ศึกหมอผี ตอนที่ ๑๙

ศึกหมอผี ตอนที่ ๑๙

ศึกหมอผี ตอนที่ ๑๙

วังไวยกูรณ์

 แดดยามบ่ายสาดแสงแผดจ้าดั่งดวงสุริยาจะเผาแผ่นดิน

รถสปอร์ทไรเดอร์รุ่นใหม่ป้ายแดงสีเทาวิ่งไปตามทางลูกรังคดเคี้ยว ไต่ระดับขึ้นที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ บัดเดี๋ยววกลงต่ำ บัดเดี๋ยวก็ขึ้นที่สูงอีก และต่ำลงอีก ด้านซ้ายเป็นหุบเหวที่ปกคลุมด้วยพันธุ์ไม้ทึบจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง ทางสายแดงนั้นทอดยาวออกไปเหมือนว่าไม่มีที่สิ้นสุด ฝุ่นสีแดงของภูเขาฟุ้งกระจายทุกครั้งที่ล้อรถเบียดทางที่น้อยครั้งจะมีคนแปลกหน้ามาเยือน สีแดงของมันกลายเป็นสีชมพูอ่อนกลางหมอกขาว รอยล้อปรากฏลึกเป็นทางยาวคล้ายต้องการตอกย้ำเจตนาของคนโดยสารที่ตั้งใจฝ่าความกันดารเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย

เมื่อทอดสายตามองออกนอกหน้าต่างรถ จะเห็นทิวเขาทมึน แผ่นดินเวิ้งว้างนั้นคือผืนป่าดงดิบกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เขียวขจีสวยงามแต่ลึกลับ เหมือนจุดหมายที่พวกเขาตั้งใจจะไปให้ถึง และเส้นทางหลังจากสิ้นสุดถนน
ใหญ่ก็จะต้องเดินทางเข้าสู่เส้นทางออฟโรด มีทั้ง ปีนป่ายไปตามสันเขา ไหล่เขา สูงชัน ข้ามลำห้วย และช่องหินภูเขา

หลังจากเดินทางอย่างทรหดและในเวลาต่อมา รถยนต์สปอร์ทไรเดอร์ ก็วิ่งฝ่าม่านฝุ่นของถนนลูกรังสีแดงที่ทอดยาวตรงไปยังหมู่บ้านซึ่งอยู่เกือบสุดชายขอบของสยามประเทศ เป็นสถานที่อันแสนจะห่างไกลความเจริญประหนึ่งถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ซ่อนตัวอยู่ ณ ตะเข็บชายแดนประเทศเทศเพื่อนบ้าน

ตรงทางเข้าหมู่บ้านปรากฏร่างชายสูงอายุผิวคล้ำกร้านแดดลมรูปร่างผอมเกร็งผมสีดอกเหลา เขายืนรออยู่พร้อมหญิงสาวผิวค่อนข้างคล้ำเช่นกันและยังมีชายฉกรรจ์อีกสองคนยืนขนาบ เมื่อรถยนต์วิ่งมาถึงก็จอดตรงที่ทั้งหมดยืนอยู่ ประตูรถเปิดออกชายวัยสามสิบต้นๆหน้าตาคมเข้มผิวขาวสะอาดสะอ้านไว้หนวดบางๆบ่งบอกถึงฐานะและชาติตระกูลที่สูงส่งก็ก้าวลงมาจากรถพร้อมๆชายผิวขาวหน้าตาอ่อนวัยกว่า ท่าทางกระฉับกระเฉงอารมณ์ดี ทั้งสองเดินแย้มยิ้มด้วยไมตรีเบิกบานเข้ามาหาชายสูงวัยและยกมือไหว้อย่างนอบน้อม

ชายคนไว้หนวดบางๆเหนือริมฝีปากเอ่ยขึ้นก่อน “สวัสดีครับ ลุงคำพูน….”

“สวัสดีเช่นกัน คุณธานินทร์…” ชายสูงวัยเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม

ชายไว้หนวดเอ่ยต่อ “นี่ ดนัย รุ่นน้องของผมครับ เขาขอติดตามมาด้วย…”

“แล้วมากันแค่สองคนหรือครับ?” ชายสูงวัยถาม

ชายไว้หนวดยิ้มบางๆ “เอ่อ…มากันทั้งหมดสามคนครับ ยังมีน้องสาวของผมมาอีกคน นั่นไงครับ น้องริน หรือชื่อเต็มๆว่า นารินทร์”

ชายไว้หนวดนามว่าธานินทร์บอกพลางหันไปมองประตูรถที่กำลังเปิดออก แล้วทุกสายตาก็จับจ้องไปยังหญิงสาวที่ลงจากรถมายืนบิดกายด้วยความเมื่อยขบ ใบหน้าสวยของเธอขาวนวลเพราะบำรุงด้วยเครื่องสำอางอย่างดี เสื้อและกางเกงที่สวมใส่รัดแนบเนื้อตามสมัยนิยม มองเห็นทรวงอกพุ่งตระหง่านดันเสื้อออกมา ทรวดทรงอกเอวอรชรได้รูปเหมาะเจาะราวผีบรรจงปั้นอย่างตั้งใจ ส่วนผิวพรรณขาวนวลเปล่งปลั่งมีน้ำนวลล้นปรี่ด้วยวัยแรกสาว…

เธอกวาดสายตากลมโตมองไปรอบๆอย่างผิดหวัง พลางบ่นขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจ

“โอ้ย! ร้อนๆๆ ร้อนจริงๆ เส้นทางก็หฤโหดเหลือเกินกว่าจะมาถึงได้…. โอ้ย….พี่ชาย…พาน้องมาส่วนไหนของประเทศไทยเนี่ย?”

