รักยม ตอนที่ 54 กุญแจ
“คุณหญิงแก้วกานดา วรผกาวรรณ … อีเปงใครวะ ทำไมต้องสืบหาเชื้อสายของอีด้วยวะไอ้แสง” ชายวัยกลางคนผิวขาวอ้วนลงพุงเชื้อสายจีนผู้มีตำแหน่งเป็นถึงรัฐมนตรีกระทรวงใหญ่เงยหน้าจากรายงานกองใหญ่ขึ้นมา มองสบตากับสายตาเจ้าเล่ห์ยากจะอ่านออกของคู่สนทนา “คุณหญิงแก้วกานดา ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลวรผกาวรรณ ตระกูลที่เป็นผู้ปิดตายประตูสู่เหล็กไหลที่แท้จริงเมื่อหลาย ร้อยปีก่อน … ทายาทตระกูลนี้เป็นผู้เก็บรักษากุญแจหนึ่งในสองดอกที่จะเข้าสู่ถ้ำเหล็กไหล … ถ้าไม่มีกุญแจทั้งสองดอก พวกเราก็จะเข้าไปเอาเหล็กไหลไม่ได้ครับท่าน” ไอ้แสง ชายวัยกลางคนในชุดสูทหรูหราเอ่ยพูด
ด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อ้าว ต้องมีกุญแจด้วยเรอะ อั๊วะนึกว่าอีหมอเสือมังกำลังไปหาเหล็กไหลอยู่ไม่ใช่รึงาย” “หมอเสือกำลังตามหาเหล็กไหลถูกแล้วครับท่าน เพียงแต่ว่ามันเป็นเหล็กไหลธรรมดาที่ทำหน้าที่เป็นกุญแจ คุณสมบัติของมัน คนละเรื่องกับเหล็กไหลที่แท้จริง … ตอนนี้เราต้องหากุญแจให้ได้ทั้งสองดอก จากนั้นค่อยหาว่าถ้ำเหล็กไหลอยู่ที่ไหน” “อืม อืม มีเหก มีผง … ว่าแต่อีน่าจะตายไปตั้งนานแล้ว อั๊วจะไปหาเจอได้ไง แล้วจะรู้ได้ไงว่ากุญแจมังอยู่ที่ไหน” “ที่ผมมารบกวนท่าน ก็เพราะว่าเรื่องนี้ต้องใช้ข้อมูลมหาศาล ผมพยายามค้นหามาได้แค่นี้ มาทางตันตรงที่คุณหญิงแก้วกานดา เพราะเหมือนว่า คุณหญิงคนนี้จะไม่ได้แต่งงานมีลูกมีเต้า แต่อยู่ ๆ ก็หายไปจากบันทึกเสียเฉย ๆ ตอนนี้ก็เลยต้องให้ท่านสั่งการ ให้พวกผู้เชี่ยวชาญช่วยกันรื้อค้นหาข้อมูล เผื่อว่าเราจะได้เบาะแสว่าคุณหญิงเคยพักอยู่ที่ไหน และกุญแจก็น่าจะถูกเก็บซ่อนอยู่ ที่นั่น” “อืม อืม ล่าย ๆ ไม่ยาก เดี๋ยวอั๊วะจะสั่งไอ้พวกลิ่วล้อไปหาให้เอง แล้วจะอั๊วะจะบอกลื้ออีกที ถ้าได้ข้อมูลมาแล้ว … ว่าแต่เรื่อง ที่อั๊วะสั่งไปเป็นยังไง อีนางเอกนมโตคนนั้นน่ะ?” รัฐมนตรีร่างอ้วนพยักหน้าอือออ ก่อนหยิบเอาแก้วไวน์ราคาแพงมาซดพรวดเดียวหมดทั้งแก้วเสียงกิริยาอันน่าเกลียด “ผมยื่นข้อเสนอราคาแพงที่สุดเท่าที่เราเคยเสนอไป ให้กับเธอ แต่เธอปฎิเสธครับนาย …” “อีกะหรี่เอ๊ย ทำเปงเล่งตัว ไม่รู้หรือไงว่าอั๊วะเปงรัฐมนตรีนะโว้ย” รัฐมนตรีร่างอ้วนที่กำลังโกรธจัดเหวี่ยงมือกระแทกแก้วไวน์ลงกับพื้นเสียงดังแก๊งจนแก้วร้าว ศรีษะล้านเลี่ยนสั่นเทิ้มจนเส้นเลือด ปูดโปน “ในเมื่อไม้อ่อนไม่ได้ผล ท่านอยากทำยังไงครับ ให้ผมฉุดมาให้ท่านข่มขืน หรือว่า จะให้เอาน้ำมันพรายของมหาเดโชไปโปะดี” ไอ้แสง พูดน้ำเสียงเย็นเยียบด้วยหน้าตาอันเฉยเมย ที่ดูเหมือนว่ามันเคยทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้มาเป็นประจำ “อืมมม อีนี่ มังเปงดาราดังช่ายเล่ง ฉุกมาจะเปงข่าวใหญ่ แต่แล้วแต่ลื้อล่ะกัง อั๊วไว้ใจลื้อ” “ได้ครับนาย งั้นผมจะรีบลงมือเลย อีกไม่เกินสามวัน ผมจะพา กระแต ดาราสาวที่ท่านชื่นชอบมาให้ท่านจัดการ” สิ้นคำของไอ้แสง เสียงหัวเราะร่วนอันหื่นกระหายของรัฐมนตรีร่างอ้วนก็ดังลั่นจนกระหึ่มไปทั่วทั้งห้อง …………………………………………………………………………………………………………. ชายหนุ่มลืมตาโพลงตื่นขึ้นในห้องอันมืดสลัว เพลิงไฟแดงฉานที่ลามเลียไปทั่วทุกสรรพสิ่ง และภาพอันน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงใน ความฝันทำเอาเขาถึงกับหอบหายใจระรัวเร็ว เหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นมาตามผิวกายจนร่างกำยำล่ำสันเปียกชุ่ม สองมือบีบกำเข้าหา กันแน่นราวพร้อมจะเปิดฉากสู้รบปรบมือกับใครสักคนได้ในทุกวินาที หากแต่เมื่อสายตาของชายหนุ่มมองเห็นเงาร่างของตนเอง สะท้อนไหวอยู่ในกระจกเงาบานใหญ่ที่แขวนติดอยู่บนเพดานห้อง เขาก็ตระหนักได้ว่า … นั่นเป็นเพียงความฝัน ชายหนุ่มค่อย ๆ รู้สึกคลายใจจากอาการตื่นตระหนก ร่างอันแข็งแกร่งสมชายชาตรีเริ่มผ่อนคลายจากความเคร่งเครียดอย่างช้า ๆ จนกระทั่งเสียงลมหายใจอันหนักหน่วงของเขาค่อย ๆ แผ่วลง … แผ่วลง … แผ่วลงจนเสียงลมหายใจค่อย ๆ ผสานเป็นจังหวะกับ เสียงหายใจแผ่วเบาของหญิงสาวสวยอีกสี่นางที่นอนสลบไสลด้วยใบหน้าสุขสมอิ่มเอมอยู่รอบกาย นักศึกษาสาวสุดสวยดาวมหาลัยอย่างน้องหญิงกำลังนอนอิงแอบแนบกอดเขาอยู่ที่ด้านขวามือ ศรีษะกลมสวยของเธออิงซบ อยู่บนลำแขนและหัวไหล่ของเขา ร่างบอบบางแต่อวบอิ่มน่าฟัดเบียดแนบชิดอยู่กับสีข้างจนรู้สึกได้ถึงเสียงเต้นตึกตักของหัวใจ ดวงน้อย ๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ภายในทรวงอกอวบใหญ่ ส่วนทางด้านซ้ายมือของเขานั้นก็เป็นน้องฟ้า นักศึกษาสาวหมวยหมัดหนักที่มีนิสัยเป็นแม่เสือสาวไม่ยอมแพ้ใคร โดยเฉพาะ อย่างยิ่งบรรดาพวกผู้ชายทั้งหลาย หากแต่วันนี้สาวหมวยกลับแปลงร่างเป็นนางแมวเหมียวขี้อ้อนไปเสียอย่างงั้น สาวหมวย นอนตะแคงจับจองกอดแขนซ้ายของเขาเอาไว้อย่างแนบสนิทด้วยท่าทางออดอ้อน แขนท่อนบนของเขาจึงเบียดอยู่ตรงกลาง ระหว่างทรวงอกอวบทั้งสองข้างของเธอ ในขณะที่ฝ่ามือของเขานั้นก็โดนหนีบซุกอยู่ตรงกลางหว่างขาแนบอยู่กับโคกสวาท ของเธอ ทางด้านหัวเตียงมีร่างที่ขาวผ่องกว่าใครนอนขวางอยู่ ฝ้าย พยาบาลสาวหน้าหวานนอนตะแคงในแนวขวาง กอดประคอง ศรีษะของชายหนุ่มให้ซุกแนบอยู่กับหน้าท้องและเนินนมในท่วงท่าคล้ายมารดาปลอบประโลมลูกน้อย สองเต้าขาวเนียน จึงเบียดแนบเป็นหมอนให้ใบหน้าของเขาได้แอบอิง และสำหรับสาวสวยคนสุดท้าย ฝน พริตตี้สุดเซ็กส์ เธอนอนคว่ำหน้าอยู่ตรงกลางหว่างขาของเขา ใบหน้าสวยเฉี่ยวที่เปรอะ เลอะไปด้วยคราบน้ำกามนอนแน่นิ่งอิงแอบอยู่กับต้นขาของเขา ริมฝีปากบางที่เปื้อนยิ้มแนบจุมพิตอยู่กับความเป็นชาย ที่แข็งแกร่งของเขา ดูคล้ายเด็กน้อยที่เผลอหลับไหลทั้งที่ยังมีขนมคาอยู่เต็มปาก ความนุ่มนิ่ม อบอุ่น ของเรือนกายสี่สาวที่เบียดกระแซะอยู่รอบกายทำให้ชายหนุ่มค่อยยิ้มออกมาได้ ชายหนุ่ม ๆ ค่อย ๆ ชื่นชมภาพ อันงามวิจิตรของเรือนกายอวบอิ่มเปลือยเปล่าทั้งสี่ร่างที่สะท้อนอยู่ในกระจกบานใหญ่บนเพดานห้องด้วยความรู้สึกอิ่มเอมอย่างที่ ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เพราะนับตั้งแต่ได้รักยมมาอยู่กับเขาด้วยแล้ว นี่เป็นครั้งแรกเลยทีเดียว ที่เขาได้ปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศที่มี อยู่อย่างล้นเหลือออกมาได้อย่างเต็มเหนี่ยวจนหมดเรี่ยวหมดแรงสลบเหมือดคาเต้า เข็มสั้นของนาฬิกาบนผนังตอนนี้บ่งบอกว่าเพิ่งจะเลยเวลาเที่ยงคืนไปเล็กน้อย ซึ่งหากเขาจำไม่ผิดแล้วล่ะก็เขาได้เข้ามาในโรงแรม ม่านรูดแห่งนี้นานกว่าแปดชั่วโมงแล้ว และดูเหมือนว่าเขาจะเพิ่งหมดแรงสลบเหมือดนอนหลับซบเต้าน้องหญิงไปเมื่อตอนราว ๆ สี่ทุ่ม มันจึงเป็นความภูมิใจในฐานะบุรุษเพศอย่างล้นเหลือ ที่สามารถโรมรันร่วมรักอย่างร้อนแรงกับสาวสวยถึงสี่นางได้นานนับหลายชั่วโมง ซ้ำยังสามารถส่งพวกเธอไปถึงสวรรค์ไปแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ หากแต่เขาก็รู้ดีว่าหากเอาเรื่องนี้ไปพูดให้ใครฟัง ก็คงโดนต้องโดนด่าว่าเขาโม้โอ้อวดเป็นแน่ เพราะหากไร้ซึ่งอำนาจพลังพิเศษแห่ง รักยมแล้วล่ะก็ ชายหนุ่มธรรมดา ๆ คนหนึ่งอย่างเก่งแล้วคงปลดปล่อยออกมาได้อย่างมากก็ 4-5 รอบ หลังจากนั้นก็ไม่แคล้วต้อง เหน็ดเหนื่อยจนคางเหลืองฟ้าเหลืองไปเลยทีเดียว หากแต่สำหรับเขาในตอนนี้ นอกจากจะมีเรี่ยวแรงเหลือเฟือให้กระหน่ำรักใส่สี่ สาวจนสลบเหมือดได้แล้ว พอเขาตื่นขึ้นมาใหม่ในวงล้อมอันนุ่มนิ่มของสี่สาว แม้จะรู้สึกเพลียอยู่บ้าง แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าร่างกาย ของเขานั้นฟื้นตัว และเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชาพร้อมที่จะสู้รบปรบมือกับสาว ๆ ได้เท่าที่ใจต้องการ ด้วยความรู้สึกอยากขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว เอก ค่อย ๆ ขยับร่างออกจากวงล้อมอันนุ่มนิ่มของดอกไม้งามทั้งสี่อย่างช้า ๆ สองมือ ค่อย ๆ โอบประคองศรีษะ แขน ขา และร่างของสาว ๆ ทีละนางอย่างทะนุถนอมและเชื่องช้า เสียงครางอืออืมอย่างขัดใจแว่วดังขึ้น เป็นระยะเมื่อโดนเขาหลีกหนีจากอ้อมกอด ซึ่งหากมิใช่ว่าสี่สาวหมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรงเหนี่ยวรั้ง และต่างพากันหลับไหลลึกล้ำอยู่ในฝัน อันแสนหวานแล้วล่ะก็พวกเธอคงไม่ยอมปล่อยชายหนุ่มสุดรักให้ห่างหายจากกายเป็นแน่ กว่าจะหลุดจากพันธนาการแห่งเนื้อสาวออกมาได้ ความรู้สึกวาบหวิวที่ได้เบียดเสียดสีกับเนื้อนางอันอบอุ่นเนียนนิ่ม ก็ทำเอา ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกอยากจะเปลี่ยนใจหันกลับไปกอดรัดนัวเนียกับบรรดาสาว