ศึกหมอผี ตอนที่ ๕
ศึกมหาเวทย์สองหมอผี
ท่ามกลางกระแสลมพัดดังหวีดหวิวในยามดึกสงัด การเผชิญหน้าเพื่อพิสูจน์พลังมนตรามหาเวทย์ ของสองหมอผีก็อุบัติขึ้น ทั้งสองหมอผียืนจ้องตากันไม่กระพริบ ทั้งคู่ยังไม่ขยับกายเคลื่อนไหวใดๆ ฝ่ายนางจระเข้และนางผีสาวก็มองจ้องด้วยใจระทึก เพราะสิ้นสุดการต่อสู้ครั้งนี้ย่อมหมายถึงชีวิตของใครคนใดคนหนึ่งต้องดับสูญ และภูตทั้งสองต่างก็ปรารถนาให้หมอผีหนุ่มคือผู้มีชัยในบั้นปลาย แต่ว่าจะสมดั่งที่พวกนางวาดหวังหรือไม่ กำลังจะได้รู้ในอีกไม่ช้านี้แล้ว..
“…ไอ้หน้าอ่อน!! รับนี่ไป!!!” หมอผีไสยดำเปิดฉากเล่นงานก่อน
มันขว้างเส้นผมเป็นกระจุกเข้าใส่หมอผีหนุ่ม เส้นผมกระจุกนั้นม้วนวนกลางอากาศมีแสงสีเขียวเข้ม จากนั้นก็แตกแยกออกเป็นลูกไฟสีเหลืองอมส้มนับร้อยๆลูกลอยไปมาในอากาศ มีเสียง
หัวเราะสยองพองขนดังก้องไปทั่ว บรรดาลูกไฟมันลอยมาล้อมร่างของชายหนุ่มไว้ จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่ประดุจดาวตก หนุ่มจอมคาถาหลบหลีกอย่างคล่องแคล่วแต่พอพลาดเป้ามันก็เลี้ยวกลับมาโจมตีเขาอีกครั้ง ไม่เปิดโอกาสให้ได้ตอบโต้
‘ วี้ดดดดดดด… ’
หมอผีหนุ่มเอียงกายหลบแต่เส้นผมเรืองแสงประดุจหิ่งห้อยขนาดเท่าผลส้มโอนั่นยังลอยย้อนกลับมาหาเขา
“ โหงพรายสูบเลือด!!! ”
“เฮอะ..ๆๆๆ รู้จักมันด้วยเรอะ?” หมอผีมนต์ดำหัวเราะชอบใจ
หมอผีหนุ่มหลบหลีกเส้นผมที่มีเปลวไฟไหม้และแยกออกเป็นหลายสายพุ่งเข้าใส่เขาไม่หยุด
“ วิชาพื้นฐานของไสยดำจากเขมร ใครไม่รู้จักไม่สมควรเป็นนักเลงอาคม ”
“ รู้จักก็ดีแล้ว แต่อย่านึกว่าจะแก้มนต์นี้ได้ มนต์โหงพรายสูบเลือดของข้าควบคุมวิญญาณไว้นับพันดวง มันจะไม่หยุดจนกว่าจะสูบเลือดของเอ็งจนหมดตัว หลบได้หลบไป หมดแรงเมื่อไหร่ ฮ่าๆๆ เอ็งเสร็จ! ”
“ถ้านักเวทย์ทั่วไปคงจะจนแต้ม แต่ขอแสดงความเสียใจด้วย เพราะของกระจอกแค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”
“ อย่าทำคุยน่า…หลบให้ดีเถอะ เขี้ยวของพวกมันมีพิษ โดนกัดตัวจะชาขยับไม่ได้ทันที ฮ่าๆๆๆ”
การเผชิญหน้ากับอวิชานี้ หนุ่มหมอผีไม่ได้ตอบโต้อะไรเลย ลูกไฟที่ลอยพุ่งเข้าหาสลับผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้าโจมตีเขาไม่หยุด แม้จะมีขนาดใหญ่กว่ากำปั้นเป็นรูปหน้าของปีศาจแสยะปากเขี้ยวเต็มปาก มันลากหางที่เป็นเปลวไฟสั้นๆเฉียดเขาไป เฉี่ยวเขามาไม่ให้พัก เรื่องจัดการนั้นไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรง แต่จะจัดการจำนวนมากๆนี่ต่างหากเป็นปัญหา
“ ว่าไงเล่าพ่อหมอมนต์ไสยขาว จนปัญญาจะหนีก็ยอมๆเถอะนะ ไม่เจ็บหรอก ” จอมไสยดำเอ่ยเยาะเย้ย
หนุ่มหมอผีกระโดดหลบไปยืนหลังพิงต้นไม้ใหญ่ ระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ ได้เวลาเก็บกวาดแล้ว….”
พูดจบหมอผีหนุ่มก็หยิบสิ่งหนึ่งออกมาจากย่าม เขาเป่ามนต์ใส่สิ่งนั้นแล้วขว้างออกไป
สิ่งนั้นลอยออกไปจากมือของเขากลายเป็นดวงไฟสีน้ำเงินและแตกกระจายออกเป็นลูกไฟสีน้ำเงินเย็นตา จากนั้นลูกไฟทุกดวงก็กระจายเข้าปะทะลูกไฟเส้นผมสีแดงเลือดนั่น และเมื่อปะทะกันก็เกิดการเผาไหม้ทำให้ลูกไฟโหงพลายสูบเลือดสลายหายไปจนหมด เพียงชั่วครู่โหงพรายเลือดก็อันตรธานหายไปจนสิ้น
‘ ฟุ๊บ…ฟุ๊บ…ฟุ๊บ…’ เสียงลูกไฟระเบิดแตกสลายราวฟองสบู่แตกไม่ปาน
หมอผีมนต์ดำตาเบิกโพลงกัดฟันอย่างเจ็บใจที่วิชาของมันถูกสยบอย่างง่ายดาย
“มนต์ดับพรายสูบเลือด ไม่เบานี่”
“อย่านึกว่าเก่งคนเดียว มีดีอะไรอีกรีบๆเอาออกมาเถอะ” ชายหนุ่มร้องท้า
“ แต่นี่มันแค่อุ่นเครื่องโว้ย เจอของหลักเลยดีกว่า..”
