ้าชายแวบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ และกล่าวปฏิเสธอย่างนิ่มนวล กิริยานั้นคล้ายกับนางฟ้าแสนบริสุทธิ์ที่ส่งยิ้มให้ผู้คน นั่นเป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้มีความคิดอื่นใดเจือปน และเสน่ห์อันสดใสนี้เองที่ทำให้เจ้าชายวิลเลี่ยมไม่กล้าแสดงท่าทีขุ่นเคือง ทั้งยิ่งเหม่อมองดูความงามของเตียวเสี้ยนด้วยแววตาลุ่มหลงยิ่งกว่าเดิม
แม็กยิ้มด้วยความสะใจที่เจ้าชายโดนตอกหน้ากลับไปอย่างนิ่ม ๆ ทั้งยิ่งรู้สึกคิดถึงเตียวเสี้ยนยิ่งกว่าเดิม และตอนนี้เองที่เขาสังเกตเห็นสีหน้าบึ้งตึงไม่พอใจของเจ้าหญิงพารีส เธอกำลังมองดูเจ้าชายวิลเลี่ยมด้วยท่าทีหึงหวง โดยมีราชินีฟารินี่ที่นั่งอยู่ด้านข้างยื่นมือสะกิดเตือนไม่ให้แสดงท่าทีมากเกินไป
เวลานี้เขารู้สึกเหมือนเสียรสชาติไปส่วนหนึ่ง เพราะเจ้าหญิงพารีสที่เล็งเอาไว้ดูจะมีใจให้กับเจ้าชายวิลเลี่ยมอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นเขาจึงได้แต่ตัดใจตัดชื่อเจ้าหญิงพารีสออกจากเป้าหมาย เพราะเขาถือคติไม่ชอบฝืนใจผู้คน แต่ก็ยังไม่วายแอบเอาชื่อของคุณหนูแซนดี้ใส่เข้าไปในเป้าหมายอีกชื่อหนึ่ง
“ลงไปกันเถอะ ข้าจะพาท่านไปแนะนำตัว จากนั้นจะขอตัวไปรายงานภารกิจต่อมหาอุปราช … ข้าขอเตือนอีกครั้งว่าเจ้าหญิงพารีสนั้นมองเจ้าชายวิลเลี่ยมราวกับชายในฝัน เพียงแต่ปัญหาก็คือเจ้าชายไม่ได้คิดรับเจ้าหญิงพารีสเป็นราชินี จึงเกิดการขัดแย้งกับทางมหาอุปราช และเจ้าชายตัดสินใจพยายามไม่ยุ่งเกี่ยวกับเจ้าหญิงพารีส”
เนทีเรียนกระซิบบอกข้อมูลสำคัญ แล้วกอดแนบกับแขนของเขาด้วยท่าทีรักใคร่แวบหนึ่ง ก่อนจะถอยออกห่างแล้วตีสีหน้าเป็นการเป็นงานพาเขาเดินอ้อมลงบันไดวนไปยังพื้นที่ด้านล่าง โดยมีเหล่าทหารองครักษ์คอยมองสำรวจและยกมือทำความเคารพ
การปรากฎตัวของเนทีเรียนและแม็กนั้นทำให้เสียงสนทนาหยุดลงไปวูบหนึ่ง เหล่าชนชั้นสูงที่กำลังพูดวิจารณ์เรื่องดนตรีกันอย่างออกรสหันมามองดูด้วยความสนใจ เริ่มจากมองดูเนทีเรียนซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตาก่อน จากนั้นจึงค่อยมองสำรวจแม็กซึ่งเป็นคนแปลกหน้าสำหรับคนส่วนใหญ่
เตียวเสี้ยนและนางงามสกุลเทียนทั้งเจ็ดส่งเสียงอา และหันมามองดูเขาด้วยแววตาคิดถึงคะนึงหาโดยไม่ปิดบัง เพียงแต่พวกเธอนั้นมีความเป็นกุลสตรีไม่แสดงอะไรออกมามากกว่านั้นในที่สาธารณะ แม็กจึงบังเกิดความร้สึกอยากวิ่งเข้าไปโอบกอดและหอมแก้มพวกเธอสักคนละหลายฟอด
เจ้าชายวิลเลี่ยมนั้นแตกต่างออกไป เขาถลึงมองมาด้วยความเคืองแค้นไม่พอใจ แต่น่าแปลกที่วันนี้เจ้าชายกลับแสดงอาการอันไม่เหมาะสมนี้ออกมาแค่เพียงแวบเดียว ก่อนจะตีสีหน้านิ่งคล้ายไม่อยากรับรู้สนใจ
ราชินีฟารินี่ซึ่งเผลอมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเขานั้นมองมาด้วยดวงตาร้อนแรงวูบหนึ่ง ก่อนจะแสร้งทำเป็นเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในขณะที่เจ้าหญิงพารีสนั้นเพียงหันมามองเขาแวบเดียว แล้วเบือนหน้าหันไปมองเจ้าชายวิลเลี่ยมต่อเหมือนหงุดหงิดรำคาญเขาด้วยซ้ำ
นอกจากนี้แล้วคนที่เหลือล้วนแล้วแต่พากันหันมามองดูเขาด้วยท่าพินิจพิจารณา และแม็กย่อมไม่พลาดที่จะหันสบสายตากับหนึ่งในห้าสาวงามประจำเมืองอย่างคุณหนูแซนดี้แวบหนึ่งด้วย
“เนทีเรียนขอแสดงความเคารพต่อองค์ราชินีฟารินี่ องค์หญิงพารีส และทุกท่าน ท่านนี้คือท่านกายเวอร์ ผู้ซึ่งถูกเรียกขานด้วยสมญานามเทพธนู”
เนทีเรียนเดินเข้าไปใกล้แล้วแสดงความเคารพ ก่อนจะทำการแนะนำตัวแม็กให้ทุกคนรู้จัก แม็กจึงส่งยิ้มให้และยกมือแนบอกแสดงความเคารพด้วยท่วงท่าเดียวกัน
