รักยมตอนที่ 77 คำสาป

รักยมตอนที่ 77 คำสาป

ย้อนความเดิมเพื่อทวนความจำ

เอกเข้ารับพิธีกรรมจากรักยมและนางตะเคียนเพื่อเข้าไปฝึกฝนในมิติพิเศษ
เขากลับออกมาจากการฝึกฝนได้สำเร็จ หากทว่าการฝึกฝนที่ขาดธาตุดินหนุนเสริม
ทำให้พลังธาตุไม่สมดุลย์ จนร่างกายหดสั้นกลายเป็นเด็ก
เอกตั้งชื่อให้ตัวเองว่าหนึ่ง และเขากำลังจะไปหาหญิงสาวธาตุดินมาสร้างสมดุลย์
เขามีอะไรกับน้องหญิง และเกือบเผลอจะมีอะไรกับน้องเมย์
แต่ยังยั้งใจได้และได้ธาตุดินส่วนหนึ่งจากเนย
เขากำลังจะเดินทางไปพัทยา แต่ความคิดนั้นกำลังดำดิ่งนึกไปถึงเรื่องราวตอนที่ฝึกฝนในมิติเวลา

เนื้อเรื่องในภาคสองจะแบ่งเป็นสองส่วนสลับกันไปมา
ส่วนแรกคือช่วงเวลาปัจจุบัน เอกในร่างเด็กตามหาธาตุดิน
ส่วนที่สองคือย้อนอดีตกลับไปในช่วงของการฝึกฝนในมิติเวลาพิเศษ
หากอ่านแล้วงงอย่างไรก็กราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

รักยม ตอนที่ 77  คำสาป

ภายหลังจากการร่วงหล่นผ่านความเวิ้งว้าง ความรู้สึกแรกของเอกก็คือความเจ็บปวดจากแรงกระแทกกับผืนดิน ความเจ็บปวดรุนแรงนี้ทำให้ร่างกายทุกส่วนกลายเป็นด้านชา หัวสมองของเขามึนงงอื้ออึง จากนั้นร่างกายก็เต็มไปด้วยความรู้สึกปวดแสบปวดร้อน

เขารู้สึกหายใจหายคอไม่ออกเหมือนอวัยวะภายในไม่
ทำงาน จากนั้นแสงสีขาวเจิดจ้าสว่างวาบก็ทำให้เขาต้องรีบหลับตาลงด้วยไม่อาจทานทนไหว และหลังจากนั้นเพียงแค่ไม่กี่วินาทีเสียงดังก้องคล้ายกับระเบิดก็ดังกระหน่ำพร้อมกับคลื่นอากาศที่สั่นสะเทือนเลือนลั่น

เอกพยายามอ้าปากเพื่อหอบหายใจ ร่างกายของเขาบิดเกร็งทรมานดิ้นพล่านไปมาบนผืนดินด้วยอาการของคนที่ขาดอากาศ และความเปลี่ยนแปลงแบบสุดขั้วจากไม่มีสัมผัสทั้งห้ามาเป็นเจ็บปวดทรมานโดยฉับพลันเช่นนี้ก็ยากเกินกว่าที่คนทั่วไปจะรับได้ไหว

หลังจากอาการบิดเกร็งทรมาน ปากของชายหนุ่มจึงค่อยสามารถอ้าสูดเอาอากาศเข้าปอดได้สำเร็จ เขาอ้าปากสูดอากาศเข้าไปด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดเท่าที่มี ปอดที่เหมือนโดนแช่แข็งไปชั่วคราวเริ่มทำงานตามหน้าที่ของมันอีกครั้ง อากาศที่โดนสูดเข้าไปถูกส่งผ่านกระบวนการสันดาบในร่างกาย แล้วส่งคืนกลับออกมาภายนอกเป็นลมหายใจร้อนผ่าวราวกับเพลิงไฟ ก่อนจะเริ่มสูดอากาศระลอกใหม่ซ้ำไปซ้ำมาอีกหลายครั้ง

ชายหนุ่มนอนคว่ำหน้าหลับตาหอบหายใจหนักหน่วงอยู่อีกเนิ่นนาน สมองของเขาในเวลานี้ยังไม่มีเวลาครุ่นคิดสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพราะร่างกายของเขากำลังกระทำสิ่งที่สำคัญที่สุดของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ซึ่งก็คือการดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดจากสภาวะเช่นนี้ให้ได้เสียก่อน

ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด ลมหายใจของเขาจึงค่อยสงบลงไปส่วนหนึ่ง สติของเขาเริ่มแจ่มใสขึ้นมาเล็กน้อย และเขาก็เริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นเหม็นคาวที่เข้าไปในปอดพร้อมกับอากาศที่สูดเข้าไป กระนั้นถึงแม้ว่ากลิ่นนั้นจะไม่น่าพิสมัย แต่ในเวลาเช่นนี้เขาก็ได้แต่จำยอมสูดกลิ่นเหม็นสุดจะทานทนนั้นต่อไปโดยไม่มีทางเลือกอื่น เพราะหากไม่หายใจเข้าไปเขาคงจะต้องตายเพราะขาดอากาศเสียก่อน

ดวงตาของเขาพยายามปรือขึ้นมามองดูความมืดสลัว แต่แล้วก็ต้องรีบปิดลงไปอีกครั้งเมื่อแสงสีขาวสว่างวาบจนรอบด้านมีแต่สีขาวโพลน จากนั้นก็เป็นเช่นก่อนหน้า หลังจากแสงสีขาว ก็ปรากฏเสียงคล้ายเสียงระเบิดที่สะเทือนเลือนลั่น ตามด้วยแรงสั่นสะเทือนของอากาศ และเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาอีกหลายครั้ง ชายหนุ่มจึงค่อยได้ทราบว่าแสงและเสียงที่น่ากลัวเหล่านี้น่าจะมาจากเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า

เอกพยายามกระพริบตาเพื่อปรับให้เข้ากับสภาพที่สลับไปมาระหว่างความมืดและสว่างเจิดจ้า ลมหายใจของเขาเริ่มสงบลงทีละน้อย เขาเริ่มคุ้นชินไปกับเสียงที่ดังก้องราวกับโลกกำลังจะแตกระเบิด หากทว่าความปวดแสบปวดร้อนที่กระจายอยู่ทั่วร่างยังคงไม่ได้หายไปไหน และร่างกายของเขาก็อ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงจนขยับตัวไปไหนไม่ได้ เขาทำได้แค่เพียงนอนคว่ำหน้าบนผืนดินแข็งกระด้างเย็นเยียบอยู่เช่นนั้นต่อไป

ความรู้สึกด้านชาเริ่มเลือนหายไปทีละน้อย จนกระทั่งเขาเริ่มสัมผัสได้ถึงเม็ดฝนเยียบเย็นที่ร่วงหล่นลงมากระทบร่าง สายฝนนี้ไม่ได้หนาหนักนัก หากทว่ามันกลับเย็นจัดราวกับโดนเข็มแหลมคมทิ่มแทง และความหนาวเย็นนี้กำลังทำให้เขารู้สึกย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม แต่ยังดีที่ความเย็นนี้ช่วยปลุกทำให้ร่างกายของเขาเริ่มขยับเขยื้อนได้บ้าง ถึงแม้ว่าจะมาพร้อมกับอาการสั่นสะท้านก็ตามที

“… ที่ไหน …”

เอกส่งเสียงแหบแห้งออกมาพร้อมกับพยายามยันร่างลุกขึ้น น้ำเสียงอันเบาหวิวนั้นแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังแทบไม่ได้ยิน เพราะนอกจากเสียงของสายฝนแล้วยังมีเสียงระเบิดก้องจากฟ้าร้องฟ้าผ่ากระหน่ำแทรกเข้ามาเกือบตลอดเวลา แต่ยังดีที่สุดท้ายแล้วเขาก็สามารถยันร่างขยับลุกขึ้นมานั่งหอบอยู่กลางสายฝนที่เย็นไปถึงกระดูกได้สำเร็จ

สายตาของเขาเริ่มปรับเข้ากับสภาพสลับไปมาระหว่างความมืดและความสว่างได้บ้างแล้ว หากทว่าภาพที่เห็นยังพล่าเลือนเกินไปจนแยกแยะอะไรไม่ออก เวลานี้เขามองเห็นเพียงแค่สีดำและสีขาวเจิดจ้าสลับไปมา ในขณะที่ใบหูของเขานั้นยังคงอื้ออึ้งไปด้วยเสียงทุ้มหนักอันดังก้อง

เอกหลับตาลงอีกครั้ง เขาตัดสินยังไม่เร่งรีบสำรวจรอบด้าน แต่เลือกที่จะพยายามนั่งพักเพื่อปรับลมหายใจและสภาพร่างกายให้คงที่ขึ้นเสียก่อน และดูเหมือนว่าเขาจะตัดสินใจได้ถูกต้อง เพราะอย่างน้อยร่างกายของเขาก็เริ่มมีเรี่ยงแรงคืนกลับมามากขึ้นทีละน้อย ถึงแม้ว่าสภาพภายนอกจะเย็นเฉียบและร่างกายสั่นสะท้านไร้เรี่ยวแรง แต่เขากลับพบว่ามือขวาของกลับจับยึดวัตถุแข็งกระด้างอะไรบางอย่างโดยไม่ยอมปล่อยออก เวลานี้เขายังไม่ทราบว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่เขาสัมผัสได้ถึงกระแสความอบอุ่นที่ถ่ายทอดเข้ามาในร่างกายผ่านทางวัตถุชิ้นนั้น และกระแสความอบอุ่นที่ว่าก็กำลังช่วยฟื้นฟูเรี่ยวแรงให้เขาอย่างต่อเนื่อง

ชายหนุ่มลืมตาอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับพยายามขยับมือขวามาวางบนตักในท่านั่งขัดสมาธิ ครั้งนี้เขาไม่ได้คิดจะมองสำรวจรอบข้าง หากทว่าพยายามเพ่งสายตามองสำรวจวัตถุในมือของเขา และเมื่อสายฟ้าฟาดเปรี้ยงส่องแสงสีขาวเจิดจ้าขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ได้พบว่าวัตถุสีเงินที่สะท้อนแสงวาววับราวกับมีชีวิตอยู่ในกำมือของเขานั้นคือดาบเล่มหนึ่ง

