รักยมตอนที่ 59 ศึกแรก 1
………………………………………………………………. แมลงและสัตว์ตัวน้อยในป่าที่กำลังส่งเสียงตะเบ็งเซ็งแซ่ระงมต่างพากันหยุดเงียบเสียงอย่าง พร้อมเพรียงจนเหลือแต่เพียงเสียงลม เสียงย่ำเท้าฝ่าพงหญ้า และเสียงสบถด่าของผู้คน แสง จากหลอดไฟฉายที่กราดสาดส่องวับแวบไปมาตามพุ่มไม้ แทนที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกปลอดภัย กลับยิ่งทำให้ป่าที่มืดทึบน่าหวาดกลัวอยู่แล้วยิ่งให้ความรู้สึกน่าหวาดหวั่นยิ่งขึ้นไปอีก “อีดอก ออกมาเดี๋ยวนี้นะโว้ย ถ้าไม่ออกมาแล้วพวกกูจับได้ มึงโดนพวกกูรุมโทรมจนหอยบาน แน่ อูยยย … อีเหี้ยเอ๊ย … กูแค่แอบจับนมนิดหน่อยเสือกเตะควยกูได้” “หุบปากไปเลยมึง ถ้าไม่ใช่เพราะมึงแอบจะ
ไปเอาอีนังคนสวยนี่ มันก็หนีออกมาไม่ได้หรอก” “โธ่ ก็นิดหน่อยน่าลูกพี่ เห็นดารานมโตอยู่ใกล้ ๆ มือแค่นี้ ใครจะไม่อยากเอา คนอื่นมันก็อยาก แต่พวกมันไม่พูดเฉย ๆ จริง ๆ พี่ก็แอบดูนมมันเหมือนกันนั่นแหละ” “เออ กูก็อยากเอาอีนังนี่ แต่กูก็ไม่กล้าโว้ย ถ้านายรู้ว่ามึงแอบปล้ำผู้หญิงที่นายสั่งให้มาฉุด รู้มั้ย ว่ามึงจะโดนอะไร ถ้าไม่โดนเผานั่งยาง ก็โดนจับถ่วงลงทะเลแน่” “โธ่ ลูกพี่ … ก็อย่าบอกซิ พวกเรามาแบ่ง ๆ กันเอา แล้วเงียบ ๆ ไว้ไม่บอกใครเรื่องก็เงียบแล้ว …” “มึงหุบปากได้แล้ว ถ้ายังไม่อยากโดนนายเชือด ก็รีบหาอีนังนั่นให้เจอ แล้วพาไปให้นาย แค่นั้น นายก็ไม่ว่าอะไรแล้ว แต่อย่าเสือกคิดทำอะไรอีกนะโว้ย กูขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ครั้งหน้ากูจะ เตือนด้วยลูกปืนแทน” เสียงตะโกนสนทนาของกลุ่มชายฉกรรจ์เงียบลงเพียงแค่นี้ จากนั้นก็เป็นเสียงย่ำเท้าดังสวบสาบ ใกล้เข้ามาทางดงไม้ที่เอกและบอยซุ่มแอบอยู่ทีละน้อย “เฮ้ย พวกมันมีปืนด้วย … ทำไงดีล่ะทีนี้ … ตำรวจ ต้องโทรเรียกตำรวจ … เวรล่ะ มือถือไม่มีสัญญาณ” บอย ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดด้วยท่าทีอันลนลานหวาดกลัว ส่วนเอกที่เริ่มรู้สึกใจคอไม่ดี ก็ส่ง เสียงทางกระแสจิตเรียกหารักยม และนางตะเคียน แต่ก็ไม่มีใครตอบเช่นกัน ‘รักยม ……… รักยม ………. รักยม หายไปไหนกัน ออกมาเร็ว …. พี่แก้ว ออกมาเร็ว ….. หายไปไหน กันหมด …. อย่าบอกนะว่าเมื่อกี๊ยังเล่นน้ำทะเลสบายใจกันอยู่เลยไม่ได้ตามมา … เวรล่ะ’ ความรู้สึกมั่นใจที่มีเต็มอกของเอกหล่นวูบ เพราะทีแรกเขาเพียงคิดว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ขอแค่ เพียงมีรักยมและนางตะเคียนคอยช่วยเหลือก็คงไม่มีอันตรายอะไร แต่ว่าคราวนี้กลับไม่มีตัวช่วยเข้า เสียแล้ว ซึ่งเพียงผู้ชายสี่คนนั้นเอกยังไม่รู้สึกหวั่นใจเท่าไหร่ หากแต่อีกหนึ่งที่มีพลังวิญญาณสูงนั้น เล่า ลางสังหรณ์ของเขาบอกว่ามันเป็นตัวอันตรายที่ควรจะอยู่ห่าง ๆ เข้าไว้ “ทำไงดีวะไอ้เกลอ … พวกมันใกล้เข้ามาแล้ว” “คุณบอย ไปหาตำรวจ แล้วพาคนมาช่วยดีมั้ย ผมจะคอยตามดูไอ้พวกนี้เอง” “กว่าจะวิ่งออกจากไอ้ป่าบ้านี่พ้นก็คงสว่างกันพอดี แถมกว่าตำรวจจะมาถึงอีก เพื่อนกันไม่ต้องบอก ให้หนีเอาตัวรอดคนเดียวหรอก เพื่อนกันยังไงก็ต้องไปด้วยกัน แถมยังมีผู้หญิงร้องให้ช่วยอยู่แค่นี้ จะให้หนีแล้วไม่ยอมอยู่ช่วยได้ยังไง” เอก พยายามหาทางพูดกล่อมให้บอยอยู่ห่างเหตการณ์เข้าไว้ก่อน เพราะอย่างน้อยหากเขาอยู่ตัว คนเดียว แล้วมีอะไรเกิดขึ้นก็พอที่จะวิ่งหนีหายเข้าไปในป่าได้ทัน แต่บอยกลับตอบปฎิเสธและยืน กรานว่าจะอยู่ช่วยผู้หญิงคนนั้นต่อ ทั้งที่น้ำเสียงยังลนลานสั่นกลัวอยู่ด้วยซ้ำ กิริยาอาการทางร่ายกายที่สั่นกลัวขัดแย้งกันกับคำพูดและดูไปน่าขบขันอยู่บ้าง แต่สำหรับเอกที่ ไม่ค่อยจะคบหาใครเป็นเพื่อนสนิทนั้น กลับรู้สึกว่าต้องประเมินเพื่อนใหม่คนนี้อีกครั้ง เพราะจะมี ใครสักกี่คนที่คิดยืนกรานอยู่ช่วยเหลือคนอื่นในห้วงที่สุ่มเสี่ยงต่อชีวิตตัวเองแบบนี้ ต่อให้เป็นเพื่อน สนิทที่คบหากันมานานก็ยังถือว่าหาได้ยาก แต่นี่พวกเขาเพิ่งจะพบกันแค่วันแรกเท่านั้น “… งั้น พวกเราก็ไปช่วยผู้หญิงคนนั้นกันสองคน แต่จำไว้ ว่าถ้ามีอะไรเสี่ยง ให้รีบวิ่งหนีเข้าไปใน ป่าทันที รอให้เช้าแล้วค่อยกลับเข้าเมือง” “ได้เลยไอ้เกลอ … ว่าแต่จะทำยังไง พวกมันมีตั้งหลายคน แต่พวกเรามีแค่สองคน” “ใช้แผนหลอกล่อ แล้วไปช่วยผู้หญิง พาหนีเข้าไปในป่าเป็นไง” “หลอกล่อยังไง?” “ตามมาเงียบ ๆ ก็แล้วกัน … แล้วก็อย่าลืมว่าถ้ามีอะไรให้รีบวิ่งหนีเข้าป่าทันที” เอก พูดย้ำอีกรอบ ก่อนเอื้อมมือไปหยิบเอาท่อนไม้ขนาดเท่าแขนคนขึ้นมา แล้วโยนเหวี่ยงขึ้นไป ในอากาศ ท่อนไม้ท่อนนั้นลอยหวือหายเข้าไปในความมืด ก่อนกระแทกเข้ากับพุ่มไม้ที่อยู่ห่าง ออกไปอีกทางหนึ่งจนส่งเสียงดังเกรียวกราวออกมา “เฮ้ย ทางโน้นโว้ย !!!” แสงจากไฟฉายสะบัดวูบเปลี่ยนทิศไปยังตำแหน่งที่ท่อนไม้กระแทกเข้ากับพุ่มไม้ พร้อมกับเสียงย่ำ เท้าสวบสาบ และเสียงเอะอะโวยวายของชายฉกรรจ์ทั้งสี่ที่ต่างตะโกนด่าทอขู่คำรามราวกับหมาป่า ที่กำลังวิ่งไล่ตามสมันน้อย และเวลาเดียวกันนั้น เอกก็สะกิดให้บอยย่องเดินตามเขาไปอีกทางหนึ่ง ความมืดไม่ใช่อุปสรรคในการมองเห็นของเอกมากนัก แม้จะไม่ถึงขั้นเห็นรายละเอียดของใบหน้า แต่เอกก็เห็นเงาร่างอันอ้อนแอ้นของหญิงสาวที่นั่งขดตัวแอบอยู่ในพุ่มไม้ใกล้ ๆ นี้ได้ชัดเจนตั้งแต่ แรกแล้ว สัดส่วนโค้งเว้าที่เห็นได้อย่างลางเรือนกระตุ้นเตือนจนสัญชาตญาณเพศผู้ของเขาตื่นตัว ขึ้นมาไม่น้อย เพราะหญิงสาวปริศนาคนนั้นมีสัดส่วนอันอวบอัดเร้าใจมิใช่ย่อย และที่สำคัญก็คือดู เหมือนว่าหญิงสาวนางนั้นจะอยู่ในสภาพที่เรียกว่าเกือบจะเปลือยเปล่าเสียด้วย ขณะที่แสงไฟฉาย และเสียงเอะอะโวยวายของชายฉกรรจ์เหล่านั้นค่อย ๆ ห่างไกลออกไป เอกก็ ค่อย ๆ เดินย่องเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้นโดยพยายามให้เงียบที่สุด เพราะเกรงว่าในสถานการณ์ที่ เธอไม่รู้ว่ามีคนมาช่วยเหลือ เธออาจจะส่งเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจออกมาจนคนพวกนั้นได้ ยินเข้าก็ได้ เงาร่างอันเลือนลางที่กำลังสั่นสะท้านหวาดกลัวเริ่มปรากฎให้เห็นชัดขึ้นเมื่อเอกเดินเข้าใกล้จน เกือบประชิดตัวหญิงสาวนางนั้น เธอกำลังยืนมองดูไปยังทิศทางที่ชายฉกรรจ์เหล่านั้นวิ่งไป โดย ไม่มีท่าทีว่าจะรู้ตัวแม้แต่น้อยว่ามีใครยืนอยู่ด้านหลังของเธอ ในระยะเกือบประชิดตัวแบบนี้ เอกจึงค่อยมองเห็นสัดส่วนอันโค้งเว้าสวยงามของเรือนร่างที่เกือบ จะเปลือยเปล่าได้แจ่มชัดกว่าเดิม