เขามีประสบการณ์สนทนากับชนชั้นสูงมาแล้วไม่น้อย จึงไม่รู้สึกตื่นหรือประหม่า อีกทั้งยังไม่พลาดที่จะกวาดตามองดู รวมถึงแผ่ประสาทสัมผัสสำรวจท่าทีตอบสนองของแต่ละคน เพราะสิ่งสำคัญในแวดวงสังคมการเมืองก็คือต้องทราบว่าใครเป็นมิตร และใครเป็นศัตรู
คนส่วนใหญ่ในกลุ่มจะมองเขาด้วยสายตาปกติไม่ดีหรือร้าย มีอยู่สี่ถึงห้าคนที่แสดงท่าทีต่อต้านแวบหนึ่ง ก่อนจะเก็บอำพรางเอาไว้อย่างแนบเนียน และมีอยู่อีกสี่หรือห้าคนเช่นกันที่แสดงท่าทีเป็นมิตร ซึ่งสิ่งที่น่ายินดีก็คือคุณหนูแซนดี้คนสวยจัดอยู่ในกลุ่มหลังสุด
สิ่งที่ขับเคลื่อนประเด็นทางการเมืองคือข่าวสาร นักการเมืองที่จะสามารถเอาชีวิตรอดได้ จะต้องตามกระแสของข่าวสารให้ทันท่วงที ดังนั้นแม็กจึงเชื่อเหลือเกินว่ากลุ่มคนชนชั้นสูงเหล่านี้จะต้องมีข้อมูลของเขาไม่มากก็น้อย
“ที่แท้ก็ท่านกายเวอร์นี่เอง พวกเราเพิ่งสนทนาถึงเรื่องที่ท่านต่อสู้เสมอกับแม่ทัพฟาร์อีสต์ รวมถึงการเอาชัยเหนือทหารรับจ้างกลุ่มนักฆ่ามังกรอย่างเหนือชั้นไปเมื่อครู่นี้เอง”
ชายชนชั้นสูงคนหนึ่งซึ่งแสดงท่าทีเป็นมิตรหันมาพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม จากนั้นคนอื่นก็ห้อมล้อมเข้ามาสนทนาทำความรู้จักจนแม็กจดจำชื่อแทบไม่ทัน แต่เขาก็ยังคงแบ่งสมาธิเปิดรับสัมผัสแห่งกาลเวลาอยู่ตลอดเผื่อว่าจะมีเรื่องราวไม่ดีเกิดขึ้น และนั่นก็ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงเสียงกระซิบสนทนาของราชินีและเจ้าหญิงพารีส ทั้งที่โดนห้อมล้อมด้วยผู้คน
“เจ้าควรจะแสดงท่าทีสนใจต่อมันตามคำสั่ง ท่านตาของเจ้าจึงจะถูกต้องนะพารีสลูกสาวข้า”
“ท่านแม่ ลูกไม่ได้สนใจชนชั้นต่ำเช่นมันผู้นั้น ท่านก็ทราบว่าลูกรักเจ้าชายวิลเลี่ยมเพียงผู้เดียว ท่านอย่าบีบบังคับข้าเหมือนท่านตาได้หรือไม่”
“ลูกรัก นี่คือการเมือง เจ้าจะรักใครแม่ไม่ห้าม แต่เจ้าไม่ควรขัดคำสั่งท่านตาของเจ้า เจ้าเพียงแค่หลอกให้มันหลงไหลเจ้าก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัวอะไร”
“ฮึ ก็ได้ ข้าจะกลั้นใจยอมหว่านเสน่ห์ให้กับไอ้ชนชั้นต่ำคนนั้นอีกสักระยะหนึ่งก็ได้”
“ลูกรัก ฟังแม่ให้ดี ไม่แน่ว่าวันนี้เขาอาจเป็นชนชั้นต่ำ แต่ว่าพรุ่งนี้เขาอาจได้เป็นแม่ทัพใหญ่ก็ได้”
“ลูกไม่สนหรอก ชนชั้นต่ำก็คือชนชั้นต่ำ สามัญชนก็คือสามัญชน ข้าไม่คิดจะใกล้ชิดกับพวกเลือดไพร่พวกนั้นแม้สักเศษเสี้ยวของวินาที แต่ข้าจะยอมกลั้นใจฝืนทนทำตามที่ท่านแม่บอก”
น้ำเสียงกระซิบของราชินีและเจ้าหญิงพารีสนั้นทำเอาแม็กรู้สึกหน้าชาขึ้นมา ในชีวิตจริงนั้นเขาเติบโตมาในสังคมชนชั้นสูงมีอันจะกิน ทั้งยังรูปร่างดีจนมีแต่คนเข้าหา วันนี้เมื่อโดนกล่าวเหยียดหยามจากเจ้าหญิงพารีส เขาจึงรู้สึกขุ่นเคืองไม่น้อย
หลังจากการแนะนำตัวที่เขาจดจำชื่อคนแทบไม่ได้จบลง เจ้าหญิงก็เดินเข้ามาพร้อมด้วยใบหน้าอีกแบบหนึ่ง เธอมองดูเขาด้วยสายตาคล้ายกับเด็กสาวที่แอบสนใจผู้ชายได้อย่างแนบเนียน และแม็กคงจะหลงเชื่อไปเสียแล้ว หากเขาไม่มีทักษะอ่านค่าตัวเลขสถานะความรักความใคร่ รวมถึงได้แอบฟังคำสนทนาของเธอเข้าเสียก่อน ตอนนี้เขาเชื่อว่าเจ้าหญิงพารีสจะต้องมีทักษะการปั้นสีหน้าในระดับมาสเตอร์อย่างแน่นอน
แม้แต่เจ้าชายวิลเลี่ยมเองก็ดูจะมีทักษะแบบเดียวกัน เขาเดินเข้ามาทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มราวกับเป็นมิตรสหายเก่าแก่เนิ่นนาน ซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นเพียงหน้ากากหลอกลวงผู้คนใบหนึ่ง ภาพลักษณ์เจ้าคิดเจ้าแค้นนั้นย่อมดูไม่ดีในสายตาผู้อื่นโดยเฉพาะเหล่าชนชั้นสูง
เจ้าชายวิลเลี่ยมก็ฉลาดพอที่จะไม่แสดงภาพลักษณ์ที่ไม่ดีให้ชนชั้นสูงด้วยกันพบเห็น เจ้าชายจึงจัดได้ว่าเป็นนักการเมืองอนาคตไกลคนหนึ่ง ตอนนี้แม็กจึงเริ่มรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาแล้ว เพราะยิ่งศัตรูนิ่งเงียบใจเย็นมากเพียงใด นั่นก็ยิ่งหมายความว่าศัตรูกำลังมีแผนการร้ายการอะไรสักอย่างอยู่ในใจ