เขากระพริบตาเหม่อมองดูดาบเล่มนั้นราวกับโดนสะกด เขาไม่เคยใช้ดาบมาก่อนเลยสักครั้ง และเขาแน่ใจว่าเขาไม่เคยเห็นหรือพบเจอกับดาบเล่มนี้มาก่อน หากทว่าสัมผัสที่อยู่ในกำมือรวมไปถึงรูปลักษณ์ของมันกลับทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยราวกับได้พบเจอกับคนรักเก่าที่พลัดพรากจากกันไปนานแสนนาน และความรู้สึกอบอุ่นนั้นก็ทำให้เขาเผลอหลั่งน้ำตาออกมาโดยไม่รู้ตัว

ดวงตาที่ชุ่มไปด้วยน้ำฝนและน้ำตานั้นเหม่อมองดูแน่วนิ่งในความมืดเนื่องจากแสงสีขาวได้เลือนหายไปแล้ว แต่อีกเพียงแค่ไม่กี่วินาทีแสงสีขาวเจิดจ้าที่สว่างวาบไปทั่วท้องฟ้าก็ทำให้เขามองเห็นรูปร่างลักษณะของตัวดาบนั้นได้อย่างชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ หากทว่ารูปลักษณ์นั้นกลับประทับตราตรึงทุกรายละเอียดเอาไว้ในใจของเขา ราวกับว่าเขาเคยรู้จักมันมาก่อน หากทว่าได้เผลอลืมเลือนไปแล้วตามกาลเวลา

ดาบสีเงินเปื้อนเลือดเล่มนั้นมีลักษณะเหมือนดาบไทยในสมัยโบราณ ตัวดาบที่โค้งเล็กน้อยนั้นมีส่วนคมด้านหนึ่งในขณะที่อีกด้านนั้นเป็นสันหนา ใบดาบสีเงินยาวประมาณหกสิบเซนติเมตร ส่วนด้ามจับสีดำนั้นมีขนาดเหมาะมือยาวประมาณสามสิบเซนติเมตร ใบใบดาบมีลวดลายอักขระแปลกตาให้ความรู้สึกเก่าแก่ทรงพลัง บนส่วนด้ามจับนั้นเรียบไร้ซึ่งอักขระ แต่มีผลึกอัญมณีสีขาวหม่นคล้ายเพชรขนาดเท่านิ้วโป้งฝังเอาไว้หนึ่งเม็ด

“… ดาบ … อีกเล่มล่ะ”

เอกส่งเสียงแหบแห้งพร้อมกับยกชูดาบในมือขวาขึ้นมา เขาละสายตาจากดาบในมือขวาหันไปมองดูมือซ้ายอันว่างเปล่าด้วยความรู้สึกเหมือนสิ่งใดขาดหายไป มือซ้ายของเขาบีบกำแล้วคลายออก เขาแน่ใจว่าตนเองไม่เคยเห็นดาบเล่มนี้มาก่อน หากทว่าเขากลับรู้สึกว่าควรจะมีดาบอีกเล่มหนึ่งอยู่ในมือซ้าย

กระแสความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาจากด้ามสีเงินทำให้ร่างกายของเขาฟื้นฟูดีขึ้น สายตาเริ่มจะสามารถปรับตัวจนมองเห็นได้ดีขึ้น เวลานี้เขาพบว่าร่างกายของเขานั้นเต็มด้วยบาดแผลเลอะเลือนด้วยเลือดสีแดงฉาน ร่างกายของเขานั้นมีสิ่งที่คล้ายชุดเกราะสวมทับเอาไว้ หากทว่าเขาไม่แน่ใจนักว่าเป็นชุดเกราะ เนื่องจากมันมีร่องรอยแตกหักเสียหายยับเยิน บางส่วนมีร่องรอยเหมือนโดนของมีคมฟันจนขาด บางส่วนนั้นแตกหักเหมือนโดนทุบตี แต่ยังดีที่บนร่างกายของเขาไม่มีบาดแผลสาหัสถึงตาย

เอกไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายตนเอง เพราะสิ่งที่เขาจดจำได้ล่าสุดนั้นก็คือเขาเพิ่งหลุดออกมาจากวิถีของการเวียนว่ายตายเกิด จากนั้นเขาก็รู้สึกตัวอีกครั้งในสภาวะบาดเจ็บเช่นนี้ กระนั้นในความรู้สึกสับสบนั้น สิ่งแรกที่หัวสมองของเขาคิดกลับเป็นความพยายามสอดส่ายตามองหาดาบอีกเล่มที่สมควรจะอยู่ในมือซ้าย มันคล้ายกับสัญชาตญาณที่ถูกฝังเอาไว้ในส่วนลึกจนอยู่เหนือสิ่งอื่นใด

เขาหันใบหน้ามองไปมาขณะนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ สายตาที่เริ่มปรับตัวได้นั้นทำให้เขาเริ่มเห็นสภาพรอบข้างได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เวลานี้เขากำลังนั่งอยู่กลางสายฝน พื้นที่นั่งอยู่นั้นนั้นมีสีแดงฉานคละเคล้าไปด้วยเลือดปริมาณมหาศาล และกลิ่นคาวที่คละคลุ้งไปทั่วบริเวณนั้นย่อมมาจากเลือดเหล่านี้

พื้นรอบข้างเป็นพื้นหินที่มีความแข็งกระด้าง หากทว่าทั่วทั้งบริเวณกลับเต็มไปด้วยรอยแตกและรูขนาดใหญ่คล้ายกับโดนทิ้งระเบิดกระหน่ำใส่แบบไม่ยั้ง ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆสีดำนั้นมีแต่ลำแสงสีขาวสว่างเจิดจ้าวิ่งพาดผ่านไปมาเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน หากทว่าที่สะกดสายตาของเขาจนต้องเบิกตากว้างกลับเป็นดวงจันทร์สีขาวที่เริ่มผุดแทรกผ่านเมฆทึบหนาออกมาส่องแสงสีขาวนวล

ดวงจันทร์นั้นคล้ายแสงสว่างที่ปรากฏขึ้นมาขับไล่ความมืดมิด เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ เมฆดำทะมึนที่ครอบคลุมทั่วฟากฟ้าก็เริ่มเลือนหายไปจนมองเห็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวสีขาวสว่างจ้านับล้านดวงราวกับล่องลอยอยู่บนทางช้างเผือก และภาพสวยงามนี้เองที่กำลังสะกดจนชายหนุ่มแทบลืมเลือนทุกสิ่งอย่าง เขาลืมเลือนความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนบนร่างกาย พริบตานั้นเขาถึงกับเผลอลืมเลือนทุกสิ่งอย่างโดยสิ้นเชิง

ดวงจันทร์สีขาวนวลนั้นเหมือนดวงจันทร์ปกติที่เขารู้จักแทบทุกอย่าง หากทว่าขนาดของมันนั้นกลับใหญ่กว่าดวงจันทร์ปกติราวห้าหรือหกเท่า แสงสีขาวนวลที่สาดส่องออกมาจึงสว่างยิ่งกว่า แม้แต่ดวงดาวบนฟ้าก็พากันส่องสว่างกว่าที่เคยเห็น เขารู้สึกราวกับว่าท้องฟ้าและดวงดาวขยับเข้ามาอยู่ใกล้กว่าเดิมอีกหลายเท่า

ความงดงามของดวงดาวและดวงเดือนทำให้เขาสงบนิ่งไปครู่ใหญ่ กระทั่งเมื่อได้สติคืนมาเขาจึงเริ่มสอดส่ายสายตามองหาดาบที่ไม่ทราบว่ามีอยู่จริงหรือไม่อีกครั้ง และครั้งนี้ทุกอย่างก็ง่ายดายขึ้นเนื่องจากแสงของดวงจันทร์นั้นสว่างเพียงพอให้มองเห็นได้ดีกว่าเดิม

สายตาของเขาหยุดลงที่บนด้ามดาบสีเงินที่สะท้อนกับแสงจันทร์ มันคือดาบที่มีลักษณะคล้ายกันกับดาบในมือขวาของเขาแทบทุกอย่าง เพียงแต่เวลานี้มันกำลังปักอยู่บนวัตถุทรงกลมขนาดสูงเท่าตัวคนซึ่งอยู่ห่างออกไปราวสิบก้าว

เอกพยายามขยับตัวลุกขึ้นทันทีโดยไม่ต้องสั่งการ เรี่ยวแรงที่เริ่มทยอยกลับมาทำให้เขาสามารถลุกขึ้นเดินไปได้ ถึงแม้จะเชื่องช้าหากทว่าในหัวสมองของเขาเวลานี้มีแต่ความคิดที่จะนำดาบเล่มนั้นกลับมาอยู่ในมือซ้ายของเขาให้ได้เสียก่อน

ชายหนุ่มใช้พยายามมากพอดูในการนำพาร่างกายเข้าไปยังจุดนั้น เขาพยายามกลั้นหายใจเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่ายิ่งเดินเข้าไปใกล้ เขาก็ยิ่งได้กลิ่นเหม็นคาวหนักหน่วงขึ้นจนแทบอยากอาเจียน กระนั้นเขาก็ยังคงเดินเข้าไปใช้มือซ้ายคว้าจับลงไปที่ด้ามดาบเล่มนั้น แล้วออกแรงดึงออกมา

ดาบสองเล่มที่อยู่ในมือซ้ายและขวาทำให้เขารู้สึกเหมือนแข็งแรงขึ้น เขารู้สึกปลอดภัยขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ หากทว่าเสี้ยววินาทีที่เขาดึงดาบออกมานั้น เสียงครวญครางทุ้มต่ำราวกับสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ใกล้ตายก็ดังก้องไปทั่วบริเวณจนเขาตื่นตกใจถอยห่างออกมา เขารู้สึกว่าต้นเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและอ่อนแรงนั้นดังมาจากวัตถุทรงกลมขนาดใหญ่ที่ดาบเคยปักเอาไว้

ชายหนุ่มเดินถอยหลังห่างออกมาด้วยหัวใจที่เต้นระรัว แม้จะจดจำไม่ได้ว่าตนเองเคยใช้ดาบมาก่อน แต่ว่าสองมือของเขากลับจับยึดด้ามดาบทั้งสองเล่มเอาไว้อย่างแน่นหนา แม้แต่ท่วงท่าถือดาบและท่าถอยไปด้านหลังนั้นก็แลดูคล้ายกับนักรบที่ผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชนผู้หนึ่ง

