ตำนานนักรัก ตอนที่ 2
วันรุ่งขึ้นผมต้องเข้าเวรหน้าตึก คอยดูแลต้อนรับแขกที่จะมาเยี่ยมญาติของพวกเขา หรือพาญาติมาฝากให้ทางศูนย์ช่วยดูแล เลยยังไม่ได้เจอลุงเสงี่ยมจนกระทั่งเกือบเที่ยง รถอัลพาร์ดสีดำที่ผมจำได้ว่าเคยพาลุงเสงี่ยมเข้ามาอยู่ที่ศูนย์ แต่คราวนี้มันเปลี่ยนมาป้ายสีดำแล้วก็แล่นเข้ามา
หญิงสาววัยกลางคนที่ผมเดาว่าน่าจะเป็นลูกสาวของลุงเสงี่ยมก็เปิดประตูรถด้านคนขับลงมา พร้อมกับสาวน้อยอีกคนหนึ่งที่เปิดประตูด้านข้างคนขับตามลงมาด้วยท่าทางที่บ่งบอกให้รู้เลยว่า คงไม่เต็มใจมา เพราะวงหน้าเรียวรูปไข่แม้จะดูสวยน่ารักก็จริง แต่หัวคิ้วทั้งสองขมวดมุ่นท่าทางก็กระฟัดกระเฟียดเหมือนกำลังอารมณ์เสียโดยระบายออกด้วยการปิดประตูรถดังโครมใหญ่
“เจน..เวลาลูกอยู่ต่อหน้าคุณตา..อย่าทำกิริยาแบบนี้อีก
นะ…” ผมได้ยินเสียงลูกสาวลุงเสงี่ยมดุลูกสาวของตนเองเบาๆ แต่ใบหน้าก็ยังฉาบไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อกวาดสายตาเลยมามองเห็นว่าผมกำลังลุกขึ้นยืนต้อนรับ
“ก็เจนไม่อยากมานี่คะคุณแม่…ที่นี่คงมีแต่คนแก่..น่าเบื่อจะตาย..” หลานลุงเสงี่ยมที่ชื่อเจนยังคงเดินบ่นอุ๊บอิ๊บเบาๆ พร้อมสาวเท้าก้าวเดินตามผู้เป็นแม่ ซึ่งบัดนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าเธอชื่ออะไรกัน
“สวัสดีครับ..มาเยี่ยมคุณลุงเสงี่ยมใช่มั๊ยครับ…” ผมรีบร้องทักทายทันที่ เมื่อญาติทั้งสองของลุงเสงี่ยมเดินเข้ามาใกล้
“จำได้ด้วยหรือคะ….” ลูกสาวลุงเสงี่ยมเลิกคิ้วร้องถามด้วยความแปลกใจ ว่าผมจำได้อย่างไร ทั้งๆที่ตั้งแต่เธอพาลุงเสงี่ยมเข้ามาอยุ่ในศุนย์เป็นครั้งแรกแล้วนั้น เพิ่งจะมาเยี่ยมพ่อของเธอเป็นครั้งแรกในวันนี้ แต่มันก็นานนับเดือนไปแล้ว
“จำได้สิครับ…เดี๋ยวคุณผู้หญิงเข้าไปลงบันทึกการเยี่ยมญาติข้างในก่อนนะครับ แล้วผมจะพาไป…” ผมไม่บอกเหตุผลไปหรอกครับว่าทำไมจึงจำได้ คงเพราะบุคคลิคที่เด่นสง่า กับรูปร่างเพรียวสูงเหมือนนางแบบของเธอ อีกทั้งยังคงบำรุงรักษาหน้าตาได้อ่อนเยาว์กว่าอายุจริงๆนับสิบปีกระมัง ที่พอเจอกันครั้งแรก ภาพนั้นก็ติดตาจนยากจะลืมเลือน
“เธอชื่ออะไรจ๊ะ…” ลูกสาวลุงเสงี่ยมร้องถามผมด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ที่แววตาและใบหน้ายังคงยิ้มแย้มเป็นกันเองไม่ได้ถือตัวว่าผมเป็นเพียงพนักงานเล็กๆคนหนึ่งในศูนย์เนิร์สซิ่งโฮม