“ทุกท่านโปรดเงียบก่อน ข้าเจ้าชายวิลเลี่ยมรัชทายาทแห่งเมืองแบล็คฟอร์ดมีเรื่องอยากวิงวอนขอร้องต่อท่านกายเวอร์”
ลางสังหรณ์ของแม็กนั้นมีวี่แววเป็นจริงขึ้นมาทีละน้อย เพราะเจ้าชายวิลเลี่ยมนั้นหันไปส่งเสียงให้ทุกคนเงียบลง จากนั้นจึงหันมาแสดงท่าทีมากมารยาท แม้แต่คำพูดก็ยังดูจะเปี่ยมไปด้วยมารยาทจนแม็กแทบจะอาเจียนออกมา เขาเริ่มรู้สึกว่าในแง่การตีสีหน้านั้นเจ้าชายวิลเลี่ยมดูจะเหนือกว่าเขาหลายขั้น
“วิงวอนข้อร้อง? เรื่องอะไร?”
“เรื่องนี้ออกจะพูดยากสักหน่อย แต่ข้าขอเริ่มด้วยการถามคำถามท่านสักเล็กน้อย ไม่ทราบว่าท่านกายเวอร์คิดอย่างไรกับปฏิมากรรมรูปปั้นอัศวินแห่งสรวงสวรรค์อันงดงามวิจิตร ซึ่งเป็นผลงานศิปะอันน่าภาคภูมิใจของเมืองเลอองนิสต์”
คำถามของเจ้าชายทำให้แม็กสับสนเชื่อมโยงเรื่องราวไม่ถูก เขาไม่ทราบว่าเจ้าชายพูดเรื่องอะไร ปฏิมากรรมรูปปั้นนั้นคืออะไร มันอยู่แห่งไหน และมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องราวในเวลานี้ แม็กซึ่งไม่รู้เลยแม้แต่น้อยย่อมอ้ำอึ้งตอบไม่ถูก และนั่นทำให้แววตาของเหล่าชนชั้นสูงในบริเวณนี้เริ่มมองเขาต่างไปอีกแบบหนึ่ง
ที่แท้แล้วรูปปั้นอัศวินแห่งสรวงสวรรค์นั้นเป็นปฏิมากรรมลือชื่อของเมือง ทั้งยังแทบจะเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเสียด้วยซ้ำ การที่ใครคนหนึ่งไม่รู้เรื่องจึงนับเป็นชนชั้นด้อยปัญญาในสายตาของชนชั้นสูง ซึ่งความจริงแล้วผู้เล่นส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รู้เรื่องนี้กันมากนัก
เจ้าชายดูออกในเรื่องนี้ตั้งแต่แรก จึงปล่อยให้แม็กยืนนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดฉากรุกต่อด้วยดวงตาวาววับเจ้าเล่ห์ คล้ายกับสุนัขป่าที่ได้กลิ่นเลือดของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย
“หรือว่าท่านไม่รู้จักรูปปั้นอัศวินแห่งสรวงสวรรค์? อืม แต่นั่นคงไม่แปลกเพราะท่านเป็นเพียงนักรบเดนตายที่หยาบกระด้าง ท่านย่อมไม่เข้าใจถึงศิลปะอันงดงามเลอค่าของสุดยอดปฏิมากรรมแห่งเมืองเลอองนิสต์ ช่างเถอะ ข้าจะสรุปให้ท่านก็แล้วกัน รูปปั้นนี้ว่ากันว่าเป็นผลงานของเทพแห่งศิลปะที่ทิ้งไว้ให้กับเมืองเลอองนิสต์ มันมีมูลค่ามากมายมหาศาลจนไม่อาจประเมินราคาได้ หากทว่าไม่มีผู้ใดคิดอ้างสิทธิครอบครอง ท่านทราบหรือไม่ว่าเพราะอะไร?”
แม็กยิ่งรับฟังก็ยิ่งงุนงง ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการสื่ออะไร เขาจึงได้แต่นิ่งเงียบปล่อยให้อีกฝ่ายพูดต่อ เจ้าชายจึงก้าวเดินอย่างช้า ๆ รอบหนึ่งเพื่อดึงสายตาผู้คน แล้วตีสีหน้าจริงจังพร้อมกับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน
“แน่นอนว่าหากทางราชวงศ์เลอองนิสต์คิดครอบครอง ก็ย่อมถือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง หากทว่าราชวงศ์เลอองนิสต์กลับมีจิตใจกว้างขวาง ปล่อยให้รูปปั้นอัศวินแห่งสรวงสวรรค์ตั้งอยู่ในเมือง เพื่อให้ผู้คนทั่วไปสามารถชื่นชมความงดงามของศิลปะโดยไม่คิดครอบครองเก็บงำเอาไว้”
เจ้าชายพูดพลางหันไปแสดงความเคารพต่อราชินี ซึ่งเป็นการเสริมสภาวะของคำพูดในแง่ที่ว่าราชวงศ์เลอองนิสต์มีจิตใจกว้างขวาง องค์ราชินีและเจ้าหญิงพารีสจึงยิ้มด้วยความพึงพอใจ และเวลานี้แม็กเริ่มจะคาดเดาเรื่องราวได้บ้างแล้ว ว่าเจ้าชายกำลังคิดจะทำอะไร เพียงแต่ต่อให้ทราบแผนการ แม็กก็ยังไม่ทราบว่าควรขัดขวางหรือแก้ไขอย่างไร
“ศิลปะที่ยิ่งใหญ่ล้ำค่าย่อมต้องเปิดเผยให้ชาวโลกได้ชื่นชม หากใครคิดเก็บไว้ครอบครองแต่เพียงผู้เดียวก็ออกจะเป็นการใจแคบเกินไป ทุกท่านเห็นด้วยหรือไม่?”