เสียงครางทุ้มต่ำที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดนั้นดังก้องอย่างต่อเนื่อง หากแต่ไม่มีท่าทีว่าจะมีภยันตรายอันใดเกิดขึ้น เอกจึงเริ่มผ่อนคลายและพยายามมองสำรวจวัตถุทรงกลมเรียบลื่นนั้นด้วยความงุนงงสงสัย เขาไม่รู้สึกว่ามันคือก้อนหิน กระนั้นหากจะบอกว่ามันคือสิ่งมีชีวิตก็ไม่แน่ใจนักว่าจะใช่ แต่แล้วความคิดหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในสมองก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น เขาสมควรที่จะไม่ทราบว่าวัตถุนี้คืออะไร หากทว่าเขากลับคล้ายรู้สึกว่ามันคืออะไร

หัวใจที่เต้นแรงขึ้น ทำให้ชายหนุ่มหอบหายใจแรงขึ้น เขาพยายามสลัดความคิดพิลึกพิลั่นออกจากหัว หากทว่าทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ และเมื่อเขากวาดสายตามองไปอีกทางหนึ่ง ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อกลายเป็นเย็นเยียบราวกับตกลงไปในบ่อน้ำแข็ง ห่างออกไปจากวัตถุทรงกลมน่าสงสัยไม่ถึงหนึ่งร้อยก้าวนั้นมีร่างสูงตระหง่านราวกับขุนเขาของอะไรบางอย่างยืนอยู่อย่างเงียบงัน

ร่างกายที่มีแขนขาเหมือนมนุษย์นั้นยืนตระหง่านอยู่ใต้แสงจันทร์ ร่างกายสีทองแดงนั้นเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรง บนร่างกายนั้นมีเกราะเหล็กที่แตกหักคล้ายกับที่เขาสวมใส่อยู่ หากทว่าบนร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลที่หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าเขาหลายเท่า ส่วนสิ่งที่ทำให้เอกตื่นตกใจจนตัวแข็งทื่อก็คือ ร่างที่คล้ายมนุษย์นั้นมีขนาดสูงใหญ่มากกว่ายี่สิบเมตร มันมีสองขาเหมือนมนุษย์ หากทว่ามีแขนมากถึงแปดข้าง และที่สำคัญก็คือร่างนั้นมีอวัยวะอยู่ครบทุกส่วนยกเว้นก็แต่เพียงส่วนศีรษะ

เอกรู้สึกใจหายวูบ ยิ่งเวลาผ่านเขาก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาแน่ใจว่าเจ้าสิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกเรียกขานว่ายักษ์ อย่างน้อยขนาดที่ใหญ่โตของมันก็สมควรจะถูกเรียกว่ายักษ์ และเมื่อนึกถึงส่วนศีรษะที่หายไปนั้น สายตาของเขาก็กวาดต่ำมองไปที่วัตถุทรงกลมซึ่งดาบในมือซ้ายของเขาเคยปักอยู่บนนั้น

มองจากมุมนี้แล้ววัตถุกลมเกลี้ยงนั้นแทบจะไม่แตกต่างอะไรไปจากก้อนหินก้อนหนึ่ง หากจะมีอะไรแปลกออกไปก็คงจะเป็นแค่กลิ่นเหม็นคาวยากจะทานทน แต่อะไรบางอย่างทำให้เอกรู้สึกแน่ใจว่าเจ้าวัตถุกลมเกลี้ยงนี้จะต้องเป็นสิ่งที่เขากำลังสงสัย

ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง ก่อนจะเริ่มขยับเดินอ้อมไปทางด้านข้างของวัตถุกลมเกลี้ยงสูงสองเมตรนั้นอย่างเชื่องช้า ลักษณะรูปร่างที่แตกต่างไปจากมุมเดิมทำให้ชายหนุ่มเบิกตากว้างและสูดลมหายใจด้วยความหนาวเหน็บอีกครั้ง ยิ่งก้าวเดินเขาก็ยิ่งมองเห็นอะไรหลายอย่างอยู่บนวัตถุกลมเกลี้ยงนั้น

เขามองเห็นสิ่งที่เหมือนกับใบหู เขามองเห็นสิ่งที่เหมือนกับปากรวมไปถึงเขี้ยวยาวโค้งสีขาวหม่น เขามองเห็นสิ่งที่เหมือนกับจมูก และเขามองเห็นสิ่งที่เหมือนกับดวงตา ถึงแม้ว่าดวงตาสีแดงก่ำที่เปิดกว้างนั้นจะมีอยู่ด้วยกันถึงสามดวง แต่เมื่อนำทุกสิ่งที่เห็นมาประกอบเข้าด้วยกันแล้ว เขาก็แน่ใจได้ทันทีว่าเจ้าสิ่งนี้คือศีรษะของมนุษย์ยักษ์ไร้หัวตนนั้นอย่างแน่นอน

เอกมองดูศีรษะขนาดใหญ่สูงสองเมตรสลับกับร่างไร้ศีรษะสูงกว่ายี่สิบเมตร เขาแน่ใจว่ายักษ์ตนนี้จะต้องทรงพลังสะท้านฟ้าสะเทือนดินอย่างยิ่ง แต่เรื่องน่าแปลกก็คือเขากลับขยับสายตามองลงมาที่ดาบในมือขวา เขารู้สึกว่าดาบเล่มนี้เองที่ทำให้ศีรษะของยักษ์หลุดออกมาจากร่าง และก็ดูเหมือนว่าจะเป็นตัวเขาเองที่เป็นคนลงมือใช้ดาบประหัตประหารเจ้ายักษ์ตนนี้

ชายหนุ่มสูดลมหายใจอย่างหนักหน่วงเมื่อภาพความทรงจำที่ไม่ปะติดปะต่อหลั่งไหลเข้ามาในสมอง เขามองเห็นภาพการต่อสู้ระหว่างตัวเขาและเจ้ายักษ์ตนนี้ เขาถือดาบคู่เคลื่อนไหวไปมาในสนามรบราวกับพายุหมุนลูกหนึ่ง เขามองเห็นอานุภาพทำลายล้างที่ทำให้แผ่นดินสะเทือนสวรรค์สะท้าน เขามองเห็นซากร่างของยักษ์ที่ล้มตายนับร้อยนับพัน ก่อนจะปิดท้ายด้วยภาพตัวเขาปักดาบในมือซ้ายลงไปบนสมองส่วนหลังของยักษ์ตนนี้ แล้วปิดฉากด้วยการวาดดาบในมือขวาตัดศีรษะของยักษ์ตนนี้จนร่วงหล่นลงมาเกลือกกลิ้งกับผืนดิน

“… นี่มันเรื่องบ้าอะไร”

เอกส่งเสียงสบถพร้อมกับพยายามส่ายศีรษะสลัดภาพที่หลั่งไหลเข้ามา เขารู้สึกว่าทุกสิ่งล้วนแล้วแต่ไม่สมเหตุสมผล เขาเป็นแค่พนักงานบริษัทเอกชนธรรมดาที่บังเอิญได้รับรักยมจนได้เรียนรู้มนตรา เขาได้เข้ามาในมิติเวลาแห่งนี้เพื่อฝึกตนเอง ก่อนนี้เขาเพิ่งผ่านด่านวิถีแห่งการเวียนว่ายตายเกิด หากทว่าตอนนี้เขากลับหลุดโผล่มาในสมรภูมิที่เขาไม่ทราบต้นสายปลายเหตุว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรเลยสักนิด หากจะบอกว่านี่คือการฝึกฝน ก็คงจะเป็นการฝึกฝนที่แปลกประหลาดพิลึกพิลั่นที่สุดในโลก

ชายหนุ่มพยายามขบคิดเรื่องราว หากทว่ายังไม่ทันได้รับคำตอบเขาก็ต้องเงยหน้ามองดูศีรษะของยักษ์ตนนี้ด้วยความแตกตื่น เพราะว่าดวงตาสีแดงฉานทั้งสามดวงของมันกำลังจับจ้องมองดูเขาอยู่ ดวงตาสองดวงของมันนั้นเหมือนมนุษย์ปกติ หากทว่าดวงตาที่สามนั้นอยู่ตรงตำแหน่งหน้าผากล้านเลี่ยน

เอกมองสบตากับยักษ์ที่เหลือแต่ส่วนศีรษะด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด วูบแรกนั้นเขารู้สึกแตกตื่นหวาดกลัว หากทว่าความอบอุ่นที่แผ่ผ่านดาบทั้งสองเล่มในมือนั้นทำให้เขารู้สึกปลอดภัย อีกทั้งแววตาของยักษ์ตนนั้นก็มิได้แสดงท่าทีข่มขวัญอาฆาตมาดร้ายแต่อย่างใด เขาจึงสามารถยืนจ้องตากับยักษ์ตนนี้ได้โดยไม่ตื่นกลัวจนแข้งขาสั่นเข้าเสียก่อน

“… หึ หึ … ฮ่า ฮ่า … ฮ่า ฮ่า ฮ่า … ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

ยักษ์ตนนั้นจ้องมองดูเขาอยู่เนิ่นนาน ก่อนที่มันจะส่งเสียงหัวเราะออกมา เริ่มจากเสียงหัวเราะแผ่วเบาไร้เรี่ยวแรง จนกระทั่งเสียงนั้นดังขึ้นเป็นเสียงหัวเราะที่กึกก้องไปทั่วฟากฟ้า และเพียงแค่พลังเสียงนี้ก็สามารถบ่งบอกได้แล้วว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น ยักษ์ตนนี้จะมีพลกำลังมากมายมหาศาลสะท้านฟ้าสะเทือนดินถึงเพียงไหน

เสียงหัวเราะนั้นคล้ายกำลังขบขันหากทว่าไม่ใช่เสียทีเดียว มันคือเสียงหัวเราะที่คล้ายกับความสมเพชเวทนาของผู้พ่ายแพ้ มันคือเสียงหัวเราะแห่งความเศร้า ความเกรี้ยวกราด ความอดสูเวทนาผิดหวัง

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า … น่าสมเพช น่าเวทนา … ช่างน่าเวทนา ช่างน่าอดสู … ช่างน่าอดสู” เสียงหัวเราะนั้นเงียบลงไปทีละน้อย ก่อนจะกลายเป็นเสียงพึมพำด่าทอแผ่วเบา ถึงแม้ว่าดวงตาทั้งสามข้างจะจับจ้องที่เอกโดยไม่มองไปที่อื่น แต่เอกกลับรู้สึกว่าคำด่าทอเหล่านั้นไม่ได้หมายถึงเขา หากแต่เจ้ายักษ์ตนนี้คล้ายกำลังด่าทอตัวมันเอง เพียงแต่เขาคาดเดาไม่ออกว่าทำไมมันจึงต้องด่าทอตัวมันเอง

“น่าเวทนายิ่งนัก … ตัวข้านนทลักผู้เป็นถึงมหาราชาแห่งเหล่ายักษาผู้เปี่ยมด้วยเกียรติแห่งนักรบกลับกระทำตัวน่าละอาย น่าสมเพช น่าเวทนา น่าผิดหวัง … ช่างน่าอดสู”

ยักษ์ที่ชื่อนนทลักนั้นยิ่งกล่าวก็ยิ่งแสดงท่าทีซึมเซาผิดหวังออกมา ในทุกคำพูดคำจานั้นไม่ได้มีท่าทีอาฆาตแค้นแม้แต่น้อย หากจะมีก็มีแต่เพียงความเศร้าเสียใจและสำนึกผิด เพียงแต่เรื่องราวเป็นมาอย่างไรนั้นเอกคงไม่สามารถคาดเดาได้

“… ข้านนทลัก … ข้าไม่เคยกล่าวขอโทษกับผู้ใดมาก่อน … ข้าไม่เคยรู้สึกเสียใจเช่นนี้มาก่อน … และครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ข้าเจ็บปวดหัวใจจนต้องยอมขออภัย … เจ้าชายเอกาวายุ ได้โปรดให้อภัยแก่ข้า ได้โปรดให้อภัยที่ข้าทำให้การต่อสู้เดิมพันที่เต็มไปด้วยเกียรติยศในครั้งนี้เสื่อมเสียมัวหมอง … ข้าไม่มีคำแก้ตัวอันใด นอกจากคำขออภัยครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิตของข้า”

นนทลักกล่าวขออภัยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยพลางใช้ดวงตาทั้งสามจ้องมองดูเอก ชายหนุ่มซึ่งตกอยู่ใต้สถานการณ์กระอักกระอ่วนไม่ทราบเรื่องราวเช่นนี้จึงไม่ทราบว่าสมควรตอบกลับไปอย่างไร เขาพยายามรับฟังเพื่อจับใจความแล้ว แต่ก็จับใจความอะไรไม่ได้มากนัก เขาไม่เข้าใจว่าทำไมยักษ์ตนนี้ต้องกล่าวขอโทษ การต่อสู้ที่พูดถึงนั้นคืออะไร ทำไมยักษ์จึงได้เสียใจ และใครคือเจ้าชายเอกาวายุที่กล่าวถึง เขาจับใจความได้แค่ว่ายักษ์ตนนี้ชื่อนนทลัก

“… เอ่อ”

“ท่านไม่จำเป็นต้องกล่าววาจาอันใดอีกแล้ว … ข้าไม่สามารถแก้ไขความผิดพลาดที่ข้าได้พลั้งเผลอกระทำลงไปแล้ว และข้าไม่มีคำแก้ตัวอันใด ข้ายินดียอมรับคำหมิ่นเหม่ชิงชังลบหลู่เกียรติยศให้สาสมเท่าเทียมต่อสิ่งที่ข้ากระทำ แต่ข้าจะไม่ยอมผิดคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับท่าน การเดิมพันครั้งนี้ท่านชนะ … และท่านจะได้รับสิ่งที่ท่านสมควรได้รับ”

เอกพยายามจะสนทนาเพื่อถามไถ่ หากทว่าแค่เขาเอ่ยปากอีกฝ่ายก็ชิงพูดออกมายาวเหยียดจนยิ่งไม่ทราบว่าควรสนทนายังไง และเมื่อนนทลักพูดประโยคเหล่านี้จบ ดวงตาทั้งสามของมันก็เริ่มส่องแสงสีแดงสว่างเจิดจ้าออกมาพร้อมกับแรงกดดันมหาศาลจนอากาศสั่นสะเทือน

ชายหนุ่มสะดุ้งก้าวถอยหลังไปสองก้าว แต่ไม่ได้ถอยไปไกลกว่านั้น เพราะเขารู้สึกว่ายักษ์นนทลักไม่ได้มีเจตนามุ่งร้าย มันแค่เพียงกำลังคิดจะทำอะไรบางอย่างเท่านั้น และดูเหมือนว่าเอกจะคิดถูก นนทลักไม่ได้กระทำอะไรกับเขา เขาเห็นแค่เพียงดวงแสงสีแดงทรงกลมที่พุ่งวูบออกจากศีรษะหายไปบนท้องฟ้าด้านบน จากนั้นดวงแสงก็เปล่งประกายสีแดงเจิดจ้าไปทั่วท้องฟ้ายามราตรีจนกลบแสงจันทร์สีขาวนวล แล้วตามมาด้วยเสียงของนนทลักที่ดังกึกก้องสะท้านไปทั่วทุกสารทิศ เสียงนั้นราวกับจะดังก้องไปให้ไกลถึงสุดขอบโลก

“พวกเจ้าในโลกหล้าทั้งหมดจงรับฟังคำสุดท้ายแห่งชีวิตของข้า ข้าคือนนทลัก มหาราชาแห่งเผ่ายักษา ข้าคือนักรบอันดับหนึ่งแห่งเผ่ายักษาอันเกรียงไกร ข้าคือมหาราชาที่ไม่เคยพ่ายแพ้ผู้ใด ไม่ว่าจะยักษาด้วยกันก็ดี เทพา นาคี หรือสิ่งใดข้าก็มิเคยเพลี่ยงพล้ำพ่ายแพ้”

“ข้านนทลักได้ตระเตรียมกองทัพแห่งเผ่ายักษาจำนวนหนึ่งร้อยหมื่น ข้าเคยหมายมาดจะเหยียบย่ำฆ่าฟันไปทั่วหล้าเพื่อประกาศศักดาแห่งยักษา ข้าเคยหมายมั่นจะครอบครองเมืองมนุษย์ เมืองบาดาล รวมไปถึงเมืองสวรรค์ ข้าเคยมีความฝันอันยิ่งใหญ่และมีความหยิ่งทะนง ข้าเคยเชื่อมั่นว่าข้ามีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้ ข้าเคยเชื่อว่าข้าจะสามารถนำพาเผ่ายักษาให้เหนือผู้ใดได้ ข้าเคยเชื่อมั่นว่าตัวข้าไม่มีทางพ่ายแพ้แก่ผู้ใด … ข้าเคยเชื่อเช่นนั้น”

“วันนี้ … วันนี้ข้าได้รับทราบแล้วว่าข้าเชื่อในสิ่งที่ผิด … เก้าวันก่อนหน้านี้ข้ารับคำท้าทายของมนุษย์ตัวจ้อยผู้หนึ่ง มันผู้นั้นท้าทายและเดิมพันแก่ข้า มันกล่าวว่าหากมันพ่ายแพ้มันจะยกเมืองและบริวารทั้งหมดของมันแก่ข้า แต่หากข้าพ่ายแพ้ ข้าจะต้องหยุดรุกรานและห้ามออกมาจากแดนยักษาเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี … ข้ารับคำท้าของมันโดยไม่ต้องคิดให้เหนื่อย ข้าไม่เคยคิดว่าข้าจะพ่ายแพ้ ข้าไม่สนใจด้วยซ้ำว่ามันจะสัญญาเดิมพันเช่นไร ข้ามั่นใจว่าจะอย่างไรข้าก็จะต้องชนะ และข้าจะนำทัพแห่งยักษาเหยียบย่ำไปทั่วทศทิศ … แต่ข้าคิดผิด”

“ข้าและมหายักษาทั้งเก้าสิบเก้าตนเข้าต่อสู้กับมนุษย์ผู้หนึ่ง แรกเริ่มนั้นข้าให้บริวารของข้าเข้าต่อกรกับมัน แต่เมื่อมันสามารถเอาชนะบริวารของข้าได้ ข้าก็เริ่มลงมือเอง แต่เมื่อข้าเริ่มแสดงท่าทีเพลี่ยงพล้ำ บริวารทั้งเก้าสิบเก้าก็ลงมือช่วยเหลือ”

“การต่อสู้ระหว่างมหายักษาหนึ่งร้อยตนกับมนุษย์ตัวจ้อยเพียงหนึ่งเดียวนั้นช่างน่าละอายเพียงพอแล้ว แต่หลังจากการประมือกันเก้าวันเก้าคืนบนเกาะลอยฟ้าแห่งนี้ ข้าและบริวารกลับพ่ายแพ้ยับเยินอย่างน่าอดสูยิ่งกว่า … ข้าพ่ายแพ้ ข้าพ่ายแพ้ให้กับการต่อสู้อันขาวสะอาดต่อมนุษย์ผู้หนึ่ง”

“ข้าไม่เคยรู้สึกเสียใจที่พ่ายแพ้ หากทว่าข้าเสียใจที่โมหะและความหวาดกลัวของข้าบดบังสติและเกียรติยศแห่งเผ่ายักษา ก่อนที่ข้าจะหมดฤทธา ข้าเจ็บแค้นที่ข้าพ่ายแพ้ ข้าหวาดกลัวว่ามนุษย์ผู้นั้นจะบุกเข้าไปสังหารเผ่าแห่งข้า ข้าใช้คำสาปโลหิตแห่งเผ่ายักษาผนึกวิชาอาคมและความทรงจำของมนุษย์ผู้นั้น ศาสตราของมันผู้นั้นจะสิ้นฤทธา วิชาอาคมและความทรงจำของมันผู้นั้นจะสูญหาย … ข้ากระทำเรื่องผิดพลาดร้ายแรง ข้ากระทำเรื่องราวอัปยศอดสูต่อเผ่าพันธุ์ยักษาอันทรงเกียรติ มันคือความอัปยศที่ไม่วันจางหายไม่ว่าจะผ่านไปกี่กัปกี่กัลป์”

“ข้าไม่มีคำแก้ตัวอันใด ข้าไม่มีถ้อยคำอันใดที่จะแสดงความรู้สึกอัปยศอดสูในใจออกมาได้ ข้าไม่สามารถแก้ไขคำสาปที่ข้าได้กระลงไปแล้ว ข้าทำได้แค่ชดเชยในสิ่งที่ข้าให้ได้ ข้าทำได้แค่เพียงรักษาสัญญาที่ข้าเคยเอ่ยปากให้เอาไว้ ข้าเคยสัญญาว่าจะไม่เคลื่อนทัพรุกรานผู้ใดอีกเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี”

