XO ตอนที่ 41 – เทวานุภาพ

XO ตอนที่ 41 – เทวานุภาพ

XO ตอนที่ 41 – เทวานุภาพ

                   ………………………………………  แม็กเร่งรีบส่งเสียงเตือนเรื่องการลอบโจมตีออกมา เพียงแต่จำกัดให้ได้ยินเพียงแค่คนในรถม้า เพราะเขายังไม่อยากตะโกนสร้างความแตกตื่นกระตุ้นให้เจ้าหญิงเนวาน่ารีบสั่งให้ลงมือจู่โจม ตอนนี้เขาทราบแล้วว่าเขาประเมินเรื่องราวไม่ผิด

มหาอุปราชฟาร์โก้นั้นมีผลประโยชน์ร่วมกันกับเมืองแบล็คฟอร์ด และข้อตกลงเบื้องต้นของทั้งสองฝ่ายก็คือต้องการให้พระราชาของเมืองเลอองนิสต์สวรรคตให้เร็วที่สุด การกำจัดตัวแปรที่ไม่แน่นอนอย่างบาทหลวงจอห์นสันและซิสเตอร์มาเรียจึงเป็นเรื่องเร่งด่วน ต่อให้มีความเสี่ยงที่จะเผยให้ทราบว่ามีกองกำลังอื่นก็ยังจำเป็นต้องทุ่มเสี่ยง

เสียงเตือนของเขาทำให้บาทหลวง ซิสเตอร์มาเรีย และแองจี้พากันงุนงง แต่นั่นก็เป็นแค่วูบเดียว
เท่านั้น เพราะทุกคนเชื่อถือในศักดิ์ฐานะของนักบวชคลาสหกอยู่แล้ว บาทหลวงจอห์นสันจึงรีบเปิดม่านหน้าต่าง แล้วส่งเสียงแจ้งเหตุร้ายฝ่าสายฝนต่อผู้นำของทหารองครักษ์ ในขณะที่ซิสเตอร์มาเรีย และแองจี้นั้นรีบหยิบฉวยเอาคทาเวทย์ของนักบวชขึ้นมาอยู่ในสภาพพร้อมรบ

หัวหน้าทหารองครักษ์ซึ่งโดนสายฝนสาดซัดจนเปียกโชกมองดูบาทหลวงด้วยความงุนงง เขายกมือขึ้นปาดน้ำฝนใบใบหน้า แล้วหันไปมองดูหน่วยนักเวทย์ที่ทำหน้าที่ร่ายเวทย์สำรวจ เพราะโดยปกติแล้ว การเดินทัพนั้นต้องมีนักเวทย์ที่มีความสามารถในการสำรวจสิ่งมีชีวิต หรืออันตรายในบริเวณนั้นอยู่เสมอ และเวลานี้ก็ยังไม่มีสัญญาณเตือนอะไรออกมาจากนักเวทย์สายตรวจจับเหล่านี้ หัวหน้าทหารองครักษ์จึงลังเลสับสน ไม่ทราบว่าสมควรเชื่อถือเหล่านักบวชที่อยู่ในรถม้าหรือไม่

นับกันตามสภาพแวดล้อมแล้ว หากมีหน่วยซุ่มโจมตีอยู่จริง ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือการหยุดขบวนเพื่อลดความเสียหาย และค่อยถอยออกมาจากตำแหน่งที่มีตัวอาคารล้อมกรอบทั้งซ้ายและขวา เพื่อไม่ให้โดนโจมตีจากทั้งสองด้าน หากทว่าความลังเลใจของหัวหน้าทหารผู้นี้กลับทำให้เขาเลือกกระทำสิ่งที่ไม่ควรกระทำ เขาส่งสัญญาณมือบอกให้ทหารเข้าไปสำรวจในตัวบ้านเรือนทั้งสองฟากข้าง

การกระทำที่ผิดพลาดย่อมนำมาซึ่งความเสียหายร้ายแรง ถึงแม้ว่าขบวนรถม้าจะยังไม่เข้าไปสู่พื้นที่อันตรายโดยสมบูรณ์ แต่เมื่อเนวาน่าสังเกตเห็นการกระทำของทหาร เธอย่อมต้องตัดสินใจโจมตีก่อนกำหนด เพราะจะอย่างไรก็ยังถือว่าอยู่ในสภาพได้เปรียบกว่าอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเวลานี้สายฝนกำลังกระหน่ำเทลงมาอย่างหนักจนแทบเงยหน้าขึ้นมาไม่ได้

เนวาน่าส่งสัญญาณมือคราวหนึ่ง เหล่านักเวทย์ธาตุมืดนับสิบนายที่ทำหน้าที่ร่ายเวทย์ก็หยุดร่ายเวทย์ พวกเขาทั้งสิบมีหน้าที่สร้างเขตแดนเพื่อซุกซ่อนปิดบังกองกำลังทหารในบ้านเรือน และเมื่อไม่จำเป็นต้องสร้างเขตแดนแล้ว พวกเขาก็พากันหันไปเตรียมใช้เวทย์ประเภทคำสาปเพื่อจู่โจมแทน
วินาทีนั้นเองที่ ทหารหน่วยตรวจสอบที่อยู่ข้างรถม้าเริ่มตระหนักได้ถึงสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก สัญญาณมากมายเหล่านนั้นปรากฏมาจากบ้านเรือนทั้งสองฟากข้าง แต่น่าเสียดายที่เขายังไม่ทันได้ส่งเสียงร้องเตือนการจู่โจมก็เริ่มขึ้นเสียแล้ว

ประตูและหน้าต่างที่ปิดเอาไว้ของบ้านเรือนทั้งสองข้างโดนกระแทกเปิดออก หน้าไม้แกร่งรวมถึงคทาเวทย์ถูกยื่นออกมาด้านนอก และทหารโชคร้ายสองคนแรกย่อมไม่พ้นผู้ที่ถูกส่งไปตรวจสอบบ้านเรือน ในระยะประชิดเช่นนั้น เมื่อเผชิญกับหน้าไม้อันร้ายกาจ แม้จะเป็นทหารคลาสสามก็ยังไม่ทันได้ขยับตัว เกราะเหล็กชั้นดีที่สวมใส่ก็มิอาจช่วยเหลืออันใดได้ ลูกธนูเหล็กกล้าราคาแพงที่คมกริบเป็นพิเศษพุ่งวูบวาบราวสายฟ้า ลูกธนูเหล่านนั้นเสียบทะลุเข้าไปในร่างจนเลือดสีแดงสดสาดกระจายทั้งที่ยังไม่ทันได้รู้เรื่องรู้ราว

เสียงแผดร้องของทหารทำให้ชาวบ้านที่ยืนหลบฝนตามชายคาในบริเวณใกล้เคียงพากันแตกตื่น ผู้หญิงที่อยู่บริเวณนั้นพากันส่งเสียงหวีดร้องตกใจ ในขณะที่พวกผู้ชายได้แต่ยืนนิ่งอ้าปากค้าง พวกเขาต่างไม่คาดคิดว่าทหารหลวงจะโดนโจมตีในเขตตัวเมืองชั้นใน ส่วนบรรดาผู้เล่นไม่กี่คนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงต่างรีบหาที่หลบภัย เพื่อดูสถานการณ์กันไปก่อน

ยังดีอยู่บ้างที่เหล่าทหารที่เหลือได้เพิ่มความระมัดระวังเอาไว้บ้างแล้ว เมื่อเกิดเหตุผิดปกติจึงสามารถหยิบฉวยโล่ หรือไม่ก็ร่ายเวทย์ป้องกัน ไม่ก็เกร็งพลังปราณขึ้นป้องกันเหตุร้าย หากทว่าการโจมตีของผู้มุ่งร้ายนั้นนอกจากจะเฉียบขาดรุนแรงแล้ว ยังได้เปรียบในแง่ของสถานที่ รวมไปถึงยุทธวิธีที่เลือกใช้อีกต่างหาก

การโจมตีเช่นนี้หากไม่กระทำก็แล้วไป แต่หากต้องกระทำก็ต้องกระทำให้หมดจดไม่ให้เหลือผู้รอดชีวิต เนวาน่าผู้วางแผนการร้ายย่อมไม่เสียดายที่จะทุ่มทุนออกมาเพื่อให้แน่ใจว่าแผนการต้องสำเร็จ เพื่อการนี้เธอถึงกับคัดเลือกทหารระดับสุดยอดในกองทัพมากถึงห้าสิบนาย ทหารคลาสสามแต่ละนายถืออาวุธหน้าไม้คุณภาพดีคนละสองชิ้น แม้แต่ลูกศรก็ยังเป็นเหล็กกล้าลงอักขระเวทย์ พวกมันสามารถพุ่งทะลุเกราะเหล็กได้ การโจมตีจึงต่อเนื่องดุดันไม่มีจังหวะให้ได้หายคอหายใจ

นอกจากนี้ความได้เปรียบทางด้านสถานที่ยังมีผลอย่างสูง ทหารทั้งห้าสิบชีวิตกระจายตัวอยู่ในบ้านสองชั้นทั้งซ้ายและขวา ทั้งชั้นบนชั้นล่างรวมถึงบนหลังคา การยิงโจมตีจึงแทบจะมาจากทุกแง่มุม ทั้งซ้ายขวาหน้าหลังและบนล่าง ฝ่ายต้านรับจึงมีแต่ปั่นป่วนสับสนล้มตาย และไม่มีโอกาสโต้กลับแม้แต่น้อย กระนั้นนั่นก็ยังไม่ใช่ทั้งหมดของแผนการลอบสังหารอันยอดเยี่ยมนี้

เหล่าทหารหลวงแห่งเมืองเลอองนิสต์แม้จะแข็งแกร่งกว่าทหารทั่วไป แต่เมื่อต้องอยู่ในสภาพที่โดนโจมตีจากทุกแง่มุมเช่นนี้จะอย่างไรก็ต้องพลาดท่าเสียที โล่เหล็กหรือเกราะเวทย์แม้จะพอยื้อเวลาออกไปได้ แต่ก็ไม่สามารถป้องกันร่างกายได้หมด โดยเฉพาะม้าศึกที่ไร้เกราะหุ้มนั้นโดนยิงจนเป็นรูพรุน พวกมันทรุดร่างลงไปสิ้นใจตายแทบจะในทันที ส่วนม้าที่ลากรถม้านั้นก็มีสภาพไม่ต่างกัน พวกมันทำได้เพียงแผดร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะทรุดร่างล้มลงไปนอนนิ่งจมกองเลือดบนพื้น

ทหารที่ใช้โล่ปิดต้านด้านหนึ่งต้องโดนยิงจากอีกด้านหนึ่งจนโชกเลือดไปทั้งร่าง ทหารสายนักเวทย์ที่สามารถขึงกางโล่เวทย์ในลักษณะทรงกลมรอบทิศทางได้นั้น แม้จะพอเอาตัวรอดในช่วงแรกได้บ้าง กระนั้นการกางโล่รอบทิศเช่นนี้เป็นการเปลืองเรี่ยวแรงอย่างสูง เมื่อโดนการโจมตีอันเกรี้ยวกราดดุดันอย่างต่อเนื่อง โล่เวทย์ก็เริ่มแตกสลาย สุดท้ายคนร่ายก็ต้องส่งเสียงแผดร้องอันเจ็บปวดออกมา เพราะโดนลูกศรชำแรกเข้าไปในร่างจนเลือดสีแดงฉานทะลักลงไปผสมกับน้ำฝนบนพื้น

ที่ยังพอมีสภาพดีอยู่ก็คือนายทหารคลาสสี่ พวกเขามีรถม้าที่สร้างจากวัสดุแกร่งช่วยปิดมุมยิงอยู่บ้าง อีกทั้งยังมีฝีไม้ลายมือที่มากกว่า จึงยังสามารถควงอาวุธป้องกันการโจมตีได้โดยไม่มีร่องรอยของอาการบาดเจ็บให้พบเห็น มองดูผิวเผินแล้วรถม้าอาจจะมีลูกธนูเสียบจนพรุนน่าเป็นห่วง แต่เนื่องจากรถม้าสร้างจากไม้เนื้อแข็งพิเศษ และมีโครงโลหะแข็งแกร่งอยู่ภายใน รวมถึงมีการลงมนตราระดับสูงไว้ป้องกัน ลูกธนูจึงทำได้เพียงแค่เจาะลงไปในเนื้อไม้เล็กน้อย ไม่สามารถทะลวงเข้าไปทำอันตรายคนด้านในได้แม้สักรอยขีดข่วน