พูดจบจอมไสยดำก็ล้วงย่ามหยิบควายธนูปั้นด้วยดินตัวขนาดฝ่ามือออกมา
หมอผีหนุ่มมองยิ้มๆ “ถึงขนาดต้องรีบใช้ควายธนูเลยหรอ?”
“คราวก่อนยังไม่รู้แพ้รู้ชนะกัน คราวนี้ได้พิสูจน์กันแล้ว”
“ได้เลย!” หมอผีหนุ่มรับคำท้าอย่างไม่คร้าม เขาล้วงควายธนูออกมาจากย่ามบ้าง
“โอม…ขวิดมันให้ไส้แตกเลยลูกพ่อ…”ร่ายมนต์จบคาบหมอผีไสยดำก็ปล่อยควายธนูใส่หมอผีหนุ่ม
“ไปเลยไอ้เผือกลูกพ่อ อย่าให้ขายหน้านะ” หนุ่มหมอผีก็เป่ามนต์ใส่ควายธนูของตนปล่อยออกไปรับมือ
‘ว้าบๆๆๆ’
ควายธนูของทั้งสองฝ่ายขยายร่างจากตุ๊กตากลายเป็นควายตัวดำทะมึนทั้งสองตัว รูปร่างพ่วงพีพอฟัดพอเหวี่ยงกันมีดวงตาแดงกล่ำ มันทั้งสองใช้เท้าตะกุยดินส่งเสียงร้องคำรามใส่กันอย่างน่ากลัว สองควายธนูจ้องกันแล้วออกอาการขู่ใส่กันข่มขวัญ ทว่ากลับไม่มีตัวไหนกลัวกัน สักครู่มันก็วิ่งตะลุยเอาเขาพุ่งเข้าชนกัน เสียงปะทะของเขาควายอาคมทั้งสองดังสนั่น การเสียดสีของเขาเกิดประกายไฟวาบแสบตา มันทั้งสองตัวผงะถอยหลังกลับไม่มีตัวไหนได้เปรียบกัน มันทั้งสองเดินวนทำท่าเหมือนหาช่องเข้าโจมตีที่ได้เปรียบ ส่วนสองหมอผีต่างนั่งลงร่ายคาถาเสริมพลังให้ควายธนูของตน…
“ มอ…มอ…อ…อ์ ”
‘ฟื้ด…ฟื้ด….’
ควายธนูทั้งสองตัวยืนเผชิญหน้ากันในระยะห่างสองวา มันทั้งสองก้มหัวเอาขาตะกุยดินหอบหายใจฝืดฟาดออกมาเป็นควันสีขาว สองหมอผีนั่งหลับตาบริกรรมคาถาเสริมพลังบริวารของตนเสียงดังระงม ชั่วครู่ควายธนูทั้งสองก็วิ่งทะยานเข้าหากัน มันพุ่งเข้าปะทะขวิดใส่กันเสียงดังสนั่นอีกแต่ก็ยังไม่มีตัวไหนเพี้ยงพล้ำ มันวิ่งสวนกันไปแล้วตั้งหลักหันมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง ท่าทางของมันต่างยังคึกคะนองร้องขู่กันเสียงแสบแก้วหู สองหมอผีลืมตาดูแล้วหลับตาท่องคาถากันแบบเร่งพลังสุดขีด
“ มอ.อ..อ…อ์… ”
ควายธนูของทั้งสองก้มหัวตะกุยดินเตรียมเข้าชนกันอีก มันจดๆจ้องกันสักครู่คราวนี้เหมือนมันจะใส่พลังกันเต็มที่ มันพุ่งเข้าหากันอย่างเร็วและแรงกว่าครั้ง และเมื่อมันปะทะชนกันเสียงเขาของทั้งคู่ขวิดกระแทกกันดังราวภูเขาสะเทือน มันทั้งสองกระเด็นกลับหลังจากแรงชนกันไปข้างล่ะช่วงตัว ส่วนสองหมอผีเองก็มีอาการผงะหงายออกอาการราวกับเมื่อครู่ทั้งสองร่วมในแรงปะทะด้วย ทั้งสองลืมตามองกันท่าทางหอบๆ
“ ไม่เลวๆๆ ไอ้หนุ่ม ควายทองแดงของข้ากินควายของเอ็งไม่ลงในสามคราเลย แต่คราวนี้แหล่ะ ตัดสินแล้ว ”
จอมไสยดำคำรามเสียงโอ้อวดแต่มีอาการหอบน้อยๆเพราะใช้พลังเสริมสัตว์อาคมของตน
“ นอกจากกินไม่ลงแล้วจะถูกควายของข้าเผด็จศึกในคราวนี้แหล่ะ อย่ามัวพิไรความเลย มาตัดสินดีกว่า”
“ ชิช้า! ไอ้หนุ่ม เอ็งจะโวเกินกำลังไปแล้ว สามครานั้นข้ายังไม่ใช้อาคมเต็มที่ คราวนี้ข้าไม่ออมมือแล้ว ”
จอมไสยดำเคืองขุ่นในคำโวยิ่งนัก ปล่อยไว้นานมันยิ่งไดใจ ต้องรีบๆกำหราบเพื่อไม่ให้กำเริบอีก
“ เตรียมตัวตายไปพร้อมๆควายของมึงเถิด!!! ”
“ โอม…ใครกันแน่ที่สมควรพูดคำนั้น ไอ้หมอผีไสยดำ…”
กุก…กุก…กุก….
‘ มอร์….มอร์…..’