ๆ อีกสักยกสองยกให้หายมันเขี้ยว ด้วยรู้สึกอยากให้ สี่สาวได้นอนพักเสียบ้าง ชายหนุ่มจึงกลั้นใจหยิบเอาผ้าห่มสีขาวผืนใหญ่มาห่มคลุมร่างของสี่สาวเพื่อปิดภาพแห่งความวาบหวาม เอาไว้เสียก่อนที่เขาจะรู้สึกตื่นตัวจนห้ามใจตัวเองไม่อยู่ จากนั้นจึงหยิบเอาผ้าขนหนูมาพันรอบเอวตัวเองเอาไว้แบบลวก ๆ แล้วเดิน ย่ำพื้นพรมฝ่าความมืดสลัวออกไปที่ระเบียงของห้อง … ก่อนจะเริ่มรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไปของตัวเอง ความรู้สึกแปลกประหลาดประดังเทเข้ามาจนชายหนุ่มรู้สึกงุนงง ภาพเบื้องหน้าของเขาคือป่าไม้ไร้บ้านเรือนในยามดึก ไม่มีแสงไฟ จากหลอดนีออนหรือแสงใด ๆ สาดส่อง ยกเว้นแต่เพียงแสงจันทราจากฟากฟ้า แต่กระนั้นดวงตาของเขากลับสามารถมองเห็น ค้างคาวตัวหนึ่งกำลังบินโฉบอยู่เหนือต้นไม้ได้อย่างชัดเจน อีกทั้งเมื่อเขาเปลี่ยนเป้าหมายมองลึกเข้าไปในบริเวณดงไม้อันมืดทึบ เขากลับมองเห็นได้แม้แต่แมลงตัวเล็ก ๆ ที่กำลังเกาะอยู่ตามเปลือกไม้ที่ผุเน่า ดวงตาดวงเดิมคล้ายจะมองเห็นสีสันแปลกใหม่อันวิจิตรแห่งธรรมชาติที่ไม่เคยได้พบเห็น อีกทั้งเขายังมองเห็นได้ถึงร่างแห่งดวงไฟ โปร่งใสสีเขียวบ้าง แดงบ้าง ขาวบ้าง ลอยวนเวียนไปมาอยู่ในป่า ดวงไฟแต่ละดวงส่องแสงจ้าไม่เท่ากัน บางดวงก็เป็นเพียงแสง บางเบาเหมือนหิ่งห้อยตัวน้อยที่คล้ายจะสูญสลายในเร็ววัน หากแต่บางดวงก็สว่างจ้าเหมือนกลุ่มแสงขนาดใหญ่กว่าตัวคน ดวงแสงสีเขียวที่มองแล้วไม่รู้สึกอะไรเป็นพิเศษดูจะมีจำนวนมากกว่าสีอื่นอย่างเห็นได้ชัด รองลงมาก็จะเป็นดวงแสงสีแดงที่ให้ความ รู้สึกอึดอัดน่าหวาดหวั่นเมื่อได้มองดู และสำหรับดวงแสงสีสุดท้ายนั้นมีน้อยมากจนแทบนับได้ มันเป็นดวงแสงสีขาวระเรื่อ ที่เมื่อมอง ดูแล้วให้บังเกิดความรู้สึกสบายใจ ซึ่งแม้จะไม่เข้าใจว่าสีต่าง ๆ นั้นหมายถึงอะไร แต่เขาก็พอจะรับรู้ด้วยสัญชาตญาณได้ว่าสิ่งที่เขา เห็นนั่นต้องไม่แคล้วเป็นดวงวิญญาณของคนตายอย่างแน่นอน แม้จะคุ้นชินกับรักยม และนางตะเคียน ที่เป็นดวงวิญญาณเหมือนกัน แต่เมื่อได้เห็นด้วยตาตนเองว่ามีดวงวิญญาณลอยล่องไปมา อยู่มากมายถึงเพียงนี้ ก็ให้บังเกิดความรู้สึกหนาวเหน็บเสียดแทงไปทั่วร่างจนขนลุกชัน ความรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงฉุดดึงวูบให้ แข้งขาอ่อนเปลี้ยจนร่างกำยำเซถลาคล้ายจะล้มลง หากแต่ในทันใดสายลมอันอบอุ่นวูบใหญ่ก็พัดผ่านมาจากทางด้านหลังช่วยดัน ประคองให้ร่างกำยำของเขาไม่ให้เสียหลัก แม้นเป็นเวลาเพียงชั่วพริบตา ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเป็นมิตรอันอบอุ่นจากสายลมหอบใหญ่ก่อนที่มันจะหายไป ทิ้งไว้ แต่เพียงสายลมอ่อน ๆ ที่ไหลวนโชยปลอบประโลมอยู่รอบกาย ความรู้สึกสบายใจอย่างแปลกประหลาดท่วมท้นเข้ามาในจิตใจ ราวกับมีสายลมและอากาศรอบข้างที่พร้อมจะช่วยเหลือเขาทุกเมื่อที่ต้องการ ชายหนุ่มหลับตาลง ก่อนกางมือ กางแขน ออกกว้างเพื่อรับสัมผัสอันอบอุ่นแห่งสายลมที่โชยผ่าน ผิวหนังรอบกายคล้ายสัมผัสได้ ถึงบางสิ่งที่เป็นมากกว่าอากาศและสายลม มันเหมือนกับมีสิ่งมีชีวิตเล็กกระจ้อยที่มองไม่เห็นวนเวียนกระโดดโลดเต้นหยอกล้อ สัมผัสไปมาอยู่กับผิวกาย อีกทั้งยังสัมผัสอย่างชัดแจ้งได้ถึงอารมณ์เบิกบานสุนทรีย์ที่แผ่ออกมาจากจิตวิญญาณแห่งสายลมที่ โชยผ่าน เมื่อเขาสะบัดมือไปเบื้องหน้าก็รู้สึกเหมือนว่าได้ผลักดันมวลอากาศที่ได้สัมผัสจนกลายเป็นสายลมวูบใหญ่ที่พัดครืนผ่านเข้าไปในป่า จนต้นไม้ใหญ่น้อยเอนลู่ไหวไปตามแรงลมที่เขาบงการ ด้วยความรู้สึกที่มิต่างใด ๆ กับเด็กน้อยที่ได้พบเจอของเล่นอันถูกใจ ชายหนุ่ม สะบัดมือสะบัดไม้ครั้งแล้วครั้งเล่า ส่งสายลมวูบวาบอ่อนบ้างแรงบ้างเข้าไปในป่าจนต้นไม้ใหญ่สั่นคลอนเอนวูบไหวไปมาเหมือนเจอ เข้ากับพายุฝน และเมื่อเขาหยุดนิ่งและหงายฝ่ามือขึ้นมาดู ก็พบว่ามีลมหมุนคล้ายพายุลูกเล็ก ๆ ลอยวนอยู่บนเหนือฝ่ามือทั้งสองข้าง จิตวิญญาณที่ อัดแน่นอยู่ในลมหมุนเหมือนเด็กน้อยที่กำลังกระโดดโลดเต้นร้องรำด้วยความคึกคะนอง เสียงหวีดหวิวของสายลมที่มิเคยมีผู้ใดฟังเข้าใจ บัดนี้ชายหนุ่มรู้แจ้งได้ว่ามันเป็นเสียงเพลงแห่งธรรมชาติของสายลมที่กำลังเฉลิมฉลอง ความรู้สึกดื่มด่ำเบิกบานเอ่อล้นประดังเข้ามาจน