แฝดอันตราย ตอนที่5
ย้อนกลับไปยังฉัตรชัยขณะกำลังขับรถยุโรปคันหรูกลับมาจากแม่สอด พร้อมคุณแจ่มจรัสผุ้เป็นแม่ ที่นั่งเงียบเหมือนกำลังใช้
ความคิดถึงบางเรื่องบางสิ่งอยู่ จนฉัตรชัยสังเกตุเห็น
“แม่ครับ…มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรอครับ….” ฉัตรชัยเอียงหน้าไปมองมารดาพร้อมถามขึ้น
“เอ่อ…แม่…แม่คิดถึงชัดชายน่ะลูก…” คุณแจ่มจรัสพูดเบาๆ เม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น เหมือนกำลังตัดสินใจในบางเรื่อง
“ชัดชายนี่ใครรึครับ….” ฉัตรชัยย้อนถามผู้เปก็นมารดาด้วยความแปลกใจ
“น้องของพ่อฉัตรนั่นแหละ…” เสียงพูดของ
มารดายิ่งเบาลงไปอีก แต่กลับมีผลให้ฉัตรชัยตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน เพราะเป็น
เรื่องที่ตนเองไม่เคยคาดคิดมาก่อน
“เดี่ยวนะแม่…ชัดชาย….ที่แม่บอกนี่นะ เป็นน้องของผม…แล้วเป็นคนเดียวกับที่เด็กที่ปั้มทักผมผิดใช่มั๊ยครับ…..”
“แม่ก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอกลูก…ว่าที่เด็กคนนั้นพูดจะเป็น ลูกชัดชายรึไม่…แต่พ่อฉัตรน่ะ มีน้องชายฝาแฝดชื่อชัดชายจริงๆ….”
“ทำไมผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยครับ….” ฉัตรชัยหันไปถามแม่ด้วยความสงสัย
“เรื่องมันยาวลูก แล้วแม่ก็พยายามจะลืมเรื่องนี้…” เสียงของมารดาฉัตรชัยเริ่มสั่นเครือ
“งั้นที่แม่บอกว่าพ่อผมตาย..เอ่อ..ตั้งแต่ผมยังเด็กๆล่ะครับ…ไม่จริงใช่มั๊ยแม่..”
“จ๊ะ…ไม่ใช่เรื่องจริง…ความจริงก็คือ พ่อเค้าเอาลูกชัดไปจากแม่…” คุณแจ่มจรัสเริ่มร้องไห้ เมื่อนึกถึงความขมขื่นในอดีต
ขณะกำลังเล่าเรื่องราวให้กับลูกชายแฝดคนพี่ฟัง
“พ่อของพ่อฉัตรน่ะชื่อเดช เขาเป็นคนขับรถของคุณยายกับคุณตาของลูก ตอนนั้นแม่กำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยใกล้จะจบ
แล้ว…วันหนึ่งตอนที่คุณตากับคุณยายไปทำธุระที่ต่างจังหวัด..เค้าปีนเข้ามาหาแม่ แล้วข่มขืนแม่…” มารดาของฉัตรชัยเล่า
ไปพร้อมกับเสียงสะอื้นร่ำไห้..