อย่างไรก็ตาม ผู้โจมตีราวครึ่งหนึ่งยังคงเล็งเป้าระดมยิงเน้นไปที่รถม้าอย่างต่อเนื่องไม่หยุดพัก นั่นคล้ายต้องการจะสะกดไม่ให้มีใครสามารถโงหัวออกจากรถม้ามาได้ หัวหน้ากองทหารจึงต้องรีบเปิดกลไกเวทย์ป้องกันของรถม้าเพื่อความปลอดภัย หัวหน้ากองทหารล้วงหยิบเอาผลึกเวทย์สีขาวขนาดเท่ากำปั้นออกมาหนึ่งก้อน ก่อนจะจับมันยัดเข้าไปในช่องใส่ผลึกเวทย์ และเมื่อเขาวาดอักขระเวทย์กระตุ้นการทำงานของวงจรกลไก ตัวรถม้าสีขาวก็บังเกิดแสงสว่างอบอุ่นขึ้นมาครอบคลุมจนทั่ว

สิ่งนั้นคือเกราะเวทย์ระดับหกดาว มันสามารถป้องกันอันตรายให้แก่รถม้าได้ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ข้อเสียก็คือคนที่อยู่ด้านในก็จะไม่สามารถออกมาด้านนอกได้ อย่างน้อยก็ต้องรอจนกว่าวงจรเวทย์จะหยุดทำงาน หรือไม่ก็ต้องใช้กำลังทำลายเกราะเวทย์นี้ทิ้งไปเสียก่อน แม้จะค่อยคลายใจจากการป้องกันอารักขาลงได้บ้าง แต่หัวหน้ากองกำลังก็ยังนึกเสียใจที่ไม่เชื่อคำเตือนตั้งแต่แรก กระนั้นก็ไม่สามารถกระทำการแก้ไขอดีตได้ เขาจึงทำได้แค่เพียงปัดป่ายลูกธนูเพื่อเอาตัวรอดพร้อมกับมองสำรวจเพื่อหาทางพลิกสถานการณ์

รอคอยจนกระทั่งการโจมตีจากหน้าไม้ชะงักลงเล็กน้อย ซึ่งน่าจะเป็นเงื่อนไขของการบรรจุลูกศร หัวหน้ากองทหารผู้นั้นก็ตวาดสั่งการทันที และคำสั่งนั้นคือให้ทหารที่ยังพอสู้ไหวบุกตะลุยเข้าไปในบ้านเรือนเพื่อสังหารโจรร้าย น่าเสียดายที่นอกจากนายทหารคลาสสี่ซึ่งมีเพียงสี่คนแล้ว เหล่าทหารคลาสสามที่เหลือต่างก็ได้รับบาดเจ็บไม่มากก็น้อย พวกเขาส่วนใหญ่ทรุดนั่งร้องโอดโอย ที่บาดเจ็บสาหัสหมดสภาพไปแล้วมีอยู่นับสิบ หลงเหลือทหารที่ยังพอใช้การได้อยู่เพียงไม่ถึงสิบนาย

นายกองทหารคลาสสี่มีประสบการณ์รบมาไม่น้อย แม้จะคับขันแต่ก็ไม่แตกตื่นลนลาน นายกองสองนายแบ่งหน้าที่กัน พวกเขารีบวิ่งควงอาวุธทะลวงเข้าไปในตัวบ้านเรือน โดยมีนายทหารคลาสสามที่พอจะเคลื่อนไหวได้ตามเข้าไปด้วย นายทหารคลาสสี่ที่เหลืออีกสองนายนั้นพยายามไปช่วยเหลือนายทหารบาดเจ็บ พวกเขาพุ่งควงอาวุธเข้าไปปัดป่ายลูกศรที่เริ่มเบาบางลง อย่างน้อยก็เพื่อรวบรวมทหารบาดเจ็บให้เตรียมโต้กลับ ซึ่งความจริงแล้วนี่สมควรจะเป็นหนึ่งในวิธีการแก้ปัญหาที่ยอดเยี่ยมแล้ว เพียงแต่ยังไม่ยอดเยี่ยมพอเมื่อเทียบกับแผนร้ายอันเหนือชั้นของฝ่ายตรงข้าม

หลังจากห่าฝนลูกธนูเพียงไม่กี่วินาที หน้าต่างชั้นสองก็ปรากฏร่างของนักเวทย์ศาสตร์มืดนับสิบคน พวกเขายืนร่ายคำสาปโจมตีเข้าใส่เหล่าทหารกล้าซึ่งบาดเจ็บเลือดโชกอยู่แล้ว เหล่าทหารหลวงที่อยู่ในสภาพไร้ความสามารถในการป้องกันตัวจึงพากันส่งเสียงแผดร้องชักดิ้นชักงอด้วยความเจ็บปวด อาการของแต่ละคนเป็นไปตามประเภทของคำสาปที่โดนสาปใส่ ส่วนคนที่ยังเหลือรอดได้อยู่ก็คือนายทหารที่สามารถกางโล่เวทย์มนต์ต้านรับเอาไว้ได้

หากทว่าการโจมตีนั้นยังไม่จบสิ้น เพราะขณะที่เหล่าทหารหลวงเตรียมตอบโต้กลับ พื้นดินก็สั่นสะเทือนจนไม่สามารถยืนได้มั่นคง แต่ที่น่าตระหนกจนทุกคนขนลุกเกรียวก็คือมืออันเน่าเฟะเหมือนซากศพที่แหวกทะลวงผืนดินขึ้นมา ทหารบางนายส่งเสียงแผดร้องผวาจนขาดสติ เพราะโดนมืออันเน่าเฟะเหล่านั้นจับกุมจิกลงไปที่เกราะขาจนเลือดซึมออกมานองเต็มพื้น

“ครืนนนนนนนนน !!!!!”

เสียงฟ้าร้องดังสนั่นจนสะท้านสะเทือนไปถึงหัวใจ แต่ที่ทำให้ผู้คนขวัญผวาที่สุดกลับเป็นรูปร่างน่าสยดสยองซึ่งสะท้อนกับแสงจากฟ้าแลบ พวกมันผุดโผล่ปรากฏออกมาจากใต้ดิน พวกมันพากันส่งเสียงร้องน่าหวาดผวา และพวกมันก็คือเหล่าอันเดทกระหายเลือด นอกจากศพเน่าเฟะแล้ว ยังมีเหล่าโครงกระดูกเดินได้รวมกันเป็นจำนวนทั้งสิ้นสิบแปดศพ ดวงตาของพวกมันเป็นลูกไฟสีเขียวเข้มน่าสยดสยองตามเอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์

ปากซึ่งเต็มไปด้วยตัวหนอนและกลิ่นเน่าเหม็นของพวกมันอ้าอวดเขี้ยวสีเหลืองคมกริบ พวกมันพร้อมจะฉีกกระชากกัดกินร่างเลือดเนื้อของทุกสรรพชีวิต พวกมันคือเผ่าอันเดทที่ถูกบงการโดยผู้เชี่ยวชาญศาสตร์มืด ทหารองครักษ์วังหลวงย่อมเคยต่อกรกับเหล่าอันเดทมาแล้วไม่น้อย หากทว่าการปรากฏตัวของพวกมันในช่วงเวลาที่จิตใจตกต่ำสุดขีดนั้น ทำให้จิตใจที่สั่นคลอนอยู่แล้วยิ่งบังเกิดความหวาดผวา

ทหารบางนายถึงกับหมดเรี่ยวแรงทิ้งตัวลงนั่ง ทหารซึ่งเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและไร้การป้องกันตัวเหล่านี้นี่เอง ที่กลายเป็นเหยื่อรายแรก ๆ โดนเหล่าอันเดทกระโจนเข้าไปขย้ำกัดกินจนเลือดสาดแผดร้องโหยหวน

“ไอ้พวกบ้า หยิบอาวุธขึ้นมาเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่สู้พวกแกตายแน่”

หัวหน้ากองทหารคลาสสี่ส่งเสียงตะโกนด่าทอ เวลานี้เขาค่อยเข้าใจกลยุทธ์ของฝ่ายตรงข้ามมากขึ้น การยิงธนูถล่มใส่รถม้าโดยไม่ให้หายใจหายคอนั้นนอกจากจะหวังผลเพื่อเข่นฆ่าแล้ว ยังเป็นการเร่งรัดให้พวกเขาเปิดวงจรเกราะเวทย์ขึ้นมาป้องกัน เกราะนั้นทำให้เหล่านักบวชด้านในไม่สามารถออกมาช่วยเหลือการศึกได้ ไม่เช่นนั้นแล้วเหล่าอันเดท หรือคำสาปก็คงจะไม่ส่งผลร้ายแรงต่อเหล่าทหารมากถึงเพียงนี้ อีกทั้งกลยุทธ์นี้ยังมีผลสะกดไม่ให้มีคนออกมารักษาและเพิ่มความสามารถของกองกำลังด้วยอีกทางหนึ่ง เวลานี้หัวหน้ากองจึงค่อยได้คิดว่าเขาพลาดเดินตามเกมของอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ความเปลี่ยนแปลงที่เลวร้ายกว่าเดิม ทำให้ทหารคลาสสี่สองนายที่บุกเข้าไปในบ้านทางซ้ายและขวากัดฟันกรอด กระนั้นก็ยังกัดฟันกระทำตามคำสั่งพยายามบุกทะลวงเข้าไปในตัวบ้าน พวกเขาส่งเสียงตะโกนก้อง ก่อนจะฟาดฟันดาบใส่อันเดทร่างกายเน่าเฟะที่ปรากฏขึ้นมาขวางทาง ดาบเหล็กเนื้อดีที่ถูกอาบด้วยพลังเวทย์จนเปล่งแสงสีนั้นฟันใส่จนร่างของอันเดทขาดกระจุยในคราวเดียว และนั่นแสดงให้เห็นถึงพลังฝีมือของเหล่าทหารคลาสสี่ พวกเขาย่อมเหนือกว่าเหล่าอันเดทระดับต่ำที่อยู่คลาสสามมากนัก

หากทว่าเมื่อทหารคลาสสี่ทั้งสองนายพยายามพุ่งทะลวงประตูเข้าไป ร่างในชุดเกราะเหล็กของพวกเขาก็หยุดชะงักราวกับกระแทกชนเข้ากับกำแพงเหล็ก ก่อนจะลอยปลิวลิ่วย้อนกลับมากลิ้งเกลือกลื่นไถลไปบนพื้นพร้อมกับสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าว แม้จะไม่ถึงกับสิ้นท่าในคราวเดียว แต่แรงกระแทกที่ย้อนกลับมานั้นก็รุนแรงจนพวกเขาบอบช้ำ และบุรุษทั้งสองที่กระแทกนายกองทั้งสองนายกลับออกมานั้นกำลังยืนด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาทั้งสองคู่นั้นคล้ายกับไร้ซึ่งจิตวิญญาณ

พวกเขามีเส้นผมและดวงตาสีฟ้าอันเป็นสัญลักษณ์ของเผ่าเทพ เพียงแต่ดวงตาดูเลื่อนลอยไร้ชีวิตชีวา บนร่างกายมีร่องรอยของบาดแผลเน่าเฟะไม่น่ามอง หนึ่งในนั้นมีแผลเหวอะหวะซีดขาวลึกจนเห็นกระดูกที่ลำคอ ในขณะที่อีกหนึ่งนั้นมีรูขนาดใหญ่บริเวณท้องน้อยจนมองทะลุด้านหลังได้

ทหารหลวงที่เหลืออยู่ต่างพากันสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ เพราะจากประสบการณ์และความรู้นั้น สามารถสรุปความได้ว่านี่เป็นซากศพของเผ่าเทพเพศชาย ซึ่งสมควรจะต้องอยู่ในระดับคลาสห้าเป็นขั้นต่ำ

