XO ตอนที่ 7 – นักบวชฝึกหัด
…………………………………………..
“ได้รับรางวัลจำนวน 10,000 เหรียญทอง จากภารกิจครอบครอง อะโฟรไดที หนึ่งในร้อยแปดสุดยอดสาวงาม”
“ได้รับค่าชื่อเสียงจำนวน 10,000 หน่วย จากภารกิจครอบครอง อะโฟรไดที หนึ่งในร้อยแปดสุดยอดสาวงาม”
“ได้รับรางวัลจำนวน 10,000 เหรียญทอง จากภารกิจครอบครอง แอสโมดิอุส หนึ่งในร้อยแปดสุดยอดสาวงาม”
“ได้รับค่าชื่อเสียงจำนวน 10,000 หน่วย จากภารกิจครอบครอง แอสโมดิอุส หนึ่งในร้อยแปดสุดยอดสาวงาม”
แม็กมองข้อความในระบบแล้วยิ้มเล็กน้อย เพราะตอนนี้เขากำลังอยู่ในระหว่างการขอรับรางวัล
จากอาคารช่วยเหลือผู้เล่น และจำนวนเงินที่ได้มานั้นก็ดูจะไม่น้อยเลย เพราะหากนำไปแลกเป็นเงินจริงแล้ว จะตกที่ประมาณหนึ่งล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนเท่ากับเงินที่พ่อแม่ให้เขาใช้ประจำสามเดือนเลยทีเดียว
แน่นอนว่านี่ยังไม่นับเงินค่าขนมพิเศษที่พ่อกับแม่ขยันให้ตามโอกาสด้วย อย่างเช่นก่อนหน้าที่เขาจะเข้าเกมนั้น เขาก็ได้ค่าขนมมาอีกส่วนหนึ่ง พ่อมาเคาะประตูขัดจังหวะจนไม่ได้จัดการน้องส้มเช้งให้เสร็จจนเขาอารมณ์ค้าง เพราะพ่ออยากให้เขาเป็นเพื่อนพาไปร้านสะดวกซื้อใกล้ที่พัก
แรกทีเดียวนั้นเขาแอบเคืองพ่ออยู่ไม่น้อย แต่พอได้ยินพ่อพูดฝากฝังช่วยดูแลน้องสาว เขาก็ค่อยรู้สึกผิดและนึกขึ้นได้ว่าไม่สมควร จึงแอบผงกหัวขอโทษพ่อที่เผลอตัวมากเกินไป และแอบสาบานกับตัวเองว่าจะไม่เผลอทำตัวไม่เหมาะสมแบบนี้อีก ต่อให้ส้มเช้งไม่ใช่น้องสาวแท้ ๆ ก็ตามที
ปัญหาก็คือหลังจากที่กลับเข้าห้องเขาจะทำอย่างไร? หากไปเห็นส้มเช้งในสภาพแบบนั้นอีก เขาสาบานได้ว่าเขาคงต้องเผลออีกรอบเป็นแน่ จึงตัดสินใจไม่เข้าห้องไป
แต่ว่าเขาอยากเข้าเกมเพื่อดูความก้าวหน้าของสองสาวโฟร์มด จึงเกิดความว้าวุ่นขึ้นมา สุดท้ายจึงทดสอบไปใช้งานเครื่องแคปซูลในห้องของส้มเช้ง ด้วยอยากรู้ว่าน้องสาวตัวแสบแกล้งหลับจริงหรือเปล่า ซึ่งผลก็คือ เครื่องของส้มเช้งใช้งานได้ตามปกติ ดังนั้นเขาค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าส้มเช้งแกล้งนอนหลับจริง ๆ
เขารู้สึกสับสนเล็ก ๆ แต่ก็ขี้เกียจคิดให้ปวดหัว จึงจัดการเข้าเกมเสียก่อนเพื่อมาดูว่าโฟร์มดเป็นอย่างไรบ้าง แต่สิ่งที่เห็นก็คือทั้งสองสาวยังคงมีระดับพลังงานสะสมเท่ากับศูนย์เช่นก่อนหน้า!!!
ด้วยความสงสัยแม็กจึงต้องหาคนถาม และเท่าที่รู้นั้นอาคารช่วยเหลือผู้เล่นสามารถช่วยตอบคำถามได้ เพียงแต่เมื่อเข้ามาใช้บริการจริง ๆ เขากลับพบว่าทุกคำถามนั้นต้องจ่ายเงินตามระดับความยากง่าย และคำถามของเขามันจัดอยู่ในหมวดความยากเสียด้วย ราคาจึงสูงถึงหนึ่งพันเหรียญทอง
ปัญหาคราวนี้ก็คือเขาไม่มีเงิน แต่ยังดีที่นึกได้ว่าเขามีรางวัลจากภารกิจที่ยังไม่ได้รับ เขาจึงขอรับและได้เงิน พร้อมกับค่าชื่อเสียงมาได้จำนวนหนึ่ง เพียงแต่ยังไม่ทราบว่ามันไว้ทำอะไร เพราะยังไม่ได้หาข้อมูลมาก่อน เขาจึงหันไปยิ้มให้เจ้าหน้าที่สาวสวยเพื่อหว่านเสน่ห์ ก่อนจะสอบถามหาข้อมูลเพิ่มเติม เผื่อว่าจะได้ส่วนลดบ้าง
“คุณคนสวยครับ แล้วไอ้ค่าชื่อเสียงนี่มันเอาไว้ทำอะไรได้บ้างครับ?”
“คำถามนี้ตอบได้ฟรีค่ะ ค่าชื่อเสียงจะมีผลต่อความน่าเชื่อถือ ยิ่งมีมาก บรรดา NPC ก็จะยิ่งเชื่อถือ อาจมีส่วนลดราคาสินค้า ให้ของฟรี และอาจจะมีภารกิจดี ๆ ให้ทำ หากค่าชื่อเสียงมีไม่ถึง ก็เหมือนคนไร้ราคาไม่น่าเชื่อถือค่ะ”
เจ้าหน้าที่สาวสวยกลับไม่สนใจหรือหวั่นไหวไปกับยิ้มกระชากใจของแม็ก เพราะดูเหมือนว่าเธอจะเป็นแค่ NPC แบบจำกัดสติปัญญา หรือก็คือระบบที่กำหนดให้ตอบคำถามเท่านั้น ไม่สามารถทำอย่างอื่นได้
“… เข้าใจแล้วครับ งั้นขอย้อนกลับไปคำถามแรก ผมจะทำยังไงให้จิตวิญญาณแห่งเทพ หรือมาร สะสมพลังได้เพียงพอ”
“คำถามนี้ 1,000 เหรียญทองนะคะ”
“ได้ครับ”
“ขอบคุณค่ะ … วิญญาณเทพ หรือมาร ที่กำลังถือกำเนิดใหม่นั้นยังไม่มีทั้งร่างกายและพลังงาน จึงต้องการพลังงานตามเผ่าพันธุ์เช่น เผ่าเทพต้องการธาตุแสง เผ่ามารต้องการธาตุมืด หากนำไปอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีพลังงานธาตุเหล่านี้เพียงพอ จิตวิญญาณก็จะซึมซับธาตุเหล่านั้นเข้าไปเอง … นอกจากนี้ยังต้องมีค่าประสบการณ์เพื่อพัฒนาร่างกายไปด้วยค่ะ”
“… อืมม … แล้วที่แบบไหนล่ะครับ ที่จะมีพลังงานธาตุอะไรพวกนั้น”
“คำถามนี้สิบเหรียญทองค่ะ”
“โห เก็บทุกดอกจริง ๆ … เอาครับ เอา ๆ จ่ายก็จ่าย”
“ขอบคุณค่ะ … แต่ละสถานที่จะมีธาตุประจำอยู่แล้ว เช่นแม่น้ำก็จะมีธาตุน้ำ ภูเขาไฟก็จะมีธาตุไฟ ส่วนธาตุแสง และมืดนั้น อาจจะหายากสักหน่อย แต่ถ้าจะให้แนะนำสถานที่ใกล้เมืองก็คงจะเป็นวิหารเทพอำนวยพร กับ สุสานมืดค่ะ”
“หมายความว่าต้องไปอยู่ในที่แบบนั้นนาน ๆ งี้เหรอ ไม่ไหวมั้ง … พลังธาตุอะไรพวกนี้เราสร้างขึ้นมาเองได้หรือเปล่า”
แม็กนึกภาพตามแล้วไม่ค่อยจะรู้สึกสนุกนัก เพราะวิหารเทพอำนวยพรที่เขาเคยไปนั้นอาจจะพอไหว อย่างดีก็คงเบื่อนิดหน่อย แต่ว่าสถานที่ซึ่งถูกเรียกว่าสุสานมืดนั่นฟังแล้วไม่น่าจะสวยงามน่าดูนัก
“คำถามนี้สิบเหรียญทองค่ะ”
“… โอเค โอเค เอาไป”
“ขอบคุณค่ะ … พลังธาตุเป็นพลังที่มีอยู่ในธรรมชาติรอบตัวอยู่แล้ว เพียงแต่การดึงมาใช้งานได้นั้นจะต้องมีทักษะเสียก่อน เช่น หากไปวิหารเทพอำนวยพร เพื่อเป็นนักบวชก็จะสามารถรวบรวมธาตุแสงได้ หรือหากไปสุสานมืดเพื่อเป็นเนโครมานเชอร์ (ผู้บงการศพ) ก็จะสามารถรวบรวมธาตุมืดได้เช่นกัน”
“… นักบวช กับ ผู้บงการศพ งั้นเหรอ …”
“มีคำถามเพิ่มเติมหรือเปล่าคะ?”