“ผมทองดีครับ..คุณผู้หญิง…” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ต๊าย…ไม่ต้องเรียกชั้นแบบนั้นหรอก…เรียกคุณกานดา..ดีกว่า..” เป็นอันว่าคราวนี้ผมรู้แล้วว่าลูกสาวลุงเสงี่ยมเธอชื่อกานดา พอเธอพูดจบก็เดินเข้าไปที่เค้าเตอร์พนักงานต้อนรับ ทิ้งลูกสาวที่ชื่อเจนให้ยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับใกล้ๆผม ให้พิจารณาตรงๆ จึงได้เห็นว่าหน้าเด็กสาวชื่อเจนนั้น มีพิมพ์ละม้ายคล้ายคลึงกับผู้เป็นแม่หลายส่วนทีเดียว แต่ที่ต่างกันในตอนนี้ คงมีเพียงใบหน้าที่บึ้งตึงบอกบุญ
ไม่รับเท่านั้นเอง
“นายมองอะไร…” แล้วผมก็สะดุ้ง เมื่อจู่ๆลูกสาวคุณกานดาก็พูดเสียงแหวใส่ผม พร้อมหันหน้ามาจิกตาจ้องอย่างเอาเรื่อง คงเพราะว่าผมเสียมารยาทเผลอจ้องเธอนานไปหน่อยเป็นแน่[/post]”ขอโทษครับ..ผมแค่เห็นว่าหน้าคุณเจนเหมือนคุณกานดาเท่านั้นเองครับ เลยเผลอเสียมารยาทมองนานไปหน่อย…” ผมรีบตอบกลับด้วยน้ำเสียงและท่าทางสุภาพออกไป เพราะมันเป็นกฏเหล็กของพนักงานในศุนย์แห่งนี้ ที่พนักงานทุกคนต้องพูดจาสุภาพกับลูกค้า ไม่ว่าลูกค้าจะอยู่ในอารมณ์ใดก็ตาม
“เชอะ..ก็แค่คนงาน…กระจอก…” เด็กสาวท่าทางหยิ่งถือตัวสะบัดหน้าหันตัวกลับไป พร้อมพูดบ่นเบาๆ แต่ผมก็ยังพอได้ยิน แม้ผมจะรู้สึกผิดหวังกับคำพูดและกิริยาของเธอที่ปฏิบัตืกับผม มันช่างต่างกับหน้าตาสะสวยยิ่งนัก แต่ผมก็ไม่อยากตอบโต้อะไรออกไป ได้แต่
เก็บปากเงียบด้วยความไม่พอใจ จนกระทั่งคุณกานดาเดินกลับออกมา
“พาไปหาคุณพ่อหน่อยสิจ๊ะ..ทองดี..” ยังดีที่ผมได้ยินเสียงอ่อนหวานของผู้เป็นแม่มาชดเชย จึงรีบนำทางพาสองแม่ลูกไปหาลุงเสงี่ยมที่ตึกเขียว อันเป็นที่พักของลุงเสงี่ยม พอพ่อลูกได้เจอกัน ผมก็เดินเลี่ยงออกมาประจำหน้าที่ที่หน้าตึกทันที ไม่รู้เรื่องว่าลุงเสงี่ยมกับลูกสาวและหลานสาวคุยอะไรกันบ้าง
สักชั่วโมงผ่านไปคุณกานดาก็พายัยเด็กเจนลูกสาวจอมหยิ่งเดินกลับออกมา และทักทายผมพอเป็นพิธีก่อนที่จะขับรถออกไปจากศูนย์
ยังไม่ทันบ่ายโมงเลยลุงเสงี่ยมแกก็เดินมาหาผมที่กำลังนั่งพักทานข้าวเที่ยงอยู่ที่โรงครัว
“นั่งกินข้าวอยู่นี่เอง…ลุงเดินตามหาทองดีตั้งนาน…” ลุงเสงี่ยมร้องทักผมตั้งแต่แกยังเดินเข้ามาไม่ถึงตัว ผมรีบลุกยืนพร้อมเดินเข้าไปประคองแขนแกพามานั่งบนเก้าอี้ตรงหน้าผม