เจ้าชายกล่าวต่อและหันไปขอเสียงสนับสนุนจากเหล่าชนชั้นสูงที่คอยฟัง และเสียงตอบรับย่อมเป็นคำว่าเห็นด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะหากใครคิดตอบเป็นอื่นก็จะต้องโดนตั้งแง่รังเกียจว่าเป็นคนใจแคบ
“และคราวนี้คือสิ่งที่ข้าอยากร้องขอ พวกเราในที่นี้ต่างเห็นด้วยว่าดนตรีและการร่ายรำของเหล่านางงามจากทวีปไชนี่นั้นเป็นดั่งศิลปะจากสรวงสวรรค์ พวกนางเปรียบเสมือนอัญมณีมีค่าที่สรวงสวรรค์ประทานมาให้แก่โลกหล้า ดังนั้นข้าจึงได้ปรึกษากับองค์ราชินีฟารินี่และเจ้าหญิงพารีส ข้าอยากขอร้องท่านกายเวอร์ให้ปลดปล่อยพวกนางจากการเป็นทาส เรื่องเงินนั้นข้าจะช่วยจับจ่ายให้ ข้าเพียงขอให้ปล่อยพวกนางเป็นอิสระ เพื่อให้พวกนางเป็นนางรำของเมืองเลอองนิสต์”
เสียงฮือฮาดังขึ้นมาทันทีที่เจ้าชายกล่าวจบ ทุกคนต่างแสดงท่าทีพลุ่งพล่านเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ อีกทั้งยังแสดงท่าทีชื่นชมในตัวเจ้าชายด้วยอีกทางหนึ่ง ในขณะที่แม็กซึ่งคาดเดาได้ตั้งแต่แรกนั้นทำได้เพียงแค่นิ่งอึ้งนึกไม่ออกว่าควรตอบโต้อย่างไร
หากแปลความหมายให้สั้นและเข้าใจง่าย เนื้อหาของเจ้าชายก็คือการบีบบังคับให้แม็กปลดปล่อยเตียวเสี้ยนและเจ็ดนางงามจากความเป็นทาส เพียงแต่หากพูดแบบนั้นออกมาโดยตรง ก็ดูจะเป็นการบีบบังคับข่มขู่แข็งขืน เจ้าชายจึงแสดงความสูงส่งด้วยการกล่าวสุนทรพจน์ชี้นำความคิดให้ทุกคนคิดเห็นตรงกัน นี่จึงไม่ได้เป็นการข่มขู่บังคับ หากทว่าเป็นการขอร้องด้วยมนุษยธรรม
ทุกคนในที่นี่ย่อมทราบว่าแปดนางงามจากทวีปไชนี่นั้นถูกแม็กประมูลซื้อเป็นทาส และนั่นย่อมกระทบต่อความรู้สึกเรื่องชนชั้นไม่มากก็น้อย ชนชั้นสูงคนไหนกันที่จะยินยอมให้คนธรรมดาอย่างเขาได้ครองครองสิ่งล้ำค่าอย่างแปดนางงาม โดยเฉพาะเตียวเสี้ยน
ความรู้สึกไม่ยินยอมเหล่านี้ย่อมไม่ได้ถูกแสดงออกมา เพราะนั่นเป็นการครอบครองอย่างถูกต้องตามกฎ เพียงแต่ไม่ได้หมายความว่าเหล่าชนชั้นสูงจะเห็นดีเห็นงามไปด้วย เมื่อเจ้าชายวิลเลี่ยมจุดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมา จึงเป็นการจี้ตรงใจชนชั้นสูงทุกคน การครอบครองแปดนางงามเป็นทาสจึงกลายเป็นเรื่องไม่ดีงามไม่เหมาะสมขึ้นมาทันที
นอกจากนี้หากแปดนางงามเป็นอิสระ นั่นย่อมหมายความว่าชนชั้นสูงในที่นี้อาจมีโอกาสครอบครองพวกเธอ แม้จะมีโอกาสไม่มาก แต่ก็ย่อมดีกว่าไม่มีโอกาสเลย อีกทั้งคำพูดของเจ้าชายที่บอกว่าจะช่วยจ่ายเงินให้นั้นทำให้ทุกคนไม่มีอะไรต้องเสีย และยังมีคำพูดที่ว่าเจ้าชายจะมอบแปดนางงามให้เป็นคนของเมืองเลอองนิสต์อีกต่อหนึ่ง
หากเจ้าชายบอกว่าจะขอซื้อทาสโดยตรง คนที่เห็นด้วยก็อาจจะไม่เห็นด้วย เพราะว่าไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไร แต่เมื่อบอกว่าจะให้แปดนางงามขึ้นตรงกับเมือง ทุกคนจึงกลายเป็นมีโอกาสได้ประโยชน์ขึ้นมา และนี่คือความสูงส่งของเจ้าชายที่ใช้คำว่าผลประโยชน์กระตุ้นให้ทุกคนแสดงท่าที
อีกทั้งยังยกอ้างราชินีและเจ้าหญิงพารีสขึ้นมาบังหน้าอีกส่วนหนึ่ง ดังนั้นหากแม็กดื้อแพ่งไม่ยินยอมทำตามคำขอ เขาก็จะกลายโดนเข้าใจว่าไม่เห็นแก่หน้าราชินีและเจ้าหญิง ทั้งยังจะโดนตั้งแง่รังเกียจด้วยอีกต่อหนึ่ง
เรื่องนี้ยิ่งต้องถูกเห็นชอบโดยราชินีและเจ้าหญิง เพราะว่าหากแม็กไม่มีแปดนางงามไว้ในครอบครอง แผนสาวงามหลอกใช้ก็จะยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงกว่าเดิม ดังนั้นพวกเธอจึงตีหน้านิ่งไม่ขัดข้องที่โดนแอบอ้างเรื่องราว