“เอ่อ … พอแล้ว … เอ๊ย เดี๋ยว … แล้วต้องใช้พลังงานแค่ไหน ถึงจะฟื้นขึ้นมาได้ล่ะ?”
“ขออภัยค่ะ คำถามนี้ไม่อยู่ขอบเขตที่สามารถตอบได้ มีคำถามเพิ่มเติมมั้ยคะ?”
“… ไม่มีแล้ว ขอบคุณ”
“ขอบคุณที่ใช้บริการค่ะ หากท่านมีคำถาม สามารถมาสอบถามได้ตลอดเวลา 24 ชม นะคะ สวัสดีค่ะ”
เจ้าหน้าที่ร่ำลาเสียงหวานหากทว่าแววตานั้นนิ่งเฉยตามลักษณะของ NPC แบบจำกัดสติปัญญา แต่แม็กไม่ได้สนใจอะไรมากนักในเรื่องนี้ เพราะในหัวเพียงกำลังครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะทำอย่างไรสองสาวเทพมารจึงจะฟื้นขึ้นมาได้โดยเร็วที่สุด
“วิหารเทพอำนวยพร … อาชีพนักบวชงั้นเหรอ … ลองดูก่อนก็แล้วกัน”
สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจลองดูตามคำแนะนำ อย่างน้อยก็อาจจะช่วยอะไรได้บ้าง และเขาเลือกที่จะไปยังวิหารเทพอำนวยพรก่อน เพราะเคยไปมาแล้วตอนขอพรและยังจำทางได้อยู่ ส่วนสุสานมืดนั้นฟังดูไม่ค่อยน่าไปนักจึงค่อยว่ากันอีกที
……………………………………………………..
นับว่าเป็นโชคดีของเขาที่ไปลงทะเบียนเป็นนักบวชฝึกหัดได้ทันเวลาพอดี ไม่เช่นนั้นก็ต้องรอรอบใหม่อีกวันหนึ่ง แต่ที่โชคไม่ดีก็คือรอบนี้มีคนลงทะเบียนไป 22 คน เป็นผู้หญิง 18 คน ผู้ชาย 4 คน ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติสำหรับอาชีพสายสนับสนุนในแนวหลังที่ผู้เล่นเพศชายไม่ค่อยให้ความสนใจ
ส่วนที่แย่ก็คือผู้หญิงทั้งหมดนั้นเป็นเด็กสาววัยสิบสี่สิบห้าที่ยังจีบไปใช้งานไม่ได้ทั้งสิ้น และส่วนที่แย่ที่สุดก็คือผู้ชายอีกสองคนที่อยู่ในรอบเดียวกันนั้นดูจะไม่ใช่ชายเต็มร้อยสักเท่าไหร่ แถมยังมีการชำเลืองมองดูเขาด้วยสายตาร้อนแรงบ่อยครั้งเสียด้วย
ยังดีที่ความหล่อเหลาของแม็กไม่ได้ดึงดูดแต่พวกชายไม่เต็มร้อยพวกนั้น พวกน้อง ๆ เด็กสาววัยละอ่อนจึงพากันชะม้ายชายตาและพากันมานั่งล้อมวงแม็กจนช่วยเป็นด่านป้องกันเหล่าชายไม่เต็มร้อยพวกนั้นได้อย่างหวุดหวิด
“พี่สุดหล่อชื่ออะไรคะ … แล้วทำไมตาถึงเป็นสีฟ้า ดูดีจัง”
“พี่เขาเป็นดาราหรือเปล่านะ”
“หรือว่าพี่เค้าจะเป็นนายแบบ”
“ตาสีฟ้า?”
เด็กสาวคนหนึ่งทักมาด้วยแววตาเคลิบเคลิ้ม ซึ่งนี่ก็ไม่แปลกอะไร เพราะว่าเขาเคยชินแล้ว เพียงแต่ที่แปลกก็คือพวกเธอกลับบอกว่าเขามีตาสีฟ้า?
น้ำเสียงแปลกประหลาดใจของแม็กทำให้เด็กสาวคนตั้งคำถามแสดงสีหน้างุนงงไปด้วย แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ จัดการล้วงเอากระจกตลับแป้งแต่งหน้าออกมายื่นให้เขาดู แม็กจึงขมวดคิ้วจ้องมองภาพใบหน้าของตัวเองในกระจกเงาด้วยความแปลกประหลาดใจยิ่ง
ดวงตาของเขากลายเป็นสีฟ้าจริง ๆ เหมือนอย่างที่เด็กคนนี้บอกไว้ และนั่นก็ดูคล้ายกับดวงตาของอะโฟรไดทีที่เป็นเผ่าเทพอยู่บ้าง เขาจึงพอจะคาดได้ว่านี่อาจเป็นผลกระทบจากการได้รับจิตเทพ เพียงแต่ที่ทำให้รู้สึกประหลาดใจกว่าเดิมก็คือ ใบหน้าที่หล่อเหลาอยู่แล้วนั้น กลับดูดีกว่าเดิม
เส้นผมนั้นยังเป็นสีดำเช่นเดิม หากทว่าแฝงประกายเงางามดึงดูดสายตาผู้คน ทั้งยังมีประกายของอะไรบางอย่างช่วยขับเน้นใบหน้ารวมถึงดวงตาจนแทบจะดูเหมือนเทพบุตรจากสวรรค์ อีกทั้งเขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าเนื้อตัวของเขาดูจะมีมัดกล้ามเนื้อมากกว่าปกติอยู่สักหน่อย จึงไม่แปลกเลยที่เด็กสาวพวกนั้นจะมองแล้วทำตาเคลิ้มผิดปกติ
“… เอ่อ”
แม็กไม่ทราบว่าควรอธิบายว่าอย่างไรดี ซึ่งแน่นอนว่าเขาคงไม่เล่าเรื่องจิตแห่งเทพให้ฟังแน่นอน เพราะอาจจะเป็นเรื่องยาว และเขาเป็นคนถือคติที่ว่าอย่าทำตัวเด่นหากไม่อยากมีเรื่อง เขาจึงได้แต่อ้ำอึ้งไม่ตอบคำถามของพวกเด็กสาว
“หรือว่าพี่เค้าเลือกตาสีนี้ตอนสร้างตัวละคร?”
“ยัยบื้อ ตอนสร้างตัวละครเขาบังคับให้ใช้สีตาเดิม หรือไม่ก็แค่ให้เลือกสีเข้มกับอ่อนแค่นั้นหรอก”
“นี่พวกแก ชั้นเคยได้ยินว่าถ้าเลเวลสูงมาก ๆ หรือทำภารกิจพวกเปลี่ยนเผ่าพันธุ์ได้ สภาพร่างกายจะเปลี่ยนไปด้วยแหละ”
“กรี๊ด หรือว่าพี่เค้าจะเป็นเผ่าพันธุ์เทพ หล่อกระชากใจแบบนี้ใช่แน่เลย เทพบุตร”
“พอเลยย่ะ เผ่าเทพน่ะต้องผมสีฟ้า ตาสีฟ้านะยะ แต่พี่เค้าแค่มีตาสีฟ้าอย่างเดียว”
“เผ่าอะไรก็ช่างเถอะย่ะ ถามดูซิว่าพี่เค้ามีแฟนหรือยัง?”