หมอผีทั้งสองหลับตาร่ายมนต์กำกับตามตำราของตน สองควายปลุกเสกคำรามส่งเสียงดังลั่นได้ยินไปไกล มันยกขาหน้าจนตัวลอยแล้วเอาเขาขวิดดินสะบัดหัวราวควายคลั่งหอบหายใจควันผสมน้ำออกจมูก ตาสองข้างของมันทั้งสองแดงกล่ำเพิ่มขึ้นราวไฟในเตาถ่านที่กำลังลุกโชน เมื่อสองหมอผีร่ายคาถาส่งเสียงเร่งจนฟังไม่ได้สรรพ มันทั้งสองก็คำรามเสียงโหยหวนก้มหัวพุ่งเข้าหากันอย่างรวดเร็วเต็มฝีเท้า เพื่อเข้าปะทะกันขั้นแตกหัก…
‘ …เปรี้ยงงงงง… ’
เสียงจากการพุ่งเข้าชนกันดังสะท้านสะเทือน คราวนี้ควายธนูของหมอผีสินชนและขวิดจนร่างของควายธนูหมอผีไสยดำกระเด็น ร่างของมันปลิวข้ามหัวเจ้านายไปกระแทกต้นไม้หักล้มระเนระนาดหลายต้น ก่อนจะไถลไปกระแทกโขดหินร่างแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ และคืนสภาพเป็นควายที่ทำจากเหล็กทองแดงหล่อตัวเล็กๆและแตกกระจายราวถูกทุบด้วยของแข็ง ไม่เท่านั้น ร่างของหมอผีไสยดำเองก็ยังกระเด็นกลิ้งตามไปหลายตลบเล่นเอามันจุกเสียด พอตั้งหลักได้ก็รีบลุกขึ้นมาอย่างเสียหน้า มันเอามือปาดเลือดที่มุมปากกัดกรามกรอดๆอย่างเจ็บใจ
หมอผีไสยดำมองเศษทองแดงที่แตกกระจายอย่างไม่เชื่อสายตาว่ามันจะแพ้ เขามองอย่างแค้นเคืองและสงสัย
“ ควายธนูของกูหล่อจากทองแดงผสมจากดินเจ็ดป่าช้า ปลุกเสกเจ็ดวันเจ็ดคืน อาบเลือดเจ็ดนักโทษประหาร แล้วทำไมยังแพ้อีก..ไม่น่าเชื่อ..” หมอผีไสยดำกัดฟันแค้นๆหลังบรรยายสรรพคุณควายธนูที่แพ้พ่ายของตน
หมอผีหนุ่มยิ้มเมื่อมีชัย “ควายธนูของเอ็งมันใช้ดินปั้นผสมทองแดงหล่อ แต่ของข้าน่ะ..มันใช้ตะปูโลงผีตายโหงเจ็ดป่าช้าหล่อขึ้นมา มันแข็งกว่าไอ้ดินเหนียวผสมทอแดงนั่นแน่นอน ควายมีสารเจือปนหรือจะสู้ควายเหล็กบริสุทธิ์”
“หา!!! ควายธนูเหล็กหรอ? มีอย่างงี้ด้วยหรอ?”หมอผีไสยดำอุทาน
“เออน่ะสิ…ไอ้หมอผีตกยุค คราวนี้มีอะไรอีกหล่ะ รีบๆเอาออกมาสำแดงเถิด อย่ามัวเสียเวลา สำหรับข้า เก่งไม่กลัว แต่ข้ากลัวช้าว่ะ อย่างว่านะ แก่แล้วมันเลยเงอะๆเงิ่นๆไม่ค่อยทันใจวัยรุ่น ” หมอผีหนุ่มพูดเหยียดหยามยังไม่พอ เขายังยักคิ้วท้าทาย ทำเอาอีกฝ่ายยืนตัวสั่นเพราะความโกรธที่ถูกเด็กเมื่อวานซืนเอาชนะได้ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
“ข้ายังมีดีอีกเยอะ..ไม่ใช่ควายธนูแพ้แล้วข้าจะสิ้นท่าเมื่อไหร่?” หมอผีมนต์ดำยังยืนกรานไม่ยอมแพ้
ควายธนูคืนสภาพพุ่งเป็นแสงกลับมาอยู่ในมือของหมอผีหนุ่ม เขาเก็บมันเข้าย่าม “ขอบใจมากไอ้เผือกลูกพ่อ ไม่ผิดหวังที่เลือกใช้งานเอ็ง หมดหน้าที่ของเอ็งแล้ว พักก่อนเถอะ เดี๋ยวที่เหลือพ่อจัดการต่อเอง..”
หมอผีชาติที่พ่ายแพ้มาสองคราแล้วมองหมอผีหนุ่มด้วยสายตาโกรธแค้นอย่างเหลือประมาณ “ อย่างเอ็งข้าคงจะใช้เวทย์มนต์พื้นๆไม่ได้แล้ว เอ็งมีดีและร้ายกาจกว่ารูปกายภายนอกที่เห็น ข้าคงต้องเพิ่มความเข้มข้นในอาคมที่จะใช้สยบเอ็งและคราวนี้แหล่ะ เอ็งจะได้เห็นว่าไสยดำนั้นยิ่งใหญ่ร้ายกาจเพียงไร”
“ไม่ต้องสาธยายให้มากความหรอก มีอะไรก็จัดมาอย่าให้รอนาน ” หมอผีหนุ่มยังคงรอให้คู่ต่อสู้ปล่อยของ
จอมอาคมมนต์ดำล้วงห่อผ้าออกมาจากย่ามกำมาไว้ใกล้ๆปากพลางบริกรรมคาถา ก่อนจะแกะออกมีผงสีขาวๆอยู่ข้างใน เขาโปรยลงดินช้าๆขณะบังเกิดแรงลมพัดอวลและแรงขึ้นๆ ผงสีขาวปลิวตามแรงลมแล้วค่อยๆจับกลุ่มขยายตัวเป็นก้อนๆ และแปรสภาพเป็นโครงกระดูกขาวโพรนถืออาวุธครบมือหลายสิบหลายร้อย พวกมันเดินเรียงแถวตั้งแนวราวกองทหารจะเข้าสู่สมรภูมิ จอมคาถาเขมรเท้าสะเอวเงยหน้าหัวเราะชอบใจที่เห็นหมอผีหนุ่มหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ผงกระดูกของทหารเขมรที่ตายในสงคราม แค้นข้ามชาติตั้งแต่สมัยพระเจ้าไชยวรมันต์ที่ ๒ ยังไม่สร้างนครวัด-นครธมเชียวนะมึง ฮ่าๆๆๆ”
หมอผีหนุ่มมองแล้วขมวดคิ้ว พวกโครงกระดูกกระชับอาวุธเข้าแถวเดินเรียงหน้ากระดานเข้ามาเตรียมพร้อม ตาโบ๋ๆของมันจ้องมาที่หมอผีหนุ่มเขม็ง พอขยับไปซ้ายแถวทางซ้ายก็เดินโอบล้อมเข้ามา ไม่ว่าจะขยับไปทางไหนมันก็โอบปิดทางหนีไว้ อาวุธประดามีในมือของบรรดาโครงกระดูกเตรียมพร้อมเข้าเชือดเฉือนฟาดฟันกายเนื้อของเขาให้สะบั้นหั่นออกเป็นชิ้นๆ บัดนี้เขาตกอยู่ในวงล้อมของกองทัพโครงกระดูกนับพันโดยสิ้นเชิง
“คราวนี้เล่นพวกผีโครงกระดูกเลยหรอ?”