แม้ว่าความมืดจะทำให้ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความขาวเนียน ของผิวพรรณ แต่ก็พูดได้เต็มปากว่าเธอคนนี้จัดได้ว่ามีรูปร่างที่สวยงามเร้าอารมณ์ไม่เป็นรองใคร ยิ่งมีกลิ่นกายสาวสะคราญอันหอมหวานแผ่ขจรออกมาด้วยแล้ว เอกก็ถึงกับบังเกิดความตื่นตัวจน แทบลืมเลือนไปว่าตนเองกำลังอยู่ในสถานการณ์อันล่อแหลมเช่นไร เมื่อชายฉกรรจ์ที่ไล่ล่าตามหาหญิงสาวคนนั้นยิ่งห่างออกไป เอกก็ได้ยินเสียงเธอคนนั้นถอนหาย ใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก กระนั้นในวินาทีถัดมาเรือนร่างอันสวยงามนั้นก็ผวาสั่นสะท้าน เฮือก เพราะบอยที่เดินตามเอกมาห่าง ๆ ไม่ได้มีสายตาที่มองเห็นกลางคืนได้ดั่งเช่นเอก จึงเผลอ เหยียบย่ำเข้ากับกิ่งไม้แห้งจนมันหักเสียงดังกรอบแกรบ พริบตานั้นเอกพุ่งพรวดไปเบื้องหน้า มือขวาขยับวูบไปปิดปากของหญิงสาวเอาไว้เพราะกลัวเธอ จะส่งเสียงร้องออกมา ส่วนมือซ้ายก็โอบกอดรัดรั้งที่เอวบางกดแนบร่างเกือบเปลือยของเธอเข้า กับร่างอันกำยำของเขา เป็นไปดังที่เอกคาดการณ์ไว้ เธอดิ้นตัวขัดขืนสุดแรงด้วยความตื่นตระหนก กระนั้นก็แทบมิอาจจะกระดุกกระดิกตัวได้สักเท่าไหร่ เพราะท่อนแขนอันแข็งแกร่งของเอกจับยึด พันธนาการร่างของเธอเอาไว้ราวกับท่อนเหล็กที่ไม่มีทางง้างออก ยิ่งเธอพยายามดิ้นขลุกขลักมากเท่าไร เอกก็ยิ่งรู้สึกตื่นตัวขึ้นมามากขึ้นเท่านั้น เพราะการได้โอบ กอดประคองเนื้อแนบเนื้อแบบนี้ก็เร้าอารมณ์ได้ไม่น้อยอยู่แล้ว ยิ่งอยู่ในท่วงท่าที่แก่นกายของเขา กดแนบอยู่กับสะโพกอันผึ่งผายของเธอด้วยแล้ว เมื่อเธอยิ่งดิ้นรนเนื้อสาวอันเต่งตึงของเธอก็ยิ่ง เบียดเสียดกระตุ้นเร้าอารมณ์ให้กับแก่นกายของเขามากยิ่งขึ้นไปอีก ยิ่งได้ชิดใกล้ เอกก็ยิ่งแทบจะลืมตัวขยับมือไปบีบขย้ำสองเต้าอวบเปลือยไซส์ภูเขาไฟที่เด้งสั่น สะท้านอยู่แค่เอื้อมเข้าเสียแล้ว แต่ก็ยังดีที่สติของเขาเตือนขึ้นมาเสียก่อนว่า เขามาที่นี่เพื่อช่วย เหลือ ไม่ใช่มาทำตัวเป็นโจรสวาทปลุกปล้ำข่มขืนเธอเข้าเสียเอง ชายหนุ่มพยายามผ่อนคลายหักห้ามอารมณ์ตัวเองอย่างหนักหน่วง แต่ก็ยังอดไม่ได้ต้องเผลอ แอ่นสะโพกเบียดท่อนเอ็นเข้าหาเนื้อสะโพกหนั่นแน่นที่มีเพียงกางเกงในตัวเล็กขวางกั้นไว้ อีก ทั้งยังเผลอไผลใช้ฝ่ามือลูบไล้หน้าท้องอันเรียบเนียนของหญิงสาวไปด้วยพร้อมกัน เอกคลายมือขวาที่ปิดปากของเธอออกมาเพราะพบว่าที่ปากของเธอโดนปิดไว้ด้วยเทปกาวเพื่อ ป้องกันไม่ให้ส่งเสียงร้อง อีกทั้งสองมือของเธอก็โดนมัดพันธนาการไพร่หลังเอาไว้อย่างแน่นหนา ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าคงเป็นฝีมือของชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นอย่างแน่นอน และคงต้องชื่นชมเธอคนนี้ มากทีเดียว ที่สามารถดิ้นรนจนพ้นเงื้อมมือมารของพวกมันออกมาได้ ทั้งที่ตกอยู่ในสภาพแบบนี้ “ไม่ต้องกลัว อย่าตกใจ พวกเรามาช่วยคุณ” เอก กระซิบที่ข้างหูของหญิงสาว เมื่อเห็นว่าเธอดิ้นรนขัดขืนน้อยลง แต่ก็ไม่วายฉวยโอกาสสูดดม ความหอมจากพวงแก้มของเธออย่างแผ่วเบาจนเธอสั่นสะท้านระริก คำพูดประโยคนี้ได้ผลไม่น้อย เพราะเธอหยุดดิ้นรนต่อต้านแทบจะในทันที “เฮ้ย ไอ้เกลอ ช่วยผู้หญิงคนนั้นได้ยัง ถ้าได้แล้วก็รีบไปกันเหอะ ไม่รู้ว่าพวกมันจะมากันเมื่อไหร่” บอย พูดด้วยน้ำเสียงอันตื่นเต้นระทึกสงสัย เพราะเขาไม่ได้มีสายตาอันเฉียบคมเช่นเอกที่สามารถ แยกแยะสิ่งต่าง ๆ ในความมืดได้ สิ่งที่บอยเห็นในตอนนี้มีแต่เพียงความมืด และความมืดเท่านั้น เขารับรู้ตำแหน่งของเอกได้เพียงจากเสียงพูดคุยเท่านั้น จึงไม่ได้รับรู้เลยว่าเอกกำลังกอดรัดแนบ ร่างอยู่กับสาวสวยหุ่นสะบึ้มในสภาพเกือบเปลือยอยู่ในระยะแค่เอื้อมมือเท่านั้นเอง ซึ่งหากเขารู้ล่ะ ก็คงจะเสนอตัวเป็นคนเข้าไปโอบประคองหญิงสาวหุ่นสะบึ้มคนนี้แทนเป็นแน่ “อื๊อออออ …. อื๊มมมมม …. อือออออออ …. อื๊ออออออออ” ขณะที่เอกกำลังจะพาหญิงสาวคนนี้เดินหลบหนีไป เธอก็ส่งเสียงร้องครางออกมาพร้อมกับร่างที่ สั่นสะท้านระริกอยู่ในอ้อมกอดของเขา เอกรีบขยับเอวเอาแก่นกายที่เบียดพาดอยู่ตรงร่องก้นของ เธอออกมา เพราะนึกว่าตัวเองเป็นต้นเหตทำให้เธอร้องคราง แต่กระนั้นเธอกลับสั่นสะท้านส่งเสียง ร่ำร้องครวญครางออกมาหนักขึ้นกว่าเดิม จากนั้นก็ปรากฎเสียงดังปึ้ด ตามมาด้วยเสียงแควกควาก เหมือนผ้าโดนกระชากขาด และกางเกงในตัวน้อยที่เป็นปราการสุดท้ายของเธอร่วงหล่นหลุดผลอย ลงไปกองกับผืนดินโดยที่เขาเองก็ยังงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วคำตอบก็พลันปรากฎขึ้นเมื่อเอกหันมามองที่เบื้องหน้า เงาร่างของจิตวิญญาณสีแดงสดร่างหนึ่ง ลอยตระหง่านวูบไหวอยู่เบื้องหน้าของเขาและหญิงสาว ฝ่ามือที่มองเห็นเป็นโครงกระดูกขาวโพลน ทั้งสองข้างกำลังบีบขยี้ไปตามเนื้อตัวของหญิงสาวจนเธอกระตุกเฮือกไม่หยุด สองเต้าอวบของเธอ โดนเจ้าผีร้ายขยำขยี้อย่างหนักหน่วงจนแทบปริแตก อีกทั้งที่ด้านล่างมันยังล้วงมือสอดปลายนิ้วที่ มีแต่กระดูกลงไปขยำขยี้ที่กลีบกุหลาบของเธอไปด้วยพร้อมกันอีกต่างหาก ความหวาดกลัวอันหนาวเหน็บแล่นพล่านไปทั่วกายของทั้งชายหนุ่มและหญิงสาว สำหรับเอกนั้น ด้วยไม่ทันตั้งตัว และไม่คาดคิดว่าจะต้องมาเผชิญหน้ากับวิญญาณผีตายโหงในระยะประชิดแบบนี้ ก็ถึงกับใจหายวูบแทบคุมสติตัวเองไม่อยู่ แต่สำหรับหญิงสาวแล้วเธอกำลังพยายามกรีดร้องออกมา สุดเสียงด้วยความตื่นตกใจ เพราะเนื้อตัวของเธอกำลังโดนรุกรานด้วยสิ่งที่เธอมองไม่เห็น และแม้ ว่าจะค่อนข้างมืดแต่หากเป็นมือของใครสักคนเธอก็จะพอเห็นเป็นเงาอันลางเลือนอยู่บ้าง แต่นี่เธอ กลับมองไม่เห็นเงาของสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งสัมผัสที่แตะเข้ากับผิวกายของเธอนั้น มันช่างเยือกเย็นและแข็งกระด้างราวกับก้อนน้ำแข็งที่ ไร้สิ้นซึ่งสัญญาณแห่งสิ่งมีชีวิต กระนั้นก็ยังถือได้ว่าโชคดีอยู่บ้าง ที่เธอมองไม่เห็นร่างวิญญาณผี ตายโหงตนนั้น เพราะหากเธอต้องรับรู้ว่ากำลังโดนลวนลามด้วยซากโครงกระดูกอันเน่าเฟะเข้าล่ะก็ เธอคงต้องกรีดร้องเป็นลมสลบเหมือดไปก่อนเป็นแน่ เอก พยายามรวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิงหายไปกลับมา เขามองจิตวิญญาณสีแดง ซึ่งรักยมเคย บอกว่าเป็นของพวกผีตายโหงที่ควรหลีกเลี่ยง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากจิตวิญญาณของพวก มันแข็งแกร่งจนสามารถสัมผัสกับร่างเนื้อของคนได้โดยตรงเช่นไอ้เจ้าตนนี้ มันเป็นจิตวิญญาณอันชั่วร้ายรายแรกที่เขาได้สัมผัสใกล้ชิดถึงเพียงนี้ เบื้องหน้าของเขาคือร่างวิญญาณ ที่มีลักษณะเหมือนโครงกระดูกคน ที่มีเศษเนื้ออันเน่าเฟะห้อยติดอยู่บางส่วน แม้โดยส่วนใหญ่จะเป็น ซากกระดูกที่มีลักษณะสีขาวมองเห็นได้ชัด แต่ก็ปรากฎไอสีแดงของเลือดและความเคียดแค้นชิงชัง พวยพุ่งออกมาจนบดบังสีขาวไปเสียเกือบหมดสิ้น เอกสะดุ้งตัวเมื่อด้วยความหวาดผวาเมื่อมันหันหน้ามามองเขาเหมือนจะรับรู้เข้าแล้ว ว่าเขามองเห็นมัน ดวงตาของเอกจ้องมองลึกเข้าไปในเบ้าตาอันกลวงโบ๋ที่เต็มไปด้วยตัวหนอนยั้วเยี้ยของมันด้วยความ หวาดหวั่นพรั่นพรึง ดวงตาอันกลวงโบ๋ของมันมองตอบกลับมา พร้อมกับขยับขากรรไกรอ้าปากหัวเราะ จนน้ำลายและน้ำเหลืองไหลเยิ้มออกมาจากกระดูกคาง ฟันสีเหลืองอ๋อยของมันกระทบกระแทกเข้า หากันส่งเสียงดังแก๊ก ๆ เสียงหัวเราะแหลมสูงชั่วช้าดังขึ้น พร้อมกับกลิ่นศพอันเหม็นเน่าโชยออกมา จากโพรงปากของมัน ยิ่งจ้องมองเข้าไปในดวงตาอันกลวงโบ๋ของมัน เอกก็เริ่มมองเห็นนิมิตภาพอันแปลกประหลาด เริ่มจาก ภาพหญิงสาวอ่อนวัยในชุดนักเรียนนางหนึ่งโดนฉีกกระชากเสื้อผ้า แล้วโดนข่มขืนกระทำชำเรา ไปพร้อม กับโดนทุบตีอย่างโหดเหี้ยมทารุณแวบผ่านเข้ามาในห้วงความคิดของเอก เธอหวีดร้องขอความช่วยเหลือ อย่างหวาดกลัวสุดขีด หากแต่ก็ยังคงโดนผู้ชายคนนั้นข่มขืนและทุบตีไม่ยั้งจนกระทั่งขาดใจตาย และแม้ ว่าเด็กสาวคนนั้นจะสิ้นใจไปแล้ว แต่ไอ้ชั่วคนนั้นก็ยังคงข่มขืนร่างอันไร้วิญญาณของเธอต่อจนมันเสร็จสม อีกหลายครั้ง ก่อนจะทิ้งซากอันไร้วิญญาณของเธอเอาไว้ในพงหญ้าข้างทาง ถัดจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นภาพหญิงสาวคนอื่น ๆ หมุนเวียนเข้ามาอีกหลายคน บ้างก็โดนเชือกมัด แส้ฟาด ไฟลน หรือเอามีดกรีดจนเป็นแผลเหวอะหวะ ขณะที่ผู้ชายคนนั้นทำการข่มขืนอย่างป่าเถื่อน และสุดท้าย พวกเธอทุกคนก็ล้วนแล้วแต่ต้องทนไม่ไหวและเสียชีวิตภายใต้เงื้อมมือมารของไอ้เจ้าสัตว์นรกตนนี้ ภาพเหล่านั้นปรากฎขึ้นมาให้รับรู้ภายในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น แต่เอกก็รับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณ ว่าไอ้ชั่วที่ฆ่าข่มขืนกระทำชำเราหญิงสาวเหล่านั้นก็คือไอ้เจ้าผีตายโหงที่ยืนชูคอตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ของเขานี่เอง และนั่นเป็นอีกครั้งที่จิตใจของเขาสั่นคลอนพ่ายแพ้ให้กับความโหดเหี้ยมยิ่งกว่าสัตว์นรก ของมันจนหวาดผวาราวกับเผชิญความตายอยู่เบื้องหน้า ความหวาดกลัวอันหนาวเหน็บจู่โจมเล่นงานเอกจนสติกระเจิดกระเจิง ทุกส่วนในร่างกายและจิตวิญญาณ ของชายหนุ่มสั่นสะท้านราวกับจะกรีดร้องออกมา ความกลัวคล้ายมวลอากาศอันหนาวเย็นยะเยือกโลมไล้ แทรกซึมไปทั่วสรรพางค์กายตั้งแต่หัวจรดเท้า แข้งขาของชายหนุ่มอ่อนปวกเปียกแทบยืนหยัดเอาไว้ไม่อยู่ เจ้าวิญญาณผีตายโหงจ้องมองดวงตาที่เปี่ยมด้วยความหวาดหวั่นของชายหนุ่มก่อนส่งเสียงหัวร่อเย้ยหยัน โหยหวนออกมาอย่างยาวนาน มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้คราหนึ่งพร้อมกับกลิ่นซากศพอันเหม็นเน่าจนชายหนุ่ม เบือนหลบไม่กล้าเผชิญหน้า จากนั้นมันก็กระชากร่างของหญิงสาวหลุดจากอ้อมกอดของเอก ลากเธอลง ไปนอนอยู่บนกอหญ้า แล้วขยับร่างลอยวูบไปนั่งคร่อมบนร่างของหญิงสาวผู้โชคร้ายนางนั้น โดยไม่คิด สนใจชายหนุ่มให้เสียเวลา หญิงสาวพยายามส่งเสียงหวีดร้องออกมาแต่ก็ติดเทปกาวที่แปะปิดปากเอาไว้จึงทำได้เพียงส่งเสียงอู้อี้ ในลำคอเท่านั้น ตัวเธอกระตุกเฮือก ๆ ด้วยความเจ็บปวดเมื่อสองเต้านมโดนฝ่ามือของผีโครงกระดูกตัวนั้น บีบขยี้จนบิดเบี้ยว สองขาของเธอพยายามหนีบเข้าหากันสุดแรงเพื่อต่อต้านฝืนสิ่งที่กำลังพยายามยัดเยียด ชำแรกบางอย่างเข้าไปในร่างของเธอ เอก แทบยืนประคองร่างตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ เนื้อตัวของเขาสั่นเทา รู้สึกคล้ายกับนักโทษที่แหกคุกหนีโทษ ประหารมาได้หวุดหวิด ในหัวสมองมีแต่คำว่า ต้องหนี ต้องหนี และต้องหนี ดังก้องอื้ออึงอยู่เต็มไปหมด สองเท้าที่สั่นระริกก้าวถอยหลังไปช้า ๆ อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เขากำลังจะหนี และทอดทิ้งให้หญิงสาวผู้โชค ร้ายคนนี้โดนผีตายโหงตัวนี้ทำร้ายเช่นนี้หรือ “เฮ้ย … อะไรวะ … ตัวอะไร อย่านะเว้ย เฮ้ย ผีเหรอ เฮ้ย อย่าจับ กูมีของขลังนะเว้ย ว้าก อย่าจับตูด” เสียงของบอยโวยวายตามมาติด ๆ และเมื่อเอกหันไปมองดูก็ยิ่งต้องใจหายวูบมากกว่าเดิม เมื่อพบว่ามีร่าง วิญญาณสีเขียวอ่อนจางรูปร่างคล้ายผู้หญิงผมสั้นกำลังกอดรัดพัวพันอยู่กับร่างของบอย ผีสาวตนนั้นแปะ มือไม้สัมผัสลูบไล้ลวนลามไปทั่วร่างของบอยราวกับเป็นผีสาวร่านราคะมากตัณหาตนหนึ่ง “เฮ้ยยย อย่า อย่าล้วงเข้าไปในกางเกง เฮ้ย ไอ้ผีบ้า อย่าจับของกูนะเว้ย เฮ้ย อย่ากูกลัวแล้ว” บอยร้องเสียงหลงไปพร้อมกับสะบัดมือไม้ปัดป่ายไปมา หากแต่มือไม้ของบอยกลับทำได้เพียงปัดทะลุ ผ่านร่างวิญญาณของผีสาวตนนั้นอย่างไร้ประโยชน์ จากนั้นกางเกงของบอยก็หลุดผลอยลงไปกองกับ ผืนดิน แก่นกายโดนล้วงออกมาจากกางเกงในแล้วโดนมือของผีสาวรูดกระถอกหงึก ๆ จนบอยตัวเกร็ง สั่นสะท้านไปด้วยความเสียวที่มาพร้อมกับความกลัว แสงไฟฉายของกลุ่มชายฉกรรจ์ที่วิ่งไปอีกทางพลันขยับกราดกวาดส่องกลับมายังทิศทางที่เอกยืนอยู่ พวกมันได้ยินเสียงเอะอะโวยวายของบอยเข้าแล้ว และกำลังเปลี่ยนทิศวิ่งตรงดิ่งมาทางนี้ เอก เดินถอย หลังไปอีกสองสามก้าวด้วยความเคร่งเครียด ตอนนี้นอกจากผีสองตน และชายฉกรรจ์สี่คนนั้นแล้ว เอก ยังสามารถสัมผัสได้ถึงร่างหนึ่งที่คลุกเคล้าไปด้วยความเป็นและความตายยืนอยู่ไม่ไกลออกไป สัญชาต ญาณบอกเขาว่าผีทั้งสองตนนี้เป็นบริวารของมันคนนี้นี่เอง มันเป็นความหวาดกลัวต่อความตาย เหมือนลูกกบตัวน้อยโดนพญางูจับจ้องจะกลืนกิน เหมือนนกกระจอก ที่กำลังจะโดนขย้ำด้วยกรงเล็บของพญาอินทรีย์เจ้าเวหา สติและความกล้าหาญล้วนแล้วแต่สูญหายมลาย สิ้น สิ่งที่หลงเหลืออยู่ มีแต่เพียงความคิดที่จะเอาตัวรอดโดยไม่สนใจต่อสิ่งใดอีกต่อไป ชายหนุ่มก้าวถอยไปอีกหลายก้าวเตรียมที่จะวิ่งหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้ด้วยพละกำลังทั้งหมดเท่าที่ มี เขาไม่รู้ว่าจะต้องหนีไปที่ไหน เขารู้แต่เพียงว่าเขาต้องวิ่ง และเขาต้องไปเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นเขาจะต้อง