“นี่พวกแก ก่อนจะถามว่ามีแฟนหรือยัง ลองถามว่าพี่เค้าเป็นชายแท้ก่อนดีมั้ยจ๊ะ”
“ว้ายย จริงด้วย ถ้าไม่ใช่ชายแท้ล่ะเสียของแย่เลย”
ยังดีที่กลุ่มเด็กสาวพากันหันไปพูดคุยกันอย่างสนุกปาก แต่เสียงเจี๊ยวจ๊าวและเนื้อหาคำสนทนาก็ดูจะทำให้แม็กยิ้มไม่ออก เขาจึงได้แต่ส่ายศีรษะไปมาด้วยความรู้สึกรำคาญและขบขัน จนกระทั่งเมื่อหันไปมองเห็นนักบวชสาวหุ่นอึ๋มเจ้าของผมและดวงตาสีทองที่เดินเข้ามา เขาก็ถึงกับชะงักค้างเหม่อมองเสน่ห์ความสวยงามของเธอจนตาลอย
ด้านนักบวชสาวเมื่อสบสายตาเข้ากับแม็ก เธอก็ยืนนิ่งเหม่อลอยไปเช่นกัน และวินาทีนี้เองที่ดวงตาสองคู่กำลังแลกเปลี่ยนความคิดกันและกันอย่างรวดเร็วยิ่ง เธอมองออกว่าเขาสนใจเธอ ในขณะที่เขาก็มองออกว่าเธอสนใจเขา เธอมองออกว่าสายตาของเขานั้นเปี่ยมไปด้วยจิตราคะ ในขณะที่เขาก็มองออกว่าเธอกำลังเก็บกดอารมณ์คุกรุ่นดุจเพลิงไฟเอาไว้ภายใน
นักบวชหญิงวัยชราผมสีดอกเลากล่าวทักทายและแนะนำตัวว่าเธอชื่อมาเรีย หากทว่าแม็กไม่ได้สนใจฟังมากนัก นอกจากตอนที่นักบวชสาวผมทองแนะนำตัวเองว่าเธอชื่อแองจี้ เพราะเสน่ห์ของแม่สาวผมทองแม้จะยังไม่เท่าสองสาวเทพมาร แต่แม็กก็รู้สึกได้ว่าห่างกันเพียงไม่กี่ขั้น ซึ่งหลักฐานก็คือแก่นกายที่กำลังแข็งตัวและกระดกหงึกอยู่ในเป้ากางเกง
ด้านแม่สาวผมทองก็บังเกิดอารมณ์ปั่นป่วนขึ้นมาไม่แพ้กัน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้รับหน้าที่แนะนำนักบวชฝึกหัดจึงตื่นเต้นมากพอดู แต่เมื่อเห็นภาพของเขาซ้อนทับกับพี่ชายสุดที่รัก อารมณ์ตื่นเต้นนั้นก็หายไป แต่สิ่งที่เข้ามาแทนกลับเป็นอารมณ์ที่ร้อนแรงยิ่งกว่า มันเป็นอารมณ์ที่ทำให้เธอรู้สึกร้อนวาบบริเวณท้องน้อย และรู้สึกวาบหวิวตรงส่วนปลายถันซึ่งยังคงแข็งเต่งมาจากอารมณ์คั่งค้าง
ภายในชั้นเรียนแห่งวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ หนุ่มนักบวชฝึกหัด และนักบวชสาวสวยกลับกำลังมองสบตาเร่งเร้าเพลิงไฟสีดำแห่งความใคร่ให้แก่กันอย่างเงียบงันหากทว่าร้อนแรงยิ่ง
………………………………………………………….
คลาสเรียนของนักบวชฝึกหัดนั้นเรียกได้ว่าน่าเบื่อหน่ายจนหลายคนเผลอหลับไหล ซิสเตอร์มาเรียออกเสียงบรรยายประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการสร้างโลก และเทพผู้สร้างซึ่งถูกยึดถือให้เป็นเหมือนพระเจ้าในโลกนี้ด้วยน้ำเสียงเคารพยกย่องถึงที่สุด หรือจะเรียกได้ว่า NPC นักบวชชราคนนี้ศรัทธาเลื่อมใสในเทพผู้สร้างจนหมดใจก็ได้
กระนั้นแม้จะน่าเบื่อหน่าย แม็กกลับไม่รู้สึกง่วงเหงาแม้แต่เพียงนิดเดียว เพราะว่าสมาธิของเขาไม่ได้อยู่กับเนื้อหาที่ซิสเตอร์มาเรียอธิบายแม้แต่น้อย แววตากรุ้มกริ่มเจ้าชู้เพียงจับจ้องมองดูแองจี้นักบวชสาวพราวเสน่ห์เจ้าของผมและดวงตาสีทองด้วยความปราถนาแทบไม่วางสายตา
ด้วยความที่เป็นสาวน้อยบริสุทธิ์ผุดผ่องอายุก็เพิ่งเพียงแค่สิบห้าสิบหก อีกทั้งเธอยังมีพี่ชายที่แอบหลงรักอยู่หนึ่งคน แองจี้จึงพยายามฝืนตัวเองไม่มองตอบชายแปลกหน้าคนนี้มากนัก กระนั้นอะไรบางอย่างในสายตาของเขากลับมีแรงดึงดูดมหาศาลจนเธอไม่อาจต้านทาน
สิ่งนั้นกำลังกระตุ้นเร้าความเร่าร้อนซึ่งแอบแฝงอยู่ในเรือนร่างงามสะพรั่งจนตื่นตัว สายตาของเธอจึงหันไปประสานกับสายตาของเขาก่อนจะรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่น จากนั้นก็หันไปมองดูใหม่ซ้ำไปซ้ำมารอบแล้วรอบเล่าด้วยใบหน้าเอียงอายแดงซ่าน
“แม่เจ้า … NPC เกมนี้แต่ละคนเจ๋งจริง ๆ … ขาว … สวย … นมใหญ่ นี่มันนางฟ้าชัด ๆ เห็นแล้วอยากกินนมเหมือนตอนเห็นของยัยส้มเช้งตัวแสบเลย … ถ้าส้มเช้งโตอีกสักสามสี่ปีจะน่ากินขนาดนี้หรือเปล่าหว่า?”
ภายใต้สีหน้าเคร่งขรึมนั้น แม็กแทบจะส่งเสียงโห่ร้องออกมาดัง ๆ สักพันครั้ง เพราะเธอคนนี้ช่างถูกใจเขาเหลือทน แน่นอนว่าอาจจะน้อยกว่าแรงดึงดูดของสองสาวเทพมารอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ห่างไกลกันนัก เขาจึงกวาดสายตาสำรวจเรือนร่างในชุดนักบวชรัดรูปสีฟ้านั้นด้วยสายตาแวววาวรอบแล้วรอบเล่า ซึ่งที่น่าแปลกก็คือเขากลับบังเกิดความรู้สึกคุ้นเคย รู้สึกเหมือนแองจี้นั้นมีอะไรบางอย่างคล้ายกับน้องสาวตัวแสบของเขาไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นเพียงแค่สงสัยที่ไม่ติดใจอะไรมากนัก เพราะในความคิดของแม็กนั้น เขาคิดว่าแองจี้น่าจะเป็น NPC ของระบบ เนื่องจากไม่เคยได้ยินว่ามีผู้เล่นไปเป็นครูผู้สอน และทุกคนที่มาสมัครเป็นนักบวชฝึกหัดก็ล้วนแล้วแต่คาดคิดแบบเดียวกัน
หรือต่อให้เขารู้ว่าแองจี้เป็นผู้เล่น แต่ส้มเช้งในโลกแห่งความเป็นจริงก็ยังคงเป็นเพียงเด็กสาวมัธยม ไม่ได้เติบใหญ่สูงเพรียวอย่างเช่นแองจี้คนนี้ เขาจึงนึกเชื่อมโยงทั้งสองคนเข้าหากันไม่ได้ ยกเว้นก็แต่ความรู้สึกที่ผุดขึ้นมาว่า หากไม่นับเรื่องสีผมแล้ว เมื่อแองจี้โตขึ้นอีกสักสามหรือสี่ปี เธออาจจะดูคล้ายแม่สาวแองจี้ที่แสนจะน่าฟัดคนนี้ก็ได้
ด้านแองจี้ก็ไม่อาจนำเขาไปเทียบกับพี่ชายเช่นกัน เพราะอันดับแรกนั้นเธอรู้ว่าพี่ชายของเธอไม่เล่นเกม หรือต่อให้เขาอยากเล่น วันนี้เธอก็ใช้เครื่องของพี่ชายอยู่ และเธอไม่คิดว่าพี่ชายของเธอจะมีความพยายามขนาดไปขวนขวายหาเครื่องอื่นมาเล่น ส่วนด้านรูปร่างหน้าตานั้น แม้จะมีส่วนคลับคล้าย แต่ก็มีส่วนที่ไม่เหมือนเกือบครึ่ง โดยเฉพาะดวงตาสีฟ้าที่ดูมีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์คู่นั้น อีกทั้งเขาคนนี้ยังสูงกว่าและดูมีกล้ามเนื้อแข็งแรงดึงดูดสายตามากว่าพี่ชายของเธออยู่สักหน่อย
กล่าวโดยสรุปก็คือ ทั้งสองคนแม้จะรู้สึกคลับคล้ายคุ้นตา แต่ต่างก็ไม่คิดว่าอีกคนคือพี่น้องต่างสายเลือดที่เติบโตมาด้วยกันนั่นเอง
แล้วการบรรยายทางทฤษฏีอันน่าเบื่อหน่ายของซิสเตอร์มาเรียก็จบลงในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา เหล่านักบวชฝึกหัดทั้งยี่สิบสองคนที่บ้างเคลิ้มหลับบ้างมองนักบวชสาวจนตาฉ่ำก็ถูกคำว่า ‘ข้อสอบ’ ปลุกจนสะดุ้งตื่นขึ้นมา
เพราะนั่นหมายความว่าหากทำข้อสอบไม่ผ่าน ก็คือตกจากการทดสอบอาชีพนักบวชและต้องรอเวลาอีกนานนับเดือนจึงจะมาสอบได้ใหม่อีกครั้ง เหล่าเด็กสาวที่แทบไม่ได้ฟังคำบรรยายพากันส่งเสียงประท้วงเจื้อยแจ้ว หากทว่าซิสเตอร์มาเรียเพียงยิ้มอารีย์ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงให้กำลังใจว่า