“เหล่าลูกหลานแห่งยักษาอันทรงเกียรติจงฟัง ข้าไม่ขอให้พวกเจ้าอภัยแก่ข้า แต่ข้าขอใช้ชีวิตและวิญญาณของข้าแทนคำสาป เผ่ายักษาทุกตนไม่ว่าจะเกิดใหม่หรือแก่ชรา ไม่ว่าจะอ่อนแอหรือทรงพลัง ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย ไม่ว่าพวกเจ้าตนใดก็ตามแต่ ไม่ว่าจะด้วยเหตุอันใดก็ตามแต่ ข้ามหาราชานนทลักขอสาปพวกเจ้า ภายในหนึ่งร้อยปีนี้ หากพวกเจ้าเดินทางออกจากดินแดนแห่งยักษา พวกเจ้าจะต้องตายตกด้วยเพลิงกัลป์ พวกเจ้าจะถูกแผดเผาทั้งร่างกายและจิตวิญญาณตายตกทันที”

เอกยืนเหม่อมองดูเหตุการณ์ด้วยความรู้สึกหลากหลาย เสียงทุ้มต่ำหนักแน่นนั้นสะท้อนสะท้านไปไกลเพียงใดเขาไม่แน่ใจนัก แต่เขามีความรู้สึกว่าเสียงนั้นจะดังก้องไปทั่วโลกแห่งนี้ ไม่ว่าโลกแห่งนี้จะกว้างใหญ่เพียงใดก็ตามที กระนั้นสิ่งที่สำคัญในเวลานี้กลับเป็นเรื่องราวที่แฝงอยู่ในคำประกาศของราชายักษ์นนทลัก เรื่องราวเหล่านั้นทำให้หัวสมองของเขาพองโต ยิ่งรับฟังเขาก็ยิ่งรู้สึกพอจะเชื่อมโยงเรื่องราวได้บ้าง เพียงแต่ยังมีอะไรหลายอย่างที่เขาไม่เข้าใจ หรือหากพูดให้ถูกก็คือเขารู้สึกเหมือนไม่อยากเชื่อมากกว่า

“… ข้ารักษาคำสัญญาแห่งข้าแล้ว แต่นั่นยังไม่เพียงพอให้ข้าไถ่ถอนความอัปยศในใจของข้า ข้านนทลักไม่มีสิ่งใดเพียงพอจะชดเชยให้ แต่อย่างน้อยข้าก็ขอใช้ทุกสิ่งที่ข้ามีเพื่อชดเชยบ้างบางส่วน บุตรีแห่งข้ามาลัยเป็นลูกของยักษาและนางฟ้าที่งดงามที่สุด ข้าขอยกนางให้เป็นสตรีของมันผู้นี้ ข้าขอออกคำสั่งห้ามมิให้ยักษาตนใดทำร้ายมันผู้นี้แม้สักขุมขน และสุดท้ายนี้ ข้าขอใช้วิญญาณตนเองเพื่อชดเชย ตราบนี้จนชั่วกัลป์ ข้าจะอุทิศตนเป็นข้าทาสบริพารรับใช้ให้แก่มันผู้นี้ทุกชาติไป … ข้าขอใช้สิ่งเหล่านี้ชดเชยสิ่งที่ข้ากระทำ ได้โปรดรับสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้เอาไว้ด้วยเถิดท่านเจ้าชายเอกาวายุ”

เสียงที่ดังก้องนั้นหยุดลงแค่ตรงนี้ จากนั้นดวงแสงสีแดงที่สว่างเจิดจ้าบนท้องฟ้าก็เริ่มหดตัวเป็นดวงแสงสีแดงเล็กจ้อยและร่วงหล่นลงมาเบื้องล่าง มันลอยมาหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศเบื้องหน้าของเอกซึ่งกำลังยืนนิ่งเบิกตากว้าง ถึงตอนนี้ต่อให้เขาไม่อยากเชื่อเขาก็คงต้องเชื่อ เขาอาจจะยังไม่ทราบว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร อีกทั้งไม่ทราบว่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้เป็นเหตุการณ์สมมติที่พวกรักยมสร้างขึ้นเพื่อฝึกฝนหรืออย่างไร หากทว่าถ้อยคำและอารมณ์ที่ถ่ายทอดผ่านออกมานั้นทำให้เขารู้สึกว่าไม่อาจปฏิเสธ นนทลักอาจจะกระทำผิด แต่อย่างน้อยก็รู้สึกผิดอย่างรุนแรง และต้องการชดเชยให้

“ข้าให้อภัยท่าน มหาราชาแห่งยักษานนทลัก ท่านคือนักรบยักษาที่เก่งกาจที่สุดเท่าที่ข้าเคยต่อกรด้วย … ท่านจงปลดบ่วงปลดภาระ และเข้าสู่วิถีแห่งการเวียนว่ายตายเกิดอย่างวางใจเถิด”

ความรู้สึกที่พลุ่งพล่านทำให้เอกยื่นมือขวาออกมาเบื้องหน้า เขาพูดกล่าวประโยคหนึ่งออกมาโดยไม่รู้ตัว คำพูดที่ใช้นั้นก็ไม่น่าจะเป็นรูปแบบคำพูดของเขาเพราะมันดูเป็นภาษาโบราณเก่าแก่ หากทว่าการกระทำเช่นนี้กลับดูคุ้นเคย เหมือนกับว่าเขาเคยกระทำเรื่องแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว

“… ขอบคุณ … ท่านเองก็รีบเดินทางออกไปจากที่แห่งนี้เถิด พวกเราต่อสู้ทำลายสถานที่จนเกาะลอยฟ้าแห่งนี้เสียหายไปมากมายแล้ว … ข้าขอลาก่อน”

เสียงของนนทลักดังออกมาเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นดวงแสงสีแดงซึ่งดูเหมือนวิญญาณของนนทลักก็เริ่มเลือนหายราวกับละลายไปกับอากาศ ทุกอย่างกลับกลายเป็นเงียบงัน หลงเหลือไว้แต่เพียงซากร่างเลือดเนื้อของมหาราชายักษาผู้เกรียงไกร และชายหนุ่มที่ยืนนิ่งเงียบเหม่อลอยครุ่นคิด

ข้อมูลมากมายวิ่งพล่านอยู่ในหัวสมอง คำถามมากมายที่ไม่ทราบคำตอบผุดโผล่ขึ้นมาในสมอง เอกทราบว่าตนเองคงยังไม่สามารถหาคำตอบได้ในเวลานี้ เขาจึงพยายามยับยั้งความสงสัยและหันมาสนใจสถานการณ์ปัจจุบันเสียก่อน

เขากวาดสายตามองสนามรบที่พังพินาศเป็นหลุมบ่อดวงจันทร์ เขาเคยพยายามคิดจินตนาการว่าการฝึกฝนที่รักยมพูดถึงนั้นจะออกมาในรูปแบบไหน และเขาย่อมไม่เคยคาดคิดเลยสักนิดว่าการฝึกฝนจะออกมาในรูปแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงเริ่มสะกิดใจกับคำพูดของคุณยายที่ให้รักยมแก่เขา คำพูดที่ว่านั้นก็คือการฟื้นฟูความทรงจำ

“เอ๊ะ”

ความคิดของเขาโดนขัดจังหวะด้วยความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้น เสียงเหมือนโลหะเสียดสีกันดังออกมาจากดาบในมือขวาและซ้าย และเมื่อเขาลองขยับเข้ามาดูใกล้ ๆ เขาก็เริ่มมองเห็นว่าคราบเลือดสีแดงที่เปรอะเลอะอยู่นั้นเริ่มขยายตัวเป็นวงกว้างราวกับไฟป่า เขาถึงกับเบิกตากว้างเมื่อมองเห็นว่าใบดาบสีเงินแวววาวโดนแทนที่ด้วยรอยสนิมจนดาบสีเงินกลายเป็นดาบขึ้นสนิมไร้ราคาเล่มหนึ่ง

ความตื่นตกใจทำให้เขารีบเอื้อมมือลงไปหมายจะขัดเอาคราบสนิมพวกนี้ออกไป หากทว่าคราบสนิมนั้นดูเหมือนจะไม่สามารถสัมผัสได้ทางกายภาพ มือของเขาไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้ พวกมันยังคงแผ่ขายกลืนกินใบดาบจนกระทั่งมองไม่เห็นโลหะสีเงินอีกต่อไป

เอกส่งเสียงสบถออกมา เขาจำได้ว่านนทลักพูดเรื่องคำสาปผนึกศาสตรา อาคม อะไรสักอย่าง และเป็นไปได้ว่าดาบทั้งสองเล่มของเขาจะโดนผนึกด้วยคำสาปที่ว่าจนกลายเป็นดาบขึ้นสนิมน่าเกลียดแบบนี้

หลังจากสบถด่าเขาก็ฉุกใจคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา นนทลักพูดว่าผนึกศาสตรา อาคม และความทรงจำ คำถามของเขาในเวลานี้ก็คือ ตอนนี้เขาเป็นใคร และเจ้าชายเอกาวายุที่ว่านั้นคือใคร การที่เขามาอยู่ในร่างของเจ้าชายเอกาวายุนี้คือการโดนผนึกความทรงจำหรือไม่ แล้วเจ้าชายเอกาวายุหายไปที่ไหน เขาควรจะทำอย่างไรต่อ และจะออกจากที่แห่งนี้ได้อย่างไร … เท่าที่เขาจำได้นั้นดูเหมือนว่านนทลักจะบอกให้เขารีบออกจากสถานที่แห่งนี้เพราะใกล้พังแล้วด้วย และดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้จะถูกเรียกว่าเกาะลอยฟ้า

เมื่อนึกถึงตอนนี้เสียงเกรียวกราวก็ดังลั่นไปทั่วบริเวณ เอกรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนบนผืนดิน แรงสั่นนั้นยิ่งมายิ่งรุนแรงจนเขายืนไม่อยู่ต้องใช้ดาบทั้งสองเล่มช่วยยันร่างกายเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไปกลิ้งกับพื้น แต่ถึงขนาดนั้นแล้วก็ดูเหมือนว่าจะช่วยอะไรไม่ได้ เพราะว่าพื้นที่ยืนอยู่นั้นเริ่มปรากฏรอยแตกขนาดใหญ่กระจายไปทั่วบริเวณ จวบจนกระทั่งเขาเริ่มรู้สึกเหมือนร่างกายเบาวูบ