“ลุงเดินตามหาผมหรือครับ…มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ..คราวหลังเรียกคนงานในศูนย์ให้มาตามก็ได้..” ผมรีบบอกให้แกรู้ เพราะระยะทางจากตึกเขียวที่พักของลุงเสงี่ยมกับโรงครัว แม้นมันไกลมากสำหรับหนุ่มสาว แต่คนชราอย่างลุงเสงี่ยมที่ต้องเดินด้วยไม้เท้าสามขามันไม่ง่ายเลย จับพลัดเดินสะดุดหกล้มละเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ
“ไม่มีเรื่องอะไรหรอก..ลุงเหงาๆ..เลยมาหาเพื่อนคุยน่ะ…” ลุงเสงี่ยมบอกเหตุผลที่ต้องเดินตามหาผมออกมา
“เหงาอะไรอีกครับลุง..เมื่อสักครู่ลูกหลานเพิ่งมาเยี่ยม…” ผมถามออกไปด้วยความสงสัย เพราะดูแววตาและคำพูดของลุงแกแล้ว มันบ่งบอกอย่างชัดเจนตามคำพูดทีเดียว
“ก็เพราะเรื่องที่ไอ้ดามาคุยนั่นแหละ..มันคงทำให้ลุงเหงาแน่ๆ…อยู่ที่นี่ลุงมีทองดีกับเพื่อนๆคอยคุยด้วย..เห้อ…ให้กลับบ้าน ลุงจะไปคุยกับใครได้อีก..จริงมั๊ยทองดี….” ลุงเสงี่ยมแกพูดออกมาด้วยน้ำเสียงบ่งบอกความรู้สึกอย่างชัดเจน
“คุณกานดาจะให้ลุงกลับไปอยู่บ้านแล้วหรือครับ…โอ้…เรื่องน่ายินดีแบบนี้..ลุงจะมาเหงาอีกทำไมล่ะครับ..ได้อยู่ใกล้ลูกหลาน…”
“เห้ออออ….” ลุงเสงี่ยมถอนหายใจยาวๆแล้วพูดต่อ
“นึกหรือว่าอยู่บ้าน แล้วพวกมันจะมีเวลาให้ลุง…ไอ้ดาก็มัวแต่บ้างาน..ไอ้เจนมันเคยพูดกับตามันเกินสามคำที่ไหน…”
“อ่ะ..ลุงเคยเล่าว่าบ้านใหญ่โตมีลูกหลานเยอะแยะไม่ใช่หรือครับ…” ผมแย้ง เพราะจำได้ว่าเมื่อวานเองที่ลุงเสงี่ยมเพิ่งเล่าให้ฟังว่าบ้านพ่อแม่แกมีลูกหลานเยอะแยะ
“เห้ออออ..เรื่องนั่นมันเป็นอดีตไปแล้ว..พอพ่อแม่ลุงตายแบ่งสมบัติกันเสร็จ..ที่ผืนนั้นก็ขายให้นายทุนเอาไปทำเป็นโรงงานทำกระดาษ..ญาติๆพี่น้องลุงก็แยกย้ายกันไปมั่ง ล้มหายตายจากไปมั่ง จนกว่ายี่สิบปีแล้วมั้งที่ไม่เคยได้ติดต่อกันอีกเลย…”
“เดี๋ยวก่อนครับลุง..พอดีใกล้ได้เวลาที่ผมต้องกลับไปเข้าเวรหน้าตึกแล้ว…” ลุงเสงี่ยมกำลังจะเริ่มเล่าเรื่องราวของแกอีกครั้ง ในขณะที่เวลาพักเที่ยงของผมก็ใกล้หมดลงไปทุกที จึงต้องรีบขัดแกไว้ก่อน ทั้งๆที่อยากฟังเรื่องของแกอีก
“อ้าว..ทองดีจะไปทำงานแล้วหรอ…” ผมได้ยินเสียงรำพึงอ่อยๆของแกแล้วเกือบใจอ่อนด้วยความสงสาร แกคงเหงาไม่มีเพื่อนคุยจริงๆ