“อย่าตื่นตระหนกกันเลยหนูจ๋า … ข้อสอบที่ว่านี่ไม่ใช่เรื่องราวในประวัติศาสตร์น่าเบื่อที่พวกหนูไม่สนใจฟังเมื่อครู่หรอกจ้ะ แต่ว่าพวกหนูต้องเขียนบรรยายถึงเทพที่พวกหนูประทับใจ รวมทั้งต้องบ่งบอกด้วยว่าเพราะเหตุใดจึงประทับใจเทพองค์นั้น ไม่ได้ยากโหดหินอะไรอย่างที่กลัวกันหรอก เอาล่ะจ้ะ พวกหนูมีเวลากันคนละหนึ่งชั่วโมงนะ แล้วค่อยไปเข้ารับการทดสอบถัดไป”
เมื่อได้ยินเช่นนี้เหล่านักบวชฝึกหัดจึงพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะรับเอากระดาษและดินสอแท่งสีสวยมานั่งครุ่นคิดว่าจะเขียนบรรยายถึงเทพองค์ใด และเขียนอย่างไรดีจึงจะได้คะแนนดี ส่วนแม็กนั้นยังคงคอยส่งสายตาและรอยยิ้มให้นักบวชสาวไม่หยุด แม้แต่ตอนที่รับกระดาษและดินสอที่ถูกส่งต่อกันมา เขาก็ยังคงมองดูเช่นนั้นต่อไป
กว่าจะยอมถอนสายตาจากแองจี้ เขาก็ได้ยินเสียงของซิสเตอร์มาเรียว่าเหลือเวลาอีกสิบนาที แม็กจึงสะดุ้งโหยงขึ้นมาแล้วรีบก้มหน้าลงไปจรดดินสอกับกระดาษ แสดงสีหน้าครุ่นคิด จากนั้นเขาก็ยิ้มแล้วเริ่มขีดเขียนบรรยายความประทับใจต่อเทพที่เขารู้จักเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งก็คืออะโฟรไดที เทพีแห่งความรักนั่นเอง
ช่วงเวลาที่เขาก้มหน้าก้มตาเขียนบทความนั้นเอง แองจี้ที่โดนจ้องหน้าจนขัดเขินทำตัวไม่ถูกจึงเริ่มมีเวลาแอบมองดูเขาบ้าง และนี่เป็นอีกครั้งที่เธอรู้สึกได้ว่านอกจากความรู้สึกคุ้นเคยแปลก ๆ แล้ว เธอยังพบว่าเขาช่างหล่อเหลาดึงดูดใจมากกว่าที่เธอคิด โดยเฉพาะดวงตาสีฟ้าที่เธอพอจะได้ยินมาบ้างว่านั่นเป็นดวงตาของเผ่าเทพ … บางทีแม้แต่พี่ชายของเธอเองก็ยังสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
โวหารของหนุ่มนักรักอย่างแม็กนั้นถือว่าเลิศล้ำอยู่แล้ว ยิ่งได้เขียนออกมาจากความประทับใจส่วนตัวก็ยิ่งบรรยายได้ลึกล้ำจนแม้แต่แม่ชีมาเรียก็ยังต้องอ่านซ้ำอีกสองรอบ
นอกจากนี้แม่ชีมาเรียยังยื่นส่งต่อให้แองจี้ได้อ่านอีกต่อหนึ่ง แม้แต่แองจี้ก็ยังต้องหันมามองเขาด้วยสายตาชื่นชมอันแปลกประหลาดไม่อยากเชื่อ เพราะในบทความนั้นนอกจากจะเขียนบรรยายถึงความงามราวกับได้สัมผัสมาด้วยตนเองแล้ว ยังเขียนเกี่ยวกับความรักอันบริสุทธิ์สดใส
อีกทั้งยังแอบเขียนพาดพิงถึงแองจี้ว่า เขาไม่เคยเชื่อเรื่องรักแท้ จนกระทั่งได้สบสายตากับผู้หญิงสาวสวยผมทองคนหนึ่ง ซึ่งแน่นอนล่ะว่าเขาไม่ได้เขียนเรื่องราวราคะอันดำมืดลงไปในกระดาษแผ่นนั้นแม้แต่คำเดียว
ผลการทดสอบในครั้งนี้ย่อมไม่มีใครตก ซึ่งความจริงคนที่หาข้อมูลกันมาก่อนก็พอจะรู้ความจริงข้อนี้อยู่บ้างแล้ว เพราะนี่เป็นเพียงแค่การทดสอบย่อยของอาชีพนักบวชระดับหนึ่งที่ถือว่าไม่ได้ยากเย็นอะไร เพียงแต่รายละเอียดของการสอบย่อยแต่ละครั้งนั้นไม่เหมือนกัน พวกเขาจึงเผลอตื่นตกใจอยู่บ้าง ส่วนที่อาจจะยากลำบากอยู่บ้างนั้นคงจะเป็นการทดสอบหลักซึ่งเป็นลำดับถัดไปต่างหาก
หลังจากการทดสอบย่อยแบบพอหอมปากหอมคอ ซิสเตอร์มาเรียก็ขอตัว และฝากให้แองจี้ดูแลการทดสอบต่อ แองจี้จึงเดินออกมายืนหน้าห้องด้วยความประหม่าเล็กน้อย เธอแอบชายตามองดูแม็กแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน
“สำหรับการทดสอบลำดับต่อไป จะเป็นสิ่งที่เรียกว่าสัมผัสแห่งธาตุแสงค่ะ …”
แองจี้เริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงกังวาลสดใสน่าฟัง เรื่องราวเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับการทดสอบของนักบวชฝึกหัด เพื่อขึ้นไปเป็นนักบวชที่แท้จริง เพียงแต่ว่าแม็กกลับเอาแต่เหม่อมองดูสองเต้าที่เด้งชูชันจนไม่ทันได้ฟังว่ารายละเอียดของการทดสอบเป็นอย่างไร กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้ง แองจี้ก็อธิบายจนจบ และบอกให้ทุกคนแยกย้ายกันไปรับการทดสอบจนเรียบร้อยแล้ว
“อ้าว … ไปไหนกันหมดแล้วล่ะ?”
แม็กหันไปถามแองจี้ด้วยน้ำเสียงงุนงง หลังจากพบว่าตอนนี้เหลือเขานั่งอยู่ที่ตรงนี้เพียงคนเดียว ด้านแองจี้ก็ทำตัวไม่ถูกว่าควรทำอย่างไรดี เพราะแม้จะมีรูปร่างเย้ายวนใจเหมือนสาววัยมหาลัย แต่เธอก็ยังคงเป็นเพียงแค่เด็กสาวไร้เดียงสาอายุสิบห้าสิบหกเท่านั้น
เธอทราบว่าเขามัวแต่มองดูเธอด้วยสายตาหิวกระหายเหมือนจะขย้ำเธอกลืนกินอยู่ตลอดเวลา ซึ่งความจริงแล้วเธอมักจะรังเกียจผู้ชายที่มองดูเธอเช่นนี้ ยกเว้นก็แต่พี่ชายที่เธออยากให้เขามอง แต่เขากลับไม่สนใจ และสำหรับกับชายตาสีฟ้าคนนี้ เธอกลับรู้สึกแตกต่างออกไป
อาจเป็นเพราะความรู้สึกคั่งค้างทางเพศจากเหตุการณ์โดนพี่ชายลักหลับ หรืออาจเป็นเพราะเขาคนนี้คลับคล้ายพี่ชายอย่างยิ่ง เมื่อโดนเขาจ้องมองมากเพียงไร เธอก็ยิ่งรู้สึกยินดีไปพร้อมกับความขัดเขิน ยิ่งรับรู้ได้ถึงความต้องการที่ซุกซ่อนอยู่ในดวงตาสีฟ้าคู่นั้น อะไรบางอย่างที่คั่งค้างซุกซ่อนอยู่ในเลือดเนื้อวัยสาวก็ยิ่งพลุ่งพล่านแทบระเบิดออก
“… คือ … ทุกคนไปเข้าห้องสารภาพบาป … ทำการทดสอบอาชีพนักบวช คลาส 1 น่ะค่ะ … พี่ … เอ่อ … คุณก็ควรจะรีบไปนะคะ มีเวลาแค่ 3 ชั่วโมง”
“ทดสอบยังไง?”
“ก็ … เอ่อ … พี่ต้องไปนั่งคนเดียวในห้องสารภาพบาป … จากนั้นก็มองดูหินอำนวยพรผ่านกระจกในห้อง … แล้ววาดรูปอักขระแสงที่เห็นในนั้นออกมาค่ะ … กระดาษ และดินสอ อยู่ในห้องสารภาพบาปเรียบร้อยแล้ว”
“ห้องสารภาพบาปเหรอ … เอ่อ แล้วมันอยู่ที่ไหน?”
“เอ่อ … อยู่ทางทิศเหนือของวิหาร … ดะ เดี๋ยวหนูพาพี่ไปก็ได้ค่ะ …”
แองจี้พูดตอบโต้ด้วยน้ำเสียตะกุกตะกัก ก่อนจะรีบเบือนหน้าหมุนตัวเบือนหน้าหนีเดินนำเขาออกจากห้องบรรยายไปยังห้องสารภาพบาป เพราะยิ่งอยู่ด้วยกันสองต่อสอง เธอก็ยิ่งขัดเขินจนทำตัวไม่ถูก
เสือผู้หญิงอย่างแม็กนั้นย่อมสามารถจับความรู้สึกของเธอได้ไม่ยาก และยิ่งได้เห็นเธอแสดงอาการขัดเขินเท่าไหร่ ก็ยิ่งบังเกิดอารมณ์อยากรุกล้ำสาวสวยที่ดูเหมือนจะยังบริสุทธิ์ผุดผ่องคนนี้มากยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ
กระนั้นที่เขายังรู้สึกแปลกใจก็คือ ทั้งคำพูดคำจา และท่าทางของนักบวชสาวสวยคนนี้กลับให้ความรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังคุยอยู่กับน้องสาวตัวเองเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบประโยคคำพูด หรือท่าทีประกอบการพูด สิ่งที่แตกต่างมีเพียงน้ำเสียงและลักษณะทางกายภาพเท่านั้น แต่จะอย่างไรนี่ก็เป็นเพียงความสงสัยเท่านั้น เพราะเขาต้องรีบจ้ำอ้าวเดินตามสะโพกกลมดิกซึ่งทิ้งห่างไปไกลลิ่วแล้ว
………………………………………………………….