“พี่ก็บอกแล้วว่าอย่ามาๆๆ ไม่สนุกหรอก น้องรินก็ดื้อตามมาเอง บอกว่าอยากมาหาประสบการณ์ท้าทายแปลกๆ มาถึงแค่ลงเหยียบพื้นก็บ่นแล้วหรอ?” ชายไว้หนวดเอ่ยย้อนกลับไปยิ้มๆอย่างขบขัน

“ก็ไม่นึกว่าจะแปลกอย่างนี้ อู้ว.ว.ว..ว์ นั่งรถมาก็ทรามานข้ามเขาข้ามเหว เวียนหัวจนอยากจะอาเจียน แล้วพอมาถึงอากาศก็ร้อนอย่างกับอบซาวน่า คิดผิดจริงๆที่ขอตามมาด้วย รู้อย่างนี้นอนตากแอร์อยู่บ้านดีกว่า…” สาวสวยบ่นแล้วเอามือโบกลมใส่ร่องอกที่ใช้มือดึงคอเสื้อล่นลงมาจนเห็นร่องสองเต้าขาวๆ ชายฉกรรจ์ข้างหลังชายสูงวัยตาโตร้องฮู้….

“อะ..แฮ่ม…น้องริน….” ชายผู้เป็นพี่ชายกระแอมเตือน หญิงสาวมองเห็นอาการของคนทั้งรอบๆโดยเฉพาะสองชายฉกรรจ์เธอจึงหยุดดึงคอเสื้อกลับเข้าที่และเดินไปหลบแดดใต้ร่มไม้

“เราได้จัดกระท่อมไว้ให้คุณธานินทร์และคณะพักแล้ว ที่อย่างนี้คงจะหาความสบายอย่างพระนครไม่ได้หรอกนะครับ แต่ถ้าขาดเหลืออะไรก็เรียกใช้นังบัวไรลูกสาวของผมได้เลยไม่ต้องเกรงใจ…”ชายสูงวัยบอกพร้อมแนะนำเด็กสาวผิวคล้ำที่ยืนอยู่ด้านข้าง หญิงสาวชาวป่าผิวกร้านแดดลมยิ้มให้สามชาวกรุงอย่างเป็นมิตร ส่วนชายฉกรรจ์สองคนก็เดินไปช่วยขนสัมภาระจากท้ายรถที่เปิดออกเพื่อพาไปยังกระท่อมที่จัดเตรียมไว้ต้อนรับชาวกรุงทั้งสาม

หญิงสาวชาวกรุงเดินตามกลุ่มเข้าไปในหมู่บ้าน ที่นี่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ สภาพบ้านเรือนยังเป็นกระท่อมมุงแฝกเป็นส่วนใหญ่ความเป็นอยู่ของชาวบ้านทั่วไปที่พบเห็นระหว่างเดินผ่านราวกับถอดภาพมาจากรูปถ่ายๆเก่าๆสมัยเมื่อ ๒ – ๓๐๐ ปีก่อน ทำเอาหญิงสาวที่ร่วมทางมาถอดทอนใจพลางรำพึงว่าไม่น่าคิดผิดตามพี่ชายตนมาเลย กันดารขนาดนี้อยากจะให้พี่ชายรีบๆพากลับไปส่งบ้านจริงๆ…

หญิงสาวอ้าปากค้างมองกระท่อมตรงหน้าที่ทุกคนหยุดดู เธอร้องถามขึ้นทันที “อย่าบอกน้องนะพี่ชาย ว่าพวกเราจะพักกันที่นี่..สภาพอย่างนี้..อ๊าย..มะไหวม้าง….”

“ใช่…นี่แหล่ะ…กระท่อมน้อยที่เราจะใช้ซุกหัวนอนในคืนนี้และอีกหลายๆคืนที่เราต้องอยู่ที่นี่ เป็นไงหรูหราถูกใจไหม บอกแล้วว่าใกล้ชิดและเป็นธรรมชาติมากๆเลยใช่ไหม?…” ชายไว้หนวดผู้พี่ชายบอกยิ้มๆ

หญิงสาวส่ายหน้า “มะ..ม่าย..นะ..มันจะนอนได้มั๊ยเนี่ย หลังเล็กยังกะศาลพระภูมิ..”

“เข้าเอาของไปเก็บเถอะอย่าช้าเลย เดี๋ยวเราต้องออกไปรอเจอคนสำคัญอีก..” พี่ชายของเธอบอก

หญิงสาวขมวดคิ้วโก่ง ตาโตฉายเเววสงสัย “คนสำคัญ? ใครหรอ?”

“หมอผีไง…”พี่ชายเอ่ยตอบมาเสียงเรียบๆ “พี่นัดเจอเขาที่นี่ เพื่อไปทำธุระสำคัญกัน”

“หา! หมอผี นี่ที่พี่ชายพามาที่กันดารอย่างนี้เพื่อมาหาหมอผีหรอ?” หญิงสาวอุทานอีก

พี่ชายของเธอพยักหน้า “ก็ใช่นะสิ พี่ก็บอกแล้วว่าเรามาธุระสำคัญ น้องรินก็ไม่เชื่อ บอกว่าลำบากนะ น้องรินก็ไม่เชื่อ ดื้ออ้อนขอติดตามมา มาถึงแล้วก็อย่าบ่นนะ ไปเร็วๆเดี๋ยวหมอผีก็จะมาถึงแล้ว…”

“แล้วเจอหมอผีเสร็จเราจะกลับกันเมื่อไหร่?”

“เจอหมอผีนี่เพิ่งเริ่มต้น เรายังต้องเดินป่ากันต่อ โดยมีหมอผีนำทางไป”

“เดินป่าต่อ แล้วเดินป่าต่อไปไหน?”สาวสวยอุทานอย่างสนใจ

“พี่คงไม่ให้น้องรินไปด้วยหรอก คงจะให้รออยู่ที่นี่แหล่ะ เพราะเจอแค่หมู่บ้านยังโวยวายขนาดนี้ ขืนเดินป่าไปด้วยรับรองว่าไปไม่ถึงไหนแน่ๆ” ผู้พี่ชายบอกพร้อมติงในนิสัยของน้องสาว

หญิงสาวเม้มปากบางสวยแล้วเชิดหน้า “พี่ชายดูถูกริน คอยดูเถอะ รินจะอยู่ที่นี่ให้ดูแล้วจะร่วมเดินป่าไปด้วย”

“หึ..หึ…หึ..เอาแค่อยู่ที่นี่ให้รอดก่อนเถอะ….” ผู้พี่ชายหัวเราะแล้วมองตามน้องสาวที่เดินงอนๆเข้ากระท่อมไป ความหัวรั้นและมีทิฐิไม่ยอมให้ใครดูแคลนของเธอเป็นสิ่งที่เขารู้ดี และรู้จุดว่าจะกระตุ้นอย่างไร