ตายอย่างแน่นอน เอก หมุนตัวหันหลังกลับ ตัดใจทอดทิ้งทุกสิ่งไว้ที่เบื้องหลัง เขาย่อตัวอยู่ในท่วงท่าที่พร้อมจะถีบขาส่ง ตัววิ่งออกไปในความมืดของป่าในทุกเสี้ยววินาที หากแต่สุดท้ายแล้ว ร่างของเขากลับเพียงหยุดนิ่งค้าง อยู่ในท่วงท่านั้นโดยมิขยับตัวออกไปแม้แต่น้อย ภาพนิมิตรแห่งอนาคตที่เขาหวาดหวั่นที่สุดพลันปรากฎขึ้นมาในหัวสมองอีกครั้ง มันเป็นภาพที่เขากำลัง ยืนต่อกรกับหมอผีชุดขาวในสภาพที่เขากำลังจะพ่ายแพ้ และมีหญิงสาวผมยาวคนหนึ่งนอนจมกองเลือด อยู่ด้านข้าง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหญิงสาวคนนั้นคือใคร เขาไม่รู้ว่าเหตการณ์นั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เขารู้แต่ เพียงว่าเขาจะไม่อาจปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรไปเด็ดขาด ใช่แล้ว เขาจะไม่ปล่อยให้เหตการณ์เป็นไปอย่างที่เคยเห็นในภาพนิมิตรนั้นอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าผู้หญิงคน นั้นจะเป็นน้องหญิง หรือใครก็ตาม เพราะเขาได้สาบานกับตัวเองเอาไว้แล้ว เสียง พล่อก สะท้านดังขึ้นคราหนึ่ง พร้อมกับร่างของเอกที่เซถลาโงนเงน เสียงนั้นเรียกความสนใจจากผี ตายโหง และผีสาวจนหันมามองเขาด้วยความงุนงงว่าเขาต่อยหน้าตัวเองทำไม หรือจะหวาดกลัวจนสติ แตก หากแต่ถัดมาจากนั้นอีกเพียงวินาทีเดียว เสียง พล่อก ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง เพราะเอกต่อยหน้าตัวเอง อีกข้างจนตัวเองเซถลาไปอีกทางหนึ่ง แม้ว่าใบหน้าของชายหนุ่มจะมีเลือดกลบปาก เพราะลงมือต่อยตัวเองเสียจนปากแตก แต่กระนั้นดวงตาที่ เต็มไปด้วยความหวาดขลาดเขลาก็ได้มลายหายไปแล้ว ความหวาดหวั่นในหัวสมองคล้ายโดนปัดเป่าออก ไปเสียจนหมดสิ้น สิ่งที่เหลืออยู่ในดวงคาคู่นั้นคือความมุ่งมั่นอันแรงกล้าสมชายชาตรี ร่างที่ก้มหน้าก้มตา คุ้มงอสั่นสะท้านด้วยความหวาดผวาเมื่อครู่ บัดนี้ยืดตัวหันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับผีตายโหงตนนั้นอย่าง แกล้วกล้าอาจหาญ เอก จ้องมองผีตายโหงที่เพิ่งจะจับถ่างขาของหญิงสาวออกได้สำเร็จ มันกำลังจะยัดเยียดท่อนเนื้อที่เน่า เฟะและมีหนอนยั้วเยี้ยของมันหยั่งลึกเข้าไปในร่างของหญิงสาว ซึ่งหากช้าอีกเพียงนิดเดียวผู้หญิงคนนั้น คงจะต้องตกเป็นเมียของผีตายโหงตนนี้แน่ ๆ เจ้าผีร้ายตนนั้นมองตอบกลับมาด้วยดวงตาอันแดงวาววับ พร้อมกับเสียงร้องคำรามลั่นป่าราวกับสัตว์ร้าย ที่ผุดขึ้นมาจากขุมนรกนรก กระนั้นเอกก็มองตอบกลับไปโดยมิหวาดหวั่นแม้แต่น้อย ความกลัวขลาดเขลา คล้ายสูญหายไปจากห้วงความคิดโดยสิ้นเชิง ตอนนี้เขามีแต่เพียงความรู้สึกอับอาย ความอัปยศอดสูที่เขา เคยคิดจะทิ้งบอยและผู้หญิงคนนี้หนีรอดไปเพียงคนเดียว ถัดจากนั้นก็เป็นความรู้สึกโกรธเกรี้ยวในการกระทำอันโหดร้ายของผีตนนี้ต่อหญิงสาวที่ไร้ความผิด โกรธ เกรี้ยวให้กับความอ่อนด้อยไร้ความสามารถของตัวเอง โกรธเกรี้ยวในความคิดอันอ่อนด้อยที่ว่าเขาจะช่วย เหลือคนที่เขารักได้อย่างง่ายดาย โดยไม่เคยคิดจินตนาการเลยว่า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสัตว์นรกพวกนี้ แล้วเขาจะกลายเป็นคนที่ไร้ความสามารถแค่ไหน และหากว่าวันนี้ผู้หญิงเคราะห์ร้ายคนนี้คือน้องหญิงที่ เขารักเทอดทูนที่สุดเล่า เขาจะมีปัญญาช่วยเหลือเธอได้อย่างงั้นเหรอ “นั่นซินะ ถ้าแค่นี้ยังกลัวจนตัวสั่น แล้วจะช่วยผู้หญิงที่เรารักได้ยังไงวะ ไอ้ทุเรศเอ๊ย” คำพูดที่ออกจากปากคือคำพูดตำหนิตนเอง และเขาสาบานไว้แล้วว่าต่อจากนี้ไป ไม่ว่าจะเจออะไรอีก แม้ สิ่งนั้นจะน่าหวาดกลัวเพียงใด เขาก็จะไม่คิดหลบหนีอย่างน่าทุเรศแบบนี้อีกแล้ว เจ้าผีตายโหงส่งเสียงร้องคำรามก้องด้วยไม่พอใจที่ไม่พบความหวาดกลัวในดวงตาของชายหนุ่ม อีกทั้งมัน ไม่พอใจอย่างยิ่งที่โดนขัดจังหวะที่จะได้ข่มขืนหญิงสาวอย่างที่มันเคยกระทำขณะมีชีวิตอยู่ มันปล่อยฝ่ามือ ที่เป็นโครงกระดูกสีขาวออกจากการขย้ำทรวงอกของหญิงสาว ทิ้งให้เธอนอนงอตัวร้องไห้กระซิกอยู่ที่เดิม แล้วลอยตรงดิ่งมาทางชายหนุ่มด้วยสายตาอันโกรธเกรี้ยวอาฆาตแค้น ร่างวิญญาณสีแดงเข้มของมันขยายตัวกว่าเดิมจนสูงกว่าสองเมตร ทั้งยังเปล่งแสงสีแดงออกมาจนคล้าย ลูกไฟดวงใหญ่ที่ลุกไหม้อยู่ในป่า ลูกไฟดวงนั้นลอยมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของชายหนุ่มพร้อมกับส่งเสียง หวีดร้องคำรามลั่นป่า กระนั้นเอกก็ยังคงจ้องมองผสานดวงตากับมันโดยไม่มีทีท่าหวาดหวั่นแม้แต่น้อยนิด และพร้อมกันนั้นดวงตาดำของชายหนุ่มก็พลันแปรเปลี่ยนไปเป็นสีที่ดำมืดยิ่งกว่ารัตติกาลใด ดวงตานั้น คล้ายเปรียบได้ดั่งหลุมลึกที่ไร้ก้นบึ้ง และไร้สิ้นซึ่งทุกสรรพสิ่ง กระแสพลังของชายหนุ่มหมุนวนแผ่ซ่านออกมาอย่างรุนแรง จนข่มขวัญเจ้าผีตายโหงให้กลับกลายเป็น ฝ่ายสั่นสะท้านหวาดกลัวแทน ร่างลูกไฟสีแดงของมันลอยถอยวูบห่างออกมาเมื่อโดนจับจ้องด้วยดวงตา อันทรงพลังของชายหนุ่ม และนั่นเป็นครั้งแรกของมันที่สัมผัสได้ถึงรู้สึกหวาดกลัวจนแตกตื่นลนลานถึง เพียงนี้ มันส่งเสียงหวีดร้องโหยหวนออกมาอีกครา หากครั้งนี้มิใช่การข่มขู่อย่างที่มันเคยทำ เพราะมันเป็นเสียง ร้องแห่งความหวาดกลัว ลูกไฟสีแดงดวงใหญ่ดับวูบลงคล้ายไร้สิ้นซึ่งเชื้อไฟ หลงเหลือแต่เพียงร่าง วิญญาณสีแดงอ่อนจางที่ลอยวูบถอยหนีห่างออกจากร่างของเอก ดวงไฟสีแดงลอยวนขึ้นในอากาศ แล้วค่อยลอยลับหายเข้าไปถุงย่ามของชายฉกรรจ์ที่เอกเองก็ไม่แน่ใจนักว่าเป็นคนหรือวิญญาณ เอกหันไปจ้องมองดวงวิญญาณผีสาวสีเขียวอ่อนจางที่กำลังกอดรัดอยู่กับบอยคราหนึ่ง และเป็นจังหวะ เดียวกับที่บอยเอามือจับของขลังที่แขวนอยู่รอบคอแกว่งไกวไหวไปมา ผีสาวตนนั้นเมื่อได้สบตากับ เอกก็ถึงกับสะดุ้งผวา มันส่งเสียงกรีดร้องอันสูงแหลมออกมา แล้วปลดปล่อยร่างของบอยออกด้วยความ หวาดกลัว ร่างนั้นลอยวูบขึ้นไปเบื้องบนวนไปวนมา แล้วลอยตามผีตายโหงเข้าไปในถุงย่ามสีดำอย่าง รวดเร็ว “โอ๊ย … ไอ้ผีบ้า บอกแล้วไงว่าอย่ามาหลอก นี่มันตะกรุดเขี้ยวสมิงพรายนะเว้ย โอยย อยากโดนจับถ่วง น้ำหรือไง โอย … แค่ก แค่ก ไอ้ผีบ้าขยำอยู่ได้ ถ้าเป็นสาว ๆ จะไม่ว่าซักคำ โอย เล่นซะเกือบน้ำแตกเลย” บอย สบถออกมาเสียงดังขณะทรุดตัวลงนั่งบนผืนดินด้วยหมดแรงอ่อนระทวย ในมือของเขาถือแกว่ง เครื่องลางที่ห้อยคอโบกไปมา ด้วยเข้าใจว่าเจ้าผีร้ายตนนั้นหวาดกลัวเครื่องลางของขลังที่เขามีอยู่ โดยไม่รู้เลยว่าที่แท้จริงแล้วผีตนนั้นกลัวอะไรกันแน่ เอกยิ้มให้ด้วยความโล่งใจ ก่อนหันไปมองประสานสายตาเข้ากับชายฉกรรจ์คนนั้น กระแสพลังที่มอง ไม่เห็นก็พลันแผ่พุ่งออกมาจากทั้งสองคนกระทบกระแทกกันอยู่กลางอากาศ ป่าคืนเดือนมืดที่เงียบ สงบพลันส่งเสียงเกรียวกราวราวกับตื่นกลัวในขุมพลังของทั้งสอง แมลงในป่าส่งเสียงกรีดร้องออกมา อย่างตื่นตกใจ แมกไม้สั่นไหวสะท้านไปมาคล้ายกับต้องแรงลม นกกลางคืนตีปีกบินพึ่บพั่บหนีเตลิด หัวซุกหัวซุนจากไป ถัดจากนั้นก็มีแต่เพียงความเงียบงันอันวังเวงที่ล้อมคลุมไปทั่วบริเวณ แสงไฟฉายจากบรรดาชายฉกรรจ์ที่กราดส่องมาจากชายฉกรรจ์ที่อยู่ห่างออกไปทำให้เอกได้เห็น ผู้ชายคนนี้อย่างเต็มตาเป็นครั้งแรก ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเพียงสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณที่เหมือนมนุษย์ หากแต่ขุ่นมัวไม่สดใสคล้ายโดนย้อมดำไปด้วยปลักโคลนแห่งอวิชชาอันชั่วร้าย ชายคนนั้นมีอายุราว สี่ถึงห้าสิบ ร่างผอมเล็กเตี้ย สวมเสื้อผ้าคล้ายผู้ปฎิบัติธรรม หากแต่เป็นสีดำทึบมืดหม่น ใบหน้าของ มันบ้างแสยะยิ้ม บ้างเฉยเมยสลับไปมา แลไปคลับคล้ายคนสติไม่ดีคนหนึ่ง เมื่อแสงไฟฉาย และเสียงย่ำเท้าของกลุ่มคนที่ใกล้เข้ามา กระแสพลังที่กระทบกระแทกกันกลาง อากาศก็พลันสูญสลายหายวับไป ตอนนี้กลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งสี่ที่วิ่งหลงไปอีกทาง กำลังยืนล้อมพวก เอกและบอยเอาไว้เป็นรูปวงกลมเพื่อกันไม่ให้หนี พวกมันขยับกราดแสงไฟฉายสาดส่องไปมาอยู่ พักใหญ่ ก่อนที่ผู้ชายคนหนึ่งจะส่งเสียงออกมา “อ้าว เฮ้ย ไอ้สองตัวนี่มาจากไหนวะ … แล้วอีดารานมโตนี่ทำไมนอนร้องไห้อยู่ตรงนั้น … อ้อ ไอ้เหี้ยพวกนี้แม่งแย่งข่มขืนอีดอกนี่ก่อนกูเหรอวะ” ไม่แปลกอะไรหากพวกมันมองสภาพนอนหอบกระเส่าล่อนจ้อนของหญิงสาวหุ่นอวบอึ๋มนางนั้น และสภาพของบอยที่เสือผ้าหลุดลุ่ยแล้ว จะคิดว่าพวกเอกและบอยแอบหยิบชิ้นปลามันของพวก มันไป แต่พวกมันก็ไม่ได้สบถอะไรออกมามากมายนัก เพราะว่าสายตาของพวกมันกำลังถูกบาง สิ่งดึงดูดความสนใจอยู่ แม้ว่าเธอจะพลิกตัวลงไปนอนคว่ำหน้าคุดคู้เพื่อปิดบังใบหน้าและเรือนร่างมิให้พวกมันเห็นแล้วก็ ตาม แต่กระนั้นในสภาพที่ไร้ซึ่งสิ่งใดปิดบัง อีกทั้งยังโดนมัดสองมือไพร่เอาไว้ด้านหลัง เรือนร่าง อันโค้งเว้าขาวเนียนสะโอดสะองของเธอก็แทบจะโดนจ้องมองด้วยดวงตาอันกลัดมันจนถ้วนทั่ว ไปทุกสัดส่วน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงบริเวณทรวงอกอันอวบโอฬารของเธอนั่นเองที่โดนเหล่า ชายฉกรรจ์ที่รายล้อมจับจ้องมองจนน้ำลายสอมากเป็นพิเศษ แม้จะไม่เห็นใบหน้าที่ซุกปิดอยู่กับผืนหญ้า แต่บอยที่นั่งทรุดตัวด้วยความอ่อนระทวยจากการโดน ผีสาวปลุกปล้ำลวนลามมาหมาด ๆ ก็ไม่วายต้องเผลอมองสัดส่วนอันแสนเซ็กส์ซี่ยั่วใจของหญิงสาว นางนั้นจนความเป็นชายตื่นตัวขึ้นมาด้วยเช่นกัน เอก มองเรือนร่างอันยั่วเย้าของหญิงสาวด้วยความรู้สึกชื่นชม เขารู้สึกคลับคล้ายคุ้นตากับสัดส่วน อันเร้าใจนั้นอยู่บ้าง แต่ก็นึกไม่ออกเพราะมองไม่เห็นใบหน้า แต่ก็ต้องยอมรับว่าเธอคนนี้ก็มีสัดส่วน ที่ทรมาณใจชายจริง ๆ แม้จะไม่ได้สวยเลิศเลอราวกับนางฟ้านางสวรรค์แบบน้องหญิงของเขา แต่ ก็จัดได้ว่าสวยและเซ็กซ์ซี่เหมือนกับพวกนางแบบบนนิตยสารปลุกใจชาย เวลานั้นทุกสิ่งเงียบกริบลงกระทันหัน เอก บอย ชายฉกรรจ์ทั้งสี่ และหมอผีชุดดำ ต่างพากันจ้อง มองดูเรือนร่างงามที่นอนสะอื้นไห้อยู่ท่ามกลางแสงไฟฉายทั้งสี่กระบอกอย่างชื่นชมหลงไหล และ นอกจากเสียงของสายลมแผ่วเบาที่พัดหวิวผ่านไปมาแล้ว ก็คงจะมีแต่เพียงเสียงสะอื้นกระซิกของ หญิงสาว ผสานผสมไปกับเสียงหอบหายใจด้วยความหื่นกระหายของบุรุษฉกรรจ์ที่พร้อมจะรุมทึ้ง เสพสมให้สาแก่ใจ เอกทำลายความเงียบด้วยการเดินเข้าไปถอดเสื้อยืดของตัวเองออก แล้วห่มคลุมทับบนร่างเปลือย ให้แก่หญิงสาว พร้อมกันนั้นเขาก็หันมองไปรอบ ๆ มองสบตาเข้ากับแววตาอันเคืองแค้นที่โดนขัด จังหวะอาหารตาของชายฉกรรจ์ทั้งสี่และหมอผีชุดดำอย่างไม่สะทกสะท้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับหมอผีชุดดำคนนั้น เขาตั้งใจจับจ้องมองด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ “ไม่ต้องกลัวนะ ผมรับรองว่าคุณจะต้องปลอดภัย” เอก พูดปลอบโยนโดยไม่ได้หันไปมองดูหญิงสาว จึงยังมิได้เห็นใบหน้าอันคุ้นเคยที่เงยหน้าขึ้นมา มองดูเขาอยู่ รู้ตัวอีกครั้งหญิงสาวคนนั้นก็รีบผุดลุกพรวดขึ้นมาซุกอิงใบหน้าอยู่กับไหล่ของเขาแล้ว ร้องสะอื้นไห้เข้าเสียแล้ว เธอส่งเสียงพูดอู้อี้อะไรบางอย่างที่ฟังไม่รู้เรื่องออกมาเพราะโดนเทปกาว ปิดปากเอาไว้ ซึ่งเอกเองก็ไม่ได้สนใจกับคำพูดของเธอมากนัก เพราะว่าสมาธิส่วนหนึ่งนั้นกำลังเฝ้าระวังหมอผีชุด ดำและชายฉกรรจ์ทั้งสี่ อีกทั้งสมาธิส่วนหนึ่งของเขาตอนนี้กำลังโดนเสน่ห์ของหญิงสาวแบ่งแย่งไป เสียแล้ว เพราะทรวงอกอันนุ่มนิ่มโอฬารของเธอกำลังเบียดเสียดอยู่กับแผงอกของเขาอย่างแนบแน่น กลิ่นกายสาว และความนุ่มนิ่มของเนื้อตัวที่แนบสัมผัสเนื้อต่อเนื้อ แทบจะทำให้ชายหนุ่มประคองสมาธิ เอาไว้ไม่อยู่ ยิ่งเธอปริ่มร้องแทบขาดใจอยู่ในอ้อมอกของเขา เขาก็อดไม่ได้ต้องโอบกอดประคองด้วย สองมือต่อหญิงสาวผู้โชคร้ายคนนี้ “เฮ้ย แล้วพวกมึงเป็นใครวะ ถึงเสือกจะมาแย่งเหยื่อของพวกกู มึงรู้มั้ยว่านายพวกกูเป็นใคร” “พวกมึงรีบคลานหนีไปเลยไป ไม่งั้นกูยิงไส้แตก อีดารานมโตคนนี้มันของพวกกู มึงอย่ามาสะเออะ” สองในสี่ชายฉกรรจ์ที่รายล้อมควักปืนออกมาควงเล่นขณะพูดจาข่มขู่เอกและบอย ซึ่งบอยนั้นเมื่อเห็นปืน สีดำมะเมื่อมในมือพวกมันก็ยิ่งรู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรงเข้าไปใหญ่ ส่วนเอกแม้จะอยู่กลางวงล้อมของปืนสี่ กระบอก และหมอผีอีกหนึ่งคนกลับยังรู้สึกว่าตัวเองยังมีทางออกจากเรื่องนี้ เพราะเขากำลังนึกไปถึงพายุ ลูกใหญ่ที่เคยทำได้เมื่อไม่กี่วันก่อนขึ้นมา “เฮ้ย ไอ้พวกควาย พวกมึงเก็บปืนให้หมด เสือกยิงไปโดนนังนั่นเข้า กูก็อดเอามันเป็นเมียซิวะ เสียของ” หมอผีชุดดำคนนั้นเอ่ยปากเป็นครั้งแรก สุ้มเสียงของมันแหบแห้งและเต็มไปด้วยความหื่นกระหายไม่แพ้ สายตาที่มันจับจ้องมองดูเรือนร่างขาวเปลือยของหญิงสาว “พ่อหมอ แต่นังนี่มันของนายนะครับ ถ้าเราพาไปให้ท่านไม่ได้ พวกผมโดนเล่นตายแน่” หนึ่งในชายฉกรรจ์ที่ท่าทางจะเป็นหัวหน้ากลุ่มพูดจาอย่างเคารพนบนอบกับหมอผีชุดดำคนนั้น “ไม่เห็นจะยาก ก็บอกไอ้อ้วนนั่นไป ว่าจับมาได้แล้ว แต่มันคิดสั้น ฆ่าตัวตายซะก่อน เรื่องก็จบ” “แต่มันจะดีเหรอครับพ่อหมอ ถ้านายท่านรู้เข้าว่าพวกเราแย่งเหยื่อของนาย พวกเราตายแน่นะครับพ่อหมอ” “ก็อย่าให้รู้ซิวะ จะยากอะไร กูไม่พูด พวกมึงสี่ตัวไม่พูด ก็ไม่มีใครรู้ ส่วนไอ้ตัวเสือกสองตัวนี่เชือดมันทิ้งซะ หรือพวกมึงไม่อยากเอาอีนังดารานี่เป็นเมีย” เมื่อหมอผีชุดดำที่น่าจะมีอำนาจมากที่สุดในกลุ่มเปิดทางให้ ชายฉกรรจ์ทั้งสี่ก็หันมามองเรือนร่างอันอุดม สมบูรณ์ของหญิงสาวด้วยสายตาอันหื่นกระหายกว่าเดิม และคงไม่ต้องถามให้เสียเวลาว่าพวกมันอยากจะ เสพสุขกับเรือนร่างงามนี้หรือไม่ “แล้วอีนังนี่จะเอาไงดีครับพ่อหมอ จะปล่อยไปก็ไม่ได้ จะเชือดทิ้งก็เสียดาย หุ่นสะบึมแบบนี้มันน่าเก็บไว้ เล่นนาน ๆ” “หึ หึ เดี๋ยวให้กูเอาจนพอใจก่อน แล้วพวกมึงค่อยต่อ เอาให้สะใจพวกมันไปเลย ถ้ามันตายกูจะจับวิญญาณ มันมาเข้าพิธีทำเป็น ‘เมียผี’ ให้มันเป็นทาสสวาท ให้มันคอยสนองราคะให้กูจนกว่ากูจะเบื่อ ฮ่า ฮ่า” หมอผีชุดดำพูดจบก็หัวเราะด้วยน้ำเสียงอันหื่นกระหายชั่วช้า เอกรับฟังอย่างงุนงงเพราะไม่เข้าใจนักว่า เมียผี ที่ไอ้หมอผีคนนี้พูดถึงมันคืออะไร แต่เท่าที่คาดเดาจากน้ำเสียงของมัน ก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ เมื่อสิ้นเสียงหัวเราะ ชายฉกรรจ์ทั้งสี่ก็เก็บปืนเอาไว้ แล้วหยิบเอาอาวุธที่พวกติดตัวขึ้นมา พวกมันสองคน ถือมีด คนหนึ่งถือสนับมือ ส่วนอีกคนควงไม้หน้าสามด้วยท่าทางอันช่ำชองในการต่อยตี และสำหรับหมอ ผีชุดดำนั้น มันขยับตัวไปนั่งลงแล้วหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาจากย่าม พร้อมบริกรรมคาถาขมุบขมิบแผ่วเบา ซึ่งตลอดเวลานั้นมันจับจ้องมองไปที่ร่างเปลือยของหญิงสาวแทบไม่กระพริบตา ในสภาวะการณ์อันล่อแหลมเสี่ยงชีวิต เอกกลับรู้สึกว่าสถานการณ์ผ่อนคลายลงไปไม่น้อยที่อีกฝ่ายเก็บปืน เอาไว้เพราะแม้จะมีพายุเป็นท่าไม้ตาย แต่ก็ใช่ว่าเขาเองจะสามารถเรียกมันออกมาตามใจได้เสียเมื่อไหร่ อีกทั้งกว่าจะเรียกออกมาได้ พวกมันคงยิงกระหน่ำเข้าใส่เขาจนพรุนไปหมดแล้ว การที่พวกมันประมาทเลิน เล่อ และคิดว่าจะสามารถใช้พวกมากจัดการเขาด้วยอาวุธตีรันฟันแทงพวกนี้ได้ก็ถือว่าทำให้เขามีโอกาสอัน ดีแล้ว แต่ปัญหาก็คือผู้หญิงคนนี้กำลังจำกัดการเคลื่อนไหวของเขาอยู่ แต่หากจะให้ปล่อยไว้โดยที่เขาไม่ ได้ดูแล ก็เกรงว่าไอ้หมอผีคนนั้นจะเสกมนต์คาถาอะไรบางอย่างเข้าเสียอีก “รีบหนี ตามมา !!!!” เอก รีบตัดสินใจและลงมือปฎิบัติการณ์ก่อนที่วงล้อมของชายฉกรรจ์ทั้งสี่จะบีบแคบลงกว่านี้ ขณะตะโกน บอกบอย สองมือก็เอื้อมลงไปจับกระชับสะโพกอันผึ่งผาย แล้วยกสองขาของหญิงสาวให้เกี่ยวรอบเอวของ เขาไว้ จากนั้นใช้มือซ้ายตวัดโอบเอวอันอ้อนแอ้นประคองกอดร่างของเธอแนบไว้อยู่กับตัว ซึ่งเธอก็ยินยอม ปฎิบัตตามโดยไม่อิดออดขัดขืนแม้แต่น้อย ราวกับว่าเชื่อใจเขาอย่างเต็มที่ เวลานี้หญิงสาวจึงอยู่ในสภาพ คล้ายกำลังร่วมรักอยู่กับชายหนุ่มในท่วงท่าลิงอุ้มแตงก็มิปาน ร่างของเอกที่โอบกอดหญิงสาวร่างขาวเปลือยพุ่งแฉลบแสงไฟฉายเข้าหาชายคนหนึ่งที่กำลังควงไม้หน้า สามอยู่ด้วยความรวดเร็วเหนือมนุษย์จนมันตื่นตกใจ แต่ด้วยความเป็นนักเลงมากประสบการณ์ มันก็รีบ ยกท่อนไม้ในมือหวดฟาดเข้าใส่เอกจากทางด้านหน้าโดยไม่สนใจว่าจะทำร้ายโดนผู้หญิงที่มันอยากเอา ไปกอดกกทำเป็นเมียหรือไม่ ขณะที่ไม้หน้าสามท่อนใหญ่แทบจะฟาดกระทบถูกแผ่นหลังอันเนียนนุ่มของหญิงสาว เอกก็หมุนตัวเอื้อม ตวัดมือขวาวูบออกไปเบื้องหน้าด้วยความเร็วราวกับงูฉกเหยื่อ ท่อนไม้ที่หวดมาเต็มแรงนั้นนั้นหยุดกึกนิ่ง กลางอากาศในทันที นักเลงไม้หน้าสามคนนั้นถึงกับงงงันไปวูบไปยกใหญ่ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจับไม้ที่เขา หวดไปเต็มแรงแบบนี้ได้อย่างไร แต่มันก็คงความสงสัยได้เพียงชั่ววินาทีเดียว เพราะในวินาทีถัดมา ไม้ หน้าสามในมือของมันโดนกระชากดึงออกไปได้อย่างง่ายดายเหลือเชื่อ และจากนั้นมันก็โดนไม้หน้าสาม คู่ใจของมันนั่นแหละหวดตูมเข้าไปเต็มหัวจนทรุดฮวบสลบเหมือดทั้งยืน เวลาเดียวกันนั้นหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดของเอกก็สั่นสะท้านระริกไปทั้งร่าง อารมณ์ของเธอพุ่งพล่าน ตอนอยู่ในอ้อมกอดของเขาตั้งแต่แรกแล้ว กลิ่นกายของชายชาตรีและมัดกล้ามเนื้อชุ่มเหงื่อที่เบียดเสียด อยู่กับผิวกายอันอ่อนนุ่มของเธอปลุกเร้าจนหญิงสาวแทบลืมเลือนเสียสิ้นว่ากำลังตกอยู่ในห้วงสถานการณ์ อันตึงเครียดเพียงใด ซึ่งเธอไม่อาจจะรู้ได้เลยว่า ร่างของเอกนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยพลังแห่งมนตราที่มีผล ดึงดูดกระตุ้นเร้าเพศตรงข้ามอย่างยิ่งยวด หากได้ใกล้ชิดแนบสนิทมากเพียงใด ก็จะยิ่งบังเกิดอารมณ์วาบ หวิวคลั่งรักเสียยิ่งกว่ายาปลุกเซ็กส์ใด ๆ เสียอีก เธอพยายามปลุกปลอบเรียกสติของตนเองกลับคืนมา หากแต่เมื่อชายหนุ่มพาร่างของเธอเผ่นโผนกระโจน ไปมา ผิวกายที่ไวต่อความรู้สึกของเธอก็เบียดเสียดสีเข้ากับกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่งของเขาจนเธอเสียวสะท้าน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงบริเวณทรวงอกที่ขยับเบียดเสียดสีแนบแน่นอยู่กับแผงอกกำยำของเขาตอนที่เขา ขยับตัวเมื่อครู่นั้น ทำให้เธอรู้สึกเกิดอารมณ์จนปลายถันแข็งเต่งขึ้นมาเลยทีเดียว “รับไว้ !!” เอก ไม่ได้รับรู้หรือสนใจอาการของหญิงสาวแม้แต่น้อย เขาหันไปตะโกนสั่งบอยที่ยืนดูอย่างงุนงง พร้อมกับ โยนไม้หน้าสามให้บอยถือไว้เป็นอาวุธป้องกันตัวด้วย ชายฉกรรจ์ที่เหลืออีกสามคนก็ถึงกับมองเหตการณ์อย่าง งุนงงเช่นกัน ไม่เข้าใจว่าเหตใดเพื่อนของพวกมันจึงได้เสียท่าให้ชายหนุ่มคนนั้นได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ แต่สุด ท้ายพวกมันก็คิดไปว่าคงเป็นเรื่องบังเอิญซะมากกว่า จึงรีบวิ่งตามเอกที่ทำท่าจะวิ่งหนีไปอีกทางหนึ่งทันที ทันทีที่พวกชายฉกรรจ์อีกสามคนที่เหลือเริ่มขยับตัววิ่งตาม เอกก็กลับตัวดีดปราดพาพุ่งย้อนกลับไปทาง ซ้ายมือเข้าหาชายฉกรรจ์ที่ใส่สนับมือทันที เพราะเขายินดีเสี่ยงกับการต่อสู้ประชิดตัว มากกว่าวิ่งหนีลูกปืน อยู่ในป่า ซึ่งแม้ว่าจะต้องโอบอุ้มหญิงสาวเอาไว้ทั้งคน แต่เอกก็ยังคงกระโดดโจนทยานได้ราวกับมิได้แบก รับน้ำหนักอันใดเอาไว้ นักเลงสนับมือคนนั้นเพิ่งออกวิ่งได้ก้าวเดียว