แน่นอนว่าแม็กย่อมสามารถดื้อแพ่งปฏิเสธได้ตามสิทธิของเขา เพราะเขาเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องการเมืองจนต้องยอมแลกกับพวกเตียวเสี้ยนอยู่แล้ว เพียงแต่หากเขาทำเช่นนั้น เจ้าชายวิลเลี่ยมก็จะสามารถใช้เป็นข้ออ้าง ยกกองกำลังมาแย่งชิงกับเขาได้อย่างเปิดเผยในภายหลัง ซึ่งนี่นับเป็นหมากต่อเนื่องที่แม็กพอจะคาดเดาได้
ปฏิเสธก็ไม่ได้ ให้ยอมทำตามก็ไม่ยินยอม นี่เป็นครั้งแรกที่แม็กโดนเล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองบีบจนแทบกระดิกตัวไม่ได้ ภายในสถานที่แห่งนี้แม็กย่อมรู้ความคิดของเจ้าชายดีกว่าใคร ที่บอกว่ายกให้เมืองเลอองนิสต์โดยไม่คิดครอบครองเองนั้นถือเป็นโกหกตอแหล เพราะว่าเจ้าชายวางแผนยึดเมืองเลอองนิสต์เอาไว้แต่แรกแล้ว หากพวกเตียวเสี้ยนตกเป็นของเมืองจริง พวกเธอก็จะเป็นเหมือนสมบัติที่รอโดนหยิบฉวยจากเจ้าชายในภายหลังเมื่อเมืองโดนยึดครอง
“ท่านจะว่าอย่างไรล่ะท่านกายเวอร์ หรือหากท่านต้องการเรียกร้องราคาให้สูงกว่านี้ ข้าก็ยินดีจะชดใช้ให้แก่ท่าน”
เจ้าชายกล่าวคาดคั้นพลางยิ้มเยาะ รอยยิ้มนั้นคล้ายจะบอกว่าแม็กไม่มีทางพลิกสถานการณ์ได้โดยเด็ดขาด ซึ่งโดยปกติแล้วก็คงเป็นไปได้ยาก หากว่าแม็กไม่มีความปลิ้นปล่อนกะล่อนที่ทัดเทียม หรือเหนือล้ำยิ่งกว่า
แม็กมองดูเจ้าชายเพื่อจดจำหนี้แค้นครั้งนี้เอาไว้ จากนั้นจึงหันไปมองดูเตียวเสี้ยนและเหล่าพี่น้อง พวกเธอเพียงมองดูเขาด้วยสายตาเชื่อมั่นคล้ายกับเชื่อว่าเขาจะสามารถหาทางออกได้ แม็กจึงพยายามใช้สมองไตร่ตรองหาทางออก นี่เป็นการโจมตีทางการเมืองที่ใช้จุดอ่อนเรื่องชนชั้นของเขามาโจมตี ดังนั้นเขาจะต้องหาจุดแข็งของเขาเพื่อสวนกลับ รวมถึงต้องโจมตีจุดอ่อนของเจ้าชายไปด้วยพร้อมกัน และนั่นต้องเป็นข้ออ้างสวยหรูทางการเมืองเช่นเดียวกัน
“ทุกท่านโปรดฟังก่อน ผมมีคำถาม”
แม็กครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นแววตาลำบากใจก็เปลี่ยนไปเป็นวิบวับมากเล่ห์เหลี่ยม เขาสูดลมหายใจปรับสติอารมณ์ก่อนจะพูดเพื่อดึงเวลาเรียบเรียงความคิด
เจ้าชายและเหล่าชนชั้นสูงพากันแสดงท่าทีแปลกใจต่อท่าทีเหล่านี้ ในความคิดพวกเขานั้นแม็กโดนบีบจนไม่มีทางเลือกแล้ว หากทว่าท่าทีสบายใจที่แสดงออกมานั้นกลับดลบันดาลให้ผู้คนคิดกันไปต่าง ๆ นา ๆ
“เมื่อครู่เจ้าชายพูดเรื่องศิลปะซึ่งเป็นเรื่องของความงดงาม ผมอยากถามทุกท่านว่าสิ่งใดที่นับว่างดงามที่สุด”
คำพูดนี้คล้ายกับคำพูดของเจ้าชายที่เปิดประเด็นโดยอ้อมเป็นวง นั่นเป็นประโยคที่คาดเดาไม่ออกว่าต้องการนำพาไปสู่เรื่องราวอะไร เพราะฟังดูแล้วไม่มีความเกี่ยวข้องกับหัวข้อที่พูดถึงกันอยู่เลยแม้แต่น้อย
“สำหรับข้าเจ้าชายวิลเลี่ยมแล้ว สิ่งที่งดงามที่สุดในสถานที่แห่งนี้ย่อมต้องเป็นองค์ราชินีฟารินี่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน”
เจ้าชายแม้จะไม่เข้าใจว่าแม็กพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่ออะไร แต่ก็ยังไม่วายฉวยโอกาสหยอดกล่าวชมราชินีซึ่งมียศศักดิ์สูงที่สุดในสถานที่แห่งนี้ เหล่าชนชั้นสูงที่เหลือจึงพากันกล่าวชมตามน้ำไปด้วยพร้อมกัน
“สำหรับผมแล้ว สิ่งที่งดงามที่สุดคือความรัก”
แม็กรอคอยให้ทุกคนเงียบเสียง แล้วก้าวเดินอย่างเชื่องช้าไปทางเตียวเสี้ยนพร้อมกับส่งสายตาอบอุ่นให้ ในขณะที่เธอเองก็มองตอบด้วยสายตาเปี่ยมรักเช่นกัน และการกระทำนี้ก็ทำให้ทุกคนเริ่มรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่นั้นไม่ใช่แค่เพียงนายบ่าวแบบจำยอม อย่างน้อยเตียวเสี้ยนก็ดูจะเต็มใจ