เวลาต่อมาที่หน้ากระท่อมของลุงคำพูนซึ่งเป็นนายหมู่บ้าน

ชายสูงวัยซึ่งเป็นนายบ้านของหมู่บ้านป่าแห่งนี้นั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้าน และ ธานินทร์ ดนัย และ นารินทร์ ชาวกรุงผู้มาเยือนทั้งสามได้เดินมาหา ชายสูงวัยเชื้อเชิญทั้งสามลงนั่งด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร สักครู่บัวไลผู้ลูกสาวก็นำขันใส่น้ำมาต้อนรับผู้มาเยือน ธานินทร์รับมาดื่มและส่งต่อให้ดนัยรับไปดื่มต่อ แต่พอถึงหญิงสาวเธอรับมาแล้วทำท่าผะอืดผะอมไม่กล้าดื่มเพราะน้ำในขันสีขุ่นๆราวน้ำในลำคลอง

ผู้เป็นพี่ชายกระซิบบอก “ดื่มสิ ถ้าไม่ดื่มจะถือว่าเป็นการหมิ่นน้ำใจของคนที่นี่นะ…”

“ฮะ..ฮื่อ.อ…กลั้นใจดื่มละกัน จะมีเชื้อโรคอะไรบ้างมั๊ยเนี่ย…..” หญิงสาวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ และแข็งใจดื่มเข้าไป สองหนุ่มชาวกรุงขำกันคิกๆ

เมื่อดื่มน้ำกันเรียบร้อย ชายหนวดเรียวบางธานินทร์ก็เอ่ยกับนายบ้าน “ที่ผมมารบกวนลุงคำพูนครั้งนี้ต้องขอโทษด้วยนะครับ ผมมาเพราะมีธุระสำคัญจริงๆ”

“ไม่ถือเป็นการรบกวนหรอก กระผมและชาวบ้านที่นี่ยินดีต้อนรับทุกคนของตระกูล “เลิศจินดา”เสมอ เพราะท่านเจ้าคุณเลิศจินดาบริรักษ์พ่อของคุณชายมีพระคุณล้นเหลือกับชาวบ้านที่นี่…” ชายสูงวัยยิ้มและตอบมาอย่างภาคภูมิ

ชายหนุ่มที่ติดตามมากระซิบถาม “เอ่ย..คุณชายแล้วหมอผีที่เราให้ติดต่อมาล่ะ เขามาหรือยัง ผมอยากเจอจริงๆ”

“เดี๋ยวก็คงมากระมัง หมอผีคนนี้ไม่เคยผิดนัดผิดเวลา…” ชายไว้หนวดตอบ

หญิงสาวทำท่าไม่ค่อยศรัทรา “ธุระสำคัญของพี่ชายคือมาหาหมอผีที่นี่ให้พาไปเดินป่า มีแต่เขาจ้างพรานป่าที่ชำนาญเส้นทางในพงไพร นี่ยุคไหนสมัยไหนแล้ว พี่ชายยังงมงายไม่เข้าท่า ไปเชื่อเรื่องพ่อมดหมอผี เสียแรงที่เป็นนายร้อยเรียนจบมาจากโรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยต์ ถ้าที่นั่นรู้คงจะตามมาขอปริญญาคืนแน่ๆ…”

“น้องริน!! …” ผู้พี่ชายบอกเสียงขุ่นๆ “น้องอาจจะหยามหลู่หรือดูถูกใครก็ได้ แต่ไม่ใช่พ่อหมอคนนี้ ตระกูลของเราได้รับความช่วยเหลือจากสำนักหมอผีแห่งนี้มาตลอด นับแต่ท่านเจ้าคุณทวดรับราชการเป็นเจ้าพระยารบกับข้าศึกสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ สำนักนี้สืบทอดรุ่นกันมาอย่างยาวนานจากรุ่นสู่รุ่นจนถึงเขาคนนี้ เมื่อพบเจอเขาแล้วอย่าพูดจาอย่างนี้ต่อหน้า นอกจากจะเสียมารยาทแล้วยังจะหาภัยใส่ตัวเปล่าๆ ถ้าเกิดเขาไม่พอใจน้องขึ้นมา พี่ก็ช่วยอะไรน้องไม่ได้นะ”

“ชริ!! เขาจะทำอะไรน้องได้? เวทย์มนต์พ่อมดหมอผี มันของหลอกลวงทั้งเพ…” หญิงสาวเถียงอย่างไม่ลดละ

“น้องริน…!!!…” ผู้พี่ชายทำเสียงเข้มมาอีกครั้ง ทำเอาหญิงสาวเงียบเพราะรู้ดีว่าพี่ชายจะเอาจริงแล้ว ถึงเธอจะเอาแต่ใจและพี่ชายไม่ค่อยขัดใจโต้เถียงต่อให้มากความ แต่หากเขาเสียงแข็งขึ้นมาเธอก็ไม่กล้าตอแยเหมือนกัน

ขณะนั่งคุยกันอยู่ ไกลออกไปที่ถนนลูกรังสีแดงลิบๆ มีฝุ่นโขมงตรงมา

ชายสูงวัยเอ่ยขึ้นอย่างยินดี “อ่ะ..นั่นไงครับ มาแล้ว….”