เอกเบิกตากว้างตื่นตกใจไปกับสถานการณ์ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยเจอปรากฏการณ์แผ่นดินไหวมาก่อน แต่เขาแน่ใจว่านี่ไม่ใช่แผ่นดินไหวธรรมดา เพราะว่าตอนนี้พื้นที่เขายืนอยู่นั้นกำลังแตกกระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และที่สำคัญก็คือมันกำลังร่วงหล่นลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว

ร่างกายของเขาลอยละลิ่วร่วงหล่นโดยไม่มีสิ่งใดให้จับยึด เขามองเห็นผืนแผ่นดินที่แตกกระจายเป็นก้อนหินขนาดใหญ่จำนวนมากมาย แสงจากดวงจันทร์ทำให้เขามองเห็นการร่วงหล่นของก้อนหินขนาดใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนไปไกลสุดลูกหูลูกตาที่ร่วงหล่นลงไปพร้อมกับร่างของเขา ตอนนี้เขาทราบแล้วว่าตนเองกำลังอยู่บนผืนดินที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า และดูเหมือนว่ากำลังแตกหักพังทลายร่วงหล่นลงไปด้านล่าง

ท้องฟ้าและดวงจันทร์ที่เขาเคยรู้สึกว่าอยู่ใกล้เกินไปเริ่มห่างไกลออกไป ร่างกายของเขาปะทะกับสายลมเย็นเยียบจนรู้สึกชาดิก และเขาก็เริ่มมองเห็นว่าด้านล่างไกลออกไปนั้นคือท้องทะเลสีดำมืดที่กว้างใหญ่มองไม่เห็นขอบเขต ชายหนุ่มไม่ทราบว่าสมควรทำอย่างไรได้ เขาจึงทำได้แค่เพียงอ้าปากส่งเสียงร้องตะโกนออกมาขณะร่วงหล่นดำดิ่งลงไปเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว

………………………………………………..

เอกสะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นมาจากภวังค์ครึ่งหลับครึ่งตื่น ก่อนจะพบว่าเขายังคงอยู่ในรถแท็กซี่กลางเก่ากลางใหม่คันเดิม เขานั่งอยู่บนเบาะหลังรถและข้างหน้านั้นมานพคนขับแท็กซี่วัยกลางคนกำลังจ้องมองเขาอยู่ผ่านกระจกมองหลัง

“ตื่นแล้วเหรอคุณ ผมขับรถมาถึงหาดวอนนภาตามที่คุณบอกไว้แล้ว แต่เห็นคุณนั่งหลับผมเลยไม่ได้ปลุก อีกสองสามชั่วโมงก็เช้าแล้ว”

มานพคนขับรถแท็กซี่รีบพูดออกมาด้วยน้ำเสียงคล้ายเคารพคล้ายหวั่นเกรง แม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังไม่แน่ใจว่าทำไมตนเองจึงต้องเคารพและทำตามคำสั่งของเด็กชายอายุสิบห้าสิบหกโดยไม่กล้าโต้แย้งสักคำ

“อืม … ขอบใจนะ นนทลัก … หือ … นนทลัก?”

เอกในร่างเด็กชายมองซ้ายมองขวารอบหนึ่ง และเมื่อเห็นว่าเขาอยู่บนถนนริมหาดซึ่งเป็นเป้าหมาย เขาจึงกล่าวขอบคุณโดยไม่ทันได้คิดอะไรมาก หากทว่าคำพูดที่หลุดออกมานั้นทำให้ชายหนุ่มหยุดชะงักไปวูบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองดูชายคนขับรถแท็กซี่ด้วยแววตาพินิจพิจารณากว่าก่อนหน้า

“เอ่อ … คุณเรียกผมว่าอะไร ผมชื่อมานพ เรียกผมนพเฉย ๆ ก็ได้”

มานพชะงักไปวูบหนึ่งเช่นกันเมื่อโดนเรียกด้วยชื่ออันแปลกพิลึก หากทว่าชื่ออันแปลกพิลึกนั้นกลับให้ความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาบอกไม่ถูก วูบหนึ่งนั้นมานพรู้สึกราวกับว่าเคยมีใครเรียกขานตนเองด้วยชื่อนั้นเมื่อนานมาแล้ว

“… ลุงเกิดวันเดือนปีเกิดอะไร เกิดเวลาไหน”

เอกมองดูมานพอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะพูดถามไปคนละเรื่อง มานพจึงแสดงท่าทีงุนงง แต่สุดท้ายก็ยังเอ่ยปากบอกวันเดือนปีเกิด รวมถึงเวลาตกฟากของตนเองออกไปอย่างละเอียด หลังจากนั้นเด็กชายก็นั่งหลับตานิ่งเงียบคล้ายกำลังคิดคำนวณอะไรบางอย่างอีกเกือบสิบนาที กว่าจะยอมเปิดปากพูดอีกครั้ง

“ชะตาราศีแห่งจอมกุมภัณฑ์ภายใต้ดาวดับ … ราชาผู้อยู่ตรงกลางระหว่างบาปและบุญ ไม่ขึ้นกับความดีไม่ตกในความชั่ว ร่างกายสูงใหญ่แข็งแรงไม่ค่อยเจ็บไม่ค่อยป่วย แต่ชะตาอาภัพจักไร้ซึ่งคนเคียงข้าง ต้องแบกรับความผิดบาปมาตั้งแต่ปางก่อน … ตั้งแต่ปางก่อน … ปางก่อน”

เอกพูดพึมพำอย่างเชื่องช้าชัดถ้อยชัดคำ ก่อนจะทอดถอนใจและมองดูมานพด้วยแววตาเวทนา ความหมายอันลึกล้ำที่แฝงมากับแววตานั้นทำให้ลุงมานพเบิกตากว้างทำตัวไม่ถูก เขารู้สึกคล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ คล้ายนึกอะไรบางอย่างออกมาได้ลางเลือนหากทว่าไม่เข้าใจทั้งหมด เรื่องราวน่าแปลกก็คือลุงมานพบังเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมา เหมือนกับว่าตนเองเคยกระทำเรื่องเลวร้ายอะไรลงไปสักอย่าง หากทว่าจดจำไม่ได้

“คุณพูดเรื่องอะไร … คุณเป็นหมอดูใช่หรือเปล่า ก่อนโน้นคุณก็พูดเหมือนหมอดู ตอนนี้คุณก็พูดเหมือนเดิม … ผมเคยทำอะไรลงไป”

ความไม่สบายใจทำให้ลุงมานพหันไปเอ่ยปากถามด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง หากทว่าเด็กชายกลับไม่ตอบคำ เขาเพียงนั่งหลับตาและทอดถอนหายใจออกมาอีกหลายครั้ง ท่าทางนั้นบ่งบอกอย่างอ้อมค้อมว่าไม่ต้องการตอบคำถาม

ความสงสัยทำให้ลุงมานพอยากถามคาดคั้นให้ได้คำตอบ หากทว่าสุดท้ายก็ไม่กล้าเอ่ยปากถาม ภายในรถจึงตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ก่อนที่เสียงโทรศัพท์ของเด็กชายจะดังขึ้นทำลายความเงียบงันนั้น

“ครับ ถึงหาดแล้ว เดี๋ยวจะให้รถแท็กซี่ไปจอดแถวหน้าโรงแรม เดินลงมาซิ … แต่อย่าลืมใส่แว่นกับหมวกปิดไว้ด้วยล่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวนักข่าวเห็นเข้า พรุ่งนี้จะกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งไม่รู้ตัว”

เอกหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมามองดูหน้าจอ ก่อนจะกดรับและพูดสนทนาด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างจากก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด ก่อนหน้านั้นน้ำเสียงของเขาให้ความรู้สึกลึกลับน่ายำเกรง หากทว่าน้ำเสียงของเขาในเวลานี้ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากน้ำเสียงของเด็กผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่งเลยสักนิด

บทสนทนานั้นค่อนข้างสั้นกระชับไม่มีอะไรพิเศษให้ลุงมานพจับใจความมากนัก มันคือบทสนทนาเหมือนกับนัดแนะพบเจอกับใครสักคนซึ่งก็คงไม่แปลกอะไร แต่ที่ทำให้ลุงมานพรู้สึกสนใจจนหูผึ่งก็คือคำว่าให้ใส่แว่นใส่หมวกปิดบังตัวไม่เช่นนั้นอาจจะกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่ง เพราะว่านั่นแปลว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นคนมีชื่อเสียงจนเป็นข่าวได้

ภายหลังจากการสนทนาทางโทรศัพท์ เอกก็กดปิดโทรศัพท์มือถือ และบอกให้ลุงมานพขับรถไปจอดที่ด้านหน้าโรงแรมชื่อดังริมหาดแห่งหนึ่ง รถจอดรออยู่เพียงไม่ถึงสิบนาทีลุงมานพก็เริ่มหาวด้วยความง่วง แต่ไม่นานนักสายตาที่เริ่มหรี่ปรือใกล้หลับใหลก็เบิกกว้างมองดูเงาร่างของหญิงสาวคนหนึ่งด้วยอารมณ์ตื่นเต้นสนใจ

หญิงสาวคนนั้นสวมแว่นดำและมีหมวกปีกกว้างสีขาวจึงมองเห็นความสวยงามของใบหน้าได้ไม่ชัดเจน หากทว่าแค่ร่างกายโค้งเว้าส่วนล่างก็มากพอแล้วที่จะทำให้ลุงมานพรู้สึกตื่นตัวและกลืนน้ำลายลงคอด้วยความกระหาย ร่างสูงโปร่งขาวโพลนเหมือนนางแบบนั้นสวมเสื้อกล้ามสีขาวคอเว้าลึกเอวลอยอวดทรวดทรงหนั่นเนื้ออวบอิ่มจนลุงมานพเป้ากางเกงบวมเป่ง

ทรวงอกคู่นั้นเรียกได้ว่าใหญ่โตโอฬารดึงดูดสายตาลุงมานพจนน้ำลายสอ ชายเสื้อที่ค่อนข้างสั้นนั้นลอยขึ้นจนเห็นหน้าท้องและสะดือขาวโพลน ต่ำจากบั้นเอวคอดเหมือนนาฬิกาทรายนั้นเป็นกางเกงผ้ารัดรูปสีดำสั้นแค่คืบกว่า ความขาวเนียนของท่อนขาเพรียวยาวจึงสะท้อนแสงไฟเปล่งประกายความงามระยิบระยับไร้ที่ติออกมา