สิ่งนี้สมควรเป็นซากศพที่ถูกบงการโดยผู้บงการศพ ถึงแม้จะอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสเหมือนไม่สมบูรณ์ แต่ว่านี่คือซากศพที่ไม่มีความเจ็บปวด และถือได้ว่ามีพลังเหนือกว่าพวกเขาอีกก้าวใหญ่ ดังนั้นหากไม่นับว่านี่อยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังก็คงไม่ทราบว่าจะเรียกว่าอะไรอีกแล้ว

ขณะที่ทหารบางคนยืนตื่นตะลึง การฆ่าฟันกลับยังคงดำเนินต่อไปแข่งกับสายฝนที่สาดซัดกระหน่ำหนาหนัก เสียงแผดร้องดังลั่นแข่งกับเสียงฟ้าแลบ เลือดเนื้อสีแดงฉานสาดกระเซ็นผสมกับน้ำขังบนพื้นราวกับแม่น้ำแห่งความตาย

เหล่าชาวบ้านต่างหวาดกลัวจนต้องหาที่ซุกซ่อนไม่กล้ายื่นมือเข้าช่วยเหลือ แม้แต่เหล่าผู้เล่นราวสิบกว่าคนในบริเวณนั้นก็โดนภาพความโหดร้ายของการฆ่าฟันสะกด พวกเขาได้แต่หลบซ่อนไม่กล้าเสนอหน้าออกมาเป็นเหยื่อให้เหล่าอันเดทกัดกิน

ยังดีที่เวลานี้การโจมตีด้วยธนูได้หยุดลงแล้ว ซึ่งไม่ทราบว่านั่นเป็นแค่เพียงชั่วคราว หรือเป็นเพราะลูกธนูที่เตรียมไว้ได้หมดลง แต่หากลองนับเศษซากของลูกธนูที่ปักอยู่รอบบริเวณแล้ว สมควรประเมินนับได้ไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันดอก

ทหารหลวงคลาสสี่ซึ่งรับหน้าที่ช่วยป้องกันเพื่อนทหารค่อยมีเวลาได้หอบหายใจ แม้จะพอป้องกันตนเองและช่วยเหลือเพื่อนทหารได้บ้าง แต่จำนวนที่มากเกินไปก็ทำให้มีลูกธนูปักทะลุเกราะแกร่งตามแขนขาอยู่ไม่น้อย กระนั้นนั่นก็ไม่ได้ทำให้ความคิดสู้รบของทหารคลาสสี่ทั้งหลายลดน้อยถอยลง พวกเขาหันมามองหน้ากันเองแวบหนึ่ง ก่อนจะแยกย้ายกันทำหน้าที่ ทหารทั้งสี่คนแบ่งเป็นสองกลุ่มกลุ่มละสองนาย ใช้วิธีโจมตีสองรุมหนึ่งใส่ซากศพของเผ่าเทพแบบทุ่มสุดตัว

เสียงโครมดังสนั่นเมื่อทหารหลวงใช้ทักษะระดับสูงฟาดฟันเข้าใส่ซากศพเผ่าเทพ ความรุนแรงของการโจมตีทำให้เกิดแรงกระแทกอากาศจนตัวบ้านสั่นสะเทือน อันเดทเผ่าเทพโดนคมดาบเสียบใส่ร่างจมลึกเข้าไปราวหนึ่งนิ้ว การโจมตีคล้ายจะสำเร็จ หากทว่าทหารหลวงทั้งสี่กลับยิ้มไม่ออก เพราะซากศพทั้งสองนั้นกำลังแสยะยิ้มเย็นเยียบ และนั่นหมายความว่าพวกมันเจตนาที่จะรับการโจมตีเพื่อสวนกลับจบเกมให้เร็วที่สุด เพราะจะอย่างไรอันเดทก็ไม่รู้สึกเจ็บปวด หรือหวาดกลัวความตายอยู่แล้ว

ซากศพเผ่าเทพไม่สนใจอาวุธที่เสียบค้างอยู่บนร่าง พวกมันสะบัดมือต่อยหมัดออกด้วยพลังกายที่เหนือกว่า หมัดนั้นอัดใส่ทหารหลวงอย่างทื่อด้านตรงไปตรงมา ในระยะประชิดเช่นนี้พวกเขาย่อมไม่มีโอกาสแม้แต่จะหลบเลี่ยงหรือป้องกัน เสียงทึบหนักจึงดังขึ้นพร้อมกับร่างของทหารหลวงคลาสสี่ทั้งสี่นายที่ลอยหวือละลิ่วขึ้นไปบนฟ้า แล้วร่วงหล่นลงมากระแทกพื้นในสภาพบาดเจ็บสาหัสไม่อาจลงมือต่อสู้ได้อีก

เวลานี้สายฝนหยุดลงแล้ว เมฆฝนเริ่มขยับเคลื่อนจากไป ผลของการซุ่มโจมตีอันดุดันรวดเร็วนี้แทบจะเรียกว่าเป็นการฆ่าฟันแต่ฝ่ายเดียว เหล่าทหารหลวงทั้งสามสิบชีวิตต่างบาดเจ็บสาหัสเพราะลูกธนู หรือไม่ก็เพราะโดนอันเดทกัดกินไปแล้วกว่าสิบชีวิต ส่วนที่เหลือก็บาดเจ็บสาหัส ต่างนอนหมดสภาพอยู่บนดินโคลนเปื้อนเลือดสีแดงฉาน

“พวกเราบรรจุลูกธนูไฟให้พร้อม เตรียมจัดการพวกที่อยู่ในรถม้า ถ้าพวกมันไม่ออกมาก็ให้โดนไฟเผาตายไป แต่ถ้าพวกมันออกมาก็ยิงถล่มซ้ำ หรือไม่ก็ให้พวกมันตายเพราะเผ่าเทพทั้งสองของพวกเรา”

เนวาน่าพูดสั่งการด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย เธอก้มหน้ามองดูสภาพของการฆ่าฟันด้วยท่าทีพินิจพิจารณา ในความคิดของเธอนั้นแผนการลอบสังหารที่ตระเตรียมไว้อย่างละเอียดรอบคอบนี้ แทบจะเรียกได้ว่าสำเร็จสมบูรณ์แล้ว ทหารของแบล็คฟอร์ดที่ลอบเข้าเมืองมาโดยความช่วยเหลือของมหาอุปราชนั้นไม่มีใครได้รับบาดเจ็บแม้แต่ปลายก้อย หากทว่าทหารหลวงของเลอองนิสต์ต่างกลายเป็นหมดสภาพ ได้แต่รอคอยการปลิดปลงชีวิตให้สิ้นสูญ

กลุ่มคนที่หลงเหลืออยู่ในรถม้านั้นก็เป็นเพียงเหล่านักบวช นักบวชไม่ควรมีความสามารถทางด้านการสู้รบ ส่วนทหารรักษาความปลอดภัยในบริเวณนี้ ต่างโดนมหาอุปราชฟาร์โก้สั่งโยกย้ายไปกระทำภารกิจอื่นแล้ว เนวาน่าจึงวางใจได้ว่าจะไม่มีกองกำลังอื่นเข้ามายุ่มย่ามยุ่งเกี่ยวอีกระยะเวลาหนึ่ง ต่อให้รถม้าจะยังมีเกราะเวทย์ระดับสูงคอยป้องกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเกราะนั้นจะแข็งแกร่งไร้หนทางเจาะทำลาย

เนวาน่าละสายตาจากรถม้า เธอหันมามองดูเหล่าทหารหาญแห่งเมืองแบล็คฟอร์ด ตอนนี้ทหารทุกนายอยู่ในท่วงท่าเตรียมพร้อมเหนี่ยวไกหน้าไม้ปลดปล่อยธนูไฟ ซึ่งนั่นสมควรจะเป็นการโจมตีชุดสุดท้ายเพื่อจบชีวิตเหล่านักบวชที่น่าเวทนา ต่อให้เกราะเวทย์ที่อาบเคลือบอยู่บนรถม้าสามารถป้องกันลูกธนูได้ แต่ย่อมไม่มีทางป้องกันคลื่นความร้อนจากการโดนเผาทั้งเป็นได้

จากข่าวสารที่ได้รับจากมหาอุปราชฟาร์โก้นั้น เธอทราบว่าในขบวนรถม้ามีบาทหลวงจอห์นสันแห่งเมืองไวท์พอร์ท ซิสเตอร์มาเรียผู้ดูแลวิหารอำนวยพรของเมือง และนักบวชสาวระดับไฮพรีสหนึ่งคน ส่วนนักบวชอีกสามคนที่ถูกแวะรับระหว่างทางนั้นเธอยังไม่ทราบข้อมูลว่าเป็นใคร และเธอก็ไม่คิดว่าเธอจำเป็นต้องรู้ชื่อคนที่กำลังจะต้องตาย

“ยิง!!!!”

เนวาน่ายกมือขาวผุดผ่องขึ้นแล้วสะบัดพร้อมกับสั่งยิง จากนั้นเหล่าทหารหาญจากเมืองแบล็คฟอร์ดที่ถือหน้าไม้กว่าสี่สิบนายก็กดไกหน้าไม้ พวกเขาแต่ละนายปลดปล่อยลูกธนูซึ่งมีเปลวเพลิงลุกโชนสามดอกพุ่งแหวกอากาศดังขวับ
เมื่อนับรวมกันทั้งสิ้นแล้วจึงมีลูกธนูพุ่งไปโดนเป้าหมายรวมกันมากกว่าหนึ่ง ร้อยดอก ถึงแม้เกราะเวทย์จะทำหน้าที่ได้ดีจนลูกธนูไม่สามารถเจาะผ่านไปได้ หากทว่าพวกมันก็ยังสามารถปักลงไปบนเนื้อไม้ และส่งความร้อนเผาผลาญชีวิตที่อยู่ในนั้นได้

นอกจากนี้ยังมีเหล่าทหารเวทย์ที่จัดการร่ายเวทย์บอลเพลิงแล้วยิงถล่มใส่อีกชุดใหญ่ เวลานี้ถึงแม้ว่ารถม้าจะเปียกน้ำฝนอยู่บ้าง หากทว่าเปลวเพลิงจากลูกธนูและบอลเพลิงนั้นร้อนแรงยิ่งกว่า สายฝนที่หยุดลงยิ่งทำให้ไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งเปลวเพลิงได้ เพียงพริบตาเดียวรถม้าของวิหารอำนวยพรจึงเกิดไฟไหม้ลุกโชติช่วง ในขณะที่เหล่าทหารหลวงองครักษ์ไม่อาจกระทำอย่างไรได้ เพราะแค่พยายามกัดฟันต่อสู้เอาตัวรอดจากเหล่าอันเดทกระหายเลือดก็ย่ำแย่แล้ว

เพลิงไฟยิ่งมายิ่งลุกโชนเจิดจ้า เปลวความร้อนแผ่พุ่งจนผู้คนรอบด้านรู้สึกแสบร้อน และความร้อนในระดับนี้สมควรจะเผาคลอกผู้คนที่อยู่ในรถม้าจนหมดสิ้นแล้ว หากทว่าเนวาน่ายังคงไม่ไว้วางใจ เธอยังคงสั่งให้เหล่าทหารบรรจุลูกธนูขึ้นหน้าไม้เตรียมลงมือซ้ำอีกรอบ หากทว่าคำสั่งนี้ไม่ได้มาจากความละเอียดรอบคอบ เพราะตามหลักเหตุผลแล้วเธอเองก็ไม่เชื่อว่าจะมีคนรอดออกมาได้ เพียงแต่คำสั่งนี้มาจากลางสังหรณ์บางอย่าง

เหล่าทหารจากเมืองแบล็คฟอร์ดที่แต่งตัวชุดดำและปิดคลุมใบหน้าย่อมไม่เห็นด้วยกับคำสั่ง พวกเขาต่างก็คิดว่าภารกิจสมควรเสร็จสิ้นแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงกระทำตามคำสั่งซึ่งถือเป็นทหารที่เต็มไปด้วยระเบียบวินัย หน้าไม้ถูกบรรจุด้วยลูกธนูใหม่อีกครั้งก่อนจะเล็งเป้าเตรียมยิงถล่มใส่รถม้าอีกระลอกหนึ่ง ส่วนทหารเวทย์นั้นกำลังทำการรวบรวมพลังเวทย์เตรียมยิงถล่มใส่เช่นเดียวกัน