ทุกคนหันไปมองทางลูกรังสีแดงที่ตรงมายังหมู่บ้าน มีมอเตอร์ไซค์วิบากคันใหญ่วิ่งฝ่าม่านฝุ่นหนามา ผู้ขับขี่สวมหมวกกันน็อคและใส่เสื้อหนังสีน้ำตาล รถมอเตอร์ไซค์คันนั้นวิ่งตรงเข้ามาจอดใต้ร่มต้นไม้ไม่ห่างจากที่ทั้งหมดนั่งคุยกันอยู่ ผู้ขับขี่ก้าวลงจากรถปัดฝุ่นสีแดงที่ติดตามตัวออก ฝุ่นผงปลิวว่อน ท่าทางของเขาล้าๆคงเนื่องจากต้องขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ฝ่าสภาพอากาศและถนนในภาวะต่างๆมาไกลโข

ทุกสายตาจ้องมองไปที่ร่างนั้นโดยไม่พูดจากัน โดยเฉพาะหญิงสาวคนงามแสนดื้อจ้องมองไม่วางตา เธอเองก็เองก็แสนประหลาดใจ เพราะคนที่เป็นหมอผีถ้าเก่งจริงทำไมไม่ล่องหนหายตัวมา แต่ผ่าขี่มอเตอร์ไซค์วิบากรุ่นใหม่ฝ่าถนนฝุ่นมาอย่างนี้ เธอจ้องมองทุกอากัปกิริยาของผู้ถูกเรียกว่าหมอผีไม่ละ เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ‘เนี่ยนะ…สารรูปของหมอผีที่พี่ชายพูดถึง ไม่ได้มีส่วนไหนให้น่านับถือเลย ดูท่าทางถือดี อวดตัว วางมาดเก๊กหล่อตลอด’ พอได้เห็นครั้งแรกและไม่ทันได้เห็นหน้าหญิงสาวก็รู้สึกไม่ถูกชะตาซะแล้ว

หมวกกันน็อคถูกถอดออก เผยให้ทุกคนได้เห็นใบหน้าคมคายหล่อเหลาเอาเรื่องของผู้ถูกเรียกว่าหมอผี ทุกคนในที่นั้นต่างมีสีหน้ายิ้มแย้มยินดี คงมีเพียงหญิงสาวเท่านั้นที่ขมวดคิ้วใบหน้าเต็มไปด้วยความฉงน เพราะหมอผีคนนี้ยังหนุ่มแน่นวัยไล่เลี่ยกับพี่ชายของเธอ เขาถอดเสื้อหนังออกพร้อมยกมือเสยเส้นผมที่ปรกหน้าให้เข้าทรงและปัดเนื้อปัดตัวไล่ฝุ่นที่จับหนาตามเสื้อออก จากนั้นก็ใช้เสื้อหนังโบกพัดไล่ความร้อน ใบหน้าคมสัน ตาโต จมูกโด่งนั้นสะดุดตาสาวๆได้ไม่ยาก ผิวคล้ำดั่งคนออกแดดประจำเสริมให้ร่างกายดูแข็งแรงและองอาจผึ่งผาย ยิ่งการเคลื่อนไหวก็กระฉับกระเฉงตามลักษณะคนในช่วงวัยฉกรรจ์ ไม่ขรึมขลังเหมือนผู้ทรงภูมิที่น่ายกย่อง ช่างผิดกับภาพที่เธอคาดไว้ ที่เธอเคยเห็นมาผู้เป็นหมอผีส่วนใหญ่จะเป็นชายแก่ไว้หนวดเครา ผมขาว แต่งชุดขาว กินหมากจนปากแดง และห้อยประคำพวงใหญ่ๆทั้งนั้น

ชายไว้หนวดชาวกรุงเอ่ยทักอย่างคุ้นเคย “แหม ลำบากแย่เลยนะ หมอผีสิน ที่ผมรบกวนให้คุณมาพบถึงที่นี่…”

“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณชาย ผมยินดีรับใช้ตระกูลเลิศจินดาเสมอ..” ชายหนุ่มผู้เป็นหมอผีเอ่ยตอบอย่างยิ้มแย้ม

ชายไว้หนวดชาวกรุงเริ่มแนะนำผู้ร่วมทาง “นี่คุณดนัย นายทหารรุ่นน้องที่สังกัดกระทรวงกลาโหมด้วยกัน นั่น ยัย ริน น้องสาวคนเล็กของผมเอง ทุกคนนี่คือหมอผีสิน…”

ดนัยยกมือไหว้พร้อมรอยยิ้มจริงใจ แต่หญิงสาวยกมือไหว้แบบเสียไม่ได้ หมอผีหนุ่มก็พอสังเกตออกรับไหว้ทั้งสองและไม่ได้ใส่ใจ เขาเดินไปยกมือไหว้นายบ้านและนั่งร่วมแคร่เพื่อสนทนา หญิงสาวบัวไลดูจะยินดีที่ได้เจอชายคนนี้เพราะแสดงอาการทั้งสีหน้าและแววตาชัดเจน หมอผีหนุ่มเองก็ยิ้มให้พร้อมแววตาที่แฝงความหมายล้ำลึก

หลังจากทักทายกันเสร็จ หมอผีหนุ่มก็เอ่ยถามชายไว้หนวด “ที่คุณชายเรียกผมมานี่ ไม่ทราบว่ามีธุระสำคัญอะไรจะให้ผมรับใช้หรือครับ”

“อื่อ.อ…อย่าพูดว่ารับใช้เลย เรียกว่าอาศัยไหว้วานดีกว่า..”

“งั้นก็ว่ามาเลยครับ….”

ชายไว้หนวดล้วงแผนที่ออกมา มันเป็นเศษผ้าเก่าๆเขียนด้วยอักขละโบราน บอกเส้นทางไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ทุกคนจ้องมองดู แล้วชายไว้หนวดก็อธิบาย “นี่คือลายแทงบอกเส้นทางไปยังปราสาท วังไวยกูลณ์ของเจ้าคุณพิทักษ์โกศลเพื่อนสนิทของเจ้าปู่ผม…”

“เจ้าคุณพิทักษ์โกศล ที่ว่าหายสาบสูญไปพร้อมบุตรสาวและก็ปราสาททั้งหลังนั้นน่ะหรือครับ..” หมอผีหนุ่มถาม

ชายไว้หนวดพยักหน้า “ใช่แล้วหมอผีสิน…เป็นการหายไปอย่างเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้…”

“บอกจุดประสงค์ของคุณชายผมมาตรงๆดีกว่า”หมอผีหนุ่มเอ่ยถาม

ชายไว้หนวดถอนหายใจ “ ผมต้องการค้นหาปราสาทหลังนี้ และอยากรู้ว่ามันหายไปอย่างไร้ร่องรอยได้อย่างไร ทั้งเจ้าของทั้งลูกสาว ผมเองเคยใช้ดาวเทียมทหารสำรวจจุดที่เคยตั้งก็หาไม่พบ และตลอดเวลา ๕๐ กว่าปีที่ผ่านมาก็ไม่มีใครเคยพบเห็นปราสาทหลังนี้ ผมจึงมั่นใจว่ามันน่าจะมาจากสิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ ผมจึงต้องรบกวนหมอผีสินให้ช่วยค้นหามันให้ที เพื่อสะสางภาระของตระกูลที่ค้างคาใจกันมาหลายสิบปี…”