“ความรักคือศิลปะอันวิจิตรงดงาม ความรักทำให้เราอบอุ่น ความรักทำให้เราโศกเศร้า ความรักทำให้เราโหยหา ความรักช่วยเติมเต็มชีวิตชีวาให้แก่ผู้คน”
เขากล่าวต่อพลางเดินเข้าไปจับมือเตียวเสี้ยน แล้วผ่านเลยไปจับมือนางงามสกุลเทียนจนครบ จากนั้นจึงค่อยหันมามองดูเหล่าชนชั้นสูงซึ่งแสดงท่าทีงุนงงสงสัยไม่เข้าใจกันอยู่
“เจ้าชายท่านเคยได้ยินนิทานเกี่ยวกับความรักเรื่องจอมพรานหรือไม่ นั่นเป็นนิยายเลื่องชื่อของเมืองบ้านเกิดข้าเลยทีเดียว อืม ข้าเดาว่าท่านคงไม่เคยได้ยิน ดังนั้นหากจะตำหนิว่าโง่เง่าก็คงไม่ได้ เพราะท่านไม่ได้อาศัยอยู่แถวนั้น”
แม็กหยุดครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองดูเจ้าชายพร้อมกับป้อนคำถาม ซึ่งความจริงแล้วนี่เป็นคำถามที่เจตนาย้อนหัวข้อที่ว่าเขาไม่รู้จักรูปปั้นประจำเมือง โดยเอาสิ่งที่เจ้าชายไม่รู้มาถามย้อนกลับ ซึ่งเจ้าชายย่อมไม่มีทางรู้เรื่องนี้ เพราะว่านี่เป็นนิทานที่แม็กกำลังจะแต่งขึ้นมาสด ๆ ร้อน ๆ
เจ้าชายและเหล่าชนชั้นสูงย่อมรับฟังเจตนาข้อนี้ออก เจ้าชายจึงถลึงตามองดูแม็กด้วยความดุร้ายแวบหนึ่ง ก่อนจะพยายามเก็บอาการตนเองให้สงบ และรอคอยดูว่าอีกฝ่ายจะมีอะไรออกมานำเสนอ
“นิทานเรื่องนี้เล่าว่า มีจอมพรานฉมังธนูคนหนึ่ง เขามีความสามารถในการยิงธนูดุจภูติเทพ สามารถซุ่มเงียบโดยไม่มีใครจับได้ ทั้งยังสามารถยิงธนูจากระยะมากกว่าหนึ่งพันก้าวได้อย่างแม่นยำราวเทพจับวาง นายพรานผู้นี้นอกจากจะล่าสัตว์แล้ว ยังคอยฆ่าโจรร้ายที่หมายปล้นชิงหมู่บ้าน เขาคอยปกป้องดูแลความสงบให้แก่หมู่บ้าน เพราะเขามีภรรยาสุดที่รักอยู่ที่นั่น เธอเป็นคนที่สวยงามดุจดั่งนางฟ้าจนเป็นที่หมายปองของบุรุษทุกผู้คน และนั่นเองที่นำมาซึ่งเรื่องราวแสนเศร้า”
“วันหนึ่งโจรร้ายผู้มากด้วยเล่ห์เหลี่ยมได้คิดแผนการร้ายขึ้นมาอย่างหนึ่ง เขาแอบพบปะกับคนในหมู่บ้านที่จอมพรานให้การปกป้อง จากนั้นก็เริ่มแผนการยุแยงให้ชาวบ้านคิดครอบครองภรรยาของจอมพราน เมื่อดำเนินแผนร้ายนี้นานเข้า เหล่าบุรุษที่หลงไหลในเสน่ห์ของสตรีจนโง่งมก็เริ่มหลงเชื่อ พวกเขาวางยาพิษจอมพรานที่คอยปกป้องพวกเขา เพียงเพื่ออยากสนองตัณหาครอบครองภรรยาสาวแสนสวยของจอมพราน”
แม็กบรรยายด้วยน้ำเสียงแฝงอารมณ์ได้ลุ้นระทึกอย่างน่าประหลาด เหล่าชนชั้นสูงจึงพากันตั้งใจฟัง และเผลอลุ้นไปกับจินตนาการ เหล่าสตรีถึงกับกุมมือแน่นเพราะไม่อยากให้เกิดเรื่องราวร้าย ๆ อย่างที่ตนเองคาดเดา
“ราวกับว่านรกเป็นใจ จอมพรานโดนวางยาพิษจนสิ้นท่า ภรรยาของเขาโดนคนชั่วเหล่านั้นจับไปขืนใจจนเสียชีวิต ชาวบ้านกลุ่มนั้นหลบหนีออกไปด้วยความขลาดเขลา ก่อนที่พวกโจรจะบุกเข้ามาปล้นฆ่าเผาทำลายหมู่บ้านจนสิ้นซาก เพราะไม่มีผู้ใดคอยคุ้มกัน ทุกคนต่างตายกันหมดเพียงเพราะชาวบ้านนิสัยโฉดชั่วมากราคะเพียงไม่กี่คน”
“ค่ำคืนนั้นแสงไฟลุกโชนเจิดจ้า มันแผดเผาชีวิตคน ทำร้ายบ้านเรือน หากทว่าใครคนหนึ่งกลับยังคงไม่ตาย ยาพิษนั้นไม่ร้ายแรงพอที่จะทำให้จอมพรานสิ้นชีพ เขาจึงคืบคลานไปอุ้มร่างอันยับเยินและไร้ลมหายใจของภรรยาสาวพร้อมกับร้องไห้จนน้ำตาไหลเป็นสายเลือด ค่ำคืนนั้นจอมพรานผู้โอบอ้อมอารีย์ได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาตัดสินใจทิ้งความเป็นคน และกลายเป็นสัตว์ร้ายจากนรก”