ชายหนุ่มอดไม่ได้ต้องขยับมือขยับไม้คล้ายจะเต้นระบำร่วมกันไปกับจังหวะเสียงเพลงแห่งสายลม … เสียงเพลงที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึก แห่งอิสระเสรี …. …………………………………………………………………………………………………………. “พี่เอก ?? ทำอะไรอยู่คะ ???” เสียงหวานใสที่ดังขึ้น ทำเอาชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งตื่นจากภวังค์แห่งความดื่มด่ำ และพร้อมกันนั้นสายลมหมุนที่กำลังละเล่นหมุนวนอยู่ รอบกายก็มลายสลายหายไป ทีแรกเขาเองก็รู้สึกตกใจไม่น้อย เมื่อสายตาหันไปเจอเข้ากับเรือนร่างงามดุจนางฟ้าของน้องหญิงที่เดิน เข้ามาหา หากแต่เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณสีเขียวที่โอบล้อมร่างของน้องหญิงเอาไว้ก็ให้รู้สึกคลายใจ ก่อนเผยรอยยิ้มอย่างรู้ทัน ให้กับร่างบางของแฟนสาวที่มีเพียงผ้าขนหนูผืนเล็กห่อหุ้มพันรอบตัวเอาไว้ “… พี่สาวตะเคียน … จะแกล้งเล่นอะไรอีกล่ะ ?” “ฮึ … ตัวข้าก็ลืมไปเสียได้ ว่าเจ้ามิใช่หนุ่มน้อยธรรมดา แต่เป็นถึงผู้ที่มีตบะแห่งเวทย์อันยิ่งใหญ่ไม่แพ้หมอผีอันรือนาม” ใบหน้าแสนหวานของน้องหญิงขมวดเล็กน้อยด้วยรู้สึกขัดใจ ก่อนที่แววตาอันสดใสจะเปล่งประกายสีเขียวอ่อนแวบวาบออกมา “พี่ตะเคียนสุดสวย คิดจะเล่นอะไรล่ะ ถึงได้แอบไปสิงร่างของน้องหญิงแบบนี้ ” เอก เอ่ยถามขณะหันหน้ามองไปทางป่าหลังโรงแรมม่านรูด พลางยกมือยกไม้ขึ้นรับสัมผัสอันอบอุ่นแห่งสายลมต่อ “คิก คิก ข้าก็เพียงต้องการรางวัลของข้าบ้างมิได้หรือ ว่าแต่เจ้ามิตระหนกหรือไร ที่เราชิงร่างนางเมียของเจ้ามาเสียแล้ว” นางตะเคียน ในร่างของน้องหญิง หัวเราะพร้อมกับเดินกรีดกรายด้วยมาดของหญิงสาวสูงศักดิ์มายืนเกาะรั้วอยู่ข้าง ๆ เอก “ผมไม่กลัวหรอก พี่สาวไม่ใช่คนแบบนั้น พี่สาวเป็นคนดี เอ้ย ผีที่ดี เพราะถ้าพี่สาวจะทำล่ะก็ คงจะทำไปนานแล้ว” “ฮึ ช่างร้ายเหลือ … ว่าแต่เจ้าตระหนักได้อย่างไร ว่านี่คือตัวข้า มิใช่นางเมียคนสวยของเจ้า” นางตะเคียนยิ้มน้อย ๆ คล้ายจะรู้สึกพอใจที่ชายหนุ่มไว้ใจและมองเห็นความดีของตน “… เพราะท่าทางของน้องหญิงดูไม่เหมือนเดิม … และที่สำคัญ ผมเห็นจิตวิญญาณสีเขียวของพี่สาวโอบล้อมร่างของ น้องหญิงเอาไว้ … คราวนี้มันดูไม่เหมือนร่างโปร่งใสที่ผมเคยเห็นในทีแรก แต่มันชัดกว่า ดูมีตัวตนมากกว่า …” “นั่นเพราะเจ้าบรรลุได้แล้วซึ่งระดับแห่งหมอผีที่ต้องฝึกฝีมือบำเพ็ญเพียรไม่น้อยกว่า 50 ขวบปี เจ้าจึงมองเห็น และสัมผัส ได้ถึงกายละเอียดของจิตวิญญาณ ผิดแผกจากก่อนหน้าที่เจ้ามองเห็นตัวข้า หรือสองเด็กน้อยรักยม เพราะพวกข้าตั้งใจ แสดงตัวให้เจ้าเห็น … แต่เพลานี้แม้นว่าวิญญาณอย่างเราจะคิดหลบซ่อน ก็คงมิอาจผ่านพ้นสายตาแห่งเจ้าได้” “… แล้วทำไมอยู่ ๆ ผมถึงได้มีพลังขนาดนี้ได้ล่ะ ? “ “ยังมิได้แก่ตัว เจ้าก็เป็นโรคขี้หลงขี้ลืมเสียแล้วหรือไร ข้าเคยเอ่ยวาจาบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือ ว่าตัวเจ้านั้นได้บรรลุเข้าสู่ ขอบเขตแห่งวิชาที่พ่อมดหมอผีทั่วหล้าใฝ่หา เจ้าได้บรรลุถึงสิ่งที่เรียกว่า เวทย์เป็นตายฟื้นคืน … เวทย์ที่ว่าด้วยการ ยอมให้ตนเองตายตก เพื่อได้สัมผัสกับพลังแห่งจิตวิญญาณ อีกทั้งมนตราแห่งธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ผู้ผ่านวิชานี้เพียง หนึ่งครั้งจักได้รับพลังดุจบำเพ็ญเพียรสะสมตบะยาวนานถึงครึ่งชีวิต หากแต่นี่เจ้ากลับผ่านมันมาถึงสองครั้งสองครา พลังอาคมแห่งเจ้าจึงมากมายมหาศาลยิ่งกว่าหมอผีใด ๆ อีกทั้งยังมีสายลมนั่นอีกเล่า จักมีผู้ใดในโลกหล้าที่บงการ สายลมเฉกเช่นเจ้าได้“ นางตะเคียนอธิบายไปพลาง หลับตาดื่มด่ำถึงสัมผัสแห่งสายลมที่ปะทะเข้ากับร่างที่มีเลือดเนื้อด้วยความรู้สึกเป็น สุขไปพลาง เธอแทบลืมมันไปเสียแล้ว ว่าความรู้สึกที่ได้สัมผัสสายลมด้วยผิวหนังตอนมีชีวิตเป็นยังไง “… แปลว่า … ผมสามารถมองเห็นผีได้ พูดคุยกับผีได้ … แบบนี้ก็แย่น่ะซิ ต้องเห็นของแบบนี้ทุกวัน หลอนตายพอดี” เอก ทำหน้าย่น ขณะหันไปมองร่างวิญญาณสีเขียวที่เดินแกว่งไปแกว่งมาอยู่ริมรั้วโรงแรมชั้นล่าง หากต้องเห็นสภาพ ผีที่หัวแบะ เลือดอาบเต็มตัวแบบนี้ตลอดเวลา สงสัยจะได้บ้าก่อนแน่ ๆ “คิก คิก … เด็กน้อยเอย เจ้าหาต้องหวาดหวั่นไม่ … เจ้าเพียงศึกษาคาถาปิดเนตร แล เปิดเนตร ก็เป็นอันใช้ได้ เมื่อ เจ้ามิต้องการมองเห็นก็เพียงปิดเนตร หากต้องการมองเห็นก็เปิดเนตรเสีย” “ถ้าแบบนั้นก็โอเคหน่อย … ว่าแต่ดวงวิญญาณทำไมมีสีต่าง ๆ กันด้วย สีเขียววนไปมาเต็มป่าเลย สีแดงน้อยกว่าแต่ ดูน่ากลัว ๆ ยังไงก็ไม่รู้ ส่วนสีขาวก็น้อยยิ่งกว่าน้อย … มันมีสีอื่น ๆ อีกมั้ยเนี่ย” เอก ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ดวงวิญญาณสีเขียวนั้น คือจิตวิญญาณที่มีบ่วงกรรมหลงเหลืออยู่ พวกเขาเพียงรอคอยเพื่อไปเกิดใหม่ในภพหน้า โดย ส่วนมากมิได้มีพิษมีภัยอันใดต่อผู้คน หากแต่สีแดงนั้นเล่าคือจิตวิญญาณของบรรดาผีตายโหงที่เปี่ยมด้วยแรงแค้น วันดี คืนดีหากพวกมันสั่งสมพลังได้เพียงพอ พวกมันก็จะก่อกรรมระบายความเจ็บแค้นให้แก่ผู้เคราะห์ร้ายที่ได้พบเจอ … ส่วน สีขาวนั้นไซร้ คือจิตวิญญาณที่เปี่ยมด้วยกุศลอันดีงาม ส่วนมากแล้วมักเป็นเจ้าที่เจ้าทาง หรือจิตวิญญาณแห่งรุกขเทวดา” นางตะเคียนเว้นวรรคเล็กน้อย ก่อนเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทราบนฟากฟ้า แล้วพูดต่อ “อย่างตัวข้านั้น อยู่กึ่งกลางระหว่างเขียวและขาว จึงมีร่างจิตสีเขียวอ่อน ตัวข้ามีบ่วงกรรมผูกพันธ์กับภพภูมินี้ หากแต่ก็ กอปรกรรมดีมามากเพียงพอ มิได้ระรานทำอันตรายผู้ใด ผู้มีพลังระดับเจ้าหากพบเจอผีตายโหงก็สามารถต่อกรกับพวก มันได้มิยากลำบากนัก… แต่หากวันใดที่เจ้าพบเจอจิตวิญญาณสีดำมืดแล้วไซร้จงรีบหลีกหนีไปให้พ้นทางเสีย พวกมัน เป็นดั่งฝันร้ายในยามค่ำคืน เป็นปีศาจที่ถูกกักขังอยู่ในนรกอันสุดลึกล้ำ ด้วยกอปรกรรมอันโหดร้ายจนมิอาจนับ อีกทั้ง ยังทรงด้วยเวทย์มนต์คาถามืดอันร้ายกาจ” “พี่สาว … ภาพที่ผมเห็นผู้หญิงนอนจมกองเลือด อยู่ในกองไฟนั่น … ผู้หญิงคนนั้นคือใคร แล้วเธอจะเป็นอะไรมั้ย?” เอก กำมือกับราวเหล็กที่เป็นรั้วกั้นจนแน่น ภาพอันหวาดหวั่นในกองเพลิงสีแดงฉานทำเอาเขารู้สึกหนาวเหน็บไปถึงหัวใจ ในทุกคราที่นึกถึง แม้จะไม่ได้มองเห็นหน้าแต่แผ่นหลังของหญิงสาวผู้นั้นก็ทำให้เขารู้สึกห่วงหาอย่างน่าประหลาด เขาได้ แต่แอบภาวนาว่า ผู้หญิงคนนั้นจะต้องไม่ใช่คนที่เขารักมากที่สุดอย่างน้องหญิง … “ดวงตาพิสุทธ์แห่งข้าจักสะท้อนแต่เพียงเงาแห่งความเป็นจริงเท่านั้น ข้าเห็นเฉกเช่นเดียวที่เจ้าเห็น ข้ามิอาจรู้ได้ว่าผู้หญิง คนนั้นคือผู้ใด และข้าก็มิอาจรู้ได้ว่าเรื่องราวจะจบลงเช่นใด สิ่งที่ข้ารู้ก็เพียง มันจะต้องเกิดขึ้นในเพลาอีกไม่นานนี้อย่าง แม่นมั่น … ว่าแต่เจ้าถามถึงเพียงผู้อื่น มิคิดห่วงอนาคตตนเองบ้างหรือไร?” นางตะเคียนหันไปมองชายหนุ่มด้วยสายตาทึ่งระคนแปลกใจ เขาดูจะไม่สนใจความเป็นตายของตนเองสักเท่าไหร่นัก กลับเอาแต่ถามถึงความปลอดภัยของหญิงสาวที่อยู่ในสภาพนิมิตเพียงฝ่ายเดียว “… ถ้าผมเก่งกว่านี้ เก่งจนมีพลังวิชาอาคมไม่แพ้ใคร … ผมจะปกป้องคนที่ผมรักได้หรือเปล่า ?” เอก หันมาจับหัวไหล่ทั้งสองข้างของนางตะเคียนในร่างของน้องหญิงเอาไว้แน่น สายตาของเขาที่จับจ้องมองมาดูจริงจัง แน่วแน่อย่างที่สุด กิริยาที่แสดงออกถึงความรู้สึกอยากปกป้องคนรักของชายหนุ่ม ทำเอานางตะเคียนถึงกับหน้าแดง วูบวาบ ใจเต้นตึกตัก จนต้องแอบคิดไปว่าหากได้เป็นคนรักของเขา และได้รับการปกป้องเยี่ยงนี้เธอคงยินดีพลีกาย เป็นหญิงสาวที่บาดเจ็บปางตายในภาพนิมิตให้เขาอย่างเต็มอกเต็มใจเลยทีเดียว “เรามิอาจบอกได้ว่าเจ้าจักปกป้องผู้อื่นได้หรือไม่ แต่หากเจ้าตั้งจิตแน่วแน่ มิยอมแพ้ซึ่งความยากลำบาก เรากล้าสัญญา ต่อเบื้องหน้าเทพาอารักษ์ทั้งหลายว่า เรา และ รักยม ของเจ้าสามารถที่จะทำให้เจ้าก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งหมอผีที่มีวิชา อาคมแก่กล้าจนมิแพ้พ่ายต่อผู้ใดได้ในเวลามิช้านาน” นางตะเคียนเอ่ยตอบเขาด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ เธอมองเขาด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจในความเป็น บุรุษเพศของเขาอย่างสุดหัวใจ อีกทั้งความรู้สึกวาบหวามก็แล่นพล่านวูบวาบไหวในกายจนมิอาจหักห้ามใจซบหน้าลงไป บนแผงอกของเขา พร้อมกับเอ่ยคำวาบหวาม “… แต่ก่อนอื่นใด เจ้ามีสิ่งสำคัญต้องทำก่อนมิใข่หรือ … หรือเจ้าได้ลืมสัญญาที่ให้ไว้แก่เราเสียแล้ว …” ชายหนุ่มไม่ตอบคำของนางตะเคียน ความรู้สึกกังวลใจคลายลงไปไม่น้อยเมื่อรู้สึกได้ว่าเขามีหนทางแก้ไขอันตรายเบื้องหน้า