หมอผีมนต์ดำยิ้มกว้าง “พวกนี้คือผีอมตะโว้ย! หากเอ็งแน่จริงเอาชนะให้ได้สิ…”
“กระจอกมากๆ เป็นวิชาปลุกผีที่สิ้นคิดจริงๆ” หมอผีหนุ่มดูถูก
“เอาชนะให้ได้ก่อนค่อยดูแคลนมัน ฮะๆๆๆ….”
หมอผีหนุ่มเอามีดหมอชักออกจากฝัก เขาร่ายคาถาใส่พร้อมกับเดินเข้าหาพวกโครงกระดูก พวกมันเงื้ออาวุธในมือวิ่งกรูเงื้ออาวุธในมือเข้ามาโจมตีหมอตีหมอผีทุกทิศทุกทาง แต่ทว่าก็ถูกเขาทั้งแทงทั้งเตะจนกระดูกหักกระดูดหลุดกระจุยกระจาย ข้างฝ่ายภูติทั้งสามก็สำแดงอิทธิฤทธิ์อย่างไม่ออมมือจัดการพวกกองทัพโครงกระดูกที่ดาหน้าเข้าหา พวกโครงกระดูกถูกพลังแสงมนต์จากมีดหมอระเบิดแตกแยกเป็นชิ้นๆ ทั้งกะโหลก ข้อต่อ ชิ้นส่วนต่างแตกหักลอยกระจุยกระจายกลาดเกลื่อนไปทั่วบริเวณนั้น
ไม่ว่าจะหันไปทางไหนพวกโครงกระดูกก็แตกพ่ายถอยล่นไปจนเข้าไม่ติด ใช้เวลาไม่ทันหนึ่งก้านธูปบรรดากองทัพโครงกระดูกติดอาวุธก็ถูกเขาจัดการจนหมด เศษกระดูกกระจัดกระจายกองเกลื่อนไปทั่วพื้น หมอผีหนุ่มมองหยามๆแล้วจ้องหน้าหมอผีมนต์ดำที่ยืนดูการต่อสู้อยู่
“เอาละ…สมุนกระจอกของเอ็งหมดฤทธิ์แล้ว ถ้านี่เป็นอาคมสุดท้ายของเอ็ง ก็เตรียมตัวรับมือข้าบ้าง”
หนุ่มหมอผีเอ่ยอย่างมั่นใจ เพราะสถานการณ์ของตนกำลังเริ่มเป็นต่อ
“อย่าเพิ่งชะล่าย่ามใจไปไอ้หนุ่ม” จอมไสยดำยิ้มเยาะ “ เอ็งดูให้ดีๆก่อน ถ้าใช้ได้แค่นั้น ข้าคงไม่ลำบากหอบหิ้วพวกมันมาจากเขมรหรอก”
หมอผีหนุ่มสะดุดใจ หันกลับไปมองกองกระดูกที่กลาดเกลื่อน บัดนี้มีการขยับเคลื่อนไหว
“อะไรกันวะนั่น?”
บรรดาโครงกระดูกที่แตกเกลื่อนกระจัดกระจายทั่งพื้น บัดนี้ค่อยๆลอยกลับเข้ามาต่อติดก่อรูปเป็นรุปเป็นร่างของโครงกระดูกดังเดิม พวกมันหยิบจับอาวุธที่หล่นอยู่แล้วขยับมาเข้าแถวเป็นแนวดังเดิม จากนั้นก็เดินสวนสนามเข้ามาล้อมกรอบทั้งเขาไว้ดังเดิม
“โอ๊ว…อย่างงี้ หมอผีรูปหล่อเซ็งเลย”
หมอผีหนุ่มเม้มปากปาดเหงื่อขยับตัวเตรียมพร้อมลุยอีกครั้ง
“ก็ข้าบอกแล้วไง.. ว่ามันเป็นวิชาผีอมตะ ไม่ว่าจะทำลายมันกี่ครั้งมันก็จะกลับคืนสภาพเดิม” จอมไสยเขมรหัวเราะอย่างเป็นต่อ “ เอาสิ! เอ็งจะกำราบปราบมันลงได้อย่างไง ก็เร่งสำแดงมา ฮะๆๆๆ..”