ห้องสารภาพบาปนั้นเป็นห้องปิดมิดชิดขนาดเล็ก รอบด้านเต็มไปด้วยผนังหนาเพื่อกักเก็บเสียงไม่ให้เข้าและออก ยกเว้นก็แต่เพียงด้านหนึ่งที่มีกระจกขุ่นมัวที่มองทะลุได้ด้านเดียวเพื่อให้สามารถมองเห็นและแสดงศรัทธาต่อหินอำนวยพรที่ลอยนิ่งอยู่ใจกลางวิหารได้
นอกจากนี้ยังมีการลงมนตราเพื่อป้องกันเวทย์สื่อสารไม่ให้ผู้ที่อยู่ภายในถูกรบกวนจากภายนอกด้วยอีกทางหนึ่ง ซึ่งความจริงแล้วห้องนี้มีไว้สำหรับให้ผู้มีจิตศรัทธาได้มีโลกส่วนตัว และสารภาพความผิดบาปที่ตัวเองได้ก่อไว้ต่อหินอำนวยพรเพื่อให้รู้สึกสบายใจขึ้นนั่นเอง
กระนั้นก็มีอยู่บ้างบางครั้งที่เหล่านักบวชจะใช้ห้องนี้สำหรับทดสอบผู้มีจิตศรัทธาต้องการเป็นนักบวช เพราะห้องนี้จะสามารถตัดการสื่อสารกับโลกภายนอกได้ ดังนั้นจึงมีส่วนช่วยไม่ให้ผู้เข้ารับการทดสอบขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นได้
เวลานี้แม็กกำลังเดินเข้าไปยืนมองทั่วห้องด้วยความสนอกสนใจ เพราะนี่คล้ายกับห้องสารภาพบาปของอีกศาสนาในโลกแห่งความเป็นจริง เพียงแต่ต่างกันนิดหน่อยที่ห้องนี้จะสารภาพบาปกับก้อนหิน แทนที่จะสารภาพบาปกับนักบวช
ห้องที่ดูแข็งแรงแน่นหนานี้มีขนาดเพียงแค่หนึ่งคูณหนึ่งเมตร แต่มีเพดานสูงกว่าสามเมตร ผนังด้านหนึ่งมีกระจกทึบให้มองเห็นก้อนหินที่อยู่ใจกลางวิหารได้ ทั้งยังมีเบาะรองเข่าและโต๊ะตัวเล็กไว้เพื่อให้นั่งสวดมนตร์ขอพรล้างบาป แต่ในเวลานี้บนโต๊ะตัวเล็กจะมีสมุดเล่มเล็ก และดินสอวางไว้ เพื่อใช้รับการทดสอบ
“ขอบคุณนะครับแองจี้ แล้วเดี๋ยวพอทำเสร็จแล้วจะให้ไปส่งที่ไหน?”
หลังจากสำรวจห้องหับเสร็จเรียบร้อย แม็กก็หันมาส่งสายตากรุ้มกริ่มมองดูความสวยงามและหน้าอกที่ตั้งเต้าลอยเด่นอย่างสื่อความหมาย เพราะในหัวกำลังคิดหมกมุ่นอยู่ว่าหากปิดประตูห้องลง แล้วร่วมรักกับ NPC นักบวชสาวผมทองนมโตคนนี้คงจะเป็นอะไรที่ตื่นเต้นเร้าใจพิลึก
“ดะ … เดี๋ยวหนูจะรอที่ด้านนอกค่ะ”
แองจี้ตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักหน้าแดงก่ำ เธอรับรู้ได้ถึงอารมณ์ทางเพศที่แฝงมากับสายตานั้น เพียงแต่อาจจะนึกไม่ถึงว่าเขากำลังอยากจัดการเธอในห้องสารภาพบาป
“ได้ครับ … เอ … แล้วประตูนี่มันปิดยังไง?”
“ประตูนี้ต้องปิดจากด้านในด้วยการโยกตะเกียงดวงนี้ค่ะ … แค่โยกมันก็จะเลื่อนปิดเอง เห็นมั้ยคะ แต่ว่าถ้าปิดแล้วจะต้องรออีกอย่างน้อยสองชั่วโมงนะคะถึงจะเปิดได้อีกครั้ง … อ๊ะ!!!”
แองจี้ตอบคำถามของแม็กด้วยการเดินเบียดเข้ามาในห้องสารภาพบาป แล้วยื่นมือไปดึงตะเกียง จากนั้นประตูห้องซึ่งทำด้วยหินหนักทึบก็เลื่อนครืดปิดล๊อคอย่างแน่นหนาจนแม้แต่เสียงสวดจากภายนอกก็ยังไม่สามารถผ่านเข้ามาในห้องได้ เพียงแต่เธอกลับเผลอตื่นเต้นสับสนจนลืมนึกไปว่าตอนนี้เธอก็กลายเป็นต้องอยู่ในห้องสารภาพบาปกับเขาแบบสองต่อสองไปอีกอย่างน้อยสองชั่วโมง
สำหรับแองจี้แล้ว นี่เป็นเพียงความผิดพลาดพลั้งเผลอเท่านั้น แต่ว่าแม็กซึ่งกำลังเปี่ยมด้วยอารมณ์ย่อมไม่คิดเช่นนั้น เขาย่อมคิดเข้าข้างตัวเองว่าแองจี้กำลังทอดสะพานเปิดทางให้ และมีหรือที่หนุ่มนักรักอย่างเขาจะพลาดโอกาสทองเช่นนี้ไปได้!!!
“ทักษะจิตแห่งราคะทำงาน”
“แองจี้ มีระดับค่าความรักที่ 1% และมีระดับค่าความใคร่ที่ 72%”
เหมือนสวรรค์จะเป็นใจ เพราะเมื่อยู่กันสองต่อสอง ทักษะลับที่ได้มาจากแอสโมดิอุสก็ทำงานขึ้นมาทันที และนั่นก็ทำให้แองจี้สะดุ้งโหยงเบา ๆ โดยไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง เธอรู้สึกเพียงว่าร่างกำลังร้อนผ่าว ที่ตรงนั้นก็เริ่มชุ่มฉ่ำ รู้สึกเหมือนอยากให้ชายหนุ่มสุดหล่อเจ้าของตาสีฟ้าคนนี้ช่วยปลดปล่อยอารมณ์ดิบที่พลุ่งพล่านอยู่ในร่างให้สักครั้ง
ควรทราบว่านี่เป็นเพียงแค่เกม และแองจี้หรือส้มเช้งไม่ได้เป็น NPC ของระบบ ดังนั้นแน่นอนว่านี่จะเป็นเพียงความรู้สึกเสมือนเท่านั้น เธอยังคงเป็นอิสระไม่ได้ถูกควบคุมการกระทำหรือตัดสินใจอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่สิ่งที่ระบบทำในการปรับค่าระดับความใคร่ ก็คือการทำให้ฮอร์โมนทางเพศทำงานมากขึ้นจนเทียบได้กับการโดนยาปลุกเซ็กส์สักขนาน
ในส่วนของค่าความรักนั้นอาจจะซับซ้อนกว่าสักหน่อย แต่ทางระบบก็จะกระตุ้นให้มีการแพร่กระจายของฮอร์โมนความสุข ความรู้สึกพึงพอใจขึ้นมาแทน ซึ่งในส่วนของแองจี้นั้นเธอมีระดับฮอร์โมนทางเพศคั่งค้างก่อนเข้าเกมมาแล้วส่วนหนึ่ง และมาเสริมด้วยระบบเกมอีกส่วนหนึ่ง เด็กสาวจึงอยู่ในอารมณ์ที่เรียกว่าพร้อมรับการสมสู่อย่างเต็มที่
ด้านแม็กนั้นย่อมพร้อมจะเปิดเกมรุกอยู่แล้ว ยิ่งได้เห็นข้อความของระบบ และท่าทางร้อนสวาทของนักบวชสาวก็ยิ่งไม่เห็นเหตุผลที่จะหยุดตัวเอง เขาขยับเข้าไปคว้าเอวโอบกอดเข้ามากระชับแนบกาย แล้วบรรจงประกบปากจูบจิ้มลิ้มโดยไม่เปิดโอกาสให้เธอบ่ายเบี่ยงถอยหนี