“ไม่กี่วันถัดมา ค่ายโจรที่มีสมุนเกือบสี่ร้อยคนได้เกิดเหตสยองขวัญขึ้น ไม่ว่าใครก็ตามหากก้าวเท้าออกมาจากค่ายจะต้องตายเพราะโดนลูกธนูยิง พวกมันพยายามฝ่าด่านออกมา หากทว่าออกมาสิบก็ตายสิบ ออกมาร้อยก็ตายร้อย คนที่เหลือจึงได้แต่หวาดผวารอคอยอยู่ในค่ายโจร แต่เมื่อเวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง อาหารการกินก็เริ่มขาดแคลน พวกมันเริ่มแก่งแย่งอาหารและฆ่ากันเอง พวกมันบางคนสติแตกพยายามหลบหนี แต่ก็ไม่พ้นต้องกลายเป็นศพนอนเฝ้าอยู่นอกค่าย ด้วยฝีมือยิงธนูราวกับภูตเทพของจอมพรานผู้นั้น จอมพรานผู้นั้นเฝ้ารอคอยเพื่อล้างแค้นอยู่ตรงนั้นเป็นเวลาทั้งสิ้นสองเดือน เหล่าโจรจึงค่อยตายตกด้วยธนูและความหิวโหยจนหมดสิ้น แต่จอมพรานยังคงไม่หายคับแค้นใจ เขาออกเดินทางตามหาชาวบ้านที่ย่ำยีภรรยาของเขา”
“คนชั่วพวกนั้นต่างได้รับข่าวค่ายโจรโดนทำลาย พวกมันจึงหวาดกลัวยิ่ง พวกมันหนีไปไกลสุดหล้า อาศัยอยู่กับกองกำลังอันแข็งแกร่งเพื่อหาทางรอด แต่ว่าพวกมันทุกคนล้วนตายตก จอมพรานผู้กลายร่างเป็นมือสังหารไม่ยอมปล่อยพวกมันไป และไม่ว่าใครก็ตามที่คอยปกป้องพวกมันเหล่านั้น ต่างก็ต้องตายตกอย่างโง่เขลา พวกมันส่วนใหญ่แทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกมันต้องเจอกับปีศาจที่ใจแตกสลายจากความรัก ปีศาจที่สามารถกระทำได้ทุกอย่างเมื่อความรักโดนทำร้าย”
แม็กเล่าเรื่องและหยุดลงตรงนี้ น้ำเสียงที่เล่าอย่างจริงจังกระตุ้นจนผู้ฟังอารมณ์พลุ่งพล่าน นี่ย่อมต้องขอบคุณทักษะสุนทรพจน์ที่เพิ่งได้มาจากเนทีเรียนด้วยส่วนหนึ่ง เพราะค่าชื่อเสียงของแม็กนั้นถือว่าสูงไม่น้อย เหล่าชนชั้นสูงที่ไม่ได้คิดลึกซึ้งต่างพากันเวทนาสงสารจอมพรานและภรรยา แต่เหล่าผู้ที่พยายามครุ่นคิดในเชิงลึกกลับต้องหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมา
หากฟังผิวเผินแล้ว นี่เป็นนิทานโศกนาฎกรรมของความรักเรื่องหนึ่ง หากทว่าสิ่งที่ซุกซ่อนนั้นก็คือการเปรียบเทียบข่มขู่อย่างสุภาพอ่อนน้อม จอมพรานผู้นั้นย่อมเปรียบได้กับเทพธนู พลังฝีมือของเทพธนูที่ถูกเล่าขานนั้นแม้จะยังไม่ทราบว่าเก่งกาจถึงระดับไหน แต่เหล่าชนชั้นสูงในที่นี้ย่อมไม่คิดเอาตัวเข้าไปเสี่ยงทดลอง
เนื้อเรื่องนั้นก็เปรียบได้กับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น จอมพรานพร้อมจะกลายเป็นปีศาจร้ายไล่ฆ่าฟันทุกคนที่ทำลายความรัก เทพธนูก็อาจจะกระทำเช่นเดียวกันกับคนที่คิดแย่งชิงผู้หญิงของเขาไป คำว่าสายลับย่อมพาดพิงถึงเจ้าชายวิลเลี่ยมซึ่งมาจากเมืองคู่อริ ส่วนชาวบ้านโฉดชั่วที่ทรยศย่ำยีภรรยาของจอมพรานนั้นเป็นการกล่าวกระทบกระแทกต่อพวกตน เพราะทำท่าจะร่วมมือกับเจ้าชายวิลเลี่ยม
คำขู่นี้คล้ายกับเสียงโห่ร้องในสนามรบที่ปลุกผู้คนตื่นจากตัณหาและความโลภ เหล่าชนชั้นสูงจะอย่างไรก็ยังคงติดนิสัยของชนชั้นสูง พวกเขาคิดว่าหากต้องการก็จะสามารถเหยียบย่ำใครได้ หากต้องการสิ่งใดก็เพียงแย่งชิงเอามา เพียงแต่เทพธนูนั้นไม่ใช่ชาวบ้านไร้กำลัง นอกจากพลังฝีมือส่วนตัวแล้ว เขายังมีแม่ทัพฟาร์อีสต์อยู่ด้านหลังอีกหนึ่งคน
เจ้าชายวิลเลี่ยมที่โดนกล่าวพาดพิงว่าเป็นสายลับนั้นได้แต่ถลึงตามอง เจ้าชายย่อมไม่สะดวกที่จะกล่าวโต้แย้ง เพราะยิ่งกล่าวก็อาจจะยิ่งกลายเป็นร้อนตัว เหล่าชนชั้นสูงที่คิดฉวยโอกาสกับสาวงามก็พากันนิ่งเงียบไม่กล่าววาจา
นิทานเพียงเรื่องเดียวกลับสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างไม่น่าเชื่อ นี่เป็นเพราะความยอดเยี่ยมของแม็ก เขายกชูจุดอ่อนของเจ้าชายวิลเลี่ยม ซึ่งก็คือความเป็นอริกับเมืองเลอองนิสต์ และนี่คือความจริงที่ไม่สามารถแก้ไขได้ จากนั้นก็ยังยกชูจุดแข็งของตนเองขึ้นมาอย่างอ้อมค้อม