ขณะที่ฝ่ายหนึ่งตั้งท่าเตรียมประหัตประหาร แต่อีกฝ่ายหนึ่งกลับหมดสภาพ ฝ่ายที่เหลือจึงต้องพยายามเอาใจช่วย ชาวบ้านที่มุงดูพากันส่งเสียงหวีดร้องวอนขอความเมตตา โดยเฉพาะเหล่าหญิงสาววัยรุ่นกลุ่มใหญ่ที่กำลังหวาดผวาแอบซ่อนอยู่ในอาคารถัดไปไม่ไกล และหญิงสาวมีรูปร่างหน้าตาดีที่สุดในกลุ่มเริ่มมีสติกลับคืนมาเป็นคนแรก

“ไม่นะ พวกเราต้องไปช่วยพวกเขา นั่นมันรถม้าของวิหาร ข้างในจะต้องเป็นนักบวชแน่เลย”

เธอคนนั้นหวีดร้องส่งเสียงขอความช่วยเหลือจากผู้คนรอบข้าง เธอเพิ่งสังเกตเห็นว่านั่นเป็นรถม้าของนักบวชซึ่งเป็นที่เธอเคารพศรัทธา เธอจึงรีบวิ่งออกมาจากที่ซ่อนทำท่าจะพุ่งเข้าไปในลานประหาร หากทว่ายังดีที่มีหญิงสาวอีกสามคนช่วยกันเหนี่ยวรั้ง และจับสาวงามคนนั้นมิให้เข้าไปหาที่ตาย

“อย่านะฟลอร่า พวกเราทำอะไรไม่ได้หรอก”

“ปล่อยชั้นนะ จะให้พวกเรายืนมองดูพวกเขาตายแบบนี้เหรอ โธ่ ใครก็ได้ ได้โปรด พระเจ้าได้โปรดช่วยเหลือนักบวชเหล่านี้ด้วยเถอะ ข้าฟลอร่าขอวิงวอน ได้โปรด …”

สาวงามชื่อฟลอร่าคนนั้นวอนขอด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า ใบหน้าสวยที่เปิดเผยอารมณ์เสียใจนั้นดลบันดาลให้ผู้คนคิดอยากลงมือช่วยเหลือ แต่จะอย่างไรก็ยังไม่มีใครกล้าพอจะเสนอหน้าฝ่าดงอันเดทและลูกธนูเข้าไปหาที่ตาย สุดท้ายเธอจึงได้แต่นั่งคุกเข่าภาวนาร้องขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลปาฏิหาริย์ช่วยเหลือต่อเหล่านักบวช

ไม่ทราบว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงหรือไม่ หากทว่าการปรากฏตัวของสาวงามนางนี้ได้ถูกรับรู้ด้วยชายผู้หนึ่งเรียบร้อยแล้ว และนั่นทำให้ทุกคนในบริเวณเริ่มสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันแปลกประหลาดบางอย่าง ความรู้สึกอันแปลกประหลาดนั้นได้สะกดให้ทุกคนเงียบเสียงลงทีละคนสองคนจนกลายเป็นเงียบกริบ แม้กระทั่งเหล่าอันเดทกระหายเลือดก็ยังหยุดการกัดกินเลือดเนื้ออันหอมหวาน แล้วหันมามองดูรถม้าในสภาพที่มีเลือดสีแดงฉานไหลย้อยลงจากปาก

ความแปลกประหลาดที่ว่านั้นก็คือ กระแสพลังธาตุที่ไม่ปกติ เปลวเพลิงที่แผดเผาลามเลียรถม้าจนสว่างโชติช่วงนั้นเริ่มเต้นเร่าราวกับเริงระบำ พวกมันเคลื่อนไหวไปมาอย่างแปลกประหลาดผิดธรรมชาติ ไอความร้อนที่แผ่กระจายออกมาจนแสบใบหน้านั้นเลือนหายไปอย่างกะทันหัน เปลวเพลิงสีแดงฉานราวกับไหลลื่นไถลขึ้นไปรวมกันเป็นกลุ่มก้อนบนหลังคารถม้า พวกมันเกาะกลุ่มรวมกันกลายเป็นก้อนกลมขนาดใหญ่คล้ายกับไข่ใบหนึ่ง ก่อนจะลอยขึ้นไปด้านบนสูงจากพื้นราวสี่เมตร

ก้อนกลมสีแดงฉานนั้นมีขนาดใหญ่เกือบเท่ากับม้าสองตัว มันคล้ายกับเวทย์บอลเพลิงของนักเวทย์อยู่บ้าง หากทว่ามีอะไรที่ผิดแผกแตกต่างจนทุกคนรู้สึกได้ ทุกคนต่างรู้สึกตรงกันว่าเปลวเพลิงนั้นมิได้เป็นเช่นเวทย์มนต์บอลเพลิงตามปกติธรรมดา

บรรยากาศกลายเป็นความเงียบสงบที่เต็มไปด้วยความพิศวง เวลานี้แสงสีขาวที่ห่อหุ้มรถม้าเริ่มอ่อนจางลง เกราะป้องกันเริ่มเสื่อมสภาพจนแทบหมดสิ้น หากทว่าไม่มีใครใคร่ใส่ใจมองดูรถม้า แม้แต่เหล่านักฆ่าที่หมายมั่นจะเข่นฆ่าคนในรถม้าก็ยังไม่มีกะใจมองดู สายตาของทุกคนต่างมองดูก้อนเพลิงสีแดงฉานราวกับโดนสะกด แม้แต่เหล่าชาวบ้านที่หวาดกลัวหัวหดก็เริ่มชะโงกหน้าออกมาจากที่หลบซ่อน พวกเขาพากันยกมือขึ้นสวดภาวนาตามความเชื่อ แม้จะไม่ทราบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร หากทว่าอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนจะช่วยเหลือเหล่านักบวชผู้มากศรัทธาย่อมมิใช่สิ่งชั่วร้าย

“ตูม!!!!”

ทันใดนั้นเสียงเสียงแตกหักของเนื้อไม้ก็พลันดังกึกก้องจนผู้คนสะดุ้งโหยง พริบตาที่เกราะเวทย์ของรถม้าสูญสลายหายไป เนื้อไม้แข็งแกร่งที่สามารถทนทานการยิงถล่มของลูกธนูแกร่งได้ก็ถูกกระแทกทำลายจากด้านในออกมาในคราวเดียว ร่างสูงสง่าของบุรุษสวมใส่ชุดนักบวชระดับสูงพุ่งทะลวงหลังคารถม้าขึ้นไปลอยค้างอยู่บนอากาศบริเวณใต้ลูกไฟสีแดงฉาน ในมือของเขายกชูไว้ด้วยอาวุธที่เปล่งแสงสว่างสุกสกาวน่าหลงใหล และภาพนี้เองที่ทำให้ทุกคนต้องอ้าปากค้างด้วยความแตกตื่นตะลึงลาน

เวลานี้สิ่งที่ทุกคนสนใจเปลี่ยนจากลูกไฟมาเป็นปีกสีขาวพิสุทธิ์ทั้งสี่ข้าง ปีกเหล่านั้นกำลังกระพืออย่างแผ่วเบางามสง่าอยู่บนแผ่นหลังของชายคนนั้น และนั่นคือสัญลักษณ์ของเผ่าพันธุ์อันสูงส่งเผ่าพันธุ์หนึ่งของโลกเวอร์เดนแห่งนี้

“เผ่าเทพระดับสูง!!!”

เสียงอุทานดังขึ้นระงมโดยไม่แบ่งฝักฝ่าย สาวงามซึ่งพยายามจะเสี่ยงชีวิตเข้ามาช่วยเหลือถึงกับเงยหน้ามองดูบุรุษผู้ผู้มากด้วยสง่าราศีนี้พร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรากจากดวงตาสวยซึ้งทั้งสองข้าง ไม่ทราบว่าเป็นเหตุบังเอิญหรือสวรรค์ช่วยเสริมส่งอานุภาพ เพราะเวลาเดียวกันนั้น แสงแดดได้สาดส่องทะลุเมฆฝนสีดำทะมึนลงมาตรงตำแหน่งของบุรุษหนุ่ม นั่นคล้ายกับแสงแห่งความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่สาดส่องลงมาในขุมนรกอันมืดมิด ในสายตาของผู้คนแล้ว นั่นแทบเปรียบได้กับพระผู้มาโปรดต่อเหล่าสรรพสัตว์ในแดนโลกีย์

โดยปกติแล้วเผ่าเทพจะมีปีกเช่นนี้กันทั้งสิ้น หากทว่าจะมีปีกเพียงหนึ่งคู่เท่านั้น ยกเว้นก็แต่เพียงเทพระดับสูงจึงจะมีปีกสีขาวพิสุทธิ์เช่นนี้มากกว่าหนึ่งคู่ ซึ่งนั่นก็เรียกได้ว่าหายากยิ่ง การปรากฏตัวขึ้นของเผ่าเทพที่มีปีกสองคู่ในแดนมนุษย์เช่นนี้จึงนับเป็นปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง

เวลานี้ทุกคนได้แต่นิ่งอึ้งตะลึงเหม่อมองดูอานุภาพแห่งเผ่าเทพ บางคนถึงกับคุกเข่าลงไปยกมือแนบอกแสดงความเคารพ แม้แต่เนวาน่าเจ้าหญิงแห่งเมืองแบล็คฟอร์ดซึ่งแฝงตัวอยู่ในบ้านเรือนก็ยังไม่อาจเก็บอาการตื่นตะลึงพึงเพริดเอาไว้ได้

เธอเหม่อมองดูเขาด้วยแววตาวับวับเป็นประกาย หากทว่านั่นมิใช่แววตาเปี่ยมความเคารพศรัทธาเช่นผู้อื่น นั่นเป็นแววตาของเด็กน้อยที่ได้เห็นของเล่นถูกใจ มันคือความฝันในวัยเยาว์ของเธอ ความฝันที่จะได้ครอบครองและบงการเผ่าเทพระดับสูง และวันนี้ความฝันของเธอมาอยู่เบื้องหน้าให้ไขว่คว้าแล้ว

ขณะที่ทุกคนนิ่งอึ้งอยู่นั้น บุรุษที่ผู้คนเชื่อว่าเป็นเผ่าเทพก็ได้หันมามองสบตา เขาเผยรอยยิ้มอบอุ่นให้แก่ฟลอร่าหญิงงามที่พยายามจะเข้ามาช่วยเหลือ และรอยยิ้มนี้เองที่ทำให้ใบหน้าของเธอแดงระเรื่ออย่างรวดเร็ว แม้จะรู้สึกเขินอาย หากทว่าเธอกลับไม่อาจหักใจหันสายตามองไปทางด้านอื่นได้ เพราะการปรากฏกายของเผ่าเทพระดับสูงในครั้งนี้อาจเป็นปรากฏการณ์ที่มีเพียงครั้งเดียวไม่มีครั้งที่สองอีก

“สวยจริง ๆ ด้วยแฮะ ถึงจะไม่เท่าเจ้าหญิงเนวาน่า หรือเจ้าหญิงพารีส แต่ก็ถือว่าสวย น่าจะพอ ๆ กับพวกลิลลี่ได้มั้ง … ชื่อฟลอร่างั้นเหรอ หรือว่าจะเป็นหนึ่งในห้าสาวงามประจำเมืองคนนั้น”

ขณะที่ชาวเมืองกำลังจ้องมองมาด้วยสายตาเคารพเทิดทูนบูชานั้น บุรุษที่ถูกมองว่าเป็นเผ่าเทพระดับสูงกลับกำลังลอบชมดูความงดงามของหญิงสาวด้วยจิตราคะ และแน่นอนว่าชายผู้นี้ก็คือแม็กในคราบของนักบวชระดับสูงนั่นเอง