“หลังจากนั้นเค้าก็ขู่แม่ไม่ให้เอาเรื่องไปบอกใคร…แล้วก็ย่ำยี่แม่มาตลอดช่วงที่ปลอดคน จนแม่ท้อง..คุณตาของลูกพอรู้เรื่อง
ก็โมโหมาก ถามแม่ว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้ขึ้น แม่ไม่กล้าบอกว่าเป็นเค้า เพราะแม่กลัวคำขู่ของเขาที่บอกว่าจะฆ่าพวกเราทั้ง
ครอบครัว แม่เชื่อว่าเค้าทำได้เพราะเค้าเป็นคนที่ร้ายกาจมาก แม้ว่าแม่จะโดนคุณตาลงโทษแค่ไหนแม่ก็ไม่กล้าพูด จนแม่
ต้องออกจามหาวิทยาลัยเพราะอับอายไม่กล้าไป…แล้วแม่คลอดลูกกับน้องออกมาเป็นลูกแฝด…ตลอดเวลาก็มาขู่บังคับแม่
เรื่องเงินเรื่องทอง…จนมาวันหนึ่งตอนนั้นลูกอายุได้สี่ห้าเดือน ขณะที่เค้ากำลังขู่เอาเงินจากแม่..คุณตามาได้ยินเข้าก็เลยมี
เรื่องกัน คุณตาโดนเค้าทำร้าย แล้วเค้าก็คว้าเอาลูกชัดพรากไปจากแม่….ตอนที่อยุ่ในปั้มน้ำมัน พอแม่ได้ยินที่มีคนทักลูก
ผิดตัวว่าเป็นลูกชัด แม่ก็กลัวไม่กล้าพูดกับลูก เพราะกลัวพ่อของลูกนั่นแหละ……”
มารดาฉัตรชัยเล่าจบก็ซบหน้ากับฝ่ามือร้องไห้เสียงดังด้วยความเสียใจ…จนฉัตรชัยต้องชลอจอดรถข้างทาง เอื้อมมือไป
โอบไหล่ของมารดาดึงเข้ามากอดประโลม….จนมารดาหยุดร้องไห้จึงขับรถต่อไป
“แล้วเรื่องน้องนี่…แม่จะเอายังไงดีครับ…. “ฉัตรชัยถามมารดาเบาๆ
“พ่อฉัตรว่าแม่จะทำอย่างไรดีล่ะ…แม่ก็คิดถึงสงสารน้องนะ ไม่รุ้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง…แต่…” มารดาฉัตรชัยค้างคำพูด
ไว้ อ้ำอึ้ง
“แต่อะไรครับแม่….”
“ก็ถ้าพ่อเค้ายังอยู่…แม่กลัวว่าเค้าจะมาก่อความเดือดร้อนให้แม่กับลูกน่ะสิ…”
“เอางี้นะแม่…ผมจะลองสืบดูก่อนว่าเค้ายังอยู่มั๊ย….ถ้าเค้าไม่..เอ่อ..ตายไปแล้ว..เราค่อยไปหานายชัดน้องของผม” ฉัตรชัย
รู้สึกไม่ดีกับพ่อผู้ให้กำเนิด ที่ทำทารุณโหดร้ายกับมารดาและครอบครัวของตน จึงเลี่ยงคำเรียกพ่อเป็นเค้าแทน
“อืมม…ยังงั้นก็ดีลูก ลองสืบให้แม่ ถ้าเค้ายังอยู่ เราก็อย่าไปยุ่งกับเค้า แต่ถ้าเค้าตายไปแล้ว พ่อฉัตรสัญญากับแม่ได้มั๊ยว่าจะ
พาน้องมาหาแม่….”