พวกโครงกระดูกเดินดาหน้าเข้ามาหาหมอผีหนุ่มอีกครั้ง เขาถอยหลังกรูพวกมันตรงเข้าจู่โจมแบบพื้นๆเช่นเดิม แต่หมอผีหนุ่มก็ต่อสู้ปกป้องตัวเองอัดพวกโครงกระดูกกระเด็นกระจายสกัดพวกมันไว้ แต่พวกมันก็คืนสภาพหนุนเนื่องเข้ามาจนเขาเริ่มอ่อนล้า และมองเห็นว่าถ้าหากยังเป็นอย่างนี้ต่อไปพวกเขาจะต้องอ่อนกำลังสิ้นแรงและถูกพวกมันรุมทำร้ายจนแหลกเละแน่ๆ
ชายหนุ่มมองไปที่มอเตอร์ไซค์ที่จอดห่างออกไป เขาจึงตัดสินใจอะไรบางอย่าง
หมอผีหนุ่มวิ่งฝ่ากลุ่มโครงกระดูกตรงไปที่รถมอเตอร์ไซค์วิบากของตน พวกโครงกระดูกเข้าขวางทางก็ถูกมีดหมอสะบัดฟาดฟันกระจุยกระจาย หมอผีไสยดำเห็นกิริยาเช่นนั้นเข้าใจว่าเจ้าหนุ่มหมอผีจะหนี มันจึงร้องสั่งบริวารให้โอบล้อมสกัดเอาไว้ จากนั้นก็ยืนมองศึกมนตราอาคมตรงหน้าอย่างลำพองใจที่กำลังจะเป็นผู้พิชิต
ฝ่ายหนุ่มหมอผีเมื่อไปถึงมอเตอร์ไซค์เขาก็เปิดเบาะรถคว้าสิ่งหนึ่งที่ห่อผ้าไว้ออกมา
“ เห็นวิ่งหนี กูนึกว่ามึงรักตัวกลัวตายคิดจะหนีเสียแล้ว ”หมอผีไสยดำตะโกนบอกมา
หมอผีหนุ่ม ถือห่อผ้าชูกันพวกผีโครงกระดูกที่ตามติดไปล้อมกรอบ
“ กูไม่เคยถอยหนีใครง่ายๆหรอก โดยเฉพาะไอ้พวกหมอผีชั่วๆ กูต้องทำลายมันให้ได้…”
“แล้วจะเอาอะไรมาสู้ได้หล่ะ…ถ้ายอมแพ้และก้มกราบตีนกูขอเป็นลูกศิษย์ อาจจะพอมีทางนะ ฮะๆ…”
“ฝันไปเถอะ ไอ้หมอผีไสยดำ กูยังมีของดีไว้จัดการสมุนและมึงอยู่ ” หมอผีหนุ่มแกะผ้าที่ห่อสิ่งนั้นออก
เมื่อผ้าที่พันสิ่งนั้นถูกแกะออก เผยให้เห็นดาบในฝักที่ทั้งด้ามและปลอกฝักมีลวดลายสวยงาม หมอผีหนุ่มจับด้ามชูมาเบื้องหน้า พวกโครงกระดูกชะงักไม่กล้าเข้าใกล้ ราวกับมีพลังงานมหาศาลบางอย่างถูกผลึกไว้ข้างใน และพวกมันก็สัมผัสได้ถึงพลังงานนั้น พลังที่พร้อมจะถูกปลดปล่อยออกมาเพื่อทำลายล้างความชั่วร้ายทั้งปวง
ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกๆยกดาบขึ้นพนมมือเหนือศีรษะพลางระลึกถึงบรรพครูและผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาทั้งหลายพลางอธิปฐานในใจ ‘ ข้าพเจ้าผู้เป็นศิษย์ปัจจุบัน มีความจำเป็นต้องใช้ดาบวิเศษเล่มนี้กำราบศัตรูผู้ชั่วร้าย หาได้มีความลุ่มหลงมัวเมาในอำนาจวิเศษของดาบ คิดใช้ข่มเหงย่ำยีคนอ่อนแอหรือผู้บริสุทธิ์ไม่ ขอบรรพครูช่วยปลดผนึกดาบให้ข้าพเจ้าใช้ปกป้องคุณธรรมด้วยเถิด…’
“ เอาละนะ….สา ——- ธุ…” ชายหนุ่มกลั้นใจออกแรงดึงดาบออกมาจากฝักเบาๆ
คมดาบสีเงินวาบค่อยๆเลื่อนออกจากฝักช้าๆ ประกายคมเจิดจ้าเปล่งรัศมีจนบรรดาภูตผีโครงกระดูกถอยห่างออกไป หมอผีไสยดำมองอย่างตกตะลึงไม่เชื่อสายตา ทันทีเมื่อดาบเลื่อนพ้นฝักอวดใบดาบและคมที่ถูกตีขึ้นอย่างบรรจงกระแสอากาศรอบๆก็ปั่นป่วน ลมหวีดหวิวพัดมาอย่างต่อเนื่อง วิชชุแปรบปราบสำแดงอยู่บนท้องฟ้าที่มืดครึ้มเต็มไปด้วยหมู่พยับเมฆเคลื่อนตัวเข้ามาบดบังแสงจันทร์ให้มืดมิดสนิทลงกว่าเดิม…
จอมไสยดำอ้าปากอุทานเบาๆ “ เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้….”
ชายหนุ่มกวัดแกว่งดาบเล่มนั้นอย่างคึกคะนอง พลันบังเกิดแสงสว่างวูบวาบทำเอาพวกผีโครงกระดูกทำท่าหวาดกลัวขยับถอยออกไปอีกหลายวา ชายหนุ่มก็ชูดาบชี้ขึ้นฟ้า รัศมีจากแสงดาบเปล่งประกายออกมาทำเอาทั่วบริเวณนั้นสว่างแจ้ง หมอผีไสยดำมองแล้วตะลึงเพราะแน่ใจแล้วว่าดาบที่เห็นคือดาบในตำนานของแท้ไม่ใช่ของปลอมทำเหมือน และนึกไม่ถึงว่าหมอผีหนุ่มจะมีอาวุธชิ้นนี้ พวกผีโครงกระดูกยังคงล้อมกรอบอยู่อย่างจดๆจ้องๆ สองจิตสองใจ
“ดาบฟ้าลั่น!!!!..” จอมไสยดำเอ่ยขึ้น
หมอผีหนุ่มยิ้มอย่างย่าใจ “ รู้จักด้วยหรอ? ”
“ มึงไปเอามาจากไหน? ดาบนี่มันสาบสูญไปนานแล้วนี่..”