ก่อนหน้านี้เขาติดอยู่ในรถม้าเพราะระบบกลไกเวทย์มนต์เกราะป้องกัน ซึ่งความจริงอาจจะใช้คำว่าติดอยู่ก็คงไม่ถูกนัก เนื่องจากเขามีความสามารถพอที่จะทะลวงออกมาได้ กระนั้นหากใช้กำลังทำลายจริง ๆ แล้ว เขาก็ไม่แน่ใจนักว่าจะมีผลสะท้อนกลับไปสู่แองจี้และคนอื่นในรถม้าหรือไม่ และเมื่อรวมกับความตั้งใจที่ว่าจะพยายามไม่ทำตัวเด่นเกินไป เขาจึงอยู่นิ่งเฉยรอดูท่าทีไปก่อนว่าเหล่าทหารองครักษ์จะพลิกสถานการณ์ได้หรือไม่

เมื่อเห็นว่าทหารองครักษ์ต่อสู้ไม่ไหว และรถม้ากำลังโดนเผา ทุกคนในรถม้าจึงเริ่มเตรียมตัวต่อสู้ แผนการที่เตรียมเอาไว้ตั้งแต่แรกนั้น แม็กจะสั่งให้ให้ศพของเผ่าเทพทั้งสองศพเป็นตัวเปิดเกมบุกตะลุยฝ่าด่าน หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน แม็กและนักบวชทั้งสามก็จะทำการรักษาฟื้นฟูเหล่าทหารองครักษ์ รวมถึงจัดการกับพวกอันเดทให้หมดสิ้น ซึ่งหากกระทำเช่นนี้ เขาก็จะไม่โดดเด่นเกินไป

กระนั้นแผนการก็ต้องเปลี่ยนไป เมื่อประสาทสัมผัสกาลเวลาของแม็กแผ่ขยายรับรู้ถึงรูปร่างหน้าตา รวมถึงการกระทำทั้งหมดของฟลอร่า หรือหากจะพูดให้เข้าง่ายก็คือ เขาอยากจะแสดงพลังอิทธิปาฏิหาริย์เพื่ออวดสาวสวยคนนี้นั่นเอง

แม็กตัดสินใจเปลี่ยนแผนในฉับพลันโดยไม่บอกกล่าวผู้ใด เขาสั่งให้สองศพเผ่าเทพเฝ้าอารักขาแองจี้และสองนักบวชอาวุโส ก่อนจะเรียกใช้เวทย์มนต์ธาตุแสงใส่ปีกให้แก่ตนเอง ตามด้วยการใช้ทักษะของอาชีพผู้บงการสรรพธาตุ

ไฟที่เผาไหม้รถม้านั้นถือเป็นธาตุไฟอิสระที่เขาสามารถเชื่อมต่อควบคุมได้ และเมื่อมันเป็นไฟที่ไม่มีคนควบคุมอยู่ก่อน เขาก็ยิ่งสามารถควบคุมพวกมันได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังสิ้นเปลืองเวทย์มนต์น้อยลงมาก

เพียงพริบตากองไฟที่ลุกโชนรถม้า ธาตุไฟเหล่านั้นก็กลายมาเป็นลูกพลังเพลิงในการควบคุมของเขา อีกทั้งยังทวีความร้อนแรงยิ่งกว่าเก่าเพราะกลายเป็นผลิตผสมร่วมกับเวทย์มนต์ของเขาอีกส่วนหนึ่ง สิ่งนี่คือหนึ่งในความสุดยอดของผู้บงการสรรพธาตุ เพียงแต่เขาอาจจะยังไม่ได้ตระหนักถึงความร้ายกาจของมัน เพราะว่าเวลานี้เขาเพียงคิดว่าจะต้องใช้ทักษะอย่างไรจึงจะตระการตาจนสามารถยึดครองหัวใจของสาว ๆ ในบริเวณนี้ได้

“Legend Sphere of Life!!!”

ทักษะติดตัวของผู้บงการสรรพธาตุกำลังทำงานไปพร้อมกับจินตนาการอันสูงส่ง นี่คือทักษะที่สามารถสร้างสรรค์ลูกพลังธาตุให้เปลี่ยนแปลงรูปร่างตามจินตนาการ และลูกพลังนั้นจะเสมือนมีชีวิตสามารถคิดเองได้ ทั้งยังมีความสามารถตามสิ่งที่ถูกจินตนาการขึ้นมาด้วยอีกทางหนึ่ง

“ยิง … รีบยิงเดี๋ยวนี้ เล็งไปที่เทพองค์นั้นก่อน”

เนวาน่าดูจะได้สติกลับมาก่อนใคร แม้จะเหม่อมองดูการปรากฏกายของเผ่าเทพระดับสูงด้วยแววตาชื่นชมอยากครอบครอง หากทว่าเธอยังคงไม่ลืมเลือนสถานการณ์ นอกจากนี้เธอยังได้คิดภารกิจสำคัญเร่งด่วนที่สุดขึ้นมาในหัวด้วยอีกหนึ่งอย่าง ซึ่งนั่นก็คือการฆ่าเผ่าเทพระดับสูง และนำศพไปอยู่ในบงการของเธอ

กระนั้นหากให้กล่าวกันตามความเป็นจริงแล้ว เนวาน่ายังรู้สึกว่าการฆ่าและยึดครองร่างของเทพระดับสูงสี่ปีกนั้น ดูจะสำคัญสำหรับเธอยิ่งกว่าการฆ่าพวกนักบวชที่อยู่ในรถม้า รวมถึงอาจจะยังสำคัญยิ่งกว่าการยึดครองเมืองเลอองนิสต์เสียด้วยซ้ำ

คำสั่งของเนวาน่าทำให้เหล่าทหารจากเมืองแบล็คฟอร์ดต่างอยู่ในอาการชะงักงัน หนึ่งนั้นพวกเขาส่วนใหญ่นับถือและเคารพต่อเผ่าเทพ และสองก็คือเผ่าเทพนั้นเป็นตัวแทนของพลังอำนาจอันสูงส่ง ดังนั้นพวกเขาจึงลังเลที่จะตั้งตัวเป็นศัตรูด้วย กระนั้นเมื่อโดนคาดคั้นจากผู้นำทัพ พวกเขาก็ต้องกัดฟันกรอดยิงธนูออกไปตามระเบียบของทหาร ไม่เช่นนั้นอาจจะเป็นพวกเขาเองที่เป็นฝ่ายโดนยิงทิ้ง

ลูกธนูนับร้อยดอกโดนปล่อยออกจากหน้าไม้ราวกับห่าฝน ตามด้วยบอลเพลิงรวมไปถึงคำสาปประเภทต่าง ๆ การกระทำนี้เรียกเสียงหวีดร้องตื่นตกใจจากผู้คนในบริเวณนี้ได้อีกครั้ง เพราะพวกเขายังมิเคยได้พบเจอกับเทพระดับสูงมาก่อน จึงไม่ทราบว่าเทพที่แท้จริงนั้นทรงพลังอำนาจถึงเพียงไหน และจะสามารถต้านทานการโจมตีจากห่าธนูรวมถึงมนตราเหล่านี้ได้หรือไม่

ในห้วงแห่งความเป็นความตายนี้เองที่เรื่องราวน่าตื่นตะลึงได้เกิดขึ้นต่อสายตาผู้คนอีกครั้ง เผ่าเทพสี่ปีกผู้นั้นเพียงยืนนิ่งเฉยมิได้ขยับร่างกายแต่อย่างใด หากทว่าก้อนเปลวเพลิงสีแดงฉานรูปทรงเหมือนไข่นั้นกลับยุบตัวหุบเข้าไปด้านใน ก่อนจะแตกกระจายแผ่ขยายเปลวเพลิงออกอย่างรวดเร็วยิ่ง

สิ่งที่ปรากฏออกมาแทนที่คือสิ่งที่เหมือนปีกนก ปีกนั้นกว้างมากกว่าสี่เมตร หากทว่านั่นไม่ใช่ปีกนกปกติ แต่เป็นกลุ่มก้อนอัคคีหนาแน่นทรงพลังที่รวมตัวกันเป็นลักษณะเหมือนปีกนก และสิ่งที่ปรากฏออกมาให้เห็นนั้นมิใช่แค่ปีก หากทว่ายังมีส่วนลำตัว ศีรษะ ขา และนั่นเป็นรูปลักษณ์ของวิหคเพลิงขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง

สิ่งนี้ย่อมมิใช่วิหคเพลิงที่แท้จริง หากทว่าเป็นผลิตผลจากทักษะของผู้บงการสรรพธาตุ ซึ่งรวมไปถึงจินตนาการรังสรรค์อันสูงส่งของแม็ก และความเป็นราชาแห่งเผ่าวิหคเพลิงด้วยอีกทางหนึ่ง จุดประสงค์หลักของเขานั้นคือความยิ่งใหญ่ตระการตา และสัตว์อสูรทรงพลังเกี่ยวกับธาตุไฟที่เขารู้จักนั้นก็มีเพียงแค่วิหคเพลิง ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ของเฟิ่งหวง

ด้วยเหตุนี้เขาจึงจินตนาการเปลี่ยนก้อนเปลวเพลิงให้เป็นรูปลักษณ์ของวิหคเพลิง นั่นเป็นรูปลักษณ์เช่นเดียวกับที่เขาเคยเห็นตอนพูดคุยสนทนากับเฟิ่งหวงเป็นครั้งแรก จินตนาการนี้จึงเด่นชัดทั้งในแง่รูปร่างและพลังอำนาจ รวมไปถึงสิ่งที่เรียกว่าชีวิตจิตใจ

สิ่งที่เขาไม่ทันได้ตระหนักก็คือ การกระทำนี้นับเป็นการใช้งานได้อย่างเปี่ยมประสิทธิภาพอย่างแท้จริง เพราะสิ่งสำคัญสำหรับทักษะของผู้บงการสรรพธาตุนอกจากการเชื่อมโยงกับธาตุนั้น ๆ แล้ว ยังมีจินตนาการ และความเชื่อมั่นต่อสิ่งที่สรรค์สร้างออกมาด้วยอีกทางหนึ่ง
ยิ่งเชื่อมั่นโดยไม่มีความลังเล สิ่งที่รังสรรค์เสกสร้างออกมาก็จะยิ่งเปี่ยมพลังชีวิต และยิ่งทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น หากเสกสร้างโดยไร้จินตนาการ ไม่มีความเชื่อมั่น สิ่งนั้นก็จะเป็นเพียงลูกพลังธาตุที่แตกต่างจากเวทย์มนต์ทั่วไปไม่มากนัก

เพียงพริบตาที่รูปลักษณ์ของวิหคเพลิงปรากฏร่างขึ้นมานั้น มันก็ทำการสยายปีกเพลิงออกก่อนจะสะบัดวูบอย่างรุนแรงคราวหนึ่ง การสะบัดปีกในครั้งนี้มิใช่การสะบัดของร่างกายเลือดเนื้อจึงไม่สมควรจะเกิด แรงลม หากทว่าปีกนี้คือความร้อนแรงของขุมอัคคี และความร้อนแรงนี้ได้ทำให้เกิดการไหลเวียนของอากาศที่มีอุณหภูมิแตกต่างกันอย่างฉับพลัน

เมื่ออุณหภูมิมีความแตกต่าง มวลอากาศก็จะเกิดการไหลย้อน และเมื่อมวลอากาศที่แตกต่างกันเคลื่อนไหว พวกมันก็จะปะทะกันกลายสภาพเป็นสายลม ยิ่งมวลอากาศเคลื่อนไหวมาก สายลมที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งพัดพาหนาหนักตามไปด้วย

เมื่อครู่นี้เพิ่งมีฝนตกหนักอากาศส่วนใหญ่จึงค่อนข้างเย็นและชื้น หากทว่าตรงตำแหน่งนี้แห้งและมีความร้อนสูง เริ่มตั้งแต่ช่วงที่รถม้าเกิดไฟไหม้ และตอนนี้อุณหภูมิก็ยิ่งสูงขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นในกรณีที่มีความแตกต่างด้านอุณหภูมิมากมายเช่นนี้ การไหลเวียนของอากาศจึงเกิดขึ้นอย่างหนักหน่วงและฉับพลัน สายลมที่บังเกิดขึ้นจึงแทบจะเทียบเท่าพายุขนาดย่อมลูกหนึ่ง

แม้ว่าเบื้องหลังจะเกิดสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมากมายตามหลักการทางฟิสิกส์ และแม็กเองก็ไม่ได้เจตนาให้เกิดเรื่องราวเหล่านี้ หากทว่านี่เป็นการกระทำตามสัญชาตญาณของเผ่าวิหคเพลิง พวกมันทราบถึงวิถีแห่งธรรมชาติด้วยสายเลือด แม้จะไม่เข้าใจในหลักการทางวิทยาศาสตร์อันยุ่งยาก หากทว่าพวกมันรู้ด้วยตัวมันเองว่าหากกระทำเช่นนี้จะเกิดสิ่งใดขึ้น

อย่างไรก็ตามในสายตาของผู้คนทั่วไปแล้ว พวกเขาเพียงมองเห็นว่าวิหคเพลิงสะบัดปีกคราวหนึ่ง จากนั้นก็พลันบังเกิดสายลมหมุนอันเกรี้ยวกราดรุนแรงขึ้นห้อมล้อมรอบกายของวิหคเพลิงและเผ่าเทพระดับสูง

ความรุนแรงของสายลมนั้นกระชากจนลูกธนูนับร้อยที่แฝงพลังรุนแรงแฉลบสูญเสียทิศทาง ก่อนจะโดนลมหมุนฉุดกระชากจนลอยละลิ่วหายขึ้นไปบนฟ้า แม้แต่พลังบอลเพลิงและคำสาปที่ถูกระดมยิงเข้ามาก็โดนพลังลมกระแทกจนแตกสลายหายไปราวกับฝุ่นผงไร้ค่า

หากไม่นับวิหคเพลิง และแม็ก รวมถึงแองจี้และเหล่านักบวชที่อยู่ใจกลางลมหมุนแล้ว ทุกคนต่างโดนพลังของสายลมพัดกระแทกใส่จนร่างแทบลอยละลิ่วขึ้นจากพื้น

เหล่าทหารหลวงสวมเกราะที่นอนฟุบกับพื้นนั้นอาจจะโดนผลกระทบน้อยกว่าสักหน่อย เพราะมีน้ำหนักของเกราะช่วยถ่วงไว้ ส่วนเหล่าอันเดทที่ไม่รู้จักหมอบร่างแนบพื้นเพื่อลดแรงปะทะนั้นย่อมได้รับผลกระทบหนักหน่วงกว่า

ร่างเน่าเฟะของซอมบี้ และร่างโครงกระดูกของสเกเลตันวอริเออร์ลอยละลิ่วตามแรงลมขึ้นมาราวกับไร้น้ำหนัก พวกมันพยายามไขว่คว้าหาที่จับยึดตามสัญชาตญาณ หากทว่าพวกมันลงมือช้าเกินไป ร่างของพวกมันเวลานี้ได้ลอยละลิ่วขึ้นมาเหนือพื้น และกำลังลอยลิ่วไปตามแรงเหวี่ยงอันบ้าคลั่งของพายุหมุนขนาดเล็กเรียบร้อยแล้ว

แม้สายลมจะรุนแรงจนต้องหยีตาลง หากทว่าผู้คนภายนอกยังคงอ้าปากค้าง พวกเขาต่างฝืนลืมตามองอานุภาพแห่งเผ่าเทพโดยไม่ยอมปิดตาลง
ภาพที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของทุกคนในเวลานี้มีแต่เพียงพายุสูงเสียดฟ้าที่ปกปักษ์วิหคเพลิงและเผ่าเทพระดับสูงอยู่ภายใน หากทว่าเทวานุภาพที่สำแดงออกมานั้นดูจะยังไม่หมดสิ้นเพียงแค่นี้ หรือหากพูดให้ถูกต้องก็คือแม็กยังเห็นว่านี่ไม่ตระการตาเพียงพอ

“แกว้กก!!!”

วิหคเพลิงขานรับความคิดของผู้เป็นนายด้วยการส่งเสียงร้องก้องจนอากาศสั่นสะเทือน ก่อนจะกระพือปีกพุ่งร่างเข้าไปในกระแสพายุ จากนั้นเพลิงไฟร้อนแรงสีแดงฉานก็แตกตัวแผ่กระจายไหลเวียนไปตามวิถีแรงเหวี่ยง ลมพายุที่สูงเสียดฟ้ากลายสภาพเป็นเสาเพลิงขนาดใหญ่ เผ่าอันเดทกระหายเลือดที่ถูกพายุดูดกลืนจึงโดนฉีกกระชากแผดเผาจนแทบไม่เหลือซาก

แม้จะเป็นเวลาเพียงชั่วขณะไม่ถึงหนึ่งนาที หากทว่าเสาเพลิงนี้กลับสว่างเจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์อีกดวงหนึ่ง ก่อนจะสูญสลายหายไปราวกับไม่เคยเกิดเรื่องราวอันใดมาก่อน

แม้แต่แม็กบุรุษผู้รังสรรค์สร้างวิหคเพลิงขึ้นมายังแตกตื่นอ้าปากค้าง เขาย่อมไม่นึกไม่ฝันว่าวิหคเพลิงที่สร้างขึ้นมาจะสามารถกระทำได้ถึงเพียงนี้ อย่าว่าแต่ผู้อื่นที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว แองจี้ที่ยืนอยู่ด้านล่างเองก็ยังอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก เธอเป็นคนที่รู้จักแม็กดีที่สุด แต่ก็ยังคาดไม่ถึงว่าจะสามารถทำได้ถึงขนาดนี้ ส่วนซิสเตอร์มาเรียและบาทหลวงจอห์นสันนั้น เวลานี้พวกเขาได้นั่งคุกเข่าสวดภาวนาด้วยความศรัทธาเลื่อมใสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ชาวบ้านในเมืองต่างก็กระทำเช่นเดียวกัน พวกเขาต่างนั่งคุกเข่าสวดภาวนา ในขณะที่ฟลอร่านั้นถึงกับหลั่งน้ำตานองหน้าด้วยความศรัทธา เธอยกมือขาวผ่องขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลพรากออกมารอบแล้วรอบเล่า หากทว่าภาพที่มองดูเผ่าเทพผู้มากด้วยพลานุภาพนี้ก็ยังคงพร่าเลือนอยู่ตลอดเวลา

น้ำตาแห่งความยินดีของสาวงามทำให้แม็กได้สติคืนกลับมา ปาฏิหาริย์ที่เขาคิดสร้างขึ้นมานั้นไม่ได้อลังการถึงเพียงนี้ แรกสุดเขาเพียงคิดจะใช้เกราะเวทย์เพื่อป้องกันลูกธนูและคำสาป แล้วจึงค่อยใช้วิหคเพลิงโจมตีใส่อีกฝ่าย หากทว่าวิหคเพลิงที่สร้างขึ้นกลับตอบสนองต่อคำสั่งที่ว่าให้กระทำเรื่องราวตระการตา มันจึงกระทำการทุกอย่างแทนทั้งหมด เกราะเวทย์ที่สร้างขึ้นมาซ้อนไว้ด้านในจึงไม่ได้ถูกใช้งานแม้แต่น้อย

อย่างไรเสียการกระทำนี้ก็เรียกคะแนนจากสาวงามได้ดียิ่ง เขาจึงนิ่งเงียบวางท่าเสมือนว่าสิ่งนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มแผนการที่สองตามที่ได้คิดไว้ และนี่คือการเรียกใช้ทักษะรังสรรค์บงการธาตุขึ้นมาอีกครั้ง

จุดแสงสีขาวของธาตุแสงปรากฏขึ้นวูบวาบรอบกายของแม็กอย่างงดงามราวกับประกายดาว จุดสีขาวทั้งแปดจุดนี้ค่อยขยายใหญ่ขึ้นทีละน้อย ก่อนจะปรากฏเป็นรูปลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง และสิ่งนั้นก็ทำให้ผู้คนต้องส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความรักใคร่เอ็นดู

ก่อนหน้านี้สิ่งที่ปรากฏออกมาคือวิหคเพลิง ซึ่งจัดว่าเป็นสัตว์สวรรค์ พวกมันมีหน้าที่ปกปักษ์รักษาทางเข้าสวรรค์ รวมทั้งคอยรับใช้เผ่าเทพระดับสูง และนั่นนับว่าน่าตื่นตาตื่นใจมากแล้ว หากทว่าสิ่งที่ปรากฏขึ้นในเวลานี้กลับทำให้ผู้คนตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่า เพราะร่างทั้งแปดที่ปรากฏขึ้นมานั้นเป็นหนึ่งในเผ่าเทพที่ผู้คนต้องการพบเจอโดยเฉพาะกับสตรีเพศ

ร่างสีขาวเปล่งประกายระยิบระยับทั้งแปดร่างที่ปรากฏขึ้นมานั้นเหมือนกันทุกประการ นั่นเป็นร่างของเด็กชายและหญิงอายุไม่เกินหกหรือเจ็ดขวบ พวกเขาและเธอมีปีกสีขาวระยิบระยับที่กลางหลัง พวกเขาและเธอมีรอยยิ้มมากด้วยความรัก พวกเขาและเธอต่างถือธนูสีเงินขนาดเล็กอยู่ในมือ พวกเขาและเธอคือรูปลักษณ์ของเทพตัวแทนแห่งความรัก

“โอ … กามเทพ!!!”

“คิวปิด (Cupid)!!!”

เสียงอุทานของชาวบ้านบ่งบอกคำเรียกชื่อของเด็กน้อยเผ่าเทพทั้งแปดได้เป็นอย่างดี ความน่ารักสดใสของเทพตัวน้อยเหล่านี้ทำให้ผู้คนรู้สึกเบิกบานจนแทบลืมเลือนไปว่านี่คือสมรภูมิฆ่าฟัน แม้แต่ชาวบ้านที่หวาดผวาก็ยังอดไม่ได้ต้องยิ้มแย้มด้วยความรักความเอ็นดู

การปรากฏร่างของกามเทพทั้งแปดร่างนี้ย่อมมิใช่กามเทพที่แท้จริง พวกเขาเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นจากการรังสรรค์ของผู้บงการสรรพธาตุแบบชั่วคราว หากทว่าใครเล่าจะทราบเรื่องนี้ ผู้คนเพียงเชื่อในสิ่งที่มองเห็น พวกเขาเชื่อตรงกันว่า กามเทพเหล่านี้ปรากฏกายขึ้นมาด้วยอานุภาพของเทพระดับสูงผู้มีสี่ปีกองค์นี้

กามเทพหน้าตาน่ารักทั้งแปดบินวนเวียนอยู่รอบกายของแม็ก ภาพนั้นยิ่งเสริมส่งภาพลักษณ์อันสูงส่งของเขาในสายตาผู้คนจนสูงส่งมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อกามเทพส่วนหนึ่งบินโฉบลงไปหาเหล่าทหารหลวงที่บาดเจ็บสาหัสเบื้องล่าง และทำการใช้เวทย์รักษาระดับสูงจนทหารหลายนายพ้นจากขีดอันตราย

โดยปกติแล้วผู้คนอาจจะมองว่ากามเทพเป็นเพียงเทพแห่งความรักที่ไม่มีอะไรพิเศษ หากทว่าความจริงแล้วกามเทพก็คือเผ่าเทพ กามเทพแม้จะมีรูปลักษณ์เป็นเด็กน้อยน่ารัก หากทว่าความสามารถด้านการสนับสนุนของพวกเขานั้นจัดได้ว่าไม่ธรรมดา กามเทพนั้นจัดได้ว่าเป็นเทพผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาและฟื้นฟูมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง

แน่นอนว่าแม็กย่อมไม่ได้รับรู้ความจริงข้อนี้ เขาไม่ได้ตระหนักถึงความสามารถของกามเทพ หากทว่าเขาเพียงแค่อยากสร้างอะไรบางอย่างที่เสริมส่งตัวเขาในสายตาสาวงาม และในความคิดของเขานั้นย่อมไม่มีอะไรที่จะสื่อถึงความรักได้มากยิ่งไปกว่ากามเทพ ดังนั้นเขาจึงจินตนาการถึงเหล่ากามเทพที่เปี่ยมด้วยความรักออกมาเช่นนี้