คุณแจ่มจรัสจับแขนลูกชายคนโตเขย่าอย่างมีความหวังว่าชีวิตก่อนที่เธอจะตาย เธออยากพบหน้าลูกชายแฝดคนเล็กที่พลัด
พรากจากกันไปกว่าสามสิบปี
“ครับแม่…ผมให้สัญญา…”
หลังจากกลับมาถึงบ้านแล้ว ฉัตรชัยก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับงานที่บริษัท กับเรื่องเรือนหอที่ก่อสร้างตัวอาคารทาสีเสร็จแล้ว เหลือ
เพียงตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ ก็พร้อมเข้าอยู่ได้ทันที จึงยังไม่มีเวลาไปสืบเรื่องน้องชายให้กับผู้เป็นมารดา ช่วงเย็นวันหนึ่งหลัง
จากที่เครื่องเรือนบางส่วนได้ทยอยนำมาส่ง แม้จะยังไม่ได้จัดเข้าที่เข้าทาง ด้วยอยากให้คู่หมั้นสาวมีส่วนร่วมในการตัดสิน
ใจ ฉัตรชัยจึงไปรับมล.ลาวัลย์หรือหมิวคู่หมั้นสาว มาดูเรือนหอด้วยกัน เพื่อปรึกษาขอไอเดียจากคู่หมั้นสาวในการจัดวาง
เฟอร์นิเจอร์
ใกล้ถึงเวลานัดฉัตรชัยขับรถไปรับคู่หมั้นจากบ้านจากนั้นก็แวะทานอาหารเที่ยงกันก่อน จนบ่ายแก่ๆจึงพากันมาที่เรือนหอ
แล้วฉัตรชัยก็ได้ประจักษ์ชัดอีกครั้งว่าคุณหมิวนั้น เธอเหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นช้างเท้าหลัง เพราะไม่ว่าฉัตรชัยจะเสนอแบบ
แปลนการจัดวางอย่างไร เธอเพียงแต่พยักวงหน้ารุปไข่เรียวสวยของเธอพร้อมยิ้มอย่างอ่อนหวาน บอกให้ฉัตรชัย ทำตาม
แปลนทุกอย่างโดยไม่มีความเห็นส่วนตัวขัดแย้งแม้แต่เรื่องเดียว
เริ่มจากชุดรับแขกไม้สักที่แตรชัยกับมารดาไปซื้อที่แม่สอด พอเอากลับมาวางที่ห้องรับแขกแล้ว ตัวฉัตรชัยกลับรู้สึกว่ามัน
ใหญ่เทอะทะเกินไปจนมองดูห้องรับแขกแคบไปกว่าที่ควรจะเป็น พอถามความคิดเห็นจากคุณหมิว
“หมิวว่าก็ดีนะคะ..ใหญ่โตดูมั่นคงแข็งแรงดีค่ะ…คุณพี่ไม่ต้องเปลี่ยนก็ได้ค่ะ…” เสียงอ่อนๆเรียบๆหวานๆ เหมือนไม่เคย
แสดงอารมณ์ชนิดใดออกมาเลย จนฉัตรชัยต้องยิ้มตอบกลับแล้วพาไปดูห้องอื่นๆต่อไป จนกระทั่งมาถึงห้องนอน
“คุณหมิวครับ..พี่ว่าตู้บิ้วอินนี่ควรจะทาสีขาวหรือจะใช้สีย้อมลายไม้แบบเดิมดีครับ…พี่ว่าสีย้อมไม้มันจะทำให้ห้องนอนเรา
มืดไปนะครับ..”
“อย่าเปลี่ยนสีให้ยุ่งยากเลยค่ะคุณพี่…สีย้อมไม้แบบนี้ แม้จะดูห้องไม่สว่าง แต่ก็ได้ลายไม้สวยดีนะคะ…”
“คุณหมิวชอบเตียงไม้โบราณนี้มั๊ยครับ…” ฉัตรชัยชี้มือไปยังเตียงไม้สักโบราณที่มีเสาแกะสลักสี่ต้น ด้านบนเสานั้นมีมุ้งขาว
ผ้าเนื้อละเอียดประดับโยงเหมือนมุ้งในยุคโบราณ
“ก็สวยดีค่ะคุณพี่…”
[post]ฉัตรชัยนึกไว้ก่อนแล้วว่าจะได้ยินเสียงอ่อนๆเนิบๆ คำพูดทำนองนี้จากคุณหมิว ไอ้นั่นก็ดีแล้วค่ะ ไอ้นี่ก็สวยแล้วค่ะ เธอไม่เคย