หมอผีหนุ่มมองไปที่แผนที่ เขาเพ่งมองแล้วขมวดคิ้ว ทุกคนในที่นั้นจ้องมองเขาเป็นตาเดียว เหงื่อเริ่มซึมออกที่หน้าผากของเขา โดยเฉพาะหญิงสาวขมวดคิ้วแสดงสีหน้าฉงนอย่างเห็นได้ชัด เธอยังปักใจว่าหมอผีคนนี้ไม่น่าเป็นของจริง ที่ท่าทางซึ่งแสดงออกมาอาจเป็นกลแหกตาคล้ายพวกหมอผีเก๊ที่มีอยู่ทั่วกรุง

หมอผีหนุ่มถอนหายใจ เขาปาดเหงื่อแล้วบอกว่า “ไม่ได้ผล ผมเพ่งกสิณค้นหาไม่ได้ ตัวปราสาทมีอำนาจอะไรบางอย่างครอบคลุมไว้ และอำนาจนั้นเหนือกว่าผมมากๆ..”

“ว่าแล้ว…เดาไม่ผิดต้องมาอีกรูปนี้..” หญิงสาวเอ่ยอย่างดูแคลนทันที

ชายผู้พี่ทำหน้าเครียด ตวาดดุทันที “ยัยริน พูดจาอะไรระวังปากบ้าง พี่บอกไว้แล้วใช่ไหม?”

“อย่าดุคุณหญิงเลยครับคุณชาย เธอเป็นคนสมัยใหม่และยังเด็กอยู่อาจไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง ไว้โตเท่าๆพวกเราแล้วก็คงจะรู้และเข้าใจอะไรๆเหมือนเรานี่แหล่ะ..” หมอผีหนุ่มบอกแบบเตือนและดูแคลนวุฒิภาวะของเธอ

หญิงสาวฉุนกึกจ้องตาหมอผีหนุ่มเขม็ง “นี่…นาย..ว่าชั้นเป็นเด็กหรอ?..” ท่าทางปรี๊ดแตกของเธอทำเอาหนุ่มจอมคาถาสะดุ้งในการแสดงออก “ชั้นบรรลุนิติภาวะแล้วนะ แล้วนายจะพูดจาอะไรระวังปากไว้บ้าง ชั้นเป็นถึงลูกหลานราชนิกุลระดับหม่อมเจ้านะ ถ้าไม่สนิทจริงอย่ามาเล่นด้วย ชั้นไม่ชอบ!”

“น้องริน..เบาๆหน่อย มีมารยาทบ้าง” พี่ชายส่งเสียงปรามมา

“ไม่ใช่มาบอกรินให้มีมารยาท บอกนายหมอผีคนนี้ดีกว่า ให้มีมารยาทกับน้อง อะไรกันนี่…เจอหน้าก็ลามปามเลย”

หญิงสาวยังเถียงมาแบบไม่ยอมแพ้ ทำเอาหนุ่มจอมคาถามองอย่างทึ่งๆในนิสัยใจคอที่เธอแสดงออก

“พี่บอกให้พอได้เเล้ว!!!….” พี่ชายใบหน้าเคร่งเครียดเอ่ยน้ำเสียงกระด้าง

“ไม่พอ ระหว่างน้องกับกับหมอผีขี่มอเตอร์ไซค์ พี่ชายจะเห็นใครดีกว่ากัน”

“ถ้ายังก้าวร้าวไม่หยุด พี่จะให้ดนัยขับรถกลับไปส่งวังเดี่ยวนี้!” เสียงดุเข้มๆของพี่ชายทำเอาหญิงสาวนิ่งไป

หญิงสาวหันมาจ้องหน้าหมอผีหนุ่มทำตาดุๆและสำทับใส่เบาๆ “นายแน่มากนะ ทำให้พี่ชายดุชั้น”

“…ง่า….” เจออิทธิฤทธิ์ของหญิงสาวที่เพิ่งพบกันครั้งแรก ทำเอาหนุ่มจอมคาถาออกอาการเงิบ งงงันไปพักใหญ่

ชายไว้หนวดจ้องน้องสาวจนดูท่าจะหงอๆไปแล้วหันมาคุยต่อ “ขอบคุณหมอผีสินนะที่ไม่ถือ ว่าแต่เรามาคุยกันต่อดีกว่า ถ้าเป็นอย่างที่ว่ามาแล้วเราจะมีทางค้นหาได้ไหม?”

หมอผีหนุ่มมองหน้าหญิงสาวแล้วยิ้มแบบขำๆ ในกิริยากระฟัดกระเฟียดของหญิงสาว ก่อนที่เขาจะหันมาตอบคำถามของหนุ่มใหญ่ “เส้นทางตามแผนที่อันนี่หากเราเดินทางไปค้นหาก็อาจจะเจอ แต่จะไม่พบตัวปราสาท เพราะว่าปราสาทถูกศาสตร์อาถรรพ์ปกปิดเอาไว้ แต่หากเจอจุดที่ตั้งแล้วทำพิธีลบอาถรรพ์ลงได้เราก็จะเจอ…”

“แล้วหมอผีสินสามารถลบล้างคำสาปได้ไหม?”