จุดแข็งของเทพธนูย่อมไม่พ้นความสามารถในการฆ่าฟัน แม็กทราบว่าเขาไม่ได้เก่งกาจอย่างที่ผู้คนเข้าใจ แต่คำขู่ของเขานั้นได้ผลเป็นอย่างยิ่ง จากคำร่ำลือที่บอกว่าทัดเทียมกับแม่ทัพฟาร์อีสต์นั้น ย่อมไม่มีผู้คนคิดอยากเห็นเทพธนูกลายเป็นปีศาจร้ายที่ยอมกระทำทุกอย่าง ใครจะกล้ารับประกันว่าตนเองจะไม่โดนยิงทำร้ายในภายหลัง
ในยุคสมัยแห่งความแข็งแกร่ง พลังอำนาจย่อมมาเหนือทุกสิ่ง หากเทพธนูเป็นเพียงคนธรรมดาไม่มีอะไรดี วันนี้ก็อย่าได้หวังว่าจะสามารถรักษาสาวงามเอาไว้ได้ แต่เมื่อเทพธนูแสดงบทแข็งกร้าวพร้อมหักไม่ยอมงอออกมา ใครกันจะกล้าทดลองดู เวลานี้ทุกคนจึงพากันแกล้งลืมเลือนเรื่องการแย่งชิงสาวงามจนหมดสิ้น และนี่ก็นับเป็นการเอาตัวรอดทางการเมืองอย่างหนึ่ง
นอกจากเจ้าชายวิลเลี่ยมและพรรคพวกคนสนิทซึ่งถลึงตามองด้วยความโกรธแค้นแล้ว เหล่าบุคคลที่เหลือต่างก็พากันมองดูแม็กด้วยสายตาชื่นชม แม้แต่เจ้าหญิงพารีสที่ตั้งแง่รังเกียจก็ยังมองดูแม็กด้วยสายตาที่แปลกออกไป อย่าว่าแต่สายตาของเนทีเรียน เตียวเสี้ยน และพี่น้องที่จ้องมองมาด้วยสายตาเร่าร้อนพลุ่งพล่าน
ส่วนที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็นก็คือ สายตาร้อนแรงที่พยายามเก็บรั้งเอาไว้ขององค์ราชินีฟารินี่ การมีสัมพันธ์ลึกซึ้งจนสุขสมย่อมทำให้เธอผูกพันธ์กับแม็กโดยไม่รู้ตัว ยิ่งได้เห็นเขาแสดงท่าทีห้าวหาญของยอดบุรุษที่กระทำเพื่อสตรีออกมา ความชื่นชอบก็ยิ่งก่อตัวจนแทบเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่
“เรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึงอีก เนทีเรียนเจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ กายเวอร์ข้ามีเรื่องสำคัญคิดสนทนากับท่านเป็นการส่วนตัว จงตามข้ามา”
ราชินีฟารินี่ซึ่งมีศักดิ์ฐานะสูงสุดในที่นี้กล่าวสรุป ซึ่งมีความหมายให้ลืมเลือนข้อเสนอของเจ้าชายวิลเลี่ยมเหมือนกับว่าไม่เคยมีมาก่อน จากนั้นเธอจึงค่อยลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าเย็นชาคล้ายไม่ยินดียินร้าย และเดินนำพาแม็กไปที่ระเบียงหน้าต่าง
คำพูดของเธอนั้นสื่ออย่างชัดเจนว่าต้องการสนทนาเป็นการส่วนตัว เหล่าองครักษ์หรือชนชั้นสูงในบริเวณนี้จึงไม่สะดวกที่จะติดตามไปอารักขา อย่าว่าแต่สถานที่นี้เป็นในวังชั้นในที่มีความปลอดภัยสูง และราชินีเพียงไปที่ระเบียงหน้าต่างซึ่งห่างไปไม่มากนัก ถึงแม้จะมีมุมลับตาผู้คนอยู่บ้างแต่ก็ไม่ควรจะเกิดเรื่องราวเสื่อมเสียไม่ดีงาม
คนเดียวที่รู้สึกผิดสังเกตอยู่บ้าง กลับเป็นสตรีที่ช่างสังเกตและมีความละเอียดอ่อนอย่างเนทีเรียน เธอรู้สึกหวั่นไหวไม่น้อยเมื่อเห็นแววตาหยาดเยิ้มขององค์ราชินี แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่นั่นย่อมไม่อาจหลบพ้นสายตาของผู้เชี่ยวชาญด้านการเอาใจผู้คนของเธอได้ เนทีเรียนหันมองไปทางระเบียงหน้าต่างที่ลับตาคนพอสมควรด้วยความหวั่นใจ แต่ก็พยายามระงับข่มความสงสัยในเรื่องไม่ดีงาม เธอไม่เชื่อว่าราชินีจะลดตัวลงไปกระทำเรื่องไม่ดีงามในสถานที่สุ่มเสี่ยงเช่นนี้
ในที่นี้ย่อมไม่มีใครคิดว่าจะมีเรื่องราวไม่ดีงาม ยกเว้นก็แต่เพียงตัวองค์ราชินีเอง เธอทราบดีว่าเธอไม่ได้มีหัวข้อสนทนาอันใดกับเทพธนู หากแต่อารมณ์พลุ่งพล่านร้อนแรงที่ไหลเวียนอยู่ในกายผลักดันให้เธอกระทำเช่นนี้ เธอแค่เพียงอยากอยู่กับเขาตามลำพัง และหวังว่าจะได้สัมผัสสิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตมาเนิ่นนานนั้นอีกสักครั้ง
…………………………………..