“ อาจารย์ของกูเก็บรักษาไว้โว้ย และเอาออกใช้บ่อยๆ แต่คนที่เจอดาบเล่มนี้ไม่เคยมีใครรอดไปบอกเล่าต่อว่าเคยได้ปะทะด้วย และตัวของมึงเองก็จะมีชะตากรรมเช่นนั้นดุจเดียวกัน..” หมอผีหนุ่มบอก
“ฮึ่ม…มีอาวุธในตำนานด้วยหรือนี่ ไม่เบาจริงๆ นะ ” จอมไสยดำเค้นเสียงพูด
หมอผีหนุ่มกวัดแกว่งดาบของตนเดินทื่อเข้าไปหากองทัพโครงกระดูกทันที
“ กลับสู่ขุมนรก เจ้าพวกผีร้าย ข้าจะปลดปล่อยพวกเจ้าเอง ”
ชายหนุ่มทะยานเข้าหากองทัพโครงกระดูกพร้อมกวัดแกว่งดาบวิเศษในมืออย่างคึกคะนองที่สามารถใช้อาวุธอันเป็นสุดยอดของสำนักได้ ร่างของพวกผีโครงกระดูกถูกคมดาบสะบั้นแตกกระจายร้องโหยหวน พวกผีโครงกระดูกเมื่อเจอสุดยอดอาวุธฟาดฟัน ร่างของพวกมันก็แตกสลายกลายเป็นผงสลายหายไป เพียงชั่วอึดใจโครงกระดูกผีก็ถูกทำลายสิ้น หมอผีหนุ่มยิ้มมองมาที่หมอผีไสยดำที่ยืนตัวสั่นสุดโกรธามหาพิโรธที่เวทย์มนต์ต่างๆของตนถูกทำลายลงครั้งแล้วครั้งเล่า มันกำหมัดปากสั่น ในขณะที่ภูตสาวลำดวนก็กระโดดโลดเต้นยินดีในชัยชนะครั้งนี้
“ร้ายกาจมากๆ ดาบฟ้าลั่นในตำนาน” จอมไสยดำเอ่ยอย่างทึ่งๆ “เห็นทีจะใช้วิชาอาคมทั่วๆไปกำราบเอ็งไม่ได้เสียแล้ว เมื่อเอ็งมีของดีอย่างนี้ก็คงต้องเจอกับอาวุธที่คู่ควร”
“ยังมีอะไรจะอวดอีกก็สำแดงมา นี่ก็ใกล้รุ่งแจ้งแล้ว มันจะยืดเยื้อเปล่าๆ” หมอผีหนุ่มเร่งด้วยความกำเริบในใจ
หมอผีชาติล้วงบ่วงนาคบาศออกมา “กูมีของดีเหมือนกัน สิ่งที่มีฤทธาพอจะสยบดาบเล่มนั้นได้..”
“ไอ้บ่วงนั่นน่ะหรอ…” ชายหนุ่มมองแล้วพิจารณาเส้นเชือกที่มัดเป็นบ่วงในมือของจอมไสยดำ
“ มึงมีดาบในตำนาน กูก็มีบ่วงนาคบาศ ในตำนานเช่นกัน”
ชายหนุ่มยิ้มเยาะ “ของดีจะมีอานุภาพในมือของผู้ใฝ่ดี ข้าว่ามันคงเป็นเพียงบ่วงที่เอ็งปลุกเสกยืมพลังมามากกว่า”
“ ทำเป็นรู้ดีนัก ” หมอผีมนต์ดำแค่นเสียง “ แต่กูไม่ได้มีแค่นี้หรอก นังศรีวันทอง!!!” หมอผีมนต์ดำตะโกนเรียกนางจระเข้ “ถึงเวลาที่ข้าจะต้องใช้อิทธิฤทธิ์ของเอ็งแล้ว ”
นางจระเข้ที่เฝ้าดูการต่อสู้อยู่นานสะดุ้ง “เรียกข้าทำไม”
“ จงมาเป็นพาหนะของข้า เพื่อต่อสู้เดี๋ยวนี้..” หมอผีไสยดำสั่งเสียงทรงอำนาจ
“ ข้าไม่ช่วยเอ็งหรอก!!! ” นางจระเข้บอกสวนกลับมา
“แต่เอ็งต้องช่วย! เพราะด้ายเส้นนั้นคือคาถาควบคุมเอ็ง ขัดขืนไปก็ป่วยการ ” ว่าพลางมันก็ร่ายคาถาใส่นาง
“ อย่าหวังจะบังคับข้าได้อีก!” นางจระเข้ขยับหันหลังวิ่งหนีทันที
“ จะไปไหน!!! ”
นางจระเข้ทำท่าจะวิ่งหนี แต่เจอมนต์ที่หมอผีไสยดำเป่าไปปะทะด้านหลัง ร่างของนางสะดุ้งเฮือกแล้วล้มลงไปกองลงกับพื้น ชั่วครู่ร่างงดงามก็ดีดดิ้นแปรเปลี่ยนสภาพกลายเป็นจระเข้ยักษ์ท่าทางดุร้ายตาแดงกล่ำ จระเข้ต้องอาคมอ้าปากคำรามสะบัดฟาดหางจนพื้นดินสะเทือน หมอผีไสยดำหัวเราะอย่างพอใจ
“เอ็งไม่มีทางขัดขืนข้าได้หรอก ฮะๆๆ ” เอ่ยพลางเดินไปยืนข้างๆจระเข้ร้าย
หมอผีหนุ่มตาค้างมองอย่างตกตะลึงเพราะคาดไม่ถึงว่าหมอผีมนต์ดำจะมีพลังเวทย์สูงถึงขนาดนี้
“มนต์กุมภาพาหะ.. นี่มึงรู้มนต์บทนี้ได้อย่างไร?”
“กูยังมีดีกว่าที่เอ็งคาดไว้เยอะ ไอ้หมอผีหน้าอ่อน! ”หมอผีไสยดำเอ่ยอย่างกระหยิ่ม
“แต่แค่นี้มันไม่ทำให้กูคร้ามได้หรอก ”หมอผีหนุ่มขยับตั้งท่าเตรียมพร้อม
“กูไม่ได้แค่ขู่ให้กลัว แต่กูจะให้มึงเป็นเหยื่อของจระเข้ตัวนี้ ” จอมไสยดำประกาศเสียงดังฟังชัด
จอมไสยดำพนมมือร่ายคาถาเป่าใส่จระเข้ร้ายแล้วกระโดดขึ้นไปยืนบนหลังจระเข้ยักษ์ มันหลับตาร่ายมนต์อีกครั้งแล้วสะบัดบ่วงนาคบาศในมือ ทันใดก็ปรากฏเป็นไฟลุกโชติช่วง หมอผีหนุ่มเริ่มรู้แล้วว่ามนต์ตราครั้งนี้ของหมอไสยดำร้ายกาจกว่าทุกครั้ง และอาจเป็นการตัดสินอนาคตของศึกมหาเวทย์ในคืนนี้ว่าใครจะเป็นฝ่ายมีชัย เขาขยับกุมดาบฟ้าลั่นในมือมั่น หมอผีไสยดำสะบัดบ่วงไฟในมือแกว่งไปมาเหนือศีรษะ เปลวไฟวูบวาบดูน่ากลัวและข่มขวัญคู่ต่อสู้ได้ผลชะงัก แต่หมอผีหนุ่มหาได้ครั่นคร้ามไม่ เขาเม้มปากและคิดหาทางสู้
“เข้ามาสิไอ้สิน มึงแน่นักไม่ใช่หรอ?” หมอผีชาติท้าทายเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีกริ่นเกรง
หมอผีหนุ่มขยับถอยเพื่อรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยเมื่อจระเข้ยักษ์ย่างเดินลุกไล่เข้ามา
“กูเข้าไปหามึงแน่ๆ..แต่มึงใช้อาวุธหนักเหลือเกิน ฉะนั้นกูต้องรอบคอบหน่อย..”