“ใช่ครับ..เอางี้มัยครับ..พอเลิกงาน..ผมค่อยไปหาลุงที่ห้องแล้วคุยกันใหม่…” ผมตัดสินใจบอกไปด้วยความสงสารแก ทั้งๆที่พอเลิกงานแล้ว มันเป็นเวลาพักของผม ที่จะไปหาความสุขตามประสาชายหนุ่ม
“เออ..เอาแบบนั้นก็ได้ ขอบใจนะทองดี…” ลุงเสงี่ยมแกพูดพร้อมเอื้อมมือไปตบบ่าผมเบาๆ ผมเลยลุกขึ้น พยุงพาเดินกลับไปส่งที่ตึกเขียวตามเดิม แล้วกลับมาทำหน้าที่เวรประจำหน้าตึกของผมต่อไป จนกระทั่งได้เวลาเลิกงานห้าโมงเย็น ผมก็เดินไปหาลุงเสงี่ยมตามคำสัญญา
พอไปถึงห้องที่ลุงเสงี่ยมพักอยู่เห็นประตูห้องเปิดแง้มอยู่เล็กน้อย แต่ระเบียงหน้าห้องที่ลุงเสงี่ยมชอบออกมานั่งมองเพื่อนๆวัยชราของแกกลับไม่เห็น ผมเลยคิดว่าแกน่าจะยังอยู่ในห้องพัก จึงผลักประตูเปิดเดินเข้าไปโดยไม่ให้สุ้มเสียง แล้วผมลอบอมยิ้มเมื่อสายตาแลเห็นแว๊บๆว่าแกนอนพักอยู่บนเตียงโดยมีพยาบาลวิยืนอยู่ชิดติดเตียงข้างๆ เหมือนกำลังก้มตัวป้อนยาให้ลุงแกอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องปรกติที่ผมเคยเห็นเสมออยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ผมอมยิ้ม เพราะสายตาว่องไวของผมพอดีเห็นว่ามือขวาของลุงเสงี่ยมนั้นไม่ได้วางบนเตียงนอนเฉยๆ แต่กลับอ้อมมือมาจับก้นงอนๆของพยาบาลวิคลึงจับลูบไปด้วย แล้วรีบชักมือกลับอย่างรวดเร็ว ขณะที่พยาบาลวิก็ขยับตัวห่างออกมาจากเตียงอีกเล็กน้อย ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เมื่อได้ยินเสียงผมร้องทักออกไป
“เอ้อ..คุณวิอยู่ด้วยหรือครับ….”
“เอายามาให้ลุงเสงี่ยมกินน่ะคะ…ทองดีมาก็แล้ว งั้นวิไปเลยนะคะลุง กินยาบำรุงให้หมดด้วยนะ..วิฝากลุงกับทองดีด้วยนะคะ…” พยาบาลวิพูดรัวเร็วอึกๆอักๆ แล้วผลุนผลันเดินก้มหน้าสวนผมออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
“ลุงนี่ร้ายไม่เบาเลยนะครับ…” ผมแซวแก เมื่อหันกลับไปเห็นว่าพยาบาลวิเดินลับตาออกไปแล้ว อยากจะถามเหมือนกันว่าลุงแกทำยังไง ถึงได้ลุบก้นอวบๆงอนๆของพยาบาลวิได้
“เอ็งนี่ก็ตาไวจริงนะ..ฮ่าๆๆๆ ” ลุงเสงี่ยมแกหัวเราะฮาๆชอบใจเมื่อรู้ว่าผมเห็นการกระทำของแก
“ขอบใจว่ะทองดี..ที่มาคุยกับลุงตามสัญญา..ทั้งๆที่เลิกงานไปแล้ว….” ผมได้แต่เพียงยิ้มรับคำขอบใจของลุงแก พร้อมสอบถามแกว่าอยากลุกออกไปนั่งที่ระเบียงห้องมุมโปรดของแกหรือว่าจะอยากนอนต่อ