“ผมไม่สามารถรับปากได้นะครับ แต่ก็ต้องไปดูก่อนว่า…ผู้ร่ายมนต์พรางตาไว้มีเวทย์ระดับไหน…”

“แต่หมอผีสินถูกยกย่องว่ามีพลังเวทย์สูงสุดในสยาม ผมว่าไม่น่าเหลือบ่ากว่าแรงนะ…”

“คุณชายยกย่องผมมากเกินไปแล้วครับ คนเก่งกว่าผมมีอยู่มากมายแต่เขาอาจไม่เผยตัวก็ได้…”

“แต่ผมก็มั่นใจว่าหมอผีสินน่าจะช่วยคลายมนต์นั้นได้…”ชายไว้หนวดถอนหายใจหนักๆและเอยต่อว่า “เพราะว่าคุณคือความหวังเดียวในการค้นหาปราสาทหลังนี้ หากล้มเหลว..เอ่อ…ผมคงจะรู้สึกผิดต่อเจ้าคุณปู่”

หมอผีหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ แล้วเขาก็เอ่ยถาม “ว่าแต่ผมยังมีข้อข้องใจประการหนึ่ง ไม่ทราบว่าคุณชายจะไปค้นหาปราสาทนั้นเพื่อการอะไร เพราะเรื่องที่เจ้าคุณพิทักษ์โกศล และบุตรสาวกับตัวปราสาทนั้นสาบสูญไปกว่า ๕๐ ปีแล้วนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองจบลง ผมได้ข่าวมาว่าเจ้าคุณพิทักษ์โกศลท่านเข้ากับฝ่ายญี่ปุ่น และเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการรบแถบเอเชียบูรพาจนได้รับยศพิเศษจากกองทัพญี่ปุ่น รวมทั้งยังขนสมบัติมหาศาลที่ได้จากการบุกยึดประเทศเพื่อนบ้านมาไว้ในครอบครองจนร่ำรวย เมื่อสงครามจบและญี่ปุ่นแพ้สงคราม อาจจะเป็นไปได้ที่ตัวของท่านและบุตรสาวหนีไปอาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่นเพื่อหลบหนีความผิดฐานอาชญากรสงคราม…”

“ฮื่อ.อ.อ…ความจริงเป็นอย่างไรไม่ทราบนะ” ชายไว้หนวดทำสีหน้าหนักใจ แล้วเขาก็จ้องหน้าหมอผีหนุ่ม “เท่าที่ผมได้ยินมาเรื่องของเจ้าคุณพิทักษ์โกศลก็ถูกเล่าต่อๆในวงสังคมลักษณะนั้น แต่มีอีกเรื่องนึงที่เล่าต่อๆในตระกูลของผมนั้นแตกต่างและพิสดารเหลือเชื่อ เจ้าคุณพ่อของผมที่เพิ่งเสียไปท่านมอบแผนที่อันนี้ไว้ให้ และเล่าว่าเจ้าคุณพิทักษ์โกศลและเจ้าคุณปู่ของผมนั้นเป็นสหายสนิทกัน ในตอนที่ท่านเจ้าคุณพิทักษ์โกศลหายไปพร้อมปราสาทและบุตรสาวของท่าน เจ้าคุณปู่ก็พยายามเสาะหาแต่ก็ไม่สัมฤทธิ์ และตอนนั้นอาจารย์ปู่ของคุณก็เพิ่งเสียชีวิตจาการประลองเวทย์ ส่วนพ่อของของคุณก็ยังอ่อนเชิงวิชาเวทย์จึงช่วยเหลืออะไรไม่ได้ และช่วงนั้นคุณพ่อของผมท่านก็ประสบมรสุมจากความผันผวนทางการเมือง เรื่องนี้จึงเป็นปมค้างคาของตระกูลเรามากว่า ๕๐ ปี และคราวนี้ถึงเวลาที่ผมจะสานต่อลบปมนั้นไป…”

หมอผีหนุ่มทำสีหน้าเรียบๆ แล้วถาม “แค่นั้นหรอครับ?”

“คุณคิดว่าผมมีอะไรแอบแฝงหรือ?” ชายไว้หนวดทำสีหน้าซื่อๆตอบกลับมา

หมอผีหนุ่มยิ้มแล้วบอก “ผมเองก็เชื่อใจคุณชายครับ…”

“เมื่อเชื่อใจของผม ก็หวังว่าคุณจะช่วยผมอย่างเต็มที่นะหมอผีสิน..”ชายไว้หนวดยิ้มอย่างมีความหวัง

ชายรุ่นน้องที่มาด้วยเอ่ยถามบ้าง “เอ่อ..ผมได้ยินพี่ธานินทร์เล่าว่า หมอผีสินนี่เก่งกล้าสามารถมากทางด้านอาคมทุกแขนง ไม่ทราบว่าด้านเมตตามหานิยมนี่พอแนะนำผมได้ไหม? …”

“หึ..หึ… คุณเองก็รูปหล่ออยู่แล้วเป็นทุน รูปทรัพย์ก็ไม่น้อยกว่าใคร แค่นี้สาวๆทั่วกรุงก็หมายปองแล้วจะสนใจเรื่องเสน่ห์เมตตามหานิยมไปทำไมล่ะ?”

“แต่คือว่า..ผม..เอ่อ.อ..อ์…” หนุ่มน้อยท่าทางสำอางทำท่าอึดอัด

หมอผีหนุ่มยิ้มแล้วมองหน้า “เชื่อมั่นในตนเอง คุณเองมีดีอยู่กับตัวแล้ว ไม่ต้องเอามนต์ไร้สาระไปใช้หรอก เสน่ห์ในตัวที่คุณมีก็เหลือเฝือที่จะทำให้สาวๆในพระนครหลงหัวปักหัวปำแล้ว….”

“สรุปว่าจะไม่แนะนำผมบ้างเลยหรอ?”

“ผมก็แนะนำไปแล้วนี่….”หมอผีหนุ่มบอกย้ำ ชายหนุ่มจึงทำท่าเหมือนผิดหวัง

หญิงสาวที่นั่งฟังอยู่อดหมั่นไส้ไม่ได้ เธอจึงพูดขึ้นบ้าง “พี่ดนัยก็งมงายไปได้ เท่าที่รินเจอมาไม่เคยเห็นหมอผีที่ไหนจะทำเสน่ห์ให้ผู้ชายเลย เห็นทำให้แต่พวกผู้หญิง ทำไปทำมาแล้วก็……….” เธอหันมามองหมอผีหนุ่มสายตาเยาะๆ แล้วเอ่ยถามแบบแขวะๆขึ้น “ว่าแต่พ่อหมอสินนี่เคยทำเสน่ห์ให้พวกผู้หญิงบ้างไหม?”

“เคยครับ….” หมอผีหนุ่มตอบยิ้มๆ

หญิงสาวมีแววเยาะเย้ยขึ้นในดวงตา เธอเอ่ยว่า “แล้วทำอย่างไงหล่ะ?”