แองจี้ยืนแข็งทื่อด้วยความตื่นตกใจ เธอไม่เคยคิดว่าจะโดนชายแปลกหน้าเปิดฉากรุกอย่างอุกอาจรวดเร็วถึงขนาดนี้ และนี่ก็ยังเป็นจูบแรกที่สำคัญยิ่งของผู้หญิง เธอจึงพยายามยกมือขั้นขวางกั้นด้วยบังเกิดความคิดอยากปกป้องตัวเองขึ้นมาส่วนหนึ่ง หากทว่าเมื่อโดนลิ้นของเขาพัวพันเข้ามาระรัวอยู่ในโพรงปาก สมองก็กลายเป็นขาวโพลน เนื้อตัวและแขนขาอ่อนระทวยไม่อาจทำอย่างไรได้ นอกจากปล่อยให้เขาโอบกอดและจูบปากดูดลิ้นต่อไปเช่นนั้น
แม็กเห็นอีกฝ่ายไม่ต่อต้านขัดขืนก็ยิ่งได้ใจ ยิ่งเห็นเธออ่อนด้อยในเชิงกามเหมือนสาวบริสุทธิ์ก็ยิ่งบดจูบใส่ริมฝีปากอย่างดูดดื่มมากกว่าเดิม เขาเดินหน้าผลักดันจนแผ่นหลังของแองจี้พิงกำแพง แล้วดันร่างกำยำเข้าถูไถบดเบียดกับความนุ่มนิ่มของสองเต้า ในขณะที่แก่นกายส่วนล่างก็เบียดเสียดสีกับหน้าท้องเนียบเรียบของเธอ
“ทักษะสัมผัสแห่งราคะทำงาน”
“แองจี้ มีระดับค่าความรักที่ 1% และมีระดับค่าความใคร่ที่ 85%”
ลีลาลิ้นอันดุเดือดร้อนแรงของแม็ก ผสมรวมเข้ากับทักษะสัมผัสแห่งราคะได้กระตุ้นอารมณ์เร่งระดับความใคร่ของแองจี้ขึ้นมาอีกขั้น เวลานี้มโนสติของเธอได้ละลายหายไปหมดแล้ว สองมือที่เคยทำท่าจะผลักไสป้องกันตัว กลายเป็นโอบกอดรอบคอของเขาเอาไว้แนบแน่น ทั้งยังเผยออ้าปากเปิดทางให้เขารุกเร้าเข้ามาได้สะดวกกว่าเดิม
ไม่มีคำพูดอันใดภายในห้องสารภาพบาปอันคับแคบมิดชิด มีแต่เพียงเสียงดูดปากดังจ๊วบสลับกับเสียงลมหายใจหอบหนักซึ่งเต็มไปด้วยอารมณ์กระสัน หนุ่มสาวร้อนรักต่างกำลังเพลิดเพลินดูดดื่มไปกับรสจูบแสนหวาน เธอเปิดทางสนองอย่างเต็มที่ ในขณะที่เขาเองก็รีดเร้นฝีมือกระตุ้นอารมณ์ของเธอจนปั่นป่วนวุ่นวาย
แม็กตวัดลิ้นพัวพันดูดดุนลิ้นเรียวเล็กอย่างเอร็ดอร่อย สลับกับดูดเลียลิ้มรสริมฝีปากบอบบางของแองจี้ มือขวาลูบไล้ผมนุ่มนิ่มสีทองที่ยาวถึงกลางหลัง ขณะที่มือซ้ายกำลังบีบตะปบขยี้ใส่สะโพกก้นผึ่งผาย สลับกับลูบไปตามท่อนขาเรียวงามที่มีถุงน่องสวมทับอยู่หนึ่งชั้น
“อืมมมมมมม …. อือออออ … จ๊วบบ …. อืมมมม”
สองหนุ่มสาวสลับกันส่งเสียงครวญครางด้วยความสุขสม สองร่างต่างเบียดแนบเข้าหากันราวจะผสมผสานร่าง ท่อนลำที่แข็งโด่บดเบียดกับหน้าท้องจนแม็กเสียวปรี๊ด เขารู้สึกเหมือนอยากฉีกกระชากเสื้อผ้านักบวชที่แสนจะเกะกะของแองจี้ออกให้หมดแล้วจับขย่มเสียให้รู้แล้วรู้รอด หากทว่าควานหาอยู่เนิ่นนานก็ยังไม่ทราบว่าจะถอดชุดของสาวสวยออกได้อย่างไร
สิ่งที่ดูเหมือนกระดุมก็ไม่ปรากฏ แม้แต่ซิปรูดก็ไม่พบเห็น เนื้อผ้าก็ไม่ได้เป็นผ้ายืดที่จะรูดถอดขึ้นไปทางด้านบนได้ แม้แต่มือฉมังด้านการเปลื้องผ้าสาว ๆ อย่างแม็กก็ยังรู้สึกอับจนปัญญาจนพาลหงุดหงิดขึ้นมา
แควก!!! … เพียงเผลอออกแรงด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย เนื้อผ้าบริเวณแผ่นหลังก็โดนกระชากทึ้งขาดวิ่นเปิดเผยเนื้อขาวเนียนออกมาแถบใหญ่ แองจี้ถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยไม่เข้าใจว่าเหตใดจึงรุนแรงดิบเถื่อนถึงเพียงนี้ หากทว่าอารมณ์เพศเมียที่กำลังกระสันหาทางระบายออก กลับทำให้เธอยิ่งรู้สึกสาแก่ใจในสิ่งที่เขากำลังกระทำเข้าไปเสียอีก นั่นทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังโดนข่มขืน และทำให้รู้สึกผิดน้อยลงที่เผลอนอกใจพี่ชาย
ที่ตกใจยิ่งกว่ากลับเป็นตัวแม็กเอง เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจจะออกแรงอะไรมากมายถึงเพียงนั้น และเขาก็ไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำ ว่าตอนนี้ตัวเขานั้นมีค่าความแข็งแกร่งมากถึงหนึ่งร้อยหน่วย ดังนั้นการจะฉีกกระชากเสื้อผ้าสักชุดนั้น นับได้ว่าเป็นเรื่องง่ายดายมาก
กระนั้นตกใจก็อยู่ส่วนตกใจ หื่นกามก็อยู่ส่วนหื่นกาม เมื่อรู้สึกว่าการถอดเสื้อผ้าแองจี้นั้นยากลำบากเกินไป และการฉีกกระชากเสื้อผ้าก็กระตุ้นอารมณ์ดิบได้ดียิ่ง เขาจึงเริ่มลงมือ ‘ฉีกทึ้ง’ ชุดนักบวชของแองจี้เสียเลย
แควก!!! ควาก!!! เสียงเนื้อผ้าฉีกขาดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ยังคงจูบดูดปากกันอยู่ เริ่มจากถึงน่องทั้งสองข้างที่โดนฉีกจนเหลือแต่ส่วนที่ต่ำกว่าเข่าลงไป ส่วนผ้าคลุมก็โดนกระชากบริเวณแผ่นหลังและด้านหน้าจนขาดหลุดลุ่ย เปิดเปลือยแผ่นหลังและทรวงอกอวบใหญ่ออกมา หลงเหลือเพียงเนื้อผ้าบางส่วนบริเวณหัวไหล่และแขนเท่านั้น
“แองจี้สวยมาก … ขาว เซ็กส์ซี่ นมใหญ่น่าดูดจัง”
หลังจากจูบแลกลิ้นอยู่เนิ่นนานจนริมฝีปากบางแทบเห่อบวม เขาก็ปลดปล่อยให้เธอได้พักหายใจหายคอ เพราะต้องการชื่นชมเรือนร่างของนักบวชสาวสวย และความงามของเธอก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง ทั้งยังต้องเอ่ยปากชมและจับจ้องมองด้วยสายตาตะลึงลานหื่นกามยิ่งกว่าเดิมเข้าไปอีกขั้น
แม้จะเปี่ยมด้วยอารมณ์ทางเพศ แต่แองจี้ก็ยังมีจริตมารยาหญิง เธอหน้าแดงวูบเมื่อได้ยินคำชม และพยายามขยับสองมือมาปิดบังทรวงอกอวบเอาไว้ไม่ให้เขามอง แต่เหมือนจะโดนรู้ทันเข้าเสียก่อน มือบอบบางทั้งสองข้างจึงโดนจับรวบยกขึ้นไปกดติดกับประตูห้องสารภาพบาป เธอจึงได้แต่ยืนอวดทรวดทรงด้วยใบหน้าแดงก่ำโดยไม่อาจกระทำสิ่งใดได้
“เพิ่งเคยทำแบบนี้ครั้งแรกใช่มั้ย?”