มีความคิดเป็นของตัวเองแม้สักเรื่อง สำหรับหนุ่มสาวยุคนี้อาจมองว่าทั้งคำพูด ทั้งกิริยาทั้งความคิดของคุณหมิวดูน่าเบื่อ
แต่สำหรับตัวฉัตรชัยเอง กลับรู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นสเน่ห์อย่างหนึ่งที่หาไม่ได้แล้วกับสาวในยุคปัจจุบัน เขาจึงรักถนุถนอมคุ่หมั้น
สาวดั่งไข่ในหิน ไม่เคยมีสักครั้งที่จะคิดล่วงเกินเธอ ทำได้เพียงแค่กุมมือประคองเดินเท่านั้น แต่ครั้งนี้ หลังจากที่ฉัตรชัยดึง
มือคู่หมั้นสาวนั่งลงบนเตียงหนานุ่มซึ่งอีกไม่ถึงสองเดือนข้างหน้าเตียงหลังนี้จะเป็นเสมือนสมรภูมิรักของตนกับคุ่หมั้นสาว
สถานที่แห่งนี้จะเป็นวิมานสวาทของทั้งสองคน
ฉัตรชัยนั่งจ้องวงหน้ารูปไข่สวยหวาน ที่มักมีรอยยิ้ม จนไม่รู้เลยว่าคู่หมั้นสาวอยู่ในอารมณ์แบบไหน ประกอบกับผมยาวสีดำ
สนิทเหยียดตรงจนเลยไปถึงกึ่งกลางหลัง คุณหมิวเธอไว้ผมทรงนี้มาตั้งแต่ฉัตรชัยรุ้จักเธอครั้งแรกเมื่อ6ปีก่อน ตอนที่เธอเพิ่ง
เรียนจบรับปริญญาจากมหาวิทยาลัยเก่าแก่ย่านสามย่าน รอยยิ้มเล็กๆบนใบหน้าสวยหวานทำให้ฉัตรชัยเคลิ้มทุกครั้งที่ได้
จ้องมอง แต่ทุกครั้งก็จะรีบถอนสายตาออกก่อนที่อารมณ์พิสวาทจะก่อตัวขึ้น แต่ในครั้งนี้ฉัตรชัยกลับจ้องมองวงหน้าสวย
ของคู่หมั้นอย่างหลงไหลเคลิบเคลิ้ม โดยไม่คิดที่จะถอนสายตาออกมา อารมณ์ปรารถนาทำให้ฉัตรชัยเผลอตัวก้มหน้าลง
ไปจนหน้าผากแนบกัน คุณหมิวหลบตาคู่สวยกลมโตดำขลับลงต่ำ เห็นเพียงแผงขนตายาวงอนสวยใบหน้าแดงสร้านเมื่อ
ฉัตรชัยยื่นปากประทับจูบตรงหน้าผากโค้งโหนกนูนของคุณหมิว
“ผมรักคุณหมิวเหลือเกินครับ…”
ฉัตรชัยพึมพำเหมือนละเมอ ในขณะที่จุมพิตโค้งหน้าผากโหนกนูนนั้นอีกสองสามครั้ง คุณหมิวก็ยื่นมือเรียวเล็กขาวผ่องผิว
ละเอียดมาแตะหน้าอกฉัตรชัยไว้
“คุณพี่คะ…อย่ารังแกน้องสิ…ยังไม่ถึงเวลานะคะ…” เสียงเนิบๆอ่อนหวานไพเราะของคุณหมิวร้องเตือน
“พี่ขอโทษครับ…คุณหมิวน่ารัก จนพี่อดใจไม่ไหว…” เสียงฉัตรชัยแหบพร่า ด้วยอารมณ์พิสวาท พร้อมก้มจูบต่อมาที่พวงแก้ม
อิ่ม กลิ่นเนื้อหอมละมุนของคุ่หมั้นสาว ยิ่งเหมือนแรงผลักเร้าให้อารมณ์พิสวาทของฉัตรชัยโหมกระพือ
“คุณพี่อย่า..รังแกหมิว……” เสียงคุณหมิวเริ่มสั่น เพราะมันเป็นครั้งแรกที่แก้มสาวของเธอถูกคู่หมั้นหนุ่มใหญ่รุกราน
“ขอพี่จูบเถอะครับ…ยอดรัก…พี่ไม่รังแกคุณหมิวมากไปกว่านี้..พี่สัญญา..” เสียงแหบพร่าเปล่งออกมาจากริมฝีปากหนุ่มใหญ่
ที่บัดนี้ใบหน้าเริ่มแดงกร่ำด้วยความรุ้สึกปรารถนาที่ปั่นป่วนจนใจไม่อยากหยุด
“คุณพี่…ยะ..อย่าค่ะ…พอแล้ว..”