“ไม่ใช้ขนาดนี้แล้วจะเอามึงอยู่เรอะ?”
“นั่นนะสิ..หมดตรงนี้ มึงก็คงหมดมุกแล้วหล่ะ?”
“หมดมุกของกูก็คือหมดลมหายใจของมึงนั่นแหละ?”
หมอผีหนุ่มยิ้มเยาะแล้วเอ่ยแดกดัน “ ถ้ามึงคิดว่าจะเอาอยู่ ก็เข้ามาก่อนได้เลย..”
“ไม่ต้องท้าหรอก ลุยมันเลยบริวารของข้า..” สิ้นคำสั่งนางจระเข้ที่ถูกควบคุมก็เดินปรี่เข้าหาหมอผีหนุ่ม
นางจระเข้ศรีวันทองตอนนี้กลายเป็นปีศาจจระเข้ที่ดุร้าย ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เพราะมนต์กำกับของหมอผีไสยดำ นางเดินเข้าหาไล่งับไล่กัดหมอผีหนุ่มพัลวัน หมอผีหนุ่มทำได้แค่หลบหลีกและวนหนีไปมา ฝ่ายหมอผีชาติก็ฟาดบ่วงที่ติดไฟใส่ ทำให้เขาต้องคอยระวังทั้งสองทางและเสียเปรียบอย่างมาก นางผีสาวลำดวนเองเห็นเช่นนั้นก็ตรงเข้ามาช่วยเหลือ ทว่าหมอผีชาติฟาดด้วยบ่วงติดไฟโดนเข้าเต็มๆร่างของนางจนไฟลุกท่วมกระเด็นไปนอนร้องดิ้นทุรนทุราย
‘ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด….’
ร่างไฟลุกท่วมของนางลำดวนลงมานอนดีดดิ้นทรมาน หมอผีหนุ่มจะเข้าไปประคองแต่ต้องผงะออกมาเพราะพิษไฟอันร้อนแรง เขาจึงต้องพนมมือสวดพระคาถาเป่ามนต์ช่วยดับพิษร้าย ไฟที่ลุกท่วมร่างจึงดับลง แต่ร่างของนางผีสาวก็ปรากฏรอยไหม้และบาดแผลหลายที่
“เป็นอย่างไงบ้างลำดวน?” หมอผีหนุ่มถามอย่างห่วงใย
นางผีสาวยันกายนั่งอย่างลำบาก “พอไหวจ๊ะพี่หมอ..มันร้ายกาจอย่างนี้จะสู้มันอย่างไงดี?”
หนุ่มหมอผีมองคู่ต่อสู้ประเมินกำลัง สถานการณ์ และภูมิประเทศจึงคิดแผนต่อสู้ขึ้นอย่างรวดเร็ว
“มันพอมีทางแหละ…เอ็งหลบไปก่อนเหอะ..เดี๋ยวจะเจ็บตัวอีก..”
“แต่ลำดวนอยากช่วยพี่หมอนี่..”
“เอ็งช่วยไม่ได้แล้ว..ไอ้หมอผีคนนี้มันเกินกำลังของเอ็งจะทานไหว..”
“แต่ว่าพี่หมอ?”
“หลบไปก่อน…ข้าจะเป็นกังวลหากเอ็งอยู่ใกล้..”
“จ๊ะพี่หมอ…ดูแลตัวเองด้วยนะ..”
นางผีสาวจำใจถอยห่างตามคำสั่ง และก็ลอยร่างออกไปอยู่ในระยะพร้อมช่วยเหลือ
จังหวะขยับจะตั้งท่าสู้ เท้าพลาดสะดุก้อนหินทำให้หนุ่มหมอผีเสียสมาธิ
“เสร็จข้าหล่ะ!” จอมไสยดำฉวยโอกาสฟาดบ่วงไฟใสทันที
‘ ขวั่ก..!.. ’
อุ๊บ!!!
แม้จะหลบได้ทันแต่จวนเจียน บ่วงฟาดเฉียดไหล่ของชายหนุ่มปากฎรอยไหม้และความแสบร้อนที่ผิวหนังจนถึงกระดูกทิ้งรอยไหม้ไว้ให้จดจำในอานุภาพ ชายหนุ่มต้องขยับถอยออกห่างไปหลายวา
“ เข้ามาสิ ไอ้หน้าอ่อน เก่งนักใช่มั๊ย หนีทำไม ” หมอผีมนต์ดำเอ่ยวาจาหยามเยาะเพราะเริ่มเป็นต่อ
ข้างฝ่ายจระเข้ต้องมนต์เดินย่างเข้าหาหมอผีหนุ่มอย่างมุ่งร้าย มันอ้าปากไล่งับฟาดหางใส่ไม่หยุด หมอผีหนุ่มเห็นว่าขืนสู้อยู่กับที่คงจะเสียเปรียบ เขาจึงวิ่งไปที่รถมอเตอร์ไซค์วิบาก เขาสตาร์ทเครื่องแล้วเอาดาบเหน็บหลังก่อนขี่หนี หมอผีไสยดำหัวเราะชอบใจด้วยคิดว่าหมอผีหนุ่มนั้นสิ้นทางต่อกรกับตนแล้วจึงจะเผ่นหนี เขาบัญชาให้จระเข้มนต์ไล่ติดตามไปอย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ ชายหนุ่มขับหนีไปตามแนวป่าแต่อีกฝ่ายก็ตามทันคอยโจมตีไม่หยุด
“ มึงจะหนีไปไหนไอ้หน้าอ่อน…มึงคงซึ้งแล้วใช่ไหมว่าสู้กูไม่ได้…”
คำดูแคลนขณะไล่ล่าทำเอาชายหนุ่มเม้มปากแน่นด้วยความเจ็บใจ และขับซิกแซกหลบหลีกให้พ้นคมเขี้ยว
“ จะหนีไปไหน ถึงหนีกูไปสุดหล้ากูก็ไล่ตามมึงได้ทัน..”