เมื่อมองดูสองเต้าจนอิ่มหนำ แม็กก็กระซิบถามพร้อมกับซุกหน้าลงไปสูดดมความหอมของแก้มแดงปลั่ง แล้วซุกไซร้จูบเม้มไปตามซอกคอจนแองจี้เสียวสยิวขนลูกซู่
“ค่ะ … อืมมม … อือออ … หนู … หนู … อืมมมม … อูยยยย … ซี้ดดสสส … อะ … โอววว”
แองจี้ตอบด้วยน้ำเสียงกระเส่าขณะแอ่นเอียงคอให้เขาเสพความหอมหวานของกายสาว จากนั้นเสียงครางของเธอก็เริ่มหนักขึ้น เพราะสองมือของเขากำลังเกาะกุมขยำอยู่บนหน้าอกอวบอูม แล้วบีบขยำขยี้อย่างเมามันจนเนื้อเต่งเด้งไปเด้งมา
แองจี้ตัวกระตุกด้วยความเสียวแปลบเป็นระยะเมื่อโดนเขาขยำนมแรงขึ้นเรื่อย ๆ สติส่วนหนึ่งของเธอพยายามร้องเตือนให้ป้องกันตัวเอง หากทว่าร่างกายของเธอกลับเอาแต่ตอบสนองต่อลีลารักของเขา โดยไม่วี่แววว่าจะอยากขัดขืนต้านทานแต่อย่างใด
“ซี้ดดสสส … อืมมมม … อาาาาา … พี่ขา … หนูเสียว … อืออออ”
เพียงบีบขยำก็เสียวจนแทบรับไว้ไม่ไหวแล้ว ยิ่งโดนเขาจัดการก้มหน้าอ้าปากงับหัวนมเข้าไป แองจี้ก็เด้งผวาสะดุ้งโหยงร้องอ๊าเสียงสั่นสะท้าน หากทว่านั่นยังเป็นแค่เพียงระดับเริ่มต้น เพราะเมื่อเขาใช้มือทั้งสองข้างฟอนเฟ้นขยำก้อนเนื้ออันเปลือยเปล่าสลับกับ ดูดเลียปลายถันราวกับตายอดตายอยากมานานแสนนาน เด็กสาวก็ส่งเสียงซี้ดซ้าดผวาแอ่นหน้าอกกอดรัดศีรษะของเขาเอาไว้จนแน่น
ใบหน้าแสนสวยเริ่มบิดเบี้ยวเหยเก ทั้งหอบหายใจฟืดฟาดหนักหน่วง ขณะนั้นสายตาของเธอได้มองเห็นผ่านกระจกในห้องสารภาพบาปออกไปด้านนอก หินอำนวยพรสีขาวขนาดใหญ่ที่เหล่านักบวชให้ความเคารพยังคงลอยเด่นอยู่ตรงนั้น ราวกับว่ากำลังจับจ้องมองดูและทดสอบความศรัทธาของนักบวชสาวร้อนสวาทอย่างเธอ
ที่ด้านนอกนั้นมีเงาร่างของนักบวชที่กำลังขอพรพลุกพล่าน ทั้งยังมีแม่ชีมาเรียที่ฟูมฟักดูแลฝากความหวังกับตัวเธอยืนขอพรอยู่ด้านนอกนั่น วินาทีนี้สติของเธอจึงย้อนกลับคืนมาได้วูบหนึ่ง พร้อมกับความคิดว่าเธอกำลังทำเรื่องเลวร้ายไม่เหมาะสมในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ … และที่สำคัญ เธอกำลังทำผิดกับพี่ชายที่เธอแอบหลงรักอยู่ด้วย!!!
“อย่าค่ะ!!!”
เมื่อนึกถึงพี่ชาย มโนสติก็ย้อนกลับคืนมาได้ส่วนหนึ่ง เธอจึงฝืนใจส่งเสียงร้องห้ามและผลักไสร่างของเขาจนถอยเซไปด้านหลัง แล้วรีบยกมือกอดอกเพื่อปิดบังเนื้อตัวเอาไว้ด้วยใบหน้าอันแดงซ่าน
หลังจากโดนผลักไสโดยไม่คาดคิด แม็กก็ยืนมองดูสาวสวยด้วยสายตาแปลกประหลาด มองดูสภาพของเธอตอนนี้แล้ว เขาไม่คาดว่าเธอจะยังสามารถต้านทานความต้องการเอาไว้ได้ แม้ว่าเสื้อผ้าของเธอจะโดนฉีกทึ้งจนขาดวิ่นเหมือนสาวสวยที่กำลังจะโดนข่มขืน แต่เขาและเธอต่างก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่การข่มขืน
“หรือว่ากลัวคนอื่นเห็น … แต่แองจี้บอกว่า ข้างนอกจะมองเข้ามาไม่เห็นไม่ใช่เหรอ?”
แทนที่จะใช้กำลังปลุกปล้ำต่อ แต่แม็กยังใจเย็นพอที่จะพยายามคาดเดาสาเหตุ เพราะเขาเองก็ไม่นิยมการใช้กำลังข่มขืน เขาจึงเลือกที่จะมองไปรอบ ๆ ตามที่สายตาของแองจี้กำลังจับจ้องมองอยู่
ซึ่งนั่นถือว่าถูกต้องแล้ว เนื่องจากในเกมนี้ยังมีระบบที่สามารถปกป้องการคุกคามทางเพศเมื่ออยู่ในเขตเมืองและพื้นที่โดยรอบได้อยู่ ดังนั้นหากเขาเลือกใช้กำลังเข้าฝืน ก็เป็นไปได้สูงที่แองจี้จะเรียกใช้ระบบป้องกันนี้เพราะไม่ได้ยินยอมพร้อมใจเต็มที่
“เปล่าค่ะ … เอ่อ ใช่ค่ะ คนข้างนอกจะมองเข้ามาไม่เห็น … แต่ว่าหนู …”
แองจี้แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะเขาไม่ได้กลัดมันจนจะเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นเธอคงต้องฝืนใจเรียกใช้กฎป้องกันการคุกคามทางเพศ เมื่อเขาพอจะพูดคุยกันรู้เรื่องเธอจึงรู้สึกดีกว่าเดิม เพียงแต่จะให้บอกความจริงว่าเธอรู้สึกผิดต่อพี่ชายสุดที่รักก็ไม่สามารถพูดออกจากปากตัวเองได้
“หรือว่ามีคนรักอยู่แล้ว?”
แม็กพยายามคาดเดาต่อ เพราะจากประสบการณ์แล้ว สาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงเปลี่ยนใจกลับลำในนาทีสุดท้ายทั้งที่กำลังเสียวเต็มที่นั้นมีเพียงไม่กี่อย่าง
“ค่ะ”
เธอตอบด้วยน้ำเสียงไม่หนักแน่นนัก เพราะไม่คิดว่าเขาจะเดาได้ แต่ที่สำคัญกว่าก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างเธอและพี่ชายนั้นไม่ควรใช้คำว่าคนรัก แต่ควรจะเป็นคำว่าแอบรักข้างเดียวเสียมากกว่า
“พูดไม่เต็มเสียงแบบนี้ แสดงว่าแอบรักข้างเดียวซินะ … ใครเหรอที่แองจี้แอบรัก”
“… เอ่อ … คือ … หนู … ใช่ค่ะ หนูมีคนที่แอบรักอยู่ … แต่ว่า …”
อุตส่าห์ไม่พูดรายละเอียดอะไรแล้ว แต่ก็ยังไม่วายโดนเขาจับจุดสำคัญได้ แองจี้จึงสะดุ้งเล็ก ๆ แล้วพูดตอบด้วยเสียงระล่ำระลัก เพราะจะโกหกก็ไม่ใช่นิสัย แต่หากจะบอกความจริงออกไปก็คงจะไม่เหมาะสม เธอจึงเงียบไม่กล้าตอบออกไป
“อืมม … ไม่กล้าตอบแบบนี้ แสดงว่าเผลอหลงรักคนที่ไม่ควรรัก … ความสัมพันธ์ต้องห้าม … อาจจะเป็นแฟนคนอื่น หรือไม่ก็ออกแนวญาติพี่น้องใช่มั้ย?”
“ไม่ใช่นะคะ ส้ม … เอ่อ หนูไม่ได้ไปรักแฟนคนอื่นนะคะ … คือ …”
หลังจากโดนจี้จุดแรก ก็ยังมาโดนจี้จุดที่สองเข้าอย่างจัง แองจี้จึงตื่นตกใจรีบกล่าวปฏิเสธด้วยความลนลาย จนเกือบเผลอตัวเรียกชื่อตนเองว่าส้มเช้งออกไป แต่ยังดีที่ยั้งปากตัวเองไว้ได้ทันเสียก่อน เพราะเธอตั้งใจจะไม่ให้คนในเกมรู้จักตัวจริงของเธอโดยเด็ดขาด
“งั้นก็แสดงว่ารักพี่หรือไม่ก็น้องตัวเอง … อืม ถ้าให้เดาจากนิสัย คงแอบรักพี่ชายล่ะมั้ง ถูกมั้ย?”
แม้จะโดนขัดจังหวะเสียวจนอารมณ์ค้าง แต่แม็กก็ยังรู้สึกสนุกที่ได้หยอกล้อสาวสวยคนนี้เล่น และยิ่งได้เห็นท่าทางลนลานของเธอแทนคำตอบ เขาก็ทราบแล้วว่าการคาดเดานั้นต้องถูกต้องตรงประเด็นอย่างแน่นอน
“… หนู … หนูเคยสาบานกับซิสเตอร์มาเรียไว้ค่ะ … หนูสาบานว่าจะเชื่อฟังคนที่สามารถสัมผัสพลังของอักขระแสงทั้งหกสิบสี่ตัวในหินอำนวยพรได้”
แองจี้แตกตื่นจนไม่รู้จะแตกตื่นอย่างไรแล้ว เพราะยิ่งสนทนาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนโดนดวงตาสีฟ้ามากเสน่ห์คู่นั้นอ่านความคิดไปจนหมด เธอจึงพยายามบ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่นแทน เนื่องจากไม่ถนัดการโกหก เธออ้างถึงเรื่องที่เธอเคยพูดคุยกับแม่ชีมาเรียเล่น ๆ กันในเชิงว่า หากเธอจะมีแฟน แฟนก็ต้องเก่งกว่าเธอ ซิสเตอร์มาเรียจึงบอกว่าจะยกแองจี้ให้กับผู้ชายที่สามารถอ่านอักขระแสงได้ครบทั้งหกสิบสี่ตัว เพราะคนระดับนั้นยังไม่เคยมีจริง
“อักขระแสง? ในหินกลม ๆ นี่น่ะเหรอ?”