เอกก็โผล่วูบมาอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับฝ่าเท้าที่ถีบเข้ามาหา ลำตัวเสียแล้ว ชายคนนั้นมีฝีไม้ลายมือไม่น้อย มันยกสองมือขึ้นมาป้องประสานกันฝ่าเท้าของเอกเอาไว้ ได้ทันแบบเฉียดฉิว แต่แรงปะทะอันหนักหน่วงก็ถีบส่งร่างของมันจนลอยหวิวล้มกลิ้งไปไกลเกือบห้าเมตร ชายคนนั้นกลิ้งพลิกไปมาอีกหลายตลบก่อนจะส่งเสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด เพราะกระดูกแขน ของมันทั้งสองข้างหักสะบั้นเข้าเสียแล้ว หญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดของเอกก็ส่งเสียงร้องครวญครางออกมาเช่นกัน หากนั่นมิใช่เพราะความเจ็บปวด หากแต่เป็นเพราะในท่วงท่าที่เอกขยับตัวเตะนั้นนั้น เธอโดนแขนของเขากระชากหมุนตัวมาอยู่ด้านข้างอย่าง รวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน ปลายถันที่แข็งเต่งจึงเสียดสีครูดคราดกับผิวกายชุ่มเหงื่อของเขาจนเสียวสะท้านไป ถึงทรวงใน อีกทั้งหลังจากนั้นผิวบอบบางอ่อนไหวตรงกลางหว่างขาของเธอก็บดเบียดเสียดเข้ากับหน้าขา ของชายหนุ่มจนน้ำรักไหลซึมปรี่ออกมา นักเลงอีกสองคนที่ถือมีดเห็นเพียงแค่ว่าพวกของตนโดนถีบลอยลิ่วไปไกลลิบ แต่ก็ไม่ทันได้สนใจว่าจะ เป็นตายร้ายดีอย่างไร พวกมันแยกกันทำงานหนึ่งคนวิ่งเข้าหาบอยที่ถือไม้หน้าสามอยู่ ส่วนคนที่ท่าทาง จะเป็นหัวหน้าก็กรีดมีดสะบัดเข้าหาเอกที่อุ้มสาวร่างเปลือยทันที ชายคนนั้นวิ่งเข้ามาหาด้วยท่าทางว่องไวยิ่ง หากแต่ในสายตาของเอกแล้ว มันก็เป็นเพียงการเคลื่อนไหว อันเชื่องช้าที่คาดคำนวณได้ง่ายดาย เขาคิดวิธีการรับมือเอาในหัวได้เกือบสิบวิธีแล้วด้วยซ้ำ จึงบังเกิด ความคิดประมาทขึ้นมาวูบหนึ่ง มีดในมือขวาของชายคนนั้นสะบัดวูบพุ่งตรงไปที่แผ่นหลังของหญิงสาวที่เอกโอบกอดอยู่ เอกจึงพลิกตัว และคว้ามือขวาออกไปหมายจะจับข้อมือของชายคนนั้น แต่ในจังหวะที่เอกกำลังจะจับข้อมือของมันเอาไว้ ได้ มันก็ปล่อยมีดหลุดออกจากมือจนพุ่งตรงเข้าหาแผ่นหลังของหญิงสาวทันที เอกใจหายวูบไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะมีเล่ห์เหลี่ยมเยอะแบบนี้ จะใช้มือขวาจับมีดก็คงไม่ทันแล้ว เขาจึงพลิกตัว ขยับเอาแขนซ้ายที่โอบเอวของหญิงสาวอยู่ เข้าไปรับปลายแหลมของมีดอันคมกล้านั้นแทน คมมีดจึงเสียบ ฉึกเข้าไปตรงกลางแขนจนชายหนุ่มสะดุ้งตัวร้องโอดโอย เลือดสีแดงสดทะลักออกมาจากแผลในทันที ซึ่ง ก็ยังดีอยู่บ้างที่เอกเกร็งแขนไว้ทัน และมีดไม่ได้พุ่งมาแรงนักจึงไม่ได้ปักลึกเข้าไปในแขนมากนัก หญิงสาวผวาสะท้านเฮือกไปทั้งตัวอีกครั้ง หากแต่มิใช่บาดเจ็บเพราะคมมีด เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ด้านหน้านั้น เกิดอะไรขึ้น เธอรู้แต่เพียงว่าร่างของเธอโดนเหวี่ยงจนปลายถันบดเบียดเข้ากับผิวกายของเขาอีกครั้ง หาก คราครั้งนี้ความเสียวมันรุนแรงกว่าเก่า เพราะว่าเขากอดกระชับร่างของเธอไว้แน่นกว่าเดิม และขยับแขนดึง เหวี่ยงร่างของเธอเร็วและแรงกว่าเดิม เอกสะบัดมือคราหนึ่ง มีดที่ไม่ได้ปักลึกนักก็หลุดผลอยร่วงลงสู่พื้น หากแต่มีดยังไม่ทันถึงพื้น ไอ้เจ้านักเลง มากประสบการณ์คนนั้นก็สาดส่องแสงไฟฉายในมือซ้ายเข้าเต็มหน้าเอกจนเขาตาพร่า จากนั้นมันก็ยกขาเตะ กราดต่ำในท่วงท่าของมวยไทยตวัดหน้าแข้งกระแทกเข้ากับน่องของเอกเสียงดังตูม แม้จะมีความแข็งแรงเหนือมนุษย์ แต่เอกเองก็เป็นเพียงแค่นักสู้ไร้ประสบการณ์คนหนึ่ง พอเจอเข้ากับมือ ฉมังจริง ๆ ก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูก ลูกเตะของชายที่เป็นอดีตนักมวยไทยคนนั้น แม้จะถือได้ว่ารุนแรงขนาด หักกระดูกคนได้ง่าย ๆ แต่ก็ยังดีที่เอกไม่ใช่คนธรรมดาจึงเพียงรู้สึกเจ็บแปลบช้ำระบมเท่านั้น เรียกได้ว่าถือโอกาสรุกโดยไม่ได้ตั้งตัวได้ก็ไม่ผิด เพราะนักเลงคนนั้นแม้จะแสดงสีหน้าแปลกใจที่เอกไม่ ล้มพับไปตั้งแต่โดนเตะต่ำในคราแรก แต่มันก็ไม่ประเมินคู่ต่อสู้ต่อเกินไป เพราะถัดจากเสียงเตะแรก มัน ก็ใช้ขาซ้ายเตะกราดต่ำใส่น่องขวาอีกข้างของเอกเป็นตูมที่สอง แล้วก็เตะกราดซ้ำด้วยขาขวาสลับกระหน่ำ ติด ๆ กัน เอก เจ็บแปลบที่ขาทั้งสองข้างจนแทบน้ำตาเล็ด จะดีดตัวถอยหนีก็ทำไม่ได้เพราะโดนเตะดักไว้ตลอด รู้สึกยังดีอยู่บ้างที่สองขาของเขายังทนรับแม่ไม้มวยไทยของนักเลงคนนี้ไหวไม่แตกหักทรุดฮวบลงไป เสียก่อน หญิงสาวหลับตาปี๋ด้วยความเสียวจนน้ำตาแทบเล็ดออกมา ขณะที่ชายหนุ่มโดนระดมเตะซ้ายเตะขวาเข้า ใส่อยู่นั้น แรงกระแทกก็ทำให้ร่างเปลือยของหญิงสาวกระเด้งกระดอนอยู่ในอ้อมกอดของเขา กลีบกุหลาบ บางอันชุ่มชื้นกระเด้งอัดกระแทกเข้าหาบั้นเอวของชายหนุ่มยิก ๆ คล้ายกับกำลังร่วมรักกันอยู่ก็มิปาน และ นั่นก็ทำให้ใบหน้าของหญิงสาวขมวดมุ่นด้วยเสียวสะท้านจนอยากจะส่งเสียงหวีดร้องออกมา พอโดนเตะติด ๆ กันเป็นครั้งที่หก เอกก็เริ่มนึกไปถึงวิธีรับมือท่าเตะแบบที่เคยดูมวยไทยในจอทีวีเมื่อ นานมาแล้ว และเมื่อเท้าที่เจ็ดเตะหวดออกมา เอกก็ยกเท้าข้างหนึ่งลอยจากพื้นขึ้นรับหน้าแข้งที่ตวัด ฟุบเข้าหาราวกับแส้ของอีกฝ่าย หน้าแข้งประทะกับหน้าแข้งเสียงดังปั้ก หากแต่คราวนี้กลับมีเสียงร้อง โอดโอยด้วยความเจ็บปวดของอีกฝ่ายตามมาด้วย เอก ยืนอยู่ในท่ายืนขาเดียวด้วยความรู้สึกตื่นเต้นที่ท่าครูพักลักจำของตนได้ผล แม้จะยังรู้สึกเจ็บที่โดน เตะอยู่บ้าง แต่ยังไงก็เจ็บน้อยกว่าการยืนให้เตะเฉย ๆ เยอะ แถมครั้งนี้ดูเหมือนว่าหน้าแข้งของเขาจะ แข็งกว่าไอ้เจ้านักเลงคนนั้นเยอะ คนที่เจ็บก็เลยเป็นไอ้นักเลงคนนั้นแทน ท่าครูพักลักจำท่าใหม่ที่เลียนแบบมาจากจอทีวีแวบผ่านเข้ามาในหัวสมองอีกครั้ง เอกถีบเท้าที่ยกค้าง ไว้บนอากาศสวนออกไปสุดแรง ไอ้เจ้านักเลงนั้นกำลังเจ็บขาเพราะกระดูกร้าวไม่ทันที่จะคิดทำอะไรได้ ก็โดนถีบพลั่กเข้าไปเต็มยอดอก ร่างของมันลอยลิ่วปลิวไปกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านหลังดัง พลั่กแล้วสลบเหมือดไปในทันที หญิงสาวที่โดนปลุกเร้าอารมณ์มาตลอด ไม่อาจทานทนได้อีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยับตัว เตะของเอกครั้งสุดท้ายนั้นทำเอาเธอร้องอู้อี้ออกมาอย่างสุดระงับ สองมือที่โดนมัดไพร่หลังจิกกำหยิก เนื้อตัวของตัวเองเพื่อระบายความเสียวอันสุดแสนจะทานทน ร่างเปลือยสั่นสะท้านระริกแผ่วเบา เธอถึง สุดยอดแห่งห้วงอารมณ์อย่างเงียบ ๆ โดยที่ไม่มีผู้ใดรับรู้แม้แต่เพียงคนเดียว