มนตราธาตุแสงระดับสูงสว่างวาบขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เหล่าทหารหลวงของเมืองเลอองนิสต์ต่างค่อย ๆ ขยับร่างกายแล้วลุกขึ้นด้วยดวงตาสำนึกบุญคุณต่อเหล่ากามเทพอย่างสุดซึ้ง

แม้แต่ทหารที่เจ็บหนักจนสิ้นชีพก็ยังถูกรักษาร่างกาย และเรียกฟื้นคืนขึ้นมาจากความตาย นั่นคือเวทย์ Resurrect (ฟื้นคืนชีพ) ซึ่งเป็นเวทย์ระดับเจ็ดดาวที่เหล่านักบวชล้วนอยากมีไว้ในครอบครอง

เวทย์นี้จัดเป็นหนึ่งในมหาเวทย์ธาตุแสงที่มีเงื่อนไขยุ่งยาก เช่นต้องชุบชีวิตภายในเวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมงหลังความตาย ทั้งยังต้องการผลึกเวทย์ธาตุแสงระดับสูง และต้องใช้พลังเวทย์สูงลิบ ว่ากันว่ามีแต่เพียงบาทหลวงระดับสูงที่สามารถเรียกใช้ได้ แต่ก็ยังต้องกระทำพิธี และใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือมากมาย
สิ่งที่สมควรยุ่งยากนี้ เหล่ากามเทพตัวน้อยกลับสามารถกระทำได้อย่างง่ายดายราวกับปอกเปลือกกล้วย ทหารหลวงนับสิบนายที่เพิ่งตายตกไปฟื้นคืนกลับมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว แม้แต่บาดแผลเหวอะหวะบนร่างกายก็ยังเลือนหายไปจนหมดสิ้น

อานุภาพราวกับปาฏิหาริย์นี้ทำให้เหล่าทหารต้องรีบยันร่างลุกขึ้นคุกเข่าแล้วส่งเสียงสวดภาวนา เวลานี้แม้แต่ทหารหาญแกร่งที่ไม่เคยคิดจะศรัทธาต่อพระเจ้าก็ยังไม่อาจสะกดข่มความศรัทธาที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ในใจได้

“พวกท่านจัดการต่อกันเองเถอะ”

ขณะที่เหล่าทหารกำลังซาบซึ้งนั้น เทพสี่ปีกได้ก้มมองลงมาพร้อมด้วยรอยยิ้มละไม ก่อนจะเอ่ยปากบางอย่าง แล้วค่อย ๆ ทิ้งร่างลงมายืนอยู่บนพื้นด้วยท่วงท่าสง่างาม คำพูดคล้ายมากด้วยเมตตานั้นทำให้ผู้คนตื่นคลายจากภวังค์ของเทวานุภาพ ผู้คนต่างคิดตรงกันว่าหากเทพองค์นี้ต้องการลงมือเข่นฆ่า เพียงแค่สะบัดมือครั้งเดียวก็อาจจะสามารถสังหารเหล่านักฆ่าทั้งหมดได้แล้ว แต่ว่าเทพผู้นี้กลับคล้ายไม่ต้องการให้มือตนเองเปื้อนเลือด

แม้ว่าเทพระดับสูงจะไม่ลงมือด้วยตนเอง แต่ว่าขวัญกำลังใจของเหล่าทหารหลวงในเวลานี้เต็มเปี่ยมจนไม่สามารถมากไปกว่านี้ได้อีก แม้แต่ร่างกายก็ยังได้รับพรสนับสนุนจากเหล่ากามเทพจนแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม และด้านหลังพวกเขายังมีเหล่ากามเทพติดตามสนับสนุนช่วยเหลือ เรื่องนี้ช่างแตกต่างกับขวัญกำลังใจของนักฆ่าจากเมืองแบล็คฟอร์ดที่กำลังต่ำตมจมดิน

ยิ่งพวกเขาได้สัมผัสกับอานุภาพอันลึกล้ำแห่งเผ่าเทพ เหล่านักฆ่าก็ยิ่งจิตใจตกวูบ พวกเขาไม่คิดจะลงมือต่อเผ่าเทพตั้งแต่แรก แต่เมื่อลงมือไปแล้วก็ไม่สามารถแก้ตัวอะไรได้นอกจากได้แต่เก็บความรู้สึกผิดบาปเอาไว้

พวกเขายิ่งรู้สึกผิดขึ้นไปอีก เมื่อเผ่าเทพระดับสูงองค์นี้ไม่มีทีท่าโกรธเคืองต่อความผิดบาปที่พวกเขาได้กระทำลงไปแม้แต่น้อย ไม่เช่นนั้นเผ่าเทพผู้นี้คงลงมือจัดการพวกเขาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เหล่าทหารหลวงจากเมืองเลอองนิสต์ซึ่งกำลังฮึกเหิม ต่างแยกตัวแตกฮือเข่นฆ่าเข้าไปในบ้านเรือนทั้งสองฟากข้าง ในขณะที่เหล่านักฆ่าชุดดำจากเมืองแบล็คฟอร์ดต้องรับมือด้วยความยากลำบาก เหล่านักฆ่าส่วนใหญ่เป็นทหารที่ถนัดการลอบโจมตี การต่อสู้ในระยะประชิดจึงต่อกรกับทหารหัวแถวของเมืองเลอองนิสต์ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออีกฝ่ายมีกามเทพคอยติดตามรักษาฟื้นฟูให้ที่ด้านหลัง ดังนั้นเพียงพริบตาเดียว สถานการณ์ของเหล่านักฆ่าก็กลายเป็นปั่นป่วนวุ่นวายถึงขีดสุด

เสียงแผดร้องและเสียงกระทบกระแทกของอาวุธดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากทว่าเนวาน่าผู้นำของทหารชุดดำนั้นเพิ่งตื่นจากภวังค์ เธอมองดูเทพระดับสูงด้วยดวงตาระยิบระยับดื่มด่ำราวกับเด็กสาวมองดูบุรุษผู้ เป็นรักแรก
ดวงตาคู่นั้นราวกับจะประทับตราตรึงภาพทุกสัดส่วนเอาไว้ในความทรงจำ จากนั้นจึงค่อยหันมาร้องสั่งการต่อเหล่าทหารของตนเองด้วยท่าทีสุขุมเยือกเย็น

คนมากแผนการอย่างเนวาน่าย่อมไม่ลงมือโดยไม่เผื่อทางถอยหนี ถึงแม้เธอจะไม่คิดว่าแผนจะไม่สำเร็จ แต่ก็ยังรอบคอบพอที่จะเผื่อทางหนีเอาไว้ และนักฆ่าชุดดำจากเมืองแบล็คฟอร์ดเหล่านี้ก็แข็งแกร่งทั้งยังมากด้วยระเบียบ เมื่อมีแผนที่เด่นชัด พวกเขาก็เริ่มสามารถประคับประคองตัวหลบหนีได้โดยไม่เสียหายมากเกินไป

พวกเขามีสถานะเป็นเจ้าบ้าน ซึ่งมีความได้เปรียบทางสถานที่ เมื่อปะทะซึ่งหน้าไม่ไหว ก็เปลี่ยนเป็นถอยร่นหลอกล่อนำพาทหารหลวงของเลอองนิสต์เข้าไปโดนกับดัก การโหมบุกของทหารหลวงจึงกลายเป็นชะงักงันไม่คืบหน้า

ทหารคลาสสี่ทั้งสี่นายนั้นก็ไม่สามารถเข้ามาช่วยเหลือได้ เพราะต้องรับหน้าที่ฟาดฟันกับศพของเผ่าเทพสองร่างแบบสองต่อหนึ่ง ซึ่งความแตกต่างด้านพลังนั้นทำให้ทหารนายกองทั้งสี่นายรู้สึกยากลำบากกินแรง เป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ยังดีอยู่บ้างที่การเคลื่อนไหวของศพพวกนี้ไม่ฉับไวเท่าที่ควร ซึ่งพอจะคาดเดาได้ว่าผู้บงการซากศพต้องแบ่งแยกสมาธิไปทำอย่างอื่น

ถึงแม้เป็นเช่นนั้น เหล่านายกองก็ยังต้านรับไว้ไม่ได้ พวกเขาโดนกระแทกจนล้มกระแทกพื้นส่งเสียงร้องโอยโอยแทบจะพร้อมกัน ก่อนที่ศพของเผ่าเทพทั้งสองร่างจะแยกย้ายพุ่งกระโจนเข้าหาซิสเตอร์มาเรีย และบาทหลวงจอห์นสัน และนั่นคือแผนการพลิกสถานการณ์ของเนวาน่า ขณะที่เธอล่าถอยก็ยังไม่ลืมภารกิจลอบสังหารนักบวช และนี่คือช่วงเวลาสำคัญที่ใครก็นึกไม่ถึง เพราะทุกคนต่างก็คาดคิดว่าพวกเธอกำลังหนีสุดชีวิตโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีก

เหล่าทหารนายกองต่างใจหายวาบเพราะคาดไม่ถึง แม้แต่ซิสเตอร์มาเรีย และบาทหลวงจอห์นสันที่กำลังแยกย้ายไปช่วยรักษาคนบาดเจ็บก็คาดไม่ถึง กระนั้นใครบางคนกลับดูเหมือนจะคาดการเรื่องนี้เอาไว้แล้วตั้งแต่แรก

“โครม!!!”

เสียงทึบหนักดังสนั่นหวั่นไหว ขณะที่ศพเผ่าเทพทั้งสองร่างใกล้เข้าไปฆ่าฟัน ร่างอีกสองร่างก็ขยับเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วยิ่งกว่า ในสายตาของคนนอกแล้วผู้ที่เข้าไปขัดขวางคือนักบวชหญิงผู้เคร่งด้วยศรัทธาและไม่สมควรมีพละกำลังมากมาย หากทว่าพวกเขากลับคิดผิดถนัด

ศพของเผ่าเทพสองร่างที่แข็งแกร่งจนพวกนายกองรับมือไม่ไหว เมื่อโดนแม่ชีท่าทางเคร่งศีลทั้งสองนางนี้พุ่งเข้าไปปะทะด้วยเพียงครั้งเดียว ร่างทรงพลังของศพเทพหนุ่มทั้งสองก็ลอยละลิ่วกระแทกจมหายเข้าไปในบ้านเรือน ทั้งยังพุ่งทะลุตัวบ้านออกไปเกลือกกลิ้งหมดสภาพอยู่อีกฟากฝั่งของถนน

เหล่าทหารที่ฆ่าฟันกันถึงกับหยุดชะงักไปวูบหนึ่ง แม้ไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง แต่เมื่อคิดไปว่าผู้ติดตามของเทพระดับสูงย่อมไม่ธรรมดา พวกเขาจึงค่อยข่มความสงสัยและหันมาฆ่าฟันกันต่อ หากทว่าเวลานั้นเองที่ได้ปรากฏเสียงระเบิด และควันสีดำหนาแน่นพวยพุ่งกระจายออกมาจากตัวบ้าน

“ระวังนี่เป็นควันพิษ”

ทหารหลวงที่มีทักษะตรวจจับนายหนึ่งส่งเสียงร้องเตือน เหล่าทหารหลวงที่เหลือจึงจำต้องถอนตัวออกมาจากบ้านเรือนเพื่อหลีกเลี่ยง อันตราย ก่อนจะยืนล้อมวงรอคอย เพราะคาดว่าฝ่ายตรงข้ามเองก็น่าจะต้องหลบหนีออกมาเช่นกัน หากทว่ารอคอยอยู่เนิ่นนานก็ยังไม่มีท่าทีว่าฝ่ายตรงข้ามจะหนีควันพิษออกมา และเวลานี้เองที่ทุกคนเริ่มสะกิดใจว่านี่คงจะเป็นแผนการหลบหนีของอีกฝ่าย

“พวกเขาหลบหนีไปตามทางใต้ดินหมดแล้ว อย่าตามเข้าไป รีบเตรียมดับเพลิงเถอะ”