“ค่ะ … ข้างในหินจะมีตัวอักขระธาตุแสงอยู่หกสิบสี่ตัว แต่ละตัวจะมีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไป สามารถนำมาใช้ในการร่ายคาถาได้ อักขระจะแบ่งเป็นชั้น ๆ ตามระดับความยาก ชั้นนอกสุดอ่านง่าย แต่จะเป็นอักขระของเวทย์พื้นฐานสำหรับนักบวชระดับแรกมีแค่แปดตัว ทั้งจะมีแปดระดับ ระดับละแปดอักขระ …”
แองจี้พยายามอธิบายต่อในรายละเอียดด้วยความรู้สึกโล่งอกผสมกับเสียดาย เพราะเขาดูจะสนใจกับคำท้าทายนี้อยู่บ้าง เพียงแต่ที่แอบเสียดายก็คือ เธอไม่คิดว่าจะมีใครทำได้ เพราะแม้แต่เธอเองที่ฝึกฝนอย่างหนัก และเพิ่งสอบผ่านนักบวชคลาสสาม ก็ยังสัมผัสถึงอักขระได้เพียงแค่ระดับชั้นที่สี่จากทั้งหมดแปดชั้น แม้แต่ซิสเตอร์มาเรียก็ยังสัมผัสได้เพียงแค่ห้าชั้นหรือแค่เพียงสี่สิบอักขระเท่านั้น
ความจริงแล้วนี่เป็นความลับอย่างหนึ่งสำหรับสายอาชีพนักบวช การสอบที่ว่าให้เขียนอักขระที่เห็นลงในกระดาษก็ไม่ได้หมายความเช่นนั้นจริง ๆ เพราะตัวอักษรไม่เคยเปลี่ยนแปลง ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่นักบวชฝึกหัดจะมีการสอบถามข้อมูลจากคนอื่นก่อนเข้าสอบ
ซึ่งหากเป็นกรณีนั้น ต่อให้นักบวชฝึกหัดไม่เห็นอะไรเลย แต่ก็จะยังสามารถเขียนอักขระระดับหนึ่งได้ถูกต้องทั้งหมด กระนั้นพวกเขาก็จะยังตกการทดสอบในรอบถัดไปอยู่ดี เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของการทดสอบคือการสัมผัสกับอักขระแสง เพื่อนำไปใช้ในการร่ายมนตรา ดังนั้นหากไม่สามารถมองเห็นด้วยตัวเองได้ ก็จะไม่มีทางร่ายเวทย์ด้วยอักขระนั้น ๆ ได้
ผู้เล่นทั่วไปนั้นจะสามารถอ่านได้แค่เพียงอักขระในระดับที่หนึ่งหรือสอง ซึ่งในระดับนี้จะมีทักษะที่เรียกว่า Basic sense of Light (สัมผัสธาตุแสงเบื้องต้น) ส่วนระดับสามจะถือว่าเป็นนักบวชคลาสสองขึ้นไปซึ่งมีแค่เพียงไม่กี่พันคน และในระดับนี้จะมีทักษะในระดับ Expert sense of Light (สัมผัสธาตุแสงระดับเชี่ยวชาญ)
ส่วนผู้เล่นที่สามารถอ่านอักขระได้ถึงระดับที่สี่นั้น ปัจจุบันยังมีเธอแค่เพียงคนเดียว ซึ่งในระดับนี้ต้องการทักษะที่สูงมาอีกขั้นซึ่งเรียกว่า Master sense of Light (สัมผัสธาตุแสงระดับเข้าใจถ่องแท้) ดังนั้นเธอจึงคิดว่าไม่น่าจะมีผู้เล่นคนไหนที่สามารถอ่านอักขระทั้งหกสิบสี่ตัวได้ ยกเว้นก็แต่ว่าเขาคนนั้นจะได้เป็นเผ่าเทพซึ่งมีสัมผัสเชื่อมโยงกับธาตุแสงในระดับธรรมชาติ หรือที่เรียกกันว่า Natural sense of Light (สัมผัสธาตุแสงระดับธรรมชาติ)
หลังอธิบายจบ แองจี้ก็แอบมองใบหน้าด้านข้างของหนุ่มหล่อตาสีฟ้าด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด เพราะเขากำลังหันไปมองดูหินอำนวยพรอย่างใจจรดใจจ่อ … ยิ่งมองดูเขา หัวใจก็ยิ่งเต้นแรง เธอยิ่งรู้สึกไม่แน่ใจว่าหากย้อนกลับไปเลือกได้อีกครั้ง เธอจะยังผลักไสเขาออกห่างอีกหรือไม่
แองจี้จ้องมองดูใบหน้าด้านข้างของเขาด้วยดวงตาเหม่อลอยอีกครู่ใหญ่ ก่อนจะรีบเบือนหน้าหลบไปทางอื่นเมื่อเขาหันกลับมามองเธอด้วยรอยยิ้ม และสายตาวิบวับราวกับหมาป่าเจ้าเล่ห์ ซึ่งตอนนี้เองที่เธอเริ่มรู้สึกราวกับว่าเขาสามารถอ่านอักขระออกทั้งหมดแล้ว
“ที่บอกว่าจะเชื่อฟังนี่คือให้ทำอะไรก็ได้ใช่มั้ย? เหมือนทาสอะไรแนวนี้หรือเปล่า?”
“อะไรนะคะ?”
“อ้าว ก็เมื่อกี้ แองจี้บอกว่า จะเชื่อฟังคนที่สัมผัสอักขระทั้งหกสิบสี่ตัวได้ไม่ใชเ่หรอ?”
“ค่ะ … เอ่อ … ใช่ค่ะ แองจี้บอกว่าจะเชื่อฟัง”
“นั่นล่ะ … ช่วยขยายความหน่อยได้มั้ย คำว่าเชื่อฟังนี่หมายความว่ายังไง?”
“ก็เชื่อฟังทุกอย่าง … จะบอกว่าเป็นทาสก็ได้ค่ะ … ถ้าหากว่าสัมผัสได้ทั้งหกสิบสี่ตัวจริง ๆ นะคะ … แต่ถ้าไม่ได้พี่ก็ต้องยอมเป็นทาสของหนูแทน”
แองจี้ตอบด้วยน้ำเสียงไม่หนักแน่นนัก เพราะไม่เคยคิดเรื่องการเป็นทาสใครมาก่อน แต่ว่าเธอกลับตอนยืนยันคำว่าทาส ทั้งยังยื่นข้อเสนอท้าทายกลับ เพราะรู้สึกขุ่นเคืองที่เขาพูดท้าทายเหมือนว่าการสัมผัสอักขระแสงพวกนี้เป็นเรื่องง่ายดายเหมือนอ่านหนังสือ
“โอเค งั้นทำสัญญากัน หากผมสัมผัสได้ทั้งหกสิบสี่ตัว แองจี้จะเป็นทาสผม ถ้าไม่ได้ ผมจะเป็นทาสให้แองจี้โอเคมั้ย?”
“… ค่ะ สัญญา”
เธอนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ เพราะไม่คิดว่าคำท้าทายด้วยความโกรธของเธอจะโดนเขาตอบรับโดยแทบไม่เสียเวลาคิด กระนั้นเมื่อได้ครุ่นคิดดู เธอก็หน้าแดงซ่านและตอบตกลงแบบไม่เต็มเสียง เพราะเธอคิดว่านี่เป็นแผนของเขา
เธอคิดว่าเขาอาจจะสำนึกตัวว่าไม่มีทางมองเห็นอักขระทั้งหกสิบสี่ตัว จึงวางแผนซ้อนแผนเลือกที่จะเป็นทาสของเธอแทน และหากเป็นเช่นนั้น เธอก็รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว เพราะแอบเผลอคิดจินตนาการไปว่า คำสั่งแรกของเธอจะสั่งให้หนุ่มหล่อตาสีฟ้าสุดเท่ห์คนนี้ทำอะไรให้
เธออาจจะสั่งให้เขานวดหลังตอนเธอนอนอาบแดด บอกให้นวดตัวโดยไม่ให้เขาทำอะไรนอกเหนือกว่านั้น เธออาจจะแกล้งยั่วเขาสักหน่อยเพื่อทดสอบความอดทน และอาจจะลงโทษหากฝืนคำสั่ง หากเขาทำตัวดี ๆ นิสัยน่ารัก เธอก็อาจจะ … ให้รางวัลอะไรเขาบ้างก็ได้
แองจี้ฝันหวานไปกับจินตนาการวาบหวามจนปรากฎรอยยิ้มหวานอิ่มเอมบนใบหน้า วินาทีนี้เธอถึงค่อยสำนึกได้ว่า หัวใจเผลอเปิดรับหนุ่มหล่อตาสีฟ้าคนนี้เข้ามาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเสียแล้ว
“งั้นถือว่าตกลงนะ”
อย่างไรก็ตาม คำพูดแฝงความมั่นใจเต็มเปี่ยมของเขาก็ทำให้เธอหลุดออกมาจากฝันหวาน และเริ่มสับสนงุนงงว่าเขาไปเอาความมั่นใจขนาดนั้นมาจากไหนกัน
………………………………………………………….