ความตื่นเต้นสงสัยทำให้เอกไม่ได้สนใจเลยว่าเพิ่งทำให้หญิงสาวในอ้อมกอดถึงจุดสุดยอดไปหนึ่งครั้ง โดยไม่รู้ตัว หลังจากชัยชนะที่ได้จากการใช้แม่ไม้มวยไทยเป็นครั้งแรก เอกก็ยืนนิ่งด้วยความรู้สึกน่าทึ่ง เหลือเชื่อ เหมือนตนเองเพิ่งได้ค้นพบอะไรบางอย่างที่สุดยอดเข้าแล้ว เขาไม่เคยคิดสนใจวิชาการต่อสู้ ด้วยมือเปล่ามาก่อนแม้แต่น้อย แม้จะสาบานกับตัวเองว่าจะฝึกปรือทุกอย่างเพื่อปกป้องน้องหญิงที่เขารัก แต่ก็ไม่เคยคิดนึกเลยว่าการต่อสู้เช่นมวยไทยจะน่าสนใจถึงขนาดนี้ แต่หลังจากเหตการณ์ในวันนี้แล้ว เขาก็ได้ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะลองฝึกปรือการต่อสู้แบบนี้ดูบ้างสักครั้ง ขณะที่กำลังคิดเพลิน ๆ เอกก็ได้ยินเสียงขู่สบถของนักเลงที่เหลืออีกหนึ่งคน สลับกับเสียงพูดของบอย แว่วดังมา และเมื่อหันไปดูก็พบว่านักเลงคนนั้นกำลังกรีดมีดไปมา โดยที่บอยใช้ไม้หน้าสามที่เพิ่งยึดมา ได้หวดตอบโต้ป้องกันตัว ชายหนุ่มหันตัวไปด้วยตั้งใจจะช่วยจัดการกับนักเลงคนนั้น แต่ก็ต้องหยุกกึก เพราะสัมผัสได้ถึงพลังอันน่ากลัวที่แผ่พุ่งออกมาจากทางหมอผีชุดดำคนนั้นเข้าเสียก่อน ……………………………………………………………… “เฮ้ย ๆ อย่าเข้ามานะโว้ย กูเป็นเทควอนโด้นะเว้ย คาราเต้ก็เคยเรียน ยูโดก็ชำนาญ มวยไทยก็โคตรเก่ง ถ้าเข้ามาอีกก้าวพ่อฟาดหัวแตก” บอย พูดขู่พลางหวดไม้หน้าสามในมือหวือไหวไปมาปัดป้องคมมีดที่กรีดวาดขู่ตวัดมาจากซ้ายทีขวาที ซึ่งหากพิจารณาดูจากท่าทางแล้ว ใครก็บอกได้ทันทีว่าผู้ชายคนนี้ไม่เคยมีประสบการณ์ต่อสู้มาก่อน ผิด กับท่าทางช่ำชองมากประสบการณ์ของไอ้เจ้านักเลงที่ถือมีดเดินย่างสามขุมรุกเข้าหาอย่างลิบลับ “ไอ้ไก่ก่อน น้ำหน้าอย่างมึงจะเรียนเหี้ยห่าอะไรมา โดนกูเสียบซักทีก็ดิ้นแด่ว ๆ ตายห่าอยู่ดีล่ะวะ” ไอ้นักเลงคนนั้นส่งเสียงขู่ด้วยใบหน้าอันเหี้ยมเกรียมขณะเดินย่างเข้าไปหาอย่างช้า ๆ มือขวาของมันแกว่ง มีดสีเงินวาววับวูบไหวไปมา ส่วนมือซ้ายก็ขยับกระบอกหลอดไฟสาดแสงไฟฉายวูบเข้ารบกวนสายตาของ บอยเป็นระยะอย่างมีชั้นเชิง และเมื่อเข้าระยะทำการ มันก็สาดแสงไฟฉายเข้าเต็มหน้าบอยจนเขามึนวูบ แล้ว ก็ฉวยโอกาสกระโดดปราดหลบท่อนไม้ไปด้านข้าง พร้อมกับตวัดมีดกรีดโดนแขนจนเสื้อขาดเหวอะ และ เลือดสด ๆ สีแดงสาดกระเซ็น “โอ๊ยย !!!” บอยกระโดดปราดหลบไปด้านข้าง พลางร้องเสียงหลง เขายกมือขึ้นมาจับแผลที่ต้นแขนซ้ายของตัวเอง อย่างตื่นตระหนกจนหน้าซีด แต่ก็ยังดีอยู่บ้างที่แผลไม่บาดลึกลงไปถึงกล้ามเนื้อและกระดูก จึงเพียงแค่ รู้สึกเจ็บ แต่ยังคงเคลื่อนไหวได้อย่างไม่มีอุปสรรคใด ๆ ไอ้เจ้านักเลงถือมีดคนนั้นก็เหมือนหมาป่าล่าเนื้อที่ได้ใจเมื่อเห็นเหยื่อเริ่มเพลี่ยงพล้ำ มันกระโจนปราดเข้า ประชิดตัวของบอยแล้วปาดมีดวูบวาบไม่หยุด บอยก็เลยได้แต่กระโดดถอยแล้วถอยอีกเพื่อเอาชีวิตรอด ยังดีอยู่บ้างที่มีท่อนไม้ในมือเอาไว้กันคมมีดของมันได้หลายครั้ง กระนั้นอีกเพียงครู่เดียวก็ต้องพลาดพลั้ง โดนมีดกรีดเข้าที่หัวไหล่เข้าไปอีกแผล บอย ได้แต่ถอยแล้วถอยอีกจนหลังไปพิงเข้ากับต้นไม้ใหญ่ ใจนั้นก็รุ่มร้อนเป็นห่วงเอกและผู้หญิงคนนั้น แทบแย่ เพราะไม่มีเวลาได้เห็นเหตการณ์ที่เอกจัดการนักเลงทั้งสามคน บอยจึงคิดไปเองว่าเอกที่โดน นักเลงพวกนี้กลุ้มรุมถึงสามคน คงจะประสบเหตร้ายมากกว่าดี เสียงฉึกทึบหนักดังขึ้น ปลายแหลมของมีดสีเงินวาวเสียบฉึกเข้าไปในท่อนไม้ที่เขาขยับมาปิดส่วนท้อง ได้ทันท่วงทีอย่างบังเอิญเหลือเชื่อ ไม่เช่นนั้นแล้วตอนนี้ท้องของเขาคงจะโดนกรีดจนเหวอหวะไส้ทะลัก ออกมาเสียแล้ว กระนั้นเขาก็ยังไม่พ้นวิกฤตเสียทีเดียว เพราะว่าอีกฝ่ายใช้กำลังพุ่งตัวกระแทกโขกหัวเข้า มาจนเห็นดาวระยิบระยับเต็มฟ้า มือที่กุมท่อนไม้อาวุธชิ้นเดียวที่มีอยู่อ่อนยวบทันที และเหมือนว่าไอ้เจ้านักเลงคนนั้นจะเล็งจังหวะรออยู่แล้ว มันเหวี่ยงสะบัดมีดขึ้นไปด้านบนจนท่อนไม้กระเด็นหวือหลุดจากมือลอยหมุนคว้างกลืนหายเข้าไปในความมืด ที่ครอบคลุมอยู่เบื้องบน บอยใจหายวูบ มองใบหน้าอันเหี้ยมเกรียมเปี่ยมไปด้วยรอยแสยะยิ้มอันชั่วร้ายของไอ้เจ้านักเลงคนนั้นอย่าง ตื่นตระหนกตกใจ ดวงตาของมันทอประกายลิงโลดเมื่อมีดอันคมกล้าตวัดพุ่งตรงเล็งไปที่ตับไตไส้พุงของบอย โดยที่ไม่มีอะไรปิดป้อง ในเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตายนั้นบอยนึกถึงแต่ของขลังที่ได้รับสืบทอดมาจากปู่ผู้เป็นหมอผีลือชื่อ ปู่เคยบอกเขาไว้ว่าตะกรุดสมิงพรายมีอิทธิฤทธิ์ปกป้องคุ้มครองเจ้าของที่แท้จริง ซึ่งเขาก็เชื่อปู่ของเขาเสมอ มาว่าไอ้เจ้าตะกรุดอันนี้เป็นของจริง จึงเก็บรักษาบูชาและห้อยคอติดตัวไว้ตลอดเวลาตั้งแต่เด็กจนบัดนี้ แต่ความเชื่อนั้นกำลังโดนบั่นทอนอย่างหนัก เพราะหากมันปกป้องเขาได้จริง ๆ เขาก็คงไม่ต้องโดนมีดบาด จนเลือดสาดตั้งสองแผลแบบนี้หรอก บอยจึงแทบจะหวีดร้องตะโกนออกมาขณะที่ปลายแหลมของมีดกำลัง จะกระซวกฉีกท้องแหวกเครีื่องในของเขาออกมา หากแต่วินาทีนั้นก็เกิดเหตการณ์เหลือเชื่อขึ้น เสียงป๊อกทึบ ๆ ดังขึ้นมาคราหนึ่ง พร้อมกับร่างของไอ้เจ้านักเลงคนนั้นสะดุ้งเฮือกหยุดนิ่ง ปลายมีดหยุดจ่อ อยู่ที่หน้าท้องของบอยห่างไปเพียงแค่ไม่กี่เซนติเมตรจนบอยต้องรีบแขม่วพุงหลบ ท่ามกลางความงุนงงนั้น บอยเหลือบมองขึ้นไปเห็นท่อนไม้ที่โดนสะบัดเหวี่ยงขึ้นไปด้านบนเมื่อครู่หล่นลง มากระแทกค้างอยู่ตรงกลางกระหม่อมศรีษะของไอ้เจ้านักเลงคนนั้น และนี่เองคือสาเหตที่ทำให้ดวงตาทั้ง สองข้างของมันกรอกเหลือกขึ้นด้านบนแล้วโงนเงนล้มทั้งยืนจนหัวไปฟาดเข้ากับท่อนไม้ที่อยู่บนพื้นดังโป๊ก อีกคราหนึ่ง บอยหยิบท่อนไม้ที่เพิ่งช่วยชีวิตตัวเองขึ้นมามองด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ จากนั้นก็เงยหน้ามองขึ้นไปยังความ มืดที่อยู่ด้านบน แล้วก็เอื้อมมือมาจับตะกรุดเขี้ยวสมิงพรายที่แขวนอยู่รอบคอด้วยความรู้สึกเลื่อมใส การที่ ท่อนไม้นี้จะลอยขึ้นไป แล้วหล่นตุ้บลงมากระแทกหัวของไอ้นักเลงอย่างพอดิบพอดีเหลือเชื่อแบบนี้ คงไม่มี คำอธิบายใด ๆ จะดีกว่าเขาได้รับความช่วยเหลือจากตะกรุดเขี้ยวสมิงพรายอีกแล้ว บอยประคองตะกรุดขึ้นมาเคารพบูชาด้วยความเลื่อมใสคราหนึ่ง ก่อนรีบเดินย่ำเท้าไปเพื่อช่วยเหลือเอกและ ผู้หญิงคนนั้นด้วยความรู้สึกมั่นใจว่าตนเองมีของขลังคอยคุ้มครอง โดยไม่ได้รับรู้เลยว่าในความมืดมิดที่ครอบ คลุมอยู่ด้านบนนั้นมีร่างวิญญาณของเด็กน้อยสองร่างกำลังส่งเสียงหัวร่อเอิ๊กอ๊ากอย่างถูกอกถูกใจอยู่