“ก็เหมือนกับที่คุณหญิงเคยได้ยินมานั่นแหล่ะครับ…”

หญิงสาวมองอย่างหยามๆ “ต้องเปลือยกาย แล้วก็นอนให้คุณลงคาถานะหรอ?”

“พูดเหมือนคุณหญิงเคยทำมาเลยนะครับ..” หมอผีหนุ่มตอบไปทำเธอหน้าเปลี่ยนสี

“บัดสีแล้ว…นายถือดีอะไรมาพูดจาจาบจ้วงชั้นอย่างนี้ ?!!?” หญิงสาวแว้ดใส่มาทันที

หมอผีหนุ่มยังยิ้มยั่ว “ก็จริงนี่ คุณหญิงพูดเหมือนมีประสบการณ์”

“แก..!!!…”

แต่ก่อนจะวิวาทะกันต่อ เสียงเข้มๆก็ห้ามมา “น้องริน.!!..พอได้แล้ว.!!..”

“แต่พี่ค่ะ?”

“พี่บอกให้พอ น้องล่วงเกินหมอผีสินมากไปแล้วนะ น้องอาจจะไม่ศรัทธาในตัวของเขาเพราะน้องยังไม่เคยมีประสบการณ์เหมือนพี่ หากน้องได้สัมผัสจะต้องขอขมาแก่เขาอย่างแน่นอน พอแค่นี้แล้วกลับไปพักที่กระท่อมได้แล้ว พี่มีเรื่องจะหารือกันเพื่อการเดินทางในวันพรุ่งนี้..”

หญิงสาวขมวดคิ้ว “เดินทาง? พรุ่งนี้?”

“ใช่…พี่ หมอผีสิน ดนัยและคณะลูกหาบจะเดินทางไปค้นหาวังไวยกูรณ์กันในวันพรุ่งนี้ เพื่อสะสางภารกิจของตระกูลเราที่สืบทอดมาสามชั่วคนแล้ว น้องแค่ติดตามมาไปพักผ่อนซะ…”

หญิงสาวยังถามต่อ “แล้วรินไม่มีส่วนในเรื่องนี้เลยหรือ?”

“น้องต้องอยู่นี่ อย่าไปต่อเลย ลุงคำพูนและบัวไลจะดูแลน้องเอง”

หญิงสาวมองหน้าหมอผีหนุ่ม “ตอนแรกรินไม่อยากไปด้วยหรอก แต่ตอนนี้รินอยากไปด้วยแล้ว..”

“ไม่ได้!” ผู้พี่ชายยืนกราน “นั่งรถมายังบ่นตลอดทาง แล้วไปเดินป่าน้องจะบ่นแค่ไหน รออยู่นี่แหล่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องของพวกผู้ชาย ละไว้ให้พี่จัดการเถิด…”

“แต่….”

ชายไว้หนวดมองตาดุๆสั่งเสียงเข้มๆ “ไปได้แล้ว…”

“ฮึ!….” หญิงสาวลุกขึ้น เธอสะบัดกายเดินย่ำเท้าไปจากตรงนั้นอย่างไม่พอใจ

คล้อยหลังของหญิงสาวหัวดื้อ ทั้งหมดก็หันมาคุยกันต่อ

ชายไว้หนวดเอ่ยกับหมอผีหนุ่มแบบเกรงใจ “ต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่น้องรินก้าวร้าวต่อคุณ ขออย่าถือสาหาความเลยนะ”

“ไม่เป็นไรครับ เด็กหัวสมัยใหม่ก็อย่างนี้แหล่ะ ผมไม่ถือสาหรอก..” หมอผีหนุ่มบอกอย่างไม่ใส่ใจ

ชายไว้หนวดทำหน้าเบาใจ “ถ้าเช่นนั้นเรามาว่าถึงเรื่องเดินทางไปค้นหาปราสาทวังไวยกูรณ์กันดีกว่า…”

“ปราสาทวังไวยกูรณ์ ตามคำบอกเล่าแต่เดิมต้องตั้งอยู่ตรงนี้” ลุงคำพูนชี้ในแผนที่และบอก “แต่ปัจจุบันแถบนี้โล่งมีแต่ป่าไม้หนาแน่น และป่านี้ก็มีอาถรรพ์ใครล่วงล้ำเข้าไปไม่เคยกลับออกมาเลย..จึงเป็นที่ขยายของคนแถวๆนี้ ไม่มีใครกล้าสัญจรผ่าน เพราะเต็มไปด้วยภัยอันตรายนานาทั้งจากอาถรรพ์และสัตว์ร้าย”

หมอผีหนุ่มเอ่ยถาม “แล้วมันอยู่ไกลจากที่นี่มากไหม?”

“ใช้เวลาเดินทางประมาณสองวันก็น่าจะถึงนะ…แต่ถ้าเป็นคณะใหญ่ๆ ผมว่าน่าจะประมาณสามถึงห้าวัน”

ชายไว้หนวดทำสีหน้าครุ่นคิด “อื่อ.อ…ถ้าเช่นนั้นผมคงต้องรบกวนลุงคำพูนจัดเตรียมคนให้ผมด้วย พรุ่งนี้เช้าเราจะออกเดินทางกัน เรื่องค่าตอบแทนไม่ต้องห่วง ผมจะสัมมนาคุณให้เต็มที่เลย..”

“โอ้ย….ไม่ต้องพูดถึงเรื่องค่าตอบแทนหรอกครับ ผมบอกคุณชายแล้วไง ว่าทุกคนที่นี่ยินดีรับใช้คนของตระกูล เลิศจินดา ทุกคนอย่างเต็มหัวใจ เพราะเจ้าคุณหมอพ่อของคุณมีบุญคุณกับคนในหมู่บ้านของเรามากมายมหาศาล..”