“ไปนั่งคุยที่ระเบียงสิวะ..นอนอุดอู้ในห้องน่าเบื่อจะตาย…” ลุงเสงี่ยมตอบยิ้มๆแล้วตั้งท่าจะผงกหัวลุกขึ้นจากเตียง ผมรีบเข้าไปช่วยพยุงหลัง
“อ้าว..แล้วลุงเข้าไปนอนทำไมล่ะ..” ผมถามเมื่อเข้าไปพยุงแกลุกขึ้นนั่ง แล้วพาแกเดินออกไปนั่งในมุมโปรดหน้าห้อง
“ไม่ทำแบบนี้ลุงจะจับก้นน้องวิได้หรือวะไอ้..ไอ้เซ่อ…ฮ่าๆๆๆๆ” แกพูดกลัวเสียงหัวเราะขำๆ ผมเลยถึงบางอ้อ..เพิ่งรู้เลยว่าแกอ้อนไปนอนบนเตียง เพื่อวางแผนลูบก้นพยาบาลวินั่นเอง
“เลิกงานแล้วทำไมเอ็งไม่ไปเที่ยวตามประสาหนุ่มๆเขาวะ…”
“อ้าว..ลุง..ก็ผมสัญญากับลุงไว้ไงครับ..ว่าจะมาคุยเป็นเพื่อน…หรือว่าตอนนี้ลุงไม่อยากคุยแล้ว…”
“เห้ยคุยสิวะ..คนสว.อย่างลุงนี่มันแก่แล้วแก่เลย ยังกะที่เขาว่าจริงๆ…ฮ่าๆๆๆๆ” ผมได้ยินก็หัวเราะขำตาม นับว่าลุงเสงี่ยมแกก็ทันสมัย
ดีครับ รู้จักเรียกตัวเองว่าสว.ตามประสาวัยรุ่นที่เขาใช้กัน แต่แทนที่วันนี้ลุงแกจะเริ่มเล่าเรื่องของแกให้ผมฟัง กลับมีเรื่องมาซักถามผม
ไม่ได้หยุด
“ทองดี..เอ็งอายุเท่าไหร่แล้วนี่…” ผมก็ตอบไปตามตรงว่า25ย่าง26แล้ว ลุงแกก็ถามต่อ
“แล้วนี่เอ็งไม่รีบกลับไปหาเมียที่บ้านหรือไงวะ”
“โธ่ลุง..ได้โปรดดูหน้าของผมใหม่อีกครั้งสิครับ..หน้าเด๋อๆด๋าๆ บ้านนอกๆ อย่างผมนี่..จะหาเมียเป็นตัวเป็นตนกับเขาได้…ฮ่าๆๆๆ” ผมรู้ตัวเองดีว่าหน้าตาและฐานะอย่างผม สาวๆที่ไหนจะมาสนใจ จึงหัวเราะขำไปกับคำถามของลุงเสงี่ยม แล้วก้นึกว่าแกจะหมดคำถามไปแล้ว หลังจากแกได้ยินผมพูดก็อึ้งไปแป๊บนึง
“เอ็งทำงานที่นี่ได้เงินเดือนเท่าไหร่วะ..บอกลุงได้มั๊ย…”
“ได้สิครับ..ตอนนี้ผมได้หมื่นนึงแล้วไม่รวมโอที..แต่ตอนเข้ามาทำใหม่ๆ เมื่อสองปีที่ผ่านมาเริ่มสตาร์ท9000บาทเองครับ…” ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าลุงเสงี่ยมแกอยากรู้เรื่องเงินเดือนของผมไปทำไม แต่ก็บอกแกไปตามจริง แกได้ยินก็อมยิ้มเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ในใจของแกไปคนเดียว
“ลุงเล่าเรื่องวัยเด็กของลุงให้ผมฟังต่อสิครับ…” คราวนี้ผมเลยวกกลับมาเข้าเรื่องที่ตนเองอยากรู้ว่าวัยเด็กของลุงแกจะโลดโผนขนาดไหนกันแน่
“เออ..ได้สิวะ..แต่ว่าลุงเล่าไปถึงตอนไหนแล้ววะ…” คราวนี้ผมขำก๊ากเลย ที่แกดันจำเรื่องที่แกเล่าเองไม่ได้ว่าเล่าถึงตอนไหน มันบ่งบอกเลยว่าแกสว.จริงๆ แต่ขนาดสว.ยังงี้ ยังอุส่าห์วางแผนจับก้นคุณวิได้ ผมละนับถือแกเลย