“อื้อ หือ สวยเปรี้ยวเข็ดฟันอะไรจะขนาดนั้นนังหนูคนนี้ นมใหญ่อย่างกับลูกส้มโอ”

ลุงมานพส่งเสียงโพล่งออกมาด้วยอารมณ์สุดระงับ ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่แค่ลุงมานพที่กำลังจ้องมองสาวสวยคนนั้นด้วยสายตากลัดมันราวกับจะจับมากลืนกิน แม้แต่หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่นักเที่ยวกลางคืนต่างก็แอบมองสาวสวยคนนี้กันตาเป็นมันวาว ถึงแม้จะไม่เห็นใบหน้า แต่ทุกคนต่างก็แอบคิดตรงกันว่า หากคืนนี้ได้นอนกอดเสพสุขกับหญิงสาวหุ่นร้อนแรงเหมือนเปลวไฟคนนี้คงจะเหมือนได้ขึ้นสวรรค์

“เทียบกับเนย ลุงว่าใครสวยน่ากินกว่ากัน”

ขณะที่ลุงมานพกำลังถลึงตามองจนน้ำลายสออยู่นั้นเสียงของเด็กชายก็ดังมาจากข้างหลัง ลุงมานพจึงค่อยได้สติหันกลับมามองเด็กชายผ่านทางกระจกมองหลัง ก่อนจะส่งเสียงตอบด้วยท่าทางสงสัยเมื่อเห็นรอยยิ้มแปลก ๆ ของเด็กชาย

“เอ่อ … ผมว่า … นังหนูนักศึกษาชื่อเนยคนก่อนก็สวยแจ่มนะ สวย ขาว นมใหญ่ แต่ยังเด็กอยู่โตไม่เต็มที่ ถ้าเทียบกับหนูคนนี้อาจจะยังสู้ไม่ได้ แต่อีกสักสามสี่ปีอาจจะพอฟัดพอเหวี่ยง เสียดายที่ไม่ได้เห็นหน้า”

ลุงมานพนั่งนึกถึงนักศึกษาสาวชื่อเนยที่เขาเพิ่งได้มีโอกาสแบกขึ้นไปบนหอพักเมื่อราวหนึ่งชั่วโมงก่อน เนยนั้นสวยโดดเด่นอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่เนยยังเป็นวัยรุ่นที่ยังไม่เติบใหญ่เต็มที่ เปรียบไปก็เหมือนดอกไม้ที่เพิ่งเริ่มผลิบานส่งกลิ่นหอม แต่สาวสวยใส่หมวกและแว่นดำที่กำลังเดินอยู่บนถนนคนนี้นั้นเปรียบได้ดั่งดอกไม้ที่เบ่งบานความงามสะพรั่งออกมาอย่างเต็มที่แล้ว

“งั้นเราก็คิดตรงกัน … หือ … ลุงรอตรงนี้อีกเดี๋ยวนะ ผมไปจัดการพวกแมลงหวี่แมลงวันน่ารำคาญก่อน”

เอกในร่างเด็กชายตอบด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะขมวดคิ้วส่งเสียงด้วยความขัดใจและเปิดประตูเดินออกไปด้านนอกรถแท็กซี่ ลุงมานพจึงหันมองไปด้านหน้ารถด้วยความสงสัย ก่อนจะพบว่าสาวหุ่นดีใส่แว่นดำนั้นกำลังโดนชายหนุ่มนักท่องเที่ยวกลางคืนสามคนเข้าไปสนทนาเกี้ยวพาราสี หรืออาจจะเป็นการเสนอราคาค่าตัวก็ได้ เพราะลุงมานพไม่แน่ใจนักว่าสาวสวยหุ่นยั่วน้ำลายคนนั้นประกอบอาชีพหญิงสาวกลางคืนหรือไม่

เหตุการณ์นี้สมควรเป็นเรื่องปกติของนักเที่ยวกลางคืน แต่สิ่งที่ไม่ปกติสำหรับลุงมานพก็คือภาพเด็กชายวัยสิบห้าสิบหกเดินเข้าไปโบกมือไล่ผู้ใหญ่สามคน แล้วจูงมือสาวหุ่นร้อนแรงคนนั้นออกมา อีกทั้งเด็กชายยังเดินนำพาเธอคนนั้นขึ้นมาบนรถที่ลุงมานพกำลังขับอยู่โดยที่เธอไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านเลยสักนิด

ประตูรถโดนปิดลงพร้อมกับกลิ่นหอมกรุ่นยั่วอารมณ์ที่มาพร้อมกับหญิงสาวใส่แว่นดำ ลุงมานพได้แต่ถลึงตามองดูร่างขาวโพลนซึ่งนั่งอยู่บนเบาะด้านหลังด้วยความรู้สึกงุนงงไม่เข้าใจ ที่แท้เด็กชายนัดพบกับสาวสวยหุ่นทรมานใจคนนี้ตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่

“ไม่จริงน่า … ไม่ได้ล้อเล่นกันใช่ไหมเนี่ย … พี่เอกจริงเหรอ”

สาวสวยคนนั้นขึ้นรถแท็กซี่มาแล้วก็ถอดแว่นดำออกแล้วเพ่งมองดูเด็กชายด้วยสายตาราวกับไม่อยากเชื่อ เธอขยับใบหน้าไปมาเพื่อมองดูเด็กชายให้ชัดเจนในทุกแง่มุมพร้อมกับส่งเสียงบ่นพึมพำอะไรบางอย่างออกมา และตอนนี้ลุงมานพก็เริ่มรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาสาวสวยคนนี้บ้างแล้ว เพียงแต่ยังนึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน

“ส่งข้อความอธิบายให้ฟังแล้วนี่นา บอกแล้วไงว่าไม่ต้องตกใจ แล้วตอนนี้ก็ไม่ควรเรียกพี่เอกนะ ควรเรียกว่าน้องหนึ่งมากกว่า”

“ก็มันไม่น่าเชื่อนี่นา ตอนแรกก็ยังนึกว่าแอบอำกันเล่นเสียอีก แต่ว่า … เรื่องจริงเหรอเนี่ย … ไม่น่าเชื่อ … ไม่น่าเป็นไปได้”

“ก่อนนี้ก็ได้เห็นเรื่องเหลือเชื่อมาเยอะแล้วนี่นา ตอนนี้ยังมีเรื่องอะไรไม่น่าเชื่ออีกเหรอ”

เอกตอบพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ ส่วนสาวสวยที่ยังใส่หมวกปีกกว้างนั้นยังคงพยายามเพ่งสายตามองสำรวจไม่หยุด เธอคนนี้คือหญิงสาวธาตุดินที่เขาเล็งไว้เป็นคนที่สองถัดจากเนย เพียงแต่การเข้าหาสาวสวยคนนี้อาจจะแตกต่างจากเนยสักหน่อย เพราะว่าประสบการณ์ของสองสาวนี้แตกต่างกัน อย่างน้อยเอกก็มั่นใจว่าเธอคนนี้จะเชื่อในสิ่งที่เขาบอกอย่างตรงไปตรงมาได้

“… ไม่ได้หลอกกระแตแน่นะ เธอคงไม่ได้เป็นน้องชายพี่เอกแล้วรวมหัวกันแกล้งหลอกกระแตเล่นใช่หรือเปล่า ถ้าใช่ล่ะก็โดนโกรธแน่ … หน้าเหมือนกันจริง ๆ … เรื่องแบบนี้ก็ทำได้เหรอเนี่ย”

สาวสวยยังคงแสดงสีหน้าไม่เชื่อถือ แต่คราวนี้เธอถอดหมวกปีกกว้างออกแล้ววางไว้ข้างลำตัว ก่อนจะขยับไปใช้มือหยิกใส่แก้มของเด็กชายเหมือนจะทดสอบว่าเป็นใบหน้าจริงหรือไม่

“โอ๊ย ๆ เบา หน่อยกระแต หยิกแรงเชียว เดี๋ยวหมดหล่อกันพอดี ถ้ายังไม่เชื่อก็เอียงหูมาเลย เดี๋ยวจะพูดความลับให้ฟังให้หมด”

เอกในร่างเด็กชายส่งเสียงบ่นอุบพร้อมกับปัดมือนุ่มของสาวสวย จากนั้นจึงขยับตัวโน้มไปส่งเสียงกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างใบหูของเธอ และเพียงครู่เดียวใบหน้าขาวเนียนก็แดงซ่านด้วยความเขินอายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกันนั้นลุงมานพซึ่งนั่งนิ่งเงียบอยู่ด้านหน้าก็เบิกตากว้างมองดูสาวสวยนมโตคนนั้นด้วยความไม่อยากเชื่อ หลังจากที่ถอดแว่นตาดำและหมวกปีกกว้างที่ปิดบังใบหน้าออก ลุงมานพก็นึกออกแล้วว่าเธอคนนี้คือใคร ยิ่งได้ยินเธอเรียกชื่อตัวเองลุงมานพก็ยิ่งแน่ใจ สาวสวยหุ่นแม่พันธุ์อายุยี่สิบต้น ๆ คนนี้จะเป็นใครไม่ได้ หากไม่ใช่กระแตดารานางแบบชื่อดังแห่งยุค

ความคิดของลุงมานพหมุนติ้วสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก ถึงแม้จะไม่อยากเชื่อ แต่สิ่งที่ตาเห็นนั้นทำให้ปฏิเสธไม่ได้ ยิ่งรวมไปถึงคำพูดของเด็กชายที่บอกให้สาวสวยใส่แว่นสวมหมวกปิดบังใบหน้าเพื่อไม่ให้เป็นข่าว ลุงมานพก็ยิ่งปักใจเชื่อว่าสาวสวยคนนี้จะต้องเป็นกระแตตัวจริง เพียงแต่เหตุใดเด็กชายอายุสิบห้าสิบหกคนนี้จึงสามารถนัดหมายพบเจอกับดารานางแบบชื่อดังในยามวิกาลแบบนี้ได้นั้นยังเป็นคำถามใหญ่

“บ้า พอแล้ว ห้ามพูดอีกนะ ยอมเชื่อแล้วก็ได้ … แต่ … มันเหลือเชื่อเกินไปนี่นา อยู่ ๆ จะให้เชื่อทันทีได้ยังไงกันล่ะพี่เอก … เอ่อ หนึ่ง … น้องหนึ่ง”