แม็กส่งเสียงเตือนโดยมิได้ทำอะไร สัมผัสกาลเวลาของเขาสัมผัสได้ว่ากลุ่มคนในตัวบ้านหายเข้าไปในทางใต้ดินหมดสิ้นแล้ว และเขาก็ไม่สามารถสัมผัสติดตามได้ไกลกว่านี้อีก เขาจึงบอกให้เหล่าทหารเตรียมรับมือมาตรการทำลายหลักฐานของอีกฝ่าย ซึ่งนี่นับเป็นอีกหนึ่งในวิธีการทำลายหลักฐานอย่างเฉียบขาด มันคือการทำลายบ้านเรือนนั่นเอง

แม้จะมีคำเตือนล่วงหน้าแล้ว หากทว่าอีกฝ่ายลงมือรวดเร็วเฉียบขาดเกินไป เพียงพริบตาเดียวบ้านเรือนทั้งสองฟากข้างก็ถล่มพังลง ซึ่งนั่นน่าจะเป็นเพราะเสาหลักโดนทำลายรอเอาไว้แล้ว เหล่าทหารหลวงทั้งหมดจึงได้แต่ยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธแค้นที่ไม่สามารถจับตัวอีกฝ่ายมาแก้แค้นได้

อย่างไรก็ตาม แผนการหลบหนีกลับมิได้มีเพียงเท่านี้ เพราะในเวลาเดียวกันนั้นได้ปรากฏเปลวควันพวยพุ่งออกมาจากหลายจุดในเมืองแทบ จะพร้อมกัน ซึ่งนี่น่าจะเป็นแผนการแบ่งแยกความสนใจและสร้างความปั่นป่วนนั่นเอง

เมื่อมีผู้คนบาดเจ็บล้มตาย ก็ต้องมีการจัดการเรื่องราวให้เรียบร้อย ทหารหลวงที่เหลือแม้จะอยากคุ้มครองพาเหล่านักบวชเข้าวังต่อ แต่สภาพที่เกิดขึ้นทำให้ไม่แน่ใจว่าจะยังมีกองกำลังอื่นคอยลอบดักทำร้ายอยู่อีกหรือไม่

พวกเขาอยู่ขั้วกองกำลังของเจ้าหญิงเรนเน่ จึงพอจะทราบกันดีว่าฝ่ายตรงข้ามอย่างมหาอุปราชฟาร์โก้นั้นมีความสามารถพอที่จะกระทำการเช่นนั้น พวกเขาจึงหยุดกับที่เพื่อความปลอดภัย และรอคอยกองกำลังเสริมให้มาถึงเสียก่อน

พวกเขาเสียเวลารอคอยอยู่เนิ่นนานก็ยังไม่มีหน่วยเสริม เพราะทหารทั้งเมืองต่างกำลังวุ่นวายอยู่กับการดับเพลิงตามจุดต่าง ๆ และคงจะถือเป็นโชคของเหล่านักฆ่า เนื่องจากเวลาในการออนไลน์ของแม็กและแองจี้นั้นกำลังใกล้หมดลง ต่อให้เข้าไปในวังได้ ก็ไม่แน่ว่าจะมีเวลาเพียงพอให้รักษาพระราชาได้ทัน

“โอ ช่างน่าเสียดายจริง ๆ หรือว่าชะตากรรมจะไม่เข้าข้างองค์ราชา ข้าเพียงหวังว่าองค์ราชาจะยังสามารถทานทนได้จนกว่าท่านเทวทูตจะหวนกลับมาอีกครั้ง”

บาทหลวงจอห์นสันกล่าวด้วยความเสียดาย หากทว่ายอมรับความจริงโดยมิอาจทำอย่างไรได้ เพราะนี่ถือเป็นเรื่องแทรกซ้อนเกินคาดคิด

“เอาไว้ถ้าพวกหนูเข้ามาใหม่ จะรีบไปหาพระราชาค่ะ หนูว่าคนดี ๆ อย่างพระราชาน่าจะไม่เป็นอะไรแน่ ๆ”

แองจี้หันไปพูดเป็นเชิงให้บาทหลวงคิดในทางที่ดี เธอเองก็เป็นคนหนึ่งที่ร้อนใจอยากช่วยบิดาของเจ้าหญิงเรนเน่ หากทว่าเธอเองก็ไม่สามารถทำอย่างไรได้กับเรื่องนี้

“ช่างเถอะ เรื่องนี้คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามลิขิตสวรรค์ … จะอย่างไรวันนี้ข้าก็ได้เรียนรู้เรื่องราวมากมาย ท่านกายเวอร์แม้จะมากด้วยอานุภาพแห่งเผ่าเทพ หากทว่าท่านยังคงวางตัวอยู่นอกวงได้อย่างหนักแน่นมั่นคง ทั้งที่คนพวกนั้นโหดร้ายถึงขนาดนั้น แต่ท่านก็ยังไม่ได้ลงมือฆ่าฟันพวกเขาแม้แต่คนเดียว โอ หากข้ามีอำนาจถึงเพียงนั้น ข้าคงไม่สามารถยับยั้งจิตใจโกรธแค้นด้านมืดได้อย่างแน่นอน”

บาทหลวงทอดถอนใจและกล่าวต่อ เขานึกคิดเรื่องราวอย่างลึกซึ้ง ในสายตาของบาทหลวงและทุกคน แม็กนั้นน่าจะมีอำนาจล้นเหลือจนน่าจะสามารถจัดการกับทุกคนได้อย่างง่ายดาย หากทว่าที่ไม่ลงมือนั้นทุกคนต่างคาดเดาว่าแม็กคงจะวางตนเองอยู่เหนือโลกีย์วิถี ไม่ต้องการแปดเปื้อน จึงเพียงแค่ลงมือป้องกันตัวและทำการกำจัดพวกอันเดทไปโดยไม่ทำอันตรายผู้คน ด้วยเหตุนี้บาทหลวงจึงยิ่งรู้สึกศรัทธาในตัวแม็กยิ่งกว่าเดิมเข้าไปอีก

สนทนากันเพียงแค่นี้ทุกคนก็เริ่มแยกย้าย บาทหลวงและซิสเตอร์ยังคงอยู่กับกลุ่มทหารหลวง หนึ่งนั้นเพื่อให้พวกเขาอารักขา และเพื่อช่วยเหลือรักษาผู้บาดเจ็บไปด้วยพร้อมกัน ส่วนแม็ก แองจี้ และสองศพเทพสาวนั้นแยกตัวออกมาอย่างเงียบ ๆ พวกเขาเรียกใช้การ์ดกลับเมืองเพื่อหลีกเลี่ยงการโดนลอบติดตาม และการใช้ไอเท็มชิ้นนี้ทำให้ร่างของเขาและเธอหายไปปรากฏในจุดพักล่าสุด ซึ่งก็คือในห้องพักของโรงแรมนั่นเอง

เวลานี้แม็กรู้สึกเสียดายไม่น้อยที่ไม่ได้เข้าไปทำความรู้จักกับฟลอร่า ทั้งที่เธอยืนมองดูเขาด้วยดวงตาวาววับอยู่เนิ่นนาน ซึ่งนั่นเป็นเพราะเหล่าทหารเกรงกลัวจะมีนักฆ่าจึงไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้ และเขาเองก็ไม่มีเหตุผลพอที่จะเดินเข้าไปหาผู้หญิงคนหนึ่ง

“พี่แม็ก พี่ทำได้ขนาดนั้นได้ไงคะ ไหนจะเรียกวิหคเพลิง ไหนจะสร้างพายุเพลิง ไหนจะเรียกกามเทพ รีบบอกมาเลยนะคะ ถ้าไม่บอกหนูโป้งแน่”

แองจี้เปิดประตูเข้าไปในห้องพัก แล้วถามพลางทำแก้มป่องด้วยอาการแง่งอน แม็กจึงส่งเสียงหัวเราะร่วนแล้วโอบกอดพร้อมกับหอมแก้มเธอฟอดใหญ่

“เอาไว้ค่อยเล่าให้ฟัง รีบออฟไลน์เถอะ เวลาจะหมดแล้ว”

“ฮึ ก็ได้ค่ะ แต่พี่ต้องตอบให้หนูหายสงสัยอย่างหนึ่งก่อน”

“เรื่องอะไรล่ะ?”

“หนูสงสัยว่า พี่มีพลังขนาดนั้น ทำไมพี่ไม่จัดการนักฆ่าเองเลยล่ะคะ ทำไมถึงปล่อยให้ทหารหลวงจัดการ หนูไม่เชื่อหรอกว่าพี่จะใจดีไม่อยากลงมือ พี่น่าจะอยากใส่เต็มที่อวดสาวมากกว่า”

“ฮ่า ฮ่า รู้ดีซะจริงน้องคนนี้ เป็นพยาธิในลำไส้ใหญ่ของพี่หรือไง พี่คิดอะไรรู้ซะหมดเลย อืม ใช่แล้ว พี่อยากแสดงพลังอวดสาวนั่นแหละ”

“แหวะ ไม่เอาหรอก ไม่อยากอยู่ในลำไส้ใหญ่ของพี่ซะหน่อย แล้วทำไมพี่ถึงไม่แสดงพลังออกมาอีกล่ะคะ”
แองจี้ทำงอนแก้มป่องใส่อีกครั้ง แต่คราวนี้แม็กกลับยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ เขาเดินไปนั่งที่ขอบเตียง เรียกเก็บศพสองเทพสาว แล้วขยับลงไปนอนบนเตียงอยู่ในท่าพร้อมออฟไลน์ออกจากเกม ก่อนจะหันมาพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะจนแองจี้ต้องอ้าปากค้างออกมาอีกครั้ง

“ฮ่า ฮ่า พี่ก็อยากอวดสาวนะ น่าเสียดายทักษะพวกนี้มันกินพลังเวทย์เยอะ ใช้เพลินไปหน่อยพลังเวทย์เลยหมดเกลี้ยงจนลุยต่อไม่ได้ แค่นี้ล่ะนะ พี่จะออฟไลน์แล้ว ไว้คุยกันต่อที่ห้อง”

…………………..

Share the Post:

Related Posts

ครูคะ ไหนบอกจะหางานพิเศษให้หนูทำไง?

เรื่องเสียว ครูคะ ไหนบอกจะหางานพิเศษให้หนูทำไง? บางครั้งคนเราก็ไม่มีทางเลือกให้ชีวิตมากนัก เรื่องที่เกิดกับหนูก็เหมือนกัน เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น เวลาคิดถึงก็เสียวขึ้นมาทุกที แม้ว่าอีกใจหนึ่งจะรู้สึกผิดที่แอบไปมีเพศสัมพันธ์กับครู ถึงจะเกิดจากความเต็มใจหรือไม่ก็ตาม ไปฟังกันดีกว่าค่ะ บอกไว้ก่อนเลยว่าเรื่องนี้เสียวมากๆ อย่าเผลอชักว่าวเสร็จก่อนจะอ่านจบนะคะ หนูชื่อพลอยค่ะ เรียนอยู่ ม.5 แล้ว กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่หนูไม่ได้มีครอบครัวที่รวยอะไรมากมายค่ะ ทุกครั้งที่ปิดเทอมจะออกไปหางานทำตลอด ส่วนมากก็จะเป็นเด็กเสิร์ฟบ้าง

Read More

เป็นชู้กับผัวป้า

เรื่องเสียว เป็นชู้กับผัวป้า สวัสดีค่ะ ชื่อเปรี้ยวนะคะ เปรี้ยวเป็นเด็กวัยรุ่น อายุประมาณ 20 ต้นๆ กำลังแตกเนื้อสาว เปรี้ยวเป็นคนนมใหญ่มาก เวลาไปไหนผู้ชายส่วนใหญ่ชอบหยุดมองนม มองอยู่นานสองนานจนเมียเขาต้องดึงมือออกไป เปรี้ยวอาศัยอยู่กับป้า ในบ้านมีอยู่กัน 3 มีเปรี้ยว ป้า และผัวป้า ส่วนลูกสาวของป้าส่งไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่เล็กๆ ป้าเพิ่งจะอายุ

Read More