“ฝากลุงคำพูนจัดการเรื่องลูกหาบและเครื่องมือเดินทางด้วย เดี๋ยวฉันจะกลับเข้าเมืองไปหาข้อมูลเส้นทางจากกูเกิ้ลก่อน”

“อั๊ยยะ! หาข้อมูลจากกูเกิ้ล นี่จะพึ่งพาอะไรได้เนี่ย แล้วคาถาอาคมที่ว่าแน่ๆ เรียนมาจากกูเกิ้ลหรือเปล่า” สาวผู้ดีอยู่ๆก็กลับมาอีก และเอ่ยแขวะมาอย่างเย้ยหยัน

” !!! ” หนุ่มจอมคาถาหันไปมองงงๆว่ามาได้อย่างไง

” น้องริน สงบปากสงบคำบ้าง !?” พี่ชายของวเธอปรามมาเสียงเข้มๆ “พี่บอกให้กลับไปที่ห้อง มาอีกทำไม ผู้ใหญ่เขาจะคุยธุระกัน”

“ฮื่อ..รินเเค่มาเดินรับลมง่ะ..” หญิงสาวพอถูกดุก็แก้ตัวไปเรื่อย

“ไปเดินเล่นที่อื่นก็ได้ ให้ลูกสาวลุงคำพูนพาไปละกัน”

ลุงคำพูนเอ่ยบอกลูกสาวตนให้พาหญิงสาวไปเดินเล่นท้ายหมู่บ้าน มีคลองใหลผ่าน ต้นไม้ร่มรื่นเย็นสบาย

บัวไลจึงมองหนุ่มหมอผีอย่างเสียดายและตัดใจเดินมาบอกหญิงสาวให้ตามไปอย่างนอบน้อม หญิงสาวจำใจเดินตามไปเพราะเกรงพี่ชายจะดุอีก

จากนั้นชายไว้หนวดก็หันมายิ้มแจ่มใสกับหนุ่มหมอผีและลุงคำพูน “ผมขอขอบคุณลุงคำพูนและหมอผีสินมากๆ ถ้าได้รับความช่วยเหลือครั้งนี้ เท่ากับได้สะสางปมคาใจของตระกูลเราสามชั่วคนจะได้สะสางเสียที”

“ไม่ต้องขอบอกขอบใจอะไรพวกผมหรอกครับ ทุกคนเดินทางมาไกลคงจะเหนื่อยกันมากๆ ขอเชิญทุกท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ เดี๋ยวเรื่องข้าวของเครื่องใช้ ผมจะเป็นธุระจัดเตรียมไว้ให้เอง” ลุงคำพูนซึ่งเป็นนายบ้านกล่าวรวมๆกับทุกคนและรับปากจัดการทุกเรื่องให้ ทุกคนในที่นั้นจึงขยับตัวแยกย้ายกันไปตามกระท่อมที่พักซึ่งถูกจัดไว้ต้อนรับอย่างดีที่สุดเท่าที่คนบ้านป่าจะหาไว้รับรองได้…

ขบวนกองเกวียนที่เตรียมตัวเดินทางเข้าไปในป่าลึก ต่างเคลื่อนย้ายเข้ามาในเขตที่หน้ากระท่อมของนายบ้าน ชายร่างกำยำถูกคัดเลือกให้ร่วมขบวนไป ส่วนหมอผีหนุ่มถูกพาไปพักที่กระท่อมริมหนองน้ำ ห่างจากที่กลุ่มชาวกรุงซึ่งพักอยู่ในกระท่อมหลังใหญ่ถัดไปไม่ถึงห้าสิบเมตร โดยมีหญิงสาวชาวบ้านแถวๆนั้น มาช่วยดูแลความสะดวกสบายให้กับทุกคนอย่างดี ซึ่งชาวบ้านเองต่างก็พร้อมใจช่วยเหลือรับใช้ เพราะเจ้าคุณปู่ของชาวกรุงพี่น้องนั้นมีพระคุณต่อชาวบ้านในย่านนั้น ด้วยว่าท่านเป็นผู้บุกเบิกที่อาศัยทำกินให้พวกเขามาตั้งแต่ครั้งพื้นที่แถวนั้นยังเป็นเพียงป่ารกทึบ…

หลังจากตกลงเรื่องการเดินทาง ในช่วงบ่ายของวันนั้นสัมภาระต่างๆที่จะใช้ในการเดินป่าได้ถูกนำมาส่ง

Share the Post:

Related Posts

แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู

เรื่องเสียว แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู เอิร์นนะคร้า เป็นสาวมหาลัยในเชียงใหม่นี้เองค่า เอิร์นเป็นสาวมหาลัยปีสองแล้วค่ะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องผู้ชายเลย ยุคนี้แล้วเนอะ ไม่ใช่แค่ผู้ชายนะคะที่ล่าแต้ม เอิร์นเองก็กินมาเยอะเหมือนกันค่ะ สูงยาว ลำอวบ ใหญ่ยาว กินมาหมดแล้วค่า ชีวิตครั้งนึงเนอะ เรื่องพวกนี้ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ต้องมีบ้างอยู่แล้วใช่ไหมค่ะ และแน่นอนว่าเอิร์นเลยกินแต่วัยเดียวกัน รู้ตัวอีกทีได้แอบกินรุ่นใหญ่พี่แท็กซี่ซะอย่างนั้นเลยค่ะ ที่สำคัญไม่เคยเจอมังกรที่ใหญ่ยักษ์ขนาดนี้มาก่อน มาเริ่มเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ ด้วยความที่อยู่เชียงใหม่ที่เที่ยวเยอะ

Read More

จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว

เรื่องเสียว จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว “ตั้งกล้องเรียบร้อยแล้ว มึงพร้อมยังจะได้กดเริ่ม” วันนี้เรามีถ่ายคลิปวิดีโอทำอาหารที่คอนโดของพวกเราสองคนที่เป็นเพื่อนกัน เรามองเม็กที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมสองเม็ดจนเห็นแผงอกที่เป็นมัดกล้าม กางเกงขาขั้นสั้นสบาย ๆ แต่พอมาอยู่บนร่างกายของเม็กแล้วมันดูดีไม่น้อยเลย ถึงแม้เราทั้งสองจะเป็นเพื่อนกัน แต่พอมาเจอมันในลุคนี้ก็ทำให้เราใจสั่นไม่น้อย “มึงกูสวยยัง” “สวยแล้ว” พอได้รับคำตอบที่สร้างความมั่นใจให้กับตัวเองแล้ว เราก็พยักหน้าให้มันเริ่มกดบันทึกภาพวิดีโอทันที การถ่ายทำดำเนินไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นตอนการชิมอาหาร “อะ

Read More