ไม่ทราบว่าเด็กชายกระซิบบอกอะไรนางแบบสาวสวย เพียงครู่เดียวเธอจึงผลักร่างของเขาให้ออกห่างพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงขัดเขินหน้าแดง ลุงมานพซึ่งไม่ทราบเรื่องราวจึงได้แต่นั่งอึ้งงุนงงว่าสองคนนี้กำลังพูดเรื่องอะไรกัน แล้วใครคือคนที่กระแตเรียกว่าพี่เอก และพวกเขาวางแผนจะทำอะไรกัน

“สรุปว่าเชื่อแล้วใช่หรือเปล่าล่ะ ถ้างั้นก็รีบไปกันเถอะ เวลาไม่คอยท่า ยิ่งช้าไปก็ยิ่งอันตราย”

เอกยิ้มคล้ายโล่งใจ เขาเอื้อมมือไปจับกุมมือของกระแต ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อจนนางแบบสาวหันมามองค้อน หากทว่าเธอไม่ได้ปัดมือเขาออก

“เอาจริงเหรอ แต่ว่าตอนนี้พี่เอก เอ่อ น้องหนึ่ง เป็นแค่เด็กผู้ชายเองนะ … จะดีเหรอ กับเด็กผู้ชายอายุสิบห้าสิบหกเนี่ยนะ”

“ดีซิ ช่วยกันหน่อยนะ ถ้ากระแตไม่ช่วยผมก็ไม่รู้จะไปขอให้ใครช่วยแล้วเนี่ย ขอร้องนะครับ”

เด็กชายเห็นท่าทีลังเลของสาวสวยก็ใช้สองมือจับกุมมือนุ่มของเธอขึ้นมาแล้วใช้สายตาออดอ้อน กระแตหันไปมองเขาก่อนจะยิ้มน้อย ๆ คล้ายพึงพอใจในคำอ้อนวอนของเขา เธอไม่พูดบ่ายเบี่ยงอะไรอีกนอกจากพยักหน้าทำท่าเหมือนตกลงในสิ่งที่เด็กชายขอร้อง

“ก็ได้ค่ะ ยังไงกระแตก็โดนช่วยตั้งหลายครั้งแล้ว ตอบแทนแค่นี้เอง … จะพาไปขึ้นสวรรค์หรือลงนรกที่ไหนก็ไปกันได้เลย แต่ระวังอย่าให้คนอื่นรู้นะ ไม่งั้นกระแตจะจับแต่งงานด้วยเสียเลย”

นางแบบสาวสวยพูดพลางหันไปมองดูลุงมานพด้วยแววตาไม่ค่อยไว้วางใจ สิ่งที่ดารานางแบบอย่างเธอเธอกลัวที่สุดก็คือการตกเป็นข่าวคาวบนหน้าหนังสือพิมพ์ และเธอไม่ไว้วางใจคนขับแท็กซี่วัยกลางคนนี้เลยสักนิด

“ไม่ต้องห่วงหรอก ลุงมานพเขาไว้ใจได้ ผมรับรองเลย … เอาล่ะครับลุงมานพออกรถเลย”

เอกยิ้มรับและให้คำรับรองก่อนจะหันไปสั่งการลุงมานพให้เริ่มออกเดินทาง ลุงมานพเมื่อได้ยินคำสั่งก็รีบเอื้อมมือไปจับเกียร์เตรียมออกรถ แต่ว่าเขายังไม่รู้ว่าเด็กชายอยากไปที่ไหนจึงทำท่าจะหันมาถาม แต่ว่านางแบบสาวสวยชิงเอ่ยปากถามออกมาเสียก่อนแล้ว

“แล้วจะไปโรงแรมที่ไหนคะ จะใช้ห้องของกระแตตอนนี้ก็เสี่ยงไปหน่อย กลัวมีกล้องวงจรปิดเห็นพาคนเข้าห้องอีก แต่ถ้าจะไปเปิดห้องตอนใกล้เช้าแบบนี้จะมีห้องว่างหรือเปล่าก็ไม่รู้ ช่วงนี้เทศกาลคนเที่ยวเยอะพอสมควรเสียด้วยซิ”

กระแตถามและทำหน้าครุ่นคิด เธอกำลังคิดหาสถานที่ซึ่งเหมาะสมเพื่อที่จะได้ทำตามคำขอร้องของเด็กชาย และสิ่งที่เธอเป็นห่วงก็คือเวลาใกล้รุ่งเช่นนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนักที่จะมองหาสถานที่พัก โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลท่องเที่ยวทีมีผู้คนมากพอสมควร

เมื่อได้ยินคำว่าเปิดห้องโรงแรม หูของลุงมานพก็ผึ่งกว้างออกเหมือนไม่อยากเชื่อหู ต่อให้ก่อนหน้านี้เขาจะแอบคาดเดาบ้างแล้ว แต่พอได้ยินกับหูตัวเองอีกครั้ง ลุงมานพก็ยิ่งต้องตื่นตกใจ นางแบบสาวสวยดาวรุ่งจะไปเข้าโรงแรมกับเด็กชายคนนี้ อีกทั้งก่อนหน้านี้เด็กชายก็เพิ่งจะจัดหนักกับนักศึกษาสาวสวยไปแล้วหนึ่งคน หากเวลานี้ลุงมานพไม่รู้สึกอิจฉาจนตาแทบลุกเป็นไฟก็คงจะแปลกแล้ว

“แล้วใครบอกกระแตว่าจะไปโรงแรมล่ะ”

“อ้าว ก็ถ้าจะไปทำอย่างว่ากัน ก็ต้องไปโรงแรม … เอ่อ …”

กระแตโพล่งเสียงด้วยความสงสัยก่อนจะหันไปมองดูลุงมานพเพราะเผลอพูดเรื่องน่าอายออกมา ส่วนนายเอกที่ทำหน้าเจ้าเล่ห์นั้นไม่พูดอะไรมาก เขาขยับเข้าไปใกล้แล้วสอดมือโอบเอวอ้อนแอ้นแค่หยิบมือ ก่อนจะหันไปส่งเสียงสั่งการต่อลุงมานพ

“ไม่ต้องพูดแล้ว อธิบายให้ฟังแล้วไง ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าทำที่ไหนก็ได้ แต่ควรจะไปทำในที่มีไอธาตุดินเยอะกว่าปกติ ออกรถเลยครับ วนไปก่อน เดี๋ยวเจอที่เหมาะ ๆ แล้วผมจะบอกเอง”

คำสั่งของเอกในร่างเด็กชายทำให้กระแตขมวดคิ้วด้วยความกังวลเล็กน้อย เธอรู้จักและเข้าใจพี่เอกพอสมควร โดยเฉพาะนิสัยขี้เล่นหาเรื่องตื่นเต้นของเขา ดังนั้นเมื่อเขาบอกว่าจะไม่ไปโรงแรม เธอจึงพอจะนึกออกได้ทันทีว่าเขาคงจะต้องทำเรื่องอุตริบางอย่าง กระนั้นครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาและเธอทำเรื่องน่าอายเช่นนี้ ในความกังวลนั้นนางแบบสาวจึงแอบรู้สึกตื่นเต้นลึก ๆ อยู่ในใจไปด้วยพร้อมกัน

หากจะถามว่าใครรู้สึกตื่นเต้นที่สุดก็คงไม่พ้นลุงมานพคนขับแท็กซี่ ถึงจะไม่เข้าใจว่าเด็กชายเป็นใครมาจากไหน และคิดทำอะไร แต่ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมงเขาก็เพิ่งขับรถพาเด็กชายกับนักศึกษาสาวไปมั่วรักกันในตัวเมือง และเวลานี้เขาก็แน่ใจอย่างยิ่งว่าตนเองกำลังจะได้เห็นฉากเด็ดลีลาร้อนของสาวสวยระดับดารานางแบบดาวรุ่ง เช่นนี้แล้วจะไม่ให้เขาตื่นเต้นได้อย่างไร

…………………………………………….

Share the Post:

Related Posts

เริงสวาทครูฝึกสอน

เรื่องเสียว เริงสวาทครูฝึกสอน ผมมักโดนเข้าใจผิด ว่าเป็นพ่อของน้อง “ข้าวปั้น” เสมอๆ เพราะว่าผมมาส่งน้องทุกเช้า มารับน้องทุกเย็น และไม่ว่ามีกิจกรรมอะไร ผู้ปกครองของแกก็ต้องเป็นผมอยู่เสมอ ทั้งๆ ที่ผมเพิ่งอายุ 19 เท่านั้นเอง เวลาโดนมองก็มักจะโดนส่งรอยยิ้มให้ก่อนเสมอ พร้อมกับพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “มีลูกแต่น้อยเลย…ดีเนาะ ทันใช้” ท้ายที่สุดก็เดินไป โดยที่ผมยังไม่ได้ทันอธิบายเลย

Read More

แอบดูเมียเย็ดกับลุงข้างบ้าน สงสัยคงคิดว่าผมโง่มั้ง

เรื่องเสียว แอบดูเมียเย็ดกับลุงข้างบ้าน สงสัยคงคิดว่าผมโง่มั้ง ใครเคยโดนเมียสวมเขาบ้างครับ ผมเป็นคนหนึ่งที่โดนเมียสวมเขาบอกตรงๆ ว่าเจ็บมาก ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะโดนแบบนี้ เคยเห็นแต่ในข่าวไม่คิดว่าเมียสุดที่รักของตัวเองจะทำแบบนี้ได้ลงคอครับ เรื่องนี้ขอย้อนไปเมื่อปีที่แล้วก่อนที่ผมจะเลิกกับเมีย ขอเล่าก่อนนะครับว่าผมกับเมียเป็นคนกรุงเทพฯ เราคบกันมาตั้งแต่เรียนอยู่มหาวิทยาลัย จนเรียนจบจึงตัดสินใจมาอยู่ด้วยกัน เมียผมเป็นคนค่อนข้างหน้าตาดีครับ นมใหญ่ เรียกได้ว่าหน้าล่อเลยล่ะครับ แต่เธอมีนิสัยแปลกๆ คือขี้เงี่ยนมากครับ ทุกวันที่อยู่ด้วยกันเธอจะมายั่วให้ผมเย็ดไม่ต่ำกว่า 2 รอบ

Read More