ในความรุ้สึกที่ปั่นปวนทั้งอยากลองเรียนรู้ และหวาดกลัวสิ่งที่จะทำ ทำให้คุณหมิวร้องห้ามคู่หมั้นหนุ่มของเธอเสียงสั่น ใจ
เต้นแรงจนแทบจะกระดอนออกมานอกอกอวบตูมเต่ง ริมฝีปากร้อนๆที่จูบไล้ไปตามแก้มนวลทำให้เธอขนลุกเสียวซ่าน แบบ
ที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน แต่คู่หมั้นของเธอก็หยุดอยู่เพียงแค่นั้นตามคำสัญญาที่บอกไว้ จนคุณหมิวไม่กล้าจ้องหน้ามอง
ตาของเขาอีกเลย ด้วยความรุ้สึกอับอายที่เผลอตัวปล่อยใจ จนโดนจูบไปหลายครั้ง
ฉัตรชัยผละหน้า ผละริมฝีปากออกจากแก้มนวลของคุณหมิว แล้วจ้องหน้าแดงกร่ำของคู่หมั้นสาวด้วยความรักแรงกล้า ยิ่ง
เห้นอากัปกิริยาเอียงอาย เขาก็เชื่อมั่นว่าเลือกเจ้าสาวไม่ผิดแน่ เธอยังบริสุทธิ์ไร้เดียงสายิ่งนัก ส่วนตัวเขาก็เป็นสุภาพบุรุษ
เกินกว่าที่จะใช้เล่ห์กลสวาทพรากความสาวไปจากเธอก่อนเวลาอันควร หลังจากที่ปรับอารมณ์ความปารถนาจนลดระดับ
ลงมาเป็นปรกติ ฉัตรชัยก็พาคู่หมั้นกลับไปส่งบ้าน ก่อนจะกลับมาเจอมารดานั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก
“ลูกฉัตร…มาหาแม่ก่อน..” มารดารีบร้องบอกเมื่อเห็นลูกแฝดคนพี่กลับมาถึงบ้าน
“ครับแม่…” ฉัตรชัยรีบเข้าไปนั่งด้านข้างของมารดาจับมือหญิงชรามากอด
“พานู๋หมิวไปดูเรือนหอมารึลูก…”
“ครับใช่…แม่มีอะไรหรือเปล่าครับ…” เห็นมารดาดูอ่ำอึ้ง จึงรีบถามขึ้นเสียก่อน
“แม่อยากรู้ว่าลูกไป..ไปสืบเรื่องน้องรึยัง..” พอมารดาพูดจบ ฉัตรชัยจึงนึกขึ้นได้ว่า ยังไม่ได้ไปทำธุระเรื่องนี้ให้กับผู้เป็นแม่
เลย เพราะมัวแต่ยุ่งๆอยู่กับงาน และเรือนหอ
“ขอโทษครับแม่…กะว่าพรุ่งนี้จะไปน่ะครับ…พอดีช่วงนี้ผมยุ่งๆอยู่..”
“จ๊ะๆ…แม่ไม่ได้เร่งนะลุก..แค่เตือนกลัวว่าลูกจะลืมน่ะ…”
หลังจากที่รับปากกับมารดาว่าพรุ่งนี้จะไปสืบเรื่องน้องชายฝาแฝดที่ปั้มน้ำมันแห่งนั้นแล้ว แตรชัยก้ขอตัวไปพักผ่อน ปล่อย
ให้มารดามองตามแผ่นหลังด้วยความหวังว่าจะได้พบลูกชายอีกคนที่โดนพรากจากไป