อีกทั้งเมื่อมีเรือนร่างโค้งเว้าอันงดงามสมบูรณ์แบบของน้องหญิงกอดกระชับอยู่ข้างกายด้วยแล้ว ความรู้สึกตื่นตัวแห่งบุรุษ เพศก็เริ่มทำงานขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เอก สวมกอดร่างของน้องหญิงที่มีนางตะเคียนสิงสู่อยู่ด้วยความรู้สึกผิดแผก ร่างเนื้อร่างเดิม แต่ร่างจิตที่เปลี่ยนไปก็ให้อารมณ์ ความรู้สึกที่แตกต่างไปไม่น้อย มันเป็นเหมือนความรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจที่จะได้ร่วมรักเสพสมกับผู้หญิงแปลกหน้าสักคน เพียงแต่ ว่าเป็นร่างของหญิงสาวที่เขาคุ้นเคยก็เพียงเท่านั้น เขาเริ่มรุกเร้าด้วยการใช้มือลูบไล้ไปตามหัวไหล่กลมมน และท่อนขาขาวเรียว ก่อนค่อย ๆ ซุกมือลอดผ้าขนหนูขึ้นมาบีบคลึง แก้มก้นกลมดิกอย่างเบามือ จนอีกฝ่ายบิดตัวไปมาด้วยความสยิว จากนั้นจึงใช้มือเชิดคางของหญิงสาวขึ้นมา แล้วจูบบดขยี้ กับริมฝีปากบางอย่างร้อนแรง “อืมมมม อืออออ” นางตะเคียนร้องครวญครางในลำคอด้วยความสุขอันล้นเหลือ แม้จะเคยสัมผัสรสจูบอันร้อนแรงของเขามาแล้วตอนที่อยู่ ในร่างวิญญาณ แต่นั่นก็เป็นเพียงร่างนิมิตรที่เสกสรรค์ปั้นแต่งขึนมาด้วยเวทย์มนต์คาถา หากแต่ครานี้ทุกรสสัมผัส ล้วน แล้วแต่มาจากเนื้อหนังมังสาที่สัมผัสสื่อกันโดยตรง รสชาติอันหอมหวานของจูบจึงแผ่ซ่านไปทั่วทั้งสรรพางค์กายจนสั่น สะท้านไปทั้งร่าง ผ้าขนหนูที่พันรอบกายสาวสวยค่อย ๆ หลุดออกจากร่างอย่างช้า ๆ จนเผยให้เห็นร่างงามสมบูรณ์แบบที่ยืนอาบแสงจันทรา ได้อย่างชัดเจน เอกกอดกระชับร่างงามเอาไว้แน่นก่อนซุกไซร้ใบหน้าลงไปตามซอกคอ และก้มหน้าลงไปดูดกินความหอมหวาน ของทรวงอกอวบอิ่มด้วยกิริยาอันหิวโหย ลีลาลิ้นอันพลิกพลิ้วของชายหนุ่มที่โลมเลียไปทั่วเนื้อนุ่มนิ่มเต่งตึงของสองเต้า ทำเอา สาวสวยแอ่นเด้งอกไหวไปมาจนแทบหายใจหายคอไม่ทัน “อือออออ อืมมมมม อูววว เจ้าหนุ่มน้อยของข้า อูยยยยยย อือออ” นางตะเคียนที่อ่อนหัดในเชิงกาม ร้องคราง สั่นระริกไหวไปมาประหนึ่งจะแตกสลาย ความกระสันเสียวที่หนักหน่วงเกินทานทน นั้นแผ่ซ่านไปทั่วร่างเหมือนเพลิงไฟที่แผดเผาร้อนแรง ใบหน้าสวยนั้นบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความหฤหรรษ์อย่างสุดแสน ความเสียว แปลบปลาบที่โดนดูดทิ้งปลายถันเร่งเร้าอารมณ์เสียจนจิตวิญญาณของนางตะเคียนแทบจะเตลิดหลุดออกจากร่างที่มีเลือดเนื้อ ของน้องหญิงเลยทีเดียว ขณะที่นางตะเคียนปล่อยตัวหงายไปเบื้องหลังแอ่นอกอวบให้เขาฟอนเฟ้นได้อย่างเต็มที่ เอก ก็ซุกไซร้ใบหน้า พร้อมกับใช้ทั้งมือ และปากบีบเคล้นละเลงใส่หน้าอกอวบมโหฬารจนแทบแหลกเละ เนื้อขาวนวลเนียนเต่งเด้งจึงโดนทั้งบีบ ทึ้งดึง ทั้งทึ้ง และดูดกัด จนปทุมถันที่เด้งเต่งงดงามแดงช้ำเป็นรอยจ้ำอย่างถ้วนทั่ว “อะ โอออววววว หนุ่มน้อย อูวววว ว….” ยิ่งเขารุกเร้ารุนแรง นางตะเคียนก็ยิ่งกระเจิดกระเจิงจนแทบคลั่ง มันเป็นทั้งความสุขสม และความทรมาณอัดอั้นที่ไม่เคยได้รู้สึก สัมผัสมาก่อน ยามเต้านมของร่างที่เธอสิงสู่โดนบีบขยำแรง ๆ เธอก็เสียวแปล๊บจนตัวงอ แต่พอเขาใช้ลิ้นและปากดูดเลียอย่าง นุ่มนวล เธอก็เสียววูบจนน้ำลายสอ ความหฤหรรษ์อันแสนสยิวเติมความสุขอันล้นเหลือให้แก่เรือนร่าง หากกระนั้นมันก็ตามมา ด้วยความทรมาณอัดอั้นที่บริเวณท้องน้อย ด้วยรู้สึกอยากจะสัมผัสกับความร้อนแรงแห่งเพศชายแบบเต็มเหนี่ยวเสียที “อูววว หนุ่มน้อยยอดรักของข้า … สามีของข้า … ได้โปรดเถิด … ข้า … ข้าต้องการ” นางตะเคียนออกแรงผลักไสใบหน้าของชายหนุ่มให้ผละออกจากทรวงอก ก่อนส่งเสียงร้องอย่างเว้าวอนด้วยใบหน้าอันแดงก่ำ ชายหนุ่มมองอาการร่านสวาทของนางตะเคียนในร่างของน้องหญิงด้วยความรู้สึกสาแก่ใจ ก่อนใช้มือกระตุกปลดผ้าขนหนูที่รอบ เอวของตัวเองออกจนท่อนเอ็นที่แข็งปั๋งเต็มที่ดีดเด้งออกมาแสดงตัวตระหง่านชี้เด่ไปทางร่างเปลือยอันแสนอวบอัดน่าฟัด ชายหนุ่มดึงร่างอวบจนแผ่นหลังเรียบเนียนเบียดชิดกับผนังระเบียงที่เป็นปูนพื้นเรียบ ก่อนขยับตัวเข้าไปเบียดแทรกช้อนสองขา ของสาวสวยให้ขึ้นมาเกี่ยวกระหวัดไว้ที่สะโพกของเขา จากนั้นก็ใช้สองมือตะปบจับประคองที่แก้มก้นกลมกลึง แล้วดันร่างเข้าไป แนบประชิด พร้อมกับแอ่นเอวดันท่อนเอ็นที่กำลังร้อนผ่าวมุดแทรกเข้าไปในโพรงสวาทอันเปียกเยิ้มจนอีกฝ่ายสะท้านเฮือก “โออออออ …. อูววววววว …. อืออออออออออ” นางตะเคียนสั่นระริกไปทั้งร่าง แม้ว่าเจ้าของร่างอย่างน้องหญิงจะเคยผ่านเกมกามกับเขามาไม่น้อยแล้ว หากแต่สำหรับจิตวิญญาณ ของนางตะเคียนที่กำลังสิงสู่ควบคุมร่างอยู่นั้นเล่าไม่ต่างใด ๆ กับเด็กสาวไร้ประสบการณ์ เมื่อมาโดนเขาจู่โจมเข้าถึงใจกลางจุดยุทธ ศาสตร์ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวแบบนี้ นางตะเคียนก็ถึงกับจุกในความเสียวอย่างไม่อาจจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ เธอรู้แต่ เพียงว่านับจากนี้ไปเธอคงจะไม่สามารถห่างหายจากรสสวาทอันแสนลึกล้ำนี้ได้อย่างแน่นอน “โอววววววว …. อูววววววว …. อือออ โอววววว” ความหฤหรรษ์ที่ยากจะทานทนยิ่งทวีความร้อนแรงอีกนับสิบๆ เท่า เมื่อเขาเริ่มขยับบั้นเอวกระชากเอาความแข็งแกร่งออกไป ก่อนที่จะอัดเด้งมันกลับเข้ามา ความสุขกระสันต์แห่งไฟสีดำมืดที่แผดเผาเร้าอารมณ์รอบแล้วรอบเล่า ทำเอานางตะเคียนคล้าย เมามายคล้ายหลับไหลอยู่ในความฝันแสนหวานที่ไม่อยากลืมตาตื่น เธอได้แต่สูดปากร้องส่งเสียงครวญครางจนก้องเข้าไปในป่า จนกิ่งไม้ใบหญ้าสั่นไหว “หนุ่มน้อย หนุ่มน้อย ๆ โออ ซี้ดดดสสส สุดที่รัก อูววว สามีของข้า … ข้า … ข้า … อะ อ๊ายยยยยย” นางตะเคียนที่มิอาจจะทานทนกระแสแห่งความเสียวซ่านอันเชี่ยวกราก ส่งเสียงกรีดร้องลั่นขณะที่เด้งไหวร่างทั้งร่างไปมาอย่าง ร้อนแรง เสียงแห่งความสุขสมที่แฝงด้วยพลังแห่งเจ้าพฤกษาคล้ายจะแว่วดังไปทั่วผืนป่าที่อยู่ด้านหลังโรงแรมม่านรูด จนต้นไม้ ใบหญ้าน้อยใหญ่ต่างพาสั่นไหว รวมไปถึงเหล่าแมลงที่หากินกลางคืนที่ต่างพากันส่งเสียงเซ็งแซ่ และหิ่งห้อยที่กำลังเปล่งแสง เรืองรองอยู่ในป่านับร้อยตัวต่างก็พากันบินวนเข้ามาใกล้ร่างเปลือยเปล่าทั้งสองร่างจนแลดูคล้ายว่าเขาและเธอกำลังดื่มด่ำ ร่วมรักกันอยู่บนหมู่ดาวก็มิปาน ………………………………………………………………………………………. “… หนุ่มน้อยยอดรัก … เจ้ารู้หรือไม่ ว่าตัวข้าใฝ่หาสิ่งใดตลอดมา นับตั้งแต่ถูกจองจำอยู่กับต้นตะเคียนมาหลายร้อยปี …” นางตะเคียน เผยอปากเอ่ยเสียงวาบหวามแผ่วกระซิบขณะซบหน้าใบหน้าชุ่มเหงื่ออยู่บนหัวไหล่ของชายหนุ่ม รสสวาทอันแสน สุขสันต์คราแรกจากชายหนุ่มที่เธอมีใจใฝ่รักนับแต่รอคอยมาหลายร้อยปีคล้ายจะแผดเผาเรี่ยวแรงแห่งดวงจิตของเธอไปเสีย จนเกือบหมด “… น่าจะเป็น ความอิสระ “ ชายหนุ่มตอบแบบไม่ต้องคิดมาก ขณะยังคงยืนหยัดประคองดันร่างอวบเปลือยของสาวสวยชิดอยู่กับฝาผนัง “มิผิด … ข้าใฝ่ฝันมานานนัก ว่าจักสลัดบ่วงกรรม แล้วเดินทางท่องโลกหล้าเสาะหาสิ่งแปลกใหม่ให้เบิกบานใจ .. หรือไม่แล้ว ก็ไปเกิดใหม่เสียสักครา” “ตอนนี้พี่สาวก็เป็นอิสระแล้ว อยากจะทำอะไรก็ได้” เอก เอ่ยกระซิบพลางพรมจูบไปที่แก้มและใบหูของอีกฝ่าย “เจ้าเป็นคนปลดปล่อยข้า เจ้าคิดว่า ข้าควรทำสิ่งใดกับอิสระเสรีที่ข้ามีดีเล่า ให้ข้าไปท่องเที่ยวอย่างเดียวดาย หรือไปเกิดใหม่แล้วลืมให้สิ้นซึ่งเรื่องราวที่ผ่านมา หรือจักให้ข้าทำสิ่งใด” นางตะเคียน ยันตัวขึ้นมาจ้องมองใบหน้าของชายหนุ่ม คำถามนั้นเหมือนไม่มีอะไรตามแบบฉบับของสตรีเพศ หาก แต่เบื้องลึกแล้วชายหนุ่มกลับรู้สึกได้ว่าตอนนี้นางตะเคียนไม่ได้ต้องการทำทั้งสองอย่างที่พูดออกมา “ไม่เห็นจะยากเลย ถ้าพี่สาวยังคิดไม่ออกก็อยู่กับผมไปก่อน เพราะผมก็อยากให้พี่สาวอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว แล้วพอวันไหนที่พี่สาว คิดออกว่าอยากทำอะไร พี่สาวก็ค่อยทำตามใจตัวเอง” สิ้นเสียงตอบของชายหนุ่ม นางตะเคียนก็รีบฟุบหน้ากลับลงมาบนหัวไหล่ของชายหนุ่มอีกครั้งเพื่อซุกซ่อนรอยยิ้มหวานมิยอมให้ ใครได้เห็น ก่อนส่งเสียงหวานออดอ้อนออกมา ซึ่งแม้ว่าเธอจะมีความลังเลใจอยู่บ้างว่าจะทำสิ่งใดต่อไป แต่เพียงแค่เขาบอกว่า เขาต้องการให้เธออยู่กับเขาต่อไป เธอก็ได้ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว ว่าเธอจะทำอย่างไรกับอิสระเสรีที่เธอได้รับมา “เจ้าจะอยากให้ตัวข้าอยู่ด้วยกับเจ้าไปใยเล่า ข้าเป็นเพียงผีสาวที่ไร้ซึ่งเนื้อหนัง มิเหมือนเช่นบรรดาผู้หญิงของเจ้า” “ไม่เห็นจะต้องมีเหตผลอะไรเลย ผมก็แค่อยากอยู่ด้วยกันกับผู้หญิงที่ผมรู้สึกรัก รู้สึกผูกพันธ์” นางตะเคียนแอบยิ้มอยู่บนไหล่เขาจนแก้มแทบปริ เธอกอดรัดร่างของเขาแน่นขึ้นด้วยความรู้สึกวาบหวามอิ่มเอมในความสุขที่ เอ่อล้นออกมาจนเหลือคณานับ เพียงได้ยินคำว่ารักออกมาจากปากของเขา เธอก็รู้แล้วว่าหากไร้ซึ่งผู้ชายคนนี้เธอก็คงไม่มีทาง ไปที่ไหนได้อีกแล้ว “เจ้าหนุ่มน้อยมากรัก … แต่เอาเถิด … ในเมื่อเจ้าอยากให้ข้าอยู่ด้วย ข้าก็จักอยู่ด้วยกับตัวเจ้า … เช่นนั้น จงรับข้าเป็นหนึ่งใน ผีบริวารแห่งเจ้าเถิด ตัวข้าจักได้สามารถติดสอยห้อยตาม คอยคุ้มครองดูแลเด็กน้อยอย่างเจ้าได้” “ผีบริวาร ?” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ผีบริวารก็เฉกเช่นเดียวกับรักยมของเจ้าอย่างไรเล่า หากมิได้เป็นผีบริวารตัวข้าก็มิอาจติดตามเจ้าไปได้ในทุกที่ อีกทั้งหากตัวข้า หมดสิ้นซึ่งพลัง ข้าก็จักสามารถกลับมาหลับไหลพักฟื้นอยู่ในวัตถุอาคมกับเจ้าได้ เช่นเดียวกับรักยม ที่พวกมันก็สิงสถิตย์อยู่ภายใต้ ตุ๊กตาไม้ลงอาคม และที่สำคัญที่สุด หากข้ามีนายแล้ว หมอผีอื่นใด ก็มิอาจจะบังคับให้ข้าเป็นข้าทาสบริวารของพวกมันได้” “วัตถุลงอาคม ? ผมมีซะที่ไหนล่ะ แล้วพี่สาวจะสิงอยู่ในอะไร? ” “จงรับกุญแจนี้ไว้ และเก็บรักษามันไว้กับตัวเจ้า” นางตะเคียนยิ้มตอบ ขณะยื่นมือส่งอะไรบางอย่างให้กับเขา ซึ่งเมื่อเขายื่นมือมารับก็พบว่ามันเป็นจี้ห้อยคอมากกว่าจะเป็นกุญแจ อย่างที่ นางตะเคียนบอก ที่ตัวเชือกคล้ายเป็นสายสิญจน์สีขาวหม่น แต่ส่วนตัวจี้ หรือตัวกุญแจตามที่นางตะเคียนบอกนั้นมีรูปร่างคล้ายหยดน้ำสี เงินแวววาวที่สะท้อนแสงคล้ายโลหะ หากสัมผัสที่มือก็ไม่เย็นเยียบกระด้างเฉกเช่นโลหะทั่วไป มันอุ่นวูบวาบ มีพลังแห่งมนตราไหลวนไปมา คล้ายเหมือนมีชีวิตอันทรงพลังอาศัยอยู่ภายใน อีกทั้งยังความแวววาวนั้นก็ช่างดึงดูดสายตาของเขาให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มจนแทบมิอาจวางตา “นี่เป็นสมบัติที่ข้า และต้นตระกูลของข้าเก็บรักษาไว้มาแสนนาน … ข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่ง มันจะมีประโยชน์ต่อตัวเจ้ามิใช่น้อย … แต่สำหรับ เพลานี้ หากเจ้าต้องการรับผีตนใดเข้าเป็นบริวาร ก็ให้พวกมันเข้ามาอยู่ในสิ่งนี้เช่นเดียวกับตัวข้าได้ … จงจำไว้ ยิ่งเจ้ามีบริวารที่เก่งกาจ เพียงใด เจ้าก็ยิ่งเก่งกาจมากเพียงนั้น” นางตะเคียนยิ้มน้อย ๆ ในท่าทีที่คาดเอาไว้แล้วของเขา เธอหยิบเอาจี้ห้อยคอรูปหยดน้ำออกจากมือของชายหนุ่ม ก่อนนำไปคล้องคอให้กับเขา “ถ้างั้นมีผีบริวารเยอะก็มีแต่ข้อดีน่ะซิ ?” เอก เอ่ยถาม แต่สายตาก็ยังไม่อาจละไปจากความรู้สึกพิศวงของจี้ห้อยคอที่รูปร่างเหมือนหยดน้ำนั้นได้ “มิอาจกล่าวเช่นนั้นได้ … การมีผีบริวาร หมายความว่า ยอมรับให้วิญญาณเหล่านั้นแบ่งใช้พลังเวทย์แห่งผู้ถือครอง ซึ่งหากผู้ถือครอง มิมีพลังเวทย์เพียงพอ ก็อาจจะถูกดูดกินพลังจนสิ้นชีวีได้ อืมมม อีกทั้งเจ้าของจักต้องคอยดูแลเอาใจใส่ผีบริวารด้วย อย่างเช่น รักยม เจ้าก็ต้องหาขนม หาของเล่นเซ่นไหว้ให้พวกมัน ดังนั้นเจ้าควรเลือกเฟ้นหาเฉพาะผีที่มีฝีมือพอตัว… แต่ข้าว่าสำหรับตัวเจ้าที่มีพลัง ขนาดนี้ คงเลี้ยงผีสาวไว้ได้สักร้อยตนกระมัง” นางตะเคียนแอบกล่าวแขวะชายหนุ่มทิ้งท้าย “ว่าแต่เลี้ยงรักยมต้องเลี้ยงด้วยขนมกับของเล่น แล้วเลี้ยงพี่สาวตะเคียน จะต้องเลี้ยงด้วยอะไรล่ะ … ถ้าเลี้ยงแบบเมื่อกี้นี้ก็สบาย รับรองได้ว่าจะเลี้ยงให้เต็มอิ่มทุกวันเลย” เอกไม่สนใจคำค่อนแคะ แถมยังแอบหยอกนางตะเคียนกลับอีกต่างหาก “ฮึ ให้มันจริงดังปากว่าเถิด ถ้าเจ้ามิทำให้ตัวเราพอใจ เราจะหนีไปอยู่ที่อื่นเสียให้ดู … เอาเถิด เพลานี้เราอ่อนแรงเต็มทีแล้ว สมควรต้อง พักผ่อนเสียบ้าง … หากเจ้าอยู่ในภยันตราย หรือต้องการเรียกใช้เรา จงเอ่ยชื่อแห่งเรา แล้วเราจะออกมาต่อหน้าเจ้า” “ชื่องั้นเหรอ … ลืมไปเลย มัวแต่เรียกว่าพี่สาว แล้วพี่สาวตะเคียนชื่ออะไรล่ะ” นางตะเคียนไม่ได้ตอบคำถามใด เธอเพียงหลับตาพริ้มลงก่อนที่ร่างวิญญาณสีเขียวโปร่งใสจะค่อย ๆ ลอยออกมาจากร่างเนื้อของ น้องหญิง จนร่างของน้องหญิงฟุบลงกับไหล่ของเขา จากนั้นร่างวิญญาณจึงแปรสภาพเป็นเหมือนควันลอยล่องหายเข้าไปในจี้ห้อย คอของเขา และเมื่อกลุ่มควันได้หายวับเข้าไปในโลหะสีเงินวาวรูปร่างคล้ายหยดน้ำนั้นแล้ว ก็แว่วเสียงของนางตะเคียนดังออกมา “แก้วกานดา … ผู้คนเคยเรียกหานามของข้าว่า ท่านหญิงแก้วกานดา วรผกาวรรณ”