“ อย่านึกว่ามึงชนะ แน่จริงไล่กูให้จนสิวะ ”
หมอผีหนุ่มท้าทายบิดคันเร่งรถหลบหลีกคมเขี้ยวและหางของจระเข้อย่างชำนาญราวนักแข่งมอเตอรืไซค์วิบากมือฉมัง
หมอผีหนุ่มขับขี่รถมอเตอร์ไซค์วิบากหลอกล่อให้จระเข้ต้องมนต์ติดตามไปเรื่อยๆ บางครั้งก็จวนเจียนจะถูกงาบถูกงับ แต่ก็รอดไปได้หวุดหวิดทุกคราว หมอผีชาติก็ฟาดบ่วงติดไปเฉียดร่างของเขาไปหลายหน ป่าแถบนั้นราบเป็นหน้ากลอง ต้นไม้หักระเนระนาดเพราะถูกร่างของนางจระเข้พุ่งชนและฟาดหางใส่ ขณะบางแห่งก็ถูกเปลวไฟจากบ่างนาคบาศลุกไหม้ลามไปจนป่าทั้งป่าสว่างราวกลางวัน แสงไฟที่ลุกโชนทำเอาบรรดาคนในบ้านเรือนไทยของกำนันเอิบผู้นำหมู่บ้านไทรงามต่างแตกตื่นตกใจมาชี้ดูพลางส่งเสียงอื้ออึ้ง ต่างพูดคุยเซ็งแซ่และวิจารณ์ไปต่างๆนานา
“ กำนัน! ไฟไหม้แถวๆศาลเจ้าแม่ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ”
“ พ่อหมอคงจะสู้กับไอ้หมอผีมนต์ดำอยู่ แต่ไฟไหม้ขนาดนั้น ถ้าลามมาถึงหมู่บ้านของเรายุ่งแน่ๆ ”
กำนันเอิบผู้เป็นอาของหมอผีสิน มองสถานการณ์อยู่ที่ชานเรือนอย่างไม่วางใจ
“ เราไปช่วยกันดับก่อนไหม? ” ลูกบ้านคนหนึ่งออกความเห็น
“ พ่อหมอสั่งห้ามลงจากเรือนเด็ดขาด เอ็งจำไม่ได้หรือวะ อยากตายหรือไง ” ชาวบ้านคนหนึ่งแย้งมา
“ รออยู่อย่างนี้ไฟลามมา ก็ไหม้หมู่บ้านตายหมดเหมือนกัน เราจะพึ่งพ่อหมออย่างเดียวไม่ได้ ต้องพึ่งตัวเองบ้าง ”
เสียงคนแรกพูดมาทำเอาอีกหลายคนเห็นด้วย แต่ก็เกิดการโต้เถียงกันขึ้น จนกระทั่งกำเอิบเข้าห้าม
“ เอาละๆอย่าเถียงกัน ใครจะไปก็ตามข้ามา เอาอาวุธไปด้วย ส่วนใครกลัวก็รออยู่ที่นี่”
กำนันเอิบสั่งเสียงเข้มและคว้าปืนลูกซองแฝดคู่ใจพร้อมสะพายตับกระสุนเดินนำหน้าลงเรือนไป แม้ลูกเมียจะพากันมาพูดค้านไว้แต่เขาก็ยืนยันว่าจะต้องไปช่วยผ่อนหนักผ่อนเบาให้พ่อหมอ ยิ่งอยู่ในฐานะของผู้นำหมู่บ้านจะมาหัวหดอยู่อย่างนี้ไม่ได้ ทั้งสองจึงต้องยอมให้ผู้นำครอบครัวและหมู่บ้านเดินนำบรรดาลูกบ้านที่อาสาติดตามลงเรือนไป
“ อย่างน้อยไปช่วยกันดับไฟที่ชายป่าก่อนจะลามมาไหม้หมู่บ้านก็ยังดี ” กำนันเอิบประกาศเสียงดังฟังชัด
คบไฟและแสงจากไฟฉาบวอบๆแวมๆมาตานแนวป่า จนกระทั่งกลุ่มชาวบ้านนำโดยกำนันเอิบมาถึงบริเวณเกิดเหตุไฟไหม้ กำนันเอิบสั่งชาวบ้านช่วยกันดับไฟตามภูมิปัญญา เนื่องจากแถบนั้นเป็นดงไผ่และมีต้นไม้แห้งตายหนาแน่นจึงเป็นเชื้อไฟอย่างดี แต่ขณะกำลังดับๆอยู่ก็ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ขับหนีอะไรบางอย่างมาใกล้ พอหันไปดูก็เห็นหมอผีหนุ่มขี่รถวิบากออกมาจากพุ่มไม้ผ่านกลุ่มของพวกตนไป ทุกคนมองตามไปด้วยความแปลกใจ
ขณะหมอผีหนุ่มตะโกนบอกเสียงดัง
“ หนีไปเร็วๆๆ ”
“ หนีอะไรวะ ” คนหนึ่งเอ่ยถาม
“ นั่นสิ…หนีอะไร ” ไม่ทันมีคำตอบเสียงซวบๆแหวกป่าก็ดังใกล้เข้ามา
‘ โฮ๊กกกกกกกกกกก….’
เสียงนั้นทำเอาทุกคนหันไปมองก็เห็นจระเข้ขนาดใหญ่พุ่งทะยานออกมาจากแนวป่าทิศทางเดียวกับทีมอเตอร์ไซค์ของชายหนุ่มพุ่งออกมา ชาวบ้านพากันแตกตื่นวิ่งหนีตายไปคนละทิศละทางอย่างโกลาหล เจ้าจระเข้ขนาดใหญ่มีร่างของหมอผีชาวเขมรอยู่บนหลัง เมื่อมันมันเห็นชาวบ้านก็ไล่กัดไล่งับสะบัดหางฟาดใส่จนต้องหนีตายกันอลหม่าน หลายคนบาดเจ็บถูกลากหนี บางคนหนีไม่ทันถูกงับแล้วสะบัดร่างฉีกขาดสิ้นใจตายอย่